Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) |
๘. อุปกฺกิเลสสุตฺตวณฺณนา
8. Upakkilesasuttavaṇṇanā
๒๓๖. ตสฺมาติ อตฺถกามตฺตา เอวมาห, น ภควโต วจนํ อนาทิยโนฺตฯ เย ปน ตทา สตฺถุวจนํ น คณฺหิํสุ, เต กิญฺจิ อวตฺวา ตุณฺหีภูตา มงฺกุภูตา อฎฺฐํสุ, ตสฺมา อุภเยสมฺปิ สตฺถริ อคารวปฎิปตฺติ นาโหสิฯ
236.Tasmāti atthakāmattā evamāha, na bhagavato vacanaṃ anādiyanto. Ye pana tadā satthuvacanaṃ na gaṇhiṃsu, te kiñci avatvā tuṇhībhūtā maṅkubhūtā aṭṭhaṃsu, tasmā ubhayesampi satthari agāravapaṭipatti nāhosi.
เยนปิ ชเนน น ทิโฎฺฐติ เยน อุภยชเนน อญฺญวิหิตตาย กุฑฺฑกวาฎาทิอนฺตริกตาย วา น ทิโฎฺฐฯ ทมนตฺถนฺติ เตหิ อุปาสเกหิ นิมฺมทภาวํ อาปาทิตานํ เตสํ ภิกฺขูนํ ทมนตฺถํฯ ฐปยิํสูติ โย อิเมสํ ภิกฺขูนํ เทติ, ตสฺส สตํ ทโณฺฑติ, สหสฺสนฺติ จ วทนฺติฯ
Yenapi janena na diṭṭhoti yena ubhayajanena aññavihitatāya kuḍḍakavāṭādiantarikatāya vā na diṭṭho. Damanatthanti tehi upāsakehi nimmadabhāvaṃ āpāditānaṃ tesaṃ bhikkhūnaṃ damanatthaṃ. Ṭhapayiṃsūti yo imesaṃ bhikkhūnaṃ deti, tassa sataṃ daṇḍoti, sahassanti ca vadanti.
๒๓๗. วคฺคภาเวเนว (สารตฺถ. ฎี. มหาวโคฺค ๓.๔๖๔) นานาสโทฺท อสฺสาติ ปุถุสโทฺทฯ สมชโนติ ภณฺฑเน สมชฺฌาสโย ชโนฯ พาลลกฺขเณ ฐิโตปิ ‘‘อหํ พาโล’’ติ น มญฺญติฯ ภิโยฺย จาติ อตฺตโน พาลภาวสฺส อชานนโตปิ ภิโยฺย จ ภณฺฑนสฺส อุปริ โผโฎ วิย สงฺฆเภทสฺส อตฺตโน การณภาวมฺปิ อุปฺปชฺชมานํ น มญฺญิ นญฺญาสิฯ
237. Vaggabhāveneva (sārattha. ṭī. mahāvaggo 3.464) nānāsaddo assāti puthusaddo. Samajanoti bhaṇḍane samajjhāsayo jano. Bālalakkhaṇe ṭhitopi ‘‘ahaṃ bālo’’ti na maññati. Bhiyyo cāti attano bālabhāvassa ajānanatopi bhiyyo ca bhaṇḍanassa upari phoṭo viya saṅghabhedassa attano kāraṇabhāvampi uppajjamānaṃ na maññi naññāsi.
กลหวเสน ปวตฺตวาจาเยว โคจโร เอเตสนฺติ วาจาโคจรา หุตฺวาฯ มุขายามนฺติ วิวาทวเสน มุขํ อายเมตฺวา ภาณิโนฯ น ตํ ชานนฺตีติ ตํ กลหํ น ชานนฺติฯ กลหํ กโรโนฺต จ ตํ น ชานโนฺต นาม นตฺถิฯ ยถา ปน น ชานนฺติ, ตํ ทเสฺสตุํ อาห – ‘‘เอวํ สาทีนโว อย’’นฺติฯ อยํ กลโห นาม อตฺตโน ปเรสญฺจ อตฺถชาปนโต อนตฺถุปฺปาทนโต ทิเฎฺฐว ธเมฺม สมฺปราเย จ สาทีนโว, สโทโสติ อโตฺถฯ
Kalahavasena pavattavācāyeva gocaro etesanti vācāgocarā hutvā. Mukhāyāmanti vivādavasena mukhaṃ āyametvā bhāṇino. Na taṃ jānantīti taṃ kalahaṃ na jānanti. Kalahaṃ karonto ca taṃ na jānanto nāma natthi. Yathā pana na jānanti, taṃ dassetuṃ āha – ‘‘evaṃ sādīnavo aya’’nti. Ayaṃ kalaho nāma attano paresañca atthajāpanato anatthuppādanato diṭṭheva dhamme samparāye ca sādīnavo, sadosoti attho.
อุปนยฺหนฺตีติ อุปนาหวเสน อนุพนฺธนฺติฯ โปราโณติ ปุริเมหิ พุทฺธาทีหิ อาจิณฺณสมาจิณฺณตาย ปุราตโนฯ
Upanayhantīti upanāhavasena anubandhanti. Porāṇoti purimehi buddhādīhi āciṇṇasamāciṇṇatāya purātano.
น ชานนฺตีติ อนิจฺจสญฺญํ น ปจฺจุปฎฺฐาเปนฺติฯ
Na jānantīti aniccasaññaṃ na paccupaṭṭhāpenti.
ตถา ปวตฺตเวรานนฺติ อฎฺฐิฉินฺนาทิภาวํ นิสฺสาย อุปนยวเสน จิรกาลํ ปวตฺตเวรานํฯ
Tathā pavattaverānanti aṭṭhichinnādibhāvaṃ nissāya upanayavasena cirakālaṃ pavattaverānaṃ.
พาลสหายตาย อิเม ภิกฺขู กลหปสุตา, ปณฺฑิตสหายานํ ปน อิทํ น สิยาติ ปณฺฑิตสหายสฺส พาลสหายสฺส จ วณฺณาวณฺณทีปนตฺถํ วุตฺตาฯ สีหพฺยคฺฆาทิเก ปากฎปริสฺสเย ราคโทสาทิเก ปฎิจฺฉนฺนปริสฺสเย จ อภิภวิตฺวาฯ
Bālasahāyatāya ime bhikkhū kalahapasutā, paṇḍitasahāyānaṃ pana idaṃ na siyāti paṇḍitasahāyassa bālasahāyassa ca vaṇṇāvaṇṇadīpanatthaṃ vuttā. Sīhabyagghādike pākaṭaparissaye rāgadosādike paṭicchannaparissaye ca abhibhavitvā.
มาตโงฺค อรเญฺญ มาตงฺครเญฺญติ สรโลเปน สนฺธิฯ มาตงฺคสเทฺทเนว หตฺถิภาวสฺส วุตฺตตฺตา นาควจนํ ตสฺส มหตฺตวิภาวนตฺถนฺติ อาห – ‘‘นาโคติ มหนฺตาธิวจนเมต’’นฺติฯ มหนฺตปริยาโยปิ หิ นาค-สโทฺท โหติ ‘‘เอวํ นาคสฺส นาเคน, อีสาทนฺตสฺส หตฺถิโน’’ติอาทีสุ (อุทา. ๒๕; มหาว. ๔๖๗)ฯ
Mātaṅgo araññe mātaṅgaraññeti saralopena sandhi. Mātaṅgasaddeneva hatthibhāvassa vuttattā nāgavacanaṃ tassa mahattavibhāvanatthanti āha – ‘‘nāgoti mahantādhivacanameta’’nti. Mahantapariyāyopi hi nāga-saddo hoti ‘‘evaṃ nāgassa nāgena, īsādantassa hatthino’’tiādīsu (udā. 25; mahāva. 467).
๒๓๘. กิรสโทฺท อนุสฺสวสูจนโตฺถ นิปาโตฯ เตน อยเมตฺถ สุติปรมฺปราติ ทเสฺสติฯ ภควตา หิ โส อาทีนโว ปเคว ปริญฺญาโต, น เตน สตฺถา นิพฺพิโณฺณ โหติ; ตสฺมิํ ปน อโนฺตวเสฺส เกจิ พุทฺธเวเนยฺยา นาเหสุํ; เตน อญฺญตฺถ คมนํ เตสํ ภิกฺขูนํ ทมนุปาโยติ ปาลิเลยฺยกํ อุทฺทิสฺส คจฺฉโนฺต เอกวิหาริํ อายสฺมนฺตํ ภคุํ, สมคฺควาสํ วสเนฺต จ อนุรุทฺธเตฺถราทิเก สมฺปหํเสตุํ อนุรุทฺธเตฺถรสฺส จฯ อิมํ อุปกฺกิเลโสวาทํ ทาตุํ ตตฺถ คโต, ตสฺมา กลหการเก กิรสฺสาติ เอตฺถาปิ กิรสทฺทคฺคหเณ เอเสว นโยฯ วุตฺตนยเมว โคสิงฺคสาลสุเตฺต (ม. นิ. ๑.๓๒๕ อาทโย)ฯ
238.Kirasaddo anussavasūcanattho nipāto. Tena ayamettha sutiparamparāti dasseti. Bhagavatā hi so ādīnavo pageva pariññāto, na tena satthā nibbiṇṇo hoti; tasmiṃ pana antovasse keci buddhaveneyyā nāhesuṃ; tena aññattha gamanaṃ tesaṃ bhikkhūnaṃ damanupāyoti pālileyyakaṃ uddissa gacchanto ekavihāriṃ āyasmantaṃ bhaguṃ, samaggavāsaṃ vasante ca anuruddhattherādike sampahaṃsetuṃ anuruddhattherassa ca. Imaṃ upakkilesovādaṃ dātuṃ tattha gato, tasmā kalahakārake kirassāti etthāpi kirasaddaggahaṇe eseva nayo. Vuttanayameva gosiṅgasālasutte (ma. ni. 1.325 ādayo).
๒๔๑. ‘‘ยถา กถํ ปนา’’ติ วุตฺตปุจฺฉานํ ปจฺฉิมภาวโต ‘‘อตฺถิ ปน โวติ ปจฺฉิมปุจฺฉายา’’ติ วุตฺตํ, น ปุน ‘‘อตฺถิ ปน โว’’ติ ปวตฺตนสฺส ปุจฺฉนสฺส อตฺถิภาวโตฯ โส ปน โลกุตฺตรธโมฺมฯ เถรานนฺติ อนุรุทฺธเตฺถราทีนํ นตฺถิฯ ปริกโมฺมภาสํ ปุจฺฉตีติ ทิพฺพจกฺขุญาเณ กตาธิการตฺตา ตสฺส อุปฺปาทนตฺถํ ปริกโมฺมภาสํ ปุจฺฉติฯ ปริกโมฺมภาสนฺติ ปริกมฺมสมาธินิพฺพตฺตํ โอภาสํ, อุปจารชฺฌานสญฺชนิตํ โอภาสนฺติ อโตฺถฯ จตุตฺถชฺฌานลาภี หิ ทิพฺพจกฺขุปริกมฺมตฺถํ โอภาสกสิณํ ภาเวตฺวา อุปจาเร ฐปิโต สมาธิ ปริกมฺมสมาธิ, ตตฺถ โอภาโส ปริกโมฺมภาโสติ วุโตฺตฯ ตํ สนฺธายาห – ‘‘โอภาสเญฺจว สญฺชานามาติ ปริกโมฺมภาสํ สญฺชานามา’’ติฯ ยตฺตเก หิ ฐาเน ทิพฺพจกฺขุนา รูปคตํ ทฎฺฐุกาโม, ตตฺตกํ ฐานํ โอภาสกสิณํ ผริตฺวา ฐิโตฯ ตํ โอภาสํ ตตฺถ จ รูปคตํ ทิพฺพจกฺขุญาเณน ปสฺสติ, เถรา จ ตถา ปฎิปชฺชิํสุฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘โอภาสเญฺจว สญฺชานาม ทสฺสนญฺจ รูปาน’’นฺติฯ ยสฺมา ปน เตสํ รูปคตํ ปสฺสนฺตานํ ปริกมฺมวาโร อติกฺกมิ, ตโต โอภาโส อนฺตรธายิ, ตสฺมิํ อนฺตรหิเต รูปคตมฺปิ น ปญฺญายติฯ ปริกมฺมนฺติ หิ ยถาวุตฺตกสิณารมฺมณํ อุปจารชฺฌานํ, รูปคตํ ปสฺสนฺตานํ กสิโณภาสวเสน รูปคตทสฺสนํ, กสิโณภาโส จ ปริกมฺมวเสนาติ ตทุภยมฺปิ ปริกมฺมสฺส อปฺปวตฺติยา นาโหสิ, ตยิทํ การณํ อาทิกมฺมิกภาวโต เถรา น มญฺญิํสุ, ตสฺมา วุตฺตํ ‘‘นปฺปฎิวิชฺฌามา’’ติฯ
241. ‘‘Yathā kathaṃ panā’’ti vuttapucchānaṃ pacchimabhāvato ‘‘atthi pana voti pacchimapucchāyā’’ti vuttaṃ, na puna ‘‘atthi pana vo’’ti pavattanassa pucchanassa atthibhāvato. So pana lokuttaradhammo. Therānanti anuruddhattherādīnaṃ natthi. Parikammobhāsaṃ pucchatīti dibbacakkhuñāṇe katādhikārattā tassa uppādanatthaṃ parikammobhāsaṃ pucchati. Parikammobhāsanti parikammasamādhinibbattaṃ obhāsaṃ, upacārajjhānasañjanitaṃ obhāsanti attho. Catutthajjhānalābhī hi dibbacakkhuparikammatthaṃ obhāsakasiṇaṃ bhāvetvā upacāre ṭhapito samādhi parikammasamādhi, tattha obhāso parikammobhāsoti vutto. Taṃ sandhāyāha – ‘‘obhāsañceva sañjānāmāti parikammobhāsaṃ sañjānāmā’’ti. Yattake hi ṭhāne dibbacakkhunā rūpagataṃ daṭṭhukāmo, tattakaṃ ṭhānaṃ obhāsakasiṇaṃ pharitvā ṭhito. Taṃ obhāsaṃ tattha ca rūpagataṃ dibbacakkhuñāṇena passati, therā ca tathā paṭipajjiṃsu. Tena vuttaṃ – ‘‘obhāsañceva sañjānāma dassanañca rūpāna’’nti. Yasmā pana tesaṃ rūpagataṃ passantānaṃ parikammavāro atikkami, tato obhāso antaradhāyi, tasmiṃ antarahite rūpagatampi na paññāyati. Parikammanti hi yathāvuttakasiṇārammaṇaṃ upacārajjhānaṃ, rūpagataṃ passantānaṃ kasiṇobhāsavasena rūpagatadassanaṃ, kasiṇobhāso ca parikammavasenāti tadubhayampi parikammassa appavattiyā nāhosi, tayidaṃ kāraṇaṃ ādikammikabhāvato therā na maññiṃsu, tasmā vuttaṃ ‘‘nappaṭivijjhāmā’’ti.
นิมิตฺตํ ปฎิวิชฺฌิตพฺพนฺติ การณํ ปจฺจกฺขโต ทเสฺสตฺวา สุวิสุทฺธทิพฺพจกฺขุญาเณ เถรํ ปติฎฺฐาเปตุกาโม สตฺถา วทติฯ กิํ น อาฬุเลสฺสนฺตีติ กิํ น พฺยาโมเหสฺสนฺติ, พฺยาโมเหสฺสนฺติ เอวาติ อโตฺถฯ วิจิกิจฺฉา อุทปาทีติ ทิพฺพจกฺขุโน ยถาอุปฎฺฐิเตสุ รูปคเตสุ อปุพฺพตาย, ‘‘อิทํ นุ โข รูปคตํ กิํ, อิทํ นุ โข กิ’’นฺติ มเคฺคน อสมุจฺฉินฺนตฺตา วิจิกิจฺฉา สํสโย อุปฺปชฺชิฯ สมาธิ จวีติ วิจิกิจฺฉาย อุปฺปนฺนตฺตา ปริกมฺมสมาธิ วิคจฺฉิฯ ตโต เอว หิ ปริกโมฺมภาโสปิ อนฺตรธายิ, ทิพฺพจกฺขุนาปิ รูปํ น ปสฺสิฯ น มนสิ กริสฺสามีติ มนสิการวเสน เม รูปานิ อุปฎฺฐหิํสุ, รูปานิ ปสฺสโต วิจิกิจฺฉา อุปฺปชฺชติ, ตสฺมา อิทานิ กิญฺจิ น มนสิ กริสฺสามีติ ตุณฺหี อโหสิ ตํ ปน ตุณฺหีภาวปฺปตฺติํ สนฺธายาห ‘‘อมนสิกาโร อุทปาที’’ติฯ
Nimittaṃ paṭivijjhitabbanti kāraṇaṃ paccakkhato dassetvā suvisuddhadibbacakkhuñāṇe theraṃ patiṭṭhāpetukāmo satthā vadati. Kiṃ na āḷulessantīti kiṃ na byāmohessanti, byāmohessanti evāti attho. Vicikicchā udapādīti dibbacakkhuno yathāupaṭṭhitesu rūpagatesu apubbatāya, ‘‘idaṃ nu kho rūpagataṃ kiṃ, idaṃ nu kho ki’’nti maggena asamucchinnattā vicikicchā saṃsayo uppajji. Samādhi cavīti vicikicchāya uppannattā parikammasamādhi vigacchi. Tato eva hi parikammobhāsopi antaradhāyi, dibbacakkhunāpi rūpaṃ na passi. Na manasi karissāmīti manasikāravasena me rūpāni upaṭṭhahiṃsu, rūpāni passato vicikicchā uppajjati, tasmā idāni kiñci na manasi karissāmīti tuṇhī ahosi taṃ pana tuṇhībhāvappattiṃ sandhāyāha ‘‘amanasikāro udapādī’’ti.
ตถาภูตสฺส อมนสิการสฺส อภาวํ อาคมฺม อุปฺปิลํ อุทปาทิฯ วีริยํ คาฬฺหํ ปคฺคหิตนฺติ ถินมิทฺธฉมฺภิตตฺตานํ วูปสมนตฺถํ อจฺจารทฺธวีริยํ อโหสิ, เตน จิเตฺต สมาธิทูสิกา เคหสฺสิตา พลวปีติ อุปฺปนฺนาฯ เตนาห ‘‘อุปฺปิลํ อุปฺปนฺน’’นฺติฯ ตโตติ สิถิลวีริยตฺตาฯ ปตเมยฺยาติ อติวิย ขินฺนํ ภเวยฺยฯ ตํ มมาติ ปตฺถนาอภิภวนียมนสีเสน ชเปฺปตีติ อภิชปฺปา, ตณฺหาฯ นานตฺตา นานาสภาวา สญฺญา นานตฺตสญฺญาฯ อติวิย อุปริ กตฺวา นิชฺฌานํ เปกฺขนํ อตินิชฺฌายิตตฺตํฯ
Tathābhūtassa amanasikārassa abhāvaṃ āgamma uppilaṃ udapādi. Vīriyaṃ gāḷhaṃ paggahitanti thinamiddhachambhitattānaṃ vūpasamanatthaṃ accāraddhavīriyaṃ ahosi, tena citte samādhidūsikā gehassitā balavapīti uppannā. Tenāha ‘‘uppilaṃ uppanna’’nti. Tatoti sithilavīriyattā. Patameyyāti ativiya khinnaṃ bhaveyya. Taṃ mamāti patthanāabhibhavanīyamanasīsena jappetīti abhijappā, taṇhā. Nānattā nānāsabhāvā saññā nānattasaññā. Ativiya upari katvā nijjhānaṃ pekkhanaṃ atinijjhāyitattaṃ.
๒๔๓. ปริกโมฺมภาสเมวาติ ปริกมฺมสมุฎฺฐิตํ โอภาสเมวฯ น จ รูปานิ ปสฺสามีติ โอภาสมนสิการปสุตตาย ทิพฺพจกฺขุนา รูปานิ น ปสฺสามิฯ วิสยรูปเมวาติ เตน ผริตฺวา ฐิตฎฺฐาเนว ทิพฺพจกฺขุโน วิสยภูตํ รูปคตเมว มนสิ กโรมิฯ
243.Parikammobhāsamevāti parikammasamuṭṭhitaṃ obhāsameva. Na ca rūpāni passāmīti obhāsamanasikārapasutatāya dibbacakkhunā rūpāni na passāmi. Visayarūpamevāti tena pharitvā ṭhitaṭṭhāneva dibbacakkhuno visayabhūtaṃ rūpagatameva manasi karomi.
กสิณรูปานํ วเสเนตฺถ โอภาสสฺส ปริตฺตตาติ อาห ‘‘ปริตฺตฎฺฐาเน โอภาส’’นฺติฯ ปริตฺตานิ รูปานีติ กติปยานิ, สา จ เนสํ ปริตฺตตา ฐานวเสเนวาติ อาห ‘‘ปริตฺตกฎฺฐาเน รูปานี’’ติฯ ‘‘อปฺปมาณเญฺจวา’’ติอาทินา วุโตฺต ทุติยวาโรฯ โอภาสปริตฺตตํ สนฺธาย ปริกมฺมสมาธิ ‘‘ปริโตฺต’’ติ วุโตฺต ตเสฺสว โอภาสสฺส อปฺปมาณตาย อปฺปมาณสมาธีติ วจนโตฯ ตสฺมิํ สมเยติ ตสฺมิํ ปริตฺตสมาธิโน อุปฺปนฺนสมเยฯ ทิพฺพจกฺขุปิ ปริตฺตกํ โหติ ปริตฺตรูปคตทสฺสนโตฯ
Kasiṇarūpānaṃ vasenettha obhāsassa parittatāti āha ‘‘parittaṭṭhāne obhāsa’’nti. Parittāni rūpānīti katipayāni, sā ca nesaṃ parittatā ṭhānavasenevāti āha ‘‘parittakaṭṭhāne rūpānī’’ti. ‘‘Appamāṇañcevā’’tiādinā vutto dutiyavāro. Obhāsaparittataṃ sandhāya parikammasamādhi ‘‘paritto’’ti vutto tasseva obhāsassa appamāṇatāya appamāṇasamādhīti vacanato. Tasmiṃ samayeti tasmiṃ parittasamādhino uppannasamaye. Dibbacakkhupi parittakaṃ hoti parittarūpagatadassanato.
๒๔๕. ทุกติกชฺฌานสมาธินฺติ จตุกฺกนเย ทุกชฺฌานสมาธิํ, ปญฺจกนเย ติกชฺฌานสมาธินฺติ โยชนาฯ ทุกชฺฌานสมาธินฺติ จตุกฺกนเย ตติยจตุตฺถวเสน ทุกชฺฌานสมาธิํ, ปญฺจกนเย จตุตฺถปญฺจมวเสน ทุกชฺฌานสมาธิํฯ ติกจตุกฺกชฺฌานสมาธินฺติ จตุกฺกนเย ติกชฺฌานสมาธิํ, ปญฺจกนเย จตุกฺกชฺฌานสมาธินฺติ โยชนาฯ
245.Dukatikajjhānasamādhinti catukkanaye dukajjhānasamādhiṃ, pañcakanaye tikajjhānasamādhinti yojanā. Dukajjhānasamādhinti catukkanaye tatiyacatutthavasena dukajjhānasamādhiṃ, pañcakanaye catutthapañcamavasena dukajjhānasamādhiṃ. Tikacatukkajjhānasamādhinti catukkanaye tikajjhānasamādhiṃ, pañcakanaye catukkajjhānasamādhinti yojanā.
ติวิธนฺติ สปฺปีติกวเสน ติปฺปการํ สมาธิํฯ ตทโนฺตคธาติ สปฺปีติกาทิสภาวาฯ กามํ ภควา ปุริมยาเม ปุเพฺพนิวาสานุสฺสติญาณํ, ปจฺฉิมยาเม ทิพฺพจกฺขุญาณํ นิพฺพเตฺตโนฺตปิ อิมานิ ญาณานิ ภาเวสิเยวฯ วิปสฺสนาปาทกานิ ปน ญาณานิ สนฺธาย, ‘‘ปจฺฉิมยาเม’’ติ วุตฺตํ, เตนาห ‘‘ภควโต หี’’ติอาทิฯ ปญฺจมชฺฌานสฺสาติ ปญฺจมชฺฌานิกสฺส วเสน ปฐมชฺฌานิโก มโคฺค นตฺถิฯ โสติ ปญฺจกนโย ภควโต โลกิโย อโหสิฯ เอตนฺติ เอตํ, ‘‘สวิตกฺกมฺปิ สวิจารํ สมาธิํ ภาเวมี’’ติอาทิวจนํฯ โลกิยโลกุตฺตรมิสฺสกํ สนฺธาย วุตฺตํ, น ‘‘โลกิยํ วา โลกุตฺตรเมว วา’’ติฯ เสสํ สุวิเญฺญยฺยเมวาติฯ
Tividhanti sappītikavasena tippakāraṃ samādhiṃ. Tadantogadhāti sappītikādisabhāvā. Kāmaṃ bhagavā purimayāme pubbenivāsānussatiñāṇaṃ, pacchimayāme dibbacakkhuñāṇaṃ nibbattentopi imāni ñāṇāni bhāvesiyeva. Vipassanāpādakāni pana ñāṇāni sandhāya, ‘‘pacchimayāme’’ti vuttaṃ, tenāha ‘‘bhagavato hī’’tiādi. Pañcamajjhānassāti pañcamajjhānikassa vasena paṭhamajjhāniko maggo natthi. Soti pañcakanayo bhagavato lokiyo ahosi. Etanti etaṃ, ‘‘savitakkampi savicāraṃ samādhiṃ bhāvemī’’tiādivacanaṃ. Lokiyalokuttaramissakaṃ sandhāya vuttaṃ, na ‘‘lokiyaṃ vā lokuttarameva vā’’ti. Sesaṃ suviññeyyamevāti.
อุปกฺกิเลสสุตฺตวณฺณนาย ลีนตฺถปฺปกาสนา สมตฺตาฯ
Upakkilesasuttavaṇṇanāya līnatthappakāsanā samattā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๘. อุปกฺกิเลสสุตฺตํ • 8. Upakkilesasuttaṃ
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๘. อุปกฺกิเลสสุตฺตวณฺณนา • 8. Upakkilesasuttavaṇṇanā