Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ปญฺจปกรณ-มูลฎีกา • Pañcapakaraṇa-mūlaṭīkā |
๙. อุปนิสฺสยปจฺจยนิเทฺทสวณฺณนา
9. Upanissayapaccayaniddesavaṇṇanā
๙. เต ตโยปิ ราสโยติ อุปนิสฺสเย ตโย อเนกสงฺคาหกตาย ราสโยติ วทติฯ เอตสฺมิํ ปน อุปนิสฺสยนิเทฺทเส เย ปุริมา เยสํ ปจฺฉิมานํ อนนฺตรูปนิสฺสยา โหนฺติ, เต เตสํ สเพฺพสํ เอกเนฺตเนว โหนฺติ, น เกสญฺจิ กทาจิ, ตสฺมา เยสุ ปเทสุ อนนฺตรูปนิสฺสโย สงฺคหิโต, เตสุ ‘‘เกสญฺจี’’ติ น สกฺกา วตฺตุนฺติ น วุตฺตํฯ เย ปน ปุริมา เยสํ ปจฺฉิมานํ อารมฺมณปกตูปนิสฺสยา โหนฺติ, เต เตสํ น สเพฺพสํ เอกเนฺตน โหนฺติ, เยสํ อุปฺปตฺติปฎิพาหิกา ปจฺจยา พลวโนฺต โหนฺติ, เตสํ น โหนฺติ, อิตเรสํ โหนฺติฯ ตสฺมา เยสุ ปเทสุ อนนฺตรูปนิสฺสโย น ลพฺภติ, เตสุ ‘‘เกสญฺจี’’ติ วุตฺตํฯ สิทฺธานํ ปจฺจยธมฺมานํ เยหิ ปจฺจยุปฺปเนฺนหิ อกุสลาทีหิ ภวิตพฺพํ, เตสํ เกสญฺจีติ อยเญฺจตฺถ อโตฺถ, น ปน อวิเสเสน อกุสลาทีสุ เกสญฺจีติฯ
9. Te tayopi rāsayoti upanissaye tayo anekasaṅgāhakatāya rāsayoti vadati. Etasmiṃ pana upanissayaniddese ye purimā yesaṃ pacchimānaṃ anantarūpanissayā honti, te tesaṃ sabbesaṃ ekanteneva honti, na kesañci kadāci, tasmā yesu padesu anantarūpanissayo saṅgahito, tesu ‘‘kesañcī’’ti na sakkā vattunti na vuttaṃ. Ye pana purimā yesaṃ pacchimānaṃ ārammaṇapakatūpanissayā honti, te tesaṃ na sabbesaṃ ekantena honti, yesaṃ uppattipaṭibāhikā paccayā balavanto honti, tesaṃ na honti, itaresaṃ honti. Tasmā yesu padesu anantarūpanissayo na labbhati, tesu ‘‘kesañcī’’ti vuttaṃ. Siddhānaṃ paccayadhammānaṃ yehi paccayuppannehi akusalādīhi bhavitabbaṃ, tesaṃ kesañcīti ayañcettha attho, na pana avisesena akusalādīsu kesañcīti.
ปุริมา ปุริมา กุสลา…เป.… อพฺยากตานํ ธมฺมานนฺติ เยสํ อุปนิสฺสยปจฺจเยน ภวิตพฺพํ, เตสํ อพฺยากตานํ ปจฺฉิมานนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ น หิ รูปาพฺยากตํ อุปนิสฺสยํ ลภตีติฯ กถํ? อารมฺมณานนฺตรูปนิสฺสเย ตาว น ลภติ อนารมฺมณตฺตา ปุพฺพาปรนิยเมน อปฺปวตฺติโต จ, ปกตูปนิสฺสยญฺจ น ลภติ อเจตเนน รูปสนฺตาเนน ปกตสฺส อภาวโตฯ ยถา หิ อรูปสนฺตาเนน สทฺธาทโย นิปฺผาทิตา อุตุโภชนาทโย จ อุปเสวิตา, น เอวํ รูปสนฺตาเนนฯ ยสฺมิญฺจ อุตุพีชาทิเก กมฺมาทิเก จ สติ รูปํ ปวตฺตติ, น ตํ เตน ปกตํ โหติฯ สเจตนเสฺสว หิ อุปฺปาทนุปตฺถมฺภนุปโยคาทิวเสน เจตนํ ปกปฺปนํ ปกรณํ, รูปญฺจ อเจตนนฺติฯ ยถา จ นิรีหเกสุ ปจฺจยายเตฺตสุ ธเมฺมสุ เกสญฺจิ สารมฺมณสภาวตา โหติ, เกสญฺจิ น, เอวํ สปฺปกรณสภาวตา นิปฺปกรณสภาวตา จ ทฎฺฐพฺพาฯ อุตุพีชาทโย ปน องฺกุราทีนํ เตสุ อสเนฺตสุ อภาวโต เอว ปจฺจยา, น ปน อุปนิสฺสยาทิภาวโตติฯ ปุริมปุริมานํเยว ปเนตฺถ อุปนิสฺสยปจฺจยภาโว พาหุลฺลวเสน ปากฎวเสน จ วุโตฺตฯ ‘‘อนาคเต ขเนฺธ ปตฺถยมาโน ทานํ เทตี’’ติอาทิวจนโต (ปฎฺฐา. ๒.๑๘.๘) ปน อนาคตาปิ อุปนิสฺสยปจฺจยา โหนฺติ, เต ปุริเมหิ อารมฺมณปกตูปนิสฺสเยหิ ตํสมานลกฺขณตาย อิธ สงฺคยฺหนฺตีติ ทฎฺฐพฺพาฯ
Purimā purimā kusalā…pe… abyākatānaṃ dhammānanti yesaṃ upanissayapaccayena bhavitabbaṃ, tesaṃ abyākatānaṃ pacchimānanti daṭṭhabbaṃ. Na hi rūpābyākataṃ upanissayaṃ labhatīti. Kathaṃ? Ārammaṇānantarūpanissaye tāva na labhati anārammaṇattā pubbāparaniyamena appavattito ca, pakatūpanissayañca na labhati acetanena rūpasantānena pakatassa abhāvato. Yathā hi arūpasantānena saddhādayo nipphāditā utubhojanādayo ca upasevitā, na evaṃ rūpasantānena. Yasmiñca utubījādike kammādike ca sati rūpaṃ pavattati, na taṃ tena pakataṃ hoti. Sacetanasseva hi uppādanupatthambhanupayogādivasena cetanaṃ pakappanaṃ pakaraṇaṃ, rūpañca acetananti. Yathā ca nirīhakesu paccayāyattesu dhammesu kesañci sārammaṇasabhāvatā hoti, kesañci na, evaṃ sappakaraṇasabhāvatā nippakaraṇasabhāvatā ca daṭṭhabbā. Utubījādayo pana aṅkurādīnaṃ tesu asantesu abhāvato eva paccayā, na pana upanissayādibhāvatoti. Purimapurimānaṃyeva panettha upanissayapaccayabhāvo bāhullavasena pākaṭavasena ca vutto. ‘‘Anāgate khandhe patthayamāno dānaṃ detī’’tiādivacanato (paṭṭhā. 2.18.8) pana anāgatāpi upanissayapaccayā honti, te purimehi ārammaṇapakatūpanissayehi taṃsamānalakkhaṇatāya idha saṅgayhantīti daṭṭhabbā.
ปุคฺคโลปิ เสนาสนมฺปีติ ปุคฺคลเสนาสนคฺคหณวเสน อุปนิสฺสยภาวํ ภชเนฺต ธเมฺม ทเสฺสติ, ปิ-สเทฺทน จีวรารญฺญรุกฺขปพฺพตาทิคฺคหณวเสน อุปนิสฺสยภาวํ ภชเนฺต สเพฺพ สงฺคณฺหาติฯ ‘‘อพฺยากโต ธโมฺม อพฺยากตสฺส ธมฺมสฺส อุปนิสฺสยปจฺจเยน ปจฺจโย’’ติอาทีสุ หิ ‘‘เสนาสนํ กายิกสฺส สุขสฺสา’’ติอาทิวจเนน เสนาสนคฺคหเณน อุปนิสฺสยภาวํ ภชนฺตาว ธมฺมา อุปนิสฺสยปจฺจเยน ปจฺจโยติ อิมมตฺถํ ทเสฺสเนฺตน ปุคฺคลาทีสุปิ อยํ นโย ทสฺสิโต โหตีติฯ ปจฺจุปฺปนฺนาปิ อารมฺมณปกตูปนิสฺสยา ปจฺจุปฺปนฺนตาย เสนาสนสมานลกฺขณตฺตา เอเตฺถว สงฺคหิตาติ ทฎฺฐพฺพาฯ วกฺขติ หิ ‘‘ปจฺจุปฺปนฺนํ อุตุํ โภชนํ เสนาสนํ อุปนิสฺสาย ฌานํ อุปฺปาเทตี’’ติอาทินา เสนาสนสฺส ปจฺจุปฺปนฺนภาวํ วิย ปจฺจุปฺปนฺนานํ อุตุอาทีนํ ปกตูปนิสฺสยภาวํ, ‘‘ปจฺจุปฺปนฺนํ จกฺขุํ…เป.… วตฺถุํ ปจฺจุปฺปเนฺน ขเนฺธ ครุํ กตฺวา อสฺสาเทตี’’ติอาทินา (ปฎฺฐา. ๒.๑๘.๔) จกฺขาทีนํ อารมฺมณูปนิสฺสยภาวญฺจาติฯ ปจฺจุปฺปนฺนานมฺปิ จ ตาทิสานํ ปุเพฺพ ปกตตฺตา ปกตูปนิสฺสยตา ทฎฺฐพฺพาฯ
Puggalopi senāsanampīti puggalasenāsanaggahaṇavasena upanissayabhāvaṃ bhajante dhamme dasseti, pi-saddena cīvarāraññarukkhapabbatādiggahaṇavasena upanissayabhāvaṃ bhajante sabbe saṅgaṇhāti. ‘‘Abyākato dhammo abyākatassa dhammassa upanissayapaccayena paccayo’’tiādīsu hi ‘‘senāsanaṃ kāyikassa sukhassā’’tiādivacanena senāsanaggahaṇena upanissayabhāvaṃ bhajantāva dhammā upanissayapaccayena paccayoti imamatthaṃ dassentena puggalādīsupi ayaṃ nayo dassito hotīti. Paccuppannāpi ārammaṇapakatūpanissayā paccuppannatāya senāsanasamānalakkhaṇattā ettheva saṅgahitāti daṭṭhabbā. Vakkhati hi ‘‘paccuppannaṃ utuṃ bhojanaṃ senāsanaṃ upanissāya jhānaṃ uppādetī’’tiādinā senāsanassa paccuppannabhāvaṃ viya paccuppannānaṃ utuādīnaṃ pakatūpanissayabhāvaṃ, ‘‘paccuppannaṃ cakkhuṃ…pe… vatthuṃ paccuppanne khandhe garuṃ katvā assādetī’’tiādinā (paṭṭhā. 2.18.4) cakkhādīnaṃ ārammaṇūpanissayabhāvañcāti. Paccuppannānampi ca tādisānaṃ pubbe pakatattā pakatūpanissayatā daṭṭhabbā.
กสิณารมฺมณาทีนิ อารมฺมณเมว โหนฺติ, น อุปนิสฺสโยติ อิมินา อธิปฺปาเยน ‘‘เอกจฺจายา’’ติ อาหฯ
Kasiṇārammaṇādīni ārammaṇameva honti, na upanissayoti iminā adhippāyena ‘‘ekaccāyā’’ti āha.
อรูปาวจรกุสลมฺปิ ยสฺมิํ กสิณาทิมฺหิ ฌานํ อนุปฺปาทิตํ, ตสฺมิํ อนุปฺปนฺนฌานุปฺปาทเน สพฺพสฺส จ อุปฺปนฺนฌานสฺส สมาปชฺชเน อิทฺธิวิธาทีนํ อภิญฺญานญฺจ อุปนิสฺสโยติ อิมมตฺถํ สนฺธายาห ‘‘เตภูมกกุสโล จตุภูมกสฺสปิ กุสลสฺสา’’ติฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ ‘‘อรูปาวจรํ สทฺธํ อุปนิสฺสาย รูปาวจรํ ฌานํ วิปสฺสนํ มคฺคํ อภิญฺญํ สมาปตฺติํ อุปฺปาเทตี’’ติ (ปฎฺฐา. ๔.๑๓.๒๘๕)ฯ กามาวจรกุสลํ รูปาวจรารูปาวจรวิปากานมฺปิ ตทุปฺปาทกกุสลานํ อุปนิสฺสยภาววเสน , ปฎิสนฺธินิยามกสฺส จุติโต ปุริมชวนสฺส จ วเสน อุปนิสฺสโย, รูปาวจรกุสลํ อรูปาวจรวิปากสฺส, อรูปาวจรกุสลญฺจ รูปาวจรวิปากสฺส ตทุปฺปาทกกุสลูปนิสฺสยภาเวนาติ เอวํ ปเจฺจกํ เตภูมกกุสลานํ จตุภูมกวิปากสฺส เตภูมกกิริยสฺส จ ยถาโยคํ ปจฺจยภาโว เวทิตโพฺพฯ ปาฬิยมฺปิ หิ ปกตูปนิสฺสโย นยทสฺสนมเตฺตเนว ปญฺหาวาเรสุ วิสฺสชฺชิโตติฯ
Arūpāvacarakusalampi yasmiṃ kasiṇādimhi jhānaṃ anuppāditaṃ, tasmiṃ anuppannajhānuppādane sabbassa ca uppannajhānassa samāpajjane iddhividhādīnaṃ abhiññānañca upanissayoti imamatthaṃ sandhāyāha ‘‘tebhūmakakusalo catubhūmakassapi kusalassā’’ti. Vuttampi cetaṃ ‘‘arūpāvacaraṃ saddhaṃ upanissāya rūpāvacaraṃ jhānaṃ vipassanaṃ maggaṃ abhiññaṃ samāpattiṃ uppādetī’’ti (paṭṭhā. 4.13.285). Kāmāvacarakusalaṃ rūpāvacarārūpāvacaravipākānampi taduppādakakusalānaṃ upanissayabhāvavasena , paṭisandhiniyāmakassa cutito purimajavanassa ca vasena upanissayo, rūpāvacarakusalaṃ arūpāvacaravipākassa, arūpāvacarakusalañca rūpāvacaravipākassa taduppādakakusalūpanissayabhāvenāti evaṃ paccekaṃ tebhūmakakusalānaṃ catubhūmakavipākassa tebhūmakakiriyassa ca yathāyogaṃ paccayabhāvo veditabbo. Pāḷiyampi hi pakatūpanissayo nayadassanamatteneva pañhāvāresu vissajjitoti.
อิมินา ปน นเยนาติ โลกุตฺตรนิพฺพตฺตนํ อุปนิสฺสาย สิเนหุปฺปาทนเลเสนาติ อโตฺถฯ โลกุตฺตรา ปน ธมฺมา อกุสลานํ น เกนจิ ปจฺจเยน ปจฺจโย โหนฺตีติ น อิทํ สารโต ทฎฺฐพฺพนฺติ อธิปฺปาโยฯ กามาวจราทิติเหตุกภวงฺคํ กายิกสุขาทิ จ รูปาวจราทิกุสลานํ อุปนิสฺสโย, อรูปาวจรวิปาโก รูปาวจรกุสลสฺส ตํ ปเตฺถตฺวา ตนฺนิพฺพตฺตกกุสลุปฺปาทนตฺถํ อุปฺปาทิยมานสฺส, รูปาวจรกิริยสฺส จ ปุเพฺพ นิวุฎฺฐาทีสุ อรูปาวจรวิปากชานนตฺถํ ฌานาภิญฺญาโย อุปฺปาเทนฺตสฺส อรหโต, จตุภูมกวิปากานํ ปน ตทุปฺปาทกกุสลูปนิสฺสยภาววเสน โส โส วิปาโก อุปนิสฺสโยฯ เตนาห ‘‘ตถา เตภูมกวิปาโก’’ติฯ ยทิปิ อรหตฺตผลตฺตํ ฌานวิปสฺสนา อุปฺปาเทติ อนาคามี, น ปน เตน ตํ กทาจิ ทิฎฺฐปุพฺพํ ปุถุชฺชนาทีหิ โสตาปตฺติผลาทีนิ วิย, ตสฺมา ตานิ วิย เตสํ ฌานาทีนํ อิมสฺส จ อคฺคผลํ น ฌานาทีนํ อุปนิสฺสโยฯ อุปลทฺธปุพฺพสทิสเมว หิ อนาคตมฺปิ อุปนิสฺสโยติฯ เตนาห ‘‘อุปริฎฺฐิมํ กุสลสฺสปี’’ติฯ
Iminā pana nayenāti lokuttaranibbattanaṃ upanissāya sinehuppādanalesenāti attho. Lokuttarā pana dhammā akusalānaṃ na kenaci paccayena paccayo hontīti na idaṃ sārato daṭṭhabbanti adhippāyo. Kāmāvacarāditihetukabhavaṅgaṃ kāyikasukhādi ca rūpāvacarādikusalānaṃ upanissayo, arūpāvacaravipāko rūpāvacarakusalassa taṃ patthetvā tannibbattakakusaluppādanatthaṃ uppādiyamānassa, rūpāvacarakiriyassa ca pubbe nivuṭṭhādīsu arūpāvacaravipākajānanatthaṃ jhānābhiññāyo uppādentassa arahato, catubhūmakavipākānaṃ pana taduppādakakusalūpanissayabhāvavasena so so vipāko upanissayo. Tenāha ‘‘tathā tebhūmakavipāko’’ti. Yadipi arahattaphalattaṃ jhānavipassanā uppādeti anāgāmī, na pana tena taṃ kadāci diṭṭhapubbaṃ puthujjanādīhi sotāpattiphalādīni viya, tasmā tāni viya tesaṃ jhānādīnaṃ imassa ca aggaphalaṃ na jhānādīnaṃ upanissayo. Upaladdhapubbasadisameva hi anāgatampi upanissayoti. Tenāha ‘‘upariṭṭhimaṃ kusalassapī’’ti.
กิริยอตฺถปฎิสมฺภิทาทิมฺปิ ปเตฺถตฺวา ทานาทิกุสลํ กโรนฺตสฺส เตภูมกกิริยาปิ จตุภูมกสฺสปิ กุสลสฺส อุปนิสฺสยปจฺจเยน ปจฺจโยฯ โยนิโสมนสิกาเร วตฺตพฺพเมว นตฺถิ, ตํ อุปนิสฺสาย ราคาทิอุปฺปาทเน อกุสลสฺส, กุสลากุสลูปนิสฺสยภาวมุเขน จตุภูมกวิปากสฺสฯ เอวํ กิริยสฺสปิ โยเชตพฺพํฯ เตนาห ‘‘กิริยสงฺขาโตปิ ปกตูปนิสฺสโย จตุภูมกานํ กุสลาทิขนฺธานํ โหติเยวา’’ติฯ เนววิปากนวิปากธมฺมธเมฺมสุ ปน อุตุโภชนเสนาสนานเมว ติณฺณํ ราสีนํ ปกตูปนิสฺสยภาวทสฺสนํ นยทสฺสนเมวาติฯ อิมสฺมิํ ปฎฺฐานมหาปกรเณ อาคตนเยนาติ อิทํ ‘‘กุสลํ ธมฺมํ ปฎิจฺจ อพฺยากโต ธโมฺม อุปฺปชฺชติ น อุปนิสฺสยปจฺจยา, กุสเล ขเนฺธ ปฎิจฺจ จิตฺตสมุฎฺฐานํ รูป’’นฺติ (ปฎฺฐา. ๑.๑.๙๑) เอวมาทิกํ อุปนิสฺสยปฎิเกฺขปํ, อนุโลเม จ อนาคมนํ สนฺธาย วุตฺตํฯ สุตฺตนฺติกปริยาเยนาติ ‘‘วิญฺญาณูปนิสํ นามรูปํ, นามรูปนิสํ สฬายตน’’นฺติอาทิเกน (สํ. นิ. ๒.๒๓),
Kiriyaatthapaṭisambhidādimpi patthetvā dānādikusalaṃ karontassa tebhūmakakiriyāpi catubhūmakassapi kusalassa upanissayapaccayena paccayo. Yonisomanasikāre vattabbameva natthi, taṃ upanissāya rāgādiuppādane akusalassa, kusalākusalūpanissayabhāvamukhena catubhūmakavipākassa. Evaṃ kiriyassapi yojetabbaṃ. Tenāha ‘‘kiriyasaṅkhātopi pakatūpanissayo catubhūmakānaṃ kusalādikhandhānaṃ hotiyevā’’ti. Nevavipākanavipākadhammadhammesu pana utubhojanasenāsanānameva tiṇṇaṃ rāsīnaṃ pakatūpanissayabhāvadassanaṃ nayadassanamevāti. Imasmiṃ paṭṭhānamahāpakaraṇe āgatanayenāti idaṃ ‘‘kusalaṃ dhammaṃ paṭicca abyākato dhammo uppajjati na upanissayapaccayā, kusale khandhe paṭicca cittasamuṭṭhānaṃ rūpa’’nti (paṭṭhā. 1.1.91) evamādikaṃ upanissayapaṭikkhepaṃ, anulome ca anāgamanaṃ sandhāya vuttaṃ. Suttantikapariyāyenāti ‘‘viññāṇūpanisaṃ nāmarūpaṃ, nāmarūpanisaṃ saḷāyatana’’ntiādikena (saṃ. ni. 2.23),
‘‘ยถาปิ ปพฺพโต เสโล, อรญฺญสฺมิํ พฺรหาวเน;
‘‘Yathāpi pabbato selo, araññasmiṃ brahāvane;
ตํ รุกฺขา อุปนิสฺสาย, วฑฺฒเนฺต เต วนปฺปตี’’ติ (อ. นิ. ๓.๔๙)ฯ –
Taṃ rukkhā upanissāya, vaḍḍhante te vanappatī’’ti (a. ni. 3.49). –
อาทิเกน จฯ
Ādikena ca.
อุปนิสฺสยปจฺจยนิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Upanissayapaccayaniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / อภิธมฺมปิฎก • Abhidhammapiṭaka / ปฎฺฐานปาฬิ • Paṭṭhānapāḷi / (๒) ปจฺจยนิเทฺทโส • (2) Paccayaniddeso
ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / ปญฺจปกรณ-อนุฎีกา • Pañcapakaraṇa-anuṭīkā / ๙. อุปนิสฺสยปจฺจยนิเทฺทสวณฺณนา • 9. Upanissayapaccayaniddesavaṇṇanā