Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā

    อุปาสกตฺตปฎิเวทนากถาวณฺณนา

    Upāsakattapaṭivedanākathāvaṇṇanā

    ๑๕. กณฺณสุขโต หทยงฺคมโตติ วจนเมว สนฺธาย วุตฺตํฯ อนตฺตุกฺกํสนโตติอาทิ ปุคฺคลวเสน, กณฺณสุขโตติ โสตินฺทฺริยํ สนฺธายฯ อาปาถารมณียโตติ ญาณาปาถารมณียโตฯ สยเมว เหฎฺฐามุขชาตํ วา, มโคฺค ปน อโสโก โหติฯ ตทา หิ โสโก ปหียมาโนฯ จริยาทิอนุกูลโต อปฺปฎิกูลํ‘‘มธุรมิม’’นฺติ วุตฺตตฺตา ‘‘ธมฺมมิม’’นฺติ วจนํ อธิกํ วิย ทิสฺสติฯ ตสฺมา ‘‘ราควิราคมิม’’นฺติ เอวํ วิสุํ วิสุํ โยเชตฺวา ปุน ปิเณฺฑตฺวา ธมฺมมิมํ อุเปหีติ โยเชตพฺพํ, ‘‘ธมฺมเมว สรณตฺถมุเปหี’’ติ ปฐนฺติ กิราติ ทีเปติฯ สรณคตานํ เตเนว สรณคมเนน ภยํ สนฺตาสํ ทุคฺคติํ ปริกฺกิเลสํ ทุกฺขํ หิํสตีติ รตนตฺตยํ สรณํ นามฯ ตปฺปสาทตคฺครุตาทีหิ วิหตกิเลโส ตปฺปรายนตาการปฺปวโตฺต จิตฺตุปฺปาโท สรณคมนํฯ ตํสมงฺคีสโตฺต สรณํ คจฺฉติฯ ปเภเทน ปน ทุวิธํ สรณคมนํ โลกุตฺตรํ โลกิยนฺติฯ ตตฺถ โลกุตฺตรํ ทิฎฺฐสจฺจานํ มคฺคกฺขเณ สรณคมนุปกฺกิเลสสมุเจฺฉเทน นิพฺพานารมฺมณํ หุตฺวา กิจฺจโต สกเลปิ รตนตฺตเย อิชฺฌติฯ โลกิยํ ปุถุชฺชนานํ สรณคมนุปกฺกิเลสํ ตทงฺควิกฺขมฺภเนน อารมฺมณโต พุทฺธาทิคุณารมฺมณํ หุตฺวา อิชฺฌติฯ ตํ อตฺถโต รตนตฺตเย สทฺธาปฎิลาโภ สทฺธามูลิกา จ สมฺมาทิฎฺฐิฯ โลกุตฺตรสฺส จตฺตาริ สามญฺญผลานิ วิปากผลํ, สพฺพทุกฺขกฺขโย อานิสํสผลํฯ ‘‘โย จ พุทฺธญฺจ ธมฺมญฺจ…เป.… สพฺพทุกฺขา ปมุจฺจตี’’ติ (ธ. ป. ๑๙๐-๑๙๒) หิ วุตฺตํฯ โลกิยสฺส ภวโภคสมฺปทาฯ ‘‘เย เกจิ พุทฺธํ สรณํ คตาเส’’ติ (ที. นิ. ๒.๓๓๒; สํ. นิ. ๑.๓๗) หิ วุตฺตํฯ โลกิยสรณคมนํ ตีสุ วตฺถูสุ อญฺญาณสํสยมิจฺฉาญาณาทีหิ สํกิลิสฺสติ, น มหาชุติกํ โหติ, น มหาวิปฺผารํฯ โลกุตฺตรสฺส นตฺถิ สํกิเลโสฯ โลกิยสฺส สาวโชฺช อนวโชฺชติ ทุวิโธ เภโทฯ ตตฺถ อญฺญสตฺถาราทีสุ อตฺตสนฺนิยฺยาตนาทีหิ สาวโชฺช โหติ, โส อนิฎฺฐผโลฯ อนวโชฺช กาลกิริยาย, โส อวิปากตฺตา อผโลฯ โลกุตฺตรสฺส เนวตฺถิ เภโทฯ ภวนฺตเรปิ หิ อริยสาวโก อญฺญํ สตฺถารํ น อุทฺทิสติฯ โย โกจิ สรณคโต คหโฎฺฐ อุปาสโกฯ รตนตฺตยอุปาสนโต อุปาสโกฯ ปญฺจ เวรมณิโย สีลํฯ สตฺถสตฺตมํสมชฺชวิสวาณิชฺชารหิตํ ธเมฺมน ชีวิกํ อาชีโวฯ วุตฺตสีลาชีววิปตฺติ วิปตฺติ นามฯ วิปรีตา สมฺปตฺติ

    15.Kaṇṇasukhatohadayaṅgamatoti vacanameva sandhāya vuttaṃ. Anattukkaṃsanatotiādi puggalavasena, kaṇṇasukhatoti sotindriyaṃ sandhāya. Āpāthāramaṇīyatoti ñāṇāpāthāramaṇīyato. Sayameva heṭṭhāmukhajātaṃ vā, maggo pana asoko hoti. Tadā hi soko pahīyamāno. Cariyādianukūlato appaṭikūlaṃ. ‘‘Madhuramima’’nti vuttattā ‘‘dhammamima’’nti vacanaṃ adhikaṃ viya dissati. Tasmā ‘‘rāgavirāgamima’’nti evaṃ visuṃ visuṃ yojetvā puna piṇḍetvā dhammamimaṃ upehīti yojetabbaṃ, ‘‘dhammameva saraṇatthamupehī’’ti paṭhanti kirāti dīpeti. Saraṇagatānaṃ teneva saraṇagamanena bhayaṃ santāsaṃ duggatiṃ parikkilesaṃ dukkhaṃ hiṃsatīti ratanattayaṃ saraṇaṃ nāma. Tappasādataggarutādīhi vihatakileso tapparāyanatākārappavatto cittuppādo saraṇagamanaṃ. Taṃsamaṅgīsatto saraṇaṃ gacchati. Pabhedena pana duvidhaṃ saraṇagamanaṃ lokuttaraṃ lokiyanti. Tattha lokuttaraṃ diṭṭhasaccānaṃ maggakkhaṇe saraṇagamanupakkilesasamucchedena nibbānārammaṇaṃ hutvā kiccato sakalepi ratanattaye ijjhati. Lokiyaṃ puthujjanānaṃ saraṇagamanupakkilesaṃ tadaṅgavikkhambhanena ārammaṇato buddhādiguṇārammaṇaṃ hutvā ijjhati. Taṃ atthato ratanattaye saddhāpaṭilābho saddhāmūlikā ca sammādiṭṭhi. Lokuttarassa cattāri sāmaññaphalāni vipākaphalaṃ, sabbadukkhakkhayo ānisaṃsaphalaṃ. ‘‘Yo ca buddhañca dhammañca…pe… sabbadukkhā pamuccatī’’ti (dha. pa. 190-192) hi vuttaṃ. Lokiyassa bhavabhogasampadā. ‘‘Ye keci buddhaṃ saraṇaṃ gatāse’’ti (dī. ni. 2.332; saṃ. ni. 1.37) hi vuttaṃ. Lokiyasaraṇagamanaṃ tīsu vatthūsu aññāṇasaṃsayamicchāñāṇādīhi saṃkilissati, na mahājutikaṃ hoti, na mahāvipphāraṃ. Lokuttarassa natthi saṃkileso. Lokiyassa sāvajjo anavajjoti duvidho bhedo. Tattha aññasatthārādīsu attasanniyyātanādīhi sāvajjo hoti, so aniṭṭhaphalo. Anavajjo kālakiriyāya, so avipākattā aphalo. Lokuttarassa nevatthi bhedo. Bhavantarepi hi ariyasāvako aññaṃ satthāraṃ na uddisati. Yo koci saraṇagato gahaṭṭho upāsako. Ratanattayaupāsanato upāsako. Pañca veramaṇiyo sīlaṃ. Satthasattamaṃsamajjavisavāṇijjārahitaṃ dhammena jīvikaṃ ājīvo. Vuttasīlājīvavipatti vipatti nāma. Viparītā sampatti.

    ๑๖. ลจฺฉาม นุ โขติ ทุคฺคเต สนฺธาย วุตฺตํฯ สกฺขิสฺสาม นุโข โนติ สมิเทฺธ สนฺธายฯ ตตฺถ เวรญฺชายํฯ ปคฺคยฺหตีติ ปตฺตํ ปคฺคโห, เตน ปคฺคเหน ปเตฺตนาติ อโตฺถฯ สมาทาเยวาติ นิทสฺสนํฯ น จ วฎฺฎตีติ ปุน ปากํ กิญฺจาปิ วฎฺฎติ, ตถาปิ น สุฎฺฐุ ปกฺกตฺตา วุตฺตํ, ‘‘อุตฺตณฺฑุลภตฺตํ ลภิตฺวาปิ ปิเธตุํ น วฎฺฎตี’’ติ อฎฺฐกถาวจนเญฺจตฺถ สาธกํฯ ‘‘สาวกานํ วา สิกฺขาปทํ ปญฺญเปสฺสามี’’ติ อิมินา วจเนน อาชีวปาริสุทฺธิสีลํ สนฺธาย ‘‘ปจฺฉา สีล’’นฺติ วุตฺตํฯ อุปาลิเตฺถโรปิ ตํ ตํ วตฺถุํ ปฎิจฺจ ภควตา พหูนิ สิกฺขาปทานิ ปญฺญตฺตานิ อตฺถีติ ทีเปติฯ ยทิ เอวํ เวรญฺชายํ ‘‘เอตสฺส ภควา กาโล’’ติ วจนํ น สเมตีติ เจ? น, ตโต ปุเพฺพ สิกฺขาปทาภาวปฺปสงฺคโตฯ เถโร ปน ปญฺญตฺตานิ ฐเปตฺวา อิทานิ ปญฺญเปตพฺพานิ ปาติโมกฺขุเทฺทสปฺปโหนกานิ สนฺธายาหฯ ภควาปิ ‘‘น ตาว สาริปุตฺต สตฺถา สาวกานํ สิกฺขาปทํ ปญฺญเปตี’’ติ ภทฺทาลิสุเตฺต (ม. นิ. ๒.๑๓๔; อาทโย) วิย เอกเจฺจสุ ปญฺญเตฺตสุปิ ตโต ปรํ ปญฺญเปตพฺพานิ สนฺธายาหฯ อิเธว อฎฺฐกถายํ ‘‘สามมฺปิ ปจนํ สมณสารุปฺปํ น โหติ น จ วฎฺฎตี’’ติ วจนญฺจ, ตถา ‘‘รตฺติเจฺฉโท วา วสฺสเจฺฉโท วา’’ติอาทิวจนานิ จ อตฺถิฯ อญฺญถา ‘‘ทฺวีหากาเรหิ พุทฺธา ภควโนฺต ภิกฺขู ปฎิปุจฺฉนฺตี’’ติ อิเธเวทํ ปาฬิฐปนํ วิรุชฺฌตีติ อาจริเยน วิจาริตํ, ตํ สุนฺทรํ ปุเพฺพปิ ปญฺญตฺตสิกฺขาปทสมฺภวโตฯ กินฺตุ อิธ ปาฬิฐปนวิโรธวิจารณา ปน นิปฺปโยชนา วิย มม ทิสฺสติฯ กสฺมา? อุปาลิเตฺถเรน สงฺคีติกาเล วุตฺตปาฐตฺตาฯ รตฺติเจฺฉโทติ สตฺตาหกิจฺจํ สนฺธาย วุโตฺตฯ ‘‘สตฺตาหกรณีเยน คนฺตฺวา รตฺติเจฺฉโท วา วสฺสเจฺฉโท วา เอกภิกฺขุนาปิ น กโต’’ติ วุตฺตํ กิร มหาอฎฺฐกถายํ, ตสฺมา วสฺสเจฺฉทสฺส การเณ สติ สตฺตาหกิจฺจํ กาตุํ วฎฺฎตีติ เอเกฯ วินยธรา ปน นิจฺฉนฺติ, ตสฺมา อฎฺฐกถาธิปฺปาโย วีมํสิตโพฺพ, อิมาย เวรญฺชายํ อปฺปิจฺฉตาทิปฎิปทาย ปสนฺนาฯ สาลีนํ วิกติ สาลิวิกติ

    16.Lacchāma nu khoti duggate sandhāya vuttaṃ. Sakkhissāma nukho noti samiddhe sandhāya. Tattha verañjāyaṃ. Paggayhatīti pattaṃ paggaho, tena paggahena pattenāti attho. Samādāyevāti nidassanaṃ. Na ca vaṭṭatīti puna pākaṃ kiñcāpi vaṭṭati, tathāpi na suṭṭhu pakkattā vuttaṃ, ‘‘uttaṇḍulabhattaṃ labhitvāpi pidhetuṃ na vaṭṭatī’’ti aṭṭhakathāvacanañcettha sādhakaṃ. ‘‘Sāvakānaṃ vā sikkhāpadaṃ paññapessāmī’’ti iminā vacanena ājīvapārisuddhisīlaṃ sandhāya ‘‘pacchā sīla’’nti vuttaṃ. Upālittheropi taṃ taṃ vatthuṃ paṭicca bhagavatā bahūni sikkhāpadāni paññattāni atthīti dīpeti. Yadi evaṃ verañjāyaṃ ‘‘etassa bhagavā kālo’’ti vacanaṃ na sametīti ce? Na, tato pubbe sikkhāpadābhāvappasaṅgato. Thero pana paññattāni ṭhapetvā idāni paññapetabbāni pātimokkhuddesappahonakāni sandhāyāha. Bhagavāpi ‘‘na tāva sāriputta satthā sāvakānaṃ sikkhāpadaṃ paññapetī’’ti bhaddālisutte (ma. ni. 2.134; ādayo) viya ekaccesu paññattesupi tato paraṃ paññapetabbāni sandhāyāha. Idheva aṭṭhakathāyaṃ ‘‘sāmampi pacanaṃ samaṇasāruppaṃ na hoti na ca vaṭṭatī’’ti vacanañca, tathā ‘‘ratticchedo vā vassacchedo vā’’tiādivacanāni ca atthi. Aññathā ‘‘dvīhākārehi buddhā bhagavanto bhikkhū paṭipucchantī’’ti idhevedaṃ pāḷiṭhapanaṃ virujjhatīti ācariyena vicāritaṃ, taṃ sundaraṃ pubbepi paññattasikkhāpadasambhavato. Kintu idha pāḷiṭhapanavirodhavicāraṇā pana nippayojanā viya mama dissati. Kasmā? Upālittherena saṅgītikāle vuttapāṭhattā. Ratticchedoti sattāhakiccaṃ sandhāya vutto. ‘‘Sattāhakaraṇīyena gantvā ratticchedo vā vassacchedo vā ekabhikkhunāpi na kato’’ti vuttaṃ kira mahāaṭṭhakathāyaṃ, tasmā vassacchedassa kāraṇe sati sattāhakiccaṃ kātuṃ vaṭṭatīti eke. Vinayadharā pana nicchanti, tasmā aṭṭhakathādhippāyo vīmaṃsitabbo, imāya verañjāyaṃ appicchatādipaṭipadāya pasannā. Sālīnaṃ vikati sālivikati.

    ๑๗-๘. อุปปนฺนผโลติ พหุผโลฯ ‘‘ขุทฺทํ มธุ’’นฺติ ปาโฐฯ เถรํ สีหนาทํ นทาเปตุํ ปุจฺฉีติ อิมินา อาจริโย ยํ ปุเพฺพ อาณาย ฐิตานํ สาวกานํ มหานุภาวตาทสฺสนํ ‘‘เวรญฺชายํ นิวาสปฺปโยชน’’นฺติ อเมฺหหิ วุตฺตํ, ตํ สมฺปาเทติ, ราชคเห เวรญฺชายญฺจาติ อุภยตฺถ วิตกฺกุปฺปาเท เอกโต ปิเณฺฑตฺวา ทเสฺสโนฺต ‘‘อถ โข อายสฺมโต สาริปุตฺตสฺสา’’ติอาทิมาหฯ กาลํ สนฺธาย จิรํ, ฐิติํ สนฺธาย จิราติ วิคฺคโหฯ

    17-8.Upapannaphaloti bahuphalo. ‘‘Khuddaṃ madhu’’nti pāṭho. Theraṃ sīhanādaṃ nadāpetuṃ pucchīti iminā ācariyo yaṃ pubbe āṇāya ṭhitānaṃ sāvakānaṃ mahānubhāvatādassanaṃ ‘‘verañjāyaṃ nivāsappayojana’’nti amhehi vuttaṃ, taṃ sampādeti, rājagahe verañjāyañcāti ubhayattha vitakkuppāde ekato piṇḍetvā dassento ‘‘atha kho āyasmato sāriputtassā’’tiādimāha. Kālaṃ sandhāya ciraṃ, ṭhitiṃ sandhāya cirāti viggaho.

    กามํ หิโนติ อตฺตโน ผลนิพฺพตฺติยา สหายํ คจฺฉตีติ กตฺตริ เหตุ, ตถาปิ อิธ เตน กรณภูเตน ตสฺส ผลํ หิโนติ ปวตฺตตีติ เหตุฯ ตถา ฆฎนฺติ เตนาติ ฆโฎฯ กิลาสุโนติ ปโยชนาภาเวน อวาวฎาฯ อโพฺพกิณฺณานิ วิสภาเคหิฯ อาคามินิยา อนาคเตติ อโตฺถฯ อิเมสํเยว โนติ ทสฺสนตฺถํ ‘‘สพฺพพุทฺธานํ หี’’ติ วุตฺตํฯ ยาวสาสนปริยนฺตาติ ยาว พุทฺธา ธรนฺติ, ตาวาติ อโตฺถฯ ขตฺติยพฺราหฺมณาว อุจฺจา, ตตฺถาปิ วิเสสํ ทเสฺสตุํ ‘‘อุจฺจนีจอุฬารุฬารโภคา’’ติฯ ‘‘มนสิ กตฺวา’’ติปิ ปาโฐฯ อุปสมฺปาทฺยอุปสมฺปาทฺยอิเจฺจตํ ทฺวยํ มาคเธ ‘‘อุปสมฺปชฺชา’’ติ วุจฺจติฯ อนุปาทายาติ อารมฺมณกรณวเสน อคฺคเหตฺวาฯ อาสเวหีติ กตฺตริ ตติยาวิภตฺติฯ จิตฺตานีติ ปจฺจตฺตพหุวจนํฯ วิมุจฺจิํสูติ กมฺมการเกฯ วิโมจิตานีติ อธิปฺปาโยติ อาจริโยฯ อาสเวหีติ ปทญฺจ ปจฺจเตฺต กรณวจนํ กตฺวา คณฺฐิปเท อโตฺถ ปกาสิโตฯ ยทิ อริยมเคฺคน นิรุทฺธานํ อาสวานํ วเสน อนาสวตา, โลเก จิตฺตานิปิ อนาสวา สิยุํฯ น หิ นิรุทฺธานิ จิตฺตานิ อารมฺมณานิ กโรนฺตีติ ตานิ อนิรุทฺธาสววเสน สาสวานีติ เจฯ โสตาปนฺนสฺส มคฺคจิตฺตํ อุปริมคฺควชฺฌาสววเสน สาสวํ, อวสิฎฺฐาสวสมุจฺฉินฺทนานุภาวตฺตา ผลานิ สาสวานิ สิยุนฺติ? น, อาสวสมุจฺฉินฺทนานุภาวาคตผลตฺตาฯ ภิํสนสฺส กรณํ ภิํสนกตํ, ตสฺมิํ ภิํสนกตสฺมิํ, ภิํสนกิริยายาติ อโตฺถฯ อิตฺถิลิงฺคํ วิปลฺลาสํ กตฺวา นปุํสกลิงฺคํ, ปุริสลิงฺคํ วา กตฺวาฯ นิมิตฺตเตฺถติ เอตฺถ –

    Kāmaṃ hinoti attano phalanibbattiyā sahāyaṃ gacchatīti kattari hetu, tathāpi idha tena karaṇabhūtena tassa phalaṃ hinoti pavattatīti hetu. Tathā ghaṭanti tenāti ghaṭo. Kilāsunoti payojanābhāvena avāvaṭā. Abbokiṇṇāni visabhāgehi. Āgāminiyā anāgateti attho. Imesaṃyeva noti dassanatthaṃ ‘‘sabbabuddhānaṃ hī’’ti vuttaṃ. Yāvasāsanapariyantāti yāva buddhā dharanti, tāvāti attho. Khattiyabrāhmaṇāva uccā, tatthāpi visesaṃ dassetuṃ ‘‘uccanīcauḷāruḷārabhogā’’ti. ‘‘Manasi katvā’’tipi pāṭho. Upasampādyaupasampādyaiccetaṃ dvayaṃ māgadhe ‘‘upasampajjā’’ti vuccati. Anupādāyāti ārammaṇakaraṇavasena aggahetvā. Āsavehīti kattari tatiyāvibhatti. Cittānīti paccattabahuvacanaṃ. Vimucciṃsūti kammakārake. Vimocitānīti adhippāyoti ācariyo. Āsavehīti padañca paccatte karaṇavacanaṃ katvā gaṇṭhipade attho pakāsito. Yadi ariyamaggena niruddhānaṃ āsavānaṃ vasena anāsavatā, loke cittānipi anāsavā siyuṃ. Na hi niruddhāni cittāni ārammaṇāni karontīti tāni aniruddhāsavavasena sāsavānīti ce. Sotāpannassa maggacittaṃ uparimaggavajjhāsavavasena sāsavaṃ, avasiṭṭhāsavasamucchindanānubhāvattā phalāni sāsavāni siyunti? Na, āsavasamucchindanānubhāvāgataphalattā. Bhiṃsanassa karaṇaṃ bhiṃsanakataṃ, tasmiṃ bhiṃsanakatasmiṃ, bhiṃsanakiriyāyāti attho. Itthiliṅgaṃ vipallāsaṃ katvā napuṃsakaliṅgaṃ, purisaliṅgaṃ vā katvā. Nimittattheti ettha –

    ‘‘จมฺมนิ ทีปินํ หนฺติ, ทเนฺตสุ หนฺติ กุญฺชรํ;

    ‘‘Cammani dīpinaṃ hanti, dantesu hanti kuñjaraṃ;

    วาเลสุ จามริํ หนฺติ, สิเงฺคสุ สรโภ หโต’’ติฯ –

    Vālesu cāmariṃ hanti, siṅgesu sarabho hato’’ti. –

    อธิกรณํฯ

    Adhikaraṇaṃ.

    ๒๐-๒๑. นจิรฎฺฐิติกการเณ กถิเต จิรฎฺฐิติกการณํ อตฺถโต วุตฺตปฎิปกฺขวเสน กิญฺจาปิ สิทฺธํ, ตถาปิ ตํ เถรสฺส วินยปญฺญตฺติยาจนาย โอกาสการณาธิปฺปายโต วินยปญฺญตฺติยาจโนกาสํ ปาเปตุํ ปุน ภควนฺตํ ‘‘โก ปน, ภเนฺต, เหตู’’ติ ปุจฺฉิฯ ภควาปิ ยาจนํ สมฺปฎิจฺฉิตุกาโม พฺยากาสิฯ ‘‘อาสวฎฺฐานียา สเงฺฆ ปาตุภวนฺตี’’ติ ปุคฺคลสฺส สงฺฆปริยาปนฺนตฺตา วุตฺตํฯ อาทรตฺถวเสเนเวตฺถ ทฺวิกฺขตฺตุํ วุตฺตนฺติ ยสฺมา เถโร ปุเพฺพ ราชคเห, สมฺปติ เวรญฺชายนฺติ ทฺวิกฺขตฺตุํ กาจิ, ตสฺมา อาทเรน ปุนปฺปุนํ ยาจยมานํ ปสฺสิตฺวา สยมฺปิ ภควา อาทเรเนว ‘‘อาคเมหิ ตฺวํ สาริปุตฺตา’’ติ อาหฯ เตเนตํ ทีเปติ ‘‘มา ตฺวํ ปุนปฺปุนํ ยาจาหิ, สมฺปฎิจฺฉิตาว มยา เต ยาจนา, ปุเพฺพนนุ ตวยาจนํ สมฺปฎิจฺฉตาว มยา เอตฺตเก กาเล เอตฺตกานิ สิกฺขาปทานิ ปญฺญตฺตานิ, น ตาว เม สาวกานํ อาณาปาติโมกฺขุเทฺทสานุชานนกาโล สมฺปโตฺต, ตกฺกานุมานวเสน ตยา ‘เอตสฺส ภควา กาโล’ติ ปุนปฺปุนํ นิทฺทิสิยมาโนปิ เนส โส กาโล, กินฺตุ ตถาคโตว ตตฺถ กาลํ ชานิสฺสตี’’ติฯ ยสฺมา ปน ‘‘สิกฺขาปทปญฺญตฺติกาลโต ปภุติ อาณาปาติโมกฺขเมว อุทฺทิสิยตี’’ติ วุตฺตํ, ตสฺมา ปาติโมกฺขุเทฺทสปฺปโหนกสิกฺขาปทเมว สนฺธายาหฯ ‘‘ตตฺถาติ สิกฺขาปทปญฺญตฺติยาจนาเปกฺขํ ภุมฺมวจน’’นฺติ เอกเมว ปทํ วุตฺตํ ตสฺสา สิทฺธิยา อิตรสฺส สิทฺธิโตฯ ‘‘สาวกานํ วิสยภาวนฺติ อิมินา มหาปทุมเตฺถรวาโท ปฎิกฺขิโตฺต’’ติ อนุคณฺฐิปเท วุตฺตํ, ตํ สุนฺทรํ วิยฯ สมฺมุเข ครหาฯ ปรมฺมุเข อุปวาโทฯ ‘‘น, ภิกฺขเว, อูนทสวเสฺสน…เป.… ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (มหาว. ๗๕) อิทํ สิกฺขาปทํ ภควา พุทฺธเตฺตน ทสวสฺสิโก หุตฺวา ปญฺญเปสิ อูนทสวสฺสิกสฺส ตสฺส ตถา สิกฺขาปทปญฺญตฺติยา อภาวโตฯ น ตทา อติเรกทสวสฺสิโกว ทสวสฺสิกานํ รตฺตญฺญุมหตฺตปฺปตฺติโต, ตสฺมา ตํ สิกฺขาปทํ เวรญฺชายํ วสฺสาวาสโต ปุเพฺพ ราชคเห เอว ปญฺญตฺตนฺติ สิทฺธํ, ตสฺมิํ สิเทฺธ สิทฺธเมว ‘‘ยาว น สโงฺฆ รตฺตญฺญุมหตฺตํ ปโตฺตติ วจนํ อิโต ปุเพฺพ ปฐมยาจนายปิ วุตฺต’’นฺติฯ อฎฺฐกถายมฺปิ รตฺตญฺญุมหตฺตปฺปตฺตกาเล ‘‘เทฺว สิกฺขาปทานี’’ติ คณนปริเจฺฉทวจนํ ปฐมยาจนาย วุตฺตวจนํ สนฺธาย วุตฺตํฯ อญฺญถา รตฺตญฺญุมหตฺตปฺปตฺตกาเล เทฺว เอว, น อญฺญนฺติ อาปชฺชติฯ

    20-21. Naciraṭṭhitikakāraṇe kathite ciraṭṭhitikakāraṇaṃ atthato vuttapaṭipakkhavasena kiñcāpi siddhaṃ, tathāpi taṃ therassa vinayapaññattiyācanāya okāsakāraṇādhippāyato vinayapaññattiyācanokāsaṃ pāpetuṃ puna bhagavantaṃ ‘‘ko pana, bhante, hetū’’ti pucchi. Bhagavāpi yācanaṃ sampaṭicchitukāmo byākāsi. ‘‘Āsavaṭṭhānīyā saṅghe pātubhavantī’’ti puggalassa saṅghapariyāpannattā vuttaṃ. Ādaratthavasenevettha dvikkhattuṃ vuttanti yasmā thero pubbe rājagahe, sampati verañjāyanti dvikkhattuṃ kāci, tasmā ādarena punappunaṃ yācayamānaṃ passitvā sayampi bhagavā ādareneva ‘‘āgamehi tvaṃ sāriputtā’’ti āha. Tenetaṃ dīpeti ‘‘mā tvaṃ punappunaṃ yācāhi, sampaṭicchitāva mayā te yācanā, pubbenanu tavayācanaṃ sampaṭicchatāva mayā ettake kāle ettakāni sikkhāpadāni paññattāni, na tāva me sāvakānaṃ āṇāpātimokkhuddesānujānanakālo sampatto, takkānumānavasena tayā ‘etassa bhagavā kālo’ti punappunaṃ niddisiyamānopi nesa so kālo, kintu tathāgatova tattha kālaṃ jānissatī’’ti. Yasmā pana ‘‘sikkhāpadapaññattikālato pabhuti āṇāpātimokkhameva uddisiyatī’’ti vuttaṃ, tasmā pātimokkhuddesappahonakasikkhāpadameva sandhāyāha. ‘‘Tatthāti sikkhāpadapaññattiyācanāpekkhaṃ bhummavacana’’nti ekameva padaṃ vuttaṃ tassā siddhiyā itarassa siddhito. ‘‘Sāvakānaṃ visayabhāvanti iminā mahāpadumattheravādo paṭikkhitto’’ti anugaṇṭhipade vuttaṃ, taṃ sundaraṃ viya. Sammukhe garahā. Parammukhe upavādo. ‘‘Na, bhikkhave, ūnadasavassena…pe… dukkaṭassā’’ti (mahāva. 75) idaṃ sikkhāpadaṃ bhagavā buddhattena dasavassiko hutvā paññapesi ūnadasavassikassa tassa tathā sikkhāpadapaññattiyā abhāvato. Na tadā atirekadasavassikova dasavassikānaṃ rattaññumahattappattito, tasmā taṃ sikkhāpadaṃ verañjāyaṃ vassāvāsato pubbe rājagahe eva paññattanti siddhaṃ, tasmiṃ siddhe siddhameva ‘‘yāva na saṅgho rattaññumahattaṃ pattoti vacanaṃ ito pubbe paṭhamayācanāyapi vutta’’nti. Aṭṭhakathāyampi rattaññumahattappattakāle ‘‘dve sikkhāpadānī’’ti gaṇanaparicchedavacanaṃ paṭhamayācanāya vuttavacanaṃ sandhāya vuttaṃ. Aññathā rattaññumahattappattakāle dve eva, na aññanti āpajjati.

    ‘‘อถ โข อายสฺมโต สาริปุตฺตสฺสา’’ติอาทิมฺหิ อยมาทิโต ปฎฺฐาย อตฺถวิภาวนา – อยํ กิรายสฺมา อสฺสชิเตฺถรโต ปฎิลทฺธํ เอกคาถามตฺตกํ ธมฺมปริยายํ นยสตสหเสฺสหิ วิเวเจโนฺต อรหตฺตํ ปตฺวา สาวกปารมีญาเณ ฐิโต ‘‘อโห วต มหานุภาโวยํ สทฺธโมฺม, โย วินาปิ ธมฺมสามินา ปรมฺมุขโต สุตมเตฺตปิ มยฺหํ มหนฺตํ คุณวิเสสํ ชเนสิ, สาธุ วตายํ สทฺธโมฺม จิรํ ติเฎฺฐยฺยา’’ติ จิเนฺตโนฺต ‘‘กตเมสานํ นุ โข พุทฺธานํ ภควนฺตานํ…เป.… น จิรฎฺฐิติก’’นฺติ ตมตฺถํ, การณญฺจ อตฺตโน อคฺคสาวกญาเณน ปฎิวิชฺฌิตฺวา ‘‘สาวกานํ สิกฺขาปทํ ปญฺญตฺตนฺติอาทิจิรฎฺฐิติการณ’’นฺติ นิฎฺฐํ กตฺวา วินยปญฺญตฺติยาจโนกาสกรณตฺถํ ภควนฺตํ ปุจฺฉิฯ ตโต ปญฺหสฺส วิสฺสชฺชเน วินยปญฺญตฺติยาจโนกาเส สมฺปเตฺต ‘‘เอตสฺส ภควา กาโล, เอตสฺส สุคต กาโล’’ติ วินยปญฺญตฺติํ ยาจิฯ ตโต ภควา ตสฺสา ยาจนาย สมฺปฎิจฺฉิตภาวํ, ‘‘เอตสฺส ภควา กาโล’’ติ วุตฺตกาลสฺส อกาลตํ, กาลสฺส จ อนญฺญวิสยตํ ทีเปโนฺต ‘‘อาคเมหิ ตฺว’’นฺติอาทิมาห, ตโต ภควา ตสฺส ยาจนํ, สเตฺตสุ การุญฺญตญฺจ ปฎิจฺจ ‘‘เตน โข ปน สมเยน ภิกฺขู อนุปชฺฌายกา อนาจริยกา อโนวทิยมานา’’ติอาทินา (มหาว. ๖๔) นเยน เวปุลฺลมหตฺตตํ ปฎิจฺจ สตฺถา สาวกานํ อุปชฺฌายวตฺตาทีนิ วินยกมฺมานิ, ตทนุรูปสิกฺขาปทานิ จ ปญฺญเปสิฯ ตโต อนุกฺกเมน ทฺวาทสมวสฺสํ เวรญฺชายํ วสิฯ ตทา จ อายสฺมา สาริปุโตฺต สตฺถารา นิทฺทิเฎฺฐสุ จิรฎฺฐิติเหตูสุ ชาเตสุ ‘‘นวงฺคสตฺถุสาสนมหตฺตตา จ สมฺปติ ชาตา, วินยปญฺญตฺติ จ พหุตรา ชาตา, ปาติโมกฺขุเทฺทโส เอเวโก น ตาว สาวกานํ อนุญฺญาโต, โส จ ปริสุเทฺธน สเงฺฆน กรียติฯ สโงฺฆปิ เอตรหิ ปริสุโทฺธ ปจฺฉิมกสฺส โสตาปนฺนตฺตา’’ติ จิเนฺตตฺวา ปาติโมกฺขุเทฺทสํ อนุชานาเปตุกาโม ยตฺตเกหิ จ สิกฺขาปเทหิ ปาติโมกฺขุเทฺทโส อนุชานียติ, ตตฺตกานํ ปญฺญตฺติยาจนปุพฺพงฺคมํ ปาติโมกฺขุเทฺทสํ ยาจโนฺต ปุพฺพุปฺปนฺนวิตกฺกสูจนปุจฺฉาวิสฺสชฺชนกฺกมวเสน ยาจโนกาเส สมฺปเตฺต ‘‘เอตสฺส ภควา กาโล’’ติอาทิมาหฯ

    ‘‘Atha kho āyasmato sāriputtassā’’tiādimhi ayamādito paṭṭhāya atthavibhāvanā – ayaṃ kirāyasmā assajittherato paṭiladdhaṃ ekagāthāmattakaṃ dhammapariyāyaṃ nayasatasahassehi vivecento arahattaṃ patvā sāvakapāramīñāṇe ṭhito ‘‘aho vata mahānubhāvoyaṃ saddhammo, yo vināpi dhammasāminā parammukhato sutamattepi mayhaṃ mahantaṃ guṇavisesaṃ janesi, sādhu vatāyaṃ saddhammo ciraṃ tiṭṭheyyā’’ti cintento ‘‘katamesānaṃ nu kho buddhānaṃ bhagavantānaṃ…pe… na ciraṭṭhitika’’nti tamatthaṃ, kāraṇañca attano aggasāvakañāṇena paṭivijjhitvā ‘‘sāvakānaṃ sikkhāpadaṃ paññattantiādiciraṭṭhitikāraṇa’’nti niṭṭhaṃ katvā vinayapaññattiyācanokāsakaraṇatthaṃ bhagavantaṃ pucchi. Tato pañhassa vissajjane vinayapaññattiyācanokāse sampatte ‘‘etassa bhagavā kālo, etassa sugata kālo’’ti vinayapaññattiṃ yāci. Tato bhagavā tassā yācanāya sampaṭicchitabhāvaṃ, ‘‘etassa bhagavā kālo’’ti vuttakālassa akālataṃ, kālassa ca anaññavisayataṃ dīpento ‘‘āgamehi tva’’ntiādimāha, tato bhagavā tassa yācanaṃ, sattesu kāruññatañca paṭicca ‘‘tena kho pana samayena bhikkhū anupajjhāyakā anācariyakā anovadiyamānā’’tiādinā (mahāva. 64) nayena vepullamahattataṃ paṭicca satthā sāvakānaṃ upajjhāyavattādīni vinayakammāni, tadanurūpasikkhāpadāni ca paññapesi. Tato anukkamena dvādasamavassaṃ verañjāyaṃ vasi. Tadā ca āyasmā sāriputto satthārā niddiṭṭhesu ciraṭṭhitihetūsu jātesu ‘‘navaṅgasatthusāsanamahattatā ca sampati jātā, vinayapaññatti ca bahutarā jātā, pātimokkhuddeso eveko na tāva sāvakānaṃ anuññāto, so ca parisuddhena saṅghena karīyati. Saṅghopi etarahi parisuddho pacchimakassa sotāpannattā’’ti cintetvā pātimokkhuddesaṃ anujānāpetukāmo yattakehi ca sikkhāpadehi pātimokkhuddeso anujānīyati, tattakānaṃ paññattiyācanapubbaṅgamaṃ pātimokkhuddesaṃ yācanto pubbuppannavitakkasūcanapucchāvissajjanakkamavasena yācanokāse sampatte ‘‘etassa bhagavā kālo’’tiādimāha.

    ตตฺถ ‘‘ยํ ภควา สาวกานํ สิกฺขาปทํ ปญฺญเปยฺยา’’ติ ปาติโมกฺขุเทฺทสปฺปโหนกสิกฺขาปทํ สนฺธายาห, อยมโตฺถ ภทฺทาลิสุเตฺตน (ม. นิ. ๒.๑๓๔ อาทโย) ทีเปตโพฺพ ฯ ตตฺถ หิ พหูสุ สิกฺขาปเทสุ ปญฺญเตฺตสุ, ปญฺญปิยมาเนสุ จ ‘‘น ตาว ภทฺทาลิ สตฺถา สาวกานํ สิกฺขาปทํ ปญฺญเปตี’’ติอาทิ (ม. นิ. ๒.๑๔๕) วุตฺตํ อปญฺญตฺตํ อุปาทาย, ตถา อิธาปิ อปญฺญตฺตํ สนฺธาย วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ ปริสุทฺธตฺตา สงฺฆสฺส สมฺปติ สาวกานํ อาณาปาติโมกฺขุเทฺทสํ นานุชานามีติ ทเสฺสโนฺต ‘‘นิรพฺพุโท’’ติอาทิมาหฯ น หิ ปริสุเทฺธ สเงฺฆ โอวาทปาติโมกฺขุเทฺทสสฺส อนุเทฺทสการณํ อตฺถิ, ตสฺมิํ สติ อาณาปาติโมกฺขุเทฺทสานุชานนาธิปฺปายโตฯ ตถา จ โส ตโต อฎฺฐนฺนํวสฺสานํ อจฺจเยน อนุญฺญาโตฯ ยถาห ปาติโมกฺขฐปนกฺขนฺธเก (จูฬว. ๓๘๖) ‘‘น ทานาหํ, ภิกฺขเว, อิโต ปรํ อุโปสถํ กริสฺสามิ…เป.… ปาติโมกฺขํ อุทฺทิเสยฺยาถา’’ติฯ ยํ ปน อุปสมฺปทกฺขนฺธเก (มหาว. ๑๒๙) ‘‘เตน โข ปน สมเยน ภิกฺขู อญฺญตรํ ภิกฺขุํ อุปสมฺปาเทตฺวา เอกกํ โอหาย ปกฺกมิํสุ…เป.… โส ตสฺสา เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสวิตฺวา จิเรน อคมาสี’’ติ วตฺถุ อาคตํ, ตํ สุทินฺนวตฺถุโต ปรโต อุปฺปนฺนมฺปิ ตตฺถ ยถาธิการํ สโมธาเนตุํ วุตฺตํฯ ตถา ตเตฺถว ‘‘อุภยานิ โข ปนสฺส ปาติโมกฺขานิ วิตฺถาเรน สฺวาคตานิ โหนฺตี’’ติอาทินา (ปาจิ. ๑๔๗; อ. นิ. ๘.๕๒; ๑๐.๓๓) องฺคานิปิ เวทิตพฺพานิฯ น หิ อาทิโต เอว อุภโตปาติโมกฺขานิ สิทฺธานีติฯ อปิจ อาทิโต ปฎฺฐาย อยมนุกฺกโม เวทิตโพฺพ, เสยฺยถิทํ – ราหุลกุมาเร อุปฺปเนฺน โพธิสโตฺต นิกฺขมิตฺวา ฉพฺพสฺสานิ ทุกฺกรํ กตฺวา สตฺตเม อภิสมฺพุโทฺธ, ตสฺมิํ เอว สํวจฺฉเร กปิลวตฺถุํ คนฺตฺวา ราหุลกุมารํ ปพฺพาเชสิฯ อมฺพลฎฺฐิกราหุโลวาทสุตฺตฎฺฐกถายํ (ม. นิ. อฎฺฐ. ๒.๑๐๗ อาทโย) ‘‘อยญฺหิ อายสฺมา สตฺตวสฺสิกกาเล ภควนฺตํ จีวรกเณฺณ คเหตฺวา ‘ทายชฺชํ เม สมณ เทหิ, ทายชฺชํ เม สมณ เทหี’ติ ทายชฺชํ ยาจมาโน ภควตา ธมฺมเสนาปติสาริปุตฺตเตฺถรสฺส นิยฺยาเทตฺวา ปพฺพาชิโต’’ติ จ วุตฺตํ, ตสฺมา ราหุลกุมารํ อารพฺภ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ตีหิ สรณคมเนหิ สามเณรปพฺพชฺช’’นฺติ (มหาว. ๑๐๕) วุตฺตตฺตา สรณคมนูปสมฺปทา ปฐมวสฺสพฺภนฺตเร เอว ปฎิกฺขิตฺตา, ญตฺติจตุตฺถกมฺมวเสน อุปสมฺปทา อนุญฺญาตาติ ปญฺญายติฯ อปิจ ราหุลวตฺถุมฺหิ ‘‘น, ภิกฺขเว, อนนุญฺญาโต มาตาปิตูหิ ปุโตฺต ปพฺพาเชตโพฺพ, โย ปพฺพาเชยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (มหาว. ๑๐๕) สิกฺขาปทํ ปญฺญตฺตํ, ตสฺมา อิโต ปุเพฺพปิ สิกฺขาปทานิ ปญฺญตฺตานีติ สิทฺธํฯ

    Tattha ‘‘yaṃ bhagavā sāvakānaṃ sikkhāpadaṃ paññapeyyā’’ti pātimokkhuddesappahonakasikkhāpadaṃ sandhāyāha, ayamattho bhaddālisuttena (ma. ni. 2.134 ādayo) dīpetabbo . Tattha hi bahūsu sikkhāpadesu paññattesu, paññapiyamānesu ca ‘‘na tāva bhaddāli satthā sāvakānaṃ sikkhāpadaṃ paññapetī’’tiādi (ma. ni. 2.145) vuttaṃ apaññattaṃ upādāya, tathā idhāpi apaññattaṃ sandhāya vuttanti veditabbaṃ. Parisuddhattā saṅghassa sampati sāvakānaṃ āṇāpātimokkhuddesaṃ nānujānāmīti dassento ‘‘nirabbudo’’tiādimāha. Na hi parisuddhe saṅghe ovādapātimokkhuddesassa anuddesakāraṇaṃ atthi, tasmiṃ sati āṇāpātimokkhuddesānujānanādhippāyato. Tathā ca so tato aṭṭhannaṃvassānaṃ accayena anuññāto. Yathāha pātimokkhaṭhapanakkhandhake (cūḷava. 386) ‘‘na dānāhaṃ, bhikkhave, ito paraṃ uposathaṃ karissāmi…pe… pātimokkhaṃ uddiseyyāthā’’ti. Yaṃ pana upasampadakkhandhake (mahāva. 129) ‘‘tena kho pana samayena bhikkhū aññataraṃ bhikkhuṃ upasampādetvā ekakaṃ ohāya pakkamiṃsu…pe… so tassā methunaṃ dhammaṃ paṭisevitvā cirena agamāsī’’ti vatthu āgataṃ, taṃ sudinnavatthuto parato uppannampi tattha yathādhikāraṃ samodhānetuṃ vuttaṃ. Tathā tattheva ‘‘ubhayāni kho panassa pātimokkhāni vitthārena svāgatāni hontī’’tiādinā (pāci. 147; a. ni. 8.52; 10.33) aṅgānipi veditabbāni. Na hi ādito eva ubhatopātimokkhāni siddhānīti. Apica ādito paṭṭhāya ayamanukkamo veditabbo, seyyathidaṃ – rāhulakumāre uppanne bodhisatto nikkhamitvā chabbassāni dukkaraṃ katvā sattame abhisambuddho, tasmiṃ eva saṃvacchare kapilavatthuṃ gantvā rāhulakumāraṃ pabbājesi. Ambalaṭṭhikarāhulovādasuttaṭṭhakathāyaṃ (ma. ni. aṭṭha. 2.107 ādayo) ‘‘ayañhi āyasmā sattavassikakāle bhagavantaṃ cīvarakaṇṇe gahetvā ‘dāyajjaṃ me samaṇa dehi, dāyajjaṃ me samaṇa dehī’ti dāyajjaṃ yācamāno bhagavatā dhammasenāpatisāriputtattherassa niyyādetvā pabbājito’’ti ca vuttaṃ, tasmā rāhulakumāraṃ ārabbha ‘‘anujānāmi, bhikkhave, tīhi saraṇagamanehi sāmaṇerapabbajja’’nti (mahāva. 105) vuttattā saraṇagamanūpasampadā paṭhamavassabbhantare eva paṭikkhittā, ñatticatutthakammavasena upasampadā anuññātāti paññāyati. Apica rāhulavatthumhi ‘‘na, bhikkhave, ananuññāto mātāpitūhi putto pabbājetabbo, yo pabbājeyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (mahāva. 105) sikkhāpadaṃ paññattaṃ, tasmā ito pubbepi sikkhāpadāni paññattānīti siddhaṃ.

    สุตฺวา จ โย เหตุนิโรธมคฺคํ,

    Sutvā ca yo hetunirodhamaggaṃ,

    นิโรธุปายํ ปฎิวิชฺฌิ ขิปฺปํ;

    Nirodhupāyaṃ paṭivijjhi khippaṃ;

    ชาโตวเปเกฺขน อเสสเมตํ,

    Jātovapekkhena asesametaṃ,

    โลกํ วิปสฺสี สุคตคฺคสิโสฺสฯ

    Lokaṃ vipassī sugataggasisso.

    โส ธมฺมเสนาปติ อคฺคสิโสฺส,

    So dhammasenāpati aggasisso,

    สทฺธมฺมราชสฺส ตถาคตสฺส;

    Saddhammarājassa tathāgatassa;

    สยํ มุนิเนฺทน ยสสฺส ปโตฺต,

    Sayaṃ munindena yasassa patto,

    อเนกโส โสฬสธา ปสโตฺถฯ

    Anekaso soḷasadhā pasattho.

    ตสฺมา หิ สิกฺขาปทพนฺธกาโล,

    Tasmā hi sikkhāpadabandhakālo,

    ญาตุมฺปิ โลเก อติภาริโยว;

    Ñātumpi loke atibhāriyova;

    ปเคว สิกฺขาปทภาวเภโท,

    Pageva sikkhāpadabhāvabhedo,

    ปเคว อโญฺญ อุภยตฺถ ตตฺถฯ

    Pageva añño ubhayattha tattha.

    ปเจฺจกพุทฺธา อปิ ตํ ทฺวยนฺตุ,

    Paccekabuddhā api taṃ dvayantu,

    ญาตุํ น สกฺกาว ปเคว เนตุํ;

    Ñātuṃ na sakkāva pageva netuṃ;

    นิสฺสํสยํ ตตฺถ ตถาคโตว,

    Nissaṃsayaṃ tattha tathāgatova,

    ชานิสฺสติจฺจาห ตถาคโตติฯ

    Jānissaticcāha tathāgatoti.

    อิเจฺจตมตฺถํ อิธ ภิกฺขุ ญตฺวา,

    Iccetamatthaṃ idha bhikkhu ñatvā,

    สิกฺขาปทานํ กมภาวเภทํ;

    Sikkhāpadānaṃ kamabhāvabhedaṃ;

    ญาตุํ สยํ โน น ปเร จ เนตุํ,

    Ñātuṃ sayaṃ no na pare ca netuṃ,

    ปริเยสิตโพฺพ อิธ ยุตฺติมโคฺคฯ

    Pariyesitabbo idha yuttimaggo.

    ตตฺถ กมเภโท สิกฺขาปทานํ ปรโต อาวิ ภวิสฺสติฯ ภาวเภโท ตาว อุกฺขิตฺตกานุวตฺตนปจฺจยา ภิกฺขุ อนาปตฺติโก, ภิกฺขุนี ปน สมนุภฎฺฐา ปาราชิกา โหติฯ ปาราชิกาปตฺติปฎิจฺฉาทเน ภิกฺขุสฺส ทุกฺกฎํ, ภิกฺขุนิยา ปาราชิกํฯ ทุฎฺฐุลฺลํ อาโรเจนฺตสฺส, ปฎิจฺฉาเทนฺตสฺส จ ปาจิตฺติยํฯ มหาสาวชฺชํ ปาราชิกํ อาโรเจนฺตสฺส, ปฎิจฺฉาเทนฺตสฺส จ ภิกฺขุสฺส ทุกฺกฎํฯ อิเจฺจวมาทีหิ อภาวเภทสิกฺขาปทานํ อิธ ภาวเภเทน ยุตฺติปริเยสนํ สาธยมาโนปิ สิยา อนุมฺมาทวิฆาตภาคีติฯ เอตฺตาวตา สกลสฺสปิ วินยปิฎกสฺส วิตกฺกยาจนกาลกาลญฺญูการณผลปโยชเนหิ สตฺตหิ อเงฺคหิ ปฎิมณฺฑิตํ นิทานมายสฺมตา อุปาลิเตฺถเรน นิทสฺสิตํ โหติฯ ตตฺถ เถรสฺส วินยปญฺญตฺติยาจนเหตุภูโต วิตโกฺก นามฯ ตเสฺสว ‘‘เอตสฺส ภควา กาโล’’ติอาทินา ปวตฺตา ยาจนา นามฯ รตฺตญฺญูเวปุลฺลลาภคฺคพาหุสจฺจมหตฺตปฺปตฺติ กาโล นามฯ สพฺพญฺญู เอว กาลญฺญู นามฯ อาสวฎฺฐานียานํ ธมฺมานํ ปาตุภาโว การณํ นามฯ ‘‘เตสํเยว อาสวฎฺฐานียานํ ธมฺมานํ ปฎิฆาตายา’’ติ วจนโต อาสวฎฺฐานียธมฺมปฎิฆาโต ผลํ นามฯ ‘‘ยถยิทํ พฺรหฺมจริยํ อทฺธนิยํ อสฺสา’’ติ วจนโต สาสนพฺรหฺมจริยสฺส จิรฎฺฐิติ ปโยชนนฺติ เวทิตพฺพํฯ โหติ เจตฺถ –

    Tattha kamabhedo sikkhāpadānaṃ parato āvi bhavissati. Bhāvabhedo tāva ukkhittakānuvattanapaccayā bhikkhu anāpattiko, bhikkhunī pana samanubhaṭṭhā pārājikā hoti. Pārājikāpattipaṭicchādane bhikkhussa dukkaṭaṃ, bhikkhuniyā pārājikaṃ. Duṭṭhullaṃ ārocentassa, paṭicchādentassa ca pācittiyaṃ. Mahāsāvajjaṃ pārājikaṃ ārocentassa, paṭicchādentassa ca bhikkhussa dukkaṭaṃ. Iccevamādīhi abhāvabhedasikkhāpadānaṃ idha bhāvabhedena yuttipariyesanaṃ sādhayamānopi siyā anummādavighātabhāgīti. Ettāvatā sakalassapi vinayapiṭakassa vitakkayācanakālakālaññūkāraṇaphalapayojanehi sattahi aṅgehi paṭimaṇḍitaṃ nidānamāyasmatā upālittherena nidassitaṃ hoti. Tattha therassa vinayapaññattiyācanahetubhūto vitakko nāma. Tasseva ‘‘etassa bhagavā kālo’’tiādinā pavattā yācanā nāma. Rattaññūvepullalābhaggabāhusaccamahattappatti kālo nāma. Sabbaññū eva kālaññū nāma. Āsavaṭṭhānīyānaṃ dhammānaṃ pātubhāvo kāraṇaṃ nāma. ‘‘Tesaṃyeva āsavaṭṭhānīyānaṃ dhammānaṃ paṭighātāyā’’ti vacanato āsavaṭṭhānīyadhammapaṭighāto phalaṃ nāma. ‘‘Yathayidaṃ brahmacariyaṃ addhaniyaṃ assā’’ti vacanato sāsanabrahmacariyassa ciraṭṭhiti payojananti veditabbaṃ. Hoti cettha –

    ‘‘วิตโกฺก ยาจนา กาโล, กาลญฺญู การณํ ผลํ;

    ‘‘Vitakko yācanā kālo, kālaññū kāraṇaṃ phalaṃ;

    ปโยชนนฺติ สตฺตงฺคํ, นิทานํ วินยสฺสิธา’’ติฯ

    Payojananti sattaṅgaṃ, nidānaṃ vinayassidhā’’ti.

    ๒๒. อนฺติมมณฺฑลนฺติ อพฺภนฺตรมณฺฑลํฯ ตญฺหิ อิตเรสํ อโนฺต โหติ, ขุทฺทกมณฺฑลํ วาฯ อนุมติทานวเสน เตสํ ภิกฺขูนํ ทตฺวาฯ เตสํ พุทฺธานํ จาริกาย วิเนตพฺพา เวเนยฺยสตฺตาโอจินนฺตา วิยาติ พหุปุปฺผํ คจฺฉํ มาลาการา จิรํ โอจินนฺติ, เอวํ พหุเวเนเยฺยสุ คามาทีสุ จิรํ วสนฺตา เวเนยฺยปุญฺญํ ปริหรนฺตา จรนฺติฯ สนฺตํ สุขํ, น เวทนาสุขํ วิย สปริปฺผนฺทํฯ ทสสหสฺสจกฺกวาเฬติ เทวานํ วเสน วุตฺตํฯ มนุสฺสา ปน อิมสฺมิํเยว จกฺกวาเฬ โพธเนยฺยา อุปฺปชฺชนฺติฯ มหากรุณาย ธุวํ สตฺตสมวโลกนํฯ โอติเณฺณติ ปริสมชฺฌํ อาคเต, อาโรจิเต วาฯ เยน การเณน มยํ ตุมฺหากํ เทยฺยธมฺมํ ทเทยฺยาม, ตํ กุโต สกฺกา ลทฺธุํฯ พหุกิจฺจา หิ ฆราวาสาติฯ ทุติยวิกเปฺป นฺติ เทยฺยธมฺมํฯ ‘‘ตุเมฺหหิ ตํ กุโต ลทฺธา’’ติ อนุคณฺฐิปเท วุตฺตํฯ เกจิ ปน ‘‘ปฐมํ กิริยํ เปกฺขติ, ทุติยํ เทยฺยธมฺม’’นฺติ วทนฺติฯ อาจริโย ปน ‘‘ปฐมโยชนาย ยํ ทานปุญฺญํ, ตํ กุโต ลพฺภาฯ ปุญฺญนฺตรายพหุลา หิ ฆราวาสาติฯ ทุติยโยชนาย เตมาสพฺภนฺตเร ยมหํ ทเทยฺยํ, อติกฺกนฺตกาลตฺตา ตมหํ สมฺปติ กุโต ทเทยฺยนฺติ ทเสฺสตี’’ติ วทติฯ สีลาทิกุสลธมฺมสนฺทสฺสนาทิธมฺมรตนวสฺสํ

    22.Antimamaṇḍalanti abbhantaramaṇḍalaṃ. Tañhi itaresaṃ anto hoti, khuddakamaṇḍalaṃ vā. Anumatidānavasena tesaṃ bhikkhūnaṃ datvā. Tesaṃ buddhānaṃ cārikāya vinetabbā veneyyasattā. Ocinantā viyāti bahupupphaṃ gacchaṃ mālākārā ciraṃ ocinanti, evaṃ bahuveneyyesu gāmādīsu ciraṃ vasantā veneyyapuññaṃ pariharantā caranti. Santaṃ sukhaṃ, na vedanāsukhaṃ viya saparipphandaṃ. Dasasahassacakkavāḷeti devānaṃ vasena vuttaṃ. Manussā pana imasmiṃyeva cakkavāḷe bodhaneyyā uppajjanti. Mahākaruṇāya dhuvaṃ sattasamavalokanaṃ. Otiṇṇeti parisamajjhaṃ āgate, ārocite vā. Yena kāraṇena mayaṃ tumhākaṃ deyyadhammaṃ dadeyyāma, taṃ kuto sakkā laddhuṃ. Bahukiccā hi gharāvāsāti. Dutiyavikappe tanti deyyadhammaṃ. ‘‘Tumhehi taṃ kuto laddhā’’ti anugaṇṭhipade vuttaṃ. Keci pana ‘‘paṭhamaṃ kiriyaṃ pekkhati, dutiyaṃ deyyadhamma’’nti vadanti. Ācariyo pana ‘‘paṭhamayojanāya yaṃ dānapuññaṃ, taṃ kuto labbhā. Puññantarāyabahulā hi gharāvāsāti. Dutiyayojanāya temāsabbhantare yamahaṃ dadeyyaṃ, atikkantakālattā tamahaṃ sampati kuto dadeyyanti dassetī’’ti vadati. Sīlādikusaladhammasandassanādidhammaratanavassaṃ.

    ๒๓. ปตฺตุณฺณเทเส ปตฺตุณฺณํ ปฎวรํฯ มหายาคนฺติ มหาทานํฯ ปริปุณฺณสงฺกปฺปนฺติ เตมาสํ โสตพฺพํ อชฺช สุณินฺติฯ

    23. Pattuṇṇadese pattuṇṇaṃ paṭavaraṃ. Mahāyāganti mahādānaṃ. Paripuṇṇasaṅkappanti temāsaṃ sotabbaṃ ajja suṇinti.

    ตตฺริทนฺติ อิทํ การณํฯ

    Tatridanti idaṃ kāraṇaṃ.

    อุปาลิ ทาสโกติ อาจริยปรมฺปรโตฯ พาหิรพฺภนฺตรนิทานํ, สิกฺขาปทานํ ปญฺญตฺติฎฺฐานสงฺขาตํ อาเวณิกนิทานญฺจ สนฺธายาห ‘‘นิทานสฺส ปเภททีปนโต’’ติฯ เถรวาทาทิ วตฺถุปฺปเภโทฯ สกาย ปฎิญฺญาย เมตฺติยํ ภิกฺขุนิํ นาเสถาติอาทิ ปรสมยวิวชฺชนโตติอาทิฯ วิภงฺคนยเภททสฺสนโตติ ติโสฺส อิตฺถิโย ภูมฎฺฐํ ถลฎฺฐนฺติอาทิฯ เอตฺถาห – กิํ ภควโต มาราวฎฺฎนปฎิฆาตาย สตฺติ นตฺถีติ? อตฺถิ, ตถาปิสฺส ปจฺฉา อุปคุตฺตกาเล ปสาทเหตุตฺตา อธิวาเสติฯ เอตฺถ อุปคุตฺตาธิฎฺฐานํ วตฺตพฺพํฯ พุทฺธานํ อาจิณฺณนฺติ ทิชทสฺสเนน กิํปโยชนนฺติ เจ? มาราวฎฺฎนเหตุ พฺราหฺมณสฺส ปุญฺญนฺตราโยติ ปโยชนํฯ

    Upāli dāsakoti ācariyaparamparato. Bāhirabbhantaranidānaṃ, sikkhāpadānaṃ paññattiṭṭhānasaṅkhātaṃ āveṇikanidānañca sandhāyāha ‘‘nidānassa pabhedadīpanato’’ti. Theravādādi vatthuppabhedo. Sakāya paṭiññāya mettiyaṃ bhikkhuniṃ nāsethātiādi parasamayavivajjanatotiādi. Vibhaṅganayabhedadassanatoti tisso itthiyo bhūmaṭṭhaṃ thalaṭṭhantiādi. Etthāha – kiṃ bhagavato mārāvaṭṭanapaṭighātāya satti natthīti? Atthi, tathāpissa pacchā upaguttakāle pasādahetuttā adhivāseti. Ettha upaguttādhiṭṭhānaṃ vattabbaṃ. Buddhānaṃ āciṇṇanti dijadassanena kiṃpayojananti ce? Mārāvaṭṭanahetu brāhmaṇassa puññantarāyoti payojanaṃ.

    ทิโชปิ โส มารมโนรถสฺส,

    Dijopi so māramanorathassa,

    ภงฺคํ กโรโนฺต ชินปุงฺควสฺส;

    Bhaṅgaṃ karonto jinapuṅgavassa;

    สสฺสิสฺสสงฺฆสฺส อทาสิ ทานํ,

    Sassissasaṅghassa adāsi dānaṃ,

    อเสสกํ กปฺปิยภณฺฑเภทํฯ

    Asesakaṃ kappiyabhaṇḍabhedaṃ.

    กิํ ภควา สสิโสฺส ตาว มหนฺตํ กปฺปิยภณฺฑํ อุพฺภณฺฑิกํ กตฺวา อคมาสีติ? น อคมาสิ, เตมาสิภาคิยํ ปน ปุญฺญราสิกํ เทยฺยธมฺมํ อปฺปฎิกฺขิปโนฺต พฺราหฺมณสฺส อุปายโต สตฺถา อทาสิฯ

    Kiṃ bhagavā sasisso tāva mahantaṃ kappiyabhaṇḍaṃ ubbhaṇḍikaṃ katvā agamāsīti? Na agamāsi, temāsibhāgiyaṃ pana puññarāsikaṃ deyyadhammaṃ appaṭikkhipanto brāhmaṇassa upāyato satthā adāsi.

    ตทญฺญถา มารมโนรโถว,

    Tadaññathā māramanorathova,

    ปูโร สิยา เนว ทิชสฺส ภิโยฺย;

    Pūro siyā neva dijassa bhiyyo;

    ปาปํ มหนฺตํ อปิ ปาปุเณยฺย,

    Pāpaṃ mahantaṃ api pāpuṇeyya,

    มิจฺฉาภิมาเนน ตถาคเต โสฯ

    Micchābhimānena tathāgate so.

    ตสฺมา ภควา อสฺสาทิยโนฺต ตํ เทยฺยธมฺมํ อปฺปฎิกฺขิปโนฺต อุปาเยน พฺราหฺมณสฺส ปุญฺญพุทฺธิํ กตฺวา, มารสฺส จ มโนรถวิฆาตํ กตฺวา อคมาสีติ, ‘‘อยํ นโย อฎฺฐกถํ วินาปิ ปาฬินยานุโลมโต สิโทฺธ’’ติ วทนฺติฯ กถํ? –

    Tasmā bhagavā assādiyanto taṃ deyyadhammaṃ appaṭikkhipanto upāyena brāhmaṇassa puññabuddhiṃ katvā, mārassa ca manorathavighātaṃ katvā agamāsīti, ‘‘ayaṃ nayo aṭṭhakathaṃ vināpi pāḷinayānulomato siddho’’ti vadanti. Kathaṃ? –

    ‘‘สตฺถา สสิโสฺส ยทิ อคฺคเหสิ,

    ‘‘Satthā sasisso yadi aggahesi,

    ทิชสฺส ตํ จีวรมาทิโตว;

    Dijassa taṃ cīvaramāditova;

    นาถสฺส โน วีสติวสฺสกาเล,

    Nāthassa no vīsativassakāle,

    วิรุชฺฌเต ชีวกยาจนาปิ;

    Virujjhate jīvakayācanāpi;

    ตถาปิ สพฺพํ สุวิจารยิตฺวา,

    Tathāpi sabbaṃ suvicārayitvā,

    ยุตฺตํ นยํ จินฺตยิตุํว ยุตฺต’’นฺติฯ

    Yuttaṃ nayaṃ cintayituṃva yutta’’nti.

    อิทานิ อายสฺมา อุปาลิเตฺถโร วินยปญฺญตฺติยา สาธารณนิทานํ ทเสฺสตฺวา สิกฺขาปทานํ ปาเฎกฺกํ ปญฺญตฺติฎฺฐานสงฺขาตํ นิทานมาทิํ กตฺวา ปุคฺคลปญฺญตฺติอนุปญฺญตฺติวิภาคาปตฺติเภทนฺตราปตฺติอาทิกํ นานปฺปการํ วิธิํ นิชฺชฎํ นิคฺคุมฺพํ กตฺวา ทเสฺสตุํ ‘‘อถ โข ภควา เวรญฺชายํ ยถาภิรนฺตํ วิหริตฺวา’’ติอาทิมาหาติฯ อิธ ฐตฺวา –

    Idāni āyasmā upālitthero vinayapaññattiyā sādhāraṇanidānaṃ dassetvā sikkhāpadānaṃ pāṭekkaṃ paññattiṭṭhānasaṅkhātaṃ nidānamādiṃ katvā puggalapaññattianupaññattivibhāgāpattibhedantarāpattiādikaṃ nānappakāraṃ vidhiṃ nijjaṭaṃ niggumbaṃ katvā dassetuṃ ‘‘atha kho bhagavā verañjāyaṃ yathābhirantaṃ viharitvā’’tiādimāhāti. Idha ṭhatvā –

    สิกฺขาปทาน สเพฺพสํ, กมเภทํ ปกาสเย;

    Sikkhāpadāna sabbesaṃ, kamabhedaṃ pakāsaye;

    ตสฺมิํ สิเทฺธ นิทานานํ, กมสิทฺธิ ยโต ภเวฯ

    Tasmiṃ siddhe nidānānaṃ, kamasiddhi yato bhave.

    ตตฺถ สพฺพสิกฺขาปทานํ ยถาสมฺภวํ เทสนากฺกโม ปหานกฺกโม ปฎิปตฺติกฺกโม อุปฺปตฺติกฺกโมติ จตุพฺพิโธ กโม ลพฺภติฯ ตตฺถ ภควตา ราชคเห ภิกฺขูนํ ปาติโมกฺขุเทฺทสํ อนุชานเนฺตน ปาติโมกฺขุเทฺทสสฺส โย เทสนากฺกโม อนุญฺญาโต, ตํ เทสนากฺกมมนุโลเมโนฺต อายสฺมา มหากสฺสโป ปฐมํ ปาราชิกุเทฺทสํ ปุจฺฉิ, ตทนนฺตรํ สงฺฆาทิเสสุเทฺทสํ, ตโต อนิยตุเทฺทสํ วิตฺถารุเทฺทสญฺจ ปุจฺฉิตฺวา ตทนนฺตรํ ภิกฺขุนีวิภงฺคญฺจ เตเนว อนุกฺกเมน ปุจฺฉิ, นิทานุเทฺทสโนฺตคธานญฺจ สรูเปน อนุทฺทิฎฺฐานํ ปุจฺฉนตฺถํ ขนฺธเกปิ ปุจฺฉิฯ เอเตน จ ขนฺธเก ปญฺญตฺตา ถุลฺลจฺจยา สงฺคหิตา โหนฺติฯ ปุจฺฉิตานุกฺกเมเนว อุปาลิเตฺถโร ตํ สพฺพํ สาปตฺติเภทาทิกํ เทเสโนฺต ถุลฺลจฺจยทุพฺภาสิตอาปตฺติสมุฎฺฐานาทิทีปกํ อโนฺตกตฺวา เทเสสิ, อยเมตฺถ เทสนากฺกโมฯ อุภโตวิภงฺคขนฺธกโต ปน อุจฺจินิตฺวา ตทา ปริวารปาฬิ วิสุํ กตาฯ อิมเมว นยํ สนฺธาย อฎฺฐกถายํ วุตฺตํ ‘‘เอเตเนว อุปาเยน ขนฺธกปริวาเรปิ อาโรเปสุ’’นฺติอาทิ (ปารา. อฎฺฐ. ๑.ปฐมมหาสงฺคีติกถา)ฯ อปิจ ปาฬิยา ‘‘เอเตเนวุปาเยน อุภโตวินเย ปุจฺฉิฯ ปุโฎฺฐ ปุโฎฺฐ อายสฺมา อุปาลิ วิสฺสเชฺชสี’’ติ เอตฺตกเมว วุตฺตํ, ตสฺมา มหากสฺสโป อุภโตวิภเงฺค เอว ปุจฺฉิฯ วิสฺสเชฺชโนฺต ปน อายสฺมา อุปาลิ นิวรเสสํ เทเสโนฺต ขนฺธกปริวาเร อโนฺตกตฺวา เทเสสิฯ ตทา จ ขนฺธกปริวารปาฬิ วิสุํ กตาติ อยํ เทสนากฺกโมฯ ยทิ เอวํ นิทานุเทฺทโส ปฐมํ เทเสตโพฺพติ เจ? น, ตทสมฺภวโตฯ โส หิ ‘‘ยสฺส สิยา อาปตฺตี’’ติอาทินา (มหาว. ๑๓๔) นเยน ปวตฺตตฺตา ปฐมํ สิกฺขาปทสงฺคหิตาสุ อาปตฺตีสุ อทสฺสิตาสุ น สมฺภวติฯ ‘‘ยานิ มยา ภิกฺขูนํ ปญฺญตฺตานิ สิกฺขาปทานิ, ตานิ เนสํ ปาติโมกฺขุเทฺทสํ อนุชาเนยฺย’’นฺติ วจนโต สิกฺขาปทาเนว ปฐมํ เทเสตพฺพานีติ ปาราชิกุเทฺทสกฺกโม สมฺภวติฯ

    Tattha sabbasikkhāpadānaṃ yathāsambhavaṃ desanākkamo pahānakkamo paṭipattikkamo uppattikkamoti catubbidho kamo labbhati. Tattha bhagavatā rājagahe bhikkhūnaṃ pātimokkhuddesaṃ anujānantena pātimokkhuddesassa yo desanākkamo anuññāto, taṃ desanākkamamanulomento āyasmā mahākassapo paṭhamaṃ pārājikuddesaṃ pucchi, tadanantaraṃ saṅghādisesuddesaṃ, tato aniyatuddesaṃ vitthāruddesañca pucchitvā tadanantaraṃ bhikkhunīvibhaṅgañca teneva anukkamena pucchi, nidānuddesantogadhānañca sarūpena anuddiṭṭhānaṃ pucchanatthaṃ khandhakepi pucchi. Etena ca khandhake paññattā thullaccayā saṅgahitā honti. Pucchitānukkameneva upālitthero taṃ sabbaṃ sāpattibhedādikaṃ desento thullaccayadubbhāsitaāpattisamuṭṭhānādidīpakaṃ antokatvā desesi, ayamettha desanākkamo. Ubhatovibhaṅgakhandhakato pana uccinitvā tadā parivārapāḷi visuṃ katā. Imameva nayaṃ sandhāya aṭṭhakathāyaṃ vuttaṃ ‘‘eteneva upāyena khandhakaparivārepi āropesu’’ntiādi (pārā. aṭṭha. 1.paṭhamamahāsaṅgītikathā). Apica pāḷiyā ‘‘etenevupāyena ubhatovinaye pucchi. Puṭṭho puṭṭho āyasmā upāli vissajjesī’’ti ettakameva vuttaṃ, tasmā mahākassapo ubhatovibhaṅge eva pucchi. Vissajjento pana āyasmā upāli nivarasesaṃ desento khandhakaparivāre antokatvā desesi. Tadā ca khandhakaparivārapāḷi visuṃ katāti ayaṃ desanākkamo. Yadi evaṃ nidānuddeso paṭhamaṃ desetabboti ce? Na, tadasambhavato. So hi ‘‘yassa siyā āpattī’’tiādinā (mahāva. 134) nayena pavattattā paṭhamaṃ sikkhāpadasaṅgahitāsu āpattīsu adassitāsu na sambhavati. ‘‘Yāni mayā bhikkhūnaṃ paññattāni sikkhāpadāni, tāni nesaṃ pātimokkhuddesaṃ anujāneyya’’nti vacanato sikkhāpadāneva paṭhamaṃ desetabbānīti pārājikuddesakkamo sambhavati.

    ปาราชิกุเทฺทสาทิสงฺคหิตานํ อาปตฺติอกุสลานํ ยโถฬาริกกฺกเมน ปหาตพฺพตฺตา ปหานกฺกโมเปตฺถ สมฺภวติฯ อุปสมฺปนฺนสมนนฺตรํ ‘‘ตาวเทว จตฺตาริ อกรณียานิ อาจิกฺขิตพฺพานี’’ติ (มหาว. ๑๒๙) วจนโต ‘‘สมาทาย สิกฺขติ สิกฺขาปเทสู’’ติ (ที. นิ. ๑.๑๙๓) วจนโต จ ยถา ครุกํ อาจิกฺขณํ สิกฺขเนน ปฎิปตฺติกฺกโมเปตฺถ สมฺภวติ, เอวมิเมหิ ตีหิ กเมหิ เทเสตพฺพานเมฺปเตสํ สิกฺขาปทานํ ยถาสมฺภวํ อุปฺปตฺติกฺกโม สมฺภวติฯ ตถา หิ ยํ ยํ สาธารณํ, ตํ ตํ ภิกฺขุํ อารพฺภ อุปฺปเนฺน เอว วตฺถุสฺมิํ ‘‘ยา ปน ภิกฺขุนี ฉนฺทโส เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสเวยฺยา’’ติ ภิกฺขุนีนมฺปิ ปญฺญตฺตํฯ อญฺญถา ตํ ภิกฺขุนีนํ อนุปฺปนฺนปญฺญตฺติ สิยาฯ ตโต ‘‘อนุปฺปนฺนปญฺญตฺติ ตสฺมิํ นตฺถี’’ติ (ปริ. ๒๔๗) ปริวาเร เอตํ วจนํ วิรุชฺฌติ, เอตฺตาวตา ปุริเมน กมตฺตเยน ปฐมํ เทเสตพฺพตํ ปเตฺต ปาราชิกุเทฺทเส ปฐมุปฺปนฺนตฺตา เมถุนธมฺมปาราชิกํ สพฺพปฐมํ เทเสตุกาโม อุปาลิเตฺถโร ‘‘ตตฺร สุทํ ภควา เวสาลิย’’นฺติ เวสาลิเมว ปาเปตฺวา ฐเปสิฯ อญฺญถา พาราณสิยํ ปญฺญตฺตานํ ‘‘น, ภิกฺขเว, มนุสฺสมํสํ ปริภุญฺชิตพฺพ’’นฺติ (มหาว. ๒๘๐) เอวมาทีนํ เทสนาธิปฺปาเย สติ พาราณสิํ ปาเปตฺวา ฐเปยฺยาติฯ

    Pārājikuddesādisaṅgahitānaṃ āpattiakusalānaṃ yathoḷārikakkamena pahātabbattā pahānakkamopettha sambhavati. Upasampannasamanantaraṃ ‘‘tāvadeva cattāri akaraṇīyāni ācikkhitabbānī’’ti (mahāva. 129) vacanato ‘‘samādāya sikkhati sikkhāpadesū’’ti (dī. ni. 1.193) vacanato ca yathā garukaṃ ācikkhaṇaṃ sikkhanena paṭipattikkamopettha sambhavati, evamimehi tīhi kamehi desetabbānampetesaṃ sikkhāpadānaṃ yathāsambhavaṃ uppattikkamo sambhavati. Tathā hi yaṃ yaṃ sādhāraṇaṃ, taṃ taṃ bhikkhuṃ ārabbha uppanne eva vatthusmiṃ ‘‘yā pana bhikkhunī chandaso methunaṃ dhammaṃ paṭiseveyyā’’ti bhikkhunīnampi paññattaṃ. Aññathā taṃ bhikkhunīnaṃ anuppannapaññatti siyā. Tato ‘‘anuppannapaññatti tasmiṃ natthī’’ti (pari. 247) parivāre etaṃ vacanaṃ virujjhati, ettāvatā purimena kamattayena paṭhamaṃ desetabbataṃ patte pārājikuddese paṭhamuppannattā methunadhammapārājikaṃ sabbapaṭhamaṃ desetukāmo upālitthero ‘‘tatra sudaṃ bhagavā vesāliya’’nti vesālimeva pāpetvā ṭhapesi. Aññathā bārāṇasiyaṃ paññattānaṃ ‘‘na, bhikkhave, manussamaṃsaṃ paribhuñjitabba’’nti (mahāva. 280) evamādīnaṃ desanādhippāye sati bārāṇasiṃ pāpetvā ṭhapeyyāti.

    อพฺภนฺตรนิทานกถา นิฎฺฐิตาฯ

    Abbhantaranidānakathā niṭṭhitā.

    เวรญฺชกณฺฑวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Verañjakaṇḍavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวิภงฺค • Mahāvibhaṅga / เวรญฺชกณฺฑํ • Verañjakaṇḍaṃ

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā
    อุปาสกตฺตปฎิเวทนากถาวณฺณนา • Upāsakattapaṭivedanākathāvaṇṇanā
    วินยปญฺญตฺติยาจนกถาวณฺณนา • Vinayapaññattiyācanakathāvaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact