Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā)

    ๘. อุปกฺกิเลสสุตฺตวณฺณนา

    8. Upakkilesasuttavaṇṇanā

    ๒๓๖. เอวํ เม สุตนฺติ อุปกฺกิเลสสุตฺตํฯ ตตฺถ เอตทโวจาติ เนว เภทาธิปฺปาเยน น ปิยกมฺยตาย, อถ ขฺวาสฺส เอตทโหสิ – ‘‘อิเม ภิกฺขู มม วจนํ คเหตฺวา น โอรมิสฺสนฺติ, พุทฺธา จ นาม หิตานุกมฺปกา, อทฺธา เนสํ ภควา เอกํ การณํ กเถสฺสติ, ตํ สุตฺวา เอเต โอรมิสฺสนฺติ, ตโต เตสํ ผาสุวิหาโร ภวิสฺสตี’’ติฯ ตสฺมา เอตํ ‘‘อิธ, ภเนฺต’’ติอาทิวจนมโวจฯ มา ภณฺฑนนฺติอาทีสุ ‘‘อกตฺถา’’ติ ปาฐเสสํ คเหตฺวา ‘‘มา ภณฺฑนํ อกตฺถา’’ติ เอวํ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ อญฺญตโรติ โส กิร ภิกฺขุ ภควโต อตฺถกาโม, อยํ กิรสฺส อธิปฺปาโย – ‘‘อิเม ภิกฺขู โกธาภิภูตา สตฺถุ วจนํ น คณฺหนฺติ, มา ภควา เอเต โอวทโนฺต กิลมี’’ติ, ตสฺมา เอวมาหฯ

    236.Evaṃme sutanti upakkilesasuttaṃ. Tattha etadavocāti neva bhedādhippāyena na piyakamyatāya, atha khvāssa etadahosi – ‘‘ime bhikkhū mama vacanaṃ gahetvā na oramissanti, buddhā ca nāma hitānukampakā, addhā nesaṃ bhagavā ekaṃ kāraṇaṃ kathessati, taṃ sutvā ete oramissanti, tato tesaṃ phāsuvihāro bhavissatī’’ti. Tasmā etaṃ ‘‘idha, bhante’’tiādivacanamavoca. Mā bhaṇḍanantiādīsu ‘‘akatthā’’ti pāṭhasesaṃ gahetvā ‘‘mā bhaṇḍanaṃ akatthā’’ti evaṃ attho daṭṭhabbo. Aññataroti so kira bhikkhu bhagavato atthakāmo, ayaṃ kirassa adhippāyo – ‘‘ime bhikkhū kodhābhibhūtā satthu vacanaṃ na gaṇhanti, mā bhagavā ete ovadanto kilamī’’ti, tasmā evamāha.

    ปิณฺฑาย ปาวิสีติ น เกวลํ ปาวิสิ, เยนปิ ชเนน น ทิโฎฺฐ, โส มํ ปสฺสตูติปิ อธิฎฺฐาสิฯ กิมตฺถํ อธิฎฺฐาสีติ? เตสํ ภิกฺขูนํ ทมนตฺถํฯ ภควา หิ ตทา ปิณฺฑปาตปฺปฎิกฺกโนฺต ‘‘ปุถุสโทฺท สมชโน’’ติอาทิคาถา ภาสิตฺวา โกสมฺพิโต พาลกโลณการคามํ คโตฯ ตโต ปาจีนวํสทายํ, ตโต ปาลิเลยฺยกวนสณฺฑํ คนฺตฺวา ปาลิเลยฺยหตฺถินาเคน อุปฎฺฐหิยมาโน เตมาสํ วสิฯ นครวาสิโนปิ – ‘‘สตฺถา วิหารํ คโต, คจฺฉาม ธมฺมสฺสวนายา’’ติ คนฺธปุปฺผหตฺถา วิหารํ คนฺตฺวา ‘‘กหํ, ภเนฺต, สตฺถา’’ติ ปุจฺฉิํสุฯ ‘‘กหํ ตุเมฺห สตฺถารํ ทกฺขถ, สตฺถา ‘อิเม ภิกฺขู สมเคฺค กริสฺสามี’ติ อาคโต, สมเคฺค กาตุํ อสโกฺกโนฺต นิกฺขมิตฺวา คโต’’ติฯ ‘‘มยํ สตมฺปิ สหสฺสมฺปิ ทตฺวา สตฺถารํ อาเนตุํ น สโกฺกม, โส โน อยาจิโต สยเมว อาคโต, มยํ อิเม ภิกฺขู นิสฺสาย สตฺถุ สมฺมุขา ธมฺมกถํ โสตุํ น ลภิมฺหาฯ อิเม สตฺถารํ อุทฺทิสฺส ปพฺพชิตา, ตสฺมิมฺปิ สามคฺคิํ กโรเนฺต สมคฺคา น ชาตา, กสฺสาญฺญสฺส วจนํ กริสฺสนฺติฯ อลํ น อิเมสํ ภิกฺขา ทาตพฺพา’’ติ สกลนคเร ทณฺฑํ ฐปยิํสุฯ เต ปุนทิวเส สกลนครํ ปิณฺฑาย จริตฺวา กฎจฺฉุมตฺตมฺปิ ภิกฺขํ อลภิตฺวา วิหารํ อาคมํสุฯ อุปาสกาปิ เต ปุน อาหํสุ – ‘‘ยาว สตฺถารํ น ขมาเปถ, ตาว โว ตเมว ทณฺฑกมฺม’’นฺติฯ เต ‘‘สตฺถารํ ขมาเปสฺสามา’’ติ ภควติ สาวตฺถิยํ อนุปฺปเตฺต ตตฺถ อคมํสุฯ สตฺถา เตสํ อฎฺฐารส เภทกรวตฺถูนิ เทเสสีติ อยเมตฺถ ปาฬิมุตฺตกกถาฯ

    Piṇḍāya pāvisīti na kevalaṃ pāvisi, yenapi janena na diṭṭho, so maṃ passatūtipi adhiṭṭhāsi. Kimatthaṃ adhiṭṭhāsīti? Tesaṃ bhikkhūnaṃ damanatthaṃ. Bhagavā hi tadā piṇḍapātappaṭikkanto ‘‘puthusaddo samajano’’tiādigāthā bhāsitvā kosambito bālakaloṇakāragāmaṃ gato. Tato pācīnavaṃsadāyaṃ, tato pālileyyakavanasaṇḍaṃ gantvā pālileyyahatthināgena upaṭṭhahiyamāno temāsaṃ vasi. Nagaravāsinopi – ‘‘satthā vihāraṃ gato, gacchāma dhammassavanāyā’’ti gandhapupphahatthā vihāraṃ gantvā ‘‘kahaṃ, bhante, satthā’’ti pucchiṃsu. ‘‘Kahaṃ tumhe satthāraṃ dakkhatha, satthā ‘ime bhikkhū samagge karissāmī’ti āgato, samagge kātuṃ asakkonto nikkhamitvā gato’’ti. ‘‘Mayaṃ satampi sahassampi datvā satthāraṃ ānetuṃ na sakkoma, so no ayācito sayameva āgato, mayaṃ ime bhikkhū nissāya satthu sammukhā dhammakathaṃ sotuṃ na labhimhā. Ime satthāraṃ uddissa pabbajitā, tasmimpi sāmaggiṃ karonte samaggā na jātā, kassāññassa vacanaṃ karissanti. Alaṃ na imesaṃ bhikkhā dātabbā’’ti sakalanagare daṇḍaṃ ṭhapayiṃsu. Te punadivase sakalanagaraṃ piṇḍāya caritvā kaṭacchumattampi bhikkhaṃ alabhitvā vihāraṃ āgamaṃsu. Upāsakāpi te puna āhaṃsu – ‘‘yāva satthāraṃ na khamāpetha, tāva vo tameva daṇḍakamma’’nti. Te ‘‘satthāraṃ khamāpessāmā’’ti bhagavati sāvatthiyaṃ anuppatte tattha agamaṃsu. Satthā tesaṃ aṭṭhārasa bhedakaravatthūni desesīti ayamettha pāḷimuttakakathā.

    ๒๓๗. อิทานิ ปุถุสโทฺทติอาทิคาถาสุ ปุถุ มหาสโทฺท อสฺสาติ ปุถุสโทฺทฯ สมชโนติ สมาโน เอกสทิโส ชโน, สโพฺพวายํ ภณฺฑนการกชโน สมนฺตโต สทฺทนิจฺฉรเณน ปุถุสโทฺท เจว สทิโส จาติ วุตฺตํ โหติฯ น พาโล โกจิ มญฺญถาติ ตตฺร โกจิ เอโกปิ อหํ พาโลติ น มญฺญติ, สเพฺพปิ ปณฺฑิตมานิโนเยวฯ นาญฺญํ ภิโยฺย อมญฺญรุนฺติ โกจิ เอโกปิ อหํ พาโลติ น จ มญฺญิ, ภิโยฺย จ สงฺฆสฺมิํ ภิชฺชมาเน อญฺญมฺปิ เอกํ ‘‘มยฺหํ การณา สโงฺฆ ภิชฺชตี’’ติ อิทํ การณํ น มญฺญีติ อโตฺถฯ

    237. Idāni puthusaddotiādigāthāsu puthu mahāsaddo assāti puthusaddo. Samajanoti samāno ekasadiso jano, sabbovāyaṃ bhaṇḍanakārakajano samantato saddaniccharaṇena puthusaddo ceva sadiso cāti vuttaṃ hoti. Na bālo koci maññathāti tatra koci ekopi ahaṃ bāloti na maññati, sabbepi paṇḍitamāninoyeva. Nāññaṃ bhiyyo amaññarunti koci ekopi ahaṃ bāloti na ca maññi, bhiyyo ca saṅghasmiṃ bhijjamāne aññampi ekaṃ ‘‘mayhaṃ kāraṇā saṅgho bhijjatī’’ti idaṃ kāraṇaṃ na maññīti attho.

    ปริมุฎฺฐาติ มุฎฺฐสฺสติโนฯ วาจาโคจรภาณิโนติ ราการสฺส รสฺสาเทโส กโต; วาจาโคจราว , น สติปฎฺฐานโคจรา, ภาณิโน จ, กถํ ภาณิโน? ยาวิจฺฉนฺติ มุขายามํ, ยาว มุขํ ปสาเรตุํ อิจฺฉนฺติ, ตาว ปสาเรตฺวา ภาณิโน, เอโกปิ สงฺฆคารเวน มุขสโงฺกจนํ น กโรตีติ อโตฺถฯ เยน นีตาติ เยน กลเหน อิมํ นิลฺลชฺชภาวํ นีตาฯ น ตํ วิทู น ตํ ชานนฺติ ‘‘เอวํ สาทีนโว อย’’นฺติฯ

    Parimuṭṭhāti muṭṭhassatino. Vācāgocarabhāṇinoti rākārassa rassādeso kato; vācāgocarāva , na satipaṭṭhānagocarā, bhāṇino ca, kathaṃ bhāṇino? Yāvicchanti mukhāyāmaṃ, yāva mukhaṃ pasāretuṃ icchanti, tāva pasāretvā bhāṇino, ekopi saṅghagāravena mukhasaṅkocanaṃ na karotīti attho. Yena nītāti yena kalahena imaṃ nillajjabhāvaṃ nītā. Na taṃ vidū na taṃ jānanti ‘‘evaṃ sādīnavo aya’’nti.

    เย จ ตํ อุปนยฺหนฺตีติ ตํ อโกฺกจฺฉิ มนฺติอาทิกํ อาการํ เย อุปนยฺหนฺติฯ สนนฺตโนติ โปราโณฯ

    Ye ca taṃ upanayhantīti taṃ akkocchi mantiādikaṃ ākāraṃ ye upanayhanti. Sanantanoti porāṇo.

    ปเรติ ปณฺฑิเต ฐเปตฺวา ตโต อเญฺญ ภณฺฑนการกา ปเร นามฯ เต เอตฺถ สงฺฆมเชฺฌ กลหํ กโรนฺตา ‘‘มยํ ยมามเส อุปยมาม นสฺสาม สตตํ สมิตํ มจฺจุสนฺติกํ คจฺฉามา’’ติ น ชานนฺติฯ เย จ ตตฺถ วิชานนฺตีติ เย จ ตตฺถ ปณฺฑิตา ‘‘มยํ มจฺจุโน สมีปํ คจฺฉามา’’ติ วิชานนฺติฯ ตโต สมฺมนฺติ เมธคาติ เอวญฺหิ เต ชานนฺตา โยนิโสมนสิการํ อุปฺปาเทตฺวา เมธคานํ กลหานํ วูปสมาย ปฎิปชฺชนฺติฯ

    Pareti paṇḍite ṭhapetvā tato aññe bhaṇḍanakārakā pare nāma. Te ettha saṅghamajjhe kalahaṃ karontā ‘‘mayaṃ yamāmase upayamāma nassāma satataṃ samitaṃ maccusantikaṃ gacchāmā’’ti na jānanti. Ye ca tattha vijānantīti ye ca tattha paṇḍitā ‘‘mayaṃ maccuno samīpaṃ gacchāmā’’ti vijānanti. Tato sammanti medhagāti evañhi te jānantā yonisomanasikāraṃ uppādetvā medhagānaṃ kalahānaṃ vūpasamāya paṭipajjanti.

    อฎฺฐิจฺฉินฺนาติ อยํ คาถา ชาตเก (ชา. ๑.๙.๑๖) อาคตา, พฺรหฺมทตฺตญฺจ ทีฆาวุกุมารญฺจ สนฺธาย วุตฺตาฯ อยเญฺหตฺถ อโตฺถ – เตสมฺปิ ตถา ปวตฺตเวรานํ โหติ สงฺคติ, กสฺมา ตุมฺหากํ น โหติ, เยสํ โว เนว มาตาปิตูนํ อฎฺฐีนิ ฉินฺนานิ, น ปาณา หฎา น ควาสฺสธนานิ หฎานีติฯ

    Aṭṭhicchinnāti ayaṃ gāthā jātake (jā. 1.9.16) āgatā, brahmadattañca dīghāvukumārañca sandhāya vuttā. Ayañhettha attho – tesampi tathā pavattaverānaṃ hoti saṅgati, kasmā tumhākaṃ na hoti, yesaṃ vo neva mātāpitūnaṃ aṭṭhīni chinnāni, na pāṇā haṭā na gavāssadhanāni haṭānīti.

    สเจ ลเภถาติอาทิคาถา ปณฺฑิตสหายสฺส จ พาลสหายสฺส จ วณฺณาวณฺณทีปนตฺถํ วุตฺตาฯ อภิภุยฺย สพฺพานิ ปริสฺสยานีติ ปากฎปริสฺสเย จ ปฎิจฺฉนฺนปริสฺสเย จ อภิภวิตฺวา เตน สทฺธิํ อตฺตมโน สติมา จเรยฺยาติฯ

    Sacelabhethātiādigāthā paṇḍitasahāyassa ca bālasahāyassa ca vaṇṇāvaṇṇadīpanatthaṃ vuttā. Abhibhuyya sabbāni parissayānīti pākaṭaparissaye ca paṭicchannaparissaye ca abhibhavitvā tena saddhiṃ attamano satimā careyyāti.

    ราชาว รฎฺฐํ วิชิตนฺติ ยถา อตฺตโน วิชิตรฎฺฐํ มหาชนกราชา จ อรินฺทมมหาราชา จ ปหาย เอกกา วิจริํสุ, เอวํ วิจเรยฺยาติ อโตฺถฯ มาตงฺครเญฺญว นาโคติ มาตโงฺค อรเญฺญ นาโควฯ มาตโงฺคติ หตฺถิ วุจฺจติฯ นาโคติ มหนฺตาธิวจนเมตํฯ ยถา หิ มาตุโปสโก มาตงฺคนาโค อรเญฺญ เอโก จริ, น จ ปาปานิ อกาสิ, ยถา จ ปาลิเลยฺยโก, เอวํ เอโก จเร, น จ ปาปานิ กยิราติ วุตฺตํ โหติฯ

    Rājāva raṭṭhaṃ vijitanti yathā attano vijitaraṭṭhaṃ mahājanakarājā ca arindamamahārājā ca pahāya ekakā vicariṃsu, evaṃ vicareyyāti attho. Mātaṅgaraññeva nāgoti mātaṅgo araññe nāgova. Mātaṅgoti hatthi vuccati. Nāgoti mahantādhivacanametaṃ. Yathā hi mātuposako mātaṅganāgo araññe eko cari, na ca pāpāni akāsi, yathā ca pālileyyako, evaṃ eko care, na ca pāpāni kayirāti vuttaṃ hoti.

    ๒๓๘. พาลกโลณการคาโมติ อุปาลิคหปติสฺส โภคคาโมฯ เตนุปสงฺกมีติ กสฺมา อุปสงฺกมิ? คเณ กิรสฺส อาทีนวํ ทิสฺวา เอกวิหาริํ ภิกฺขุํ ปสฺสิตุกามตา อุทปาทิ, ตสฺมา สีตาทีหิ ปีฬิโต อุณฺหาทีนิ ปตฺถยมาโน วิย อุปสงฺกมิฯ ธมฺมิยา กถายาติ เอกีภาเว อานิสํสปฺปฎิสํยุตฺตายฯ เยน ปาจีนวํสทาโย, ตตฺถ กสฺมา อุปสงฺกมิ? กลหการเก กิรสฺส ทิฎฺฐาทีนวตฺตา สมคฺควาสิโน ภิกฺขู ปสฺสิตุกามตา อุทปาทิ, ตสฺมา สีตาทีหิ ปีฬิโต อุณฺหาทีนิ ปตฺถยมาโน วิย ตตฺถ อุปสงฺกมิฯ อายสฺมา จ อนุรุโทฺธติอาทิ วุตฺตนยเมวฯ

    238.Bālakaloṇakāragāmoti upāligahapatissa bhogagāmo. Tenupasaṅkamīti kasmā upasaṅkami? Gaṇe kirassa ādīnavaṃ disvā ekavihāriṃ bhikkhuṃ passitukāmatā udapādi, tasmā sītādīhi pīḷito uṇhādīni patthayamāno viya upasaṅkami. Dhammiyā kathāyāti ekībhāve ānisaṃsappaṭisaṃyuttāya. Yena pācīnavaṃsadāyo, tattha kasmā upasaṅkami? Kalahakārake kirassa diṭṭhādīnavattā samaggavāsino bhikkhū passitukāmatā udapādi, tasmā sītādīhi pīḷito uṇhādīni patthayamāno viya tattha upasaṅkami. Āyasmā ca anuruddhotiādi vuttanayameva.

    ๒๔๑. อตฺถิ ปน โวติ ปจฺฉิมปุจฺฉาย โลกุตฺตรธมฺมํ ปุเจฺฉยฺยฯ โส ปน เถรานํ นตฺถิ, ตสฺมา ตํ ปุจฺฉิตุํ น ยุตฺตนฺติ ปริกโมฺมภาสํ ปุจฺฉติฯ โอภาสเญฺจว สญฺชานามาติ ปริกโมฺมภาสํ สญฺชานามฯ ทสฺสนญฺจ รูปานนฺติ ทิพฺพจกฺขุนา รูปทสฺสนญฺจ สญฺชานามฯ ตญฺจ นิมิตฺตํ นปฺปฎิวิชฺฌามาติ ตญฺจ การณํ น ชานาม, เยน โน โอภาโส จ รูปทสฺสนญฺจ อนฺตรธายติฯ

    241.Atthi pana voti pacchimapucchāya lokuttaradhammaṃ puccheyya. So pana therānaṃ natthi, tasmā taṃ pucchituṃ na yuttanti parikammobhāsaṃ pucchati. Obhāsañceva sañjānāmāti parikammobhāsaṃ sañjānāma. Dassanañca rūpānanti dibbacakkhunā rūpadassanañca sañjānāma. Tañca nimittaṃ nappaṭivijjhāmāti tañca kāraṇaṃ na jānāma, yena no obhāso ca rūpadassanañca antaradhāyati.

    ตํ โข ปน โว อนุรุทฺธา นิมิตฺตํ ปฎิวิชฺฌิตพฺพนฺติ ตํ โว การณํ ชานิตพฺพํฯ อหมฺปิ สุทนฺติ อนุรุทฺธา ตุเมฺห กิํ น อาฬุเลสฺสนฺติ, อหมฺปิ อิเมหิ เอกาทสหิ อุปกฺกิเลเสหิ อาฬุลิตปุโพฺพติ ทเสฺสตุํ อิมํ เทสนํ อารภิฯ วิจิกิจฺฉา โข เมติอาทีสุ มหาสตฺตสฺส อาโลกํ วเฑฺฒตฺวา ทิพฺพจกฺขุนา นานาวิธานิ รูปานิ ทิสฺวา ‘‘อิทํ โข กิ’’นฺติ วิจิกิจฺฉา อุทปาทิฯ สมาธิ จวีติ ปริกมฺมสมาธิ จวิฯ โอภาโสติ ปริกโมฺมภาโสปิ อนฺตรธายิ, ทิพฺพจกฺขุนาปิ รูปํ น ปสฺสิฯ อมนสิกาโรติ รูปานิ ปสฺสโต วิจิกิจฺฉา อุปฺปชฺชติ, อิทานิ กิญฺจิ น มนสิกริสฺสามีติ อมนสิกาโร อุทปาทิฯ

    Taṃ kho pana vo anuruddhā nimittaṃ paṭivijjhitabbanti taṃ vo kāraṇaṃ jānitabbaṃ. Ahampi sudanti anuruddhā tumhe kiṃ na āḷulessanti, ahampi imehi ekādasahi upakkilesehi āḷulitapubboti dassetuṃ imaṃ desanaṃ ārabhi. Vicikicchā kho metiādīsu mahāsattassa ālokaṃ vaḍḍhetvā dibbacakkhunā nānāvidhāni rūpāni disvā ‘‘idaṃ kho ki’’nti vicikicchā udapādi. Samādhi cavīti parikammasamādhi cavi. Obhāsoti parikammobhāsopi antaradhāyi, dibbacakkhunāpi rūpaṃ na passi. Amanasikāroti rūpāni passato vicikicchā uppajjati, idāni kiñci na manasikarissāmīti amanasikāro udapādi.

    ถินมิทฺธนฺติ กิญฺจิ อมนสิกโรนฺตสฺส ถินมิทฺธํ อุทปาทิฯ

    Thinamiddhanti kiñci amanasikarontassa thinamiddhaṃ udapādi.

    ฉมฺภิตตฺตนฺติ หิมวนฺตาภิมุขํ อาโลกํ วเฑฺฒตฺวา ทานวรกฺขสอชคราทโย อทฺทส, อถสฺส ฉมฺภิตตฺตํ อุทปาทิฯ

    Chambhitattanti himavantābhimukhaṃ ālokaṃ vaḍḍhetvā dānavarakkhasaajagarādayo addasa, athassa chambhitattaṃ udapādi.

    อุปฺปิลนฺติ ‘‘มยา ทิฎฺฐภยํ ปกติยา โอโลกิยมานํ นตฺถิฯ อทิเฎฺฐ กิํ นาม ภย’’นฺติ จินฺตยโต อุปฺปิลาวิตตฺตํ อุทปาทิฯ สกิเทวาติ เอกปโยเคเนว ปญฺจ นิธิกุมฺภิโยปิ ปเสฺสยฺยฯ

    Uppilanti ‘‘mayā diṭṭhabhayaṃ pakatiyā olokiyamānaṃ natthi. Adiṭṭhe kiṃ nāma bhaya’’nti cintayato uppilāvitattaṃ udapādi. Sakidevāti ekapayogeneva pañca nidhikumbhiyopi passeyya.

    ทุฎฺฐุลฺลนฺติ มยา วีริยํ คาฬฺหํ ปคฺคหิตํ, เตน เม อุปฺปิลํ อุปฺปนฺนนฺติ วีริยํ สิถิลมกาสิ, ตโต กายทรโถ กายทุฎฺฐุลฺลํ กายาลสิยํ อุทปาทิฯ

    Duṭṭhullanti mayā vīriyaṃ gāḷhaṃ paggahitaṃ, tena me uppilaṃ uppannanti vīriyaṃ sithilamakāsi, tato kāyadaratho kāyaduṭṭhullaṃ kāyālasiyaṃ udapādi.

    อจฺจารทฺธวีริยนฺติ มม วีริยํ สิถิลํ กโรโต ทุฎฺฐุลฺลํ อุปฺปนฺนนฺติ ปุน วีริยํ ปคฺคณฺหโต อจฺจารทฺธวีริยํ อุทปาทิฯ ปตเมยฺยาติ มเรยฺยฯ

    Accāraddhavīriyanti mama vīriyaṃ sithilaṃ karoto duṭṭhullaṃ uppannanti puna vīriyaṃ paggaṇhato accāraddhavīriyaṃ udapādi. Patameyyāti mareyya.

    อติลีนวีริยนฺติ มม วีริยํ ปคฺคณฺหโต เอวํ ชาตนฺติ ปุน วีริยํ สิถิลํ กโรโต อติลีนวีริยํ อุทปาทิฯ

    Atilīnavīriyanti mama vīriyaṃ paggaṇhato evaṃ jātanti puna vīriyaṃ sithilaṃ karoto atilīnavīriyaṃ udapādi.

    อภิชปฺปาติ เทวโลกาภิมุขํ อาโลกํ วเฑฺฒตฺวา เทวสงฺฆํ ปสฺสโต ตณฺหา อุทปาทิฯ

    Abhijappāti devalokābhimukhaṃ ālokaṃ vaḍḍhetvā devasaṅghaṃ passato taṇhā udapādi.

    นานตฺตสญฺญาติ มยฺหํ เอกชาติกํ รูปํ มนสิกโรนฺตสฺส อภิชปฺปา อุปฺปนฺนา, นานาวิธรูปํ มนสิ กริสฺสามีติ กาเลน เทวโลกาภิมุขํ กาเลน มนุสฺสโลกาภิมุขํ วเฑฺฒตฺวา นานาวิธานิ รูปานิ มนสิกโรโต นานตฺตสญฺญา อุทปาทิฯ

    Nānattasaññāti mayhaṃ ekajātikaṃ rūpaṃ manasikarontassa abhijappā uppannā, nānāvidharūpaṃ manasi karissāmīti kālena devalokābhimukhaṃ kālena manussalokābhimukhaṃ vaḍḍhetvā nānāvidhāni rūpāni manasikaroto nānattasaññā udapādi.

    อตินิชฺฌายิตตฺตนฺติ มยฺหํ นานาวิธานิ รูปานิ มนสิกโรนฺตสฺส นานตฺตสญฺญา อุทปาทิ, อิฎฺฐํ วา อนิฎฺฐํ วา เอกชาติกเมว มนสิ กริสฺสามีติ ตถา มนสิกโรโต อตินิชฺฌายิตตฺตํ รูปานํ อุทปาทิฯ

    Atinijjhāyitattanti mayhaṃ nānāvidhāni rūpāni manasikarontassa nānattasaññā udapādi, iṭṭhaṃ vā aniṭṭhaṃ vā ekajātikameva manasi karissāmīti tathā manasikaroto atinijjhāyitattaṃ rūpānaṃ udapādi.

    ๒๔๓. โอภาสนิมิตฺตํ มนสิ กโรมีติ ปริกโมฺมภาสเมว มนสิ กโรมิฯ น จ รูปานิ ปสฺสามีติ ทิพฺพจกฺขุนา รูปานิ น ปสฺสามิฯ รูปนิมิตฺตํ มนสิ กโรมีติ ทิพฺพจกฺขุนา วิสยรูปเมว มนสิ กโรมิฯ

    243.Obhāsanimittaṃmanasi karomīti parikammobhāsameva manasi karomi. Na ca rūpāni passāmīti dibbacakkhunā rūpāni na passāmi. Rūpanimittaṃ manasi karomīti dibbacakkhunā visayarūpameva manasi karomi.

    ปริตฺตเญฺจว โอภาสนฺติ ปริตฺตกฎฺฐาเน โอภาสํฯ ปริตฺตานิ จ รูปานีติ ปริตฺตกฎฺฐาเน รูปานิฯ วิปริยาเยน ทุติยวาโร เวทิตโพฺพฯ ปริโตฺต สมาธีติ ปริตฺตโก ปริกโมฺมภาโส, โอภาสปริตฺตตญฺหิ สนฺธาย อิธ ปริกมฺมสมาธิ ‘‘ปริโตฺต’’ติ วุโตฺตฯ ปริตฺตํ เม ตสฺมิํ สมเยติ ตสฺมิํ สมเย ทิพฺพจกฺขุปิ ปริตฺตกํ โหติฯ อปฺปมาณวาเรปิ เอเสว นโยฯ

    Parittañceva obhāsanti parittakaṭṭhāne obhāsaṃ. Parittāni ca rūpānīti parittakaṭṭhāne rūpāni. Vipariyāyena dutiyavāro veditabbo. Paritto samādhīti parittako parikammobhāso, obhāsaparittatañhi sandhāya idha parikammasamādhi ‘‘paritto’’ti vutto. Parittaṃ me tasmiṃ samayeti tasmiṃ samaye dibbacakkhupi parittakaṃ hoti. Appamāṇavārepi eseva nayo.

    ๒๔๕. อวิตกฺกมฺปิ วิจารมตฺตนฺติ ปญฺจกนเย ทุติยชฺฌานสมาธิํฯ อวิตกฺกมฺปิ อวิจารนฺติ จตุกฺกนเยปิ ปญฺจกนเยปิ ฌานตฺตยสมาธิํฯ สปฺปีติกนฺติ ทุกติกชฺฌานสมาธิํฯ นิปฺปีติกนฺติ ทุกชฺฌานสมาธิํฯ สาตสหคตนฺติ ติกจตุกฺกชฺฌานสมาธิํฯ อุเปกฺขาสหคตนฺติ จตุกฺกนเย จตุตฺถชฺฌานสมาธิํ ปญฺจกนเย ปญฺจมชฺฌานสมาธิํฯ

    245.Avitakkampi vicāramattanti pañcakanaye dutiyajjhānasamādhiṃ. Avitakkampi avicāranti catukkanayepi pañcakanayepi jhānattayasamādhiṃ. Sappītikanti dukatikajjhānasamādhiṃ. Nippītikanti dukajjhānasamādhiṃ. Sātasahagatanti tikacatukkajjhānasamādhiṃ. Upekkhāsahagatanti catukkanaye catutthajjhānasamādhiṃ pañcakanaye pañcamajjhānasamādhiṃ.

    กทา ปน ภควา อิมํ ติวิธํ สมาธิํ ภาเวติ? มหาโพธิมูเล นิสิโนฺน ปจฺฉิมยาเมฯ ภควโต หิ ปฐมมโคฺค ปฐมชฺฌานิโก อโหสิ, ทุติยาทโย ทุติยตติยจตุตฺถชฺฌานิกา ฯ ปญฺจกนเย ปญฺจมชฺฌานสฺส มโคฺค นตฺถีติ โส โลกิโย อโหสีติ โลกิยโลกุตฺตรมิสฺสกํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ เสสํ สพฺพตฺถ อุตฺตานเมวาติฯ

    Kadā pana bhagavā imaṃ tividhaṃ samādhiṃ bhāveti? Mahābodhimūle nisinno pacchimayāme. Bhagavato hi paṭhamamaggo paṭhamajjhāniko ahosi, dutiyādayo dutiyatatiyacatutthajjhānikā . Pañcakanaye pañcamajjhānassa maggo natthīti so lokiyo ahosīti lokiyalokuttaramissakaṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ. Sesaṃ sabbattha uttānamevāti.

    ปปญฺจสูทนิยา มชฺฌิมนิกายฎฺฐกถาย

    Papañcasūdaniyā majjhimanikāyaṭṭhakathāya

    อุปกฺกิเลสสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Upakkilesasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๘. อุปกฺกิเลสสุตฺตํ • 8. Upakkilesasuttaṃ

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๘. อุปกฺกิเลสสุตฺตวณฺณนา • 8. Upakkilesasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact