Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
๙. อุปาหนวโคฺค
9. Upāhanavaggo
[๒๓๑] ๑. อุปาหนชาตกวณฺณนา
[231] 1. Upāhanajātakavaṇṇanā
ยถาปิ กีตาติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต เทวทตฺตํ อารพฺภ กเถสิฯ ธมฺมสภายญฺหิ ภิกฺขู กถํ สมุฎฺฐาเปสุํ – ‘‘อาวุโส, เทวทโตฺต อาจริยํ ปจฺจกฺขาย ตถาคตสฺส ปฎิปโกฺข ปฎิสตฺตุ หุตฺวา มหาวินาสํ ปาปุณี’’ติฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘น, ภิกฺขเว, เทวทโตฺต อิทาเนว อาจริยํ ปจฺจกฺขาย มม ปฎิปโกฺข หุตฺวา มหาวินาสํ ปโตฺต, ปุเพฺพปิ ปโตฺตเยวา’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Yathāpikītāti idaṃ satthā jetavane viharanto devadattaṃ ārabbha kathesi. Dhammasabhāyañhi bhikkhū kathaṃ samuṭṭhāpesuṃ – ‘‘āvuso, devadatto ācariyaṃ paccakkhāya tathāgatassa paṭipakkho paṭisattu hutvā mahāvināsaṃ pāpuṇī’’ti. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘na, bhikkhave, devadatto idāneva ācariyaṃ paccakkhāya mama paṭipakkho hutvā mahāvināsaṃ patto, pubbepi pattoyevā’’ti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต หตฺถาจริยกุเล นิพฺพตฺติตฺวา วยปฺปโตฺต หตฺถิสิเปฺป นิปฺผตฺติํ ปาปุณิฯ อเถโก กาสิคามโก มาณวโก อาคนฺตฺวา ตสฺส สนฺติเก สิปฺปํ อุคฺคณฺหิฯ โพธิสตฺตา นาม สิปฺปํ วาเจนฺตา อาจริยมุฎฺฐิํ น กโรนฺติ, อตฺตโน ชานนนิยาเมน นิรวเสสํ สิกฺขาเปนฺติฯ ตสฺมา โส มาณโว โพธิสตฺตสฺส ชานนสิปฺปํ นิรวเสสมุคฺคณฺหิตฺวา โพธิสตฺตํ อาห – ‘‘อาจริย , อหํ ราชานํ อุปฎฺฐหิสฺสามี’’ติฯ โพธิสโตฺต ‘‘สาธุ, ตาตา’’ติ คนฺตฺวา รโญฺญ อาโรเจสิ – ‘‘มหาราช, มม อเนฺตวาสิโก ตุเมฺห อุปฎฺฐาตุํ อิจฺฉตี’’ติฯ ‘‘สาธุ, อุปฎฺฐาตู’’ติฯ ‘‘เตน หิสฺส ปริพฺพยํ ชานาถา’’ติ? ‘‘ตุมฺหากํ อเนฺตวาสิโก ตุเมฺหหิ สมกํ น ลจฺฉติ, ตุเมฺหสุ สตํ ลภเนฺตสุ ปณฺณาสํ ลจฺฉติ, เทฺว ลภเนฺตสุ เอกํ ลจฺฉตี’’ติฯ โส เคหํ คนฺตฺวา ตํ ปวตฺติํ อเนฺตวาสิกสฺส อาโรเจสิฯ อเนฺตวาสิโก ‘‘อหํ, อาจริย, ตุเมฺหหิ สมํ สิปฺปํ ชานามิฯ สเจ สมกเญฺญว ปริพฺพยํ ลภิสฺสามิ, อุปฎฺฐหิสฺสามิฯ โน เจ, น อุปฎฺฐหิสฺสามี’’ติ อาหฯ โพธิสโตฺต ตํ ปวตฺติํ รโญฺญ อาโรเจสิฯ ราชา ‘‘สเจ โส ตุเมฺหหิ สมปฺปกาโร, ตุเมฺหหิ สมกเญฺญว สิปฺปํ ทเสฺสตุํ สโกฺกโนฺต สมกํ ลภิสฺสตี’’ติ อาหฯ โพธิสโตฺต ตํ ปวตฺติํ ตสฺส อาโรเจตฺวา เตน ‘‘สาธุ ทเสฺสสฺสามี’’ติ วุเตฺต รโญฺญ อาโรเจสิฯ ราชา ‘‘เตน หิ เสฺว สิปฺปํ ทเสฺสถา’’ติฯ ‘‘สาธุ, ทเสฺสสฺสาม, นคเร เภริํ จราเปถา’’ติฯ ราชา ‘‘เสฺว กิร อาจริโย จ อเนฺตวาสิโก จ อุโภ หตฺถิสิปฺปํ ทเสฺสสฺสนฺติ, ราชงฺคเณ สนฺนิปติตฺวา ทฎฺฐุกามา ปสฺสนฺตู’’ติ เภริํ จราเปสิฯ
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto hatthācariyakule nibbattitvā vayappatto hatthisippe nipphattiṃ pāpuṇi. Atheko kāsigāmako māṇavako āgantvā tassa santike sippaṃ uggaṇhi. Bodhisattā nāma sippaṃ vācentā ācariyamuṭṭhiṃ na karonti, attano jānananiyāmena niravasesaṃ sikkhāpenti. Tasmā so māṇavo bodhisattassa jānanasippaṃ niravasesamuggaṇhitvā bodhisattaṃ āha – ‘‘ācariya , ahaṃ rājānaṃ upaṭṭhahissāmī’’ti. Bodhisatto ‘‘sādhu, tātā’’ti gantvā rañño ārocesi – ‘‘mahārāja, mama antevāsiko tumhe upaṭṭhātuṃ icchatī’’ti. ‘‘Sādhu, upaṭṭhātū’’ti. ‘‘Tena hissa paribbayaṃ jānāthā’’ti? ‘‘Tumhākaṃ antevāsiko tumhehi samakaṃ na lacchati, tumhesu sataṃ labhantesu paṇṇāsaṃ lacchati, dve labhantesu ekaṃ lacchatī’’ti. So gehaṃ gantvā taṃ pavattiṃ antevāsikassa ārocesi. Antevāsiko ‘‘ahaṃ, ācariya, tumhehi samaṃ sippaṃ jānāmi. Sace samakaññeva paribbayaṃ labhissāmi, upaṭṭhahissāmi. No ce, na upaṭṭhahissāmī’’ti āha. Bodhisatto taṃ pavattiṃ rañño ārocesi. Rājā ‘‘sace so tumhehi samappakāro, tumhehi samakaññeva sippaṃ dassetuṃ sakkonto samakaṃ labhissatī’’ti āha. Bodhisatto taṃ pavattiṃ tassa ārocetvā tena ‘‘sādhu dassessāmī’’ti vutte rañño ārocesi. Rājā ‘‘tena hi sve sippaṃ dassethā’’ti. ‘‘Sādhu, dassessāma, nagare bheriṃ carāpethā’’ti. Rājā ‘‘sve kira ācariyo ca antevāsiko ca ubho hatthisippaṃ dassessanti, rājaṅgaṇe sannipatitvā daṭṭhukāmā passantū’’ti bheriṃ carāpesi.
อาจริโย ‘‘น เม อเนฺตวาสิโก อุปายโกสลฺลํ ชานาตี’’ติ เอกํ หตฺถิํ คเหตฺวา เอกรเตฺตเนว วิโลมํ สิกฺขาเปสิฯ โส ตํ ‘‘คจฺฉา’’ติ วุเตฺต โอสกฺกิตุํ, ‘‘โอสกฺกา’’ติ วุเตฺต คนฺตุํ, ‘‘ติฎฺฐา’’ติ วุเตฺต นิปชฺชิตุํ, ‘‘นิปชฺชา’’ติ วุเตฺต ฐาตุํ, ‘‘คณฺหา’’ติ วุเตฺต ฐเปตุํ, ‘‘ฐเปหี’’ติ วุเตฺต คณฺหิตุํ สิกฺขาเปตฺวา ปุนทิวเส ตํ หตฺถิํ อภิรุหิตฺวา ราชงฺคณํ อคมาสิฯ อเนฺตวาสิโกปิ เอกํ มนาปํ หตฺถิํ อภิรุหิฯ มหาชโน สนฺนิปติฯ อุโภปิ สมกํ สิปฺปํ ทเสฺสสุํฯ ปุน โพธิสโตฺต อตฺตโน หตฺถิํ วิโลมํ กาเรสิ, โส ‘‘คจฺฉา’’ติ วุเตฺต โอสกฺกิ, ‘‘โอสกฺกา’’ติ วุเตฺต ปุรโต ธาวิ, ‘‘ติฎฺฐา’’ติ วุเตฺต นิปชฺชิ, ‘‘นิปชฺชา’’ติ วุเตฺต อฎฺฐาสิ, ‘‘คณฺหา’’ติ วุเตฺต นิกฺขิปิ, ‘‘นิกฺขิปา’’ติ วุเตฺต คณฺหิฯ มหาชโน ‘‘อเร ทุฎฺฐอเนฺตวาสิก, ตฺวํ อาจริเยน สทฺธิํ สารมฺภํ กโรสิ, อตฺตโน ปมาณํ น ชานาสิ, ‘อาจริเยน สมกํ ชานามี’ติ เอวํสญฺญี โหสี’’ติ เลฑฺฑุทณฺฑาทีหิ ปหริตฺวา ตเตฺถว ชีวิตกฺขยํ ปาเปสิฯ
Ācariyo ‘‘na me antevāsiko upāyakosallaṃ jānātī’’ti ekaṃ hatthiṃ gahetvā ekaratteneva vilomaṃ sikkhāpesi. So taṃ ‘‘gacchā’’ti vutte osakkituṃ, ‘‘osakkā’’ti vutte gantuṃ, ‘‘tiṭṭhā’’ti vutte nipajjituṃ, ‘‘nipajjā’’ti vutte ṭhātuṃ, ‘‘gaṇhā’’ti vutte ṭhapetuṃ, ‘‘ṭhapehī’’ti vutte gaṇhituṃ sikkhāpetvā punadivase taṃ hatthiṃ abhiruhitvā rājaṅgaṇaṃ agamāsi. Antevāsikopi ekaṃ manāpaṃ hatthiṃ abhiruhi. Mahājano sannipati. Ubhopi samakaṃ sippaṃ dassesuṃ. Puna bodhisatto attano hatthiṃ vilomaṃ kāresi, so ‘‘gacchā’’ti vutte osakki, ‘‘osakkā’’ti vutte purato dhāvi, ‘‘tiṭṭhā’’ti vutte nipajji, ‘‘nipajjā’’ti vutte aṭṭhāsi, ‘‘gaṇhā’’ti vutte nikkhipi, ‘‘nikkhipā’’ti vutte gaṇhi. Mahājano ‘‘are duṭṭhaantevāsika, tvaṃ ācariyena saddhiṃ sārambhaṃ karosi, attano pamāṇaṃ na jānāsi, ‘ācariyena samakaṃ jānāmī’ti evaṃsaññī hosī’’ti leḍḍudaṇḍādīhi paharitvā tattheva jīvitakkhayaṃ pāpesi.
โพธิสโตฺต หตฺถิมฺหา โอรุยฺห ราชานํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘มหาราช, สิปฺปํ นาม อตฺตโน สุขตฺถาย คณฺหนฺติ, เอกจฺจสฺส ปน คหิตสิปฺปํ ทุกฺกฎอุปาหนา วิย วินาสเมว อาวหตี’’ติ วตฺวา อิทํ คาถาทฺวยมาห –
Bodhisatto hatthimhā oruyha rājānaṃ upasaṅkamitvā ‘‘mahārāja, sippaṃ nāma attano sukhatthāya gaṇhanti, ekaccassa pana gahitasippaṃ dukkaṭaupāhanā viya vināsameva āvahatī’’ti vatvā idaṃ gāthādvayamāha –
๑๖๑.
161.
‘‘ยถาปิ กีตา ปุริสสฺสุปาหนา, สุขสฺส อตฺถาย ทุขํ อุทพฺพเห;
‘‘Yathāpi kītā purisassupāhanā, sukhassa atthāya dukhaṃ udabbahe;
ฆมฺมาภิตตฺตา ตลสา ปปีฬิตา, ตเสฺสว ปาเท ปุริสสฺส ขาทเรฯ
Ghammābhitattā talasā papīḷitā, tasseva pāde purisassa khādare.
๑๖๒.
162.
‘‘เอวเมว โย ทุกฺกุลีโน อนริโย, ตมฺมาก วิชฺชญฺจ สุตญฺจ อาทิย;
‘‘Evameva yo dukkulīno anariyo, tammāka vijjañca sutañca ādiya;
ตเมว โส ตตฺถ สุเตน ขาทติ, อนริโย วุจฺจติ ปานทูปโม’’ติฯ
Tameva so tattha sutena khādati, anariyo vuccati pānadūpamo’’ti.
ตตฺถ อุทพฺพเหติ อุทพฺพเหยฺยฯ ฆมฺมาภิตตฺตา ตลสา ปปีฬิตาติ ฆเมฺมน อภิตตฺตา ปาทตเลน จ ปีฬิตาฯ ตเสฺสวาติ เยน ตา สุขตฺถาย กิณิตฺวา ปาเทสุ ปฎิมุกฺกา ทุกฺกฎูปาหนา, ตเสฺสวฯ ขาทเรติ วณํ กโรนฺตา ปาเท ขาทนฺติฯ
Tattha udabbaheti udabbaheyya. Ghammābhitattā talasā papīḷitāti ghammena abhitattā pādatalena ca pīḷitā. Tassevāti yena tā sukhatthāya kiṇitvā pādesu paṭimukkā dukkaṭūpāhanā, tasseva. Khādareti vaṇaṃ karontā pāde khādanti.
ทุกฺกุลีโนติ ทุชฺชาติโก อกุลปุโตฺตฯ อนริโยติ หิโรตฺตปฺปวชฺชิโต อสปฺปุริโสฯ ตมฺมาก วิชฺชญฺจ สุตญฺจ อาทิยาติ เอตฺถ ตํ ตํ มนตีติ ‘‘ตโมฺม’’ติ วตฺตเพฺพ ตมฺมาโก, ตํ ตํ สิปฺปํ อาเสวติ ปริวเตฺตตีติ อโตฺถ, อาจริยเสฺสตํ นามํฯ ตสฺมา ตมฺมากา, คาถาพนฺธสุขตฺถํ ปนสฺส รสฺสภาโว กโตฯ วิชฺชนฺติ อฎฺฐารสสุ วิชฺชาฎฺฐาเนสุ ยํกิญฺจิฯ สุตนฺติ ยํกิญฺจิ สุตปริยตฺติฯ อาทิยาติอาทิยิตฺวาฯ ตเมว โส ตตฺถ สุเตน ขาทตีติ ตเมวาติ อตฺตานเมวฯ โสติ โย ทุกฺกุลีโน อนริโย อาจริยมฺหา วิชฺชญฺจ สุตญฺจ อาทิยติ, โสฯ ตตฺถ สุเตน ขาทตีติ ตสฺส สนฺติเก สุเตน โส อตฺตานเมว ขาทตีติ อโตฺถฯ อฎฺฐกถายํ ปน ‘‘เตเนว โส ตตฺถ สุเตน ขาทตี’’ติปิ ปาโฐฯ ตสฺสาปิ โส เตน ตตฺถ สุเตน อตฺตานเมว ขาทตีติ อยเมว อโตฺถฯ อนริโย วุจฺจติ ปานทูปโมติ อิติ อนริโย ทุปาหนูปโม ทุกฺกฎูปาหนูปโม วุจฺจติฯ ยถา หิ ทุกฺกฎูปาหนา ปุริสํ ขาทนฺติ, เอวเมส สุเตน ขาทโนฺต อตฺตนาว อตฺตานํ ขาทติฯ อถ วา ปานาย ทุโตติ ปานทุ, อุปาหนูปตาปิตสฺส อุปาหนาย ขาทิตปาทเสฺสตํ นามํฯ ตสฺมา โย โส อตฺตานํ สุเตน ขาทติ, โส เตน สุเตน ขาทิตตฺตา ‘‘อนริโย’’ติ วุจฺจติ ปานทูปโม, อุปาหนูปตาปิตปาทสทิโสติ วุจฺจตีติ อยเมตฺถ อโตฺถฯ ราชา ตุโฎฺฐ โพธิสตฺตสฺส มหนฺตํ ยสํ อทาสิฯ
Dukkulīnoti dujjātiko akulaputto. Anariyoti hirottappavajjito asappuriso. Tammāka vijjañca sutañca ādiyāti ettha taṃ taṃ manatīti ‘‘tammo’’ti vattabbe tammāko, taṃ taṃ sippaṃ āsevati parivattetīti attho, ācariyassetaṃ nāmaṃ. Tasmā tammākā, gāthābandhasukhatthaṃ panassa rassabhāvo kato. Vijjanti aṭṭhārasasu vijjāṭṭhānesu yaṃkiñci. Sutanti yaṃkiñci sutapariyatti. Ādiyātiādiyitvā. Tameva so tattha sutena khādatīti tamevāti attānameva. Soti yo dukkulīno anariyo ācariyamhā vijjañca sutañca ādiyati, so. Tattha sutena khādatīti tassa santike sutena so attānameva khādatīti attho. Aṭṭhakathāyaṃ pana ‘‘teneva so tattha sutena khādatī’’tipi pāṭho. Tassāpi so tena tattha sutena attānameva khādatīti ayameva attho. Anariyo vuccati pānadūpamoti iti anariyo dupāhanūpamo dukkaṭūpāhanūpamo vuccati. Yathā hi dukkaṭūpāhanā purisaṃ khādanti, evamesa sutena khādanto attanāva attānaṃ khādati. Atha vā pānāya dutoti pānadu, upāhanūpatāpitassa upāhanāya khāditapādassetaṃ nāmaṃ. Tasmā yo so attānaṃ sutena khādati, so tena sutena khāditattā ‘‘anariyo’’ti vuccati pānadūpamo, upāhanūpatāpitapādasadisoti vuccatīti ayamettha attho. Rājā tuṭṭho bodhisattassa mahantaṃ yasaṃ adāsi.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา อเนฺตวาสิโก เทวทโตฺต อโหสิ, อาจริโย ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā antevāsiko devadatto ahosi, ācariyo pana ahameva ahosi’’nti.
อุปาหนชาตกวณฺณนา ปฐมาฯ
Upāhanajātakavaṇṇanā paṭhamā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๒๓๑. อุปาหนชาตกํ • 231. Upāhanajātakaṃ