Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) |
๖. อุปาลิสุตฺตวณฺณนา
6. Upālisuttavaṇṇanā
๕๖. เอวํ เม สุตนฺติ อุปาลิสุตฺตํฯ ตตฺถ นาฬนฺทายนฺติ นาลนฺทาติ เอวํนามเก นคเร ตํ นครํ โคจรคามํ กตฺวาฯ ปาวาริกมฺพวเนติ ทุสฺสปาวาริกเสฎฺฐิโน อมฺพวเนฯ ตํ กิร ตสฺส อุยฺยานํ อโหสิ, โส ภควโต ธมฺมเทสนํ สุตฺวา ภควติ ปสโนฺน ตสฺมิํ อุยฺยาเน กุฎิเลณมณฺฑปาทิปฎิมณฺฑิตํ ภควโต วิหารํ กตฺวา นิยฺยาเทสิ, โส วิหาโร ชีวกมฺพวนํ วิย ปาวาริกมฺพวนเนฺตว สงฺขํ คโตฯ ตสฺมิํ ปาวาริกมฺพวเน วิหรตีติ อโตฺถฯ ทีฆตปสฺสีติ ทีฆตฺตา เอวํลทฺธนาโมฯ ปิณฺฑปาตปฎิกฺกโนฺตติ ปิณฺฑปาตโต ปฎิกฺกโนฺตฯ สาสเน วิย กิํ ปน พาหิรายตเน ปิณฺฑปาโตติ โวหาโร อตฺถีติ, นตฺถิฯ
56.Evaṃme sutanti upālisuttaṃ. Tattha nāḷandāyanti nālandāti evaṃnāmake nagare taṃ nagaraṃ gocaragāmaṃ katvā. Pāvārikambavaneti dussapāvārikaseṭṭhino ambavane. Taṃ kira tassa uyyānaṃ ahosi, so bhagavato dhammadesanaṃ sutvā bhagavati pasanno tasmiṃ uyyāne kuṭileṇamaṇḍapādipaṭimaṇḍitaṃ bhagavato vihāraṃ katvā niyyādesi, so vihāro jīvakambavanaṃ viya pāvārikambavananteva saṅkhaṃ gato. Tasmiṃ pāvārikambavane viharatīti attho. Dīghatapassīti dīghattā evaṃladdhanāmo. Piṇḍapātapaṭikkantoti piṇḍapātato paṭikkanto. Sāsane viya kiṃ pana bāhirāyatane piṇḍapātoti vohāro atthīti, natthi.
ปญฺญเปตีติ ทเสฺสติ ฐเปติฯ ทณฺฑานิ ปญฺญเปตีติ อิทํ นิคณฺฐสมเยน ปุจฺฉโนฺต อาหฯ กายทณฺฑํ วจีทณฺฑํ มโนทณฺฑนฺติ เอตฺถ ปุริมทณฺฑทฺวยํ เต อจิตฺตกํ ปยฺยเปนฺติฯ ยถา กิร วาเต วายเนฺต สาขา จลติ, อุทกํ จลติ, น จ ตตฺถ จิตฺตํ อตฺถิ, เอวํ กายทโณฺฑปิ อจิตฺตโกว โหติฯ ยถา จ วาเต วายเนฺต ตาลปณฺณาทีนิ สทฺทํ กโรนฺติ, อุทกานิ สทฺทํ กโรนฺติ , น จ ตตฺถ จิตฺตํ อตฺถิ, เอวํ วจีทโณฺฑปิ อจิตฺตโกว โหตีติ อิมํ ทณฺฑทฺวยํ อจิตฺตกํ ปญฺญเปนฺติฯ จิตฺตํ ปน มโนทณฺฑนฺติ ปญฺญเปนฺติฯ อถสฺส ภควา วจนํ ปติฎฺฐเปตุกาโม ‘‘กิํ ปน ตปสฺสี’’ติอาทิมาหฯ
Paññapetīti dasseti ṭhapeti. Daṇḍāni paññapetīti idaṃ nigaṇṭhasamayena pucchanto āha. Kāyadaṇḍaṃ vacīdaṇḍaṃ manodaṇḍanti ettha purimadaṇḍadvayaṃ te acittakaṃ payyapenti. Yathā kira vāte vāyante sākhā calati, udakaṃ calati, na ca tattha cittaṃ atthi, evaṃ kāyadaṇḍopi acittakova hoti. Yathā ca vāte vāyante tālapaṇṇādīni saddaṃ karonti, udakāni saddaṃ karonti , na ca tattha cittaṃ atthi, evaṃ vacīdaṇḍopi acittakova hotīti imaṃ daṇḍadvayaṃ acittakaṃ paññapenti. Cittaṃ pana manodaṇḍanti paññapenti. Athassa bhagavā vacanaṃ patiṭṭhapetukāmo ‘‘kiṃ pana tapassī’’tiādimāha.
ตตฺถ กถาวตฺถุสฺมินฺติ เอตฺถ กถาเยว กถาวตฺถุฯ กถายํ ปติฎฺฐเปสีติ อโตฺถฯ กสฺมา ปน ภควา เอวมกาสิ? ปสฺสติ หิ ภควา ‘‘อยํ อิมํ กถํ อาทาย คนฺตฺวา อตฺตโน สตฺถุ มหานิคณฺฐสฺส อาโรเจสฺสติ, ตาสญฺจ ปริสติ, อุปาลิ คหปติ นิสิโนฺน, โส อิมํ กถํ สุตฺวา มม วาทํ อาโรเปตุํ อาคมิสฺสติ, ตสฺสาหํ ธมฺมํ เทเสสฺสามิ, โส ติกฺขตฺตุํ สรณํ คมิสฺสติ, อถสฺส จตฺตาริ สจฺจานิ ปกาเสสฺสามิ, โส สจฺจปกาสนาวสาเน โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิสฺสติ, ปเรสํ สงฺคหตฺถเมว หิ มยา ปารมิโย ปูริตา’’ติฯ อิมมตฺถํ ปสฺสโนฺต เอวมกาสิฯ
Tattha kathāvatthusminti ettha kathāyeva kathāvatthu. Kathāyaṃ patiṭṭhapesīti attho. Kasmā pana bhagavā evamakāsi? Passati hi bhagavā ‘‘ayaṃ imaṃ kathaṃ ādāya gantvā attano satthu mahānigaṇṭhassa ārocessati, tāsañca parisati, upāli gahapati nisinno, so imaṃ kathaṃ sutvā mama vādaṃ āropetuṃ āgamissati, tassāhaṃ dhammaṃ desessāmi, so tikkhattuṃ saraṇaṃ gamissati, athassa cattāri saccāni pakāsessāmi, so saccapakāsanāvasāne sotāpattiphale patiṭṭhahissati, paresaṃ saṅgahatthameva hi mayā pāramiyo pūritā’’ti. Imamatthaṃ passanto evamakāsi.
๕๗. กมฺมานิ ปญฺญเปสีติ อิทํ นิคโณฺฐ พุทฺธสมเยน ปุจฺฉโนฺต อาหฯ กายกมฺมํ วจีกมฺมํ มโนกมฺมนฺติ เอตฺถ กายทฺวาเร อาทานคหณมุญฺจนโจปนปตฺตา อฎฺฐกามาวจรกุสลเจตนา ทฺวาทสากุสลเจตนาติ วีสติเจตนา กายกมฺมํ นามฯ กายทฺวาเร อาทานาทีนิ อปตฺวา วจีทฺวาเร วจนเภทํ ปาปยมานา อุปฺปนฺนา ตาเยว วีสติเจตนา วจีกมฺมํ นามฯ อุภยทฺวาเร โจปนํ อปฺปตฺวา มโนทฺวาเร อุปฺปนฺนา เอกูนติํสกุสลากุสลเจตนา มโนกมฺมํ นามฯ อปิจ สเงฺขปโต ติวิธํ กายทุจฺจริตํ กายกมฺมํ นาม, จตุพฺพิธํ วจีทุจฺจริตํ วจีกมฺมํ นาม, ติวิธํ มโนทุจฺจริตํ มโนกมฺมํ นามฯ อิมสฺมิญฺจ สุเตฺต กมฺมํ ธุรํ, อนนฺตรสุเตฺต ‘‘จตฺตาริมานิ ปุณฺณ กมฺมานิ มยา สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา ปเวทิตานี’’ติ (ม. นิ. ๒.๘๑) เอวมาคเตปิ เจตนา ธุรํฯ ยตฺถ กตฺถจิ ปวตฺตา เจตนา ‘‘กณฺหํ กณฺหวิปาก’’นฺติอาทิเภทํ ลภติฯ นิเทฺทสวาเร จสฺส ‘‘สพฺยาพชฺฌํ กายสงฺขารํ อภิสงฺขโรตี’’ติอาทินา นเยน สา วุตฺตาวฯ กายทฺวาเร ปวตฺตา ปน อิธ กายกมฺมนฺติ อธิเปฺปตํ, วจีทฺวาเร ปวตฺตา วจีกมฺมํ, มโนทฺวาเร ปวตฺตา มโนกมฺมํฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อิมสฺมิํ สุเตฺต กมฺมํ ธุรํ, อนนฺตรสุเตฺต เจตนา’’ติฯ กมฺมมฺปิ หิ ภควา กมฺมนฺติ ปญฺญเปติ ยถา อิมสฺมิํเยว สุเตฺตฯ เจตนมฺปิ, ยถาห – ‘‘เจตนาหํ, ภิกฺขเว, กมฺมํ วทามิ, เจตยิตฺวา กมฺมํ กโรตี’’ติ (อ. นิ. ๖.๖๓)ฯ กสฺมา ปน เจตนา กมฺมนฺติ วุตฺตา? เจตนามูลกตฺตา กมฺมสฺสฯ
57.Kammānipaññapesīti idaṃ nigaṇṭho buddhasamayena pucchanto āha. Kāyakammaṃ vacīkammaṃ manokammanti ettha kāyadvāre ādānagahaṇamuñcanacopanapattā aṭṭhakāmāvacarakusalacetanā dvādasākusalacetanāti vīsaticetanā kāyakammaṃ nāma. Kāyadvāre ādānādīni apatvā vacīdvāre vacanabhedaṃ pāpayamānā uppannā tāyeva vīsaticetanā vacīkammaṃ nāma. Ubhayadvāre copanaṃ appatvā manodvāre uppannā ekūnatiṃsakusalākusalacetanā manokammaṃ nāma. Apica saṅkhepato tividhaṃ kāyaduccaritaṃ kāyakammaṃ nāma, catubbidhaṃ vacīduccaritaṃ vacīkammaṃ nāma, tividhaṃ manoduccaritaṃ manokammaṃ nāma. Imasmiñca sutte kammaṃ dhuraṃ, anantarasutte ‘‘cattārimāni puṇṇa kammāni mayā sayaṃ abhiññā sacchikatvā paveditānī’’ti (ma. ni. 2.81) evamāgatepi cetanā dhuraṃ. Yattha katthaci pavattā cetanā ‘‘kaṇhaṃ kaṇhavipāka’’ntiādibhedaṃ labhati. Niddesavāre cassa ‘‘sabyābajjhaṃ kāyasaṅkhāraṃ abhisaṅkharotī’’tiādinā nayena sā vuttāva. Kāyadvāre pavattā pana idha kāyakammanti adhippetaṃ, vacīdvāre pavattā vacīkammaṃ, manodvāre pavattā manokammaṃ. Tena vuttaṃ – ‘‘imasmiṃ sutte kammaṃ dhuraṃ, anantarasutte cetanā’’ti. Kammampi hi bhagavā kammanti paññapeti yathā imasmiṃyeva sutte. Cetanampi, yathāha – ‘‘cetanāhaṃ, bhikkhave, kammaṃ vadāmi, cetayitvā kammaṃ karotī’’ti (a. ni. 6.63). Kasmā pana cetanā kammanti vuttā? Cetanāmūlakattā kammassa.
เอตฺถ จ อกุสลํ ปตฺวา กายกมฺมํ วจีกมฺมํ มหนฺตนฺติ วทโนฺต น กิลมติ, กุสลํ ปตฺวา มโนกมฺมํฯ ตถา หิ มาตุฆาตาทีนิ จตฺตาริ กมฺมานิ กาเยเนว อุปกฺกมิตฺวา กาเยเนว กโรติ, นิรเย กปฺปฎฺฐิกสงฺฆเภทกมฺมํ วจีทฺวาเรน กโรติฯ เอวํ อกุสลํ ปตฺวา กายกมฺมํ วจีกมฺมํ มหนฺตนฺติ วทโนฺต น กิลมติ นามฯ เอกา ปน ฌานเจตนา จตุราสีติกปฺปสหสฺสานิ สคฺคสมฺปตฺติํ อาวหติ, เอกา มคฺคเจตนา สพฺพากุสลํ สมุคฺฆาเตตฺวา อรหตฺตํ คณฺหาเปติฯ เอวํ กุสลํ ปตฺวา มโนกมฺมํ มหนฺตนฺติ วทโนฺต น กิลมติ นามฯ อิมสฺมิํ ปน ฐาเน ภควา อกุสลํ ปตฺวา มโนกมฺมํ มหาสาวชฺชํ วทมาโน นิยตมิจฺฉาทิฎฺฐิํ สนฺธาย วทติฯ เตเนวาห – ‘‘นาหํ, ภิกฺขเว, อญฺญํ เอกธมฺมมฺปิ สมนุปสฺสามิ, ยํ เอวํ มหาสาวชฺชํ, ยถยิทํ, ภิกฺขเว, มิจฺฉาทิฎฺฐิฯ มิจฺฉาทิฎฺฐิปรมานิ, ภิกฺขเว, มหาสาวชฺชานี’’ติ (อ. นิ. ๑.๓๑๐)ฯ
Ettha ca akusalaṃ patvā kāyakammaṃ vacīkammaṃ mahantanti vadanto na kilamati, kusalaṃ patvā manokammaṃ. Tathā hi mātughātādīni cattāri kammāni kāyeneva upakkamitvā kāyeneva karoti, niraye kappaṭṭhikasaṅghabhedakammaṃ vacīdvārena karoti. Evaṃ akusalaṃ patvā kāyakammaṃ vacīkammaṃ mahantanti vadanto na kilamati nāma. Ekā pana jhānacetanā caturāsītikappasahassāni saggasampattiṃ āvahati, ekā maggacetanā sabbākusalaṃ samugghātetvā arahattaṃ gaṇhāpeti. Evaṃ kusalaṃ patvā manokammaṃ mahantanti vadanto na kilamati nāma. Imasmiṃ pana ṭhāne bhagavā akusalaṃ patvā manokammaṃ mahāsāvajjaṃ vadamāno niyatamicchādiṭṭhiṃ sandhāya vadati. Tenevāha – ‘‘nāhaṃ, bhikkhave, aññaṃ ekadhammampi samanupassāmi, yaṃ evaṃ mahāsāvajjaṃ, yathayidaṃ, bhikkhave, micchādiṭṭhi. Micchādiṭṭhiparamāni, bhikkhave, mahāsāvajjānī’’ti (a. ni. 1.310).
อิทานิ นิคโณฺฐปิ ตถาคเตน คตมคฺคํ ปฎิปชฺชโนฺต กิญฺจิ อตฺถนิปฺผตฺติํ อปสฺสโนฺตปิ ‘‘กิํ ปนาวุโส, โคตมา’’ติอาทิมาหฯ
Idāni nigaṇṭhopi tathāgatena gatamaggaṃ paṭipajjanto kiñci atthanipphattiṃ apassantopi ‘‘kiṃ panāvuso, gotamā’’tiādimāha.
๕๘. พาลกินิยาติ อุปาลิสฺส กิร พาลกโลณการคาโม นาม อตฺถิ, ตโต อายํ คเหตฺวา มนุสฺสา อาคตา, โส ‘‘เอถ ภเณ, อมฺหากํ สตฺถารํ มหานิคณฺฐํ ปสฺสิสฺสามา’’ติ ตาย ปริสาย ปริวุโต ตตฺถ อคมาสิฯ ตํ สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘พาลกินิยา ปริสายา’’ติ, พาลกคามวาสินิยาติ อโตฺถฯ อุปาลิปมุขายาติ อุปาลิเชฎฺฐกายฯ อปิจ พาลกินิยาติ พาลวติยา พาลุสฺสนฺนายาติปิ อโตฺถฯ อุปาลิปมุขายาติ อุปาลิคหปติเยว ตตฺถ โถกํ สปฺปโญฺญ, โส ตสฺสา ปมุโข เชฎฺฐโกฯ เตนาปิ วุตฺตํ ‘‘อุปาลิปมุขายา’’ติฯ หนฺทาติ วจสายเตฺถ นิปาโตฯ ฉโวติ ลามโกฯ โอฬาริกสฺสาติ มหนฺตสฺส ฯ อุปนิธายาติ อุปนิกฺขิปิตฺวาฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ, กายทณฺฑสฺส สนฺติเก นิกฺขิปิตฺวา ‘‘อยํ นุ โข มหโนฺต, อยํ มหโนฺต’’ติ เอวํ โอโลกิยมาโน ฉโว มโนทโณฺฑ กิํ โสภติ, กุโต โสภิสฺสติ, น โสภติ, อุปนิเกฺขปมตฺตมฺปิ นปฺปโหตีติ ทีเปติฯ สาธุ สาธุ, ภเนฺต, ตปสฺสีติ ทีฆตปสฺสิสฺส สาธุการํ เทโนฺต, ภเนฺตติ นาฎปุตฺตมาลปติฯ
58.Bālakiniyāti upālissa kira bālakaloṇakāragāmo nāma atthi, tato āyaṃ gahetvā manussā āgatā, so ‘‘etha bhaṇe, amhākaṃ satthāraṃ mahānigaṇṭhaṃ passissāmā’’ti tāya parisāya parivuto tattha agamāsi. Taṃ sandhāya vuttaṃ ‘‘bālakiniyā parisāyā’’ti, bālakagāmavāsiniyāti attho. Upālipamukhāyāti upālijeṭṭhakāya. Apica bālakiniyāti bālavatiyā bālussannāyātipi attho. Upālipamukhāyāti upāligahapatiyeva tattha thokaṃ sappañño, so tassā pamukho jeṭṭhako. Tenāpi vuttaṃ ‘‘upālipamukhāyā’’ti. Handāti vacasāyatthe nipāto. Chavoti lāmako. Oḷārikassāti mahantassa . Upanidhāyāti upanikkhipitvā. Idaṃ vuttaṃ hoti, kāyadaṇḍassa santike nikkhipitvā ‘‘ayaṃ nu kho mahanto, ayaṃ mahanto’’ti evaṃ olokiyamāno chavo manodaṇḍo kiṃ sobhati, kuto sobhissati, na sobhati, upanikkhepamattampi nappahotīti dīpeti. Sādhu sādhu, bhante, tapassīti dīghatapassissa sādhukāraṃ dento, bhanteti nāṭaputtamālapati.
๖๐. น โข เมตํ, ภเนฺต, รุจฺจตีติ, ภเนฺต, เอตํ มยฺหํ น รุจฺจติฯ มายาวีติ มายากาโรฯ อาวฎฺฎนิมายนฺติ อาวเฎฺฎตฺวา คหณมายํฯ อาวเฎฺฎตีติ อาวเฎฺฎตฺวา ปริกฺขิปิตฺวา คณฺหาติฯ คจฺฉ ตฺวํ คหปตีติ กสฺมา มหานิคโณฺฐ คหปติํ ยาวตติยํ ปหิณติเยว? ทีฆตปสฺสี ปน ปฎิพาหเตว? มหานิคเณฺฐน หิ ภควตา สทฺธิํ เอกํ นครํ อุปนิสฺสาย วิหรเนฺตนปิ น ภควา ทิฎฺฐปุโพฺพฯ โย หิ สตฺถุวาทปฎิโญฺญ โหติ, โส ตํ ปฎิญฺญํ อปฺปหาย พุทฺธทสฺสเน อภโพฺพฯ ตสฺมา เอส พุทฺธทสฺสนสฺส อลทฺธปุพฺพตฺตา ทสพลสฺส ทสฺสนสมฺปตฺติญฺจ นิยฺยานิกกถาภาวญฺจ อชานโนฺต ยาวตติยํ ปหิณเตวฯ ทีฆตปสฺสี ปน กาเลน กาลํ ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา ติฎฺฐติปิ นิสีทติปิ ปญฺหมฺปิ ปุจฺฉติ, โส ตถาคตสฺส ทสฺสนสมฺปตฺติมฺปิ นิยฺยานิกกถาภาวมฺปิ ชานาติฯ อถสฺส เอตทโหสิ – ‘‘อยํ คหปติ ปณฺฑิโต, สมณสฺส โคตมสฺส สนฺติเก คนฺตฺวา ทสฺสเนปิ ปสีเทยฺย, นิยฺยานิกกถํ สุตฺวาปิ ปสีเทยฺยฯ ตโต น ปุน อมฺหากํ สนฺติกํ อาคเจฺฉยฺยา’’ติฯ ตสฺมา ยาวตติยํ ปฎิพาหเตวฯ
60.Nakho metaṃ, bhante, ruccatīti, bhante, etaṃ mayhaṃ na ruccati. Māyāvīti māyākāro. Āvaṭṭanimāyanti āvaṭṭetvā gahaṇamāyaṃ. Āvaṭṭetīti āvaṭṭetvā parikkhipitvā gaṇhāti. Gaccha tvaṃ gahapatīti kasmā mahānigaṇṭho gahapatiṃ yāvatatiyaṃ pahiṇatiyeva? Dīghatapassī pana paṭibāhateva? Mahānigaṇṭhena hi bhagavatā saddhiṃ ekaṃ nagaraṃ upanissāya viharantenapi na bhagavā diṭṭhapubbo. Yo hi satthuvādapaṭiñño hoti, so taṃ paṭiññaṃ appahāya buddhadassane abhabbo. Tasmā esa buddhadassanassa aladdhapubbattā dasabalassa dassanasampattiñca niyyānikakathābhāvañca ajānanto yāvatatiyaṃ pahiṇateva. Dīghatapassī pana kālena kālaṃ bhagavantaṃ upasaṅkamitvā tiṭṭhatipi nisīdatipi pañhampi pucchati, so tathāgatassa dassanasampattimpi niyyānikakathābhāvampi jānāti. Athassa etadahosi – ‘‘ayaṃ gahapati paṇḍito, samaṇassa gotamassa santike gantvā dassanepi pasīdeyya, niyyānikakathaṃ sutvāpi pasīdeyya. Tato na puna amhākaṃ santikaṃ āgaccheyyā’’ti. Tasmā yāvatatiyaṃ paṭibāhateva.
อภิวาเทตฺวาติ วนฺทิตฺวาฯ ตถาคตญฺหิ ทิสฺวา ปสนฺนาปิ อปฺปสนฺนาปิ เยภุเยฺยน วนฺทนฺติเยว, อปฺปกา น วนฺทนฺติฯ กสฺมา? อติอุเจฺจ หิ กุเล ชาโต อคารํ อชฺฌาวสโนฺตปิ วนฺทิตโพฺพเยวาติฯ อยํ ปน คหปติ ปสนฺนตฺตาว วนฺทิ, ทสฺสเนเยว กิร ปสโนฺนฯ อาคมา นุ ขฺวิธาติ อาคมา นุ โข อิธฯ
Abhivādetvāti vanditvā. Tathāgatañhi disvā pasannāpi appasannāpi yebhuyyena vandantiyeva, appakā na vandanti. Kasmā? Atiucce hi kule jāto agāraṃ ajjhāvasantopi vanditabboyevāti. Ayaṃ pana gahapati pasannattāva vandi, dassaneyeva kira pasanno. Āgamā nu khvidhāti āgamā nu kho idha.
๖๑. สาธุ สาธุ, ภเนฺต, ตปสฺสีติ ทีฆตปสฺสิสฺส สาธุการํ เทโนฺต, ภเนฺตติ, ภควนฺตํ อาลปติฯ สเจฺจ ปติฎฺฐายาติ ถุสราสิมฺหิ อาโกฎิตขาณุโก วิย อจลโนฺต วจีสเจฺจ ปติฎฺฐหิตฺวาฯ สิยา โนติ ภเวยฺย อมฺหากํฯ
61.Sādhu sādhu, bhante, tapassīti dīghatapassissa sādhukāraṃ dento, bhanteti, bhagavantaṃ ālapati. Sacce patiṭṭhāyāti thusarāsimhi ākoṭitakhāṇuko viya acalanto vacīsacce patiṭṭhahitvā. Siyānoti bhaveyya amhākaṃ.
๖๒. อิธาติ อิมสฺมิํ โลเกฯ อสฺสาติ ภเวยฺยฯ สีโตทกปฎิกฺขิโตฺตติ นิคณฺฐา สตฺตสญฺญาย สีโตทกํ ปฎิกฺขิปนฺติฯ ตํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ มโนสตฺตา นาม เทวาติ มนมฺหิ สตฺตา ลคฺคา ลคิตาฯ มโนปฎิพโทฺธติ ยสฺมา มนมฺหิ ปฎิพโทฺธ หุตฺวา กาลงฺกโรติ, ตสฺมา มโนสเตฺตสุ เทเวสุ อุปปชฺชตีติ ทเสฺสติฯ ตสฺส หิ ปิตฺตชรโรโค ภวิสฺสติฯ เตนสฺส อุโณฺหทกํ ปิวิตุํ วา หตฺถปาทาทิโธวนตฺถาย วา คตฺตปริสิญฺจนตฺถาย วา อุปเนตุํ น วฎฺฎติ, โรโค พลวตโร โหติฯ สีโตทกํ วฎฺฎติ, โรคํ วูปสเมติฯ อยํ ปน อุโณฺหทกเมว ปฎิเสวติ, ตํ อลภมาโน โอทนกญฺชิกํ ปฎิเสวติฯ จิเตฺตน ปน สีโตทกํ ปาตุกาโม จ ปริภุญฺชิตุกาโม จ โหติฯ เตนสฺส มโนทโณฺฑ ตเตฺถว ภิชฺชติฯ โส กายทณฺฑํ วจีทณฺฑํ รกฺขามีติ สีโตทกํ ปาตุกาโม วา ปริภุญฺชิตุกาโม วา สีโตทกเมว เทถาติ วตฺตุํ น วิสหติฯ ตสฺส เอวํ รกฺขิตาปิ กายทณฺฑวจีทณฺฑา จุติํ วา ปฎิสนฺธิํ วา อากฑฺฒิตุํ น สโกฺกนฺติฯ มโนทโณฺฑ ปน ภิโนฺนปิ จุติมฺปิ ปฎิสนฺธิมฺปิ อากฑฺฒติเยวฯ อิติ นํ ภควา ทุพฺพลกายทณฺฑวจีทณฺฑา ฉวา ลามกา, มโนทโณฺฑว พลวา มหโนฺตติ วทาเปสิฯ
62.Idhāti imasmiṃ loke. Assāti bhaveyya. Sītodakapaṭikkhittoti nigaṇṭhā sattasaññāya sītodakaṃ paṭikkhipanti. Taṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ. Manosattā nāma devāti manamhi sattā laggā lagitā. Manopaṭibaddhoti yasmā manamhi paṭibaddho hutvā kālaṅkaroti, tasmā manosattesu devesu upapajjatīti dasseti. Tassa hi pittajararogo bhavissati. Tenassa uṇhodakaṃ pivituṃ vā hatthapādādidhovanatthāya vā gattaparisiñcanatthāya vā upanetuṃ na vaṭṭati, rogo balavataro hoti. Sītodakaṃ vaṭṭati, rogaṃ vūpasameti. Ayaṃ pana uṇhodakameva paṭisevati, taṃ alabhamāno odanakañjikaṃ paṭisevati. Cittena pana sītodakaṃ pātukāmo ca paribhuñjitukāmo ca hoti. Tenassa manodaṇḍo tattheva bhijjati. So kāyadaṇḍaṃ vacīdaṇḍaṃ rakkhāmīti sītodakaṃ pātukāmo vā paribhuñjitukāmo vā sītodakameva dethāti vattuṃ na visahati. Tassa evaṃ rakkhitāpi kāyadaṇḍavacīdaṇḍā cutiṃ vā paṭisandhiṃ vā ākaḍḍhituṃ na sakkonti. Manodaṇḍo pana bhinnopi cutimpi paṭisandhimpi ākaḍḍhatiyeva. Iti naṃ bhagavā dubbalakāyadaṇḍavacīdaṇḍā chavā lāmakā, manodaṇḍova balavā mahantoti vadāpesi.
ตสฺสปิ อุปาสกสฺส เอตทโหสิฯ ‘‘มุจฺฉาวเสน อสญฺญิภูตานญฺหิ สตฺตาหมฺปิ อสฺสาสปสฺสาสา นปฺปวตฺตนฺติ, จิตฺตสนฺตติปวตฺติมเตฺตเนว ปน เต มตาติ น วุจฺจนฺติฯ ยทา เนสํ จิตฺตํ นปฺปวตฺตติ, ตทา ‘มตา เอเต นีหริตฺวา เต ฌาเปถา’ติ วตฺตพฺพตํ อาปชฺชนฺติฯ กายทโณฺฑ นิรีโห อพฺยาปาโร, ตถา วจีทโณฺฑฯ จิเตฺตเนว ปน เตสํ จุติปิ ปฎิสนฺธิปิ โหติ ฯ อิติปิ มโนทโณฺฑว มหโนฺตฯ ภิชฺชิตฺวาปิ จุติปฎิสนฺธิอากฑฺฒนโต เอเสว มหโนฺตฯ อมฺหากํ ปน มหานิคณฺฐสฺส กถา อนิยฺยานิกา’’ติ สลฺลเกฺขสิฯ ภควโต ปน วิจิตฺตานิ ปญฺหปฎิภานานิ โสตุกาโม น ตาว อนุชานาติฯ
Tassapi upāsakassa etadahosi. ‘‘Mucchāvasena asaññibhūtānañhi sattāhampi assāsapassāsā nappavattanti, cittasantatipavattimatteneva pana te matāti na vuccanti. Yadā nesaṃ cittaṃ nappavattati, tadā ‘matā ete nīharitvā te jhāpethā’ti vattabbataṃ āpajjanti. Kāyadaṇḍo nirīho abyāpāro, tathā vacīdaṇḍo. Citteneva pana tesaṃ cutipi paṭisandhipi hoti . Itipi manodaṇḍova mahanto. Bhijjitvāpi cutipaṭisandhiākaḍḍhanato eseva mahanto. Amhākaṃ pana mahānigaṇṭhassa kathā aniyyānikā’’ti sallakkhesi. Bhagavato pana vicittāni pañhapaṭibhānāni sotukāmo na tāva anujānāti.
น โข เต สนฺธิยตีติ น โข เต ฆฎิยติฯ ปุริเมน วา ปจฺฉิมนฺติ ‘‘กายทโณฺฑ มหโนฺต’’ติ อิมินา ปุริเมน วจเนน อิทานิ ‘‘มโนทโณฺฑ มหโนฺต’’ติ อิทํ วจนํฯ ปจฺฉิเมน วา ปุริมนฺติ เตน วา ปจฺฉิเมน อทุํ ปุริมวจนํ น ฆฎิยติฯ
Na kho te sandhiyatīti na kho te ghaṭiyati. Purimena vā pacchimanti ‘‘kāyadaṇḍo mahanto’’ti iminā purimena vacanena idāni ‘‘manodaṇḍo mahanto’’ti idaṃ vacanaṃ. Pacchimena vā purimanti tena vā pacchimena aduṃ purimavacanaṃ na ghaṭiyati.
๖๓. อิทานิสฺส ภควา อญฺญานิปิ การณานิ อาหรโนฺต ‘‘ตํ กิํ มญฺญสี’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ จาตุยามสํวรสํวุโตติ น ปาณมติปาเตติ, น ปาณมติปาตยติ, น ปาณมติปาตยโต สมนุโญฺญ โหติฯ น อทินฺนํ อาทิยติ, น อทินฺนํ อาทิยาเปติ, น อทินฺนํ อาทิยโต สมนุโญฺญ โหติฯ น มุสา ภณติ, น มุสา ภณาเปติ, น มุสา ภณโต สมนุโญฺญ โหติฯ น ภาวิตมาสีสติ, น ภาวิตมาสีสาเปติ, น ภาวิตมาสีสโต สมนุโญฺญ โหตีติ อิมินา จตุโกฎฺฐาเสน สํวเรน สํวุโตฯ เอตฺถ จ ภาวิตนฺติ ปญฺจกามคุณาฯ
63. Idānissa bhagavā aññānipi kāraṇāni āharanto ‘‘taṃ kiṃ maññasī’’tiādimāha. Tattha cātuyāmasaṃvarasaṃvutoti na pāṇamatipāteti, na pāṇamatipātayati, na pāṇamatipātayato samanuñño hoti. Na adinnaṃ ādiyati, na adinnaṃ ādiyāpeti, na adinnaṃ ādiyato samanuñño hoti. Na musā bhaṇati, na musā bhaṇāpeti, na musā bhaṇato samanuñño hoti. Na bhāvitamāsīsati, na bhāvitamāsīsāpeti, na bhāvitamāsīsato samanuñño hotīti iminā catukoṭṭhāsena saṃvarena saṃvuto. Ettha ca bhāvitanti pañcakāmaguṇā.
สพฺพวาริวาริโตติ วาริตสพฺพอุทโก, ปฎิกฺขิตฺตสพฺพสีโตทโกติ อโตฺถฯ โส หิ สีโตทเก สตฺตสญฺญี โหติ, ตสฺมา น ตํ วลเญฺชติฯ อถ วา สพฺพวาริวาริโตติ สเพฺพน ปาปวารเณน วาริตปาโปฯ สพฺพวาริยุโตฺตติ สเพฺพน ปาปวารเณน ยุโตฺตฯ สพฺพวาริธุโตติ สเพฺพน ปาปวารเณน ธุตปาโปฯ สพฺพวาริผุโฎติ สเพฺพน ปาปวารเณน ผุโฎฯ ขุทฺทเก ปาเณ สงฺฆาตํ อาปาเทตีติ ขุทฺทเก ปาเณ วธํ อาปาเทติฯ โส กิร เอกินฺทฺริยํ ปาณํ ทุวินฺทฺริยํ ปาณนฺติ ปญฺญเปติฯ สุกฺขทณฺฑก-ปุราณปณฺณสกฺขร-กถลานิปิ ปาโณเตว ปญฺญเปติฯ ตตฺถ ขุทฺทกํ อุทกพินฺทุ ขุทฺทโก ปาโณ, มหนฺตํ มหโนฺตติ สญฺญี โหติฯ ตํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ กิสฺมิํ ปญฺญเปตีติ กตฺถ กตรสฺมิํ โกฎฺฐาเส ปญฺญเปติฯ มโนทณฺฑสฺมินฺติ มโนทณฺฑโกฎฺฐาเส, ภเนฺตติฯ อยํ ปน อุปาสโก ภณโนฺตว สยมฺปิ สลฺลเกฺขสิ – ‘‘อมฺหากํ มหานิคโณฺฐ ‘อสเญฺจตนิกํ กมฺมํ อปฺปสาวชฺชํ, สเญฺจตนิกํ มหาสาวชฺช’นฺติ ปญฺญเปตฺวา เจตนํ มโนทโณฺฑติ ปญฺญเปติ, อนิยฺยานิกา เอตสฺส กถา, ภควโตว นิยฺยานิกา’’ติฯ
Sabbavārivāritoti vāritasabbaudako, paṭikkhittasabbasītodakoti attho. So hi sītodake sattasaññī hoti, tasmā na taṃ valañjeti. Atha vā sabbavārivāritoti sabbena pāpavāraṇena vāritapāpo. Sabbavāriyuttoti sabbena pāpavāraṇena yutto. Sabbavāridhutoti sabbena pāpavāraṇena dhutapāpo. Sabbavāriphuṭoti sabbena pāpavāraṇena phuṭo. Khuddake pāṇe saṅghātaṃ āpādetīti khuddake pāṇe vadhaṃ āpādeti. So kira ekindriyaṃ pāṇaṃ duvindriyaṃ pāṇanti paññapeti. Sukkhadaṇḍaka-purāṇapaṇṇasakkhara-kathalānipi pāṇoteva paññapeti. Tattha khuddakaṃ udakabindu khuddako pāṇo, mahantaṃ mahantoti saññī hoti. Taṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ. Kismiṃ paññapetīti kattha katarasmiṃ koṭṭhāse paññapeti. Manodaṇḍasminti manodaṇḍakoṭṭhāse, bhanteti. Ayaṃ pana upāsako bhaṇantova sayampi sallakkhesi – ‘‘amhākaṃ mahānigaṇṭho ‘asañcetanikaṃ kammaṃ appasāvajjaṃ, sañcetanikaṃ mahāsāvajja’nti paññapetvā cetanaṃ manodaṇḍoti paññapeti, aniyyānikā etassa kathā, bhagavatova niyyānikā’’ti.
๖๔. อิทฺธาติ สมิทฺธาฯ ผีตาติ อติสมิทฺธา สพฺพปาลิผุลฺลา วิยฯ อากิณฺณมนุสฺสาติ ชนสมากุลาฯ ปาณาติ หตฺถิอสฺสาทโย ติรจฺฉานคตา เจว อิตฺถิปุริสทารกาทโย มนุสฺสชาติกา จฯ เอกํ มํสขลนฺติ เอกํ มํสราสิํฯ ปุญฺชนฺติ ตเสฺสว เววจนํฯ อิทฺธิมาติ อานุภาวสมฺปโนฺนฯ เจโตวสิปฺปโตฺตติ จิเตฺต วสีภาวปฺปโตฺตฯ ภสฺมํ กริสฺสามีติ ฉาริกํ กริสฺสามิฯ กิญฺหิ โสภติ เอกา ฉวา นาฬนฺทาติ อิทมฺปิ ภณโนฺต โส คหปติ – ‘‘กายปโยเคน ปญฺญาสมฺปิ มนุสฺสา เอกํ นาฬนฺทํ เอกํ มํสขลํ กาตุํ น สโกฺกนฺติ, อิทฺธิมา ปน เอโก เอเกเนว มโนปโทเสน ภสฺมํ กาตุํ สมโตฺถฯ อมฺหากํ มหานิคณฺฐสฺส กถา อนิยฺยานิกา, ภควโตว กถา นิยฺยานิกา’’ติ สลฺลเกฺขสิฯ
64.Iddhāti samiddhā. Phītāti atisamiddhā sabbapāliphullā viya. Ākiṇṇamanussāti janasamākulā. Pāṇāti hatthiassādayo tiracchānagatā ceva itthipurisadārakādayo manussajātikā ca. Ekaṃ maṃsakhalanti ekaṃ maṃsarāsiṃ. Puñjanti tasseva vevacanaṃ. Iddhimāti ānubhāvasampanno. Cetovasippattoti citte vasībhāvappatto. Bhasmaṃkarissāmīti chārikaṃ karissāmi. Kiñhi sobhati ekā chavā nāḷandāti idampi bhaṇanto so gahapati – ‘‘kāyapayogena paññāsampi manussā ekaṃ nāḷandaṃ ekaṃ maṃsakhalaṃ kātuṃ na sakkonti, iddhimā pana eko ekeneva manopadosena bhasmaṃ kātuṃ samattho. Amhākaṃ mahānigaṇṭhassa kathā aniyyānikā, bhagavatova kathā niyyānikā’’ti sallakkhesi.
๖๕. อรญฺญํ อรญฺญภูตนฺติ อคามกํ อรญฺญเมว หุตฺวา อรญฺญํ ชาตํฯ อิสีนํ มโนปโทเสนาติ อิสีนํ อตฺถาย กเตน มโนปโทเสน ตํ มโนปโทสํ อสหมานาหิ เทวตาหิ ตานิ รฎฺฐานิ วินาสิตานิฯ โลกิกา ปน อิสโย มนํ ปโทเสตฺวา วินาสยิํสูติ มญฺญนฺติฯ ตสฺมา อิมสฺมิํ โลกวาเท ฐตฺวาว อิทํ วาทาโรปนํ กตนฺติ เวทิตพฺพํฯ
65.Araññaṃ araññabhūtanti agāmakaṃ araññameva hutvā araññaṃ jātaṃ. Isīnaṃ manopadosenāti isīnaṃ atthāya katena manopadosena taṃ manopadosaṃ asahamānāhi devatāhi tāni raṭṭhāni vināsitāni. Lokikā pana isayo manaṃ padosetvā vināsayiṃsūti maññanti. Tasmā imasmiṃ lokavāde ṭhatvāva idaṃ vādāropanaṃ katanti veditabbaṃ.
ตตฺถ ทณฺฑกีรญฺญาทีนํ เอวํ อรญฺญภูตภาโว ชานิตโพฺพ – สรภงฺคโพธิสตฺตสฺส ตาว ปริสาย อติเวปุลฺลตํ คตาย กิสวโจฺฉ นาม ตาปโส มหาสตฺตสฺส อเนฺตวาสี วิเวกวาสํ ปตฺถยมาโน คณํ ปหาย โคธาวรีตีรโต กลิงฺครเฎฺฐ ทณฺฑกีรโญฺญ กุมฺภปุรํ นาม นครํ อุปนิสฺสาย ราชุยฺยาเน วิเวกมนุพฺรูหยมาโน วิหรติฯ ตสฺส เสนาปติ อุปฎฺฐาโก โหติฯ
Tattha daṇḍakīraññādīnaṃ evaṃ araññabhūtabhāvo jānitabbo – sarabhaṅgabodhisattassa tāva parisāya ativepullataṃ gatāya kisavaccho nāma tāpaso mahāsattassa antevāsī vivekavāsaṃ patthayamāno gaṇaṃ pahāya godhāvarītīrato kaliṅgaraṭṭhe daṇḍakīrañño kumbhapuraṃ nāma nagaraṃ upanissāya rājuyyāne vivekamanubrūhayamāno viharati. Tassa senāpati upaṭṭhāko hoti.
ตทา จ เอกา คณิกา รถํ อภิรุหิตฺวา ปญฺจมาตุคามสตปริวารา นครํ อุปโสภยมานา วิจรติฯ มหาชโน ตเมว โอโลกยมาโน ปริวาเรตฺวา วิจรติ, นครวีถิโย นปฺปโหนฺติฯ ราชา วาตปานํ วิวริตฺวา ฐิโต ตํ ทิสฺวา กา เอสาติ ปุจฺฉิฯ ตุมฺหากํ นครโสภินี เทวาติฯ โส อุสฺสูยมาโน ‘‘กิํ เอตาย โสภติ, นครํ สยํ โสภิสฺสตี’’ติ ตํ ฐานนฺตรํ อจฺฉินฺทาเปสิฯ
Tadā ca ekā gaṇikā rathaṃ abhiruhitvā pañcamātugāmasataparivārā nagaraṃ upasobhayamānā vicarati. Mahājano tameva olokayamāno parivāretvā vicarati, nagaravīthiyo nappahonti. Rājā vātapānaṃ vivaritvā ṭhito taṃ disvā kā esāti pucchi. Tumhākaṃ nagarasobhinī devāti. So ussūyamāno ‘‘kiṃ etāya sobhati, nagaraṃ sayaṃ sobhissatī’’ti taṃ ṭhānantaraṃ acchindāpesi.
สา ตโต ปฎฺฐาย เกนจิ สทฺธิํ สนฺถวํ กตฺวา ฐานนฺตรํ ปริเยสมานา เอกทิวสํ ราชุยฺยานํ ปวิสิตฺวา จงฺกมนโกฎิยํ อาลมฺพนผลกํ นิสฺสาย ปาสาณผลเก นิสินฺนํ ตาปสํ ทิสฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘กิลิโฎฺฐ วตายํ ตาปโส อนญฺชิตมณฺฑิโต, ทาฐิกาหิ ปรุฬฺหาหิ มุขํ ปิหิตํ, มสฺสุนา อุรํ ปิหิตํ, อุโภ กจฺฉา ปรุฬฺหา’’ติฯ อถสฺสา โทมนสฺสํ อุปฺปชฺชิ – ‘‘อหํ เอเกน กิเจฺจน วิจรามิ, อยญฺจ เม กาฬกณฺณี ทิโฎฺฐ, อุทกํ อาหรถ, อกฺขีนิ โธวิสฺสามี’’ติ อุทกทนฺตกฎฺฐํ อาหราเปตฺวา ทนฺตกฎฺฐํ ขาทิตฺวา ตาปสสฺส สรีเร ปิณฺฑํ ปิณฺฑํ เขฬํ ปาเตตฺวา ทนฺตกฎฺฐํ ชฎามตฺถเก ขิปิตฺวา มุขํ วิกฺขาเลตฺวา อุทกํ ตาปสสฺส มตฺถกสฺมิํเยว สิญฺจิตฺวา – ‘‘เยหิ เม อกฺขีหิ กาฬกณฺณี ทิโฎฺฐ, ตานิ โธตานิ กลิปวาหิโต’’ติ นิกฺขนฺตาฯ
Sā tato paṭṭhāya kenaci saddhiṃ santhavaṃ katvā ṭhānantaraṃ pariyesamānā ekadivasaṃ rājuyyānaṃ pavisitvā caṅkamanakoṭiyaṃ ālambanaphalakaṃ nissāya pāsāṇaphalake nisinnaṃ tāpasaṃ disvā cintesi – ‘‘kiliṭṭho vatāyaṃ tāpaso anañjitamaṇḍito, dāṭhikāhi paruḷhāhi mukhaṃ pihitaṃ, massunā uraṃ pihitaṃ, ubho kacchā paruḷhā’’ti. Athassā domanassaṃ uppajji – ‘‘ahaṃ ekena kiccena vicarāmi, ayañca me kāḷakaṇṇī diṭṭho, udakaṃ āharatha, akkhīni dhovissāmī’’ti udakadantakaṭṭhaṃ āharāpetvā dantakaṭṭhaṃ khāditvā tāpasassa sarīre piṇḍaṃ piṇḍaṃ kheḷaṃ pātetvā dantakaṭṭhaṃ jaṭāmatthake khipitvā mukhaṃ vikkhāletvā udakaṃ tāpasassa matthakasmiṃyeva siñcitvā – ‘‘yehi me akkhīhi kāḷakaṇṇī diṭṭho, tāni dhotāni kalipavāhito’’ti nikkhantā.
ตํทิวสญฺจ ราชา สติํ ปฎิลภิตฺวา – ‘‘โภ กุหิํ นครโสภินี’’ติ ปุจฺฉิฯ อิมสฺมิํเยว นคเร เทวาติฯ ปกติฎฺฐานนฺตรํ ตสฺสา เทถาติ ฐานนฺตรํ ทาเปสิฯ สา ปุเพฺพ สุกตกมฺมํ นิสฺสาย ลทฺธํ ฐานนฺตรํ ตาปสสฺส สรีเร เขฬปาตเนน ลทฺธนฺติ สญฺญมกาสิฯ
Taṃdivasañca rājā satiṃ paṭilabhitvā – ‘‘bho kuhiṃ nagarasobhinī’’ti pucchi. Imasmiṃyeva nagare devāti. Pakatiṭṭhānantaraṃ tassā dethāti ṭhānantaraṃ dāpesi. Sā pubbe sukatakammaṃ nissāya laddhaṃ ṭhānantaraṃ tāpasassa sarīre kheḷapātanena laddhanti saññamakāsi.
ตโต กติปาหสฺสจฺจเยน ราชา ปุโรหิตสฺส ฐานนฺตรํ คณฺหิฯ โส นครโสภินิยา สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘ภคินิ กินฺติ กตฺวา ฐานนฺตรํ ปฎิลภี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘กิํ พฺราหฺมณ อญฺญํ กาตพฺพํ อตฺถิ, ราชุยฺยาเน อนญฺชิตกาฬกณฺณี กูฎชฎิโล เอโก อตฺถิ, ตสฺส สรีเร เขฬํ ปาเตหิ, เอวํ ฐานนฺตรํ ลภิสฺสสี’’ติ อาหฯ โส ‘‘เอวํ กริสฺสามิ ภคินี’’ติ ตตฺถ คนฺตฺวา ตาย กถิตสทิสเมว สพฺพํ กตฺวา นิกฺขมิฯ ราชาปิ ตํทิวสเมว สติํ ปฎิลภิตฺวา – ‘‘กุหิํ, โภ, พฺราหฺมโณ’’ติ ปุจฺฉิฯ อิมสฺมิํเยว นคเร เทวาติฯ ‘‘อเมฺหหิ อนุปธาเรตฺวา กตํ, ตเทวสฺส ฐานนฺตรํ เทถา’’ติ ทาเปสิฯ โสปิ ปุญฺญพเลน ลภิตฺวา ‘‘ตาปสสฺส สรีเร เขฬปาตเนน ลทฺธํ เม’’ติ สญฺญมกาสิฯ
Tato katipāhassaccayena rājā purohitassa ṭhānantaraṃ gaṇhi. So nagarasobhiniyā santikaṃ gantvā ‘‘bhagini kinti katvā ṭhānantaraṃ paṭilabhī’’ti pucchi. ‘‘Kiṃ brāhmaṇa aññaṃ kātabbaṃ atthi, rājuyyāne anañjitakāḷakaṇṇī kūṭajaṭilo eko atthi, tassa sarīre kheḷaṃ pātehi, evaṃ ṭhānantaraṃ labhissasī’’ti āha. So ‘‘evaṃ karissāmi bhaginī’’ti tattha gantvā tāya kathitasadisameva sabbaṃ katvā nikkhami. Rājāpi taṃdivasameva satiṃ paṭilabhitvā – ‘‘kuhiṃ, bho, brāhmaṇo’’ti pucchi. Imasmiṃyeva nagare devāti. ‘‘Amhehi anupadhāretvā kataṃ, tadevassa ṭhānantaraṃ dethā’’ti dāpesi. Sopi puññabalena labhitvā ‘‘tāpasassa sarīre kheḷapātanena laddhaṃ me’’ti saññamakāsi.
ตโต กติปาหสฺสจฺจเยน รโญฺญ ปจฺจโนฺต กุปิโตฯ ราชา ปจฺจนฺตํ วูปสเมสฺสามีติ จตุรงฺคินิยา เสนาย นิกฺขมิฯ ปุโรหิโต คนฺตฺวา รโญฺญ ปุรโต ฐตฺวา ‘‘ชยตุ มหาราชา’’ติ วตฺวา – ‘‘ตุเมฺห, มหาราช, ชยตฺถาย คจฺฉถา’’ติ ปุจฺฉิฯ อาม พฺราหฺมณาติฯ เอวํ สเนฺต ราชุยฺยาเน อนญฺชิตกาฬกณฺณี เอโก กูฎชฎิโล วสติ, ตสฺส สรีเร เขฬํ ปาเตถาติฯ ราชา ตสฺส วจนํ คเหตฺวา ยถา คณิกาย จ เตน จ กตํ, ตเถว สพฺพํ กตฺวา โอโรเธปิ อาณาเปสิ – ‘‘เอตสฺส กูฎชฎิลสฺส สรีเร เขฬํ ปาเตถา’’ติฯ ตโต โอโรธาปิ โอโรธปาลกาปิ ตเถว อกํสุฯ อถ ราชา อุยฺยานทฺวาเร รกฺขํ ฐปาเปตฺวา ‘‘รญฺญา สทฺธิํ นิกฺขมนฺตา สเพฺพ ตาปสสฺส สรีเร เขฬํ อปาเตตฺวา นิกฺขมิตุํ น ลภนฺตี’’ติ อาณาเปสิฯ อถ สโพฺพ พลกาโย จ เสนิโย จ เตเนว นิยาเมน ตาปสสฺส อุปริ เขฬญฺจ ทนฺตกฎฺฐานิ จ มุขวิกฺขาลิต อุทกญฺจ ปาปยิํสุ, เขโฬ จ ทนฺตกฎฺฐานิ จ สกลสรีรํ อวตฺถริํสุฯ
Tato katipāhassaccayena rañño paccanto kupito. Rājā paccantaṃ vūpasamessāmīti caturaṅginiyā senāya nikkhami. Purohito gantvā rañño purato ṭhatvā ‘‘jayatu mahārājā’’ti vatvā – ‘‘tumhe, mahārāja, jayatthāya gacchathā’’ti pucchi. Āma brāhmaṇāti. Evaṃ sante rājuyyāne anañjitakāḷakaṇṇī eko kūṭajaṭilo vasati, tassa sarīre kheḷaṃ pātethāti. Rājā tassa vacanaṃ gahetvā yathā gaṇikāya ca tena ca kataṃ, tatheva sabbaṃ katvā orodhepi āṇāpesi – ‘‘etassa kūṭajaṭilassa sarīre kheḷaṃ pātethā’’ti. Tato orodhāpi orodhapālakāpi tatheva akaṃsu. Atha rājā uyyānadvāre rakkhaṃ ṭhapāpetvā ‘‘raññā saddhiṃ nikkhamantā sabbe tāpasassa sarīre kheḷaṃ apātetvā nikkhamituṃ na labhantī’’ti āṇāpesi. Atha sabbo balakāyo ca seniyo ca teneva niyāmena tāpasassa upari kheḷañca dantakaṭṭhāni ca mukhavikkhālita udakañca pāpayiṃsu, kheḷo ca dantakaṭṭhāni ca sakalasarīraṃ avatthariṃsu.
เสนาปติ สพฺพปจฺฉา สุณิตฺวา ‘‘มยฺหํ กิร สตฺถารํ ภวนฺตํ ปุญฺญเกฺขตฺตํ สคฺคโสปานํ เอวํ ฆฎฺฎยิํสู’’ติ อุสุมชาตหทโย มุเขน อสฺสสโนฺต เวเคน ราชุยฺยานํ อาคนฺตฺวา ตถา พฺยสนปตฺตํ อิสิํ ทิสฺวา กจฺฉํ พนฺธิตฺวา ทฺวีหิ หเตฺถหิ ทนฺตกฎฺฐานิ อปวิยูหิตฺวา อุกฺขิปิตฺวา นิสีทาเปตฺวา อุทกํ อาหราเปตฺวา นฺหาเปตฺวา สพฺพโอสเธหิ เจว จตุชฺชาติคเนฺธหิ จ สรีรํ อุพฺพเฎฺฎตฺวา สุขุมสาฎเกน ปุญฺฉิตฺวา ปุรโต อญฺชลิํ กตฺวา ฐิโต เอวมาห ‘‘อยุตฺตํ, ภเนฺต, มนุเสฺสหิ กตํ, เอเตสํ กิํ ภวิสฺสตี’’ติฯ เทวตา เสนาปติ ติธา ภินฺนา, เอกจฺจา ‘‘ราชานเมว นาเสสฺสามา’’ติ วทนฺติ, เอกจฺจา ‘‘สทฺธิํ ปริสาย ราชาน’’นฺติ, เอกจฺจา ‘‘รโญฺญ วิชิตํ สพฺพํ นาเสสฺสามา’’ติฯ อิทํ วตฺวา ปน ตาปโส อปฺปมตฺตกมฺปิ โกปํ อกตฺวา โลกสฺส สนฺติอุปายเมว อาจิกฺขโนฺต อาห ‘‘อปราโธ นาม โหติ, อจฺจยํ ปน เทเสตุํ ชานนฺตสฺส ปากติกเมว โหตี’’ติฯ
Senāpati sabbapacchā suṇitvā ‘‘mayhaṃ kira satthāraṃ bhavantaṃ puññakkhettaṃ saggasopānaṃ evaṃ ghaṭṭayiṃsū’’ti usumajātahadayo mukhena assasanto vegena rājuyyānaṃ āgantvā tathā byasanapattaṃ isiṃ disvā kacchaṃ bandhitvā dvīhi hatthehi dantakaṭṭhāni apaviyūhitvā ukkhipitvā nisīdāpetvā udakaṃ āharāpetvā nhāpetvā sabbaosadhehi ceva catujjātigandhehi ca sarīraṃ ubbaṭṭetvā sukhumasāṭakena puñchitvā purato añjaliṃ katvā ṭhito evamāha ‘‘ayuttaṃ, bhante, manussehi kataṃ, etesaṃ kiṃ bhavissatī’’ti. Devatā senāpati tidhā bhinnā, ekaccā ‘‘rājānameva nāsessāmā’’ti vadanti, ekaccā ‘‘saddhiṃ parisāya rājāna’’nti, ekaccā ‘‘rañño vijitaṃ sabbaṃ nāsessāmā’’ti. Idaṃ vatvā pana tāpaso appamattakampi kopaṃ akatvā lokassa santiupāyameva ācikkhanto āha ‘‘aparādho nāma hoti, accayaṃ pana desetuṃ jānantassa pākatikameva hotī’’ti.
เสนาปติ นยํ ลภิตฺวา รโญฺญ สนฺติกํ คนฺตฺวา ราชานํ วนฺทิตฺวา อาห – ‘‘ตุเมฺหหิ, มหาราช, นิราปราเธ มหิทฺธิเก ตาปเส อปรชฺฌเนฺตหิ ภาริยํ กมฺมํ กตํ, เทวตา กิร ติธา ภินฺนา เอวํ วทนฺตี’’ติ สพฺพํ อาโรเจตฺวา – ‘‘ขมาปิเต กิร, มหาราช, ปากติกํ โหติ, รฎฺฐํ มา นาเสถ, ตาปสํ ขมาเปถา’’ติ อาหฯ ราชา อตฺตนิ โทสํ กตํ ทิสฺวาปิ เอวํ วทติ ‘‘น ตํ ขมาเปสฺสามี’’ติฯ เสนาปติ ยาวตติยํ ยาจิตฺวา อนิจฺฉนฺตมาห – ‘‘อหํ, มหาราช, ตาปสสฺส พลํ ชานามิ, น โส อภูตวาที, นาปิ กุปิโต, สตฺตานุทฺทเยน ปน เอวมาห ขมาเปถ นํ มหาราชา’’ติฯ น ขมาเปมีติฯ เตน หิ เสนาปติฎฺฐานํ อญฺญสฺส เทถ, อหํ ตุมฺหากํ อาณาปวตฺติฎฺฐาเน น วสิสฺสามีติฯ ตฺวํ เยนกามํ คจฺฉ, อหํ มยฺหํ เสนาปติํ ลภิสฺสามีติฯ ตโต เสนาปติ ตาปสสฺส สนฺติกํ อาคนฺตฺวา วนฺทิตฺวา ‘‘กถํ ปฎิปชฺชามิ, ภเนฺต’’ติ อาหฯ เสนาปติ เย เต วจนํ สุณนฺติ, สเพฺพ สปริกฺขาเร สธเน สทฺวิปทจตุปฺปเท คเหตฺวา สตฺตทิวสพฺภนฺตเร พหิ รชฺชสีมํ คจฺฉ, เทวตา อติวิย กุปิตา ธุวํ รฎฺฐมฺปิ อรฎฺฐํ กริสฺสนฺตีติฯ เสนาปติ ตถา อกาสิฯ
Senāpati nayaṃ labhitvā rañño santikaṃ gantvā rājānaṃ vanditvā āha – ‘‘tumhehi, mahārāja, nirāparādhe mahiddhike tāpase aparajjhantehi bhāriyaṃ kammaṃ kataṃ, devatā kira tidhā bhinnā evaṃ vadantī’’ti sabbaṃ ārocetvā – ‘‘khamāpite kira, mahārāja, pākatikaṃ hoti, raṭṭhaṃ mā nāsetha, tāpasaṃ khamāpethā’’ti āha. Rājā attani dosaṃ kataṃ disvāpi evaṃ vadati ‘‘na taṃ khamāpessāmī’’ti. Senāpati yāvatatiyaṃ yācitvā anicchantamāha – ‘‘ahaṃ, mahārāja, tāpasassa balaṃ jānāmi, na so abhūtavādī, nāpi kupito, sattānuddayena pana evamāha khamāpetha naṃ mahārājā’’ti. Na khamāpemīti. Tena hi senāpatiṭṭhānaṃ aññassa detha, ahaṃ tumhākaṃ āṇāpavattiṭṭhāne na vasissāmīti. Tvaṃ yenakāmaṃ gaccha, ahaṃ mayhaṃ senāpatiṃ labhissāmīti. Tato senāpati tāpasassa santikaṃ āgantvā vanditvā ‘‘kathaṃ paṭipajjāmi, bhante’’ti āha. Senāpati ye te vacanaṃ suṇanti, sabbe saparikkhāre sadhane sadvipadacatuppade gahetvā sattadivasabbhantare bahi rajjasīmaṃ gaccha, devatā ativiya kupitā dhuvaṃ raṭṭhampi araṭṭhaṃ karissantīti. Senāpati tathā akāsi.
ราชา คตมโตฺตเยว อมิตฺตมถนํ กตฺวา ชนปทํ วูปสเมตฺวา อาคมฺม ชยขนฺธาวารฎฺฐาเน นิสีทิตฺวา นครํ ปฎิชคฺคาเปตฺวา อโนฺตนครํ ปาวิสิฯ เทวตา ปฐมํเยว อุทกวุฎฺฐิํ ปาตยิํสุฯ มหาชโน อตฺตมโน อโหสิ ‘‘กูฎชฎิลํ อปรทฺธกาลโต ปฎฺฐาย อมฺหากํ รโญฺญ วฑฺฒิเยว, อมิเตฺต นิมฺมเถสิ, อาคตทิวเสเยว เทโว วุโฎฺฐ’’ติฯ เทวตา ปุน สุมนปุปฺผวุฎฺฐิํ ปาตยิํสุ, มหาชโน อตฺตมนตโร อโหสิฯ เทวตา ปุน มาสกวุฎฺฐิํ ปาตยิํสุฯ ตโต กหาปณวุฎฺฐิํ, ตโต กหาปณตฺถํ น นิกฺขเมยฺยุนฺติ มญฺญมานา หตฺถูปคปาทูปคาทิกตภณฺฑวุฎฺฐิํ ปาเตสุํฯ มหาชโน สตฺตภูมิกปาสาเท ฐิโตปิ โอตริตฺวา อาภรณานิ ปิฬนฺธโนฺต อตฺตมโน อโหสิฯ ‘‘อรหติ วต กูฎชฎิลเก เขฬปาตนํ, ตสฺส อุปริ เขฬปาติตกาลโต ปฎฺฐาย อมฺหากํ รโญฺญ วฑฺฒิ ชาตา, อมิตฺตมถนํ กตํ, อาคตทิวเสเยว เทโว วสฺสิ, ตโต สุมนวุฎฺฐิ มาสกวุฎฺฐิ กหาปณวุฎฺฐิ กตภณฺฑวุฎฺฐีติ จตโสฺส วุฎฺฐิโย ชาตา’’ติ อตฺตมนวาจํ นิจฺฉาเรตฺวา รโญฺญ กตปาเป สมนุโญฺญ ชาโตฯ
Rājā gatamattoyeva amittamathanaṃ katvā janapadaṃ vūpasametvā āgamma jayakhandhāvāraṭṭhāne nisīditvā nagaraṃ paṭijaggāpetvā antonagaraṃ pāvisi. Devatā paṭhamaṃyeva udakavuṭṭhiṃ pātayiṃsu. Mahājano attamano ahosi ‘‘kūṭajaṭilaṃ aparaddhakālato paṭṭhāya amhākaṃ rañño vaḍḍhiyeva, amitte nimmathesi, āgatadivaseyeva devo vuṭṭho’’ti. Devatā puna sumanapupphavuṭṭhiṃ pātayiṃsu, mahājano attamanataro ahosi. Devatā puna māsakavuṭṭhiṃ pātayiṃsu. Tato kahāpaṇavuṭṭhiṃ, tato kahāpaṇatthaṃ na nikkhameyyunti maññamānā hatthūpagapādūpagādikatabhaṇḍavuṭṭhiṃ pātesuṃ. Mahājano sattabhūmikapāsāde ṭhitopi otaritvā ābharaṇāni piḷandhanto attamano ahosi. ‘‘Arahati vata kūṭajaṭilake kheḷapātanaṃ, tassa upari kheḷapātitakālato paṭṭhāya amhākaṃ rañño vaḍḍhi jātā, amittamathanaṃ kataṃ, āgatadivaseyeva devo vassi, tato sumanavuṭṭhi māsakavuṭṭhi kahāpaṇavuṭṭhi katabhaṇḍavuṭṭhīti catasso vuṭṭhiyo jātā’’ti attamanavācaṃ nicchāretvā rañño katapāpe samanuñño jāto.
ตสฺมิํ สมเย เทวตา เอกโตธารอุภโตธาราทีนิ นานปฺปการานิ อาวุธานิ มหาชนสฺส อุปริ ผลเก มํสํ โกฎฺฎยมานา วิย ปาตยิํสุฯ ตทนนฺตรํ วีตจฺจิเก วีตธูเม กิํสุกปุปฺผวเณฺณ องฺคาเร, ตทนนฺตรํ กูฎาคารปฺปมาเณ ปาสาเณ, ตทนนฺตรํ อโนฺตมุฎฺฐิยํ อสณฺฐหนิกํ สุขุมวาลิกํ วสฺสาปยมานา อสีติหตฺถุเพฺพธํ ถลํ อกํสุฯ รโญฺญ วิชิตฎฺฐาเน กิสวจฺฉตาปโส เสนาปติ มาตุโปสกราโมติ ตโยว มนุสฺสภูตา อโรคา อเหสุํฯ เสสานํ ตสฺมิํ กเมฺม อสมงฺคีภูตานํ ติรจฺฉานานํ ปานียฎฺฐาเน ปานียํ นาโหสิ, ติณฎฺฐาเน ติณํฯ เต เยน ปานียํ เยน ติณนฺติ คจฺฉนฺตา อปฺปเตฺตเยว สตฺตเม ทิวเส พหิรชฺชสีมํ ปาปุณิํสุฯ เตนาห สรภงฺคโพธิสโตฺต –
Tasmiṃ samaye devatā ekatodhāraubhatodhārādīni nānappakārāni āvudhāni mahājanassa upari phalake maṃsaṃ koṭṭayamānā viya pātayiṃsu. Tadanantaraṃ vītaccike vītadhūme kiṃsukapupphavaṇṇe aṅgāre, tadanantaraṃ kūṭāgārappamāṇe pāsāṇe, tadanantaraṃ antomuṭṭhiyaṃ asaṇṭhahanikaṃ sukhumavālikaṃ vassāpayamānā asītihatthubbedhaṃ thalaṃ akaṃsu. Rañño vijitaṭṭhāne kisavacchatāpaso senāpati mātuposakarāmoti tayova manussabhūtā arogā ahesuṃ. Sesānaṃ tasmiṃ kamme asamaṅgībhūtānaṃ tiracchānānaṃ pānīyaṭṭhāne pānīyaṃ nāhosi, tiṇaṭṭhāne tiṇaṃ. Te yena pānīyaṃ yena tiṇanti gacchantā appatteyeva sattame divase bahirajjasīmaṃ pāpuṇiṃsu. Tenāha sarabhaṅgabodhisatto –
‘‘กิสญฺหิ วจฺฉํ อวกิริย ทณฺฑกี,
‘‘Kisañhi vacchaṃ avakiriya daṇḍakī,
อุจฺฉินฺนมูโล สชโน สรโฎฺฐ;
Ucchinnamūlo sajano saraṭṭho;
กุกฺกุฬนาเม นิรยมฺหิ ปจฺจติ,
Kukkuḷanāme nirayamhi paccati,
ตสฺส ผุลิงฺคานิ ปตนฺติ กาเย’’ติฯ (ชา. ๒.๑๗.๗๐);
Tassa phuliṅgāni patanti kāye’’ti. (jā. 2.17.70);
เอวํ ตาว ทณฺฑกีรญฺญสฺส อรญฺญภูตภาโว เวทิตโพฺพฯ
Evaṃ tāva daṇḍakīraññassa araññabhūtabhāvo veditabbo.
กลิงฺครเฎฺฐ ปน นาฬิกิรรเญฺญ รชฺชํ การยมาเน หิมวติ ปญฺจสตตาปสา อนิตฺถิคนฺธา อชินชฎวากจีรธรา วนมูลผลภกฺขา หุตฺวา จิรํ วีตินาเมตฺวา โลณมฺพิลเสวนตฺถํ มนุสฺสปถํ โอตริตฺวา อนุปุเพฺพน กลิงฺครเฎฺฐ นาฬิกิรรโญฺญ นครํ สมฺปตฺตาฯ เต ชฎาชินวากจีรานิ สณฺฐเปตฺวา ปพฺพชิตานุรูปํ อุปสมสิริํ ทสฺสยมานา นครํ ภิกฺขาย ปวิสิํสุฯ มนุสฺสา อนุปฺปเนฺน พุทฺธุปฺปาเท ตาปสปพฺพชิเต ทิสฺวา ปสนฺนา นิสชฺชฎฺฐานํ สํวิธาย หตฺถโต ภิกฺขาภาชนํ คเหตฺวา นิสีทาเปตฺวา ภิกฺขํ สมฺปาเทตฺวา อทํสุฯ ตาปสา กตภตฺตกิจฺจา อนุโมทนํ อกํสุฯ มนุสฺสา สุตฺวา ปสนฺนจิตฺตา ‘‘กุหิํ ภทนฺตา คจฺฉนฺตี’’ติ ปุจฺฉิํสุฯ ยถาผาสุกฎฺฐานํ, อาวุโสติฯ ภเนฺต, อลํ อญฺญตฺถ คมเนน, ราชุยฺยาเน วสถ, มยํ ภุตฺตปาตราสา อาคนฺตฺวา ธมฺมกถํ โสสฺสามาติฯ ตาปสา อธิวาเสตฺวา อุยฺยานํ อคมํสุฯ นาครา ภุตฺตปาตราสา สุทฺธวตฺถนิวตฺถา ‘‘ธมฺมกถํ โสสฺสามา’’ติ สงฺฆา คณา คณีภูตา อุยฺยานาภิมุขา อคมํสุฯ ราชา อุปริปาสาเท ฐิโต เต ตถา คจฺฉมาเน ทิสฺวา อุปฎฺฐากํ ปุจฺฉิ ‘‘กิํ เอเต ภเณ นาครา สุทฺธวตฺถา สุทฺธุตฺตราสงฺคา หุตฺวา อุยฺยานาภิมุขา คจฺฉนฺติ, กิเมตฺถ สมชฺชํ วา นาฎกํ วา อตฺถี’’ติ? นตฺถิ เทว, เอเต ตาปสานํ สนฺติเก ธมฺมํ โสตุกามา คจฺฉนฺตีติฯ เตน หิ ภเณ อหมฺปิ คจฺฉิสฺสามิ, มยา สทฺธิํ คจฺฉนฺตูติฯ โส คนฺตฺวา เตสํ อาโรเจสิ – ‘‘ราชาปิ คนฺตุกาโม, ราชานํ ปริวาเรตฺวาว คจฺฉถา’’ติฯ นาครา ปกติยาปิ อตฺตมนา ตํ สุตฺวา – ‘‘อมฺหากํ ราชา อสฺสโทฺธ อปฺปสโนฺน ทุสฺสีโล, ตาปสา ธมฺมิกา, เต อาคมฺม ราชาปิ ธมฺมิโก ภวิสฺสตี’’ติ อตฺตมนตรา อเหสุํฯ
Kaliṅgaraṭṭhe pana nāḷikiraraññe rajjaṃ kārayamāne himavati pañcasatatāpasā anitthigandhā ajinajaṭavākacīradharā vanamūlaphalabhakkhā hutvā ciraṃ vītināmetvā loṇambilasevanatthaṃ manussapathaṃ otaritvā anupubbena kaliṅgaraṭṭhe nāḷikirarañño nagaraṃ sampattā. Te jaṭājinavākacīrāni saṇṭhapetvā pabbajitānurūpaṃ upasamasiriṃ dassayamānā nagaraṃ bhikkhāya pavisiṃsu. Manussā anuppanne buddhuppāde tāpasapabbajite disvā pasannā nisajjaṭṭhānaṃ saṃvidhāya hatthato bhikkhābhājanaṃ gahetvā nisīdāpetvā bhikkhaṃ sampādetvā adaṃsu. Tāpasā katabhattakiccā anumodanaṃ akaṃsu. Manussā sutvā pasannacittā ‘‘kuhiṃ bhadantā gacchantī’’ti pucchiṃsu. Yathāphāsukaṭṭhānaṃ, āvusoti. Bhante, alaṃ aññattha gamanena, rājuyyāne vasatha, mayaṃ bhuttapātarāsā āgantvā dhammakathaṃ sossāmāti. Tāpasā adhivāsetvā uyyānaṃ agamaṃsu. Nāgarā bhuttapātarāsā suddhavatthanivatthā ‘‘dhammakathaṃ sossāmā’’ti saṅghā gaṇā gaṇībhūtā uyyānābhimukhā agamaṃsu. Rājā uparipāsāde ṭhito te tathā gacchamāne disvā upaṭṭhākaṃ pucchi ‘‘kiṃ ete bhaṇe nāgarā suddhavatthā suddhuttarāsaṅgā hutvā uyyānābhimukhā gacchanti, kimettha samajjaṃ vā nāṭakaṃ vā atthī’’ti? Natthi deva, ete tāpasānaṃ santike dhammaṃ sotukāmā gacchantīti. Tena hi bhaṇe ahampi gacchissāmi, mayā saddhiṃ gacchantūti. So gantvā tesaṃ ārocesi – ‘‘rājāpi gantukāmo, rājānaṃ parivāretvāva gacchathā’’ti. Nāgarā pakatiyāpi attamanā taṃ sutvā – ‘‘amhākaṃ rājā assaddho appasanno dussīlo, tāpasā dhammikā, te āgamma rājāpi dhammiko bhavissatī’’ti attamanatarā ahesuṃ.
ราชา นิกฺขมิตฺวา เตหิ ปริวาริโต อุยฺยานํ คนฺตฺวา ตาปเสหิ สทฺธิํ ปฎิสนฺถารํ กตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ ตาปสา ราชานํ ทิสฺวา ปริกถาย กุสลเสฺสกสฺส ตาปสสฺส ‘‘รโญฺญ ธมฺมํ กเถหี’’ติ สญฺญมทํสุ, โส ตาปโส ปริสํ โอโลเกตฺวา ปญฺจสุ เวเรสุ อาทีนวํ ปญฺจสุ จ สีเลสุ อานิสํสํ กเถโนฺต –
Rājā nikkhamitvā tehi parivārito uyyānaṃ gantvā tāpasehi saddhiṃ paṭisanthāraṃ katvā ekamantaṃ nisīdi. Tāpasā rājānaṃ disvā parikathāya kusalassekassa tāpasassa ‘‘rañño dhammaṃ kathehī’’ti saññamadaṃsu, so tāpaso parisaṃ oloketvā pañcasu veresu ādīnavaṃ pañcasu ca sīlesu ānisaṃsaṃ kathento –
‘‘ปาโณ น หนฺตโพฺพ, อทินฺนํ นาทาตพฺพํ, กาเมสุมิจฺฉาจาโร น จริตโพฺพ, มุสา น ภาสิตพฺพา, มชฺชํ น ปาตพฺพํ, ปาณาติปาโต นาม นิรยสํวตฺตนิโก โหติ ติรจฺฉานโยนิสํวตฺตนิโก เปตฺติวิสยสํวตฺตนิโก, ตถา อทินฺนาทานาทีนิฯ ปาณาติปาโต นิรเย ปจฺจิตฺวา มนุสฺสโลกํ อาคตสฺส วิปากาวเสเสน อปฺปายุกสํวตฺตนิโก โหติ, อทินฺนาทานํ อปฺปโภคสํวตฺตนิกํ, มิจฺฉาจาโร พหุสปตฺตสํวตฺตนิโก, มุสาวาโท อภูตพฺภกฺขานสํวตฺตนิโก, มชฺชปานํ อุมฺมตฺตกภาวสํวตฺตนิก’’นฺติ –
‘‘Pāṇo na hantabbo, adinnaṃ nādātabbaṃ, kāmesumicchācāro na caritabbo, musā na bhāsitabbā, majjaṃ na pātabbaṃ, pāṇātipāto nāma nirayasaṃvattaniko hoti tiracchānayonisaṃvattaniko pettivisayasaṃvattaniko, tathā adinnādānādīni. Pāṇātipāto niraye paccitvā manussalokaṃ āgatassa vipākāvasesena appāyukasaṃvattaniko hoti, adinnādānaṃ appabhogasaṃvattanikaṃ, micchācāro bahusapattasaṃvattaniko, musāvādo abhūtabbhakkhānasaṃvattaniko, majjapānaṃ ummattakabhāvasaṃvattanika’’nti –
ปญฺจสุ เวเรสุ อิมํ อาทีนวํ กเถสิฯ
Pañcasu veresu imaṃ ādīnavaṃ kathesi.
ราชา ปกติยาปิ อสฺสโทฺธ อปฺปสโนฺน ทุสฺสีโล, ทุสฺสีลสฺส จ สีลกถา นาม ทุกฺกถา, กเณฺณ สูลปฺปเวสนํ วิย โหติฯ ตสฺมา โส จิเนฺตสิ – ‘‘อหํ ‘เอเต ปคฺคณฺหิสฺสามี’ติ อาคโต, อิเม ปน มยฺหํ อาคตกาลโต ปฎฺฐาย มํเยว ฆเฎฺฎนฺตา วิชฺฌนฺตา ปริสมเชฺฌ กเถนฺติ, กริสฺสามิ เนสํ กาตฺตพฺพ’’นฺติฯ โส ธมฺมกถาปริโยสาเน ‘‘อาจริยา เสฺว มยฺหํ เคเห ภิกฺขํ คณฺหถา’’ติ นิมเนฺตตฺวา อคมาสิฯ โส ทุติยทิวเส มหเนฺต มหเนฺต โกฬุเมฺพ อาหราเปตฺวา คูถสฺส ปูราเปตฺวา กทลิปเตฺตหิ เนสํ มุขานิ พนฺธาเปตฺวา ตตฺถ ตตฺถ ฐปาเปสิ, ปุน พหลมธุกเตลนาคพลปิจฺฉิลฺลาทีนํ กูเฎ ปูเรตฺวา นิเสฺสณิมตฺถเก ฐปาเปสิ, ตเตฺถว จ มหามเลฺล พทฺธกเจฺฉ หเตฺถหิ มุคฺคเร คาหาเปตฺวา ฐเปตฺวา อาห ‘‘กูฎตาปสา อติวิย มํ วิเหฐยิํสุ, เตสํ ปาสาทโต โอตรณกาเล กูเฎหิ ปิจฺฉิลฺลํ โสปานมตฺถเก วิสฺสเชฺชตฺวา สีเส มุคฺคเรหิ โปเถตฺวา คเล คเหตฺวา โสปาเน ขิปถา’’ติฯ โสปานปาทมูเล ปน จเณฺฑ กุกฺกุเร พนฺธาเปสิฯ
Rājā pakatiyāpi assaddho appasanno dussīlo, dussīlassa ca sīlakathā nāma dukkathā, kaṇṇe sūlappavesanaṃ viya hoti. Tasmā so cintesi – ‘‘ahaṃ ‘ete paggaṇhissāmī’ti āgato, ime pana mayhaṃ āgatakālato paṭṭhāya maṃyeva ghaṭṭentā vijjhantā parisamajjhe kathenti, karissāmi nesaṃ kāttabba’’nti. So dhammakathāpariyosāne ‘‘ācariyā sve mayhaṃ gehe bhikkhaṃ gaṇhathā’’ti nimantetvā agamāsi. So dutiyadivase mahante mahante koḷumbe āharāpetvā gūthassa pūrāpetvā kadalipattehi nesaṃ mukhāni bandhāpetvā tattha tattha ṭhapāpesi, puna bahalamadhukatelanāgabalapicchillādīnaṃ kūṭe pūretvā nisseṇimatthake ṭhapāpesi, tattheva ca mahāmalle baddhakacche hatthehi muggare gāhāpetvā ṭhapetvā āha ‘‘kūṭatāpasā ativiya maṃ viheṭhayiṃsu, tesaṃ pāsādato otaraṇakāle kūṭehi picchillaṃ sopānamatthake vissajjetvā sīse muggarehi pothetvā gale gahetvā sopāne khipathā’’ti. Sopānapādamūle pana caṇḍe kukkure bandhāpesi.
ตาปสาปิ ‘‘เสฺว ราชเคเห ภุญฺชิสฺสามา’’ติ อญฺญมญฺญํ โอวทิํสุ – ‘‘มาริสา ราชเคหํ นาม สาสงฺกํ สปฺปฎิภยํ, ปพฺพชิเตหิ นาม ฉทฺวารารมฺมเณ สญฺญเตหิ ภวิตพฺพํ, ทิฎฺฐทิเฎฺฐ อารมฺมเณ นิมิตฺตํ น คเหตพฺพํ, จกฺขุทฺวาเร สํวโร ปจฺจุปฎฺฐเปตโพฺพ’’ติฯ
Tāpasāpi ‘‘sve rājagehe bhuñjissāmā’’ti aññamaññaṃ ovadiṃsu – ‘‘mārisā rājagehaṃ nāma sāsaṅkaṃ sappaṭibhayaṃ, pabbajitehi nāma chadvārārammaṇe saññatehi bhavitabbaṃ, diṭṭhadiṭṭhe ārammaṇe nimittaṃ na gahetabbaṃ, cakkhudvāre saṃvaro paccupaṭṭhapetabbo’’ti.
ปุนทิวเส ภิกฺขาจารเวลํ สลฺลเกฺขตฺวา วากจีรํ นิวาเสตฺวา อชินจมฺมํ เอกํสคตํ กตฺวา ชฎากลาปํ สณฺฐเปตฺวา ภิกฺขาภาชนํ คเหตฺวา ปฎิปาฎิยา ราชนิเวสนํ อภิรุฬฺหาฯ ราชา อารุฬฺหภาวํ ญตฺวา คูถโกฬุมฺพมุขโต กทลิปตฺตํ นีหราเปสิฯ ทุคฺคโนฺธ ตาปสานํ นาสปุฎํ ปหริตฺวา มตฺถลุงฺคปาตนาการปโตฺต อโหสิฯ มหาตาปโส ราชานํ โอโลเกสิฯ ราชา – ‘‘เอตฺถ โภโนฺต ยาวทตฺถํ ภุญฺชนฺตุ เจว หรนฺตุ จ, ตุมฺหากเมตํ อนุจฺฉวิกํ, หิโยฺย อหํ ตุเมฺห ปคฺคณฺหิสฺสามีติ อาคโต, ตุเมฺห ปน มํเยว ฆเฎฺฎโนฺต วิชฺฌนฺตา ปริสมเชฺฌ กถยิตฺถ , ตุมฺหากมิทํ อนุจฺฉวิกํ, ภุญฺชถา’’ติ มหาตาปสสฺส อุลุเงฺกน คูถํ อุปนาเมสิฯ มหาตาปโส ธี ธีติ วทโนฺต ปฎินิวตฺติฯ ‘‘เอตฺตเกเนว คจฺฉิสฺสถ ตุเมฺห’’ติ โสปาเน กูเฎหิ ปิจฺฉิลฺลํ วิสฺสชฺชาเปตฺวา มลฺลานํ สญฺญมทาสิฯ มลฺลา มุคฺคเรหิ สีสานิ โปเถตฺวา คีวาย คเหตฺวา โสปาเน ขิปิํสุ, เอโกปิ โสปาเน ปติฎฺฐาตุํ นาสกฺขิ , ปวฎฺฎมานา โสปานปาทมูลํเยว ปาปุณิํสุฯ สมฺปเตฺต สมฺปเตฺต จณฺฑกุกฺกุรา ปฎปฎาติ ลุญฺจมานา ขาทิํสุฯ โยปิ เนสํ อุฎฺฐหิตฺวา ปลายติ, โสปิ อาวาเฎ ปตติ, ตตฺราปิ นํ กุกฺกุรา อนุพนฺธิตฺวา ขาทนฺติเยวฯ อิติ เนสํ กุกฺกุรา อฎฺฐิสงฺขลิกเมว อวเสสยิํสุฯ เอวํ โส ราชา ตปสมฺปเนฺน ปญฺจสเต ตาปเส เอกทิวเสเนว ชีวิตา โวโรเปสิฯ
Punadivase bhikkhācāravelaṃ sallakkhetvā vākacīraṃ nivāsetvā ajinacammaṃ ekaṃsagataṃ katvā jaṭākalāpaṃ saṇṭhapetvā bhikkhābhājanaṃ gahetvā paṭipāṭiyā rājanivesanaṃ abhiruḷhā. Rājā āruḷhabhāvaṃ ñatvā gūthakoḷumbamukhato kadalipattaṃ nīharāpesi. Duggandho tāpasānaṃ nāsapuṭaṃ paharitvā matthaluṅgapātanākārapatto ahosi. Mahātāpaso rājānaṃ olokesi. Rājā – ‘‘ettha bhonto yāvadatthaṃ bhuñjantu ceva harantu ca, tumhākametaṃ anucchavikaṃ, hiyyo ahaṃ tumhe paggaṇhissāmīti āgato, tumhe pana maṃyeva ghaṭṭento vijjhantā parisamajjhe kathayittha , tumhākamidaṃ anucchavikaṃ, bhuñjathā’’ti mahātāpasassa uluṅkena gūthaṃ upanāmesi. Mahātāpaso dhī dhīti vadanto paṭinivatti. ‘‘Ettakeneva gacchissatha tumhe’’ti sopāne kūṭehi picchillaṃ vissajjāpetvā mallānaṃ saññamadāsi. Mallā muggarehi sīsāni pothetvā gīvāya gahetvā sopāne khipiṃsu, ekopi sopāne patiṭṭhātuṃ nāsakkhi , pavaṭṭamānā sopānapādamūlaṃyeva pāpuṇiṃsu. Sampatte sampatte caṇḍakukkurā paṭapaṭāti luñcamānā khādiṃsu. Yopi nesaṃ uṭṭhahitvā palāyati, sopi āvāṭe patati, tatrāpi naṃ kukkurā anubandhitvā khādantiyeva. Iti nesaṃ kukkurā aṭṭhisaṅkhalikameva avasesayiṃsu. Evaṃ so rājā tapasampanne pañcasate tāpase ekadivaseneva jīvitā voropesi.
อถสฺส รเฎฺฐ เทวตา ปุริมนเยเนว ปุน นววุฎฺฐิโย ปาเตสุํฯ ตสฺส รชฺชํ สฎฺฐิโยชนุเพฺพเธน วาลิกถเลน อวจฺฉาทิยิตฺถฯ เตนาห สรภโงฺค โพธิสโตฺต –
Athassa raṭṭhe devatā purimanayeneva puna navavuṭṭhiyo pātesuṃ. Tassa rajjaṃ saṭṭhiyojanubbedhena vālikathalena avacchādiyittha. Tenāha sarabhaṅgo bodhisatto –
‘‘โย สญฺญเต ปพฺพชิเต อวญฺจยิ,
‘‘Yo saññate pabbajite avañcayi,
ธมฺมํ ภณเนฺต สมเณ อทูสเก;
Dhammaṃ bhaṇante samaṇe adūsake;
ตํ นาฬิเกรํ สุนขา ปรตฺถ,
Taṃ nāḷikeraṃ sunakhā parattha,
สงฺคมฺม ขาทนฺติ วิผนฺทมาน’’นฺติฯ (ชา. ๒.๑๗.๗๑);
Saṅgamma khādanti viphandamāna’’nti. (jā. 2.17.71);
เอวํ กาลิงฺคารญฺญสฺส อรญฺญภูตภาโว เวทิตโพฺพฯ
Evaṃ kāliṅgāraññassa araññabhūtabhāvo veditabbo.
อตีเต ปน พาราณสินคเร ทิฎฺฐมงฺคลิกา นาม จตฺตาลีสโกฎิวิภวสฺส เสฎฺฐิโน เอกา ธีตา อโหสิ ทสฺสนียา ปาสาทิกาฯ สา รูปโภคกุลสมฺปตฺติสมฺปนฺนตาย พหูนํ ปตฺถนียา อโหสิฯ โย ปนสฺสา วาเรยฺยตฺถาย ปหิณาติ, ตํ ตํ ทิสฺวานสฺส ชาติยํ วา หตฺถปาทาทีสุ วา ยตฺถ กตฺถจิ โทสํ อาโรเปตฺวา ‘‘โก เอส ทุชฺชาโต ทุสฺสณฺฐิโต’’ติอาทีนิ วตฺวา – ‘‘นีหรถ น’’นฺติ นีหราเปตฺวา ‘‘เอวรูปมฺปิ นาม อทฺทสํ, อุทกํ อาหรถ, อกฺขีนิ โธวิสฺสามี’’ติ อกฺขีนิ โธวติฯ ตสฺสา ทิฎฺฐํ ทิฎฺฐํ วิปฺปการํ ปาเปตฺวา นีหราเปตีติ ทิฎฺฐมงฺคลิกา เตฺวว สงฺขา อุทปาทิ, มูลนามํ อนฺตรธายิฯ
Atīte pana bārāṇasinagare diṭṭhamaṅgalikā nāma cattālīsakoṭivibhavassa seṭṭhino ekā dhītā ahosi dassanīyā pāsādikā. Sā rūpabhogakulasampattisampannatāya bahūnaṃ patthanīyā ahosi. Yo panassā vāreyyatthāya pahiṇāti, taṃ taṃ disvānassa jātiyaṃ vā hatthapādādīsu vā yattha katthaci dosaṃ āropetvā ‘‘ko esa dujjāto dussaṇṭhito’’tiādīni vatvā – ‘‘nīharatha na’’nti nīharāpetvā ‘‘evarūpampi nāma addasaṃ, udakaṃ āharatha, akkhīni dhovissāmī’’ti akkhīni dhovati. Tassā diṭṭhaṃ diṭṭhaṃ vippakāraṃ pāpetvā nīharāpetīti diṭṭhamaṅgalikā tveva saṅkhā udapādi, mūlanāmaṃ antaradhāyi.
สา เอกทิวสํ คงฺคาย อุทกกีฬํ กีฬิสฺสามีติ ติตฺถํ สชฺชาเปตฺวา ปหูตํ ขาทนียโภชนียํ สกเฎสุ ปูราเปตฺวา พหูนิ คนฺธมาลาทีนิ อาทาย ปฎิจฺฉนฺนยานํ อารุยฺห ญาติคณปริวุตา เคหมฺหา นิกฺขมิฯ เตน จ สมเยน มหาปุริโส จณฺฑาลโยนิยํ นิพฺพโตฺต พหินคเร จมฺมเคเห วสติ, มาตโงฺคเตฺววสฺส นามํ อโหสิฯ โส โสฬสวสฺสุเทฺทสิโก หุตฺวา เกนจิเทว กรณีเยน อโนฺตนครํ ปวิสิตุกาโม เอกํ นีลปิโลติกํ นิวาเสตฺวา เอกํ หเตฺถ พนฺธิตฺวา เอเกน หเตฺถน ปจฺฉิํ, เอเกน ฆณฺฑํ คเหตฺวา ‘‘อุสฺสรถ อยฺยา, จณฺฑาโลห’’นฺติ ชานาปนตฺถํ ตํ วาเทโนฺต นีจจิตฺตํ ปจฺจุปฎฺฐเปตฺวา ทิฎฺฐทิเฎฺฐ มนุเสฺส นมสฺสมาโน นครํ ปวิสิตฺวา มหาปถํ ปฎิปชฺชิฯ
Sā ekadivasaṃ gaṅgāya udakakīḷaṃ kīḷissāmīti titthaṃ sajjāpetvā pahūtaṃ khādanīyabhojanīyaṃ sakaṭesu pūrāpetvā bahūni gandhamālādīni ādāya paṭicchannayānaṃ āruyha ñātigaṇaparivutā gehamhā nikkhami. Tena ca samayena mahāpuriso caṇḍālayoniyaṃ nibbatto bahinagare cammagehe vasati, mātaṅgotvevassa nāmaṃ ahosi. So soḷasavassuddesiko hutvā kenacideva karaṇīyena antonagaraṃ pavisitukāmo ekaṃ nīlapilotikaṃ nivāsetvā ekaṃ hatthe bandhitvā ekena hatthena pacchiṃ, ekena ghaṇḍaṃ gahetvā ‘‘ussaratha ayyā, caṇḍāloha’’nti jānāpanatthaṃ taṃ vādento nīcacittaṃ paccupaṭṭhapetvā diṭṭhadiṭṭhe manusse namassamāno nagaraṃ pavisitvā mahāpathaṃ paṭipajji.
ทิฎฺฐมงฺคลิกา ฆณฺฑสทฺทํ สุตฺวา สาณิอนฺตเรน โอโลเกนฺตี ทูรโตว ตํ อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวา ‘‘กิเมต’’นฺติ ปุจฺฉิฯ มาตโงฺค อเยฺยติฯ ‘‘กิํ วต, โภ, อกุสลํ อกรมฺห, กสฺสายํ นิสฺสโนฺท, วินาโส นุ โข เม ปจฺจุปฎฺฐิโต, มงฺคลกิเจฺจน นาม คจฺฉมานา จณฺฑาลํ อทฺทส’’นฺติ สรีรํ กเมฺปตฺวา ชิคุจฺฉมานา เขฬํ ปาเตตฺวา ธาติโย อาห – ‘‘เวเคน อุทกํ อาหรถ, จณฺฑาโล ทิโฎฺฐ, อกฺขีนิ เจว นาม คหิตมุขญฺจ โธวิสฺสามี’’ติ โธวิตฺวา รถํ นิวตฺตาเปตฺวา สพฺพปฎิยาทานํ เคหํ เปเสตฺวา ปาสาทํ อภิรุหิฯ สุราโสณฺฑาทโย เจว ตสฺสา อุปฎฺฐากมนุสฺสา จ ‘‘กุหิํ, โภ ทิฎฺฐมงฺคลิกา, อิมายปิ เวลาย นาคจฺฉตี’’ติ ปุจฺฉนฺตา ตํ ปวตฺติํ สุตฺวา – ‘‘มหนฺตํ วต, โภ, สุรามํสคนฺธมาลาทิสกฺการํ จณฺฑาลํ นิสฺสาย อนุภวิตุํ น ลภิมฺห, คณฺหถ จณฺฑาล’’นฺติ คตฎฺฐานํ คเวสิตฺวา นิราปราธํ มาตงฺคปณฺฑิตํ ตชฺชิตฺวา – ‘‘อเร มาตงฺค ตํ นิสฺสาย อิทญฺจิทญฺจ สกฺการํ อนุภวิตุํ น ลภิมฺหา’’ติ เกเสสุ คเหตฺวา ภูมิยํ ปาเตตฺวา ชาณุกปฺปรปาสาณาทีหิ โกเฎฺฎตฺวา มโตติ สญฺญาย ปาเท คเหตฺวา กฑฺฒนฺตา สงฺการกูเฎ ฉเฑฺฑสุํฯ
Diṭṭhamaṅgalikā ghaṇḍasaddaṃ sutvā sāṇiantarena olokentī dūratova taṃ āgacchantaṃ disvā ‘‘kimeta’’nti pucchi. Mātaṅgo ayyeti. ‘‘Kiṃ vata, bho, akusalaṃ akaramha, kassāyaṃ nissando, vināso nu kho me paccupaṭṭhito, maṅgalakiccena nāma gacchamānā caṇḍālaṃ addasa’’nti sarīraṃ kampetvā jigucchamānā kheḷaṃ pātetvā dhātiyo āha – ‘‘vegena udakaṃ āharatha, caṇḍālo diṭṭho, akkhīni ceva nāma gahitamukhañca dhovissāmī’’ti dhovitvā rathaṃ nivattāpetvā sabbapaṭiyādānaṃ gehaṃ pesetvā pāsādaṃ abhiruhi. Surāsoṇḍādayo ceva tassā upaṭṭhākamanussā ca ‘‘kuhiṃ, bho diṭṭhamaṅgalikā, imāyapi velāya nāgacchatī’’ti pucchantā taṃ pavattiṃ sutvā – ‘‘mahantaṃ vata, bho, surāmaṃsagandhamālādisakkāraṃ caṇḍālaṃ nissāya anubhavituṃ na labhimha, gaṇhatha caṇḍāla’’nti gataṭṭhānaṃ gavesitvā nirāparādhaṃ mātaṅgapaṇḍitaṃ tajjitvā – ‘‘are mātaṅga taṃ nissāya idañcidañca sakkāraṃ anubhavituṃ na labhimhā’’ti kesesu gahetvā bhūmiyaṃ pātetvā jāṇukapparapāsāṇādīhi koṭṭetvā matoti saññāya pāde gahetvā kaḍḍhantā saṅkārakūṭe chaḍḍesuṃ.
มหาปุริโส สญฺญํ ปฎิลภิตฺวา หตฺถปาเท ปรามสิตฺวา – ‘‘อิทํ ทุกฺขํ กํ นิสฺสาย อุปฺปนฺน’’นฺติ จิเนฺตโนฺต – ‘‘น อญฺญํ กญฺจิ, ทิฎฺฐมงฺคลิกํ นิสฺสาย อุปฺปนฺน’’นฺติ ญตฺวา ‘‘สจาหํ ปุริโส, ปาเทสุ นํ นิปาเตสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา เวธมาโน ทิฎฺฐมงฺคลิกาย กุลทฺวารํ คนฺตฺวา – ‘‘ทิฎฺฐมงฺคลิกํ ลภโนฺต วุฎฺฐหิสฺสามิ, อลภนฺตสฺส เอเตฺถว มรณ’’นฺติ เคหงฺคเณ นิปชฺชิฯ เตน จ สมเยน ชมฺพุทีเป อยํ ธมฺมตา โหติ – ยสฺส จณฺฑาโล กุชฺฌิตฺวา คพฺภทฺวาเร นิปโนฺน มรติ, เย จ ตสฺมิํ คเพฺภ วสนฺติ, สเพฺพ จณฺฑาลา โหนฺติฯ เคหมชฺฌมฺหิ มเต สเพฺพ เคหวาสิโน, ทฺวารมฺหิ มเต อุภโต อนนฺตรเคหวาสิกา, องฺคณมฺหิ มเต อิโต สตฺต อิโต สตฺตาติ จุทฺทสเคหวาสิโน สเพฺพ จณฺฑาลา โหนฺตีติฯ โพธิสโตฺต ปน องฺคเณ นิปชฺชิฯ
Mahāpuriso saññaṃ paṭilabhitvā hatthapāde parāmasitvā – ‘‘idaṃ dukkhaṃ kaṃ nissāya uppanna’’nti cintento – ‘‘na aññaṃ kañci, diṭṭhamaṅgalikaṃ nissāya uppanna’’nti ñatvā ‘‘sacāhaṃ puriso, pādesu naṃ nipātessāmī’’ti cintetvā vedhamāno diṭṭhamaṅgalikāya kuladvāraṃ gantvā – ‘‘diṭṭhamaṅgalikaṃ labhanto vuṭṭhahissāmi, alabhantassa ettheva maraṇa’’nti gehaṅgaṇe nipajji. Tena ca samayena jambudīpe ayaṃ dhammatā hoti – yassa caṇḍālo kujjhitvā gabbhadvāre nipanno marati, ye ca tasmiṃ gabbhe vasanti, sabbe caṇḍālā honti. Gehamajjhamhi mate sabbe gehavāsino, dvāramhi mate ubhato anantaragehavāsikā, aṅgaṇamhi mate ito satta ito sattāti cuddasagehavāsino sabbe caṇḍālā hontīti. Bodhisatto pana aṅgaṇe nipajji.
เสฎฺฐิสฺส อาโรเจสุํ – ‘‘มาตโงฺค เต สามิ เคหงฺคเณ ปติโต’’ติ คจฺฉถ ภเณ, กิํ การณาติ วตฺวา เอกมาสกํ ทตฺวา อุฎฺฐาเปถาติฯ เต คนฺตฺวา ‘‘อิมํ กิร มาสกํ คเหตฺวา อุฎฺฐหา’’ติ วทิํสุฯ โส – ‘‘นาหํ มาสกตฺถาย นิปโนฺน, ทิฎฺฐมงฺคลิกาย สฺวาหํ นิปโนฺน’’ติ อาหฯ ทิฎฺฐมงฺคลิกาย โก โทโสติ? กิํ ตสฺสา โทสํ น ปสฺสถ, นิรปราโธ อหํ ตสฺสา มนุเสฺสหิ พฺยสนํ ปาปิโต, ตํ ลภโนฺตว วุฎฺฐหิสฺสามิ, อลภโนฺต น วุฎฺฐหิสฺสามีติฯ
Seṭṭhissa ārocesuṃ – ‘‘mātaṅgo te sāmi gehaṅgaṇe patito’’ti gacchatha bhaṇe, kiṃ kāraṇāti vatvā ekamāsakaṃ datvā uṭṭhāpethāti. Te gantvā ‘‘imaṃ kira māsakaṃ gahetvā uṭṭhahā’’ti vadiṃsu. So – ‘‘nāhaṃ māsakatthāya nipanno, diṭṭhamaṅgalikāya svāhaṃ nipanno’’ti āha. Diṭṭhamaṅgalikāya ko dosoti? Kiṃ tassā dosaṃ na passatha, niraparādho ahaṃ tassā manussehi byasanaṃ pāpito, taṃ labhantova vuṭṭhahissāmi, alabhanto na vuṭṭhahissāmīti.
เต คนฺตฺวา เสฎฺฐิสฺส อาโรเจสุํฯ เสฎฺฐิ ธีตุ โทสํ ญตฺวา ‘‘คจฺฉถ, เอกํ กหาปณํ เทถา’’ติ เปเสติฯ โส ‘‘น อิจฺฉามิ กหาปณํ, ตเมว อิจฺฉามี’’ติ อาหฯ ตํ สุตฺวา เสฎฺฐิ จ เสฎฺฐิภริยา จ – ‘‘เอกาเยว โน ปิยธีตา, ปเวณิยา ฆฎโก อโญฺญ ทารโกปิ นตฺถี’’ติ สํเวคปฺปตฺตา – ‘‘คจฺฉถ ตาตา, โกจิ อมฺหากํ อสหนโก เอตํ ชีวิตาปิ โวโรเปยฺย, เอตสฺมิญฺหิ มเต สเพฺพ มยํ นฎฺฐา โหม, อารกฺขมสฺส คณฺหถา’’ติ ปริวาเรตฺวา อารกฺขํ สํวิธาย ยาคุํ เปสยิํสุ, ภตฺตํ ธนํ เปสยิํสุ, เอวํ โส สพฺพํ ปฎิกฺขิปิฯ เอวํ เอโก ทิวโส คโต; เทฺว, ตโย, จตฺตาโร, ปญฺจ ทิวสา คตาฯ
Te gantvā seṭṭhissa ārocesuṃ. Seṭṭhi dhītu dosaṃ ñatvā ‘‘gacchatha, ekaṃ kahāpaṇaṃ dethā’’ti peseti. So ‘‘na icchāmi kahāpaṇaṃ, tameva icchāmī’’ti āha. Taṃ sutvā seṭṭhi ca seṭṭhibhariyā ca – ‘‘ekāyeva no piyadhītā, paveṇiyā ghaṭako añño dārakopi natthī’’ti saṃvegappattā – ‘‘gacchatha tātā, koci amhākaṃ asahanako etaṃ jīvitāpi voropeyya, etasmiñhi mate sabbe mayaṃ naṭṭhā homa, ārakkhamassa gaṇhathā’’ti parivāretvā ārakkhaṃ saṃvidhāya yāguṃ pesayiṃsu, bhattaṃ dhanaṃ pesayiṃsu, evaṃ so sabbaṃ paṭikkhipi. Evaṃ eko divaso gato; dve, tayo, cattāro, pañca divasā gatā.
ตโต สตฺตสตฺตเคหวาสิกา อุฎฺฐาย – ‘‘น สโกฺกม มยํ ตุเมฺห นิสฺสาย จณฺฑาลา ภวิตุํ, อเมฺห มา นาเสถ, ตุมฺหากํ ทาริกํ ทตฺวา เอตํ อุฎฺฐาเปถา’’ติ อาหํสุฯ เต สตมฺปิ สหสฺสมฺปิ สตสหสฺสมฺปิ ปหิณิํสุ, โส ปฎิกฺขิปเตวฯ เอวํ ฉ ทิวสา คตาฯ สตฺตเม ทิวเส อุภโต จุทฺทสเคหวาสิกา สนฺนิปติตฺวา – ‘‘น มยํ จณฺฑาลา ภวิตุํ สโกฺกม, ตุมฺหากํ อกามกานมฺปิ มยํ เอตสฺส ทาริกํ ทสฺสามา’’ติ อาหํสุฯ
Tato sattasattagehavāsikā uṭṭhāya – ‘‘na sakkoma mayaṃ tumhe nissāya caṇḍālā bhavituṃ, amhe mā nāsetha, tumhākaṃ dārikaṃ datvā etaṃ uṭṭhāpethā’’ti āhaṃsu. Te satampi sahassampi satasahassampi pahiṇiṃsu, so paṭikkhipateva. Evaṃ cha divasā gatā. Sattame divase ubhato cuddasagehavāsikā sannipatitvā – ‘‘na mayaṃ caṇḍālā bhavituṃ sakkoma, tumhākaṃ akāmakānampi mayaṃ etassa dārikaṃ dassāmā’’ti āhaṃsu.
มาตาปิตโร โสกสลฺลสมปฺปิตา วิสญฺญี หุตฺวา สยเน นิปติํสุฯ อุภโต จุทฺทสเคหวาสิโน ปาสาทํ อารุยฺห สุปุปฺผิตกิํสุกสาขํ อุจฺฉินฺทนฺตา วิย ตสฺสา สพฺพาภรณานิ โอมุญฺจิตฺวา นเขหิ สีมนฺตํ กตฺวา เกเส พนฺธิตฺวา นีลสาฎกํ นิวาสาเปตฺวา หเตฺถ นีลปิโลติกขณฺฑํ เวเฐตฺวา กเณฺณสุ ติปุปฎฺฎเก ปิฬนฺธาเปตฺวา ตาลปณฺณปจฺฉิํ ทตฺวา ปาสาทโต โอตาราเปตฺวา ทฺวีสุ พาหาสุ คเหตฺวา – ‘‘ตว สามิกํ คเหตฺวา ยาหี’’ติ มหาปุริสสฺส อทํสุฯ
Mātāpitaro sokasallasamappitā visaññī hutvā sayane nipatiṃsu. Ubhato cuddasagehavāsino pāsādaṃ āruyha supupphitakiṃsukasākhaṃ ucchindantā viya tassā sabbābharaṇāni omuñcitvā nakhehi sīmantaṃ katvā kese bandhitvā nīlasāṭakaṃ nivāsāpetvā hatthe nīlapilotikakhaṇḍaṃ veṭhetvā kaṇṇesu tipupaṭṭake piḷandhāpetvā tālapaṇṇapacchiṃ datvā pāsādato otārāpetvā dvīsu bāhāsu gahetvā – ‘‘tava sāmikaṃ gahetvā yāhī’’ti mahāpurisassa adaṃsu.
นีลุปฺปลมฺปิ อติภาโรติ อนุกฺขิตฺตปุพฺพา สุขุมาลทาริกา ‘‘อุฎฺฐาหิ สามิ, คจฺฉามา’’ติ อาหฯ โพธิสโตฺต นิปนฺนโกว อาห ‘‘นาหํ อุฎฺฐหามี’’ติฯ อถ กินฺติ วทามีติฯ ‘‘อุเฎฺฐหิ อยฺย มาตงฺคา’’ติ เอวํ มํ วทาหีติฯ สา ตถา อโวจฯ น ตุยฺหํ มนุสฺสา อุฎฺฐานสมตฺถํ มํ อกํสุ, พาหาย มํ คเหตฺวา อุฎฺฐาเปหีติฯ สา ตถา อกาสิฯ โพธิสโตฺต อุฎฺฐหโนฺต วิย ปริวเฎฺฎตฺวา ภูมิยํ ปติตฺวา – ‘‘นาสิตํ, โภ, ทิฎฺฐมงฺคลิกาย ปฐมํ มนุเสฺสหิ โกฎฺฎาเปตฺวา, อิทานิ สยํ โกเฎฺฎตี’’ติ วิรวิตฺถฯ สา กิํ กโรมิ อยฺยาติ? ทฺวีหิ หเตฺถหิ คเหตฺวา อุฎฺฐาเปหีติฯ สา ตถา อุฎฺฐาเปตฺวา นิสีทาเปตฺวา คจฺฉาม สามีติฯ คจฺฉา นาม อรเญฺญ โหนฺติ, มยํ มนุสฺสา, อติโกฎฺฎิโตมฺหิ ตุยฺหํ มนุเสฺสหิ, น สโกฺกมิ ปทสา คนฺตุํ, ปิฎฺฐิยา มํ เนหีติฯ สา โอนมิตฺวา ปิฎฺฐิํ อทาสิฯ โพธิสโตฺต อภิรุหิฯ กุหิํ เนมิ สามีติ? พหินครํ เนหีติฯ สา ปาจีนทฺวารํ คนฺตฺวา – ‘‘อิธ เต สามิ วสนฎฺฐาน’’นฺติ ปุจฺฉิฯ กตรฎฺฐานํ เอตนฺติ? ปาจีนทฺวารํ สามีติฯ ปาจีนทฺวาเร จณฺฑาลปุตฺตา วสิตุํ น ลภนฺตีติ อตฺตโน วสนฎฺฐานํ อนาจิกฺขิตฺวาว สพฺพทฺวารานิ อาหิณฺฑาเปสิฯ กสฺมา? ภวคฺคปตฺตมสฺสา มานํ ปาเตสฺสามีติฯ มหาชโน อุกฺกุฎฺฐิมกาสิ – ‘‘ฐเปตฺวา ตุมฺหาทิสํ อโญฺญ เอติสฺสา มานํ เภทโก นตฺถี’’ติฯ
Nīluppalampi atibhāroti anukkhittapubbā sukhumāladārikā ‘‘uṭṭhāhi sāmi, gacchāmā’’ti āha. Bodhisatto nipannakova āha ‘‘nāhaṃ uṭṭhahāmī’’ti. Atha kinti vadāmīti. ‘‘Uṭṭhehi ayya mātaṅgā’’ti evaṃ maṃ vadāhīti. Sā tathā avoca. Na tuyhaṃ manussā uṭṭhānasamatthaṃ maṃ akaṃsu, bāhāya maṃ gahetvā uṭṭhāpehīti. Sā tathā akāsi. Bodhisatto uṭṭhahanto viya parivaṭṭetvā bhūmiyaṃ patitvā – ‘‘nāsitaṃ, bho, diṭṭhamaṅgalikāya paṭhamaṃ manussehi koṭṭāpetvā, idāni sayaṃ koṭṭetī’’ti viravittha. Sā kiṃ karomi ayyāti? Dvīhi hatthehi gahetvā uṭṭhāpehīti. Sā tathā uṭṭhāpetvā nisīdāpetvā gacchāma sāmīti. Gacchā nāma araññe honti, mayaṃ manussā, atikoṭṭitomhi tuyhaṃ manussehi, na sakkomi padasā gantuṃ, piṭṭhiyā maṃ nehīti. Sā onamitvā piṭṭhiṃ adāsi. Bodhisatto abhiruhi. Kuhiṃ nemi sāmīti? Bahinagaraṃ nehīti. Sā pācīnadvāraṃ gantvā – ‘‘idha te sāmi vasanaṭṭhāna’’nti pucchi. Kataraṭṭhānaṃ etanti? Pācīnadvāraṃ sāmīti. Pācīnadvāre caṇḍālaputtā vasituṃ na labhantīti attano vasanaṭṭhānaṃ anācikkhitvāva sabbadvārāni āhiṇḍāpesi. Kasmā? Bhavaggapattamassā mānaṃ pātessāmīti. Mahājano ukkuṭṭhimakāsi – ‘‘ṭhapetvā tumhādisaṃ añño etissā mānaṃ bhedako natthī’’ti.
สา ปจฺฉิมทฺวารํ ปตฺวา ‘‘อิธ เต สามิ วสนฎฺฐาน’’นฺติ ปุจฺฉิฯ กตรฎฺฐานํ เอตนฺติ? ปจฺฉิมทฺวารํ สามีติฯ อิมินา ทฺวาเรน นิกฺขมิตฺวา จมฺมเคหํ โอโลเกนฺตี คจฺฉาติฯ สา ตตฺถ คนฺตฺวา อาห ‘‘อิทํ จมฺมเคหํ ตุมฺหากํ วสนฎฺฐานํ สามี’’ติ? อามาติ ปิฎฺฐิโต โอตริตฺวา จมฺมเคหํ ปาวิสิฯ
Sā pacchimadvāraṃ patvā ‘‘idha te sāmi vasanaṭṭhāna’’nti pucchi. Kataraṭṭhānaṃ etanti? Pacchimadvāraṃ sāmīti. Iminā dvārena nikkhamitvā cammagehaṃ olokentī gacchāti. Sā tattha gantvā āha ‘‘idaṃ cammagehaṃ tumhākaṃ vasanaṭṭhānaṃ sāmī’’ti? Āmāti piṭṭhito otaritvā cammagehaṃ pāvisi.
ตตฺถ สตฺตฎฺฐทิวเส วสโนฺต สพฺพญฺญุตคเวสนธีโร เอตฺตเกสุ ทิวเสสุ น จ ชาติสเมฺภทมกาสิฯ ‘‘มหากุลสฺส ธีตา สเจ มํ นิสฺสาย มหนฺตํ ยสํ น ปาปุณาติ, น จมฺหาหํ จตุวีสติยา พุทฺธานํ อเนฺตวาสิโกฯ เอติสฺสา ปาทโธวนอุทเกน สกลชมฺพุทีเป ราชูนํ อภิเสกกิจฺจํ กริสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา ปุน จิเนฺตสิ – ‘‘อคารมเชฺฌวสโนฺต น สกฺขิสฺสามิ, ปพฺพชิตฺวา ปน สกฺขิสฺสามี’’ติฯ จิเนฺตตฺวา ตํ อามเนฺตสิ – ‘‘ทิฎฺฐมงฺคลิเก มยํ ปุเพฺพ เอกจรา กมฺมํ กตฺวาปิ อกตฺวาปิ สกฺกา ชีวิตุํ, อิทานิ ปน ทารภรณํ ปฎิปนฺนมฺห, กมฺมํ อกตฺวา น สกฺกา ชีวิตุํ, ตฺวํ ยาวาหํ อาคจฺฉามิ, ตาว มา อุกฺกณฺฐิตฺถา’’ติ อรญฺญํ ปวิสิตฺวา สุสานาทีสุ นนฺตกานิ สงฺกฑฺฒิตฺวา นิวาสนปารุปนํ กตฺวา สมณปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา เอกจโร ลทฺธกายวิเวโก กสิณปริกมฺมํ กตฺวา อฎฺฐ สมาปตฺติโย ปญฺจ อภิญฺญาโย จ นิพฺพเตฺตตฺวา ‘‘อิทานิ สกฺกา ทิฎฺฐมงฺคลิกาย อวสฺสเยน มยา ภวิตุ’’นฺติ พาราณสิอภิมุโข คนฺตฺวา จีวรํ ปารุปิตฺวา ภิกฺขํ จรมาโน ทิฎฺฐมงฺคลิกาย เคหาภิมุโข อคมาสิฯ
Tattha sattaṭṭhadivase vasanto sabbaññutagavesanadhīro ettakesu divasesu na ca jātisambhedamakāsi. ‘‘Mahākulassa dhītā sace maṃ nissāya mahantaṃ yasaṃ na pāpuṇāti, na camhāhaṃ catuvīsatiyā buddhānaṃ antevāsiko. Etissā pādadhovanaudakena sakalajambudīpe rājūnaṃ abhisekakiccaṃ karissāmī’’ti cintetvā puna cintesi – ‘‘agāramajjhevasanto na sakkhissāmi, pabbajitvā pana sakkhissāmī’’ti. Cintetvā taṃ āmantesi – ‘‘diṭṭhamaṅgalike mayaṃ pubbe ekacarā kammaṃ katvāpi akatvāpi sakkā jīvituṃ, idāni pana dārabharaṇaṃ paṭipannamha, kammaṃ akatvā na sakkā jīvituṃ, tvaṃ yāvāhaṃ āgacchāmi, tāva mā ukkaṇṭhitthā’’ti araññaṃ pavisitvā susānādīsu nantakāni saṅkaḍḍhitvā nivāsanapārupanaṃ katvā samaṇapabbajjaṃ pabbajitvā ekacaro laddhakāyaviveko kasiṇaparikammaṃ katvā aṭṭha samāpattiyo pañca abhiññāyo ca nibbattetvā ‘‘idāni sakkā diṭṭhamaṅgalikāya avassayena mayā bhavitu’’nti bārāṇasiabhimukho gantvā cīvaraṃ pārupitvā bhikkhaṃ caramāno diṭṭhamaṅgalikāya gehābhimukho agamāsi.
สา ตํ ทฺวาเร ฐิตํ ทิสฺวา อสญฺชานนฺตี – ‘‘อติจฺฉถ, ภเนฺต, จณฺฑาลานํ วสนฎฺฐานเมต’’นฺติ อาหฯ โพธิสโตฺต ตเตฺถว อฎฺฐาสิฯ สา ปุนปฺปุนํ โอโลเกนฺตี สญฺชานิตฺวา หเตฺถหิ อุรํ ปหริตฺวา วิรวมานา ปาทมูเล ปติตฺวา อาห – ‘‘ยทิ เต สามิ เอทิสํ จิตฺตํ อตฺถิ, กสฺมา มํ มหตา ยสา ปริหาเปตฺวา อนาถํ อกาสี’’ติฯ นานปฺปการํ ปริเทวํ ปริเทวิตฺวา อกฺขีนิ ปุญฺฉมานา อุฎฺฐาย ภิกฺขาภาชนํ คเหตฺวา อโนฺตเคเห นิสีทาเปตฺวา ภิกฺขํ อทาสิฯ มหาปุริโส ภตฺตกิจฺจํ กตฺวา อาห – ‘‘ทิฎฺฐมงฺคลิเก มา โสจิ มา ปริเทวิ, อหํ ตุยฺหํ ปาทโธวนอุทเกน สกลชมฺพุทีเป ราชูนํ อภิเสกกิจฺจํ กาเรตุํ สมโตฺถ, ตฺวํ ปน เอกํ มม วจนํ กโรหิ, นครํ ปวิสิตฺวา ‘น มยฺหํ สามิโก จณฺฑาโล, มหาพฺรหฺมา มยฺหํ สามิโก’ติ อุโคฺฆสยมานา สกลนครํ จราหี’’ติฯ
Sā taṃ dvāre ṭhitaṃ disvā asañjānantī – ‘‘aticchatha, bhante, caṇḍālānaṃ vasanaṭṭhānameta’’nti āha. Bodhisatto tattheva aṭṭhāsi. Sā punappunaṃ olokentī sañjānitvā hatthehi uraṃ paharitvā viravamānā pādamūle patitvā āha – ‘‘yadi te sāmi edisaṃ cittaṃ atthi, kasmā maṃ mahatā yasā parihāpetvā anāthaṃ akāsī’’ti. Nānappakāraṃ paridevaṃ paridevitvā akkhīni puñchamānā uṭṭhāya bhikkhābhājanaṃ gahetvā antogehe nisīdāpetvā bhikkhaṃ adāsi. Mahāpuriso bhattakiccaṃ katvā āha – ‘‘diṭṭhamaṅgalike mā soci mā paridevi, ahaṃ tuyhaṃ pādadhovanaudakena sakalajambudīpe rājūnaṃ abhisekakiccaṃ kāretuṃ samattho, tvaṃ pana ekaṃ mama vacanaṃ karohi, nagaraṃ pavisitvā ‘na mayhaṃ sāmiko caṇḍālo, mahābrahmā mayhaṃ sāmiko’ti ugghosayamānā sakalanagaraṃ carāhī’’ti.
เอวํ วุเตฺต ทิฎฺฐมงฺคลิกา – ‘‘ปกติยาปิ อหํ สามิ มุขโทเสเนว พฺยสนํ ปตฺตา, น สกฺขิสฺสาเมวํ วตฺตุ’’นฺติ อาหฯ โพธิสโตฺต – ‘‘กิํ ปน ตยา มยฺหํ อคาเร วสนฺตสฺส อลิกวจนํ สุตปุพฺพํ, อหํ ตทาปิ อลิกํ น ภณามิ, อิทานิ ปพฺพชิโต กิํ วกฺขามิ, สจฺจวาที ปุริโส นามาห’’นฺติ วตฺวา – ‘‘อชฺช ปกฺขสฺส อฎฺฐมี, ตฺวํ ‘อิโต สตฺตาหสฺสจฺจเยน อุโปสถทิวเส มยฺหํ สามิโก มหาพฺรหฺมา จนฺทมณฺฑลํ ภินฺทิตฺวา มม สนฺติกํ อาคมิสฺสตี’ติ สกลนคเร อุโคฺฆเสหี’’ติ วตฺวา ปกฺกามิฯ
Evaṃ vutte diṭṭhamaṅgalikā – ‘‘pakatiyāpi ahaṃ sāmi mukhadoseneva byasanaṃ pattā, na sakkhissāmevaṃ vattu’’nti āha. Bodhisatto – ‘‘kiṃ pana tayā mayhaṃ agāre vasantassa alikavacanaṃ sutapubbaṃ, ahaṃ tadāpi alikaṃ na bhaṇāmi, idāni pabbajito kiṃ vakkhāmi, saccavādī puriso nāmāha’’nti vatvā – ‘‘ajja pakkhassa aṭṭhamī, tvaṃ ‘ito sattāhassaccayena uposathadivase mayhaṃ sāmiko mahābrahmā candamaṇḍalaṃ bhinditvā mama santikaṃ āgamissatī’ti sakalanagare ugghosehī’’ti vatvā pakkāmi.
สา สทฺทหิตฺวา หฎฺฐตุฎฺฐา สูรา หุตฺวา สายํปาตํ นครํ ปวิสิตฺวา ตถา อุโคฺฆเสสิฯ มนุสฺสา ปาณินา ปาณิํ ปหรนฺตา – ‘‘ปสฺสถ, อมฺหากํ ทิฎฺฐมงฺคลิกา จณฺฑาลปุตฺตํ มหาพฺรหฺมานํ กโรตี’’ติ หสนฺตา เกฬิํ กโรนฺติฯ สา ปุนทิวเสปิ ตเถว สายํปาตํ ปวิสิตฺวา – ‘‘อิทานิ ฉาหจฺจเยน, ปญฺจาห-จตูห-ตีห-ทฺวีห-เอกาหจฺจเยน มยฺหํ สามิโก มหาพฺรหฺมา จนฺทมณฺฑลํ ภินฺทิตฺวา มม สนฺติกํ อาคมิสฺสตี’’ติ อุโคฺฆเสสิฯ
Sā saddahitvā haṭṭhatuṭṭhā sūrā hutvā sāyaṃpātaṃ nagaraṃ pavisitvā tathā ugghosesi. Manussā pāṇinā pāṇiṃ paharantā – ‘‘passatha, amhākaṃ diṭṭhamaṅgalikā caṇḍālaputtaṃ mahābrahmānaṃ karotī’’ti hasantā keḷiṃ karonti. Sā punadivasepi tatheva sāyaṃpātaṃ pavisitvā – ‘‘idāni chāhaccayena, pañcāha-catūha-tīha-dvīha-ekāhaccayena mayhaṃ sāmiko mahābrahmā candamaṇḍalaṃ bhinditvā mama santikaṃ āgamissatī’’ti ugghosesi.
พฺราหฺมณา จินฺตยิํสุ – ‘‘อยํ ทิฎฺฐมงฺคลิกา อติสูรา หุตฺวา กเถติ, กทาจิ เอวํ สิยา, เอถ มยํ ทิฎฺฐมงฺคลิกาย วสนฎฺฐานํ ปฎิชคฺคามา’’ติ จมฺมเคหสฺส พาหิรภาคํ สมนฺตา ตจฺฉาเปตฺวา วาลิกํ โอกิริํสุฯ สาปิ อุโปสถทิวเส ปาโตว นครํ ปวิสิตฺวา ‘‘อชฺช มยฺหํ สามิโก อาคมิสฺสตี’’ติ อุโคฺฆเสสิฯ พฺราหฺมณา จินฺตยิํสุ – ‘‘อยํ โภ น ทูรํ อปทิสฺสติ, อชฺช กิร มหาพฺรหฺมา อาคมิสฺสติ, วสนฎฺฐานํ สํวิทหามา’’ติ จมฺมเคหํ สมชฺชาเปตฺวา หริตูปลิตฺตํ อหตวเตฺถหิ ปริกฺขิปิตฺวา มหารหํ ปลฺลงฺกํ อตฺถริตฺวา อุปริ เจลวิตานํ พนฺธิตฺวา คนฺธมาลทามานิ โอสารยิํสุฯ เตสํ ปฎิชคฺคนฺตานํเยว สูริโย อตฺถํ คโตฯ
Brāhmaṇā cintayiṃsu – ‘‘ayaṃ diṭṭhamaṅgalikā atisūrā hutvā katheti, kadāci evaṃ siyā, etha mayaṃ diṭṭhamaṅgalikāya vasanaṭṭhānaṃ paṭijaggāmā’’ti cammagehassa bāhirabhāgaṃ samantā tacchāpetvā vālikaṃ okiriṃsu. Sāpi uposathadivase pātova nagaraṃ pavisitvā ‘‘ajja mayhaṃ sāmiko āgamissatī’’ti ugghosesi. Brāhmaṇā cintayiṃsu – ‘‘ayaṃ bho na dūraṃ apadissati, ajja kira mahābrahmā āgamissati, vasanaṭṭhānaṃ saṃvidahāmā’’ti cammagehaṃ samajjāpetvā haritūpalittaṃ ahatavatthehi parikkhipitvā mahārahaṃ pallaṅkaṃ attharitvā upari celavitānaṃ bandhitvā gandhamāladāmāni osārayiṃsu. Tesaṃ paṭijaggantānaṃyeva sūriyo atthaṃ gato.
มหาปุริโส จเนฺท อุคฺคตมเตฺต อภิญฺญาปาทกชฺฌานํ สมาปชฺชิตฺวา วุฎฺฐาย กามาวจรจิเตฺตน ปริกมฺมํ กตฺวา อิทฺธิจิเตฺตน ทฺวาทสโยชนิกํ พฺรหฺมตฺตภาวํ มาเปตฺวา เวหาสํ อพฺภุคฺคนฺตฺวา จนฺทวิมานสฺส อโนฺต ปวิสิตฺวา วนนฺตโต อพฺภุสฺสกฺกมานํ จนฺทํ ภินฺทิตฺวา จนฺทวิมานํ โอหาย ปุรโต หุตฺวา ‘‘มหาชโน มํ ปสฺสตู’’ติ อธิฎฺฐาสิฯ มหาชโน ทิสฺวา – ‘‘สจฺจํ, โภ, ทิฎฺฐมงฺคลิกาย วจนํ, อาคจฺฉนฺตํ มหาพฺรหฺมานํ ปูเชสฺสามา’’ติ คนฺธมาลํ อาทาย ทิฎฺฐมงฺคลิกาย ฆรํ ปริวาเรตฺวา อฎฺฐาสิฯ มหาปุริโส มตฺถกมตฺถเกน สตฺตวาเร พาราณสิํ อนุปริคนฺตฺวา มหาชเนน ทิฎฺฐภาวํ ญตฺวา ทฺวาทสโยชนิกํ อตฺตภาวํ วิชหิตฺวา มนุสฺสปฺปมาณเมว มาเปตฺวา มหาชนสฺส ปสฺสนฺตเสฺสว จมฺมเคหํ ปาวิสิฯ มหาชโน ทิสฺวา – ‘‘โอติโณฺณ โน มหาพฺรหฺมา, สาณิํ อาหรถา’’ติ นิเวสนํ มหาสาณิยา ปริกฺขิปิตฺวา ปริวาเรตฺวา ฐิโตฯ
Mahāpuriso cande uggatamatte abhiññāpādakajjhānaṃ samāpajjitvā vuṭṭhāya kāmāvacaracittena parikammaṃ katvā iddhicittena dvādasayojanikaṃ brahmattabhāvaṃ māpetvā vehāsaṃ abbhuggantvā candavimānassa anto pavisitvā vanantato abbhussakkamānaṃ candaṃ bhinditvā candavimānaṃ ohāya purato hutvā ‘‘mahājano maṃ passatū’’ti adhiṭṭhāsi. Mahājano disvā – ‘‘saccaṃ, bho, diṭṭhamaṅgalikāya vacanaṃ, āgacchantaṃ mahābrahmānaṃ pūjessāmā’’ti gandhamālaṃ ādāya diṭṭhamaṅgalikāya gharaṃ parivāretvā aṭṭhāsi. Mahāpuriso matthakamatthakena sattavāre bārāṇasiṃ anuparigantvā mahājanena diṭṭhabhāvaṃ ñatvā dvādasayojanikaṃ attabhāvaṃ vijahitvā manussappamāṇameva māpetvā mahājanassa passantasseva cammagehaṃ pāvisi. Mahājano disvā – ‘‘otiṇṇo no mahābrahmā, sāṇiṃ āharathā’’ti nivesanaṃ mahāsāṇiyā parikkhipitvā parivāretvā ṭhito.
มหาปุริโสปิ สิริสยนมเชฺฌ นิสีทิฯ ทิฎฺฐมงฺคลิกา สมีเป อฎฺฐาสิฯ อถ นํ ปุจฺฉิ ‘‘อุตุสมโย เต ทิฎฺฐมงฺคลิเก’’ติฯ อาม อยฺยาติฯ มยา ทินฺนํ ปุตฺตํ คณฺหาหีติ องฺคุฎฺฐเกน นาภิมณฺฑลํ ผุสิฯ ตสฺสา ปรามสเนเนว คโพฺภ ปติฎฺฐาสิฯ มหาปุริโส – ‘‘เอตฺตาวตา เต ทิฎฺฐมงฺคลิเก ปาทโธวนอุทกํ สกลชมฺพุทีเป ราชูนํ อภิเสโกทกํ ภวิสฺสติ, ตฺวํ ติฎฺฐา’’ติ วตฺวา พฺรหฺมตฺตภาวํ มาเปตฺวา ปสฺสนฺตเสฺสว มหาชนสฺส นิกฺขมิตฺวา เวหาสํ อพฺภุคฺคนฺตฺวา จณฺฑมณฺฑลเมว ปวิโฎฺฐฯ สา ตโต ปฎฺฐาย พฺรหฺมปชาปตี นาม ชาตาฯ ปาทโธวนอุทกํ ลภโนฺต นาม นตฺถิฯ
Mahāpurisopi sirisayanamajjhe nisīdi. Diṭṭhamaṅgalikā samīpe aṭṭhāsi. Atha naṃ pucchi ‘‘utusamayo te diṭṭhamaṅgalike’’ti. Āma ayyāti. Mayā dinnaṃ puttaṃ gaṇhāhīti aṅguṭṭhakena nābhimaṇḍalaṃ phusi. Tassā parāmasaneneva gabbho patiṭṭhāsi. Mahāpuriso – ‘‘ettāvatā te diṭṭhamaṅgalike pādadhovanaudakaṃ sakalajambudīpe rājūnaṃ abhisekodakaṃ bhavissati, tvaṃ tiṭṭhā’’ti vatvā brahmattabhāvaṃ māpetvā passantasseva mahājanassa nikkhamitvā vehāsaṃ abbhuggantvā caṇḍamaṇḍalameva paviṭṭho. Sā tato paṭṭhāya brahmapajāpatī nāma jātā. Pādadhovanaudakaṃ labhanto nāma natthi.
พฺราหฺมณา – ‘‘พฺรหฺมปชาปติํ อโนฺตนคเร วสาเปสฺสามา’’ติ สุวณฺณสิวิกาย อาโรเปตฺวา ยาว สตฺตมโกฎิยา อปริสุทฺธชาติกสฺส สิวิกํ คเหตุํ น อทํสุฯ โสฬส ชาติมนฺตพฺราหฺมณา คณฺหิํสุฯ เสสา คนฺธปุปฺผาทีหิ ปูเชตฺวา นครํ ปวิสิตฺวา – ‘‘น สกฺกา, โภ, อุจฺฉิฎฺฐเคเห พฺรหฺมปชาปติยา วสิตุํ, วตฺถุํ คเหตฺวา เคหํ กริสฺสาม, ยาว ปน ตํ กรียติ, ตาว มณฺฑเปว วสตู’’ติ มณฺฑเป วสาเปสุํฯ ตโต ปฎฺฐาย จกฺขุปเถ ฐตฺวา วนฺทิตุกามา กหาปณํ ทตฺวา วนฺทิตุํ ลภนฺติ, สวนูปจาเร วนฺทิตุกามา สตํ ทตฺวา ลภนฺติ, อาสเนฺน ปกติกถํ สวนฎฺฐาเน วนฺทิตุกามา ปญฺจสตานิ ทตฺวา ลภนฺติ, ปาทปิฎฺฐิยํ สีสํ ฐเปตฺวา วนฺทิตุกามา สหสฺสํ ทตฺวา ลภนฺติ, ปาทโธวนอุทกํ ปตฺถยมานา ทสสหสฺสานิ ทตฺวา ลภนฺติฯ พหินครโต อโนฺตนคเร ยาว มณฺฑปา อาคจฺฉนฺติยา ลทฺธธนํเยว โกฎิสตมตฺตํ อโหสิฯ
Brāhmaṇā – ‘‘brahmapajāpatiṃ antonagare vasāpessāmā’’ti suvaṇṇasivikāya āropetvā yāva sattamakoṭiyā aparisuddhajātikassa sivikaṃ gahetuṃ na adaṃsu. Soḷasa jātimantabrāhmaṇā gaṇhiṃsu. Sesā gandhapupphādīhi pūjetvā nagaraṃ pavisitvā – ‘‘na sakkā, bho, ucchiṭṭhagehe brahmapajāpatiyā vasituṃ, vatthuṃ gahetvā gehaṃ karissāma, yāva pana taṃ karīyati, tāva maṇḍapeva vasatū’’ti maṇḍape vasāpesuṃ. Tato paṭṭhāya cakkhupathe ṭhatvā vanditukāmā kahāpaṇaṃ datvā vandituṃ labhanti, savanūpacāre vanditukāmā sataṃ datvā labhanti, āsanne pakatikathaṃ savanaṭṭhāne vanditukāmā pañcasatāni datvā labhanti, pādapiṭṭhiyaṃ sīsaṃ ṭhapetvā vanditukāmā sahassaṃ datvā labhanti, pādadhovanaudakaṃ patthayamānā dasasahassāni datvā labhanti. Bahinagarato antonagare yāva maṇḍapā āgacchantiyā laddhadhanaṃyeva koṭisatamattaṃ ahosi.
สกลชมฺพุทีโป สงฺขุภิ, ตโต สพฺพราชาโน ‘‘พฺรหฺมปชาปติยา ปาทโธวเนน อภิเสกํ กริสฺสามา’’ติ สตสหสฺสํ เปเสตฺวา ลภิํสุฯ มณฺฑเป วสนฺติยา เอว คพฺภวุฎฺฐานํ อโหสิฯ มหาปุริสํ ปฎิจฺจ ลทฺธกุมาโร ปาสาทิโก อโหสิ ลกฺขณสมฺปโนฺนฯ มหาพฺรหฺมุโน ปุโตฺต ชาโตติ สกล ชมฺพุทีโป เอกโกลาหโล อโหสิฯ กุมารสฺส ขีรมณิมูลํ โหตูติ ตโต ตโต อาคตธนํ โกฎิสหสฺสํ อโหสิฯ เอตฺตาวตา นิเวสนมฺปิ นิฎฺฐิตํฯ กุมารสฺส นามกรณํ กริสฺสามาติ นิเวสนํ สเชฺชตฺวา กุมารํ คโนฺธทเกน นฺหาเปตฺวา อลงฺกริตฺวา มณฺฑเป ชาตตฺตา มณฺฑโพฺยเตฺวว นามํ อกํสุฯ
Sakalajambudīpo saṅkhubhi, tato sabbarājāno ‘‘brahmapajāpatiyā pādadhovanena abhisekaṃ karissāmā’’ti satasahassaṃ pesetvā labhiṃsu. Maṇḍape vasantiyā eva gabbhavuṭṭhānaṃ ahosi. Mahāpurisaṃ paṭicca laddhakumāro pāsādiko ahosi lakkhaṇasampanno. Mahābrahmuno putto jātoti sakala jambudīpo ekakolāhalo ahosi. Kumārassa khīramaṇimūlaṃ hotūti tato tato āgatadhanaṃ koṭisahassaṃ ahosi. Ettāvatā nivesanampi niṭṭhitaṃ. Kumārassa nāmakaraṇaṃ karissāmāti nivesanaṃ sajjetvā kumāraṃ gandhodakena nhāpetvā alaṅkaritvā maṇḍape jātattā maṇḍabyotveva nāmaṃ akaṃsu.
กุมาโร สุเขน สํวฑฺฒมาโน สิปฺปุคฺคหณวยปโตฺตติ สกลชมฺพุทีเป สิปฺปชานนกา ตสฺส สนฺติเก อาคนฺตฺวา สิปฺปํ สิกฺขาเปนฺติฯ กุมาโร เมธาวี ปญฺญวา สุตํ สุตํ มุตํ อาวุณโนฺต วิย คณฺหาติ, คหิตคหิตํ สุวณฺณฆเฎ ปกฺขิตฺตเตลํ วิย ติฎฺฐติฯ ยาวตา วาจุคฺคตา ปริยตฺติ อตฺถิ, เตน อนุคฺคหิตา นาม นาโหสิฯ พฺราหฺมณา ตํ ปริวาเรตฺวา จรนฺติ, โสปิ พฺราหฺมณภโตฺต อโหสิฯ เคเห อสีติพฺราหฺมณสหสฺสานิ นิจฺจภตฺตํ ภุญฺชนฺติฯ เคหมฺปิสฺส สตฺตทฺวารโกฎฺฐกํ มหนฺตํ อโหสิฯ เคเห มงฺคลทิวเส ชมฺพุทีปวาสีหิ เปสิตธนํ โกฎิสหสฺสมตฺตํ อโหสิฯ
Kumāro sukhena saṃvaḍḍhamāno sippuggahaṇavayapattoti sakalajambudīpe sippajānanakā tassa santike āgantvā sippaṃ sikkhāpenti. Kumāro medhāvī paññavā sutaṃ sutaṃ mutaṃ āvuṇanto viya gaṇhāti, gahitagahitaṃ suvaṇṇaghaṭe pakkhittatelaṃ viya tiṭṭhati. Yāvatā vācuggatā pariyatti atthi, tena anuggahitā nāma nāhosi. Brāhmaṇā taṃ parivāretvā caranti, sopi brāhmaṇabhatto ahosi. Gehe asītibrāhmaṇasahassāni niccabhattaṃ bhuñjanti. Gehampissa sattadvārakoṭṭhakaṃ mahantaṃ ahosi. Gehe maṅgaladivase jambudīpavāsīhi pesitadhanaṃ koṭisahassamattaṃ ahosi.
โพธิสโตฺต อาวเชฺชสิ – ‘‘ปมโตฺต นุ โข กุมาโร อปฺปมโตฺต’’ติฯ อถสฺส ตํ ปวตฺติํ ญตฺวา – ‘‘พฺราหฺมณภโตฺต ชาโต, ยตฺถ ทินฺนํ มหปฺผลํ โหติ, ตํ น ชานาติ, คจฺฉามิ นํ ทเมมี’’ติ จีวรํ ปารุปิตฺวา ภิกฺขาภาชนํ คเหตฺวา – ‘‘ทฺวารโกฎฺฐกา อติสมฺพาธา, น สกฺกา โกฎฺฐเกน ปวิสิตุ’’นฺติ อากาเสนาคนฺตฺวา อสีติพฺราหฺมณสหสฺสานํ ภุญฺชนฎฺฐาเน อากาสงฺคเณ โอตริฯ มณฺฑพฺยกุมาโรปิ สุวณฺณกฎจฺฉุํ คาหาเปตฺวา – ‘‘อิธ สูปํ เทถ อิธ โอทน’’นฺติ ปริวิสาเปโนฺต โพธิสตฺตํ ทิสฺวา ทณฺฑเกน ฆฎฺฎิตอาสิวิโส วิย กุปิตฺวา อิมํ คาถมาห –
Bodhisatto āvajjesi – ‘‘pamatto nu kho kumāro appamatto’’ti. Athassa taṃ pavattiṃ ñatvā – ‘‘brāhmaṇabhatto jāto, yattha dinnaṃ mahapphalaṃ hoti, taṃ na jānāti, gacchāmi naṃ damemī’’ti cīvaraṃ pārupitvā bhikkhābhājanaṃ gahetvā – ‘‘dvārakoṭṭhakā atisambādhā, na sakkā koṭṭhakena pavisitu’’nti ākāsenāgantvā asītibrāhmaṇasahassānaṃ bhuñjanaṭṭhāne ākāsaṅgaṇe otari. Maṇḍabyakumāropi suvaṇṇakaṭacchuṃ gāhāpetvā – ‘‘idha sūpaṃ detha idha odana’’nti parivisāpento bodhisattaṃ disvā daṇḍakena ghaṭṭitaāsiviso viya kupitvā imaṃ gāthamāha –
‘‘กุโต นุ อาคจฺฉสิ ทุมฺมวาสี,
‘‘Kuto nu āgacchasi dummavāsī,
โอตลฺลโก ปํสุปิสาจโกว;
Otallako paṃsupisācakova;
สงฺการโจฬํ ปฎิมุญฺจ กเณฺฐ,
Saṅkāracoḷaṃ paṭimuñca kaṇṭhe,
โก เร ตุวํ โหสิ อทกฺขิเณโยฺย’’ติฯ (ชา. ๑.๑๕.๑);
Ko re tuvaṃ hosi adakkhiṇeyyo’’ti. (jā. 1.15.1);
อถ นํ มหาสโตฺต อกุชฺฌิตฺวาว โอวทโนฺต อาห –
Atha naṃ mahāsatto akujjhitvāva ovadanto āha –
‘‘อนฺนํ ตเวทํ ปกตํ ยสสฺสิ,
‘‘Annaṃ tavedaṃ pakataṃ yasassi,
ตํ ขชฺชเร ภุญฺชเร ปิยฺยเร จ;
Taṃ khajjare bhuñjare piyyare ca;
ชานาสิ มํ ตฺวํ ปรทตฺตูปชีวิํ,
Jānāsi maṃ tvaṃ paradattūpajīviṃ,
อุตฺติฎฺฐ ปิณฺฑํ ลภตํ สปาโก’’ติฯ (ชา. ๑.๑๕.๒);
Uttiṭṭha piṇḍaṃ labhataṃ sapāko’’ti. (jā. 1.15.2);
โส นยิทํ ตุมฺหาทิสานํ ปฎิยตฺตนฺติ ทเสฺสโนฺต อาห –
So nayidaṃ tumhādisānaṃ paṭiyattanti dassento āha –
‘‘อนฺนํ มเมทํ ปกตํ พฺราหฺมณานํ,
‘‘Annaṃ mamedaṃ pakataṃ brāhmaṇānaṃ,
อตฺถตฺถิตํ สทฺทหโต มเมทํ;
Atthatthitaṃ saddahato mamedaṃ;
อเปหิ เอโตฺต กิมิธฎฺฐิโตสิ,
Apehi etto kimidhaṭṭhitosi,
น มาทิสา ตุยฺหํ ททนฺติ ชมฺมา’’ติฯ (ชา. ๑.๑๕.๓);
Na mādisā tuyhaṃ dadanti jammā’’ti. (jā. 1.15.3);
อถ โพธิสโตฺต ‘‘ทานํ นาม สคุณสฺสปิ นิคฺคุณสฺสปิ ยสฺส กสฺสจิ ทาตพฺพํ, ยถา หิ นิเนฺนปิ ถเลปิ ปติฎฺฐาปิตํ พีชํ ปถวีรสํ อาโปรสญฺจ อาคมฺม สมฺปชฺชติ, เอวํ นิปฺผลํ นาม นตฺถิ, สุเขเตฺต วปิตพีชํ วิย คุณวเนฺต มหปฺผลํ โหตี’’ติ ทเสฺสตุํ อิมํ คาถมาห –
Atha bodhisatto ‘‘dānaṃ nāma saguṇassapi nigguṇassapi yassa kassaci dātabbaṃ, yathā hi ninnepi thalepi patiṭṭhāpitaṃ bījaṃ pathavīrasaṃ āporasañca āgamma sampajjati, evaṃ nipphalaṃ nāma natthi, sukhette vapitabījaṃ viya guṇavante mahapphalaṃ hotī’’ti dassetuṃ imaṃ gāthamāha –
‘‘ถเล จ นิเนฺน จ วปนฺติ พีชํ,
‘‘Thale ca ninne ca vapanti bījaṃ,
อนูปเขเตฺต ผลมาสมานา;
Anūpakhette phalamāsamānā;
เอตาย สทฺธาย ททาหิ ทานํ,
Etāya saddhāya dadāhi dānaṃ,
อเปฺปว อาราธเย ทกฺขิเณเยฺย’’ติฯ (ชา. ๑.๑๕.๔);
Appeva ārādhaye dakkhiṇeyye’’ti. (jā. 1.15.4);
อถ กุมาโร โกธาภิภูโต – ‘‘เกนิมสฺส มุณฺฑกสฺส ปเวโส ทิโนฺน’’ติ ทฺวารรกฺขาทโย ตเชฺชตฺวา –
Atha kumāro kodhābhibhūto – ‘‘kenimassa muṇḍakassa paveso dinno’’ti dvārarakkhādayo tajjetvā –
‘‘เขตฺตานิ มยฺหํ วิทิตานิ โลเก,
‘‘Khettāni mayhaṃ viditāni loke,
เยสาหํ พีชานิ ปติฎฺฐเปมิ;
Yesāhaṃ bījāni patiṭṭhapemi;
เย พฺราหฺมณา ชาติมนฺตูปปนฺนา,
Ye brāhmaṇā jātimantūpapannā,
ตานีธ เขตฺตานิ สุเปสลานี’’ติฯ (ชา. ๑.๑๕.๕) –
Tānīdha khettāni supesalānī’’ti. (jā. 1.15.5) –
คาถํ วตฺวา ‘‘อิมํ ชมฺมํ เวณุปทเรน โปเถตฺวา คีวายํ คเหตฺวา สตฺตปิ ทฺวารโกฎฺฐเก อติกฺกมิตฺวา พหิ นีหรถา’’ติ อาหฯ อถ นํ มหาปุริโส อาห –
Gāthaṃ vatvā ‘‘imaṃ jammaṃ veṇupadarena pothetvā gīvāyaṃ gahetvā sattapi dvārakoṭṭhake atikkamitvā bahi nīharathā’’ti āha. Atha naṃ mahāpuriso āha –
‘‘คิริํ นเขน ขณสิ, อโย ทเนฺตภิ ขาทสิ;
‘‘Giriṃ nakhena khaṇasi, ayo dantebhi khādasi;
ชาตเวทํ ปทหสิ, โย อิสิํ ปริภาสสี’’ติฯ (ชา. ๑.๑๕.๙);
Jātavedaṃ padahasi, yo isiṃ paribhāsasī’’ti. (jā. 1.15.9);
เอวญฺจ ปน วตฺวา – ‘‘สเจ มฺยายํ หเตฺถ วา ปาเท วา คณฺหาเปตฺวา ทุกฺขํ อุปฺปาเทยฺย, พหุํ อปุญฺญํ ปสเวยฺยา’’ติ สตฺตานุทฺทยตาย เวหาสํ อพฺภุคฺคนฺตฺวา อนฺตรวีถิยํ โอตริฯ ภควา สพฺพญฺญุตํ ปโตฺต ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต อิมํ คาถมาห –
Evañca pana vatvā – ‘‘sace myāyaṃ hatthe vā pāde vā gaṇhāpetvā dukkhaṃ uppādeyya, bahuṃ apuññaṃ pasaveyyā’’ti sattānuddayatāya vehāsaṃ abbhuggantvā antaravīthiyaṃ otari. Bhagavā sabbaññutaṃ patto tamatthaṃ pakāsento imaṃ gāthamāha –
‘‘อิทํ วตฺวาน มาตโงฺค, อิสิ สจฺจปรกฺกโม;
‘‘Idaṃ vatvāna mātaṅgo, isi saccaparakkamo;
อนฺตลิกฺขสฺมิํ ปกฺกามิ, พฺราหฺมณานํ อุทิกฺขต’’นฺติฯ (ชา. ๑.๑๕.๑๐);
Antalikkhasmiṃ pakkāmi, brāhmaṇānaṃ udikkhata’’nti. (jā. 1.15.10);
ตาวเทว นครรกฺขิกเทวตานํ เชฎฺฐกเทวราชา มณฺฑพฺยสฺส คีวํ ปริวเตฺตสิฯ ตสฺส มุขํ ปริวเตฺตติตฺวา ปจฺฉามุขํ ชาตํ, อกฺขีนิ ปริวตฺตานิ, มุเขน เขฬํ วมติ, สรีรํ ถทฺธํ สูเล อาโรปิตํ วิย อโหสิฯ อสีติสหสฺสา ปริจารกยกฺขา อสีติพฺราหฺมณสหสฺสานิ ตเถว อกํสุฯ เวเคน คนฺตฺวา พฺรหฺมปชาปติยา อาโรจยิํสุฯ สา ตรมานรูปา อาคนฺตฺวา ตํ วิปฺปการํ ทิสฺวา คาถมาห –
Tāvadeva nagararakkhikadevatānaṃ jeṭṭhakadevarājā maṇḍabyassa gīvaṃ parivattesi. Tassa mukhaṃ parivattetitvā pacchāmukhaṃ jātaṃ, akkhīni parivattāni, mukhena kheḷaṃ vamati, sarīraṃ thaddhaṃ sūle āropitaṃ viya ahosi. Asītisahassā paricārakayakkhā asītibrāhmaṇasahassāni tatheva akaṃsu. Vegena gantvā brahmapajāpatiyā ārocayiṃsu. Sā taramānarūpā āgantvā taṃ vippakāraṃ disvā gāthamāha –
‘‘อาเวธิตํ ปิฎฺฐิโต อุตฺตมงฺคํ,
‘‘Āvedhitaṃ piṭṭhito uttamaṅgaṃ,
พาหุํ ปสาเรติ อกมฺมเนยฺยํ;
Bāhuṃ pasāreti akammaneyyaṃ;
เสตานิ อกฺขีนิ ยถา มตสฺส,
Setāni akkhīni yathā matassa,
โก เม อิมํ ปุตฺตมกาสิ เอว’’นฺติฯ (ชา. ๑.๑๕.๑๑);
Ko me imaṃ puttamakāsi eva’’nti. (jā. 1.15.11);
อถสฺสา อาโรเจสุํ –
Athassā ārocesuṃ –
‘‘อิธาคมา สมโณ ทุมฺมวาสี,
‘‘Idhāgamā samaṇo dummavāsī,
โอตลฺลโก ปํสุปิสาจโกว,
Otallako paṃsupisācakova,
สงฺการโจฬํ ปฎิมุญฺจ กเณฺฐ,
Saṅkāracoḷaṃ paṭimuñca kaṇṭhe,
โส เต อิมํ ปุตฺตมกาสิ เอว’’นฺติฯ (ชา. ๑.๑๕.๑๒);
So te imaṃ puttamakāsi eva’’nti. (jā. 1.15.12);
สา สุตฺวาว อญฺญาสิ – ‘‘มยฺหํ ยสทายโก อโยฺย อนุกมฺปาย ปุตฺตสฺส ปมตฺตภาวํ ญตฺวา อาคโต ภวิสฺสตี’’ติฯ ตโต อุปฎฺฐาเก ปุจฺฉิ –
Sā sutvāva aññāsi – ‘‘mayhaṃ yasadāyako ayyo anukampāya puttassa pamattabhāvaṃ ñatvā āgato bhavissatī’’ti. Tato upaṭṭhāke pucchi –
‘‘กตมํ ทิสํ อคมา ภูริปโญฺญ,
‘‘Katamaṃ disaṃ agamā bhūripañño,
อกฺขาถ เม มาณวา เอตมตฺถํ;
Akkhātha me māṇavā etamatthaṃ;
คนฺตฺวาน ตํ ปฎิกเรมุ อจฺจยํ,
Gantvāna taṃ paṭikaremu accayaṃ,
อเปฺปว นํ ปุตฺต ลเภมุ ชีวิต’’นฺติฯ (ชา. ๑.๑๕.๑๓);
Appeva naṃ putta labhemu jīvita’’nti. (jā. 1.15.13);
เต อาหํสุ –
Te āhaṃsu –
‘‘เวหายสํ อคมา ภูริปโญฺญ,
‘‘Vehāyasaṃ agamā bhūripañño,
ปถทฺธุโน ปนฺนรเสว จโนฺท;
Pathaddhuno pannaraseva cando;
อปิจาปิ โส ปุริมทิสํ อคจฺฉิ,
Apicāpi so purimadisaṃ agacchi,
สจฺจปฺปฎิโญฺญ อิสิ สาธุรูโป’’ติฯ (ชา. ๑.๑๕.๑๔);
Saccappaṭiñño isi sādhurūpo’’ti. (jā. 1.15.14);
มหาปุริโสปิ อนฺตรวีถิยํ โอติณฺณฎฺฐานโต ปฎฺฐาย – ‘‘มยฺหํ ปทวฬญฺชํ หตฺถิอสฺสาทีนํ วเสน มา อนฺตรธายิตฺถ, ทิฎฺฐมงฺคลิกาเยว นํ ปสฺสตุ, มา อเญฺญ’’ติ อธิฎฺฐหิตฺวา ปิณฺฑาย จริตฺวา ยาปนมตฺตํ มิสฺสโกทนํ คเหตฺวา ปฎิกฺกมนสาลายํ นิสิโนฺน ภุญฺชิตฺวา โถกํ ภุตฺตาวเสสํ ภิกฺขาภาชเนเยว ฐเปสิฯ ทิฎฺฐมงฺคลิกาปิ ปาสาทา โอรุยฺห อนฺตรวีถิํ ปฎิปชฺชมานา ปทวฬญฺชํ ทิสฺวา – ‘‘อิทํ มยฺหํ ยสทายกสฺส อยฺยสฺส ปท’’นฺติ ปทานุสาเรนาคนฺตฺวา วนฺทิตฺวา อาห – ‘‘ตุมฺหากํ, ภเนฺต, ทาเสน กตาปราธํ มยฺหํ ขมถ, น หิ ตุเมฺห โกธวสิกา นาม, เทถ เม ปุตฺตสฺส ชีวิต’’นฺติฯ
Mahāpurisopi antaravīthiyaṃ otiṇṇaṭṭhānato paṭṭhāya – ‘‘mayhaṃ padavaḷañjaṃ hatthiassādīnaṃ vasena mā antaradhāyittha, diṭṭhamaṅgalikāyeva naṃ passatu, mā aññe’’ti adhiṭṭhahitvā piṇḍāya caritvā yāpanamattaṃ missakodanaṃ gahetvā paṭikkamanasālāyaṃ nisinno bhuñjitvā thokaṃ bhuttāvasesaṃ bhikkhābhājaneyeva ṭhapesi. Diṭṭhamaṅgalikāpi pāsādā oruyha antaravīthiṃ paṭipajjamānā padavaḷañjaṃ disvā – ‘‘idaṃ mayhaṃ yasadāyakassa ayyassa pada’’nti padānusārenāgantvā vanditvā āha – ‘‘tumhākaṃ, bhante, dāsena katāparādhaṃ mayhaṃ khamatha, na hi tumhe kodhavasikā nāma, detha me puttassa jīvita’’nti.
เอวญฺจ ปน วตฺวา –
Evañca pana vatvā –
‘‘อาเวธิตํ ปิฎฺฐิโต อุตฺตมงฺคํ,
‘‘Āvedhitaṃ piṭṭhito uttamaṅgaṃ,
พาหุํ ปสาเรติ อกมฺมเนยฺยํ;
Bāhuṃ pasāreti akammaneyyaṃ;
เสตานิ อกฺขีนิ ยถา มตสฺส,
Setāni akkhīni yathā matassa,
โก เม อิมํ ปุตฺตมกาสิ เอว’’นฺติฯ (ชา. ๑.๑๕.๑๕) –
Ko me imaṃ puttamakāsi eva’’nti. (jā. 1.15.15) –
คาถํ อภาสิฯ มหาปุริโส อาห – ‘‘น มยํ เอวรูปํ กโรม, ปพฺพชิตํ ปน หิํสเนฺต ทิสฺวา ปพฺพชิเตสุ สคารวาหิ ภูตยกฺขเทวตาหิ กตํ ภวิสฺสตี’’ติฯ
Gāthaṃ abhāsi. Mahāpuriso āha – ‘‘na mayaṃ evarūpaṃ karoma, pabbajitaṃ pana hiṃsante disvā pabbajitesu sagāravāhi bhūtayakkhadevatāhi kataṃ bhavissatī’’ti.
เกวลํ, ภเนฺต, ตุมฺหากํ มโนปโทโส มา โหตุ, เทวตาหิ กตํ โหตุ, สุขมาปยา , ภเนฺต, เทวตา, อปิจาหํ, ภเนฺต, กถํ ปฎิปชฺชามีติฯ เตน หิ โอสธํ เต กเถสฺสามิ, มม ภิกฺขาภาชเน ภุตฺตาวเสสํ ภตฺตมตฺถิ, ตตฺถ โถกํ อุทกํ อาสิญฺจิตฺวา โถกํ คเหตฺวา ตว ปุตฺตสฺส มุเข ปกฺขิป, อวเสสํ อุทกจาฎิยํ อาโลเฬตฺวา อสีติยา พฺราหฺมณสหสฺสานํ มุเข ปกฺขิปาติฯ สา เอวํ กริสฺสามีติ ภตฺตํ คเหตฺวา มหาปุริสํ วนฺทิตฺวา คนฺตฺวา ตถา อกาสิฯ
Kevalaṃ, bhante, tumhākaṃ manopadoso mā hotu, devatāhi kataṃ hotu, sukhamāpayā , bhante, devatā, apicāhaṃ, bhante, kathaṃ paṭipajjāmīti. Tena hi osadhaṃ te kathessāmi, mama bhikkhābhājane bhuttāvasesaṃ bhattamatthi, tattha thokaṃ udakaṃ āsiñcitvā thokaṃ gahetvā tava puttassa mukhe pakkhipa, avasesaṃ udakacāṭiyaṃ āloḷetvā asītiyā brāhmaṇasahassānaṃ mukhe pakkhipāti. Sā evaṃ karissāmīti bhattaṃ gahetvā mahāpurisaṃ vanditvā gantvā tathā akāsi.
มุเข ปกฺขิตฺตมเตฺต เชฎฺฐกเทวราชา – ‘‘สามิมฺหิ สยํ เภสชฺชํ กโรเนฺต อเมฺหหิ น สกฺกา กิญฺจิ กาตุ’’นฺติ กุมารํ วิสฺสเชฺชสิฯ โสปิ ขิปิตฺวา กิญฺจิ ทุกฺขํ อปฺปตฺตปุโพฺพ วิย ปกติวโณฺณ อโหสิฯ อถ นํ มาตา อโวจ – ‘‘ปสฺส ตาต ตว กุลุปกานํ หิโรตฺตปฺปรหิตานํ วิปฺปการํ, สมณา ปน น เอวรูปา โหนฺติ, สมเณ ตาต โภเชยฺยาสี’’ติฯ ตโต เสสกํ อุทกจาฎิยํ อาลุฬาเปตฺวา พฺราหฺมณานํ มุเข ปกฺขิปาเปสิฯ ยกฺขา ตาวเทว วิสฺสเชฺชตฺวา ปลายิํสุฯ พฺราหฺมณา ขิปิตฺวา ขิปิตฺวา อุฎฺฐหิตฺวา กิํ อมฺหากํ มุเข ปกฺขิตฺตนฺติ ปุจฺฉิํสุฯ มาตงฺคอิสิสฺส อุจฺฉิฎฺฐภตฺตนฺติฯ เต ‘‘จณฺฑาลสฺส อุจฺฉิฎฺฐกํ ขาทาปิตมฺหา, อพฺราหฺมณา ทานิมฺหา ชาตา, อิทานิ โน พฺราหฺมณา ‘อสุทฺธพฺราหฺมณา อิเม’ติ สโมฺภคํ น ทสฺสนฺตี’’ติ ตโต ปลายิตฺวา มชฺฌรฎฺฐํ คนฺตฺวา มชฺฌราชสฺส นคเร อคฺคาสนิกา พฺราหฺมณา นาม มยนฺติ ราชเคเห ภุญฺชนฺติฯ
Mukhe pakkhittamatte jeṭṭhakadevarājā – ‘‘sāmimhi sayaṃ bhesajjaṃ karonte amhehi na sakkā kiñci kātu’’nti kumāraṃ vissajjesi. Sopi khipitvā kiñci dukkhaṃ appattapubbo viya pakativaṇṇo ahosi. Atha naṃ mātā avoca – ‘‘passa tāta tava kulupakānaṃ hirottapparahitānaṃ vippakāraṃ, samaṇā pana na evarūpā honti, samaṇe tāta bhojeyyāsī’’ti. Tato sesakaṃ udakacāṭiyaṃ āluḷāpetvā brāhmaṇānaṃ mukhe pakkhipāpesi. Yakkhā tāvadeva vissajjetvā palāyiṃsu. Brāhmaṇā khipitvā khipitvā uṭṭhahitvā kiṃ amhākaṃ mukhe pakkhittanti pucchiṃsu. Mātaṅgaisissa ucchiṭṭhabhattanti. Te ‘‘caṇḍālassa ucchiṭṭhakaṃ khādāpitamhā, abrāhmaṇā dānimhā jātā, idāni no brāhmaṇā ‘asuddhabrāhmaṇā ime’ti sambhogaṃ na dassantī’’ti tato palāyitvā majjharaṭṭhaṃ gantvā majjharājassa nagare aggāsanikā brāhmaṇā nāma mayanti rājagehe bhuñjanti.
ตสฺมิํ สมเย โพธิสโตฺต ปาปนิคฺคหํ กโรโนฺต มานชาติเก นิมฺมทยโนฺต วิจรติฯ อเถโก ‘‘ชาติมนฺตตาปโส นาม มยา สทิโส นตฺถี’’ติ อเญฺญสุ สญฺญมฺปิ น กโรติฯ โพธิสโตฺต ตํ คงฺคาตีเร วสมานํ ทิสฺวา ‘‘มานนิคฺคหมสฺส กริสฺสามี’’ติ ตตฺถ อคมาสิ ฯ ตํ ชาติมนฺตตาปโส ปุจฺฉิ – ‘‘กิํ ชโจฺจ ภว’’นฺติ? จณฺฑาโล อหํ อาจริยาติฯ อเปหิ จณฺฑาล อเปหิ จณฺฑาล, เหฎฺฐาคงฺคาย วส, มา อุปริคงฺคาย อุทกํ อุจฺฉิฎฺฐมกาสีติฯ
Tasmiṃ samaye bodhisatto pāpaniggahaṃ karonto mānajātike nimmadayanto vicarati. Atheko ‘‘jātimantatāpaso nāma mayā sadiso natthī’’ti aññesu saññampi na karoti. Bodhisatto taṃ gaṅgātīre vasamānaṃ disvā ‘‘mānaniggahamassa karissāmī’’ti tattha agamāsi . Taṃ jātimantatāpaso pucchi – ‘‘kiṃ jacco bhava’’nti? Caṇḍālo ahaṃ ācariyāti. Apehi caṇḍāla apehi caṇḍāla, heṭṭhāgaṅgāya vasa, mā uparigaṅgāya udakaṃ ucchiṭṭhamakāsīti.
โพธิสโตฺต – ‘‘สาธุ อาจริย, ตุเมฺหหิ วุตฺตฎฺฐาเน วสิสฺสามี’’ติ เหฎฺฐาคงฺคาย วสโนฺต ‘‘คงฺคาย อุทกํ ปฎิโสตํ สนฺทตู’’ติ อธิฎฺฐาสิฯ ชาติมนฺตตาปโส ปาโตว คงฺคํ โอรุยฺห อุทกํ อาจมติ, ชฎา โธวติฯ โพธิสโตฺต ทนฺตกฎฺฐํ ขาทโนฺต ปิณฺฑํ ปิณฺฑํ เขฬํ อุทเก ปาเตติฯ ทนฺตกฎฺฐกุจฺฉิฎฺฐกมฺปิ ตเตฺถว ปวาเหติฯ ยถา เจ ตํ อญฺญตฺถ อลคฺคิตฺวา ตาปสเสฺสว ชฎาสุ ลคฺคติ, ตถา อธิฎฺฐาสิฯ เขฬมฺปิ ทนฺตกฎฺฐมฺปิ ตาปสสฺส ชฎาสุเยว ปติฎฺฐาติฯ
Bodhisatto – ‘‘sādhu ācariya, tumhehi vuttaṭṭhāne vasissāmī’’ti heṭṭhāgaṅgāya vasanto ‘‘gaṅgāya udakaṃ paṭisotaṃ sandatū’’ti adhiṭṭhāsi. Jātimantatāpaso pātova gaṅgaṃ oruyha udakaṃ ācamati, jaṭā dhovati. Bodhisatto dantakaṭṭhaṃ khādanto piṇḍaṃ piṇḍaṃ kheḷaṃ udake pāteti. Dantakaṭṭhakucchiṭṭhakampi tattheva pavāheti. Yathā ce taṃ aññattha alaggitvā tāpasasseva jaṭāsu laggati, tathā adhiṭṭhāsi. Kheḷampi dantakaṭṭhampi tāpasassa jaṭāsuyeva patiṭṭhāti.
ตาปโส จณฺฑาลสฺสิทํ กมฺมํ ภวิสฺสตีติ วิปฺปฎิสารี หุตฺวา คนฺตฺวา ปุจฺฉิ – ‘‘อิทํ, โภ จณฺฑาล, คงฺคาย อุทกํ ตยา ปฎิโสตคามิกต’’นฺติ? อาม อาจริยฯ เตน หิ ตฺวํ เหฎฺฐาคงฺคาย มา วส, อุปริคงฺคาย วสาติฯ สาธุ อาจริย, ตุเมฺหหิ วุตฺตฎฺฐาเน วสิสฺสามีติ ตตฺถ วสโนฺต อิทฺธิํ ปฎิปฺปสฺสเมฺภสิ, อุทกํ ยถาคติกเมว ชาตํฯ ปุน ตาปโส ตเทว พฺยสนํ ปาปุณิฯ โส ปุน คนฺตฺวา โพธิสตฺตํ ปุจฺฉิ, – ‘‘โภ จณฺฑาล, ตฺวมิทํ คงฺคาย อุทกํ กาเลน ปฎิโสตคามิํ กาเลน อนุโสตคามิํ กโรสี’’ติ? อาม อาจริยฯ จณฺฑาล, ‘‘ตฺวํ สุขวิหารีนํ ปพฺพชิตานํ สุเขน วสิตุํ น เทสิ, สตฺตเม เต ทิวเส สตฺตธา มุทฺธา ผลตู’’ติฯ สาธุ อจริย, อหํ ปน สูริยสฺส อุคฺคนฺตุํ น ทสฺสามีติฯ
Tāpaso caṇḍālassidaṃ kammaṃ bhavissatīti vippaṭisārī hutvā gantvā pucchi – ‘‘idaṃ, bho caṇḍāla, gaṅgāya udakaṃ tayā paṭisotagāmikata’’nti? Āma ācariya. Tena hi tvaṃ heṭṭhāgaṅgāya mā vasa, uparigaṅgāya vasāti. Sādhu ācariya, tumhehi vuttaṭṭhāne vasissāmīti tattha vasanto iddhiṃ paṭippassambhesi, udakaṃ yathāgatikameva jātaṃ. Puna tāpaso tadeva byasanaṃ pāpuṇi. So puna gantvā bodhisattaṃ pucchi, – ‘‘bho caṇḍāla, tvamidaṃ gaṅgāya udakaṃ kālena paṭisotagāmiṃ kālena anusotagāmiṃ karosī’’ti? Āma ācariya. Caṇḍāla, ‘‘tvaṃ sukhavihārīnaṃ pabbajitānaṃ sukhena vasituṃ na desi, sattame te divase sattadhā muddhā phalatū’’ti. Sādhu acariya, ahaṃ pana sūriyassa uggantuṃ na dassāmīti.
อถ มหาสโตฺต จิเนฺตสิ – ‘‘เอตสฺส อภิสาโป เอตเสฺสว อุปริ ปติสฺสติ, รกฺขามิ น’’นฺติ สตฺตานุทฺทยตาย ปุนทิวเส อิทฺธิยา สูริยสฺส อุคฺคนฺตุํ น อทาสิฯ อิทฺธิมโต อิทฺธิวิสโย นาม อจิเนฺตโยฺย, ตโต ปฎฺฐาย อรุณุคฺคํ น ปญฺญายติ, รตฺตินฺทิวปริเจฺฉโท นตฺถิ, กสิวณิชฺชาทีนิ กมฺมานิ ปโยเชโนฺต นาม นตฺถิฯ
Atha mahāsatto cintesi – ‘‘etassa abhisāpo etasseva upari patissati, rakkhāmi na’’nti sattānuddayatāya punadivase iddhiyā sūriyassa uggantuṃ na adāsi. Iddhimato iddhivisayo nāma acinteyyo, tato paṭṭhāya aruṇuggaṃ na paññāyati, rattindivaparicchedo natthi, kasivaṇijjādīni kammāni payojento nāma natthi.
มนุสฺสา – ‘‘ยกฺขาวโฎฺฎ นุ โข อยํ ภูตเทวโฎฺฎนาคสุปณฺณาวโฎฺฎ’’ติ อุปทฺทวปฺปตฺตา ‘‘กิํ นุ โข กาตพฺพ’’นฺติ จิเนฺตตฺวา ‘‘ราชกุลํ นาม มหาปญฺญํ, โลกสฺส หิตํ จิเนฺตตุํ สโกฺกติ, ตตฺถ คจฺฉามา’’ติ ราชกุลํ คนฺตฺวา ตมตฺถํ อาโรเจสุํฯ ราชา สุตฺวา ภีโตปิ อภีตาการํ กตฺวา – ‘‘มา ตาตา ภายถ, อิมํ การณํ คงฺคาตีรวาสี ชาติมนฺตตาปโส ชานิสฺสติ, ตํ ปุจฺฉิตฺวา นิกฺกงฺขา ภวิสฺสามา’’ติ กติปเยเหว อตฺถจรเกหิ มนุเสฺสหิ สทฺธิํ ตาปสํ อุปสงฺกมิตฺวา กตปฎิสนฺถาโร ตมตฺถํ ปุจฺฉิฯ ตาปโส อาห – ‘‘อาม มหาราช, เอโก จณฺฑาโล อตฺถิ, โส อิมํ คงฺคาย อุทกํ กาเลน อนุโสตคามิํ กาเลน ปติโสตคามิํ กโรติ, มยา ตทตฺถํ กิญฺจิ กถิตํ อตฺถิ, ตํ ปุจฺฉถ, โส ชานิสฺสตี’’ติฯ
Manussā – ‘‘yakkhāvaṭṭo nu kho ayaṃ bhūtadevaṭṭonāgasupaṇṇāvaṭṭo’’ti upaddavappattā ‘‘kiṃ nu kho kātabba’’nti cintetvā ‘‘rājakulaṃ nāma mahāpaññaṃ, lokassa hitaṃ cintetuṃ sakkoti, tattha gacchāmā’’ti rājakulaṃ gantvā tamatthaṃ ārocesuṃ. Rājā sutvā bhītopi abhītākāraṃ katvā – ‘‘mā tātā bhāyatha, imaṃ kāraṇaṃ gaṅgātīravāsī jātimantatāpaso jānissati, taṃ pucchitvā nikkaṅkhā bhavissāmā’’ti katipayeheva atthacarakehi manussehi saddhiṃ tāpasaṃ upasaṅkamitvā katapaṭisanthāro tamatthaṃ pucchi. Tāpaso āha – ‘‘āma mahārāja, eko caṇḍālo atthi, so imaṃ gaṅgāya udakaṃ kālena anusotagāmiṃ kālena patisotagāmiṃ karoti, mayā tadatthaṃ kiñci kathitaṃ atthi, taṃ pucchatha, so jānissatī’’ti.
ราชา มาตงฺคอิสิสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา – ‘‘ตุเมฺห, ภเนฺต, อรุณสฺส อุคฺคนฺตุํ น เทถา’’ติ ปุจฺฉิฯ อาม, มหาราชาติฯ กิํ การณา ภเนฺตติ? ชาติมนฺตตาปสการณา, มหาราช, ชาติมนฺตตาปเสน อาคนฺตฺวา มํ วนฺทิตฺวา ขมาปิตกาเล ทสฺสามิ มหาราชาติฯ ราชา คนฺตฺวา ‘‘เอถ อาจริย, ตาปสํ ขมาเปถา’’ติ อาหฯ นาหํ, มหาราช, จณฺฑาลํ วนฺทามีติฯ มา อาจริย, เอวํ กโรถ, ชนปทสฺส มุขํ ปสฺสถาติฯ โส ปุน ปฎิกฺขิปิเยวฯ ราชา โพธิสตฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘อาจริโย ขมาเปตุํ น อิจฺฉิตี’’ติ อาหฯ อขมาปิเต อหํ สูริยํ น มุญฺจามีติฯ ราชา ‘‘อยํ ขมาเปตุํ น อิจฺฉติ, อยํ อขมาปิเต สูริยํ น มุญฺจติ, กิํ อมฺหากํ เตน ตาปเสน, โลกํ โอโลเกสฺสามา’’ติ ‘‘คจฺฉถ, โภ, ตาปสสนฺติกํ, ตํ หเตฺถสุ จ ปาเทสุ จ คเหตฺวา มาตงฺคอิสิสฺส ปาทมูเล เนตฺวา นิปชฺชาเปตฺวา ขมาเปถ เอตสฺส ชนปทานุทฺทยตํ ปฎิจฺจา’’ติ อาหฯ เต ราชปุริสา คนฺตฺวา ตํ ตถา กตฺวา อาเนตฺวา มาตงฺคอิสิสฺส ปาทมูเล นิปชฺชาเปตฺวา ขมาเปสุํฯ
Rājā mātaṅgaisissa santikaṃ gantvā – ‘‘tumhe, bhante, aruṇassa uggantuṃ na dethā’’ti pucchi. Āma, mahārājāti. Kiṃ kāraṇā bhanteti? Jātimantatāpasakāraṇā, mahārāja, jātimantatāpasena āgantvā maṃ vanditvā khamāpitakāle dassāmi mahārājāti. Rājā gantvā ‘‘etha ācariya, tāpasaṃ khamāpethā’’ti āha. Nāhaṃ, mahārāja, caṇḍālaṃ vandāmīti. Mā ācariya, evaṃ karotha, janapadassa mukhaṃ passathāti. So puna paṭikkhipiyeva. Rājā bodhisattaṃ upasaṅkamitvā ‘‘ācariyo khamāpetuṃ na icchitī’’ti āha. Akhamāpite ahaṃ sūriyaṃ na muñcāmīti. Rājā ‘‘ayaṃ khamāpetuṃ na icchati, ayaṃ akhamāpite sūriyaṃ na muñcati, kiṃ amhākaṃ tena tāpasena, lokaṃ olokessāmā’’ti ‘‘gacchatha, bho, tāpasasantikaṃ, taṃ hatthesu ca pādesu ca gahetvā mātaṅgaisissa pādamūle netvā nipajjāpetvā khamāpetha etassa janapadānuddayataṃ paṭiccā’’ti āha. Te rājapurisā gantvā taṃ tathā katvā ānetvā mātaṅgaisissa pādamūle nipajjāpetvā khamāpesuṃ.
อหํ นาม ขมิตพฺพํ ขมามิ, อปิจ โข ปน เอตสฺส กถา เอตเสฺสว อุปริ ปติสฺสติฯ มยา สูริเย วิสฺสชฺชิเต สูริยรสฺมิ เอตสฺส มตฺถเก ปติสฺสติ, อถสฺส สตฺตธา มุทฺธา ผลิสฺสติฯ ตญฺจ โข ปเนส พฺยสนํ มา ปาปุณาตุ, เอถ ตุเมฺห เอตํ คลปฺปมาเณ อุทเก โอตาเรตฺวา มหนฺตํ มตฺติกาปิณฺฑมสฺส สีเส ฐเปถฯ อถาหํ สูริยํ วิสฺสชฺชิสฺสามิฯ สูริยรสฺมิ มตฺติกาปิเณฺฑ ปติตฺวา ตํ สตฺตธา ภินฺทิสฺสติฯ อเถส มตฺติกาปิณฺฑํ ฉเฑฺฑตฺวา นิมุชฺชิตฺวา อเญฺญน ติเตฺถน อุตฺตรตุ, อิติ นํ วทถ, เอวมสฺส โสตฺถิ ภวิสฺสตีติฯ เต มนุสฺสา ‘‘เอวํ กริสฺสามา’’ติ ตถา กาเรสุํฯ ตสฺสาปิ ตเถว โสตฺถิ ชาตาฯ โส ตโต ปฎฺฐาย – ‘‘ชาติ นาม อการณํ, ปพฺพชิตานํ อพฺภนฺตเร คุโณว การณ’’นฺติ ชาติโคตฺตมานํ ปหาย นิมฺมโท อโหสิฯ
Ahaṃ nāma khamitabbaṃ khamāmi, apica kho pana etassa kathā etasseva upari patissati. Mayā sūriye vissajjite sūriyarasmi etassa matthake patissati, athassa sattadhā muddhā phalissati. Tañca kho panesa byasanaṃ mā pāpuṇātu, etha tumhe etaṃ galappamāṇe udake otāretvā mahantaṃ mattikāpiṇḍamassa sīse ṭhapetha. Athāhaṃ sūriyaṃ vissajjissāmi. Sūriyarasmi mattikāpiṇḍe patitvā taṃ sattadhā bhindissati. Athesa mattikāpiṇḍaṃ chaḍḍetvā nimujjitvā aññena titthena uttaratu, iti naṃ vadatha, evamassa sotthi bhavissatīti. Te manussā ‘‘evaṃ karissāmā’’ti tathā kāresuṃ. Tassāpi tatheva sotthi jātā. So tato paṭṭhāya – ‘‘jāti nāma akāraṇaṃ, pabbajitānaṃ abbhantare guṇova kāraṇa’’nti jātigottamānaṃ pahāya nimmado ahosi.
อิติ ชาติมนฺตตาปเส ทมิเต มหาชโน โพธิสตฺตสฺส ถามํ อญฺญาสิ, มหาโกลาหลํ ชาตํฯ ราชา อตฺตโน นครํ คมนตฺถาย โพธิสตฺตํ ยาจิฯ มหาสโตฺต ปฎิญฺญํ ทตฺวา ตานิ จ อสีติพฺราหฺมณสหสฺสานิ ทเมสฺสามิ, ปฎิญฺญญฺจ โมเจสฺสามีติ มชฺฌราชสฺส นครํ อคมาสิฯ พฺราหฺมณา โพธิสตฺตํ ทิสฺวาว – โภ, ‘‘อยํ โส, โภ มหาโจโร, อาคโต, อิทาเนว สเพฺพ เอเต มยฺหํ อุจฺฉิฎฺฐกํ ขาทิตฺวา อพฺราหฺมณา ชาตาติ อเมฺห ปากเฎ กริสฺสติ, เอวํ โน อิธาปิ อาวาโส น ภวิสฺสติ, ปฎิกเจฺจว มาเรสฺสามา’’ติ ราชานํ ปุน อุปสงฺกมิตฺวา อาหํสุ – ‘‘ตุเมฺห, มหาราช, เอตํ จณฺฑาลปพฺพชิตํ มา สาธุรูโปติ มญฺญิตฺถ, เอส ครุกมนฺตํ ชานาติ, ปถวิํ คเหตฺวา อากาสํ กโรติ, อากาสํ ปถวิํ, ทูรํ คเหตฺวา สนฺติกํ กโรติ, สนฺติกํ ทูรํ, คงฺคํ นิวเตฺตตฺวา อุทฺธคามินิํ กโรติ, อิจฺฉโนฺต ปถวิํ อุกฺขิปิตฺวา ปาเตตุํ มเญฺญ สโกฺกติฯ ปรสฺส วา จิตฺตํ นาม สพฺพกาลํ น สกฺกา คเหตุํ, อยํ อิธ ปติฎฺฐํ ลภโนฺต ตุมฺหากํ รชฺชมฺปิ นาเสยฺย, ชีวิตนฺตรายมฺปิ วํสุปเจฺฉทมฺปิ กเรยฺย, อมฺหากํ วจนํ กโรถ, มหาราช, อเชฺชว อิมํ มาเรตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ
Iti jātimantatāpase damite mahājano bodhisattassa thāmaṃ aññāsi, mahākolāhalaṃ jātaṃ. Rājā attano nagaraṃ gamanatthāya bodhisattaṃ yāci. Mahāsatto paṭiññaṃ datvā tāni ca asītibrāhmaṇasahassāni damessāmi, paṭiññañca mocessāmīti majjharājassa nagaraṃ agamāsi. Brāhmaṇā bodhisattaṃ disvāva – bho, ‘‘ayaṃ so, bho mahācoro, āgato, idāneva sabbe ete mayhaṃ ucchiṭṭhakaṃ khāditvā abrāhmaṇā jātāti amhe pākaṭe karissati, evaṃ no idhāpi āvāso na bhavissati, paṭikacceva māressāmā’’ti rājānaṃ puna upasaṅkamitvā āhaṃsu – ‘‘tumhe, mahārāja, etaṃ caṇḍālapabbajitaṃ mā sādhurūpoti maññittha, esa garukamantaṃ jānāti, pathaviṃ gahetvā ākāsaṃ karoti, ākāsaṃ pathaviṃ, dūraṃ gahetvā santikaṃ karoti, santikaṃ dūraṃ, gaṅgaṃ nivattetvā uddhagāminiṃ karoti, icchanto pathaviṃ ukkhipitvā pātetuṃ maññe sakkoti. Parassa vā cittaṃ nāma sabbakālaṃ na sakkā gahetuṃ, ayaṃ idha patiṭṭhaṃ labhanto tumhākaṃ rajjampi nāseyya, jīvitantarāyampi vaṃsupacchedampi kareyya, amhākaṃ vacanaṃ karotha, mahārāja, ajjeva imaṃ māretuṃ vaṭṭatī’’ti.
ราชาโน นาม ปรปตฺติยา โหนฺติ, อิติ โส พหูนํ กถาวเสน นิฎฺฐํ คโตฯ โพธิสโตฺต ปน นคเร ปิณฺฑาย จริตฺวา อุทกผาสุกฎฺฐาเน มิสฺสโกทนํ ภุญฺชิตฺวา ราชุยฺยานํ คนฺตฺวา นิราปราธตาย นิราสโงฺก มงฺคลสิลาปเฎฺฎ นิสีทิฯ อตีเต จตฺตาลีส, อนาคเต จตฺตาลีสาติ อสีติกเปฺป อนุสฺสริตุํ สมตฺถญาณสฺส อนาวชฺชนตาย มุหุตฺตมตฺตเก กาเล สติ นปฺปโหติ, ราชา อญฺญํ อชานาเปตฺวา สยเมว คนฺตฺวา นิราวชฺชนตาย ปมาเทน นิสินฺนํ มหาปุริสํ อสินา ปหริตฺวา เทฺว ภาเค อกาสิฯ อิมสฺส รโญฺญ วิชิเต อฎฺฐมํ โลหกูฎวสฺสํ, นวมํ กลลวสฺสํ วสฺสิฯ อิติ อิมสฺสาปิ รเฎฺฐ นว วุฎฺฐิโย ปติตาฯ โส จ ราชา สปริโส มหานิรเย นิพฺพโตฺตฯ เตนาห สํกิจฺจปณฺฑิโต –
Rājāno nāma parapattiyā honti, iti so bahūnaṃ kathāvasena niṭṭhaṃ gato. Bodhisatto pana nagare piṇḍāya caritvā udakaphāsukaṭṭhāne missakodanaṃ bhuñjitvā rājuyyānaṃ gantvā nirāparādhatāya nirāsaṅko maṅgalasilāpaṭṭe nisīdi. Atīte cattālīsa, anāgate cattālīsāti asītikappe anussarituṃ samatthañāṇassa anāvajjanatāya muhuttamattake kāle sati nappahoti, rājā aññaṃ ajānāpetvā sayameva gantvā nirāvajjanatāya pamādena nisinnaṃ mahāpurisaṃ asinā paharitvā dve bhāge akāsi. Imassa rañño vijite aṭṭhamaṃ lohakūṭavassaṃ, navamaṃ kalalavassaṃ vassi. Iti imassāpi raṭṭhe nava vuṭṭhiyo patitā. So ca rājā sapariso mahāniraye nibbatto. Tenāha saṃkiccapaṇḍito –
‘‘อุปหจฺจ มนํ มโชฺฌ, มาตงฺคสฺมิํ ยสสฺสิเน;
‘‘Upahacca manaṃ majjho, mātaṅgasmiṃ yasassine;
สปาริสโชฺช อุจฺฉิโนฺน, มชฺฌารญฺญํ ตทา อหูติ’’ฯ (ชา. ๒.๑๙.๙๖) –
Sapārisajjo ucchinno, majjhāraññaṃ tadā ahūti’’. (jā. 2.19.96) –
เอวํ มชฺฌารญฺญสฺส อรญฺญภูตภาโว เวทิตโพฺพฯ มาตงฺคสฺส ปน อิสิโน วเสน ตเทว มาตงฺคารญฺญนฺติ วุตฺตํฯ
Evaṃ majjhāraññassa araññabhūtabhāvo veditabbo. Mātaṅgassa pana isino vasena tadeva mātaṅgāraññanti vuttaṃ.
๖๖. ปญฺหปฎิภานานีติ ปญฺหพฺยากรณานิฯ ปจฺจนีกํ กตพฺพนฺติ ปจฺจนีกํ กาตพฺพํฯ อมญฺญิสฺสนฺติ วิโลมภาคํ คณฺหโนฺต วิย อโหสินฺติ อโตฺถฯ
66.Pañhapaṭibhānānīti pañhabyākaraṇāni. Paccanīkaṃ katabbanti paccanīkaṃ kātabbaṃ. Amaññissanti vilomabhāgaṃ gaṇhanto viya ahosinti attho.
๖๗. อนุวิจฺจการนฺติ อนุวิจาเรตฺวา จิเนฺตตฺวา ตุลยิตฺวา กาตพฺพํ กโรหีติ วุตฺตํ โหติฯ สาธุ โหตีติ สุนฺทโร โหติฯ ตุมฺหาทิสสฺมิญฺหิ มํ ทิสฺวา มํ สรณํ คจฺฉเนฺต นิคณฺฐํ ทิสฺวา นิคณฺฐํ สรณํ คจฺฉเนฺต – ‘‘กิํ อยํ อุปาลิ ทิฎฺฐทิฎฺฐเมว สรณํ คจฺฉตี’’ติ? ครหา อุปฺปชฺชิสฺสติ, ตสฺมา อนุวิจฺจกาโร ตุมฺหาทิสานํ สาธูติ ทเสฺสติฯ ปฎากํ ปริหเรยฺยุนฺติ เต กิร เอวรูปํ สาวกํ ลภิตฺวา – ‘‘อสุโก นาม ราชา วา ราชมหามโตฺต วา เสฎฺฐิ วา อมฺหากํ สรณํ คโต สาวโก ชาโต’’ติ ปฎากํ อุกฺขิปิตฺวา นคเร โฆเสนฺตา อาหิณฺฑนฺติฯ กสฺมา? เอวํ โน มหนฺตภาโว อาวิ ภวิสฺสตีติ จ, สเจ ตสฺส ‘‘กิมหํ เอเตสํ สรณํ คโต’’ติ วิปฺปฎิสาโร อุปฺปเชฺชยฺย, ตมฺปิ โส ‘‘เอเตสํ เม สรณคตภาวํ พหู ชานนฺติ, ทุกฺขํ อิทานิ ปฎินิวตฺติตุ’’นฺติ วิโนเทตฺวา น ปฎิกฺกมิสฺสตีติ จฯ ‘‘เตนาห ปฎากํ ปริหเรยฺยุ’’นฺติฯ
67.Anuviccakāranti anuvicāretvā cintetvā tulayitvā kātabbaṃ karohīti vuttaṃ hoti. Sādhu hotīti sundaro hoti. Tumhādisasmiñhi maṃ disvā maṃ saraṇaṃ gacchante nigaṇṭhaṃ disvā nigaṇṭhaṃ saraṇaṃ gacchante – ‘‘kiṃ ayaṃ upāli diṭṭhadiṭṭhameva saraṇaṃ gacchatī’’ti? Garahā uppajjissati, tasmā anuviccakāro tumhādisānaṃ sādhūti dasseti. Paṭākaṃ parihareyyunti te kira evarūpaṃ sāvakaṃ labhitvā – ‘‘asuko nāma rājā vā rājamahāmatto vā seṭṭhi vā amhākaṃ saraṇaṃ gato sāvako jāto’’ti paṭākaṃ ukkhipitvā nagare ghosentā āhiṇḍanti. Kasmā? Evaṃ no mahantabhāvo āvi bhavissatīti ca, sace tassa ‘‘kimahaṃ etesaṃ saraṇaṃ gato’’ti vippaṭisāro uppajjeyya, tampi so ‘‘etesaṃ me saraṇagatabhāvaṃ bahū jānanti, dukkhaṃ idāni paṭinivattitu’’nti vinodetvā na paṭikkamissatīti ca. ‘‘Tenāha paṭākaṃ parihareyyu’’nti.
๖๘. โอปานภูตนฺติ ปฎิยตฺตอุทปาโน วิย ฐิตํฯ กุลนฺติ ตว นิเวสนํฯ ทาตพฺพํ มเญฺญยฺยาสีติ ปุเพฺพ ทสปิ วีสติปิ สฎฺฐิปิ ชเน อาคเต ทิสฺวา นตฺถีติ อวตฺวา เทติฯ อิทานิ มํ สรณํ คตการณมเตฺตนว มา อิเมสํ เทยฺยธมฺมํ, อุปจฺฉินฺทิตฺถ, สมฺปตฺตานญฺหิ ทาตพฺพเมวาติ โอวทติฯ สุตเมตํ, ภเนฺตติ กุโต สุตํ? นิคณฺฐานํ สนฺติกา, เต กิร กุลฆเรสุ เอวํ ปกาเสนฺติ – ‘‘มยํ ‘ยสฺส กสฺสจิ สมฺปตฺตสฺส ทาตพฺพ’นฺติ วทาม, สมโณ ปน โคตโม ‘มยฺหเมว ทานํ ทาตพฺพํ…เป.… น อเญฺญสํ สาวกานํ ทินฺนํ มหปฺผล’นฺติ วทตี’’ติฯ ตํ สนฺธาย อยํ คหปติ ‘‘สุตเมต’’นฺติ อาหฯ
68.Opānabhūtanti paṭiyattaudapāno viya ṭhitaṃ. Kulanti tava nivesanaṃ. Dātabbaṃ maññeyyāsīti pubbe dasapi vīsatipi saṭṭhipi jane āgate disvā natthīti avatvā deti. Idāni maṃ saraṇaṃ gatakāraṇamattenava mā imesaṃ deyyadhammaṃ, upacchindittha, sampattānañhi dātabbamevāti ovadati. Sutametaṃ, bhanteti kuto sutaṃ? Nigaṇṭhānaṃ santikā, te kira kulagharesu evaṃ pakāsenti – ‘‘mayaṃ ‘yassa kassaci sampattassa dātabba’nti vadāma, samaṇo pana gotamo ‘mayhameva dānaṃ dātabbaṃ…pe… na aññesaṃ sāvakānaṃ dinnaṃ mahapphala’nti vadatī’’ti. Taṃ sandhāya ayaṃ gahapati ‘‘sutameta’’nti āha.
๖๙. อนุปุพฺพิํ กถนฺติ ทานานนฺตรํ สีลํ, สีลานนฺตรํ สคฺคํ, สคฺคานนฺตรํ มคฺคนฺติ เอวํ อนุปฎิปาฎิกถํฯ ตตฺถ ทานกถนฺติ อิทํ ทานํ นาม สุขานํ นิทานํ, สมฺปตฺตีนํ มูลํ, โภคานํ ปติฎฺฐา, วิสมคตสฺส ตาณํ เลณํ คติปรายณํ, อิธโลกปรโลเกสุ ทานสทิโส อวสฺสโย ปติฎฺฐา อารมฺมณํ ตาณํ เลณํ คติ ปรายณํ นตฺถิฯ อิทญฺหิ อวสฺสยเฎฺฐน รตนมยสีหาสนสทิสํ, ปติฎฺฐานเฎฺฐน มหาปถวิสทิสํ, อาลมฺพนเฎฺฐน อาลมฺพนรชฺชุสทิสํฯ อิทญฺหิ ทุกฺขนิตฺถรณเฎฺฐน นาวา, สมสฺสาสนเฎฺฐน สงฺคามสูโร, ภยปริตฺตาณเฎฺฐน สุสงฺขตนครํ, มเจฺฉรมลาทีหิ อนุปลิตฺตเฎฺฐน ปทุมํ, เตสํ นิทหนเฎฺฐน อคฺคิ, ทุราสทเฎฺฐน อาสีวิโสฯ อสนฺตาสนเฎฺฐน สีโห, พลวนฺตเฎฺฐน หตฺถี, อภิมงฺคลสมฺมตเฎฺฐน เสตวสโภ, เขมนฺตภูมิสมฺปาปนเฎฺฐน วลาหโก อสฺสราชาฯ ทานํ นาเมภํ มยฺหํ คตมโคฺค, มเยฺหเวโส วํโส, มยา ทส ปารมิโย ปูเรเนฺตน เวลามมหายโญฺญ, มหาโควินฺทมหายโญฺญ มหาสุทสฺสนมหายโญฺญ, เวสฺสนฺตรมหายโญฺญติ อเนกมหายญฺญา ปวตฺติตา, สสภูเตน ชลิเต อคฺคิกฺขเนฺธ อตฺตานํ นิยฺยาเทเนฺตน สมฺปตฺตยาจกานํ จิตฺตํ คหิตํฯ ทานญฺหิ โลเก สกฺกสมฺปตฺติํ เทติ, มารสมฺปตฺติํ เทติ, พฺรหฺมสมฺปตฺติํ เทติ, จกฺกวตฺติสมฺปตฺติํ เทติ, สาวกปารมีญาณํ, ปเจฺจกโพธิญาณํ, อภิสโมฺพธิญาณํ เทตีติ เอวมาทิํ ทานคุณปฎิสํยุตฺตํ กถํฯ
69.Anupubbiṃkathanti dānānantaraṃ sīlaṃ, sīlānantaraṃ saggaṃ, saggānantaraṃ magganti evaṃ anupaṭipāṭikathaṃ. Tattha dānakathanti idaṃ dānaṃ nāma sukhānaṃ nidānaṃ, sampattīnaṃ mūlaṃ, bhogānaṃ patiṭṭhā, visamagatassa tāṇaṃ leṇaṃ gatiparāyaṇaṃ, idhalokaparalokesu dānasadiso avassayo patiṭṭhā ārammaṇaṃ tāṇaṃ leṇaṃ gati parāyaṇaṃ natthi. Idañhi avassayaṭṭhena ratanamayasīhāsanasadisaṃ, patiṭṭhānaṭṭhena mahāpathavisadisaṃ, ālambanaṭṭhena ālambanarajjusadisaṃ. Idañhi dukkhanittharaṇaṭṭhena nāvā, samassāsanaṭṭhena saṅgāmasūro, bhayaparittāṇaṭṭhena susaṅkhatanagaraṃ, maccheramalādīhi anupalittaṭṭhena padumaṃ, tesaṃ nidahanaṭṭhena aggi, durāsadaṭṭhena āsīviso. Asantāsanaṭṭhena sīho, balavantaṭṭhena hatthī, abhimaṅgalasammataṭṭhena setavasabho, khemantabhūmisampāpanaṭṭhena valāhako assarājā. Dānaṃ nāmebhaṃ mayhaṃ gatamaggo, mayheveso vaṃso, mayā dasa pāramiyo pūrentena velāmamahāyañño, mahāgovindamahāyañño mahāsudassanamahāyañño, vessantaramahāyaññoti anekamahāyaññā pavattitā, sasabhūtena jalite aggikkhandhe attānaṃ niyyādentena sampattayācakānaṃ cittaṃ gahitaṃ. Dānañhi loke sakkasampattiṃ deti, mārasampattiṃ deti, brahmasampattiṃ deti, cakkavattisampattiṃ deti, sāvakapāramīñāṇaṃ, paccekabodhiñāṇaṃ, abhisambodhiñāṇaṃ detīti evamādiṃ dānaguṇapaṭisaṃyuttaṃ kathaṃ.
ยสฺมา ปน ทานํ ททโนฺต สีลํ สมาทาตุํ สโกฺกติ, ตสฺมา ตทนตรํ สีลกถํ กเถสิฯ สีลกถนฺติ สีลํ นาเมตํ อวสฺสโย ปติฎฺฐา อารมฺมณํ ตาณํ เลณํ คติ ปรายณํ, สีลํ นาเมตํ มม วํโส, อหํ สงฺขปาลนาคราชกาเล, ภูริทตฺตนาคราชกาเล, จเมฺปยฺยนาคราชกาเล, สีลวนาคราชกาเล, มาตุโปสกหตฺถิราชกาเล, ฉทฺทนฺตหตฺถิราชกาเลติ อนเนฺตสุ อตฺตภาเวสุ สีลํ ปริปูเรสิํฯ อิธโลกปรโลกสมฺปตฺตีนญฺหิ สีลสทิโส อวสฺสโย, สีลสทิสา ปติฎฺฐา, อารมฺมณํ ตาณํ เลณํ คติ ปรายณํ นตฺถิ, สีลาลงฺการสทิโส อลงฺกาโร นตฺถิ, สีลปุปฺผสทิสํ ปุปฺผํ นตฺถิ, สีลคนฺธสทิโส คโนฺธ นตฺถิฯ สีลาลงฺกาเรน หิ อลงฺกตํ สีลกุสุมปิฬนฺธนํ สีลคนฺธานุลิตฺตํ สเทวโกปิ โลโก โอโลเกโนฺต ติตฺติํ น คจฺฉตีติ เอวมาทิํ สีลคุณปฎิสํยุตฺตํ กถํฯ
Yasmā pana dānaṃ dadanto sīlaṃ samādātuṃ sakkoti, tasmā tadanataraṃ sīlakathaṃ kathesi. Sīlakathanti sīlaṃ nāmetaṃ avassayo patiṭṭhā ārammaṇaṃ tāṇaṃ leṇaṃ gati parāyaṇaṃ, sīlaṃ nāmetaṃ mama vaṃso, ahaṃ saṅkhapālanāgarājakāle, bhūridattanāgarājakāle, campeyyanāgarājakāle, sīlavanāgarājakāle, mātuposakahatthirājakāle, chaddantahatthirājakāleti anantesu attabhāvesu sīlaṃ paripūresiṃ. Idhalokaparalokasampattīnañhi sīlasadiso avassayo, sīlasadisā patiṭṭhā, ārammaṇaṃ tāṇaṃ leṇaṃ gati parāyaṇaṃ natthi, sīlālaṅkārasadiso alaṅkāro natthi, sīlapupphasadisaṃ pupphaṃ natthi, sīlagandhasadiso gandho natthi. Sīlālaṅkārena hi alaṅkataṃ sīlakusumapiḷandhanaṃ sīlagandhānulittaṃ sadevakopi loko olokento tittiṃ na gacchatīti evamādiṃ sīlaguṇapaṭisaṃyuttaṃ kathaṃ.
อิทํ ปน สีลํ นิสฺสาย อยํ สโคฺค ลพฺภตีติ ทเสฺสตุํ สีลานนฺตรํ สคฺคกถํ กเถสิฯ สคฺคกถนฺติ อยํ สโคฺค นาม อิโฎฺฐ กโนฺต มนาโป, นิจฺจเมตฺถ กีฬา, นิจฺจํ สมฺปตฺติโย ลพฺภนฺติ, จาตุมหาราชิกา เทวา นวุติวสฺสสตสหสฺสานิ ทิพฺพสุขํ ทิพฺพสมฺปตฺติํ อนุภวนฺติ, ตาวติํสา ติโสฺส จ วสฺสโกฎิโย สฎฺฐิ จ วสฺสสตสหสฺสานีติ เอวมาทิํ สคฺคคุณปฎิสํยุตฺตํ กถํฯ สคฺคสมฺปตฺติํ กถยนฺตานญฺหิ พุทฺธานํ มุขํ นปฺปโหติฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ ‘‘อเนกปริยาเยน โข อหํ, ภิกฺขเว, สคฺคกถํ กเถยฺย’’นฺติอาทิ (ม. นิ. ๓.๒๕๕)ฯ
Idaṃ pana sīlaṃ nissāya ayaṃ saggo labbhatīti dassetuṃ sīlānantaraṃ saggakathaṃ kathesi. Saggakathanti ayaṃ saggo nāma iṭṭho kanto manāpo, niccamettha kīḷā, niccaṃ sampattiyo labbhanti, cātumahārājikā devā navutivassasatasahassāni dibbasukhaṃ dibbasampattiṃ anubhavanti, tāvatiṃsā tisso ca vassakoṭiyo saṭṭhi ca vassasatasahassānīti evamādiṃ saggaguṇapaṭisaṃyuttaṃ kathaṃ. Saggasampattiṃ kathayantānañhi buddhānaṃ mukhaṃ nappahoti. Vuttampi cetaṃ ‘‘anekapariyāyena kho ahaṃ, bhikkhave, saggakathaṃ katheyya’’ntiādi (ma. ni. 3.255).
เอวํ สคฺคกถาย ปโลเภตฺวา ปุน หตฺถิํ อลงฺกริตฺวา ตสฺส โสณฺฑํ ฉินฺทโนฺต วิย – ‘‘อยมฺปิ สโคฺค อนิโจฺจ อทฺธุโว, น เอตฺถ ฉนฺทราโค กาตโพฺพ’’ติ ทสฺสนตฺถํ – ‘‘อปฺปสฺสาทา กามา วุตฺตา มยา พหุทุกฺขา พหุปายาสา, อาทีนโว เอตฺถ ภิโยฺย’’ติอาทินา (ปาจิ. ๔๑๗; ม. นิ. ๑.๒๓๕) นเยน กามานํ อาทีนวํ โอการํ สํกิเลสํ กเถสิฯ ตตฺถ อาทีนโวติ โทโสฯ โอกาโรติ อวกาโร ลามกภาโวฯ สํกิเลโสติ เตหิ สตฺตานํ สํสาเร สํกิลิสฺสนํฯ ยถาห ‘‘กิลิสฺสนฺติ วต, โภ, สตฺตา’’ติ (ม. นิ. ๒.๓๕๑)ฯ
Evaṃ saggakathāya palobhetvā puna hatthiṃ alaṅkaritvā tassa soṇḍaṃ chindanto viya – ‘‘ayampi saggo anicco addhuvo, na ettha chandarāgo kātabbo’’ti dassanatthaṃ – ‘‘appassādā kāmā vuttā mayā bahudukkhā bahupāyāsā, ādīnavo ettha bhiyyo’’tiādinā (pāci. 417; ma. ni. 1.235) nayena kāmānaṃ ādīnavaṃ okāraṃ saṃkilesaṃ kathesi. Tattha ādīnavoti doso. Okāroti avakāro lāmakabhāvo. Saṃkilesoti tehi sattānaṃ saṃsāre saṃkilissanaṃ. Yathāha ‘‘kilissanti vata, bho, sattā’’ti (ma. ni. 2.351).
เอวํ กามาทีนเวน ตชฺชิตฺวา เนกฺขเมฺม อานิสํสํ ปกาเสสิฯ กลฺลจิตฺตนฺติ อโรคจิตฺตํฯ สามุกฺกํสิกาติ สามํ อุกฺกํสิกา อตฺตนาเยว คเหตฺวา อุทฺธริตฺวา คหิตา, สยมฺภูญาเณน ทิฎฺฐา, อสาธารณา อเญฺญสนฺติ อโตฺถฯ กา ปเนสาติ, อริยสจฺจเทสนา? เตเนวาห – ‘‘ทุกฺขํ สมุทยํ นิโรธํ มคฺค’’นฺติฯ
Evaṃ kāmādīnavena tajjitvā nekkhamme ānisaṃsaṃ pakāsesi. Kallacittanti arogacittaṃ. Sāmukkaṃsikāti sāmaṃ ukkaṃsikā attanāyeva gahetvā uddharitvā gahitā, sayambhūñāṇena diṭṭhā, asādhāraṇā aññesanti attho. Kā panesāti, ariyasaccadesanā? Tenevāha – ‘‘dukkhaṃ samudayaṃ nirodhaṃ magga’’nti.
วิรชํ วีตมลนฺติ ราครชาทีนํ อภาวา วิรชํ, ราคมลาทีนํ วิคตตฺตา วีตมลํฯ ธมฺมจกฺขุนฺติ อุปริ พฺรหฺมายุสุเตฺต ติณฺณํ มคฺคานํ, จูฬราหุโลวาเท อาสวกฺขยเสฺสตํ นามํฯ อิธ ปน โสตาปตฺติมโคฺค อธิเปฺปโตฯ ตสฺส อุปฺปตฺติอาการทสฺสนตฺถํ ‘‘ยํกิญฺจิ สมุทยธมฺมํ, สพฺพํ ตํ นิโรธธมฺม’’นฺติ อาหฯ ตญฺหิ นิโรธํ อารมฺมณํ กตฺวา กิจฺจวเสน เอวํ สพฺพสงฺขตํ ปฎิวิชฺฌนฺตํ อุปฺปชฺชติฯ
Virajaṃ vītamalanti rāgarajādīnaṃ abhāvā virajaṃ, rāgamalādīnaṃ vigatattā vītamalaṃ. Dhammacakkhunti upari brahmāyusutte tiṇṇaṃ maggānaṃ, cūḷarāhulovāde āsavakkhayassetaṃ nāmaṃ. Idha pana sotāpattimaggo adhippeto. Tassa uppattiākāradassanatthaṃ ‘‘yaṃkiñci samudayadhammaṃ, sabbaṃ taṃ nirodhadhamma’’nti āha. Tañhi nirodhaṃ ārammaṇaṃ katvā kiccavasena evaṃ sabbasaṅkhataṃ paṭivijjhantaṃ uppajjati.
ทิโฎฺฐ อริยสจฺจธโมฺม เอเตนาติ ทิฎฺฐธโมฺมฯ เอส นโย เสสปเทสุปิฯ ติณฺณา วิจิกิจฺฉา อเนนาติ ติณฺณวิจิกิโจฺฉฯ วิคตา กถํกถา อสฺสาติ วิคตกถํกโถฯ เวสารชฺชปฺปโตฺตติ เวสารชฺชํ ปโตฺตฯ กตฺถ? สตฺถุ สาสเนฯ นาสฺส ปโร ปจฺจโย, น ปรสฺส สทฺธาย เอตฺถ วตฺตตีติ อปรปฺปจฺจโยฯ
Diṭṭho ariyasaccadhammo etenāti diṭṭhadhammo. Esa nayo sesapadesupi. Tiṇṇā vicikicchā anenāti tiṇṇavicikiccho. Vigatā kathaṃkathā assāti vigatakathaṃkatho. Vesārajjappattoti vesārajjaṃ patto. Kattha? Satthu sāsane. Nāssa paro paccayo, na parassa saddhāya ettha vattatīti aparappaccayo.
๗๐. จิเตฺตน สมฺปฎิจฺฉมาโน อภินนฺทิตฺวา, วาจาย ปสํสมาโน อนุโมทิตฺวาฯ อาวรามีติ ถเกมิ ปิทหามิฯ อนาวฎนฺติ น อาวริตํ วิวฎํ อุคฺฆาฎิตํฯ
70. Cittena sampaṭicchamāno abhinanditvā, vācāya pasaṃsamāno anumoditvā. Āvarāmīti thakemi pidahāmi. Anāvaṭanti na āvaritaṃ vivaṭaṃ ugghāṭitaṃ.
๗๑. อโสฺสสิ โข ทีฆตปสฺสีติ โส กิร ตสฺส คตกาลโต ปฎฺฐาย – ‘‘ปณฺฑิโต คหปติ , สมโณ จ โคตโม ทสฺสนสมฺปโนฺน นิยฺยานิกกโถ, ทสฺสเนปิ ตสฺส ปสีทิสฺสติ, ธมฺมกถายปิ ปสีทิสฺสติ, ปสีทิตฺวา สรณํ คมิสฺสติ, คโต นุ โข สรณํ คหปติ น ตาว คโต’’ติ โอหิตโสโตว หุตฺวา วิจรติฯ ตสฺมา ปฐมํเยว อโสฺสสิฯ
71.Assosi kho dīghatapassīti so kira tassa gatakālato paṭṭhāya – ‘‘paṇḍito gahapati , samaṇo ca gotamo dassanasampanno niyyānikakatho, dassanepi tassa pasīdissati, dhammakathāyapi pasīdissati, pasīditvā saraṇaṃ gamissati, gato nu kho saraṇaṃ gahapati na tāva gato’’ti ohitasotova hutvā vicarati. Tasmā paṭhamaṃyeva assosi.
๗๒. เตน หิ สมฺมาติ พลวโสเกน อภิภูโต ‘‘เอเตฺถว ติฎฺฐา’’ติ วจนํ สุตฺวาปิ อตฺถํ อสลฺลเกฺขโนฺต โทวาริเกน สทฺธิํ สลฺลปติเยวฯ
72.Tena hi sammāti balavasokena abhibhūto ‘‘ettheva tiṭṭhā’’ti vacanaṃ sutvāpi atthaṃ asallakkhento dovārikena saddhiṃ sallapatiyeva.
มชฺฌิมาย ทฺวารสาลายานฺติ ยสฺส ฆรสฺส สตฺต ทฺวารโกฎฺฐกา, ตสฺส สพฺพอพฺภนฺตรโต วา สพฺพพาหิรโต วา ปฎฺฐาย จตุตฺถทฺวารโกฎฺฐโก, ยสฺส ปญฺจ, ตสฺส ตติโย, ยสฺส ตโย, ตสฺส ทุติโย ทฺวารโกฎฺฐโก มชฺฌิมทฺวารสาลา นามฯ เอกทฺวารโกฎฺฐกสฺส ปน ฆรสฺส มชฺฌฎฺฐาเน มงฺคลตฺถมฺภํ นิสฺสาย มชฺฌิมทฺวารสาลาฯ ตสฺส ปน เคหสฺส สตฺต ทฺวารโกฎฺฐกา, ปญฺจาติปิ วุตฺตํฯ
Majjhimāya dvārasālāyānti yassa gharassa satta dvārakoṭṭhakā, tassa sabbaabbhantarato vā sabbabāhirato vā paṭṭhāya catutthadvārakoṭṭhako, yassa pañca, tassa tatiyo, yassa tayo, tassa dutiyo dvārakoṭṭhako majjhimadvārasālā nāma. Ekadvārakoṭṭhakassa pana gharassa majjhaṭṭhāne maṅgalatthambhaṃ nissāya majjhimadvārasālā. Tassa pana gehassa satta dvārakoṭṭhakā, pañcātipi vuttaṃ.
๗๓. อคฺคนฺติอาทีนิ สพฺพานิ อญฺญมญฺญเววจนานิฯ ยํ สุทนฺติ เอตฺถ ยนฺติ ยํ นาฎปุตฺตํฯ สุทนฺติ นิปาตมตฺตํฯ ปริคฺคเหตฺวาติ เตเนว อุตฺตราสเงฺคน อุทเร ปริกฺขิปโนฺต คเหตฺวาฯ นิสีทาเปตีติ สณิกํ อาจริย, สณิกํ อาจริยาติ มหนฺตํ เตลฆฎํ ฐเปโนฺต วิย นิสีทาเปติฯ ทโตฺตสีติ กิํ ชโฬสิ ชาโตติ อโตฺถฯ ปฎิมุโกฺกติ สีเส ปริกฺขิปิตฺวา คหิโตฯ อณฺฑหารโกติอาทิํ ทุฎฺฐุลฺลวจนมฺปิ สมานํ อุปฎฺฐากสฺส อญฺญถาภาเวน อุปฺปนฺนพลวโสกตาย อิทํ นาม ภณามีติ อสลฺลเกฺขตฺวาว ภณติฯ
73.Aggantiādīni sabbāni aññamaññavevacanāni. Yaṃ sudanti ettha yanti yaṃ nāṭaputtaṃ. Sudanti nipātamattaṃ. Pariggahetvāti teneva uttarāsaṅgena udare parikkhipanto gahetvā. Nisīdāpetīti saṇikaṃ ācariya, saṇikaṃ ācariyāti mahantaṃ telaghaṭaṃ ṭhapento viya nisīdāpeti. Dattosīti kiṃ jaḷosi jātoti attho. Paṭimukkoti sīse parikkhipitvā gahito. Aṇḍahārakotiādiṃ duṭṭhullavacanampi samānaṃ upaṭṭhākassa aññathābhāvena uppannabalavasokatāya idaṃ nāma bhaṇāmīti asallakkhetvāva bhaṇati.
๗๔. ภทฺทิกา, ภเนฺต, อาวฎฺฎนีติ นิคโณฺฐ มายเมว สนฺธาย วทติ, อุปาสโก อตฺตนา ปฎิวิทฺธํ โสตาปตฺติมคฺคํฯ เตน หีติ นิปาตมตฺตเมตํ, ภเนฺต, อุปมํ เต กริสฺสามิเจฺจว อโตฺถฯ การณวจนํ วา, เยน การเณน ตุมฺหากํ สาสนํ อนิยฺยานิกํ, มม สตฺถุ นิยฺยานิกํ, เตน การเณน อุปมํ เต กริสฺสามีติ วุตฺตํ โหติฯ
74.Bhaddikā, bhante, āvaṭṭanīti nigaṇṭho māyameva sandhāya vadati, upāsako attanā paṭividdhaṃ sotāpattimaggaṃ. Tena hīti nipātamattametaṃ, bhante, upamaṃ te karissāmicceva attho. Kāraṇavacanaṃ vā, yena kāraṇena tumhākaṃ sāsanaṃ aniyyānikaṃ, mama satthu niyyānikaṃ, tena kāraṇena upamaṃ te karissāmīti vuttaṃ hoti.
๗๕. อุปวิชญฺญาติ วิชายนกาลํ อุปคตาฯ มกฺกฎจฺฉาปกนฺติ มกฺกฎโปตกํฯ กิณิตฺวา อาเนหีติ มูลํ ทตฺวาว อาหรฯ อาปเณสุ หิ สวิญฺญาณกมฺปิ อวิญฺญาณกมฺปิ มกฺกฎาทิกีฬนภณฺฑกํ วิกฺกิณนฺติฯ ตํ สนฺธาเยตํ อาหฯ รชิตนฺติ พหลพหลํ ปีตาวเลปนรงฺคชาตํ คเหตฺวา รชิตฺวา ทินฺนํ อิมํ อิจฺฉามีติ อโตฺถฯ อาโกฎิตปจฺจาโกฎิตนฺติ อาโกฎิตเญฺจว ปริวเตฺตตฺวา ปุนปฺปุนํ อาโกฎิตญฺจฯ อุภโตภาควิมฎฺฐนฺติ มณิปาสาเณน อุโภสุ ปเสฺสสุ สุฎฺฐุ วิมฎฺฐํ ฆเฎฺฎตฺวา อุปฺปาทิตจฺฉวิํฯ
75.Upavijaññāti vijāyanakālaṃ upagatā. Makkaṭacchāpakanti makkaṭapotakaṃ. Kiṇitvā ānehīti mūlaṃ datvāva āhara. Āpaṇesu hi saviññāṇakampi aviññāṇakampi makkaṭādikīḷanabhaṇḍakaṃ vikkiṇanti. Taṃ sandhāyetaṃ āha. Rajitanti bahalabahalaṃ pītāvalepanaraṅgajātaṃ gahetvā rajitvā dinnaṃ imaṃ icchāmīti attho. Ākoṭitapaccākoṭitanti ākoṭitañceva parivattetvā punappunaṃ ākoṭitañca. Ubhatobhāgavimaṭṭhanti maṇipāsāṇena ubhosu passesu suṭṭhu vimaṭṭhaṃ ghaṭṭetvā uppāditacchaviṃ.
รงฺคกฺขโม หิ โขติ สวิญฺญาณกมฺปิ อวิญฺญาณกมฺปิ รงฺคํ ปิวติฯ ตสฺมา เอวมาหฯ โน อาโกฎฺฎนกฺขโมติ สวิญฺญาณกสฺส ตาว อาโกฎฺฎนผลเก ฐเปตฺวา กุจฺฉิยํ อาโกฎิตสฺส กุจฺฉิ ภิชฺชติ, กรีสํ นิกฺขมติฯ เสสี อาโกฎิตสฺส สีสํ ภิชฺชติ, มตฺตลุงฺคํ นิกฺขมติฯ อวิญฺญาณโก ขณฺฑขณฺฑิตํ คจฺฉติฯ ตสฺมา เอวมาหฯ โน วิมชฺชนกฺขโมติ สวิญฺญาณโก มณิปาสาเณน วิมทฺทิยมาโน นิโลฺลมตํ นิจฺฉวิตญฺจ อาปชฺชติ, อวิญฺญาณโกปิ วจุณฺณกภาวํ อาปชฺชติฯ ตสฺมา เอวมาหฯ รงฺคกฺขโม หิ โข พาลานนฺติ พาลานํ มนฺทพุทฺธีนํ รงฺคกฺขโม, ราคมตฺตํ ชเนติ, ปิโย โหติฯ ปณฺฑิตานํ ปน นิคณฺฐวาโท วา อโญฺญ วา ภารตรามสีตาหรณาทิ นิรตฺถกกถามโคฺค อปฺปิโยว โหติฯ โน อนุโยคกฺขโม, โน วิมชฺชนกฺขโมติ อนุโยคํ วา วีมํสํ วา น ขมติ, ถุเส โกเฎฺฎตฺวา ตณฺฑุลปริเยสนํ วิย กทลิยํ สารคเวสนํ วิย จ ริตฺตโก ตุจฺฉโกว โหติฯ รงฺคกฺขโม เจว ปณฺฑิตานนฺติ จตุสจฺจกถา หิ ปณฺฑิตานํ ปิยา โหติ, วสฺสสตมฺปิ สุณโนฺต ติตฺติํ น คจฺฉติฯ ตสฺมา เอวมาหฯ พุทฺธวจนํ ปน ยถา ยถาปิ โอคาหิสฺสติ มหาสมุโทฺท วิย คมฺภีรเมว โหตีติ ‘‘อนุโยคกฺขโม จ วิมชฺชนกฺขโม จา’’ติ อาหฯ สุโณหิ ยสฺสาหํ สาวโกติ ตสฺส คุเณ สุณาหีติ ภควโต วเณฺณ วตฺตุํ อารโทฺธฯ
Raṅgakkhamo hi khoti saviññāṇakampi aviññāṇakampi raṅgaṃ pivati. Tasmā evamāha. No ākoṭṭanakkhamoti saviññāṇakassa tāva ākoṭṭanaphalake ṭhapetvā kucchiyaṃ ākoṭitassa kucchi bhijjati, karīsaṃ nikkhamati. Sesī ākoṭitassa sīsaṃ bhijjati, mattaluṅgaṃ nikkhamati. Aviññāṇako khaṇḍakhaṇḍitaṃ gacchati. Tasmā evamāha. No vimajjanakkhamoti saviññāṇako maṇipāsāṇena vimaddiyamāno nillomataṃ nicchavitañca āpajjati, aviññāṇakopi vacuṇṇakabhāvaṃ āpajjati. Tasmā evamāha. Raṅgakkhamo hi kho bālānanti bālānaṃ mandabuddhīnaṃ raṅgakkhamo, rāgamattaṃ janeti, piyo hoti. Paṇḍitānaṃ pana nigaṇṭhavādo vā añño vā bhāratarāmasītāharaṇādi niratthakakathāmaggo appiyova hoti. No anuyogakkhamo, no vimajjanakkhamoti anuyogaṃ vā vīmaṃsaṃ vā na khamati, thuse koṭṭetvā taṇḍulapariyesanaṃ viya kadaliyaṃ sāragavesanaṃ viya ca rittako tucchakova hoti. Raṅgakkhamo ceva paṇḍitānanti catusaccakathā hi paṇḍitānaṃ piyā hoti, vassasatampi suṇanto tittiṃ na gacchati. Tasmā evamāha. Buddhavacanaṃ pana yathā yathāpi ogāhissati mahāsamuddo viya gambhīrameva hotīti ‘‘anuyogakkhamo ca vimajjanakkhamo cā’’ti āha. Suṇohiyassāhaṃ sāvakoti tassa guṇe suṇāhīti bhagavato vaṇṇe vattuṃ āraddho.
๗๖. ธีรสฺสาติ ธีรํ วุจฺจติ ปณฺฑิจฺจํ, ยา ปญฺญา ปชานนา…เป.… สมฺมาทิฎฺฐิ, เตน สมนฺนาคตสฺส ธาตุอายตนปฎิจฺจสมุปฺปาทฎฺฐานาฎฺฐานกุสลสฺส ปณฺฑิตสฺสาหํ สาวโก, โส มยฺหํ สตฺถาติ เอวํ สพฺพปเทสุ สมฺพโนฺธ เวทิตโพฺพฯ ปภินฺนขีลสฺสาติ ภินฺนปญฺจเจโตขิลสฺสฯ สพฺพปุถุชฺชเน วิชินิํสุ วิชินนฺติ วิชินิสฺสนฺติ วาติ วิชยาฯ เก เต, มจฺจุมารกิเลสมารเทวปุตฺตมาราติ? เต วิชิตา วิชยา เอเตนาติ วิชิตวิชโยฯ ภควา, ตสฺส วิชิตวิชยสฺสฯ อนีฆสฺสาติ กิเลสทุเกฺขนปิ วิปากทุเกฺขนปิ นิทฺทุกฺขสฺสฯ สุสมจิตฺตสฺสาติ เทวทตฺตธนปาลกองฺคุลิมาลราหุลเถราทีสุปิ เทวมนุเสฺสสุ สุฎฺฐุ สมจิตฺตสฺสฯ วุทฺธสีลสฺสาติ วฑฺฒิตาจารสฺสฯ สาธุปญฺญสฺสาติ สุนฺทรปญฺญสฺสฯ เวสมนฺตรสฺสาติ ราคาทิวิสมํ ตริตฺวา วิตริตฺวา ฐิตสฺสฯ วิมลสฺสาติ วิคตราคาทิมลสฺสฯ
76.Dhīrassāti dhīraṃ vuccati paṇḍiccaṃ, yā paññā pajānanā…pe… sammādiṭṭhi, tena samannāgatassa dhātuāyatanapaṭiccasamuppādaṭṭhānāṭṭhānakusalassa paṇḍitassāhaṃ sāvako, so mayhaṃ satthāti evaṃ sabbapadesu sambandho veditabbo. Pabhinnakhīlassāti bhinnapañcacetokhilassa. Sabbaputhujjane vijiniṃsu vijinanti vijinissanti vāti vijayā. Ke te, maccumārakilesamāradevaputtamārāti? Te vijitā vijayā etenāti vijitavijayo. Bhagavā, tassa vijitavijayassa. Anīghassāti kilesadukkhenapi vipākadukkhenapi niddukkhassa. Susamacittassāti devadattadhanapālakaaṅgulimālarāhulatherādīsupi devamanussesu suṭṭhu samacittassa. Vuddhasīlassāti vaḍḍhitācārassa. Sādhupaññassāti sundarapaññassa. Vesamantarassāti rāgādivisamaṃ taritvā vitaritvā ṭhitassa. Vimalassāti vigatarāgādimalassa.
ตุสิตสฺสาติ ตุฎฺฐจิตฺตสฺสฯ วนฺตโลกามิสสฺสาติ วนฺตกามคุณสฺสฯ มุทิตสฺสาติ มุทิตาวิหารวเสน มุทิตสฺส, ปุนรุตฺตเมว วา เอตํฯ ปสาทวเสน หิ เอกมฺปิ คุณํ ปุนปฺปุนํ วทติเยวฯ กตสมณสฺสาติ กตสามญฺญสฺส, สมณธมฺมสฺส มตฺถกํ ปตฺตสฺสาติ อโตฺถฯ มนุชสฺสาติ โลกโวหารวเสน เอกสฺส สตฺตสฺสฯ นรสฺสาติ ปุนรุตฺตํฯ อญฺญถา วุจฺจมาเน เอเกกคาถาย ทส คุณา นปฺปโหนฺติฯ
Tusitassāti tuṭṭhacittassa. Vantalokāmisassāti vantakāmaguṇassa. Muditassāti muditāvihāravasena muditassa, punaruttameva vā etaṃ. Pasādavasena hi ekampi guṇaṃ punappunaṃ vadatiyeva. Katasamaṇassāti katasāmaññassa, samaṇadhammassa matthakaṃ pattassāti attho. Manujassāti lokavohāravasena ekassa sattassa. Narassāti punaruttaṃ. Aññathā vuccamāne ekekagāthāya dasa guṇā nappahonti.
เวนยิกสฺสาติ สตฺตานํ วินายกสฺสฯ รุจิรธมฺมสฺสาติ สุจิธมฺมสฺสฯ ปภาสกสฺสาติ โอภาสกสฺสฯ วีรสฺสาติ วีริยสมฺปนฺนสฺสฯ นิสภสฺสาติ อุสภวสภนิสเภสุ สพฺพตฺถ อปฺปฎิสมเฎฺฐน นิสภสฺสฯ คมฺภีรสฺสาติ คมฺภีรคุณสฺส, คุเณหิ วา คมฺภีรสฺสฯ โมนปตฺตสฺสาติ ญาณปตฺตสฺสฯ เวทสฺสาติ เวโท วุจฺจติ ญาณํ, เตน สมนฺนาคตสฺสฯ ธมฺมฎฺฐสฺสาติ ธเมฺม ฐิตสฺสฯ สํวุตตฺตสฺสาติ ปิหิตตฺตสฺสฯ
Venayikassāti sattānaṃ vināyakassa. Ruciradhammassāti sucidhammassa. Pabhāsakassāti obhāsakassa. Vīrassāti vīriyasampannassa. Nisabhassāti usabhavasabhanisabhesu sabbattha appaṭisamaṭṭhena nisabhassa. Gambhīrassāti gambhīraguṇassa, guṇehi vā gambhīrassa. Monapattassāti ñāṇapattassa. Vedassāti vedo vuccati ñāṇaṃ, tena samannāgatassa. Dhammaṭṭhassāti dhamme ṭhitassa. Saṃvutattassāti pihitattassa.
นาคสฺสาติ จตูหิ การเณหิ นาคสฺสฯ ปนฺตเสนสฺสาติ ปนฺตเสนาสนสฺสฯ ปฎิมนฺตกสฺสาติ ปฎิมนฺตนปญฺญาย สมนฺนาคตสฺสฯ โมนสฺสาติ โมนํ วุจฺจติ ญาณํ, เตน สมนฺนาคตสฺส, ธุตกิเลสสฺส วาฯ ทนฺตสฺสาติ นิพฺพิเสวนสฺสฯ
Nāgassāti catūhi kāraṇehi nāgassa. Pantasenassāti pantasenāsanassa. Paṭimantakassāti paṭimantanapaññāya samannāgatassa. Monassāti monaṃ vuccati ñāṇaṃ, tena samannāgatassa, dhutakilesassa vā. Dantassāti nibbisevanassa.
อิสิสตฺตมสฺสาติ วิปสฺสิอาทโย ฉ อิสโย อุปาทาย สตฺตมสฺสฯ พฺรหฺมปตฺตสฺสาติ เสฎฺฐปตฺตสฺสฯ นฺหาตกสฺสาติ นฺหาตกิเลสสฺสฯ ปทกสฺสาติ อกฺขราทีนิ สโมธาเนตฺวา คาถาปทกรณกุสลสฺสฯ วิทิตเวทสฺสาติ วิทิตญาณสฺสฯ ปุรินฺททสฺสาติ สพฺพปฐมํ ธมฺมทานทายกสฺสฯ สกฺกสฺสาติ สมตฺถสฺสฯ ปตฺติปตฺตสฺสาติ เย ปตฺตพฺพา คุณา, เต ปตฺตสฺสฯ เวยฺยากรณสฺสาติ วิตฺถาเรตฺวา อตฺถทีปกสฺสฯ ภควตา หิ อพฺยากตํ นาม ตนฺติ ปทํ นตฺถิ สเพฺพสํเยว อโตฺถ กถิโตฯ
Isisattamassāti vipassiādayo cha isayo upādāya sattamassa. Brahmapattassāti seṭṭhapattassa. Nhātakassāti nhātakilesassa. Padakassāti akkharādīni samodhānetvā gāthāpadakaraṇakusalassa. Viditavedassāti viditañāṇassa. Purindadassāti sabbapaṭhamaṃ dhammadānadāyakassa. Sakkassāti samatthassa. Pattipattassāti ye pattabbā guṇā, te pattassa. Veyyākaraṇassāti vitthāretvā atthadīpakassa. Bhagavatā hi abyākataṃ nāma tanti padaṃ natthi sabbesaṃyeva attho kathito.
วิปสฺสิสฺสาติ วิปสฺสนกสฺสฯ อนภินตสฺสาติ อนตสฺสฯ โน อปนตสฺสาติ อทุฎฺฐสฺสฯ
Vipassissāti vipassanakassa. Anabhinatassāti anatassa. No apanatassāti aduṭṭhassa.
อนนุคตนฺตรสฺสาติ กิเลเส อนนุคตจิตฺตสฺสฯ อสิตสฺสาติ อพทฺธสฺสฯ
Ananugatantarassāti kilese ananugatacittassa. Asitassāti abaddhassa.
ภูริปญฺญสฺสาติ ภูริ วุจฺจติ ปถวี, ตาย ปถวีสมาย ปญฺญาย วิปุลาย มหนฺตาย วิตฺถตาย สมนฺนาคตสฺสาติ อโตฺถฯ มหาปญฺญสฺสาติ มหาปญฺญาย สมนฺนาคตสฺสฯ
Bhūripaññassāti bhūri vuccati pathavī, tāya pathavīsamāya paññāya vipulāya mahantāya vitthatāya samannāgatassāti attho. Mahāpaññassāti mahāpaññāya samannāgatassa.
อนุปลิตฺตสฺสาติ ตณฺหาทิฎฺฐิกิเลเสหิ อลิตฺตสฺสฯ อาหุเนยฺยสฺสาติ อาหุติํ ปฎิคฺคเหตุํ ยุตฺตสฺสฯ ยกฺขสฺสาติ อานุภาวทสฺสนเฎฺฐน อาทิสฺสมานกเฎฺฐน วา ภควา ยโกฺข นามฯ เตนาห ‘‘ยกฺขสฺสา’’ติฯ มหโตติ มหนฺตสฺสฯ ตสฺส สาวโกหมสฺมีติ ตสฺส เอวํวิวิธคุณสฺส สตฺถุสฺส อหํ สาวโกติฯ อุปาสกสฺส โสภาปตฺติมเคฺคเนว ปฎิสมฺภิทา อาคตาฯ อิติ ปฎิสมฺภิทาวิสเย ฐตฺวา ปทสเตน ทสพลสฺส กิเลสปฺปหานวณฺณํ กเถโนฺต ‘‘กสฺส ตํ คหปติ สาวกํ ธาเรมา’’ติ ปญฺหสฺส อตฺถํ วิสฺสเชฺชสิฯ
Anupalittassāti taṇhādiṭṭhikilesehi alittassa. Āhuneyyassāti āhutiṃ paṭiggahetuṃ yuttassa. Yakkhassāti ānubhāvadassanaṭṭhena ādissamānakaṭṭhena vā bhagavā yakkho nāma. Tenāha ‘‘yakkhassā’’ti. Mahatoti mahantassa. Tassa sāvakohamasmīti tassa evaṃvividhaguṇassa satthussa ahaṃ sāvakoti. Upāsakassa sobhāpattimaggeneva paṭisambhidā āgatā. Iti paṭisambhidāvisaye ṭhatvā padasatena dasabalassa kilesappahānavaṇṇaṃ kathento ‘‘kassa taṃ gahapati sāvakaṃ dhāremā’’ti pañhassa atthaṃ vissajjesi.
๗๗. กทา สญฺญูฬฺหาติ กทา สมฺปิณฺฑิตาฯ เอวํ กิรสฺส อโหสิ – ‘‘อยํ อิทาเนว สมณสฺส โคตมสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา อาคโต, กทาเนน เอเต วณฺณา สมฺปิณฺฑิตา’’ติฯ ตสฺมา เอวมาหฯ วิจิตฺตํ มาลํ คเนฺถยฺยาติ สยมฺปิ ทกฺขตาย ปุปฺผานมฺปิ นานาวณฺณตาย เอกโตวณฺฎิกาทิเภทํ วิจิตฺรมาลํ คเนฺถยฺยฯ เอวเมว โข, ภเนฺตติ เอตฺถ นานาปุปฺผานํ มหาปุปฺผราสิ วิย นานาวิธานํ วณฺณานํ ภควโต สิเนรุมโตฺต วณฺณราสิ ทฎฺฐโพฺพฯ เฉกมาลากาโร วิย อุปาลิ คหปติฯ มาลาการสฺส วิจิตฺรมาลาคนฺถนํ วิย คหปติโน ตถาคตสฺส วิจิตฺรวณฺณคนฺถนํฯ
77.Kadāsaññūḷhāti kadā sampiṇḍitā. Evaṃ kirassa ahosi – ‘‘ayaṃ idāneva samaṇassa gotamassa santikaṃ gantvā āgato, kadānena ete vaṇṇā sampiṇḍitā’’ti. Tasmā evamāha. Vicittaṃ mālaṃ gantheyyāti sayampi dakkhatāya pupphānampi nānāvaṇṇatāya ekatovaṇṭikādibhedaṃ vicitramālaṃ gantheyya. Evameva kho, bhanteti ettha nānāpupphānaṃ mahāpuppharāsi viya nānāvidhānaṃ vaṇṇānaṃ bhagavato sinerumatto vaṇṇarāsi daṭṭhabbo. Chekamālākāro viya upāli gahapati. Mālākārassa vicitramālāganthanaṃ viya gahapatino tathāgatassa vicitravaṇṇaganthanaṃ.
อุณฺหํ โลหิตํ มุขโต อุคฺคญฺฉีติ ตสฺส หิ ภควโต สกฺการํ อสหมานสฺส เอตทโหสิ – ‘‘อนตฺถิโก ทานิ อยํ คหปติ อเมฺหหิ, เสฺว ปฎฺฐาย ปณฺณาส สฎฺฐิ ชเน คเหตฺวา เอตสฺส ฆรํ ปวิสิตฺวา ภุญฺชิตุํ น ลภิสฺสามิ, ภินฺนา เม ภตฺตกุมฺภี’’ติฯ อถสฺส อุปฎฺฐากวิปริณาเมน พลวโสโก อุปฺปชฺชิฯ อิเม หิ สตฺตา อตฺตโน อตฺตโนว จินฺตยนฺติฯ ตสฺส ตสฺมิํ โสเก อุปฺปเนฺน อพฺภนฺตรํ อุณฺหํ อโหสิ, โลหิตํ วิลียิตฺถ, ตํ มหาวาเตน สมุทฺธริตํ กุเฎ ปกฺขิตฺตรชนํ วิย ปตฺตมตฺตํ มุขโต อุคฺคญฺฉิฯ นิธานคตโลหิตํ วมิตฺวา ปน อปฺปกา สตฺตา ชีวิตุํ สโกฺกนฺติฯ นิคโณฺฐ ตเตฺถว ชาณุนา ปติโต, อถ นํ ปาฎงฺกิยา พหินครํ นีหริตฺวา มญฺจกสิวิกาย คเหตฺวา ปาวํ อคมํสุ, โส น จิรเสฺสว ปาวายํ กาลมกาสิฯ อิมสฺมิํ ปน สุเตฺต อุคฺฆาฎิตญฺญูปุคฺคลสฺส วเสน ธมฺมเทสนา ปรินิฎฺฐิตาติฯ
Uṇhaṃ lohitaṃ mukhato uggañchīti tassa hi bhagavato sakkāraṃ asahamānassa etadahosi – ‘‘anatthiko dāni ayaṃ gahapati amhehi, sve paṭṭhāya paṇṇāsa saṭṭhi jane gahetvā etassa gharaṃ pavisitvā bhuñjituṃ na labhissāmi, bhinnā me bhattakumbhī’’ti. Athassa upaṭṭhākavipariṇāmena balavasoko uppajji. Ime hi sattā attano attanova cintayanti. Tassa tasmiṃ soke uppanne abbhantaraṃ uṇhaṃ ahosi, lohitaṃ vilīyittha, taṃ mahāvātena samuddharitaṃ kuṭe pakkhittarajanaṃ viya pattamattaṃ mukhato uggañchi. Nidhānagatalohitaṃ vamitvā pana appakā sattā jīvituṃ sakkonti. Nigaṇṭho tattheva jāṇunā patito, atha naṃ pāṭaṅkiyā bahinagaraṃ nīharitvā mañcakasivikāya gahetvā pāvaṃ agamaṃsu, so na cirasseva pāvāyaṃ kālamakāsi. Imasmiṃ pana sutte ugghāṭitaññūpuggalassa vasena dhammadesanā pariniṭṭhitāti.
ปปญฺจสูทนิยา มชฺฌิมนิกายฎฺฐกถาย
Papañcasūdaniyā majjhimanikāyaṭṭhakathāya
อุปาลิสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Upālisuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๖. อุปาลิสุตฺตํ • 6. Upālisuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๖. อุปาลิสุตฺตวณฺณนา • 6. Upālisuttavaṇṇanā