English Edition
    Tipiṭaka / Tipiṭaka (English) / Majjhima Nikāya, English translation

    มชฺฌิม นิกาย ๕๖

    The Middle-Length Suttas Collection 56

    อุปาลิสุตฺต

    With Upāli

    เอวํ เม สุตํ—เอกํ สมยํ ภควา นาฬนฺทายํ วิหรติ ปาวาริกมฺพวเนฯ

    So I have heard. At one time the Buddha was staying near Nāḷandā in Pāvārika’s mango grove.

    เตน โข ปน สมเยน นิคณฺโฐ นาฏปุตฺโต นาฬนฺทายํ ปฏิวสติ มหติยา นิคณฺฐปริสาย สทฺธึฯ อถ โข ทีฆตปสฺสี นิคณฺโฐ นาฬนฺทายํ ปิณฺฑาย จริตฺวา ปจฺฉาภตฺตํ ปิณฺฑปาตปฏิกฺกนฺโต เยน ปาวาริกมฺพวนํ เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควตา สทฺธึ สมฺโมทิฯ

    At that time the Jain ascetic of the Ñātika clan was residing at Nāḷandā together with a large assembly of Jain ascetics. Then the Jain ascetic Dīgha Tapassī wandered for alms in Nāḷandā. After the meal, on his return from almsround, he went to Pāvārika’s mango grove. There he approached the Buddha, and exchanged greetings with him.

    สมฺโมทนียํ กถํ สารณียํ วีติสาเรตฺวา เอกมนฺตํ อฏฺฐาสิฯ เอกมนฺตํ ฐิตํ โข ทีฆตปสฺสึ นิคณฺฐํ ภควา เอตทโวจ: “สํวิชฺชนฺติ โข, ตปสฺสิ, อาสนานิ; สเจ อากงฺขสิ นิสีทา”ติฯ

    When the greetings and polite conversation were over, he stood to one side. The Buddha said to him, “There are seats, Tapassī. Please sit if you wish.”

    เอวํ วุตฺเต, ทีฆตปสฺสี นิคณฺโฐ อญฺญตรํ นีจํ อาสนํ คเหตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺนํ โข ทีฆตปสฺสึ นิคณฺฐํ ภควา เอตทโวจ: “กติ ปน, ตปสฺสิ, นิคณฺโฐ นาฏปุตฺโต กมฺมานิ ปญฺญเปติ ปาปสฺส กมฺมสฺส กิริยาย ปาปสฺส กมฺมสฺส ปวตฺติยา”ติ?

    When he said this, Dīgha Tapassī took a low seat and sat to one side. The Buddha said to him, “Tapassī, how many kinds of deed does the Jain ascetic of the Ñātika clan describe for performing bad deeds?”

    “น โข, อาวุโส โคตม, อาจิณฺณํ นิคณฺฐสฺส นาฏปุตฺตสฺส ‘กมฺมํ, กมฺมนฺ'ติ ปญฺญเปตุํ; ‘ทณฺฑํ, ทณฺฑนฺ'ติ โข, อาวุโส โคตม, อาจิณฺณํ นิคณฺฐสฺส นาฏปุตฺตสฺส ปญฺญเปตุนฺ”ติฯ

    “Friend Gotama, the Jain Ñātika doesn’t usually speak in terms of ‘deeds’. He usually speaks in terms of ‘rods’.”

    “กติ ปน, ตปสฺสิ, นิคณฺโฐ นาฏปุตฺโต ทณฺฑานิ ปญฺญเปติ ปาปสฺส กมฺมสฺส กิริยาย ปาปสฺส กมฺมสฺส ปวตฺติยา”ติ?

    “Then how many kinds of rod does the Jain Ñātika describe for performing bad deeds?”

    “ตีณิ โข, อาวุโส โคตม, นิคณฺโฐ นาฏปุตฺโต ทณฺฑานิ ปญฺญเปติ ปาปสฺส กมฺมสฺส กิริยาย ปาปสฺส กมฺมสฺส ปวตฺติยาติ, เสยฺยถิทํ—กายทณฺฑํ, วจีทณฺฑํ, มโนทณฺฑนฺ”ติฯ

    “The Jain Ñātika describes three kinds of rod for performing bad deeds: the physical rod, the verbal rod, and the mental rod.”

    “กึ ปน, ตปสฺสิ, อญฺญเทว กายทณฺฑํ, อญฺญํ วจีทณฺฑํ, อญฺญํ มโนทณฺฑนฺ”ติ?

    “But are these kinds of rod all distinct from each other?”

    “อญฺญเทว, อาวุโส โคตม, กายทณฺฑํ, อญฺญํ วจีทณฺฑํ, อญฺญํ มโนทณฺฑนฺ”ติฯ

    “Yes, each is quite distinct.”

    “อิเมสํ ปน, ตปสฺสิ, ติณฺณํ ทณฺฑานํ เอวํ ปฏิวิภตฺตานํ เอวํ ปฏิวิสิฏฺฐานํ กตมํ ทณฺฑํ นิคณฺโฐ นาฏปุตฺโต มหาสาวชฺชตรํ ปญฺญเปติ ปาปสฺส กมฺมสฺส กิริยาย ปาปสฺส กมฺมสฺส ปวตฺติยา, ยทิ วา กายทณฺฑํ, ยทิ วา วจีทณฺฑํ, ยทิ วา มโนทณฺฑนฺ”ติ?

    “Of the three rods thus analyzed and differentiated, which rod does the Jain Ñātika describe as being the most blameworthy for performing bad deeds: the physical rod, the verbal rod, or the mental rod?”

    “อิเมสํ โข, อาวุโส โคตม, ติณฺณํ ทณฺฑานํ เอวํ ปฏิวิภตฺตานํ เอวํ ปฏิวิสิฏฺฐานํ กายทณฺฑํ นิคณฺโฐ นาฏปุตฺโต มหาสาวชฺชตรํ ปญฺญเปติ ปาปสฺส กมฺมสฺส กิริยาย ปาปสฺส กมฺมสฺส ปวตฺติยา, โน ตถา วจีทณฺฑํ, โน ตถา มโนทณฺฑนฺ”ติฯ

    “The the Jain Ñātika describes the physical rod as being the most blameworthy for performing bad deeds, not so much the verbal rod or the mental rod.”

    “กายทณฺฑนฺติ, ตปสฺสิ, วเทสิ”?

    “Do you say the physical rod, Tapassī?”

    “กายทณฺฑนฺติ, อาวุโส โคตม, วทามิ”ฯ

    “I say the physical rod, Friend Gotama.”

    “กายทณฺฑนฺติ, ตปสฺสิ, วเทสิ”?

    “Do you say the physical rod, Tapassī?”

    “กายทณฺฑนฺติ, อาวุโส โคตม, วทามิ”ฯ

    “I say the physical rod, Friend Gotama.”

    “กายทณฺฑนฺติ, ตปสฺสิ, วเทสิ”?

    “Do you say the physical rod, Tapassī?”

    “กายทณฺฑนฺติ, อาวุโส โคตม, วทามี”ติฯ

    “I say the physical rod, Friend Gotama.”

    อิติห ภควา ทีฆตปสฺสึ นิคณฺฐํ อิมสฺมึ กถาวตฺถุสฺมึ ยาวตติยกํ ปติฏฺฐาเปสิฯ

    Thus the Buddha made Dīgha Tapassī stand by this point up to the third time.

    เอวํ วุตฺเต, ทีฆตปสฺสี นิคณฺโฐ ภควนฺตํ เอตทโวจ: “ตฺวํ ปนาวุโส โคตม, กติ ทณฺฑานิ ปญฺญเปสิ ปาปสฺส กมฺมสฺส กิริยาย ปาปสฺส กมฺมสฺส ปวตฺติยา”ติ?

    When this was said, Dīgha Tapassī said to the Buddha, “But Friend Gotama, how many kinds of rod do you describe for performing bad deeds?”

    “น โข, ตปสฺสิ, อาจิณฺณํ ตถาคตสฺส ‘ทณฺฑํ, ทณฺฑนฺ'ติ ปญฺญเปตุํ; ‘กมฺมํ, กมฺมนฺ'ติ โข, ตปสฺสิ, อาจิณฺณํ ตถาคตสฺส ปญฺญเปตุนฺ”ติ?

    “Tapassī, the Realized One doesn’t usually speak in terms of ‘rods’. He usually speaks in terms of ‘deeds’.”

    “ตฺวํ ปนาวุโส โคตม, กติ กมฺมานิ ปญฺญเปสิ ปาปสฺส กมฺมสฺส กิริยาย ปาปสฺส กมฺมสฺส ปวตฺติยา”ติ?

    “Then how many kinds of deed do you describe for performing bad deeds?”

    “ตีณิ โข อหํ, ตปสฺสิ, กมฺมานิ ปญฺญเปมิ ปาปสฺส กมฺมสฺส กิริยาย ปาปสฺส กมฺมสฺส ปวตฺติยา, เสยฺยถิทํ—กายกมฺมํ, วจีกมฺมํ, มโนกมฺมนฺ”ติฯ

    “I describe three kinds of deed for performing bad deeds: physical deeds, verbal deeds, and mental deeds.”

    “กึ ปนาวุโส โคตม, อญฺญเทว กายกมฺมํ, อญฺญํ วจีกมฺมํ, อญฺญํ มโนกมฺมนฺ”ติ?

    “But are these kinds of deed all distinct from each other?”

    “อญฺญเทว, ตปสฺสิ, กายกมฺมํ, อญฺญํ วจีกมฺมํ, อญฺญํ มโนกมฺมนฺ”ติฯ

    “Yes, each is quite distinct.”

    “อิเมสํ ปนาวุโส โคตม, ติณฺณํ กมฺมานํ เอวํ ปฏิวิภตฺตานํ เอวํ ปฏิวิสิฏฺฐานํ กตมํ กมฺมํ มหาสาวชฺชตรํ ปญฺญเปสิ ปาปสฺส กมฺมสฺส กิริยาย ปาปสฺส กมฺมสฺส ปวตฺติยา, ยทิ วา กายกมฺมํ, ยทิ วา วจีกมฺมํ, ยทิ วา มโนกมฺมนฺ”ติ?

    “Of the three deeds thus analyzed and differentiated, which deed do you describe as being the most blameworthy for performing bad deeds: physical deeds, verbal deeds, or mental deeds?”

    “อิเมสํ โข อหํ, ตปสฺสิ, ติณฺณํ กมฺมานํ เอวํ ปฏิวิภตฺตานํ เอวํ ปฏิวิสิฏฺฐานํ มโนกมฺมํ มหาสาวชฺชตรํ ปญฺญเปมิ ปาปสฺส กมฺมสฺส กิริยาย ปาปสฺส กมฺมสฺส ปวตฺติยา, โน ตถา กายกมฺมํ, โน ตถา วจีกมฺมนฺ”ติฯ

    “I describe mental deeds as being the most blameworthy for performing bad deeds, not so much physical deeds or verbal deeds.”

    “มโนกมฺมนฺติ, อาวุโส โคตม, วเทสิ”?

    “Do you say mental deeds, Friend Gotama?”

    “มโนกมฺมนฺติ, ตปสฺสิ, วทามิ”ฯ

    “I say mental deeds, Tapassī.”

    “มโนกมฺมนฺติ, อาวุโส โคตม, วเทสิ”?

    “Do you say mental deeds, Friend Gotama?”

    “มโนกมฺมนฺติ, ตปสฺสิ, วทามิ”ฯ

    “I say mental deeds, Tapassī.”

    “มโนกมฺมนฺติ, อาวุโส โคตม, วเทสิ”?

    “Do you say mental deeds, Friend Gotama?”

    “มโนกมฺมนฺติ, ตปสฺสิ, วทามี”ติฯ

    “I say mental deeds, Tapassī.”

    อิติห ทีฆตปสฺสี นิคณฺโฐ ภควนฺตํ อิมสฺมึ กถาวตฺถุสฺมึ ยาวตติยกํ ปติฏฺฐาเปตฺวา อุฏฺฐายาสนา เยน นิคณฺโฐ นาฏปุตฺโต เตนุปสงฺกมิฯ

    Thus the Jain ascetic Dīgha Tapassī made the Buddha stand by this point up to the third time, after which he got up from his seat and went to see the Jain Ñātika.

    เตน โข ปน สมเยน นิคณฺโฐ นาฏปุตฺโต มหติยา คิหิปริสาย สทฺธึ นิสินฺโน โหติ พาลกินิยา ปริสาย อุปาลิปมุขายฯ อทฺทสา โข นิคณฺโฐ นาฏปุตฺโต ทีฆตปสฺสึ นิคณฺฐํ ทูรโตว อาคจฺฉนฺตํ; ทิสฺวาน ทีฆตปสฺสึ นิคณฺฐํ เอตทโวจ: “หนฺท กุโต นุ ตฺวํ, ตปสฺสิ, อาคจฺฉสิ ทิวา ทิวสฺสา”ติ?

    Now at that time the Jain Ñātika was sitting together with a large assembly of laypeople of Bālaka headed by Upāli. The Jain Ñātika saw Dīgha Tapassī coming off in the distance and said to him, “So, Tapassī, where are you coming from in the middle of the day?”

    “อิโต หิ โข อหํ, ภนฺเต, อาคจฺฉามิ สมณสฺส โคตมสฺส สนฺติกา”ติฯ

    “Just now, sir, I’ve come from the presence of the ascetic Gotama.”

    “อหุ ปน เต, ตปสฺสิ, สมเณน โคตเมน สทฺธึ โกจิเทว กถาสลฺลาโป”ติ?

    “But did you have some discussion with him?”

    “อหุ โข เม, ภนฺเต, สมเณน โคตเมน สทฺธึ โกจิเทว กถาสลฺลาโป”ติฯ

    “I did.”

    “ยถา กถํ ปน เต, ตปสฺสิ, อหุ สมเณน โคตเมน สทฺธึ โกจิเทว กถาสลฺลาโป”ติ? อถ โข ทีฆตปสฺสี นิคณฺโฐ ยาวตโก อโหสิ ภควตา สทฺธึ กถาสลฺลาโป ตํ สพฺพํ นิคณฺฐสฺส นาฏปุตฺตสฺส อาโรเจสิฯ เอวํ วุตฺเต, นิคณฺโฐ นาฏปุตฺโต ทีฆตปสฺสึ นิคณฺฐํ เอตทโวจ: “สาธุ สาธุ, ตปสฺสิฯ ยถา ตํ สุตวตา สาวเกน สมฺมเทว สตฺถุสาสนํ อาชานนฺเตน เอวเมว ทีฆตปสฺสินา นิคณฺเฐน สมณสฺส โคตมสฺส พฺยากตํฯ กิญฺหิ โสภติ ฉโว มโนทณฺโฑ อิมสฺส เอวํ โอฬาริกสฺส กายทณฺฑสฺส อุปนิธายฯ อถ โข กายทณฺโฑว มหาสาวชฺชตโร ปาปสฺส กมฺมสฺส กิริยาย ปาปสฺส กมฺมสฺส ปวตฺติยา, โน ตถา วจีทณฺโฑ, โน ตถา มโนทณฺโฑ”ติฯ

    “And what kind of discussion did you have with him?” Then Dīgha Tapassī informed the Jain Ñātika of all they had discussed. When he had spoken, the Jain Ñātika said to him, “Good, good, Tapassī! Dīgha Tapassī has answered the ascetic Gotama like a learned disciple who rightly understands their teacher’s instructions. For how impressive is the measly mental rod when compared with the substantial physical rod? Rather, the physical rod is the most blameworthy for performing bad deeds, not so much the verbal rod or the mental rod.”

    เอวํ วุตฺเต, อุปาลิ คหปติ นิคณฺฐํ นาฏปุตฺตํ เอตทโวจ: “สาธุ สาธุ, ภนฺเต ทีฆตปสฺสีฯ ยถา ตํ สุตวตา สาวเกน สมฺมเทว สตฺถุสาสนํ อาชานนฺเตน เอวเมวํ ภทนฺเตน ตปสฺสินา สมณสฺส โคตมสฺส พฺยากตํฯ กิญฺหิ โสภติ ฉโว มโนทณฺโฑ อิมสฺส เอวํ โอฬาริกสฺส กายทณฺฑสฺส อุปนิธายฯ อถ โข กายทณฺโฑว มหาสาวชฺชตโร ปาปสฺส กมฺมสฺส กิริยาย ปาปสฺส กมฺมสฺส ปวตฺติยา, โน ตถา วจีทณฺโฑ, โน ตถา มโนทณฺโฑฯ

    When he said this, the householder Upāli said to him, “Good, sir! Well done, Dīgha Tapassī! The Honorable Tapassī has answered the ascetic Gotama like a learned disciple who rightly understands their teacher’s instructions. For how impressive is the measly mental rod when compared with the substantial physical rod? Rather, the physical rod is the most blameworthy for performing bad deeds, not so much the verbal rod or the mental rod.

    หนฺท จาหํ, ภนฺเต, คจฺฉามิ สมณสฺส โคตมสฺส อิมสฺมึ กถาวตฺถุสฺมึ วาทํ อาโรเปสฺสามิฯ สเจ เม สมโณ โคตโม ตถา ปติฏฺฐหิสฺสติ ยถา ภทนฺเตน ตปสฺสินา ปติฏฺฐาปิตํ; เสยฺยถาปิ นาม พลวา ปุริโส ทีฆโลมิกํ เอฬกํ โลเมสุ คเหตฺวา อากฑฺเฒยฺย ปริกฑฺเฒยฺย สมฺปริกฑฺเฒยฺย; เอวเมวาหํ สมณํ โคตมํ วาเทน วาทํ อากฑฺฒิสฺสามิ ปริกฑฺฒิสฺสามิ สมฺปริกฑฺฒิสฺสามิฯ เสยฺยถาปิ นาม พลวา โสณฺฑิกากมฺมกาโร มหนฺตํ โสณฺฑิกากิลญฺชํ คมฺภีเร อุทกรหเท ปกฺขิปิตฺวา กณฺเณ คเหตฺวา อากฑฺเฒยฺย ปริกฑฺเฒยฺย สมฺปริกฑฺเฒยฺย; เอวเมวาหํ สมณํ โคตมํ วาเทน วาทํ อากฑฺฒิสฺสามิ ปริกฑฺฒิสฺสามิ สมฺปริกฑฺฒิสฺสามิฯ เสยฺยถาปิ นาม พลวา โสณฺฑิกาธุตฺโต วาลํ กณฺเณ คเหตฺวา โอธุเนยฺย นิทฺธุเนยฺย นิปฺโผเฏยฺย; เอวเมวาหํ สมณํ โคตมํ วาเทน วาทํ โอธุนิสฺสามิ นิทฺธุนิสฺสามิ นิปฺโผเฏสฺสามิฯ เสยฺยถาปิ นาม กุญฺชโร สฏฺฐิหายโน คมฺภีรํ โปกฺขรณึ โอคาเหตฺวา สาณโธวิกํ นาม กีฬิตชาตํ กีฬติ; เอวเมวาหํ สมณํ โคตมํ สาณโธวิกํ มญฺเญ กีฬิตชาตํ กีฬิสฺสามิฯ หนฺท จาหํ, ภนฺเต, คจฺฉามิ สมณสฺส โคตมสฺส อิมสฺมึ กถาวตฺถุสฺมึ วาทํ อาโรเปสฺสามี”ติฯ

    I’d better go and refute the ascetic Gotama’s doctrine regarding this point. If he stands by the position that he stated to Dīgha Tapassī, I’ll take him on in debate and drag him to and fro and round about, like a strong man would drag a fleecy sheep to and fro and round about! Taking him on in debate, I’ll drag him to and fro and round about, like a strong brewer’s worker would toss a large brewer’s sieve into a deep lake, grab it by the corners, and drag it to and fro and round about! Taking him on in debate, I’ll shake him down and about and give him a beating, like a strong brewer’s mixer would grab a strainer by the corners and shake it down and about, and give it a beating! I’ll play a game of ear-washing with the ascetic Gotama, like a sixty-year-old elephant would plunge into a deep lotus pond and play a game of ear-washing! Sir, I’d better go and refute the ascetic Gotama’s doctrine on this point.”

    “คจฺฉ ตฺวํ, คหปติ, สมณสฺส โคตมสฺส อิมสฺมึ กถาวตฺถุสฺมึ วาทํ อาโรเปหิฯ อหํ วา หิ, คหปติ, สมณสฺส โคตมสฺส วาทํ อาโรเปยฺยํ, ทีฆตปสฺสี วา นิคณฺโฐ, ตฺวํ วา”ติฯ

    “Go, householder, refute the ascetic Gotama’s doctrine on this point. For either I should do so, or Dīgha Tapassī, or you.”

    เอวํ วุตฺเต, ทีฆตปสฺสี นิคณฺโฐ นิคณฺฐํ นาฏปุตฺตํ เอตทโวจ: “น โข เมตํ, ภนฺเต, รุจฺจติ ยํ อุปาลิ คหปติ สมณสฺส โคตมสฺส วาทํ อาโรเปยฺยฯ สมโณ หิ, ภนฺเต, โคตโม มายาวี อาวฏฺฏนึ มายํ ชานาติ ยาย อญฺญติตฺถิยานํ สาวเก อาวฏฺเฏตี”ติฯ

    When he said this, Dīgha Tapassī said to the Jain Ñātika, “Sir, I don’t believe it’s a good idea for the householder Upāli to rebut the ascetic Gotama’s doctrine. For the ascetic Gotama is a magician. He knows a conversion magic, and uses it to convert the disciples of other religions.”

    “อฏฺฐานํ โข เอตํ, ตปสฺสิ, อนวกาโส ยํ อุปาลิ คหปติ สมณสฺส โคตมสฺส สาวกตฺตํ อุปคจฺเฉยฺยฯ ฐานญฺจ โข เอตํ วิชฺชติ ยํ สมโณ โคตโม อุปาลิสฺส คหปติสฺส สาวกตฺตํ อุปคจฺเฉยฺยฯ คจฺฉ ตฺวํ, คหปติ, สมณสฺส โคตมสฺส อิมสฺมึ กถาวตฺถุสฺมึ วาทํ อาโรเปหิฯ อหํ วา หิ, คหปติ, สมณสฺส โคตมสฺส วาทํ อาโรเปยฺยํ, ทีฆตปสฺสี วา นิคณฺโฐ, ตฺวํ วา”ติฯ

    “It is impossible, Tapassī, it cannot happen that Upāli could become Gotama’s disciple. But it is possible that Gotama could become Upāli’s disciple. Go, householder, refute the ascetic Gotama’s doctrine on this point. For either I should do so, or Dīgha Tapassī, or you.”

    ทุติยมฺปิ โข ทีฆตปสฺสี …เป… ตติยมฺปิ โข ทีฆตปสฺสี นิคณฺโฐ นิคณฺฐํ นาฏปุตฺตํ เอตทโวจ: “น โข เมตํ, ภนฺเต, รุจฺจติ ยํ อุปาลิ คหปติ สมณสฺส โคตมสฺส วาทํ อาโรเปยฺยฯ สมโณ หิ, ภนฺเต, โคตโม มายาวี อาวฏฺฏนึ มายํ ชานาติ ยาย อญฺญติตฺถิยานํ สาวเก อาวฏฺเฏตี”ติฯ

    For a second time … and a third time, Dīgha Tapassī said to the Jain Ñātika, “Sir, I don’t believe it’s a good idea for the householder Upāli to rebut the ascetic Gotama’s doctrine. For the ascetic Gotama is a magician. He knows a conversion magic, and uses it to convert the disciples of other religions.”

    “อฏฺฐานํ โข เอตํ, ตปสฺสิ, อนวกาโส ยํ อุปาลิ คหปติ สมณสฺส โคตมสฺส สาวกตฺตํ อุปคจฺเฉยฺยฯ ฐานญฺจ โข เอตํ วิชฺชติ ยํ สมโณ โคตโม อุปาลิสฺส คหปติสฺส สาวกตฺตํ อุปคจฺเฉยฺยฯ คจฺฉ ตฺวํ, คหปติ, สมณสฺส โคตมสฺส อิมสฺมึ กถาวตฺถุสฺมึ วาทํ อาโรเปหิฯ อหํ วา หิ, คหปติ, สมณสฺส โคตมสฺส วาทํ อาโรเปยฺยํ, ทีฆตปสฺสี วา นิคณฺโฐ, ตฺวํ วา”ติฯ

    “It is impossible, Tapassī, it cannot happen that Upāli could become Gotama’s disciple. But it is possible that Gotama could become Upāli’s disciple. Go, householder, refute the ascetic Gotama’s doctrine on this point. For either I should do so, or Dīgha Tapassī, or you.”

    “เอวํ, ภนฺเต”ติ โข อุปาลิ คหปติ นิคณฺฐสฺส นาฏปุตฺตสฺส ปฏิสฺสุตฺวา อุฏฺฐายาสนา นิคณฺฐํ นาฏปุตฺตํ อภิวาเทตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา เยน ปาวาริกมฺพวนํ เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺโน โข อุปาลิ คหปติ ภควนฺตํ เอตทโวจ: “อาคมา นุ ขฺวิธ, ภนฺเต, ทีฆตปสฺสี นิคณฺโฐ”ติ?

    “Yes, sir,” replied the householder Upāli to the Jain Ñātika. He got up from his seat, bowed, and respectfully circled him, keeping him on his right. Then he went to the Buddha, bowed, sat down to one side, and said to him, “Sir, did the Jain ascetic Dīgha Tapassī come here?”

    “อาคมา ขฺวิธ, คหปติ, ทีฆตปสฺสี นิคณฺโฐ”ติฯ

    “He did, householder.”

    “อหุ โข ปน เต, ภนฺเต, ทีฆตปสฺสินา นิคณฺเฐน สทฺธึ โกจิเทว กถาสลฺลาโป”ติ?

    “But did you have some discussion with him?”

    “อหุ โข เม, คหปติ, ทีฆตปสฺสินา นิคณฺเฐน สทฺธึ โกจิเทว กถาสลฺลาโป”ติฯ

    “I did.”

    “ยถา กถํ ปน เต, ภนฺเต, อหุ ทีฆตปสฺสินา นิคณฺเฐน สทฺธึ โกจิเทว กถาสลฺลาโป”ติ?

    “And what kind of discussion did you have with him?”

    อถ โข ภควา ยาวตโก อโหสิ ทีฆตปสฺสินา นิคณฺเฐน สทฺธึ กถาสลฺลาโป ตํ สพฺพํ อุปาลิสฺส คหปติสฺส อาโรเจสิฯ

    Then the Buddha informed Upāli of all they had discussed.

    เอวํ วุตฺเต, อุปาลิ คหปติ ภควนฺตํ เอตทโวจ: “สาธุ สาธุ, ภนฺเต ตปสฺสีฯ ยถา ตํ สุตวตา สาวเกน สมฺมเทว สตฺถุสาสนํ อาชานนฺเตน เอวเมวํ ทีฆตปสฺสินา นิคณฺเฐน ภควโต พฺยากตํฯ กิญฺหิ โสภติ ฉโว มโนทณฺโฑ อิมสฺส เอวํ โอฬาริกสฺส กายทณฺฑสฺส อุปนิธาย? อถ โข กายทณฺโฑว มหาสาวชฺชตโร ปาปสฺส กมฺมสฺส กิริยาย ปาปสฺส กมฺมสฺส ปวตฺติยา, โน ตถา วจีทณฺโฑ, โน ตถา มโนทณฺโฑ”ติฯ

    When he said this, the householder Upāli said to him, “Good, sir, well done by Tapassī! The Honorable Tapassī has answered the ascetic Gotama like a learned disciple who rightly understands their teacher’s instructions. For how impressive is the measly mental rod when compared with the substantial physical rod? Rather, the physical rod is the most blameworthy for performing bad deeds, not so much the verbal rod or the mental rod.”

    “สเจ โข ตฺวํ, คหปติ, สจฺเจ ปติฏฺฐาย มนฺเตยฺยาสิ สิยา โน เอตฺถ กถาสลฺลาโป”ติฯ

    “Householder, so long as you debate on the basis of truth, we can have some discussion about this.”

    “สจฺเจ อหํ, ภนฺเต, ปติฏฺฐาย มนฺเตสฺสามิ; โหตุ โน เอตฺถ กถาสลฺลาโป”ติฯ

    “I will debate on the basis of truth, sir. Let us have some discussion about this.”

    “ตํ กึ มญฺญสิ, คหปติ, อิธสฺส นิคณฺโฐ อาพาธิโก ทุกฺขิโต พาฬฺหคิลาโน สีโตทกปฏิกฺขิตฺโต อุโณฺหทกปฏิเสวีฯ โส สีโตทกํ อลภมาโน กาลํ กเรยฺยฯ อิมสฺส ปน, คหปติ, นิคณฺโฐ นาฏปุตฺโต กตฺถูปปตฺตึ ปญฺญเปตี”ติ?

    “What do you think, householder? Take a Jain ascetic who is sick, suffering, gravely ill. They reject cold water and use only hot water. Not getting cold water, they might die. Now, where does the Jain Ñātika say they would be reborn?”

    “อตฺถิ, ภนฺเต, มโนสตฺตา นาม เทวา ตตฺถ โส อุปปชฺชติ”ฯ “ตํ กิสฺส เหตุ”? “อสุ หิ, ภนฺเต, มโนปฏิพทฺโธ กาลํ กโรตี”ติฯ

    “Sir, there are gods called ‘mind-bound’. They would be reborn there. Why is that? Because they died with mental attachment.”

    “มนสิ กโรหิ, คหปติ, มนสิ กริตฺวา โข, คหปติ, พฺยากโรหิฯ น โข เต สนฺธิยติ ปุริเมน วา ปจฺฉิมํ, ปจฺฉิเมน วา ปุริมํฯ ภาสิตา โข ปน เต, คหปติ, เอสา วาจา: ‘สจฺเจ อหํ, ภนฺเต, ปติฏฺฐาย มนฺเตสฺสามิ, โหตุ โน เอตฺถ กถาสลฺลาโป'”ติฯ

    “Think about it, householder! You should think before answering. What you said before and what you said after don’t match up. But you said that you would debate on the basis of truth.”

    “กิญฺจาปิ, ภนฺเต, ภควา เอวมาห, อถ โข กายทณฺโฑว มหาสาวชฺชตโร ปาปสฺส กมฺมสฺส กิริยาย ปาปสฺส กมฺมสฺส ปวตฺติยา, โน ตถา วจีทณฺโฑ, โน ตถา มโนทณฺโฑ”ติฯ

    “Even though the Buddha says this, still the physical rod is the most blameworthy for performing bad deeds, not so much the verbal rod or the mental rod.”

    “ตํ กึ มญฺญสิ, คหปติ, อิธสฺส นิคณฺโฐ นาฏปุตฺโต จาตุยามสํวรสํวุโต สพฺพวาริวาริโต สพฺพวาริยุตฺโต สพฺพวาริธุโต สพฺพวาริผุโฏฯ โส อภิกฺกมนฺโต ปฏิกฺกมนฺโต พหู ขุทฺทเก ปาเณ สงฺฆาตํ อาปาเทติฯ อิมสฺส ปน, คหปติ, นิคณฺโฐ นาฏปุตฺโต กํ วิปากํ ปญฺญเปตี”ติ?

    “What do you think, householder? Take a Jain ascetic who is restrained in the fourfold restraint: obstructed by all water, devoted to all water, shaking off all water, pervaded by all water. When going out and coming back they accidentally injure many little creatures. Now, what result does the Jain Ñātika say they would incur?”

    “อสญฺเจตนิกํ, ภนฺเต, นิคณฺโฐ นาฏปุตฺโต โน มหาสาวชฺชํ ปญฺญเปตี”ติฯ

    “Sir, the Jain Ñātika says that unintentional acts are not very blameworthy.”

    “สเจ ปน, คหปติ, เจเตตี”ติ?

    “But if they are intentional?”

    “มหาสาวชฺชํ, ภนฺเต, โหตี”ติฯ

    “Then they are very blameworthy.”

    “เจตนํ ปน, คหปติ, นิคณฺโฐ นาฏปุตฺโต กิสฺมึ ปญฺญเปตี”ติ?

    “But where does the Jain Ñātika say that intention is classified?”

    “มโนทณฺฑสฺมึ, ภนฺเต”ติฯ

    “In the mental rod, sir.”

    “มนสิ กโรหิ, คหปติ, มนสิ กริตฺวา โข, คหปติ, พฺยากโรหิฯ น โข เต สนฺธิยติ ปุริเมน วา ปจฺฉิมํ, ปจฺฉิเมน วา ปุริมํฯ ภาสิตา โข ปน เต, คหปติ, เอสา วาจา: ‘สจฺเจ อหํ, ภนฺเต, ปติฏฺฐาย มนฺเตสฺสามิ; โหตุ โน เอตฺถ กถาสลฺลาโป'”ติฯ

    “Think about it, householder! You should think before answering. What you said before and what you said after don’t match up. But you said that you would debate on the basis of truth.”

    “กิญฺจาปิ, ภนฺเต, ภควา เอวมาห, อถ โข กายทณฺโฑว มหาสาวชฺชตโร ปาปสฺส กมฺมสฺส กิริยาย ปาปสฺส กมฺมสฺส ปวตฺติยา, โน ตถา วจีทณฺโฑ, โน ตถา มโนทณฺโฑ”ติฯ

    “Even though the Buddha says this, still the physical rod is the most blameworthy for performing bad deeds, not so much the verbal rod or the mental rod.”

    “ตํ กึ มญฺญสิ, คหปติ, อยํ นาฬนฺทา อิทฺธา เจว ผีตา จ พหุชนา อากิณฺณมนุสฺสา”ติ?

    “What do you think, householder? Is this Nāḷandā successful and prosperous, populous, full of people?”

    “เอวํ, ภนฺเต, อยํ นาฬนฺทา อิทฺธา เจว ผีตา จ พหุชนา อากิณฺณมนุสฺสา”ติฯ

    “Indeed it is, sir.”

    “ตํ กึ มญฺญสิ, คหปติ, อิธ ปุริโส อาคจฺเฉยฺย อุกฺขิตฺตาสิโกฯ โส เอวํ วเทยฺย: ‘อหํ ยาวติกา อิมิสฺสา นาฬนฺทาย ปาณา เต เอเกน ขเณน เอเกน มุหุตฺเตน เอกํ มํสขลํ เอกํ มํสปุญฺชํ กริสฺสามี'ติฯ ตํ กึ มญฺญสิ, คหปติ, ปโหติ นุ โข โส ปุริโส ยาวติกา อิมิสฺสา นาฬนฺทาย ปาณา เต เอเกน ขเณน เอเกน มุหุตฺเตน เอกํ มํสขลํ เอกํ มํสปุญฺชํ กาตุนฺ”ติ?

    “What do you think, householder? Suppose a man were to come along with a drawn sword and say: ‘In one moment I will reduce all the living creatures within the bounds of Nāḷandā to one heap and mass of flesh!’ What do you think, householder? Could he do that?”

    “ทสปิ, ภนฺเต, ปุริสา, วีสมฺปิ, ภนฺเต, ปุริสา, ตึสมฺปิ, ภนฺเต, ปุริสา, จตฺตารีสมฺปิ, ภนฺเต, ปุริสา, ปญฺญาสมฺปิ, ภนฺเต, ปุริสา นปฺปโหนฺติ ยาวติกา อิมิสฺสา นาฬนฺทาย ปาณา เต เอเกน ขเณน เอเกน มุหุตฺเตน เอกํ มํสขลํ เอกํ มํสปุญฺชํ กาตุํฯ กิญฺหิ โสภติ เอโก ฉโว ปุริโส”ติฯ

    “Sir, even ten, twenty, thirty, forty, or fifty men couldn’t do that. How impressive is one measly man?”

    “ตํ กึ มญฺญสิ, คหปติ, อิธ อาคจฺเฉยฺย สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา อิทฺธิมา เจโตวสิปฺปตฺโตฯ โส เอวํ วเทยฺย: ‘อหํ อิมํ นาฬนฺทํ เอเกน มโนปโทเสน ภสฺมํ กริสฺสามี'ติฯ ตํ กึ มญฺญสิ, คหปติ, ปโหติ นุ โข โส สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา อิทฺธิมา เจโตวสิปฺปตฺโต อิมํ นาฬนฺทํ เอเกน มโนปโทเสน ภสฺมํ กาตุนฺ”ติ?

    “What do you think, householder? Suppose an ascetic or brahmin with psychic power, who has achieved mastery of the mind, were to come along and say: ‘I will reduce Nāḷandā to ashes with a single malevolent act of will!’ What do you think, householder? Could he do that?”

    “ทสปิ, ภนฺเต, นาฬนฺทา, วีสมฺปิ นาฬนฺทา, ตึสมฺปิ นาฬนฺทา, จตฺตารีสมฺปิ นาฬนฺทา, ปญฺญาสมฺปิ นาฬนฺทา ปโหติ โส สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา อิทฺธิมา เจโตวสิปฺปตฺโต เอเกน มโนปโทเสน ภสฺมํ กาตุํฯ กิญฺหิ โสภติ เอกา ฉวา นาฬนฺทา”ติฯ

    “Sir, an ascetic or brahmin with psychic power, who has achieved mastery of the mind, could reduce ten, twenty, thirty, forty, or fifty Nāḷandās to ashes with a single malevolent act of will. How impressive is one measly Nāḷandā?”

    “มนสิ กโรหิ, คหปติ, มนสิ กริตฺวา โข, คหปติ, พฺยากโรหิฯ น โข เต สนฺธิยติ ปุริเมน วา ปจฺฉิมํ, ปจฺฉิเมน วา ปุริมํฯ ภาสิตา โข ปน เต, คหปติ, เอสา วาจา: ‘สจฺเจ อหํ, ภนฺเต, ปติฏฺฐาย มนฺเตสฺสามิ; โหตุ โน เอตฺถ กถาสลฺลาโป'”ติฯ

    “Think about it, householder! You should think before answering. What you said before and what you said after don’t match up. But you said that you would debate on the basis of truth.”

    “กิญฺจาปิ, ภนฺเต, ภควา เอวมาห, อถ โข กายทณฺโฑว มหาสาวชฺชตโร ปาปสฺส กมฺมสฺส กิริยาย ปาปสฺส กมฺมสฺส ปวตฺติยา, โน ตถา วจีทณฺโฑ, โน ตถา มโนทณฺโฑ”ติฯ

    “Even though the Buddha says this, still the physical rod is the most blameworthy for performing bad deeds, not so much the verbal rod or the mental rod.”

    “ตํ กึ มญฺญสิ, คหปติ, สุตํ เต ทณฺฑกีรญฺญํ กาลิงฺคารญฺญํ มชฺฌารญฺญํ มาตงฺคารญฺญํ อรญฺญํ อรญฺญภูตนฺ”ติ?

    “What do you think, householder? Have you heard how the wildernesses of Daṇḍaka, Kaliṅga, Mejjha, and Mātaṅga came to be that way?”

    “เอวํ, ภนฺเต, สุตํ เม ทณฺฑกีรญฺญํ กาลิงฺคารญฺญํ มชฺฌารญฺญํ มาตงฺคารญฺญํ อรญฺญํ อรญฺญภูตนฺ”ติฯ

    “I have, sir.”

    “ตํ กึ มญฺญสิ, คหปติ, กินฺติ เต สุตํ เกน ตํ ทณฺฑกีรญฺญํ กาลิงฺคารญฺญํ มชฺฌารญฺญํ มาตงฺคารญฺญํ อรญฺญํ อรญฺญภูตนฺ”ติ?

    “What have you heard?”

    “สุตํ เมตํ, ภนฺเต, อิสีนํ มโนปโทเสน ตํ ทณฺฑกีรญฺญํ กาลิงฺคารญฺญํ มชฺฌารญฺญํ มาตงฺคารญฺญํ อรญฺญํ อรญฺญภูตนฺ”ติฯ

    “I heard that it was because of a malevolent act of will by seers that the wildernesses of Daṇḍaka, Kaliṅga, Mejjha, and Mātaṅga came to be that way.”

    “มนสิ กโรหิ, คหปติ, มนสิ กริตฺวา โข, คหปติ, พฺยากโรหิฯ น โข เต สนฺธิยติ ปุริเมน วา ปจฺฉิมํ, ปจฺฉิเมน วา ปุริมํฯ ภาสิตา โข ปน เต, คหปติ, เอสา วาจา: ‘สจฺเจ อหํ, ภนฺเต, ปติฏฺฐาย มนฺเตสฺสามิ; โหตุ โน เอตฺถ กถาสลฺลาโป'”ติฯ

    “Think about it, householder! You should think before answering. What you said before and what you said after don’t match up. But you said that you would debate on the basis of truth.”

    “ปุริเมเนวาหํ, ภนฺเต, โอปมฺเมน ภควโต อตฺตมโน อภิรทฺโธฯ อปิ จาหํ อิมานิ ภควโต วิจิตฺรานิ ปญฺหปฏิภานานิ โสตุกาโม, เอวาหํ ภควนฺตํ ปจฺจนีกํ กาตพฺพํ อมญฺญิสฺสํฯ

    “Sir, I was already delighted and satisfied by the Buddha’s very first simile. Nevertheless, I wanted to hear the Buddha’s various solutions to the problem, so I thought I’d oppose you in this way.

    อภิกฺกนฺตํ, ภนฺเต, อภิกฺกนฺตํ, ภนฺเตฯ เสยฺยถาปิ, ภนฺเต, นิกฺกุชฺชิตํ วา อุกฺกุชฺเชยฺย, ปฏิจฺฉนฺนํ วา วิวเรยฺย, มูฬฺหสฺส วา มคฺคํ อาจิกฺเขยฺย, อนฺธกาเร วา เตลปชฺโชตํ ธาเรยฺย: ‘จกฺขุมนฺโต รูปานิ ทกฺขนฺตี'ติ; เอวเมวํ ภควตา อเนกปริยาเยน ธมฺโม ปกาสิโตฯ เอสาหํ, ภนฺเต, ภควนฺตํ สรณํ คจฺฉามิ ธมฺมญฺจ ภิกฺขุสงฺฆญฺจฯ อุปาสกํ มํ ภควา ธาเรตุ อชฺชตคฺเค ปาณุเปตํ สรณํ คตนฺ”ติฯ

    Excellent, sir! Excellent! As if he were righting the overturned, or revealing the hidden, or pointing out the path to the lost, or lighting a lamp in the dark so people with clear eyes can see what’s there, the Buddha has made the teaching clear in many ways. I go for refuge to the Buddha, to the teaching, and to the bhikkhu Saṅgha. From this day forth, may the Buddha remember me as a lay follower who has gone for refuge for life.”

    “อนุวิจฺจการํ โข, คหปติ, กโรหิ, อนุวิจฺจกาโร ตุมฺหาทิสานํ ญาตมนุสฺสานํ สาธุ โหตี”ติฯ

    “Householder, you should act after careful consideration. It’s good for well-known people such as yourself to act after careful consideration.”

    “อิมินาปาหํ, ภนฺเต, ภควโต ภิโยฺยโส มตฺตาย อตฺตมโน อภิรทฺโธ ยํ มํ ภควา เอวมาห: ‘อนุวิจฺจการํ โข, คหปติ, กโรหิ, อนุวิจฺจกาโร ตุมฺหาทิสานํ ญาตมนุสฺสานํ สาธุ โหตี'ติฯ มญฺหิ, ภนฺเต, อญฺญติตฺถิยา สาวกํ ลภิตฺวา เกวลกปฺปํ นาฬนฺทํ ปฏากํ ปริหเรยฺยุํ: ‘อุปาลิ อมฺหากํ คหปติ สาวกตฺตํ อุปคโต'ติฯ อถ จ ปน มํ ภควา เอวมาห: ‘อนุวิจฺจการํ โข, คหปติ, กโรหิ, อนุวิจฺจกาโร ตุมฺหาทิสานํ ญาตมนุสฺสานํ สาธุ โหตี'ติฯ

    “Now I’m even more delighted and satisfied with the Buddha, since he tells me to act after careful consideration. For if the followers of other religions were to gain me as a disciple, they’d carry a banner all over Nāḷandā, saying: ‘The householder Upāli has become our disciple!’ And yet the Buddha says: ‘Householder, you should act after careful consideration. It’s good for well-known people such as yourself to act after careful consideration.’

    เอสาหํ, ภนฺเต, ทุติยมฺปิ ภควนฺตํ สรณํ คจฺฉามิ ธมฺมญฺจ ภิกฺขุสงฺฆญฺจฯ อุปาสกํ มํ ภควา ธาเรตุ อชฺชตคฺเค ปาณุเปตํ สรณํ คตนฺ”ติฯ

    For a second time, I go for refuge to the Buddha, to the teaching, and to the bhikkhu Saṅgha. From this day forth, may the Buddha remember me as a lay follower who has gone for refuge for life.”

    “ทีฆรตฺตํ โข เต, คหปติ, นิคณฺฐานํ โอปานภูตํ กุลํ เยน เนสํ อุปคตานํ ปิณฺฑกํ ทาตพฺพํ มญฺเญยฺยาสี”ติฯ

    “For a long time now, householder, your family has been a well-spring of support for the Jain ascetics. You should consider giving to them when they come.”

    “อิมินาปาหํ, ภนฺเต, ภควโต ภิโยฺยโส มตฺตาย อตฺตมโน อภิรทฺโธ ยํ มํ ภควา เอวมาห: ‘ทีฆรตฺตํ โข เต, คหปติ, นิคณฺฐานํ โอปานภูตํ กุลํ เยน เนสํ อุปคตานํ ปิณฺฑกํ ทาตพฺพํ มญฺเญยฺยาสี'ติฯ สุตํ เมตํ, ภนฺเต, สมโณ โคตโม เอวมาห: ‘มยฺหเมว ทานํ ทาตพฺพํ, นาญฺเญสํ ทานํ ทาตพฺพํ; มยฺหเมว สาวกานํ ทานํ ทาตพฺพํ, นาญฺเญสํ สาวกานํ ทานํ ทาตพฺพํ; มยฺหเมว ทินฺนํ มหปฺผลํ, นาญฺเญสํ ทินฺนํ มหปฺผลํ; มยฺหเมว สาวกานํ ทินฺนํ มหปฺผลํ, นาญฺเญสํ สาวกานํ ทินฺนํ มหปฺผลนฺ'ติฯ อถ จ ปน มํ ภควา นิคณฺเฐสุปิ ทาเน สมาทเปติฯ อปิ จ, ภนฺเต, มยเมตฺถ กาลํ ชานิสฺสามฯ

    “Now I’m even more delighted and satisfied with the Buddha, since he tells me to consider giving to the Jain ascetics when they come. I have heard, sir, that the ascetic Gotama says this: ‘Gifts should only be given to me, not to others. Gifts should only be given to my disciples, not to the disciples of others. Only what is given to me is very fruitful, not what is given to others. Only what is given to my disciples is very fruitful, not what is given to the disciples of others.’ Yet the Buddha encourages me to give to the Jain ascetics. Well, sir, we’ll know the proper time for that.

    เอสาหํ, ภนฺเต, ตติยมฺปิ ภควนฺตํ สรณํ คจฺฉามิ ธมฺมญฺจ ภิกฺขุสงฺฆญฺจฯ อุปาสกํ มํ ภควา ธาเรตุ อชฺชตคฺเค ปาณุเปตํ สรณํ คตนฺ”ติฯ

    For a third time, I go for refuge to the Buddha, to the teaching, and to the bhikkhu Saṅgha. From this day forth, may the Buddha remember me as a lay follower who has gone for refuge for life.”

    อถ โข ภควา อุปาลิสฺส คหปติสฺส อนุปุพฺพึ กถํ กเถสิ, เสยฺยถิทํ—ทานกถํ สีลกถํ สคฺคกถํ, กามานํ อาทีนวํ โอการํ สงฺกิเลสํ, เนกฺขมฺเม อานิสํสํ ปกาเสสิฯ ยทา ภควา อญฺญาสิ อุปาลึ คหปตึ กลฺลจิตฺตํ มุทุจิตฺตํ วินีวรณจิตฺตํ อุทคฺคจิตฺตํ ปสนฺนจิตฺตํ, อถ ยา พุทฺธานํ สามุกฺกํสิกา ธมฺมเทสนา ตํ ปกาเสสิ—ทุกฺขํ, สมุทยํ, นิโรธํ, มคฺคํฯ เสยฺยถาปิ นาม สุทฺธํ วตฺถํ อปคตกาฬกํ สมฺมเทว รชนํ ปฏิคฺคเณฺหยฺย; เอวเมว อุปาลิสฺส คหปติสฺส ตสฺมึเยว อาสเน วิรชํ วีตมลํ ธมฺมจกฺขุํ อุทปาทิ: “ยํ กิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพํ ตํ นิโรธธมฺมนฺ”ติฯ อถ โข อุปาลิ คหปติ ทิฏฺฐธมฺโม ปตฺตธมฺโม วิทิตธมฺโม ปริโยคาฬฺหธมฺโม ติณฺณวิจิกิจฺโฉ วิคตกถงฺกโถ เวสารชฺชปฺปตฺโต อปรปฺปจฺจโย สตฺถุสาสเน ภควนฺตํ เอตทโวจ:

    Then the Buddha taught the householder Upāli step by step, with a talk on giving, ethical conduct, and heaven. He explained the drawbacks of sensual pleasures, so sordid and corrupt, and the benefit of renunciation. And when he knew that Upāli’s mind was ready, pliable, rid of hindrances, elated, and confident he explained the special teaching of the Buddhas: suffering, its origin, its cessation, and the path. Just as a clean cloth rid of stains would properly absorb dye, in that very seat the stainless, immaculate vision of the Dhamma arose in Upāli: “Everything that has a beginning has an end.” Then Upāli saw, attained, understood, and fathomed the Dhamma. He went beyond doubt, got rid of indecision, and became self-assured and independent of others regarding the Teacher’s instructions.

    “หนฺท จ ทานิ มยํ, ภนฺเต, คจฺฉาม, พหุกิจฺจา มยํ พหุกรณียา”ติฯ

    He said to the Buddha, “Well, now, sir, I must go. I have many duties, and much to do.”

    “ยสฺสทานิ ตฺวํ, คหปติ, กาลํ มญฺญสี”ติฯ

    “Please, householder, go at your convenience.”

    อถ โข อุปาลิ คหปติ ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทิตฺวา อนุโมทิตฺวา อุฏฺฐายาสนา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา เยน สกํ นิเวสนํ เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา โทวาริกํ อามนฺเตสิ: “อชฺชตคฺเค, สมฺม โทวาริก, อาวรามิ ทฺวารํ นิคณฺฐานํ นิคณฺฐีนํ, อนาวฏํ ทฺวารํ ภควโต ภิกฺขูนํ ภิกฺขุนีนํ อุปาสกานํ อุปาสิกานํฯ สเจ โกจิ นิคณฺโฐ อาคจฺฉติ ตเมนํ ตฺวํ เอวํ วเทยฺยาสิ: ‘ติฏฺฐ, ภนฺเต, มา ปาวิสิฯ อชฺชตคฺเค อุปาลิ คหปติ สมณสฺส โคตมสฺส สาวกตฺตํ อุปคโตฯ อาวฏํ ทฺวารํ นิคณฺฐานํ นิคณฺฐีนํ, อนาวฏํ ทฺวารํ ภควโต ภิกฺขูนํ ภิกฺขุนีนํ อุปาสกานํ อุปาสิกานํฯ สเจ เต, ภนฺเต, ปิณฺฑเกน อตฺโถ, เอตฺเถว ติฏฺฐ, เอตฺเถว เต อาหริสฺสนฺตี'”ติฯ

    And then the householder Upāli approved and agreed with what the Buddha said. He got up from his seat, bowed, and respectfully circled the Buddha, keeping him on his right. Then he went back to his own home, where he addressed the gatekeeper, “My good gatekeeper, from this day forth close the gate to Jain monks and nuns, and open it for the Buddha’s monks, nuns, laymen, and laywomen. If any Jain ascetics come, say this to them: ‘Wait, sir, do not enter. From now on the householder Upāli has become a disciple of the ascetic Gotama. His gate is closed to Jain monks and nuns, and opened for the Buddha’s monks, nuns, laymen, and laywomen. If you require almsfood, wait here, they will bring it to you.’”

    “เอวํ, ภนฺเต”ติ โข โทวาริโก อุปาลิสฺส คหปติสฺส ปจฺจโสฺสสิฯ

    “Yes, sir,” replied the gatekeeper.

    อโสฺสสิ โข ทีฆตปสฺสี นิคณฺโฐ: “อุปาลิ กิร คหปติ สมณสฺส โคตมสฺส สาวกตฺตํ อุปคโต”ติฯ อถ โข ทีฆตปสฺสี นิคณฺโฐ เยน นิคณฺโฐ นาฏปุตฺโต เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา นิคณฺฐํ นาฏปุตฺตํ เอตทโวจ: “สุตํ เมตํ, ภนฺเต, อุปาลิ กิร คหปติ สมณสฺส โคตมสฺส สาวกตฺตํ อุปคโต”ติฯ

    Dīgha Tapassī heard that Upāli had become a disciple of the ascetic Gotama. He went to the Jain Ñātika and said to him, “Sir, they say that the householder Upāli has become a disciple of the ascetic Gotama.”

    “อฏฺฐานํ โข เอตํ, ตปสฺสิ, อนวกาโส ยํ อุปาลิ คหปติ สมณสฺส โคตมสฺส สาวกตฺตํ อุปคจฺเฉยฺยฯ ฐานญฺจ โข เอตํ วิชฺชติ ยํ สมโณ โคตโม อุปาลิสฺส คหปติสฺส สาวกตฺตํ อุปคจฺเฉยฺยา”ติฯ

    “It is impossible, Tapassī, it cannot happen that Upāli could become Gotama’s disciple. But it is possible that Gotama could become Upāli’s disciple.”

    ทุติยมฺปิ โข ทีฆตปสฺสี นิคณฺโฐ …เป… ตติยมฺปิ โข ทีฆตปสฺสี นิคณฺโฐ นิคณฺฐํ นาฏปุตฺตํ เอตทโวจ: “สุตํ เมตํ, ภนฺเต …

    For a second time … and a third time, Dīgha Tapassī said to the Jain Ñātika, “Sir, they say that the householder Upāli has become a disciple of the ascetic Gotama.”

    เป… อุปาลิสฺส คหปติสฺส สาวกตฺตํ อุปคจฺเฉยฺยา”ติฯ

    “It is impossible, Tapassī, it cannot happen that Upāli could become Gotama’s disciple. But it is possible that Gotama could become Upāli’s disciple.”

    “หนฺทาหํ, ภนฺเต, คจฺฉามิ ยาว ชานามิ ยทิ วา อุปาลิ คหปติ สมณสฺส โคตมสฺส สาวกตฺตํ อุปคโต ยทิ วา โน”ติฯ

    “Well, sir, I’d better go and find out whether or not Upāli has become Gotama’s disciple.”

    “คจฺฉ ตฺวํ, ตปสฺสิ, ชานาหิ ยทิ วา อุปาลิ คหปติ สมณสฺส โคตมสฺส สาวกตฺตํ อุปคโต ยทิ วา โน”ติฯ

    “Go, Tapassī, and find out whether or not Upāli has become Gotama’s disciple.”

    อถ โข ทีฆตปสฺสี นิคณฺโฐ เยน อุปาลิสฺส คหปติสฺส นิเวสนํ เตนุปสงฺกมิฯ อทฺทสา โข โทวาริโก ทีฆตปสฺสึ นิคณฺฐํ ทูรโตว อาคจฺฉนฺตํฯ ทิสฺวาน ทีฆตปสฺสึ นิคณฺฐํ เอตทโวจ: “ติฏฺฐ, ภนฺเต, มา ปาวิสิฯ อชฺชตคฺเค อุปาลิ คหปติ สมณสฺส โคตมสฺส สาวกตฺตํ อุปคโตฯ อาวฏํ ทฺวารํ นิคณฺฐานํ นิคณฺฐีนํ, อนาวฏํ ทฺวารํ ภควโต ภิกฺขูนํ ภิกฺขุนีนํ อุปาสกานํ อุปาสิกานํฯ สเจ เต, ภนฺเต, ปิณฺฑเกน อตฺโถ, เอตฺเถว ติฏฺฐ, เอตฺเถว เต อาหริสฺสนฺตี”ติฯ

    Then Dīgha Tapassī went to Upāli’s home. The gatekeeper saw him coming off in the distance and said to him, “Wait, sir, do not enter. From now on the householder Upāli has become a disciple of the ascetic Gotama. His gate is closed to Jain monks and nuns, and opened for the Buddha’s monks, nuns, laymen, and laywomen. If you require almsfood, wait here, they will bring it to you.”

    “น เม, อาวุโส, ปิณฺฑเกน อตฺโถ”ติ วตฺวา ตโต ปฏินิวตฺติตฺวา เยน นิคณฺโฐ นาฏปุตฺโต เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา นิคณฺฐํ นาฏปุตฺตํ เอตทโวจ: “สจฺจํเยว โข, ภนฺเต, ยํ อุปาลิ คหปติ สมณสฺส โคตมสฺส สาวกตฺตํ อุปคโตฯ เอตํ โข เต อหํ, ภนฺเต, นาลตฺถํ, น โข เม, ภนฺเต, รุจฺจติ ยํ อุปาลิ คหปติ สมณสฺส โคตมสฺส วาทํ อาโรเปยฺยฯ สมโณ หิ, ภนฺเต, โคตโม มายาวี อาวฏฺฏนึ มายํ ชานาติ ยาย อญฺญติตฺถิยานํ สาวเก อาวฏฺเฏตีติฯ อาวฏฺโฏ โข เต, ภนฺเต, อุปาลิ คหปติ สมเณน โคตเมน อาวฏฺฏนิยา มายายา”ติฯ

    Saying, “No, mister, I do not require almsfood,” he turned back and went to the Jain Ñātika and said to him, “Sir, it’s really true that Upāli has become Gotama’s disciple. Sir, I couldn’t get you to accept that it wasn’t a good idea for the householder Upāli to rebut the ascetic Gotama’s doctrine. For the ascetic Gotama is a magician. He knows a conversion magic, and uses it to convert the disciples of other religions. The householder Upāli has been converted by the ascetic Gotama’s conversion magic!”

    “อฏฺฐานํ โข เอตํ, ตปสฺสิ, อนวกาโส ยํ อุปาลิ คหปติ สมณสฺส โคตมสฺส สาวกตฺตํ อุปคจฺเฉยฺยฯ ฐานญฺจ โข เอตํ วิชฺชติ ยํ สมโณ โคตโม อุปาลิสฺส คหปติสฺส สาวกตฺตํ อุปคจฺเฉยฺยา”ติฯ

    “It is impossible, Tapassī, it cannot happen that Upāli could become Gotama’s disciple. But it is possible that Gotama could become Upāli’s disciple.”

    ทุติยมฺปิ โข ทีฆตปสฺสี นิคณฺโฐ นิคณฺฐํ นาฏปุตฺตํ เอตทโวจ: “สจฺจํเยว, ภนฺเต …เป… อุปาลิสฺส คหปติสฺส สาวกตฺตํ อุปคจฺเฉยฺยา”ติฯ ตติยมฺปิ โข ทีฆตปสฺสี นิคณฺโฐ นิคณฺฐํ นาฏปุตฺตํ เอตทโวจ: “สจฺจํเยว โข, ภนฺเต …

    For a second time … and a third time, Dīgha Tapassī told the Jain Ñātika that it was really true.

    เป… อุปาลิสฺส คหปติสฺส สาวกตฺตํ อุปคจฺเฉยฺยา”ติฯ

    “It is impossible …

    “หนฺท จาหํ, ตปสฺสิ, คจฺฉามิ ยาว จาหํ สามํเยว ชานามิ ยทิ วา อุปาลิ คหปติ สมณสฺส โคตมสฺส สาวกตฺตํ อุปคโต ยทิ วา โน”ติฯ

    Well, Tapassī, I’d better go and find out for myself whether or not Upāli has become Gotama’s disciple.”

    อถ โข นิคณฺโฐ นาฏปุตฺโต มหติยา นิคณฺฐปริสาย สทฺธึ เยน อุปาลิสฺส คหปติสฺส นิเวสนํ เตนุปสงฺกมิฯ อทฺทสา โข โทวาริโก นิคณฺฐํ นาฏปุตฺตํ ทูรโตว อาคจฺฉนฺตํฯ ทิสฺวาน นิคณฺฐํ นาฏปุตฺตํ เอตทโวจ: “ติฏฺฐ, ภนฺเต, มา ปาวิสิฯ อชฺชตคฺเค อุปาลิ คหปติ สมณสฺส โคตมสฺส สาวกตฺตํ อุปคโตฯ อาวฏํ ทฺวารํ นิคณฺฐานํ นิคณฺฐีนํ, อนาวฏํ ทฺวารํ ภควโต ภิกฺขูนํ ภิกฺขุนีนํ อุปาสกานํ อุปาสิกานํฯ สเจ เต, ภนฺเต, ปิณฺฑเกน อตฺโถ, เอตฺเถว ติฏฺฐ, เอตฺเถว เต อาหริสฺสนฺตี”ติฯ

    Then the Jain Ñātika went to Upāli’s home together with a large following of Jain ascetics. The gatekeeper saw him coming off in the distance and said to him: “Wait, sir, do not enter. From now on the householder Upāli has become a disciple of the ascetic Gotama. His gate is closed to Jain monks and nuns, and opened for the Buddha’s monks, nuns, laymen, and laywomen. If you require almsfood, wait here, they will bring it to you.”

    “เตน หิ, สมฺม โทวาริก, เยน อุปาลิ คหปติ เตนุปสงฺกม; อุปสงฺกมิตฺวา อุปาลึ คหปตึ เอวํ วเทหิ: ‘นิคณฺโฐ, ภนฺเต, นาฏปุตฺโต มหติยา นิคณฺฐปริสาย สทฺธึ พหิทฺวารโกฏฺฐเก ฐิโต; โส เต ทสฺสนกาโม'”ติฯ

    “Well then, my good gatekeeper, go to Upāli and say: ‘Sir, the Jain Ñātika is waiting outside the gates together with a large following of Jain ascetics. He wishes to see you.’”

    “เอวํ, ภนฺเต”ติ โข โทวาริโก นิคณฺฐสฺส นาฏปุตฺตสฺส ปฏิสฺสุตฺวา เยน อุปาลิ คหปติ เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา อุปาลึ คหปตึ เอตทโวจ: “นิคณฺโฐ, ภนฺเต, นาฏปุตฺโต มหติยา นิคณฺฐปริสาย สทฺธึ พหิทฺวารโกฏฺฐเก ฐิโต; โส เต ทสฺสนกาโม”ติฯ “เตน หิ, สมฺม โทวาริก, มชฺฌิมาย ทฺวารสาลาย อาสนานิ ปญฺญเปหี”ติฯ

    “Yes, sir,” replied the gatekeeper. He went to Upāli and relayed what was said. Upāli said to him, “Well, then, my good gatekeeper, prepare seats in the hall of the middle gate.”

    “เอวํ, ภนฺเต”ติ โข โทวาริโก อุปาลิสฺส คหปติสฺส ปฏิสฺสุตฺวา มชฺฌิมาย ทฺวารสาลาย อาสนานิ ปญฺญเปตฺวา เยน อุปาลิ คหปติ เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา อุปาลึ คหปตึ เอตทโวจ: “ปญฺญตฺตานิ โข, ภนฺเต, มชฺฌิมาย ทฺวารสาลาย อาสนานิฯ ยสฺสทานิ กาลํ มญฺญสี”ติฯ

    “Yes, sir,” replied the gatekeeper. He did as he was asked, then returned to Upāli and said, “Sir, seats have been prepared in the hall of the middle gate. Please go at your convenience.”

    อถ โข อุปาลิ คหปติ เยน มชฺฌิมา ทฺวารสาลา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ยํ ตตฺถ อาสนํ อคฺคญฺจ เสฏฺฐญฺจ อุตฺตมญฺจ ปณีตญฺจ ตตฺถ สามํ นิสีทิตฺวา โทวาริกํ อามนฺเตสิ: “เตน หิ, สมฺม โทวาริก, เยน นิคณฺโฐ นาฏปุตฺโต เตนุปสงฺกม; อุปสงฺกมิตฺวา นิคณฺฐํ นาฏปุตฺตํ เอวํ วเทหิ: ‘อุปาลิ, ภนฺเต, คหปติ เอวมาห—ปวิส กิร, ภนฺเต, สเจ อากงฺขสี'”ติฯ

    Then Upāli went to the hall of the middle gate, where he sat on the highest and finest seat. He addressed the gatekeeper, “Well then, my good gatekeeper, go to the Jain Ñātika and say to him: ‘Sir, Upāli says you may enter if you wish.’”

    “เอวํ, ภนฺเต”ติ โข โทวาริโก อุปาลิสฺส คหปติสฺส ปฏิสฺสุตฺวา เยน นิคณฺโฐ นาฏปุตฺโต เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา นิคณฺฐํ นาฏปุตฺตํ เอตทโวจ: “อุปาลิ, ภนฺเต, คหปติ เอวมาห: ‘ปวิส กิร, ภนฺเต, สเจ อากงฺขสี'”ติฯ

    “Yes, sir,” replied the gatekeeper. He went to the Jain Ñātika and relayed what was said.

    อถ โข นิคณฺโฐ นาฏปุตฺโต มหติยา นิคณฺฐปริสาย สทฺธึ เยน มชฺฌิมา ทฺวารสาลา เตนุปสงฺกมิฯ อถ โข อุปาลิ คหปติ—ยํ สุทํ ปุพฺเพ ยโต ปสฺสติ นิคณฺฐํ นาฏปุตฺตํ ทูรโตว อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวาน ตโต ปจฺจุคฺคนฺตฺวา ยํ ตตฺถ อาสนํ อคฺคญฺจ เสฏฺฐญฺจ อุตฺตมญฺจ ปณีตญฺจ ตํ อุตฺตราสงฺเคน สมฺมชฺชิตฺวา ปริคฺคเหตฺวา นิสีทาเปติ โส—ทานิ ยํ ตตฺถ อาสนํ อคฺคญฺจ เสฏฺฐญฺจ อุตฺตมญฺจ ปณีตญฺจ ตตฺถ สามํ นิสีทิตฺวา นิคณฺฐํ นาฏปุตฺตํ เอตทโวจ: “สํวิชฺชนฺติ โข, ภนฺเต, อาสนานิ; สเจ อากงฺขสิ, นิสีทา”ติฯ

    Then the Jain Ñātika went to the hall of the middle gate together with a large following of Jain ascetics. Previously, when Upāli saw the Jain Ñātika coming, he would go out to greet him and, having wiped off the highest and finest seat with his upper robe, he would put his arms around him and sit him down. But today, having seated himself on the highest and finest seat, he said to the Jain Ñātika, “There are seats, sir. Please sit if you wish.”

    เอวํ วุตฺเต, นิคณฺโฐ นาฏปุตฺโต อุปาลึ คหปตึ เอตทโวจ: “อุมฺมตฺโตสิ ตฺวํ, คหปติ, ทตฺโตสิ ตฺวํ, คหปติฯ ‘คจฺฉามหํ, ภนฺเต, สมณสฺส โคตมสฺส วาทํ อาโรเปสฺสามี'ติ คนฺตฺวา มหตาสิ วาทสงฺฆาเฏน ปฏิมุกฺโก อาคโตฯ เสยฺยถาปิ, คหปติ, ปุริโส อณฺฑหารโก คนฺตฺวา อุพฺภเตหิ อณฺเฑหิ อาคจฺเฉยฺย, เสยฺยถา วา ปน คหปติ ปุริโส อกฺขิกหารโก คนฺตฺวา อุพฺภเตหิ อกฺขีหิ อาคจฺเฉยฺย; เอวเมว โข ตฺวํ, คหปติ, ‘คจฺฉามหํ, ภนฺเต, สมณสฺส โคตมสฺส วาทํ อาโรเปสฺสามี'ติ คนฺตฺวา มหตาสิ วาทสงฺฆาเฏน ปฏิมุกฺโก อาคโตฯ อาวฏฺโฏสิ โข ตฺวํ, คหปติ, สมเณน โคตเมน อาวฏฺฏนิยา มายายา”ติฯ

    When he said this, the Jain Ñātika said to him: “You’re mad, householder! You’re a moron! You said: ‘I’ll go and refute the ascetic Gotama’s doctrine.’ But you come back caught in the vast net of his doctrine. Suppose a man went to deliver a pair of balls, but came back castrated. Or they went to deliver eyes, but came back blinded. In the same way, you said: ‘I’ll go and refute the ascetic Gotama’s doctrine.’ But you come back caught in the vast net of his doctrine. You’ve been converted by the ascetic Gotama’s conversion magic!”

    “ภทฺทิกา, ภนฺเต, อาวฏฺฏนี มายา; กลฺยาณี, ภนฺเต, อาวฏฺฏนี มายา; ปิยา เม, ภนฺเต, ญาติสาโลหิตา อิมาย อาวฏฺฏนิยา อาวฏฺเฏยฺยุํ; ปิยานมฺปิ เม อสฺส ญาติสาโลหิตานํ ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขาย; สพฺเพ เจปิ, ภนฺเต, ขตฺติยา อิมาย อาวฏฺฏนิยา อาวฏฺเฏยฺยุํ; สพฺเพสานมฺปิสฺส ขตฺติยานํ ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขาย; สพฺเพ เจปิ, ภนฺเต, พฺราหฺมณา …เป… เวสฺสา …เป… สุทฺทา อิมาย อาวฏฺฏนิยา อาวฏฺเฏยฺยุํ; สพฺเพสานมฺปิสฺส สุทฺทานํ ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขาย; สเทวโก เจปิ, ภนฺเต, โลโก สมารโก สพฺรหฺมโก สสฺสมณพฺราหฺมณี ปชา สเทวมนุสฺสา อิมาย อาวฏฺฏนิยา อาวฏฺเฏยฺยุํ; สเทวกสฺสปิสฺส โลกสฺส สมารกสฺส สพฺรหฺมกสฺส สสฺสมณพฺราหฺมณิยา ปชาย สเทวมนุสฺสาย ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขายาติฯ เตน หิ, ภนฺเต, อุปมํ เต กริสฺสามิฯ อุปมายปิเธกจฺเจ วิญฺญู ปุริสา ภาสิตสฺส อตฺถํ อาชานนฺติฯ

    “Sir, this conversion magic is excellent. This conversion magic is lovely! If my loved ones—relatives and kin—were to be converted by this, it would be for their lasting welfare and happiness. If all the aristocrats, brahmins, peasants, and menials were to be converted by this, it would be for their lasting welfare and happiness. If the whole world—with its gods, Māras and Brahmās, this population with its ascetics and brahmins, gods and humans—were to be converted by this, it would be for their lasting welfare and happiness. Well then, sir, I shall give you a simile. For by means of a simile some sensible people understand the meaning of what is said.

    ภูตปุพฺพํ, ภนฺเต, อญฺญตรสฺส พฺราหฺมณสฺส ชิณฺณสฺส วุฑฺฒสฺส มหลฺลกสฺส ทหรา มาณวิกา ปชาปตี อโหสิ คพฺภินี อุปวิชญฺญาฯ อถ โข, ภนฺเต, สา มาณวิกา ตํ พฺราหฺมณํ เอตทโวจ, ‘คจฺฉ ตฺวํ, พฺราหฺมณ, อาปณา มกฺกฏจฺฉาปกํ กิณิตฺวา อาเนหิ, โย เม กุมารกสฺส กีฬาปนโก ภวิสฺสตี'ติฯ

    Once upon a time there was an old brahmin, elderly and senior. His wife was a young brahmin lady who was pregnant and about to give birth. Then she said to the brahmin, ‘Go, brahmin, buy a baby monkey from the market and bring it back so it can be a playmate for my child.’

    เอวํ วุตฺเต, โส พฺราหฺมโณ ตํ มาณวิกํ เอตทโวจ: ‘อาคเมหิ ตาว, โภติ, ยาว วิชายติฯ สเจ ตฺวํ, โภติ, กุมารกํ วิชายิสฺสสิ, ตสฺสา เต อหํ อาปณา มกฺกฏจฺฉาปกํ กิณิตฺวา อาเนสฺสามิ, โย เต กุมารกสฺส กีฬาปนโก ภวิสฺสติฯ สเจ ปน ตฺวํ, โภติ, กุมาริกํ วิชายิสฺสสิ, ตสฺสา เต อหํ อาปณา มกฺกฏจฺฉาปิกํ กิณิตฺวา อาเนสฺสามิ, ยา เต กุมาริกาย กีฬาปนิกา ภวิสฺสตี'ติฯ

    When she said this, the brahmin said to her, ‘Wait, my dear, until you give birth. If your child is a boy, I’ll buy you a male monkey, but if it’s a girl, I’ll buy a female monkey.’

    ทุติยมฺปิ โข, ภนฺเต, สา มาณวิกา …เป… ตติยมฺปิ โข, ภนฺเต, สา มาณวิกา ตํ พฺราหฺมณํ เอตทโวจ: ‘คจฺฉ ตฺวํ, พฺราหฺมณ, อาปณา มกฺกฏจฺฉาปกํ กิณิตฺวา อาเนหิ, โย เม กุมารกสฺส กีฬาปนโก ภวิสฺสตี'ติฯ

    For a second time, and a third time she said to the brahmin, ‘Go, brahmin, buy a baby monkey from the market and bring it back so it can be a playmate for my child.’

    อถ โข, ภนฺเต, โส พฺราหฺมโณ ตสฺสา มาณวิกาย สารตฺโต ปฏิพทฺธจิตฺโต อาปณา มกฺกฏจฺฉาปกํ กิณิตฺวา อาเนตฺวา ตํ มาณวิกํ เอตทโวจ: ‘อยํ เต, โภติ, อาปณา มกฺกฏจฺฉาปโก กิณิตฺวา อานีโต, โย เต กุมารกสฺส กีฬาปนโก ภวิสฺสตี'ติฯ

    Then that brahmin, because of his love for the brahmin lady, bought a male baby monkey at the market, brought it to her, and said, ‘I’ve bought this male baby monkey for you so it can be a playmate for your child.’

    เอวํ วุตฺเต, ภนฺเต, สา มาณวิกา ตํ พฺราหฺมณํ เอตทโวจ: ‘คจฺฉ ตฺวํ, พฺราหฺมณ, อิมํ มกฺกฏจฺฉาปกํ อาทาย เยน รตฺตปาณิ รชกปุตฺโต เตนุปสงฺกม; อุปสงฺกมิตฺวา รตฺตปาณึ รชกปุตฺตํ เอวํ วเทหิ—อิจฺฉามหํ, สมฺม รตฺตปาณิ, อิมํ มกฺกฏจฺฉาปกํ ปีตาวเลปนํ นาม รงฺคชาตํ รชิตํ อาโกฏิตปจฺจาโกฏิตํ อุภโตภาควิมฏฺฐนฺ'ติฯ

    When he said this, she said to him, ‘Go, brahmin, take this monkey to Rattapāṇi the dyer and say, “Mister Rattapāṇi, I wish to have this monkey dyed the color of yellow greasepaint, pounded and re-pounded, and pressed on both sides.”’

    อถ โข, ภนฺเต, โส พฺราหฺมโณ ตสฺสา มาณวิกาย สารตฺโต ปฏิพทฺธจิตฺโต ตํ มกฺกฏจฺฉาปกํ อาทาย เยน รตฺตปาณิ รชกปุตฺโต เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา รตฺตปาณึ รชกปุตฺตํ เอตทโวจ: ‘อิจฺฉามหํ, สมฺม รตฺตปาณิ, อิมํ มกฺกฏจฺฉาปกํ ปีตาวเลปนํ นาม รงฺคชาตํ รชิตํ อาโกฏิตปจฺจาโกฏิตํ อุภโตภาควิมฏฺฐนฺ'ติฯ

    Then that brahmin, because of his love for the brahmin lady, took the monkey to Rattapāṇi the dyer and said, ‘Mister Rattapāṇi, I wish to have this monkey dyed the color of yellow greasepaint, pounded and re-pounded, and pressed on both sides.’

    เอวํ วุตฺเต, ภนฺเต, รตฺตปาณิ รชกปุตฺโต ตํ พฺราหฺมณํ เอตทโวจ: ‘อยํ โข เต, ภนฺเต, มกฺกฏจฺฉาปโก รงฺคกฺขโม หิ โข, โน อาโกฏนกฺขโม, โน วิมชฺชนกฺขโม'ติฯ

    When he said this, Rattapāṇi said to him, ‘Sir, this monkey can withstand a dying, but not a pounding or a pressing.’

    เอวเมว โข, ภนฺเต, พาลานํ นิคณฺฐานํ วาโท รงฺคกฺขโม หิ โข พาลานํ โน ปณฺฑิตานํ, โน อนุโยคกฺขโม, โน วิมชฺชนกฺขโมฯ

    In the same way, the doctrine of the foolish Jains looks fine initially—for fools, not for the astute—but can’t withstand being scrutinized or pressed.

    อถ โข, ภนฺเต, โส พฺราหฺมโณ อปเรน สมเยน นวํ ทุสฺสยุคํ อาทาย เยน รตฺตปาณิ รชกปุตฺโต เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา รตฺตปาณึ รชกปุตฺตํ เอตทโวจ: ‘อิจฺฉามหํ, สมฺม รตฺตปาณิ, อิมํ นวํ ทุสฺสยุคํ ปีตาวเลปนํ นาม รงฺคชาตํ รชิตํ อาโกฏิตปจฺจาโกฏิตํ อุภโตภาควิมฏฺฐนฺ'ติฯ

    Then some time later that brahmin took a new pair of garments to Rattapāṇi the dyer and said, ‘Mister Rattapāṇi, I wish to have this new pair of garments dyed the color of yellow greasepaint, pounded and re-pounded, and pressed on both sides.’

    เอวํ วุตฺเต, ภนฺเต, รตฺตปาณิ รชกปุตฺโต ตํ พฺราหฺมณํ เอตทโวจ: ‘อิทํ โข เต, ภนฺเต, นวํ ทุสฺสยุคํ รงฺคกฺขมญฺเจว อาโกฏนกฺขมญฺจ วิมชฺชนกฺขมญฺจา'ติฯ

    When he said this, Rattapāṇi said to him, ‘Sir, this pair of garments can withstand a dying, a pounding, and a pressing.’

    เอวเมว โข, ภนฺเต, ตสฺส ภควโต วาโท อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส รงฺคกฺขโม เจว ปณฺฑิตานํ โน พาลานํ, อนุโยคกฺขโม จ วิมชฺชนกฺขโม จา”ติฯ

    In the same way, the doctrine of the Buddha looks fine initially—for the astute, not for fools—and it can withstand being scrutinized and pressed.”

    “สราชิกา โข, คหปติ, ปริสา เอวํ ชานาติ: ‘อุปาลิ คหปติ นิคณฺฐสฺส นาฏปุตฺตสฺส สาวโก'ติฯ กสฺส ตํ, คหปติ, สาวกํ ธาเรมา”ติ?

    “Householder, the king and his retinue know you as a disciple of the Jain Ñātika. Whose disciple should we remember you as?”

    เอวํ วุตฺเต, อุปาลิ คหปติ อุฏฺฐายาสนา เอกํสํ อุตฺตราสงฺคํ กริตฺวา เยน ภควา เตนญฺชลึ ปณาเมตฺวา นิคณฺฐํ นาฏปุตฺตํ เอตทโวจ: “เตน หิ, ภนฺเต, สุโณหิ ยสฺสาหํ สาวโก”ติ:

    When he had spoken, the householder Upāli got up from his seat, arranged his robe over one shoulder, raised his joined palms in the direction of the Buddha, and said to the Jain Ñātika, “Well then, sir, hear whose disciple I am:

    “ธีรสฺส วิคตโมหสฺส, ปภินฺนขีลสฺส วิชิตวิชยสฺส; อนีฆสฺส สุสมจิตฺตสฺส, วุทฺธสีลสฺส สาธุปญฺญสฺส; เวสมนฺตรสฺส วิมลสฺส, ภควโต ตสฺส สาวโกหมสฺมิฯ

    The wise one, free of delusion, rid of barrenness, victor in battle; he’s untroubled and so even-minded, with the virtue of an elder and the wisdom of a saint, immaculate in the midst of it all: he is the Buddha, and I am his disciple.

    อกถงฺกถิสฺส ตุสิตสฺส, วนฺตโลกามิสสฺส มุทิตสฺส; กตสมณสฺส มนุชสฺส, อนฺติมสารีรสฺส นรสฺส; อโนปมสฺส วิรชสฺส, ภควโต ตสฺส สาวโกหมสฺมิฯ

    He has no indecision, he’s content, joyful, he has spat out the world’s bait; he has completed the ascetic’s task as a human, a man who bears his final body; he’s beyond compare, he’s stainless: he is the Buddha, and I am his disciple.

    อสํสยสฺส กุสลสฺส, เวนยิกสฺส สารถิวรสฺส; อนุตฺตรสฺส รุจิรธมฺมสฺส, นิกฺกงฺขสฺส ปภาสกสฺส; มานจฺฉิทสฺส วีรสฺส, ภควโต ตสฺส สาวโกหมสฺมิฯ

    He’s free of doubt, he’s skillful, he’s a trainer, an excellent charioteer; supreme, with brilliant qualities, confident, his light shines forth; he has cut off conceit, he’s a hero: he is the Buddha, and I am his disciple.

    นิสภสฺส อปฺปเมยฺยสฺส, คมฺภีรสฺส โมนปตฺตสฺส; เขมงฺกรสฺส เวทสฺส, ธมฺมฏฺฐสฺส สํวุตตฺตสฺส; สงฺคาติคสฺส มุตฺตสฺส, ภควโต ตสฺส สาวโกหมสฺมิฯ

    The chief bull, immeasurable, profound, sagacious; he is the maker of sanctuary, knowledgeable, firm in principle and restrained; he has slipped his chains and is liberated: he is the Buddha, and I am his disciple.

    นาคสฺส ปนฺตเสนสฺส, ขีณสํโยชนสฺส มุตฺตสฺส; ปฏิมนฺตกสฺส โธนสฺส, ปนฺนธชสฺส วีตราคสฺส; ทนฺตสฺส นิปฺปปญฺจสฺส, ภควโต ตสฺส สาวโกหมสฺมิฯ

    He’s a giant, living remotely, he’s ended the fetters and is liberated; he’s skilled in dialogue and cleansed, with banner put down, desireless; he’s tamed, and doesn’t proliferate: he is the Buddha, and I am his disciple.

    อิสิสตฺตมสฺส อกุหสฺส, เตวิชฺชสฺส พฺรหฺมปตฺตสฺส; นฺหาตกสฺส ปทกสฺส, ปสฺสทฺธสฺส วิทิตเวทสฺส; ปุรินฺททสฺส สกฺกสฺส, ภควโต ตสฺส สาวโกหมสฺมิฯ

    He is the seventh sage, free of deceit, with three knowledges, he has attained to holiness, he has bathed, he knows philology, he’s tranquil, he understands what is known; he crushes resistance, he is the lord: he is the Buddha, and I am his disciple.

    อริยสฺส ภาวิตตฺตสฺส, ปตฺติปตฺตสฺส เวยฺยากรณสฺส; สติมโต วิปสฺสิสฺส, อนภินตสฺส โน อปนตสฺส; อเนชสฺส วสิปฺปตฺตสฺส, ภควโต ตสฺส สาวโกหมสฺมิฯ

    The noble one, evolved, he has attained the goal and explains it; he is mindful, discerning, neither leaning forward nor pulling back, he’s unstirred, attained to mastery: he is the Buddha, and I am his disciple.

    สมุคฺคตสฺส ฌายิสฺส, อนนุคตนฺตรสฺส สุทฺธสฺส; อสิตสฺส หิตสฺส, ปวิวิตฺตสฺส อคฺคปฺปตฺตสฺส; ติณฺณสฺส ตารยนฺตสฺส, ภควโต ตสฺส สาวโกหมสฺมิฯ

    He has risen up, he practices jhāna, not following inner thoughts, he is pure, independent, and fearless; secluded, he has reached the peak, crossed over, he helps others across: he is the Buddha, and I am his disciple.

    สนฺตสฺส ภูริปญฺญสฺส, มหาปญฺญสฺส วีตโลภสฺส; ตถาคตสฺส สุคตสฺส, อปฺปฏิปุคฺคลสฺส อสมสฺส; วิสารทสฺส นิปุณสฺส, ภควโต ตสฺส สาวโกหมสฺมิฯ

    He’s peaceful, his wisdom is vast, with great wisdom, he’s free of greed; he is the Realized One, the Holy One, unrivaled, unequaled, assured, and subtle: he is the Buddha, and I am his disciple.

    ตณฺหจฺฉิทสฺส พุทฺธสฺส, วีตธูมสฺส อนุปลิตฺตสฺส; อาหุเนยฺยสฺส ยกฺขสฺส, อุตฺตมปุคฺคลสฺส อตุลสฺส; มหโต ยสคฺคปตฺตสฺส, ภควโต ตสฺส สาวโกหมสฺมี”ติฯ

    He has cut off craving and is awakened, free of fuming, unsullied; a mighty spirit worthy of offerings, best of men, inestimable, grand, he has reached the peak of glory: he is the Buddha, and I am his disciple.”

    “กทา สญฺญูฬฺหา ปน เต, คหปติ, อิเม สมณสฺส โคตมสฺส วณฺณา”ติ?

    “But when did you compose these praises of the ascetic Gotama’s beautiful qualities, householder?”

    “เสยฺยถาปิ, ภนฺเต, นานาปุปฺผานํ มหาปุปฺผราสิ, ตเมนํ ทกฺโข มาลากาโร วา มาลาการนฺเตวาสี วา วิจิตฺตํ มาลํ คนฺเถยฺย; เอวเมว โข, ภนฺเต, โส ภควา อเนกวณฺโณ อเนกสตวณฺโณฯ โก หิ, ภนฺเต, วณฺณารหสฺส วณฺณํ น กริสฺสตี”ติ?

    “Sir, suppose there was a large heap of many different flowers. A deft garland-maker or their apprentice could tie them into a colorful garland. In the same way, the Buddha has many beautiful qualities to praise, many hundreds of such qualities. Who, sir, would not praise the praiseworthy?”

    อถ โข นิคณฺฐสฺส นาฏปุตฺตสฺส ภควโต สกฺการํ อสหมานสฺส ตตฺเถว อุณฺหํ โลหิตํ มุขโต อุคฺคจฺฉีติฯ

    Unable to bear this honor paid to the Buddha, the Jain Ñātika spewed hot blood from his mouth there and then.

    อุปาลิสุตฺตํ นิฏฺฐิตํ ฉฏฺฐํฯ





    The authoritative text of the Majjhima Nikāya is the Pāli text. The English translation is provided as an aid to the study of the original Pāli text. [CREDITS »]


    © 1991-2024 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact