Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ปญฺจปกรณ-มูลฎีกา • Pañcapakaraṇa-mūlaṭīkā

    ๔. อุปาทินฺนตฺติกวณฺณนา

    4. Upādinnattikavaṇṇanā

    ๑๕. อุปาทินฺนตฺติเก อนุปาทินฺนอนุปาทานิยํ ธมฺมํ ปฎิจฺจ อนุปาทินฺนอนุปาทานิโย ธโมฺม อุปฺปชฺชติ นาธิปติปจฺจยาติ เอเตน สยํ อธิปติภูตตฺตา อวิรหิตารมฺมณาธิปตีสุปิ อธิปติ ทุวิเธนปิ อธิปติปจฺจเยน อุปฺปชฺชตีติ น วตฺตโพฺพ, อยเมตสฺส สภาโวติ ทเสฺสติฯ

    15. Upādinnattike anupādinnaanupādāniyaṃ dhammaṃ paṭicca anupādinnaanupādāniyo dhammo uppajjati nādhipatipaccayāti etena sayaṃ adhipatibhūtattā avirahitārammaṇādhipatīsupi adhipati duvidhenapi adhipatipaccayena uppajjatīti na vattabbo, ayametassa sabhāvoti dasseti.

    ๗๒. อุปาทินฺนุปาทานิโย กพฬีการาหาโร อุปาทินฺนุปาทานิยสฺส กายสฺส อาหารปจฺจเยน ปจฺจโยติ เอตฺถ กมฺมชานํ รูปานํ อพฺภนฺตรคตา โอชา ตเสฺสว กมฺมชกายสฺส รูปชีวิตินฺทฺริยํ วิย กฎตฺตารูปานํ อนุปาลนุปตฺถมฺภนวเสน ปจฺจโย, น ชนกวเสนาติ อยมโตฺถ อฎฺฐกถายํ วุโตฺตฯ เอตสฺมิํ ปน อเตฺถ สติ อุปาทินฺนุปาทานิโย จ อนุปาทินฺนอนุปาทานิโย จ ธมฺมา อุปาทินฺนุปาทานิยสฺส ธมฺมสฺส อตฺถิปจฺจเยน ปจฺจโย ปจฺฉาชาตินฺทฺริยนฺติ เอตฺถ ‘‘อาหาร’’นฺติปิ วตฺตพฺพํ, ยทิ จ กมฺมชา โอชา สกลาปรูปานเมว อาหารปจฺจโย โหติ, เอวํ สติ ‘‘อุปาทินฺนุปาทานิโย กพฬีการาหาโร อนุปาทินฺนุปาทานิยสฺส กายสฺส อาหารปจฺจเยน ปจฺจโย’’ติ น วตฺตพฺพํ สิยา, วุตฺตญฺจิทํ, ตมฺปิ อนโชฺฌหฎาย สสนฺตานคตาย อุปาทิโนฺนชาย อนุปาทินฺนุปาทานิยสฺส กายสฺส อาหารปจฺจยํ สนฺธาย วุตฺตํฯ เอวญฺจ สติ ‘‘อุปาทินฺนุปาทานิโย จ อนุปาทินฺนอนุปาทานิโย จ ธมฺมา อนุปาทินฺนุปาทานิยสฺส ธมฺมสฺส อตฺถิปจฺจเยน ปจฺจโย’’ติ (ปฎฺฐา. ๑.๔.๘๕) อยมฺปิ ปโญฺห ปจฺฉาชาตาหารวเสน อุทฺธริตโพฺพ สิยา, ตสฺมา อโชฺฌหฎสฺส อุปาทินฺนาหารสฺส โลกุตฺตรกฺขเณ อภาวโต ทุมูลเกสุ ปฐมปเญฺห ‘‘อาหาร’’นฺติ น วุตฺตํฯ ทุติยปโญฺห จ น อุทฺธโฎ, น อิตรสฺส อุปาทินฺนาหารสฺส กามภเว อสมฺภวาภาวโตติ อโชฺฌหฎเมว มณฺฑูกาทิสรีรคตํ อุปาทินฺนาหารํ สนฺธาย ‘‘อุปาทินฺนุปาทานิโย กพฬีการาหาโร อุปาทินฺนุปาทานิยสฺส จ อนุปาทินฺนุปาทานิยสฺส จ กายสฺส อาหารปจฺจเยน ปจฺจโย’’ติ (ปฎฺฐา. ๑.๔.๗๔) วทนฺตานํ วาโท พลวตโรฯ น หิ อโชฺฌหฎมตฺตาว มณฺฑูกาทโย กุจฺฉิวิตฺถตํ น กโรนฺติ, น จ พลํ น อุปชายนฺติ, น จ รูปวิเสโส น วิญฺญายตีติฯ

    72. Upādinnupādāniyo kabaḷīkārāhāro upādinnupādāniyassa kāyassa āhārapaccayena paccayoti ettha kammajānaṃ rūpānaṃ abbhantaragatā ojā tasseva kammajakāyassa rūpajīvitindriyaṃ viya kaṭattārūpānaṃ anupālanupatthambhanavasena paccayo, na janakavasenāti ayamattho aṭṭhakathāyaṃ vutto. Etasmiṃ pana atthe sati upādinnupādāniyo ca anupādinnaanupādāniyo ca dhammā upādinnupādāniyassa dhammassa atthipaccayena paccayo pacchājātindriyanti ettha ‘‘āhāra’’ntipi vattabbaṃ, yadi ca kammajā ojā sakalāparūpānameva āhārapaccayo hoti, evaṃ sati ‘‘upādinnupādāniyo kabaḷīkārāhāro anupādinnupādāniyassa kāyassa āhārapaccayena paccayo’’ti na vattabbaṃ siyā, vuttañcidaṃ, tampi anajjhohaṭāya sasantānagatāya upādinnojāya anupādinnupādāniyassa kāyassa āhārapaccayaṃ sandhāya vuttaṃ. Evañca sati ‘‘upādinnupādāniyo ca anupādinnaanupādāniyo ca dhammā anupādinnupādāniyassa dhammassa atthipaccayena paccayo’’ti (paṭṭhā. 1.4.85) ayampi pañho pacchājātāhāravasena uddharitabbo siyā, tasmā ajjhohaṭassa upādinnāhārassa lokuttarakkhaṇe abhāvato dumūlakesu paṭhamapañhe ‘‘āhāra’’nti na vuttaṃ. Dutiyapañho ca na uddhaṭo, na itarassa upādinnāhārassa kāmabhave asambhavābhāvatoti ajjhohaṭameva maṇḍūkādisarīragataṃ upādinnāhāraṃ sandhāya ‘‘upādinnupādāniyo kabaḷīkārāhāro upādinnupādāniyassa ca anupādinnupādāniyassa ca kāyassa āhārapaccayena paccayo’’ti (paṭṭhā. 1.4.74) vadantānaṃ vādo balavataro. Na hi ajjhohaṭamattāva maṇḍūkādayo kucchivitthataṃ na karonti, na ca balaṃ na upajāyanti, na ca rūpaviseso na viññāyatīti.

    ‘‘อนุปาทินฺนอนุปาทานิโย ธโมฺม อุปาทินฺนุปาทานิยสฺส จ อนุปาทินฺนอนุปาทานิยสฺส จ ธมฺมสฺส อตฺถิปจฺจเยน ปจฺจโย สหชาตํ ปจฺฉาชาต’’นฺติ (ปฎฺฐา. ๑.๔.๘๓) เอวมาทีหิ อิธ วุเตฺตหิ เอกมูลกทุกติกาวสานปญฺหวิสฺสชฺชเนหิ ‘‘กุสโล ธโมฺม กุสลสฺส จ อพฺยากตสฺส จ ธมฺมสฺส อตฺถิปจฺจเยน ปจฺจโย สหชาต’’นฺติอาทินา อิธ ทุติยทุกาวสาเน วิย วิสฺสชฺชนํ ลพฺภตีติ วิญฺญายติฯ สุขาวโพธนตฺถํ ปน ตตฺถ สหชาตวเสเนว วิสฺสชฺชนํ กตํฯ ปจฺจนีเย ปน สหชาตเสฺสว อปฎิเกฺขเป ลาภโต, ปฎิเกฺขเป จ อลาภโต สหชาตปจฺจยวเสเนว เอกมูลกทุกาวสานา ตตฺถ อุทฺธฎา, อิธ ปเนเตหิ วิสฺสชฺชเนหิ เอโก ธโมฺม สหชาตาทีสุ อตฺถิปจฺจยวิเสเสสุ อเนเกหิปิ อเนเกสํ ธมฺมานํ เอโก อตฺถิปจฺจโย โหตีติ ทสฺสิตํ โหติฯ เอโก หิ ธโมฺม เอกสฺส ธมฺมสฺส เอเกเนว อตฺถิปจฺจยวิเสเสน อตฺถิปจฺจโย โหติ, เอโก อเนเกสํ เอเกนปิ อเนเกหิปิ, ตถา อเนโก เอกสฺส, อเนโก อเนเกสํ สมานเตฺต ปจฺจยุปฺปนฺนธมฺมานํ, อตฺถิปจฺจยวิเสเสสุ ปน ปญฺจสุ สหชาตํ ปุเรชาเตเนว สห อตฺถิปจฺจโย โหติ, อนญฺญธมฺมเตฺต ปจฺฉาชาเตน จ, น นานาธมฺมเตฺตฯ

    ‘‘Anupādinnaanupādāniyo dhammo upādinnupādāniyassa ca anupādinnaanupādāniyassa ca dhammassa atthipaccayena paccayo sahajātaṃ pacchājāta’’nti (paṭṭhā. 1.4.83) evamādīhi idha vuttehi ekamūlakadukatikāvasānapañhavissajjanehi ‘‘kusalo dhammo kusalassa ca abyākatassa ca dhammassa atthipaccayena paccayo sahajāta’’ntiādinā idha dutiyadukāvasāne viya vissajjanaṃ labbhatīti viññāyati. Sukhāvabodhanatthaṃ pana tattha sahajātavaseneva vissajjanaṃ kataṃ. Paccanīye pana sahajātasseva apaṭikkhepe lābhato, paṭikkhepe ca alābhato sahajātapaccayavaseneva ekamūlakadukāvasānā tattha uddhaṭā, idha panetehi vissajjanehi eko dhammo sahajātādīsu atthipaccayavisesesu anekehipi anekesaṃ dhammānaṃ eko atthipaccayo hotīti dassitaṃ hoti. Eko hi dhammo ekassa dhammassa ekeneva atthipaccayavisesena atthipaccayo hoti, eko anekesaṃ ekenapi anekehipi, tathā aneko ekassa, aneko anekesaṃ samānatte paccayuppannadhammānaṃ, atthipaccayavisesesu pana pañcasu sahajātaṃ purejāteneva saha atthipaccayo hoti, anaññadhammatte pacchājātena ca, na nānādhammatte.

    ยทิ สิยา, ‘‘อุปาทินฺนุปาทานิโย จ อนุปาทินฺนอนุปาทานิโย จ ธมฺมา อุปาทินฺนุปาทานิยสฺส ธมฺมสฺส อตฺถิปจฺจเยน ปจฺจโย ปจฺฉาชาตํ อินฺทฺริย’’นฺติ เอตฺถ ‘‘สหชาต’’นฺติปิ วตฺตพฺพํ สิยาฯ กมฺมชานญฺหิ ภูตานํ สหชาตานํ ปจฺฉาชาตานญฺจ โลกุตฺตรานํ เอกกฺขเณ ลพฺภมานานมฺปิ เอโก อตฺถิปจฺจยภาโว นตฺถิ สหชาตปจฺฉาชาตานํ นานาธมฺมานํ วิรุทฺธสภาวตฺตาติ ตํ น วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ เอวญฺจ กตฺวา ปจฺจนีเย จ ‘‘นอินฺทฺริเย พาวีสา’’ติ วุตฺตํฯ อญฺญถา หิ อินฺทฺริยปฎิเกฺขเปปิ สหชาตปจฺฉาชาตวเสน ตสฺส ปญฺหสฺส ลาภโต ‘‘เตวีสา’’ติ วตฺตพฺพํ สิยาติฯ ปุเรชาตํ สหชาเตเนว สห อตฺถิปจฺจโย โหติ, น อิตเรหิ, ตมฺปิ วตฺถุ ตํสหิตปุเรชาตเมว, น อิตรํฯ กุสลตฺติเก หิ ปญฺหาวาเร ‘‘นวิปฺปยุตฺตปจฺจยา อตฺถิยา ปญฺจา’’ติ (ปฎฺฐา. ๑.๑.๖๔๙) วุตฺตํ, สนิทสฺสนตฺติเก ปน ‘‘วิปฺปยุเตฺต พาวีสา’’ติฯ ยํ ปน ตตฺถ อตฺถิวิภเงฺค ปจฺจยุทฺธาเร จ ติมูลเกกาวสานํ อุทฺธฎํ, ตํ วตฺถุสหิตสฺส อารมฺมณปุเรชาตสฺส สหชาเตน, สห ปจฺจยภาวโตติ ปจฺฉาชาตํ อาหารินฺทฺริเยเหว, อนญฺญธมฺมเตฺต จ สหชาเตน จ, อาหาโร ปจฺฉาชาตินฺทฺริเยเหว, อินฺทฺริยํ ปจฺฉาชาตาหาเรนาติ เอวเมตํ อตฺถิปจฺจยวิภาคํ สลฺลเกฺขตฺวา อนุโลเม ปจฺจนียาทีสุ จ ลพฺภมานา ปญฺหา อุทฺธริตพฺพาฯ

    Yadi siyā, ‘‘upādinnupādāniyo ca anupādinnaanupādāniyo ca dhammā upādinnupādāniyassa dhammassa atthipaccayena paccayo pacchājātaṃ indriya’’nti ettha ‘‘sahajāta’’ntipi vattabbaṃ siyā. Kammajānañhi bhūtānaṃ sahajātānaṃ pacchājātānañca lokuttarānaṃ ekakkhaṇe labbhamānānampi eko atthipaccayabhāvo natthi sahajātapacchājātānaṃ nānādhammānaṃ viruddhasabhāvattāti taṃ na vuttanti veditabbaṃ. Evañca katvā paccanīye ca ‘‘naindriye bāvīsā’’ti vuttaṃ. Aññathā hi indriyapaṭikkhepepi sahajātapacchājātavasena tassa pañhassa lābhato ‘‘tevīsā’’ti vattabbaṃ siyāti. Purejātaṃ sahajāteneva saha atthipaccayo hoti, na itarehi, tampi vatthu taṃsahitapurejātameva, na itaraṃ. Kusalattike hi pañhāvāre ‘‘navippayuttapaccayā atthiyā pañcā’’ti (paṭṭhā. 1.1.649) vuttaṃ, sanidassanattike pana ‘‘vippayutte bāvīsā’’ti. Yaṃ pana tattha atthivibhaṅge paccayuddhāre ca timūlakekāvasānaṃ uddhaṭaṃ, taṃ vatthusahitassa ārammaṇapurejātassa sahajātena, saha paccayabhāvatoti pacchājātaṃ āhārindriyeheva, anaññadhammatte ca sahajātena ca, āhāro pacchājātindriyeheva, indriyaṃ pacchājātāhārenāti evametaṃ atthipaccayavibhāgaṃ sallakkhetvā anulome paccanīyādīsu ca labbhamānā pañhā uddharitabbā.

    อุปาทินฺนตฺติกวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Upādinnattikavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / ปญฺจปกรณ-อนุฎีกา • Pañcapakaraṇa-anuṭīkā / ๔. อุปาทินฺนตฺติกวณฺณนา • 4. Upādinnattikavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact