Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya |
๘. อุปกฺกิเลสสุตฺตํ
8. Upakkilesasuttaṃ
๒๓๖. เอวํ เม สุตํ – เอกํ สมยํ ภควา โกสมฺพิยํ วิหรติ โฆสิตาราเมฯ เตน โข ปน สมเยน โกสมฺพิยํ ภิกฺขู ภณฺฑนชาตา กลหชาตา วิวาทาปนฺนา อญฺญมญฺญํ มุขสตฺตีหิ วิตุทนฺตา วิหรนฺติฯ อถ โข อญฺญตโร ภิกฺขุ เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ อฎฺฐาสิฯ เอกมนฺตํ ฐิโต โข โส ภิกฺขุ ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘อิธ, ภเนฺต, โกสมฺพิยํ ภิกฺขู ภณฺฑนชาตา กลหชาตา วิวาทาปนฺนา อญฺญมญฺญํ มุขสตฺตีหิ วิตุทนฺตา วิหรนฺติฯ สาธุ, ภเนฺต, ภควา เยน เต ภิกฺขู เตนุปสงฺกมตุ อนุกมฺปํ อุปาทายา’’ติฯ อธิวาเสสิ ภควา ตุณฺหีภาเวนฯ อถ โข ภควา เยน เต ภิกฺขู เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา เต ภิกฺขู เอตทโวจ – ‘‘อลํ, ภิกฺขเว, มา ภณฺฑนํ, มา กลหํ, มา วิคฺคหํ, มา วิวาท’’นฺติฯ
236. Evaṃ me sutaṃ – ekaṃ samayaṃ bhagavā kosambiyaṃ viharati ghositārāme. Tena kho pana samayena kosambiyaṃ bhikkhū bhaṇḍanajātā kalahajātā vivādāpannā aññamaññaṃ mukhasattīhi vitudantā viharanti. Atha kho aññataro bhikkhu yena bhagavā tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ aṭṭhāsi. Ekamantaṃ ṭhito kho so bhikkhu bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘idha, bhante, kosambiyaṃ bhikkhū bhaṇḍanajātā kalahajātā vivādāpannā aññamaññaṃ mukhasattīhi vitudantā viharanti. Sādhu, bhante, bhagavā yena te bhikkhū tenupasaṅkamatu anukampaṃ upādāyā’’ti. Adhivāsesi bhagavā tuṇhībhāvena. Atha kho bhagavā yena te bhikkhū tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā te bhikkhū etadavoca – ‘‘alaṃ, bhikkhave, mā bhaṇḍanaṃ, mā kalahaṃ, mā viggahaṃ, mā vivāda’’nti.
เอวํ วุเตฺต, อญฺญตโร ภิกฺขุ ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘อาคเมตุ, ภเนฺต! ภควา ธมฺมสฺสามี; อโปฺปสฺสุโกฺก, ภเนฺต, ภควา ทิฎฺฐธมฺมสุขวิหารํ อนุยุโตฺต วิหรตุ; มยเมเตน ภณฺฑเนน กลเหน วิคฺคเหน วิวาเทน ปญฺญายิสฺสามา’’ติฯ ทุติยมฺปิ โข ภควา เต ภิกฺขู เอตทโวจ – ‘‘อลํ, ภิกฺขเว, มา ภณฺฑนํ, มา กลหํ, มา วิคฺคหํ, มา วิวาท’’นฺติฯ ทุติยมฺปิ โข โส ภิกฺขุ ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘อาคเมตุ, ภเนฺต! ภควา ธมฺมสฺสามี; อโปฺปสฺสุโกฺก, ภเนฺต, ภควา ทิฎฺฐธมฺมสุขวิหารํ อนุยุโตฺต วิหรตุ; มยเมเตน ภณฺฑเนน กลเหน วิคฺคเหน วิวาเทน ปญฺญายิสฺสามา’’ติฯ ตติยมฺปิ โข ภควา เต ภิกฺขู เอตทโวจ – ‘‘อลํ, ภิกฺขเว, มา ภณฺฑนํ, มา กลหํ, มา วิคฺคหํ, มา วิวาท’’นฺติฯ ตติยมฺปิ โข โส ภิกฺขุ ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘อาคเมตุ, ภเนฺต, ภควา ธมฺมสฺสามี; อโปฺปสฺสุโกฺก, ภเนฺต, ภควา ทิฎฺฐธมฺมสุขวิหารํ อนุยุโตฺต วิหรตุ; มยเมเตน ภณฺฑเนน กลเหน วิคฺคเหน วิวาเทน ปญฺญายิสฺสามา’’ติฯ
Evaṃ vutte, aññataro bhikkhu bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘āgametu, bhante! Bhagavā dhammassāmī; appossukko, bhante, bhagavā diṭṭhadhammasukhavihāraṃ anuyutto viharatu; mayametena bhaṇḍanena kalahena viggahena vivādena paññāyissāmā’’ti. Dutiyampi kho bhagavā te bhikkhū etadavoca – ‘‘alaṃ, bhikkhave, mā bhaṇḍanaṃ, mā kalahaṃ, mā viggahaṃ, mā vivāda’’nti. Dutiyampi kho so bhikkhu bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘āgametu, bhante! Bhagavā dhammassāmī; appossukko, bhante, bhagavā diṭṭhadhammasukhavihāraṃ anuyutto viharatu; mayametena bhaṇḍanena kalahena viggahena vivādena paññāyissāmā’’ti. Tatiyampi kho bhagavā te bhikkhū etadavoca – ‘‘alaṃ, bhikkhave, mā bhaṇḍanaṃ, mā kalahaṃ, mā viggahaṃ, mā vivāda’’nti. Tatiyampi kho so bhikkhu bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘āgametu, bhante, bhagavā dhammassāmī; appossukko, bhante, bhagavā diṭṭhadhammasukhavihāraṃ anuyutto viharatu; mayametena bhaṇḍanena kalahena viggahena vivādena paññāyissāmā’’ti.
อถ โข ภควา ปุพฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย โกสมฺพิํ ปิณฺฑาย ปาวิสิฯ โกสมฺพิยํ ปิณฺฑาย จริตฺวา ปจฺฉาภตฺตํ ปิณฺฑปาตปฎิกฺกโนฺต เสนาสนํ สํสาเมตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย ฐิตโกว อิมา คาถา อภาสิ –
Atha kho bhagavā pubbaṇhasamayaṃ nivāsetvā pattacīvaramādāya kosambiṃ piṇḍāya pāvisi. Kosambiyaṃ piṇḍāya caritvā pacchābhattaṃ piṇḍapātapaṭikkanto senāsanaṃ saṃsāmetvā pattacīvaramādāya ṭhitakova imā gāthā abhāsi –
๒๓๗.
237.
‘‘ปุถุสโทฺท สมชโน, น พาโล โกจิ มญฺญถ;
‘‘Puthusaddo samajano, na bālo koci maññatha;
สงฺฆสฺมิํ ภิชฺชมานสฺมิํ, นาญฺญํ ภิโยฺย อมญฺญรุํฯ
Saṅghasmiṃ bhijjamānasmiṃ, nāññaṃ bhiyyo amaññaruṃ.
‘‘ปริมุฎฺฐา ปณฺฑิตาภาสา, วาจาโคจรภาณิโน;
‘‘Parimuṭṭhā paṇḍitābhāsā, vācāgocarabhāṇino;
ยาวิจฺฉนฺติ มุขายามํ, เยน นีตา น ตํ วิทูฯ
Yāvicchanti mukhāyāmaṃ, yena nītā na taṃ vidū.
‘‘อโกฺกจฺฉิ มํ อวธิ มํ, อชินิ มํ อหาสิ เม;
‘‘Akkocchi maṃ avadhi maṃ, ajini maṃ ahāsi me;
เย จ ตํ อุปนยฺหนฺติ, เวรํ เตสํ น สมฺมติฯ
Ye ca taṃ upanayhanti, veraṃ tesaṃ na sammati.
‘‘อโกฺกจฺฉิ มํ อวธิ มํ, อชินิ มํ อหาสิ เม;
‘‘Akkocchi maṃ avadhi maṃ, ajini maṃ ahāsi me;
เย จ ตํ นุปนยฺหนฺติ, เวรํ เตสูปสมฺมติฯ
Ye ca taṃ nupanayhanti, veraṃ tesūpasammati.
‘‘น หิ เวเรน เวรานิ, สมฺมนฺตีธ กุทาจนํ;
‘‘Na hi verena verāni, sammantīdha kudācanaṃ;
อเวเรน จ สมฺมนฺติ, เอส ธโมฺม สนนฺตโนฯ
Averena ca sammanti, esa dhammo sanantano.
‘‘ปเร จ น วิชานนฺติ, มยเมตฺถ ยมามเส;
‘‘Pare ca na vijānanti, mayamettha yamāmase;
เย จ ตตฺถ วิชานนฺติ, ตโต สมฺมนฺติ เมธคาฯ
Ye ca tattha vijānanti, tato sammanti medhagā.
‘‘อฎฺฐิจฺฉินฺนา ปาณหรา, ควสฺสธนหาริโน;
‘‘Aṭṭhicchinnā pāṇaharā, gavassadhanahārino;
รฎฺฐํ วิลุมฺปมานานํ, เตสมฺปิ โหติ สงฺคติ;
Raṭṭhaṃ vilumpamānānaṃ, tesampi hoti saṅgati;
กสฺมา ตุมฺหากํ โน สิยาฯ
Kasmā tumhākaṃ no siyā.
‘‘สเจ ลเภถ นิปกํ สหายํ,
‘‘Sace labhetha nipakaṃ sahāyaṃ,
สทฺธิํ จรํ สาธุวิหาริ ธีรํ;
Saddhiṃ caraṃ sādhuvihāri dhīraṃ;
อภิภุยฺย สพฺพานิ ปริสฺสยานิ,
Abhibhuyya sabbāni parissayāni,
จเรยฺย เตนตฺตมโน สตีมาฯ
Careyya tenattamano satīmā.
‘‘โน เจ ลเภถ นิปกํ สหายํ,
‘‘No ce labhetha nipakaṃ sahāyaṃ,
สทฺธิํ จรํ สาธุวิหาริ ธีรํ;
Saddhiṃ caraṃ sādhuvihāri dhīraṃ;
ราชาว รฎฺฐํ วิชิตํ ปหาย,
Rājāva raṭṭhaṃ vijitaṃ pahāya,
เอโก จเร มาตงฺครเญฺญว นาโคฯ
Eko care mātaṅgaraññeva nāgo.
‘‘เอกสฺส จริตํ เสโยฺย, นตฺถิ พาเล สหายตา;
‘‘Ekassa caritaṃ seyyo, natthi bāle sahāyatā;
เอโก จเร น จ ปาปานิ กยิรา,
Eko care na ca pāpāni kayirā,
อโปฺปสฺสุโกฺก มาตงฺครเญฺญว นาโค’’ติฯ
Appossukko mātaṅgaraññeva nāgo’’ti.
๒๓๘. อถ โข ภควา ฐิตโกว อิมา คาถา ภาสิตฺวา เยน พาลกโลณการคาโม 1 เตนุปสงฺกมิฯ เตน โข ปน สมเยน อายสฺมา ภคุ พาลกโลณการคาเม วิหรติฯ อทฺทสา โข อายสฺมา ภคุ ภควนฺตํ ทูรโตว อาคจฺฉนฺตํฯ ทิสฺวาน อาสนํ ปญฺญเปสิ อุทกญฺจ ปาทานํ โธวนํ 2ฯ นิสีทิ ภควา ปญฺญเตฺต อาสเนฯ นิสชฺช ปาเท ปกฺขาเลสิฯ อายสฺมาปิ โข ภคุ ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺนํ โข อายสฺมนฺตํ ภคุํ ภควา เอตทโวจ – ‘‘กจฺจิ, ภิกฺขุ, ขมนียํ, กจฺจิ ยาปนียํ, กจฺจิ ปิณฺฑเกน น กิลมสี’’ติ? ‘‘ขมนียํ ภควา, ยาปนียํ ภควา, น จาหํ, ภเนฺต, ปิณฺฑเกน กิลมามี’’ติฯ อถ โข ภควา อายสฺมนฺตํ ภคุํ ธมฺมิยา กถาย สนฺทเสฺสตฺวา สมาทเปตฺวา สมุเตฺตเชตฺวา สมฺปหํเสตฺวา อุฎฺฐายาสนา เยน ปาจีนวํสทาโย เตนุปสงฺกมิฯ
238. Atha kho bhagavā ṭhitakova imā gāthā bhāsitvā yena bālakaloṇakāragāmo 3 tenupasaṅkami. Tena kho pana samayena āyasmā bhagu bālakaloṇakāragāme viharati. Addasā kho āyasmā bhagu bhagavantaṃ dūratova āgacchantaṃ. Disvāna āsanaṃ paññapesi udakañca pādānaṃ dhovanaṃ 4. Nisīdi bhagavā paññatte āsane. Nisajja pāde pakkhālesi. Āyasmāpi kho bhagu bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinnaṃ kho āyasmantaṃ bhaguṃ bhagavā etadavoca – ‘‘kacci, bhikkhu, khamanīyaṃ, kacci yāpanīyaṃ, kacci piṇḍakena na kilamasī’’ti? ‘‘Khamanīyaṃ bhagavā, yāpanīyaṃ bhagavā, na cāhaṃ, bhante, piṇḍakena kilamāmī’’ti. Atha kho bhagavā āyasmantaṃ bhaguṃ dhammiyā kathāya sandassetvā samādapetvā samuttejetvā sampahaṃsetvā uṭṭhāyāsanā yena pācīnavaṃsadāyo tenupasaṅkami.
เตน โข ปน สมเยน อายสฺมา จ อนุรุโทฺธ อายสฺมา จ นนฺทิโย 5 อายสฺมา จ กิมิโล 6 ปาจีนวํสทาเย วิหรนฺติฯ อทฺทสา โข ทายปาโล ภควนฺตํ ทูรโตว อาคจฺฉนฺตํฯ ทิสฺวาน ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘มา, มหาสมณ, เอตํ ทายํ ปาวิสิฯ สเนฺตตฺถ ตโย กุลปุตฺตา อตฺตกามรูปา วิหรนฺติฯ มา เตสํ อผาสุมกาสี’’ติฯ อโสฺสสิ โข อายสฺมา อนุรุโทฺธ ทายปาลสฺส ภควตา สทฺธิํ มนฺตยมานสฺสฯ สุตฺวาน ทายปาลํ เอตทโวจ – ‘‘มา, อาวุโส ทายปาล, ภควนฺตํ วาเรสิฯ สตฺถา โน ภควา อนุปฺปโตฺต’’ติฯ
Tena kho pana samayena āyasmā ca anuruddho āyasmā ca nandiyo 7 āyasmā ca kimilo 8 pācīnavaṃsadāye viharanti. Addasā kho dāyapālo bhagavantaṃ dūratova āgacchantaṃ. Disvāna bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘mā, mahāsamaṇa, etaṃ dāyaṃ pāvisi. Santettha tayo kulaputtā attakāmarūpā viharanti. Mā tesaṃ aphāsumakāsī’’ti. Assosi kho āyasmā anuruddho dāyapālassa bhagavatā saddhiṃ mantayamānassa. Sutvāna dāyapālaṃ etadavoca – ‘‘mā, āvuso dāyapāla, bhagavantaṃ vāresi. Satthā no bhagavā anuppatto’’ti.
๒๓๙. อถ โข อายสฺมา อนุรุโทฺธ เยนายสฺมา จ นนฺทิโย เยนายสฺมา จ กิมิโล เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมนฺตญฺจ นนฺทิยํ อายสฺมนฺตญฺจ กิมิลํ เอตทโวจ – ‘‘อภิกฺกมถายสฺมโนฺต, อภิกฺกมถายสฺมโนฺต, สตฺถา โน ภควา อนุปฺปโตฺต’’ติฯ อถ โข อายสฺมา จ อนุรุโทฺธ อายสฺมา จ นนฺทิโย อายสฺมา จ กิมิโล ภควนฺตํ ปจฺจุคฺคนฺตฺวา เอโก ภควโต ปตฺตจีวรํ ปฎิคฺคเหสิ, เอโก อาสนํ ปญฺญเปสิ, เอโก ปาโททกํ อุปฎฺฐเปสิฯ นิสีทิ ภควา ปญฺญเตฺต อาสเนฯ นิสชฺช ปาเท ปกฺขาเลสิฯ เตปิ โข อายสฺมโนฺต ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิํสุฯ เอกมนฺตํ นิสินฺนํ โข อายสฺมนฺตํ อนุรุทฺธํ ภควา เอตทโวจ – ‘‘กจฺจิ โว, อนุรุทฺธา, ขมนียํ, กจฺจิ ยาปนียํ, กจฺจิ ปิณฺฑเกน น กิลมถา’’ติ? ‘‘ขมนียํ ภควา, ยาปนียํ ภควา, น จ มยํ, ภเนฺต, ปิณฺฑเกน กิลมามา’’ติฯ ‘‘กจฺจิ ปน โว, อนุรุทฺธา, สมคฺคา สโมฺมทมานา อวิวทมานา ขีโรทกีภูตา อญฺญมญฺญํ ปิยจกฺขูหิ สมฺปสฺสนฺตา วิหรถา’’ติ? ‘‘ตคฺฆ มยํ, ภเนฺต, สมคฺคา สโมฺมทมานา อวิวทมานา ขีโรทกีภูตา อญฺญมญฺญํ ปิยจกฺขูหิ สมฺปสฺสนฺตา วิหรามา’’ติฯ ‘‘ยถา กถํ ปน ตุเมฺห, อนุรุทฺธา, สมคฺคา สโมฺมทมานา อวิวทมานา ขีโรทกีภูตา อญฺญมญฺญํ ปิยจกฺขูหิ สมฺปสฺสนฺตา วิหรถา’’ติ? ‘‘อิธ มยฺหํ, ภเนฺต, เอวํ โหติ – ‘ลาภา วต เม, สุลทฺธํ วต เม โยหํ เอวรูเปหิ สพฺรหฺมจารีหิ สทฺธิํ วิหรามี’ติฯ ตสฺส มยฺหํ, ภเนฺต, อิเมสุ อายสฺมเนฺตสุ เมตฺตํ กายกมฺมํ ปจฺจุปฎฺฐิตํ อาวิ เจว รโห จ, เมตฺตํ วจีกมฺมํ ปจฺจุปฎฺฐิตํ อาวิ เจว รโห จ, เมตฺตํ มโนกมฺมํ ปจฺจุปฎฺฐิตํ อาวิ เจว รโห จฯ ตสฺส, มยฺหํ, ภเนฺต, เอวํ โหติ – ‘ยํนูนาหํ สกํ จิตฺตํ นิกฺขิปิตฺวา อิเมสํเยว อายสฺมนฺตานํ จิตฺตสฺส วเสน วเตฺตยฺย’นฺติฯ โส โข อหํ, ภเนฺต, สกํ จิตฺตํ นิกฺขิปิตฺวา อิเมสํเยว อายสฺมนฺตานํ จิตฺตสฺส วเสน วตฺตามิฯ นานา หิ โข โน, ภเนฺต, กายา, เอกญฺจ ปน มเญฺญ จิตฺต’’นฺติฯ
239. Atha kho āyasmā anuruddho yenāyasmā ca nandiyo yenāyasmā ca kimilo tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā āyasmantañca nandiyaṃ āyasmantañca kimilaṃ etadavoca – ‘‘abhikkamathāyasmanto, abhikkamathāyasmanto, satthā no bhagavā anuppatto’’ti. Atha kho āyasmā ca anuruddho āyasmā ca nandiyo āyasmā ca kimilo bhagavantaṃ paccuggantvā eko bhagavato pattacīvaraṃ paṭiggahesi, eko āsanaṃ paññapesi, eko pādodakaṃ upaṭṭhapesi. Nisīdi bhagavā paññatte āsane. Nisajja pāde pakkhālesi. Tepi kho āyasmanto bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ nisīdiṃsu. Ekamantaṃ nisinnaṃ kho āyasmantaṃ anuruddhaṃ bhagavā etadavoca – ‘‘kacci vo, anuruddhā, khamanīyaṃ, kacci yāpanīyaṃ, kacci piṇḍakena na kilamathā’’ti? ‘‘Khamanīyaṃ bhagavā, yāpanīyaṃ bhagavā, na ca mayaṃ, bhante, piṇḍakena kilamāmā’’ti. ‘‘Kacci pana vo, anuruddhā, samaggā sammodamānā avivadamānā khīrodakībhūtā aññamaññaṃ piyacakkhūhi sampassantā viharathā’’ti? ‘‘Taggha mayaṃ, bhante, samaggā sammodamānā avivadamānā khīrodakībhūtā aññamaññaṃ piyacakkhūhi sampassantā viharāmā’’ti. ‘‘Yathā kathaṃ pana tumhe, anuruddhā, samaggā sammodamānā avivadamānā khīrodakībhūtā aññamaññaṃ piyacakkhūhi sampassantā viharathā’’ti? ‘‘Idha mayhaṃ, bhante, evaṃ hoti – ‘lābhā vata me, suladdhaṃ vata me yohaṃ evarūpehi sabrahmacārīhi saddhiṃ viharāmī’ti. Tassa mayhaṃ, bhante, imesu āyasmantesu mettaṃ kāyakammaṃ paccupaṭṭhitaṃ āvi ceva raho ca, mettaṃ vacīkammaṃ paccupaṭṭhitaṃ āvi ceva raho ca, mettaṃ manokammaṃ paccupaṭṭhitaṃ āvi ceva raho ca. Tassa, mayhaṃ, bhante, evaṃ hoti – ‘yaṃnūnāhaṃ sakaṃ cittaṃ nikkhipitvā imesaṃyeva āyasmantānaṃ cittassa vasena vatteyya’nti. So kho ahaṃ, bhante, sakaṃ cittaṃ nikkhipitvā imesaṃyeva āyasmantānaṃ cittassa vasena vattāmi. Nānā hi kho no, bhante, kāyā, ekañca pana maññe citta’’nti.
อายสฺมาปิ โข นนฺทิโย…เป.… อายสฺมาปิ โข กิมิโล ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘มยฺหมฺปิ โข, ภเนฺต, เอวํ โหติ – ‘ลาภา วต เม, สุลทฺธํ วต เม โยหํ เอวรูเปหิ สพฺรหฺมจารีหิ สทฺธิํ วิหรามี’ติฯ ตสฺส มยฺหํ, ภเนฺต, อิเมสุ อายสฺมเนฺตสุ เมตฺตํ กายกมฺมํ ปจฺจุปฎฺฐิตํ อาวิ เจว รโห จ, เมตฺตํ วจีกมฺมํ ปจฺจุปฎฺฐิตํ อาวิ เจว รโห จ, เมตฺตํ มโนกมฺมํ ปจฺจุปฎฺฐิตํ อาวิ เจว รโห จฯ ตสฺส มยฺหํ, ภเนฺต, เอวํ โหติ – ‘ยํนูนาหํ สกํ จิตฺตํ นิกฺขิปิตฺวา อิเมสํเยว อายสฺมนฺตานํ จิตฺตสฺส วเสน วเตฺตยฺย’นฺติฯ โส โข อหํ, ภเนฺต, สกํ จิตฺตํ นิกฺขิปิตฺวา อิเมสํเยว อายสฺมนฺตานํ จิตฺตสฺส วเสน วตฺตามิฯ นานา หิ โข โน, ภเนฺต, กายา, เอกญฺจ ปน มเญฺญ จิตฺตนฺติฯ เอวํ โข มยํ, ภเนฺต, สมคฺคา สโมฺมทมานา อวิวทมานา ขีโรทกีภูตา อญฺญมญฺญํ ปิยจกฺขูหิ สมฺปสฺสนฺตา วิหรามา’’ติฯ
Āyasmāpi kho nandiyo…pe… āyasmāpi kho kimilo bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘mayhampi kho, bhante, evaṃ hoti – ‘lābhā vata me, suladdhaṃ vata me yohaṃ evarūpehi sabrahmacārīhi saddhiṃ viharāmī’ti. Tassa mayhaṃ, bhante, imesu āyasmantesu mettaṃ kāyakammaṃ paccupaṭṭhitaṃ āvi ceva raho ca, mettaṃ vacīkammaṃ paccupaṭṭhitaṃ āvi ceva raho ca, mettaṃ manokammaṃ paccupaṭṭhitaṃ āvi ceva raho ca. Tassa mayhaṃ, bhante, evaṃ hoti – ‘yaṃnūnāhaṃ sakaṃ cittaṃ nikkhipitvā imesaṃyeva āyasmantānaṃ cittassa vasena vatteyya’nti. So kho ahaṃ, bhante, sakaṃ cittaṃ nikkhipitvā imesaṃyeva āyasmantānaṃ cittassa vasena vattāmi. Nānā hi kho no, bhante, kāyā, ekañca pana maññe cittanti. Evaṃ kho mayaṃ, bhante, samaggā sammodamānā avivadamānā khīrodakībhūtā aññamaññaṃ piyacakkhūhi sampassantā viharāmā’’ti.
๒๔๐. ‘‘สาธุ, สาธุ, อนุรุทฺธา! กจฺจิ ปน โว, อนุรุทฺธา, อปฺปมตฺตา อาตาปิโน ปหิตตฺตา วิหรถา’’ติ? ‘‘ตคฺฆ มยํ, ภเนฺต, อปฺปมตฺตา อาตาปิโน ปหิตตฺตา วิหรามา’’ติฯ ‘‘ยถา กถํ ปน ตุเมฺห, อนุรุทฺธา, อปฺปมตฺตา อาตาปิโน ปหิตตฺตา วิหรถา’’ติ? ‘‘อิธ, ภเนฺต, อมฺหากํ โย ปฐมํ คามโต ปิณฺฑาย ปฎิกฺกมติ, โส อาสนานิ ปญฺญเปติ, ปานียํ ปริโภชนียํ อุปฎฺฐาเปติ, อวกฺการปาติํ อุปฎฺฐาเปติฯ โย ปจฺฉา คามโต ปิณฺฑาย ปฎิกฺกมติ – สเจ โหติ ภุตฺตาวเสโส, สเจ อากงฺขติ, ภุญฺชติ; โน เจ อากงฺขติ, อปฺปหริเต วา ฉเฑฺฑติ อปาณเก วา อุทเก โอปิลาเปติ – โส อาสนานิ ปฎิสาเมติ, ปานียํ ปริโภชนียํ ปฎิสาเมติ, อวกฺการปาติํ โธวิตฺวา ปฎิสาเมติ, ภตฺตคฺคํ สมฺมชฺชติฯ โย ปสฺสติ ปานียฆฎํ วา ปริโภชนียฆฎํ วา วจฺจฆฎํ วา ริตฺตํ ตุจฺฉํ โส อุปฎฺฐาเปติฯ สจสฺส โหติ อวิสยฺหํ, หตฺถวิกาเรน ทุติยํ อามเนฺตตฺวา หตฺถวิลงฺฆเกน อุปฎฺฐาเปม 9, น เตฺวว มยํ, ภเนฺต, ตปฺปจฺจยา วาจํ ภินฺทามฯ ปญฺจาหิกํ โข ปน มยํ, ภเนฺต, สพฺพรตฺติํ ธมฺมิยา กถาย สนฺนิสีทามฯ เอวํ โข มยํ, ภเนฺต, อปฺปมตฺตา อาตาปิโน ปหิตตฺตา วิหรามา’’ติฯ
240. ‘‘Sādhu, sādhu, anuruddhā! Kacci pana vo, anuruddhā, appamattā ātāpino pahitattā viharathā’’ti? ‘‘Taggha mayaṃ, bhante, appamattā ātāpino pahitattā viharāmā’’ti. ‘‘Yathā kathaṃ pana tumhe, anuruddhā, appamattā ātāpino pahitattā viharathā’’ti? ‘‘Idha, bhante, amhākaṃ yo paṭhamaṃ gāmato piṇḍāya paṭikkamati, so āsanāni paññapeti, pānīyaṃ paribhojanīyaṃ upaṭṭhāpeti, avakkārapātiṃ upaṭṭhāpeti. Yo pacchā gāmato piṇḍāya paṭikkamati – sace hoti bhuttāvaseso, sace ākaṅkhati, bhuñjati; no ce ākaṅkhati, appaharite vā chaḍḍeti apāṇake vā udake opilāpeti – so āsanāni paṭisāmeti, pānīyaṃ paribhojanīyaṃ paṭisāmeti, avakkārapātiṃ dhovitvā paṭisāmeti, bhattaggaṃ sammajjati. Yo passati pānīyaghaṭaṃ vā paribhojanīyaghaṭaṃ vā vaccaghaṭaṃ vā rittaṃ tucchaṃ so upaṭṭhāpeti. Sacassa hoti avisayhaṃ, hatthavikārena dutiyaṃ āmantetvā hatthavilaṅghakena upaṭṭhāpema 10, na tveva mayaṃ, bhante, tappaccayā vācaṃ bhindāma. Pañcāhikaṃ kho pana mayaṃ, bhante, sabbarattiṃ dhammiyā kathāya sannisīdāma. Evaṃ kho mayaṃ, bhante, appamattā ātāpino pahitattā viharāmā’’ti.
๒๔๑. ‘‘สาธุ, สาธุ, อนุรุทฺธา! อตฺถิ ปน โว, อนุรุทฺธา, เอวํ อปฺปมตฺตานํ อาตาปีนํ ปหิตตฺตานํ วิหรตํ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสโส อธิคโต ผาสุวิหาโร’’ติ? ‘‘อิธ มยํ, ภเนฺต, อปฺปมตฺตา อาตาปิโน ปหิตตฺตา วิหรนฺตา โอภาสเญฺจว สญฺชานาม ทสฺสนญฺจ รูปานํฯ โส โข ปน โน โอภาโส นจิรเสฺสว อนฺตรธายติ ทสฺสนญฺจ รูปานํ; ตญฺจ นิมิตฺตํ นปฺปฎิวิชฺฌามา’’ติฯ
241. ‘‘Sādhu, sādhu, anuruddhā! Atthi pana vo, anuruddhā, evaṃ appamattānaṃ ātāpīnaṃ pahitattānaṃ viharataṃ uttarimanussadhammā alamariyañāṇadassanaviseso adhigato phāsuvihāro’’ti? ‘‘Idha mayaṃ, bhante, appamattā ātāpino pahitattā viharantā obhāsañceva sañjānāma dassanañca rūpānaṃ. So kho pana no obhāso nacirasseva antaradhāyati dassanañca rūpānaṃ; tañca nimittaṃ nappaṭivijjhāmā’’ti.
‘‘ตํ โข ปน โว, อนุรุทฺธา, นิมิตฺตํ ปฎิวิชฺฌิตพฺพํฯ อหมฺปิ สุทํ, อนุรุทฺธา, ปุเพฺพว สโมฺพธา อนภิสมฺพุโทฺธ โพธิสโตฺตว สมาโน โอภาสเญฺจว สญฺชานามิ ทสฺสนญฺจ รูปานํฯ โส โข ปน เม โอภาโส นจิรเสฺสว อนฺตรธายติ ทสฺสนญฺจ รูปานํฯ ตสฺส มยฺหํ, อนุรุทฺธา, เอตทโหสิ – ‘โก นุ โข เหตุ โก ปจฺจโย เยน เม โอภาโส อนฺตรธายติ ทสฺสนญฺจ รูปาน’นฺติ? ตสฺส มยฺหํ, อนุรุทฺธา, เอตทโหสิ – ‘วิจิกิจฺฉา โข เม อุทปาทิ, วิจิกิจฺฉาธิกรณญฺจ ปน เม สมาธิ จวิฯ สมาธิมฺหิ จุเต โอภาโส อนฺตรธายติ ทสฺสนญฺจ รูปานํฯ โสหํ ตถา กริสฺสามิ ยถา เม ปุน น วิจิกิจฺฉา อุปฺปชฺชิสฺสตี’’’ติฯ
‘‘Taṃ kho pana vo, anuruddhā, nimittaṃ paṭivijjhitabbaṃ. Ahampi sudaṃ, anuruddhā, pubbeva sambodhā anabhisambuddho bodhisattova samāno obhāsañceva sañjānāmi dassanañca rūpānaṃ. So kho pana me obhāso nacirasseva antaradhāyati dassanañca rūpānaṃ. Tassa mayhaṃ, anuruddhā, etadahosi – ‘ko nu kho hetu ko paccayo yena me obhāso antaradhāyati dassanañca rūpāna’nti? Tassa mayhaṃ, anuruddhā, etadahosi – ‘vicikicchā kho me udapādi, vicikicchādhikaraṇañca pana me samādhi cavi. Samādhimhi cute obhāso antaradhāyati dassanañca rūpānaṃ. Sohaṃ tathā karissāmi yathā me puna na vicikicchā uppajjissatī’’’ti.
‘‘โส โข อหํ, อนุรุทฺธา, อปฺปมโตฺต อาตาปี ปหิตโตฺต วิหรโนฺต โอภาสเญฺจว สญฺชานามิ ทสฺสนญฺจ รูปานํฯ โส โข ปน เม โอภาโส นจิรเสฺสว อนฺตรธายติ ทสฺสนญฺจ รูปานํฯ ตสฺส มยฺหํ, อนุรุทฺธา, เอตทโหสิ – ‘โก นุ โข เหตุ โก ปจฺจโย เยน เม โอภาโส อนฺตรธายติ ทสฺสนญฺจ รูปาน’นฺติ? ตสฺส มยฺหํ, อนุรุทฺธา, เอตทโหสิ – ‘อมนสิกาโร โข เม อุทปาทิ, อมนสิการาธิกรณญฺจ ปน เม สมาธิ จวิฯ สมาธิมฺหิ จุเต โอภาโส อนฺตรธายติ ทสฺสนญฺจ รูปานํฯ โสหํ ตถา กริสฺสามิ ยถา เม ปุน น วิจิกิจฺฉา อุปฺปชฺชิสฺสติ น อมนสิกาโร’’’ติฯ
‘‘So kho ahaṃ, anuruddhā, appamatto ātāpī pahitatto viharanto obhāsañceva sañjānāmi dassanañca rūpānaṃ. So kho pana me obhāso nacirasseva antaradhāyati dassanañca rūpānaṃ. Tassa mayhaṃ, anuruddhā, etadahosi – ‘ko nu kho hetu ko paccayo yena me obhāso antaradhāyati dassanañca rūpāna’nti? Tassa mayhaṃ, anuruddhā, etadahosi – ‘amanasikāro kho me udapādi, amanasikārādhikaraṇañca pana me samādhi cavi. Samādhimhi cute obhāso antaradhāyati dassanañca rūpānaṃ. Sohaṃ tathā karissāmi yathā me puna na vicikicchā uppajjissati na amanasikāro’’’ti.
‘‘โส โข อหํ, อนุรุทฺธา…เป.… ตสฺส มยฺหํ, อนุรุทฺธา, เอตทโหสิ – ‘ถินมิทฺธํ โข เม อุทปาทิ, ถินมิทฺธาธิกรณญฺจ ปน เม สมาธิ จวิฯ สมาธิมฺหิ จุเต โอภาโส อนฺตรธายติ ทสฺสนญฺจ รูปานํฯ โสหํ ตถา กริสฺสามิ ยถา เม ปุน น วิจิกิจฺฉา อุปฺปชฺชิสฺสติ น อมนสิกาโร น ถินมิทฺธ’’’นฺติฯ
‘‘So kho ahaṃ, anuruddhā…pe… tassa mayhaṃ, anuruddhā, etadahosi – ‘thinamiddhaṃ kho me udapādi, thinamiddhādhikaraṇañca pana me samādhi cavi. Samādhimhi cute obhāso antaradhāyati dassanañca rūpānaṃ. Sohaṃ tathā karissāmi yathā me puna na vicikicchā uppajjissati na amanasikāro na thinamiddha’’’nti.
‘‘โส โข อหํ, อนุรุทฺธา…เป.… ตสฺส มยฺหํ, อนุรุทฺธา, เอตทโหสิ – ‘ฉมฺภิตตฺตํ โข เม อุทปาทิ, ฉมฺภิตตฺตาธิกรณญฺจ ปน เม สมาธิ จวิฯ สมาธิมฺหิ จุเต โอภาโส อนฺตรธายติ ทสฺสนญฺจ รูปานํฯ เสยฺยถาปิ, อนุรุทฺธา, ปุริโส อทฺธานมคฺคปฺปฎิปโนฺน, ตสฺส อุภโตปเสฺส วฎฺฎกา 11 อุปฺปเตยฺยุํ, ตสฺส ตโตนิทานํ ฉมฺภิตตฺตํ อุปฺปเชฺชยฺย; เอวเมว โข เม, อนุรุทฺธา, ฉมฺภิตตฺตํ อุทปาทิ, ฉมฺภิตตฺตาธิกรณญฺจ ปน เม สมาธิ จวิฯ สมาธิมฺหิ จุเต โอภาโส อนฺตรธายติ ทสฺสนญฺจ รูปานํฯ โสหํ ตถา กริสฺสามิ ยถา เม ปุน น วิจิกิจฺฉา อุปฺปชฺชิสฺสติ น อมนสิกาโร น ถินมิทฺธํ น ฉมฺภิตตฺต’’’นฺติฯ
‘‘So kho ahaṃ, anuruddhā…pe… tassa mayhaṃ, anuruddhā, etadahosi – ‘chambhitattaṃ kho me udapādi, chambhitattādhikaraṇañca pana me samādhi cavi. Samādhimhi cute obhāso antaradhāyati dassanañca rūpānaṃ. Seyyathāpi, anuruddhā, puriso addhānamaggappaṭipanno, tassa ubhatopasse vaṭṭakā 12 uppateyyuṃ, tassa tatonidānaṃ chambhitattaṃ uppajjeyya; evameva kho me, anuruddhā, chambhitattaṃ udapādi, chambhitattādhikaraṇañca pana me samādhi cavi. Samādhimhi cute obhāso antaradhāyati dassanañca rūpānaṃ. Sohaṃ tathā karissāmi yathā me puna na vicikicchā uppajjissati na amanasikāro na thinamiddhaṃ na chambhitatta’’’nti.
‘‘โส โข อหํ, อนุรุทฺธา…เป.… ตสฺส มยฺหํ, อนุรุทฺธา, เอตทโหสิ – ‘อุปฺปิลํ 13 โข เม อุทปาทิ, อุปฺปิลาธิกรณญฺจ ปน เม สมาธิ จวิฯ สมาธิมฺหิ จุเต โอภาโส อนฺตรธายติ ทสฺสนญฺจ รูปานํ ฯ เสยฺยถาปิ, อนุรุทฺธา, ปุริโส เอกํ นิธิมุขํ คเวสโนฺต สกิเทว ปญฺจนิธิมุขานิ อธิคเจฺฉยฺย, ตสฺส ตโตนิทานํ อุปฺปิลํ อุปฺปเชฺชยฺย; เอวเมว โข เม, อนุรุทฺธา, อุปฺปิลํ อุทปาทิ, อุปฺปิลาธิกรณญฺจ ปน เม สมาธิ จวิฯ สมาธิมฺหิ จุเต โอภาโส อนฺตรธายติ ทสฺสนญฺจ รูปานํฯ โสหํ ตถา กริสฺสามิ ยถา เม ปุน น วิจิกิจฺฉา อุปฺปชฺชิสฺสติ, น อมนสิกาโร, น ถินมิทฺธํ, น ฉมฺภิตตฺตํ, น อุปฺปิล’’’นฺติฯ
‘‘So kho ahaṃ, anuruddhā…pe… tassa mayhaṃ, anuruddhā, etadahosi – ‘uppilaṃ 14 kho me udapādi, uppilādhikaraṇañca pana me samādhi cavi. Samādhimhi cute obhāso antaradhāyati dassanañca rūpānaṃ . Seyyathāpi, anuruddhā, puriso ekaṃ nidhimukhaṃ gavesanto sakideva pañcanidhimukhāni adhigaccheyya, tassa tatonidānaṃ uppilaṃ uppajjeyya; evameva kho me, anuruddhā, uppilaṃ udapādi, uppilādhikaraṇañca pana me samādhi cavi. Samādhimhi cute obhāso antaradhāyati dassanañca rūpānaṃ. Sohaṃ tathā karissāmi yathā me puna na vicikicchā uppajjissati, na amanasikāro, na thinamiddhaṃ, na chambhitattaṃ, na uppila’’’nti.
‘‘โส โข อหํ, อนุรุทฺธา…เป.… ตสฺส มยฺหํ, อนุรุทฺธา, เอตทโหสิ – ‘ทุฎฺฐุลฺลํ โข เม อุทปาทิ, ทุฎฺฐุลฺลาธิกรณญฺจ ปน เม สมาธิ จวิฯ สมาธิมฺหิ จุเต โอภาโส อนฺตรธายติ ทสฺสนญฺจ รูปานํฯ โสหํ ตถา กริสฺสามิ ยถา เม ปุน น วิจิกิจฺฉา อุปฺปชฺชิสฺสติ, น อมนสิกาโร, น ถินมิทฺธํ, น ฉมฺภิตตฺตํ, น อุปฺปิลํ, น ทุฎฺฐุลฺล’’’นฺติฯ
‘‘So kho ahaṃ, anuruddhā…pe… tassa mayhaṃ, anuruddhā, etadahosi – ‘duṭṭhullaṃ kho me udapādi, duṭṭhullādhikaraṇañca pana me samādhi cavi. Samādhimhi cute obhāso antaradhāyati dassanañca rūpānaṃ. Sohaṃ tathā karissāmi yathā me puna na vicikicchā uppajjissati, na amanasikāro, na thinamiddhaṃ, na chambhitattaṃ, na uppilaṃ, na duṭṭhulla’’’nti.
‘‘โส โข อหํ, อนุรุทฺธา…เป.… ตสฺส มยฺหํ, อนุรุทฺธา, เอตทโหสิ – ‘อจฺจารทฺธวีริยํ โข เม อุทปาทิ, อจฺจารทฺธวีริยาธิกรณญฺจ ปน เม สมาธิ จวิฯ สมาธิมฺหิ จุเต โอภาโส อนฺตรธายติ ทสฺสนญฺจ รูปานํฯ เสยฺยถาปิ, อนุรุทฺธา, ปุริโส อุโภหิ หเตฺถหิ วฎฺฎกํ คาฬฺหํ คเณฺหยฺย, โส ตเตฺถว ปตเมยฺย 15; เอวเมว โข เม, อนุรุทฺธา, อจฺจารทฺธวีริยํ อุทปาทิ, อจฺจารทฺธวีริยาธิกรณญฺจ ปน เม สมาธิ จวิฯ สมาธิมฺหิ จุเต โอภาโส อนฺตรธายติ ทสฺสนญฺจ รูปานํฯ โสหํ ตถา กริสฺสามิ ยถา เม ปุน น วิจิกิจฺฉา อุปฺปชฺชิสฺสติ, น อมนสิกาโร, น ถินมิทฺธํ, น ฉมฺภิตตฺตํ, น อุปฺปิลํ, น ทุฎฺฐุลฺลํ, น อจฺจารทฺธวีริย’’’นฺติฯ
‘‘So kho ahaṃ, anuruddhā…pe… tassa mayhaṃ, anuruddhā, etadahosi – ‘accāraddhavīriyaṃ kho me udapādi, accāraddhavīriyādhikaraṇañca pana me samādhi cavi. Samādhimhi cute obhāso antaradhāyati dassanañca rūpānaṃ. Seyyathāpi, anuruddhā, puriso ubhohi hatthehi vaṭṭakaṃ gāḷhaṃ gaṇheyya, so tattheva patameyya 16; evameva kho me, anuruddhā, accāraddhavīriyaṃ udapādi, accāraddhavīriyādhikaraṇañca pana me samādhi cavi. Samādhimhi cute obhāso antaradhāyati dassanañca rūpānaṃ. Sohaṃ tathā karissāmi yathā me puna na vicikicchā uppajjissati, na amanasikāro, na thinamiddhaṃ, na chambhitattaṃ, na uppilaṃ, na duṭṭhullaṃ, na accāraddhavīriya’’’nti.
‘‘โส โข อหํ, อนุรุทฺธา…เป.… ตสฺส มยฺหํ, อนุรุทฺธา, เอตทโหสิ – ‘อติลีนวีริยํ โข เม อุทปาทิ , อติลีนวีริยาธิกรณญฺจ ปน เม สมาธิ จวิฯ สมาธิมฺหิ จุเต โอภาโส อนฺตรธายติ ทสฺสนญฺจ รูปานํฯ เสยฺยถาปิ, อนุรุทฺธา, ปุริโส วฎฺฎกํ สิถิลํ คเณฺหยฺย, โส ตสฺส หตฺถโต อุปฺปเตยฺย; เอวเมว โข เม, อนุรุทฺธา, อติลีนวีริยํ อุทปาทิ, อติลีนวีริยาธิกรณญฺจ ปน เม สมาธิ จวิฯ สมาธิมฺหิ จุเต โอภาโส อนฺตรธายติ ทสฺสนญฺจ รูปานํฯ โสหํ ตถา กริสฺสามิ ยถา เม ปุน น วิจิกิจฺฉา อุปฺปชฺชิสฺสติ, น อมนสิกาโร, น ถินมิทฺธํ, น ฉมฺภิตตฺตํ, น อุปฺปิลํ, น ทุฎฺฐุลฺลํ, น อจฺจารทฺธวีริยํ, น อติลีนวีริย’’’นฺติฯ
‘‘So kho ahaṃ, anuruddhā…pe… tassa mayhaṃ, anuruddhā, etadahosi – ‘atilīnavīriyaṃ kho me udapādi , atilīnavīriyādhikaraṇañca pana me samādhi cavi. Samādhimhi cute obhāso antaradhāyati dassanañca rūpānaṃ. Seyyathāpi, anuruddhā, puriso vaṭṭakaṃ sithilaṃ gaṇheyya, so tassa hatthato uppateyya; evameva kho me, anuruddhā, atilīnavīriyaṃ udapādi, atilīnavīriyādhikaraṇañca pana me samādhi cavi. Samādhimhi cute obhāso antaradhāyati dassanañca rūpānaṃ. Sohaṃ tathā karissāmi yathā me puna na vicikicchā uppajjissati, na amanasikāro, na thinamiddhaṃ, na chambhitattaṃ, na uppilaṃ, na duṭṭhullaṃ, na accāraddhavīriyaṃ, na atilīnavīriya’’’nti.
‘‘โส โข อหํ, อนุรุทฺธา…เป.… ตสฺส มยฺหํ, อนุรุทฺธา, เอตทโหสิ – ‘อภิชปฺปา โข เม อุทปาทิ, อภิชปฺปาธิกรณญฺจ ปน เม สมาธิ จวิฯ สมาธิมฺหิ จุเต โอภาโส อนฺตรธายติ ทสฺสนญฺจ รูปานํฯ โสหํ ตถา กริสฺสามิ ยถา เม ปุน น วิจิกิจฺฉา อุปฺปชฺชิสฺสติ, น อมนสิกาโร, น ถินมิทฺธํ, น ฉมฺภิตตฺตํ, น อุปฺปิลํ, น ทุฎฺฐุลฺลํ, น อจฺจารทฺธวีริยํ, น อติลีนวีริยํ, น อภิชปฺปา’’’ติฯ
‘‘So kho ahaṃ, anuruddhā…pe… tassa mayhaṃ, anuruddhā, etadahosi – ‘abhijappā kho me udapādi, abhijappādhikaraṇañca pana me samādhi cavi. Samādhimhi cute obhāso antaradhāyati dassanañca rūpānaṃ. Sohaṃ tathā karissāmi yathā me puna na vicikicchā uppajjissati, na amanasikāro, na thinamiddhaṃ, na chambhitattaṃ, na uppilaṃ, na duṭṭhullaṃ, na accāraddhavīriyaṃ, na atilīnavīriyaṃ, na abhijappā’’’ti.
‘‘โส โข อหํ, อนุรุทฺธา…เป.… ตสฺส มยฺหํ, อนุรุทฺธา, เอตทโหสิ – ‘นานตฺตสญฺญา โข เม อุทปาทิ, นานตฺตสญฺญาธิกรณญฺจ ปน เม สมาธิ จวิฯ สมาธิมฺหิ จุเต โอภาโส อนฺตรธายติ ทสฺสนญฺจ รูปานํฯ โสหํ ตถา กริสฺสามิ ยถา เม ปุน น วิจิกิจฺฉา อุปฺปชฺชิสฺสติ, น อมนสิกาโร, น ถินมิทฺธํ, น ฉมฺภิตตฺตํ, น อุปฺปิลํ, น ทุฎฺฐุลฺลํ, น อจฺจารทฺธวีริยํ, น อติลีนวีริยํ, น อภิชปฺปา, น นานตฺตสญฺญา’’’ติฯ
‘‘So kho ahaṃ, anuruddhā…pe… tassa mayhaṃ, anuruddhā, etadahosi – ‘nānattasaññā kho me udapādi, nānattasaññādhikaraṇañca pana me samādhi cavi. Samādhimhi cute obhāso antaradhāyati dassanañca rūpānaṃ. Sohaṃ tathā karissāmi yathā me puna na vicikicchā uppajjissati, na amanasikāro, na thinamiddhaṃ, na chambhitattaṃ, na uppilaṃ, na duṭṭhullaṃ, na accāraddhavīriyaṃ, na atilīnavīriyaṃ, na abhijappā, na nānattasaññā’’’ti.
‘‘โส โข อหํ, อนุรุทฺธา, อปฺปมโตฺต อาตาปี ปหิตโตฺต วิหรโนฺต โอภาสเญฺจว สญฺชานามิ ทสฺสนญฺจ รูปานํฯ โส โข ปน เม โอภาโส นจิรเสฺสว อนฺตรธายติ ทสฺสนญฺจ รูปานํฯ ตสฺส มยฺหํ อนุรุทฺธา เอตทโหสิ – ‘โก นุ โข เหตุ โก ปจฺจโย เยน เม โอภาโส อนฺตรธายติ ทสฺสนญฺจ รูปาน’นฺติฯ ตสฺส มยฺหํ, อนุรุทฺธา, เอตทโหสิ – ‘อตินิชฺฌายิตตฺตํ โข เม รูปานํ อุทปาทิ, อตินิชฺฌายิตตฺตาธิกรณญฺจ ปน เม รูปานํ สมาธิ จวิฯ สมาธิมฺหิ จุเต โอภาโส อนฺตรธายติ ทสฺสนญฺจ รูปานํฯ โสหํ ตถา กริสฺสามิ ยถา เม ปุน น วิจิกิจฺฉา อุปฺปชฺชิสฺสติ, น อมนสิกาโร, น ถินมิทฺธํ, น ฉมฺภิตตฺตํ, น อุปฺปิลํ, น ทุฎฺฐุลฺลํ, น อจฺจารทฺธวีริยํ, น อติลีนวีริยํ, น อภิชปฺปา, น นานตฺตสญฺญา, น อตินิชฺฌายิตตฺตํ รูปาน’’’นฺติฯ
‘‘So kho ahaṃ, anuruddhā, appamatto ātāpī pahitatto viharanto obhāsañceva sañjānāmi dassanañca rūpānaṃ. So kho pana me obhāso nacirasseva antaradhāyati dassanañca rūpānaṃ. Tassa mayhaṃ anuruddhā etadahosi – ‘ko nu kho hetu ko paccayo yena me obhāso antaradhāyati dassanañca rūpāna’nti. Tassa mayhaṃ, anuruddhā, etadahosi – ‘atinijjhāyitattaṃ kho me rūpānaṃ udapādi, atinijjhāyitattādhikaraṇañca pana me rūpānaṃ samādhi cavi. Samādhimhi cute obhāso antaradhāyati dassanañca rūpānaṃ. Sohaṃ tathā karissāmi yathā me puna na vicikicchā uppajjissati, na amanasikāro, na thinamiddhaṃ, na chambhitattaṃ, na uppilaṃ, na duṭṭhullaṃ, na accāraddhavīriyaṃ, na atilīnavīriyaṃ, na abhijappā, na nānattasaññā, na atinijjhāyitattaṃ rūpāna’’’nti.
๒๔๒. ‘‘โส โข อหํ, อนุรุทฺธา, ‘วิจิกิจฺฉา จิตฺตสฺส อุปกฺกิเลโส’ติ – อิติ วิทิตฺวา วิจิกิจฺฉํ จิตฺตสฺส อุปกฺกิเลสํ ปชหิํ, ‘อมนสิกาโร จิตฺตสฺส อุปกฺกิเลโส’ติ – อิติ วิทิตฺวา อมนสิการํ จิตฺตสฺส อุปกฺกิเลสํ ปชหิํ, ‘ถินมิทฺธํ จิตฺตสฺส อุปกฺกิเลโส’ติ – อิติ วิทิตฺวา ถินมิทฺธํ จิตฺตสฺส อุปกฺกิเลสํ ปชหิํ, ‘ฉมฺภิตตฺตํ จิตฺตสฺส อุปกฺกิเลโส’ติ – อิติ วิทิตฺวา ฉมฺภิตตฺตํ จิตฺตสฺส อุปกฺกิเลสํ ปชหิํ, ‘อุปฺปิลํ จิตฺตสฺส อุปกฺกิเลโส’ติ – อิติ วิทิตฺวา อุปฺปิลํ จิตฺตสฺส อุปกฺกิเลสํ ปชหิํ, ‘ทุฎฺฐุลฺลํ จิตฺตสฺส อุปกฺกิเลโส’ติ – อิติ วิทิตฺวา ทุฎฺฐุลฺลํ จิตฺตสฺส อุปกฺกิเลสํ ปชหิํ, ‘อจฺจารทฺธวีริยํ จิตฺตสฺส อุปกฺกิเลโส’ติ – อิติ วิทิตฺวา อจฺจารทฺธวีริยํ จิตฺตสฺส อุปกฺกิเลสํ ปชหิํ, ‘อติลีนวีริยํ จิตฺตสฺส อุปกฺกิเลโส’ติ – อิติ วิทิตฺวา อติลีนวีริยํ จิตฺตสฺส อุปกฺกิเลสํ ปชหิํ, ‘อภิชปฺปา จิตฺตสฺส อุปกฺกิเลโส’ติ – อิติ วิทิตฺวา อภิชปฺปํ จิตฺตสฺส อุปกฺกิเลสํ ปชหิํ, ‘นานตฺตสญฺญา จิตฺตสฺส อุปกฺกิเลโส’ติ – อิติ วิทิตฺวา นานตฺตสญฺญํ จิตฺตสฺส อุปกฺกิเลสํ ปชหิํ, ‘อตินิชฺฌายิตตฺตํ รูปานํ จิตฺตสฺส อุปกฺกิเลโส’ติ – อิติ วิทิตฺวา อตินิชฺฌายิตตฺตํ รูปานํ จิตฺตสฺส อุปกฺกิเลสํ ปชหิํฯ
242. ‘‘So kho ahaṃ, anuruddhā, ‘vicikicchā cittassa upakkileso’ti – iti viditvā vicikicchaṃ cittassa upakkilesaṃ pajahiṃ, ‘amanasikāro cittassa upakkileso’ti – iti viditvā amanasikāraṃ cittassa upakkilesaṃ pajahiṃ, ‘thinamiddhaṃ cittassa upakkileso’ti – iti viditvā thinamiddhaṃ cittassa upakkilesaṃ pajahiṃ, ‘chambhitattaṃ cittassa upakkileso’ti – iti viditvā chambhitattaṃ cittassa upakkilesaṃ pajahiṃ, ‘uppilaṃ cittassa upakkileso’ti – iti viditvā uppilaṃ cittassa upakkilesaṃ pajahiṃ, ‘duṭṭhullaṃ cittassa upakkileso’ti – iti viditvā duṭṭhullaṃ cittassa upakkilesaṃ pajahiṃ, ‘accāraddhavīriyaṃ cittassa upakkileso’ti – iti viditvā accāraddhavīriyaṃ cittassa upakkilesaṃ pajahiṃ, ‘atilīnavīriyaṃ cittassa upakkileso’ti – iti viditvā atilīnavīriyaṃ cittassa upakkilesaṃ pajahiṃ, ‘abhijappā cittassa upakkileso’ti – iti viditvā abhijappaṃ cittassa upakkilesaṃ pajahiṃ, ‘nānattasaññā cittassa upakkileso’ti – iti viditvā nānattasaññaṃ cittassa upakkilesaṃ pajahiṃ, ‘atinijjhāyitattaṃ rūpānaṃ cittassa upakkileso’ti – iti viditvā atinijjhāyitattaṃ rūpānaṃ cittassa upakkilesaṃ pajahiṃ.
๒๔๓. ‘‘โส โข อหํ, อนุรุทฺธา, อปฺปมโตฺต อาตาปี ปหิตโตฺต วิหรโนฺต โอภาสญฺหิ โข สญฺชานามิ, น จ รูปานิ ปสฺสามิ; รูปานิ หิ โข ปสฺสามิ, น จ โอภาสํ สญฺชานามิ – ‘เกวลมฺปิ รตฺติํ, เกวลมฺปิ ทิวํ 17, เกวลมฺปิ รตฺตินฺทิวํ’ 18ฯ ตสฺส มยฺหํ, อนุรุทฺธา, เอตทโหสิ – ‘โก นุ โข เหตุ โก ปจฺจโย ยฺวาหํ โอภาสญฺหิ โข สญฺชานามิ น จ รูปานิ ปสฺสามิ; รูปานิ หิ โข 19 ปสฺสามิ น จ โอภาสํ สญฺชานามิ – เกวลมฺปิ รตฺติํ, เกวลมฺปิ ทิวํ, เกวลมฺปิ รตฺตินฺทิว’นฺติฯ ตสฺส มยฺหํ, อนุรุทฺธา, เอตทโหสิ – ‘ยสฺมิญฺหิ โข อหํ สมเย รูปนิมิตฺตํ อมนสิกริตฺวา โอภาสนิมิตฺตํ มนสิ กโรมิ, โอภาสญฺหิ โข ตสฺมิํ สมเย สญฺชานามิ, น จ รูปานิ ปสฺสามิฯ ยสฺมิํ ปนาหํ สมเย โอภาสนิมิตฺตํ อมนสิกริตฺวา รูปนิมิตฺตํ มนสิ กโรมิ, รูปานิ หิ โข ตสฺมิํ สมเย ปสฺสามิ น จ โอภาสํ สญฺชานามิ – เกวลมฺปิ รตฺติํ, เกวลมฺปิ ทิวํ, เกวลมฺปิ รตฺตินฺทิว’’’นฺติฯ
243. ‘‘So kho ahaṃ, anuruddhā, appamatto ātāpī pahitatto viharanto obhāsañhi kho sañjānāmi, na ca rūpāni passāmi; rūpāni hi kho passāmi, na ca obhāsaṃ sañjānāmi – ‘kevalampi rattiṃ, kevalampi divaṃ 20, kevalampi rattindivaṃ’ 21. Tassa mayhaṃ, anuruddhā, etadahosi – ‘ko nu kho hetu ko paccayo yvāhaṃ obhāsañhi kho sañjānāmi na ca rūpāni passāmi; rūpāni hi kho 22 passāmi na ca obhāsaṃ sañjānāmi – kevalampi rattiṃ, kevalampi divaṃ, kevalampi rattindiva’nti. Tassa mayhaṃ, anuruddhā, etadahosi – ‘yasmiñhi kho ahaṃ samaye rūpanimittaṃ amanasikaritvā obhāsanimittaṃ manasi karomi, obhāsañhi kho tasmiṃ samaye sañjānāmi, na ca rūpāni passāmi. Yasmiṃ panāhaṃ samaye obhāsanimittaṃ amanasikaritvā rūpanimittaṃ manasi karomi, rūpāni hi kho tasmiṃ samaye passāmi na ca obhāsaṃ sañjānāmi – kevalampi rattiṃ, kevalampi divaṃ, kevalampi rattindiva’’’nti.
‘‘โส โข อหํ, อนุรุทฺธา, อปฺปมโตฺต อาตาปี ปหิตโตฺต วิหรโนฺต ปริตฺตเญฺจว โอภาสํ สญฺชานามิ, ปริตฺตานิ จ รูปานิ ปสฺสามิ; อปฺปมาณเญฺจว โอภาสํ สญฺชานามิ, อปฺปมาณานิ จ รูปานิ ปสฺสามิ – เกวลมฺปิ รตฺติํ, เกวลมฺปิ ทิวํ, เกวลมฺปิ รตฺตินฺทิวํฯ ตสฺส มยฺหํ, อนุรุทฺธา, เอตทโหสิ – ‘โก นุ โข เหตุ โก ปจฺจโย ยฺวาหํ ปริตฺตเญฺจว โอภาสํ สญฺชานามิ, ปริตฺตานิ จ รูปานิ ปสฺสามิ ; อปฺปมาณเญฺจว โอภาสํ สญฺชานามิ, อปฺปมาณานิ จ รูปานิ ปสฺสามิ – เกวลมฺปิ รตฺติํ, เกวลมฺปิ ทิวํ, เกวลมฺปิ รตฺตินฺทิว’นฺติฯ ตสฺส มยฺหํ, อนุรุทฺธา, เอตทโหสิ – ‘ยสฺมิํ โข เม สมเย ปริโตฺต สมาธิ โหติ, ปริตฺตํ เม ตสฺมิํ สมเย จกฺขุ โหติฯ โสหํ ปริเตฺตน จกฺขุนา ปริตฺตเญฺจว โอภาสํ สญฺชานามิ, ปริตฺตานิ จ รูปานิ ปสฺสามิฯ ยสฺมิํ ปน เม สมเย อปฺปมาโณ สมาธิ โหติ, อปฺปมาณํ เม ตสฺมิํ สมเย จกฺขุ โหติฯ โสหํ อปฺปมาเณน จกฺขุนา อปฺปมาณเญฺจว โอภาสํ สญฺชานามิ, อปฺปมาณานิ จ รูปานิ ปสฺสามิ – เกวลมฺปิ รตฺติํ, เกวลมฺปิ ทิวํ, เกวลมฺปิ รตฺตินฺทิว’’’นฺติฯ
‘‘So kho ahaṃ, anuruddhā, appamatto ātāpī pahitatto viharanto parittañceva obhāsaṃ sañjānāmi, parittāni ca rūpāni passāmi; appamāṇañceva obhāsaṃ sañjānāmi, appamāṇāni ca rūpāni passāmi – kevalampi rattiṃ, kevalampi divaṃ, kevalampi rattindivaṃ. Tassa mayhaṃ, anuruddhā, etadahosi – ‘ko nu kho hetu ko paccayo yvāhaṃ parittañceva obhāsaṃ sañjānāmi, parittāni ca rūpāni passāmi ; appamāṇañceva obhāsaṃ sañjānāmi, appamāṇāni ca rūpāni passāmi – kevalampi rattiṃ, kevalampi divaṃ, kevalampi rattindiva’nti. Tassa mayhaṃ, anuruddhā, etadahosi – ‘yasmiṃ kho me samaye paritto samādhi hoti, parittaṃ me tasmiṃ samaye cakkhu hoti. Sohaṃ parittena cakkhunā parittañceva obhāsaṃ sañjānāmi, parittāni ca rūpāni passāmi. Yasmiṃ pana me samaye appamāṇo samādhi hoti, appamāṇaṃ me tasmiṃ samaye cakkhu hoti. Sohaṃ appamāṇena cakkhunā appamāṇañceva obhāsaṃ sañjānāmi, appamāṇāni ca rūpāni passāmi – kevalampi rattiṃ, kevalampi divaṃ, kevalampi rattindiva’’’nti.
๒๔๔. ยโต โข เม , อนุรุทฺธา, ‘วิจิกิจฺฉา จิตฺตสฺส อุปกฺกิเลโส’ติ – อิติ วิทิตฺวา วิจิกิจฺฉา จิตฺตสฺส อุปกฺกิเลโส ปหีโน อโหสิ, ‘อมนสิกาโร จิตฺตสฺส อุปกฺกิเลโส’ติ – อิติ วิทิตฺวา อมนสิกาโร จิตฺตสฺส อุปกฺกิเลโส ปหีโน อโหสิ, ‘ถินมิทฺธํ จิตฺตสฺส อุปกฺกิเลโส’ติ – อิติ วิทิตฺวา ถินมิทฺธํ จิตฺตสฺส อุปกฺกิเลโส ปหีโน อโหสิ, ‘ฉมฺภิตตฺตํ จิตฺตสฺส อุปกฺกิเลโส’ติ – อิติ วิทิตฺวา ฉมฺภิตตฺตํ จิตฺตสฺส อุปกฺกิเลโส ปหีโน อโหสิ, ‘อุปฺปิลํ จิตฺตสฺส อุปกฺกิเลโส’ติ – อิติ วิทิตฺวา อุปฺปิลํ จิตฺตสฺส อุปกฺกิเลโส ปหีโน อโหสิ, ‘ทุฎฺฐุลฺลํ จิตฺตสฺส อุปกฺกิเลโส’ติ – อิติ วิทิตฺวา ทุฎฺฐุลฺลํ จิตฺตสฺส อุปกฺกิเลโส ปหีโน อโหสิ, ‘อจฺจารทฺธวีริยํ จิตฺตสฺส อุปกฺกิเลโส’ติ – อิติ วิทิตฺวา อจฺจารทฺธวีริยํ จิตฺตสฺส อุปกฺกิเลโส ปหีโน อโหสิ, ‘อติลีนวีริยํ จิตฺตสฺส อุปกฺกิเลโส’ติ – อิติ วิทิตฺวา อติลีนวีริยํ จิตฺตสฺส อุปกฺกิเลโส ปหีโน อโหสิ, ‘อภิชปฺปา จิตฺตสฺส อุปกฺกิเลโส’ติ – อิติ วิทิตฺวา อภิชปฺปา จิตฺตสฺส อุปกฺกิเลโส ปหีโน อโหสิ, ‘นานตฺตสญฺญา จิตฺตสฺส อุปกฺกิเลโส’ติ – อิติ วิทิตฺวา นานตฺตสญฺญา จิตฺตสฺส อุปกฺกิเลโส ปหีโน อโหสิ, ‘อตินิชฺฌายิตตฺตํ รูปานํ จิตฺตสฺส อุปกฺกิเลโส’ติ – อิติ วิทิตฺวา อตินิชฺฌายิตตฺตํ รูปานํ จิตฺตสฺส อุปกฺกิเลโส ปหีโน อโหสิฯ
244. Yato kho me , anuruddhā, ‘vicikicchā cittassa upakkileso’ti – iti viditvā vicikicchā cittassa upakkileso pahīno ahosi, ‘amanasikāro cittassa upakkileso’ti – iti viditvā amanasikāro cittassa upakkileso pahīno ahosi, ‘thinamiddhaṃ cittassa upakkileso’ti – iti viditvā thinamiddhaṃ cittassa upakkileso pahīno ahosi, ‘chambhitattaṃ cittassa upakkileso’ti – iti viditvā chambhitattaṃ cittassa upakkileso pahīno ahosi, ‘uppilaṃ cittassa upakkileso’ti – iti viditvā uppilaṃ cittassa upakkileso pahīno ahosi, ‘duṭṭhullaṃ cittassa upakkileso’ti – iti viditvā duṭṭhullaṃ cittassa upakkileso pahīno ahosi, ‘accāraddhavīriyaṃ cittassa upakkileso’ti – iti viditvā accāraddhavīriyaṃ cittassa upakkileso pahīno ahosi, ‘atilīnavīriyaṃ cittassa upakkileso’ti – iti viditvā atilīnavīriyaṃ cittassa upakkileso pahīno ahosi, ‘abhijappā cittassa upakkileso’ti – iti viditvā abhijappā cittassa upakkileso pahīno ahosi, ‘nānattasaññā cittassa upakkileso’ti – iti viditvā nānattasaññā cittassa upakkileso pahīno ahosi, ‘atinijjhāyitattaṃ rūpānaṃ cittassa upakkileso’ti – iti viditvā atinijjhāyitattaṃ rūpānaṃ cittassa upakkileso pahīno ahosi.
๒๔๕. ‘‘ตสฺส มยฺหํ, อนุรุทฺธา, เอตทโหสิ – ‘เย โข เม จิตฺตสฺส อุปกฺกิเลสา เต เม ปหีนาฯ หนฺท, ทานาหํ ติวิเธน สมาธิํ ภาเวมี’ติ 23ฯ โส โข อหํ, อนุรุทฺธา, สวิตกฺกมฺปิ สวิจารํ สมาธิํ ภาเวสิํ 24, อวิตกฺกมฺปิ วิจารมตฺตํ สมาธิํ ภาเวสิํ, อวิตกฺกมฺปิ อวิจารํ สมาธิํ ภาเวสิํ, สปฺปีติกมฺปิ สมาธิํ ภาเวสิํ, นิปฺปีติกมฺปิ สมาธิํ ภาเวสิํ, สาตสหคตมฺปิ สมาธิํ ภาเวสิํ, อุเปกฺขาสหคตมฺปิ สมาธิํ ภาเวสิํฯ ยโต โข เม, อนุรุทฺธา, สวิตโกฺกปิ สวิจาโร สมาธิ ภาวิโต อโหสิ, อวิตโกฺกปิ วิจารมโตฺต สมาธิ ภาวิโต อโหสิ, อวิตโกฺกปิ อวิจาโร สมาธิ ภาวิโต อโหสิ, สปฺปีติโกปิ สมาธิ ภาวิโต อโหสิ, นิปฺปีติโกปิ สมาธิ ภาวิโต อโหสิ, สาตสหคโตปิ สมาธิ ภาวิโต อโหสิ, อุเปกฺขาสหคโตปิ สมาธิ ภาวิโต อโหสิฯ ญาณญฺจ ปน เม ทสฺสนํ อุทปาทิ, อกุปฺปา เม เจโตวิมุตฺติฯ อยมนฺติมา ชาติ, นตฺถิ ทานิ ปุนพฺภโว’’ติฯ
245. ‘‘Tassa mayhaṃ, anuruddhā, etadahosi – ‘ye kho me cittassa upakkilesā te me pahīnā. Handa, dānāhaṃ tividhena samādhiṃ bhāvemī’ti 25. So kho ahaṃ, anuruddhā, savitakkampi savicāraṃ samādhiṃ bhāvesiṃ 26, avitakkampi vicāramattaṃ samādhiṃ bhāvesiṃ, avitakkampi avicāraṃ samādhiṃ bhāvesiṃ, sappītikampi samādhiṃ bhāvesiṃ, nippītikampi samādhiṃ bhāvesiṃ, sātasahagatampi samādhiṃ bhāvesiṃ, upekkhāsahagatampi samādhiṃ bhāvesiṃ. Yato kho me, anuruddhā, savitakkopi savicāro samādhi bhāvito ahosi, avitakkopi vicāramatto samādhi bhāvito ahosi, avitakkopi avicāro samādhi bhāvito ahosi, sappītikopi samādhi bhāvito ahosi, nippītikopi samādhi bhāvito ahosi, sātasahagatopi samādhi bhāvito ahosi, upekkhāsahagatopi samādhi bhāvito ahosi. Ñāṇañca pana me dassanaṃ udapādi, akuppā me cetovimutti. Ayamantimā jāti, natthi dāni punabbhavo’’ti.
อิทมโวจ ภควาฯ อตฺตมโน อายสฺมา อนุรุโทฺธ ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทีติฯ
Idamavoca bhagavā. Attamano āyasmā anuruddho bhagavato bhāsitaṃ abhinandīti.
อุปกฺกิเลสสุตฺตํ นิฎฺฐิตํ อฎฺฐมํฯ
Upakkilesasuttaṃ niṭṭhitaṃ aṭṭhamaṃ.
Footnotes:
Related texts:
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๘. อุปกฺกิเลสสุตฺตวณฺณนา • 8. Upakkilesasuttavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๘. อุปกฺกิเลสสุตฺตวณฺณนา • 8. Upakkilesasuttavaṇṇanā