Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / อุทาน-อฎฺฐกถา • Udāna-aṭṭhakathā

    ๙. อุปเสนสุตฺตวณฺณนา

    9. Upasenasuttavaṇṇanā

    ๓๙. นวเม อุปเสนสฺสาติ เอตฺถ อุปเสโนติ ตสฺส เถรสฺส นามํ, วงฺคนฺตพฺราหฺมณสฺส ปน ปุตฺตตฺตา ‘‘วงฺคนฺตปุโตฺต’’ติ จ นํ โวหรนฺติฯ

    39. Navame upasenassāti ettha upasenoti tassa therassa nāmaṃ, vaṅgantabrāhmaṇassa pana puttattā ‘‘vaṅgantaputto’’ti ca naṃ voharanti.

    อยญฺหิ เถโร อายสฺมโต สาริปุตฺตสฺส กนิฎฺฐภาตา, สาสเน ปพฺพชิตฺวา อปญฺญเตฺต สิกฺขาปเท อุปสมฺปทาย ทฺวิวโสฺส อุปชฺฌาโย หุตฺวา เอกํ ภิกฺขุํ อุปสมฺปาเทตฺวา เตน สทฺธิํ ภควโต อุปฎฺฐานํ คโต, ตสฺส ภิกฺขุโน ภควตา ตสฺส สทฺธิวิหาริกภาวํ ปุจฺฉิตฺวา ขนฺธเก อาคตนเยน ‘‘อติลหุํ โข ตฺวํ, โมฆปุริส, อาวโตฺต พาหุลฺลาย, ยทิทํ คณพนฺธิย’’นฺติ (มหาว. ๗๕) วิครหิโต ปโตทาภิตุโนฺน วิย อาชานีโย สํวิคฺคมานโส ‘‘ยทิปาหํ อิทานิ ปริสํ นิสฺสาย ภควตา วิครหิโต, ปริสํเยว ปน นิสฺสาย ปาสํสิโย ภเวยฺย’’นฺติ อุสฺสาหชาโต สเพฺพ ธุตธเมฺม สมาทาย วตฺตมาโน วิปสฺสนํ อารภิตฺวา น จิรเสฺสว ฉฬภิโญฺญ ปฎิสมฺภิทาปฺปโตฺต มหาขีณาสโว หุตฺวา อตฺตโน นิสฺสิตเก ธุตงฺคธเร เอว กตฺวา เตหิ สทฺธิํ ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา สนฺถตสิกฺขาปเท (ปารา. ๕๖๕ อาทโย) อาคตนเยน ‘‘ปาสาทิกา โข ตฺยายํ, อุปเสน, ปริสา’’ติ ปริสวเสน ภควโต สนฺติกา ลทฺธปสํโส ‘‘เอตทคฺคํ, ภิกฺขเว, มม สาวกานํ ภิกฺขูนํ สมนฺตปาสาทิกานํ ยทิทํ อุปเสโน วงฺคนฺตปุโตฺต’’ติ (อ. นิ. ๑.๒๑๓) เอตทเคฺค ฐปิโต อสีติยา มหาสาวเกสุ อพฺภนฺตโรฯ

    Ayañhi thero āyasmato sāriputtassa kaniṭṭhabhātā, sāsane pabbajitvā apaññatte sikkhāpade upasampadāya dvivasso upajjhāyo hutvā ekaṃ bhikkhuṃ upasampādetvā tena saddhiṃ bhagavato upaṭṭhānaṃ gato, tassa bhikkhuno bhagavatā tassa saddhivihārikabhāvaṃ pucchitvā khandhake āgatanayena ‘‘atilahuṃ kho tvaṃ, moghapurisa, āvatto bāhullāya, yadidaṃ gaṇabandhiya’’nti (mahāva. 75) vigarahito patodābhitunno viya ājānīyo saṃviggamānaso ‘‘yadipāhaṃ idāni parisaṃ nissāya bhagavatā vigarahito, parisaṃyeva pana nissāya pāsaṃsiyo bhaveyya’’nti ussāhajāto sabbe dhutadhamme samādāya vattamāno vipassanaṃ ārabhitvā na cirasseva chaḷabhiñño paṭisambhidāppatto mahākhīṇāsavo hutvā attano nissitake dhutaṅgadhare eva katvā tehi saddhiṃ bhagavantaṃ upasaṅkamitvā santhatasikkhāpade (pārā. 565 ādayo) āgatanayena ‘‘pāsādikā kho tyāyaṃ, upasena, parisā’’ti parisavasena bhagavato santikā laddhapasaṃso ‘‘etadaggaṃ, bhikkhave, mama sāvakānaṃ bhikkhūnaṃ samantapāsādikānaṃ yadidaṃ upaseno vaṅgantaputto’’ti (a. ni. 1.213) etadagge ṭhapito asītiyā mahāsāvakesu abbhantaro.

    โส เอกทิวสํ ปจฺฉาภตฺตํ ปิณฺฑปาตปฺปฎิกฺกโนฺต อเนฺตวาสิเกสุ อตฺตโน อตฺตโน ทิวาฎฺฐานํ คเตสุ อุทกกุมฺภโต อุทกํ คเหตฺวา ปาเท ปกฺขาเลตฺวา คตฺตานิ สีติํ กตฺวา จมฺมกฺขณฺฑํ อตฺถริตฺวา ทิวาฎฺฐาเน ทิวาวิหารํ นิสิโนฺน อตฺตโน คุเณ อาวเชฺชสิฯ ตสฺส เต อเนกสตา อเนกสหสฺสา โปงฺขานุโปงฺขํ อุปฎฺฐหิํสุฯ โส ‘‘มยฺหํ ตาว สาวกสฺส สโต อิเม เอวรูปา คุณา, กีทิสา นุ โข มยฺหํ สตฺถุ คุณา’’ติ ภควโต คุณาภิมุขํ มนสิการํ เปเสสิฯ เต ตสฺส ญาณพลานุรูปํ อเนกโกฎิสหสฺสา อุปฎฺฐหิํสุฯ โส ‘‘เอวํสีโล เม สตฺถา เอวํธโมฺม เอวํปโญฺญ เอวํวิมุตฺตี’’ติอาทินา จ ‘‘อิติปิ โส ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ’’ติอาทินา จ อาวิภาวานุรูปํ สตฺถุ คุเณ อนุสฺสริตฺวา , ตโต ‘‘สฺวากฺขาโต’’ติอาทินา ธมฺมสฺส, ‘‘สุปฺปฎิปโนฺน’’ติอาทินา อริยสงฺฆสฺส จ คุเณ อนุสฺสริฯ เอวํ มหาเถโร อเนกาการโวการํ รตนตฺตยคุเณสุ อาวิภูเตสุ อตฺตมโน ปมุทิโต อุฬารปีติโสมนสฺสํ ปฎิสํเวเทโนฺต นิสีทิฯ ตมตฺถํ ทเสฺสตุํ ‘‘อายสฺมโต อุปเสนสฺส วงฺคนฺตปุตฺตสฺส รโหคตสฺสา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ

    So ekadivasaṃ pacchābhattaṃ piṇḍapātappaṭikkanto antevāsikesu attano attano divāṭṭhānaṃ gatesu udakakumbhato udakaṃ gahetvā pāde pakkhāletvā gattāni sītiṃ katvā cammakkhaṇḍaṃ attharitvā divāṭṭhāne divāvihāraṃ nisinno attano guṇe āvajjesi. Tassa te anekasatā anekasahassā poṅkhānupoṅkhaṃ upaṭṭhahiṃsu. So ‘‘mayhaṃ tāva sāvakassa sato ime evarūpā guṇā, kīdisā nu kho mayhaṃ satthu guṇā’’ti bhagavato guṇābhimukhaṃ manasikāraṃ pesesi. Te tassa ñāṇabalānurūpaṃ anekakoṭisahassā upaṭṭhahiṃsu. So ‘‘evaṃsīlo me satthā evaṃdhammo evaṃpañño evaṃvimuttī’’tiādinā ca ‘‘itipi so bhagavā arahaṃ sammāsambuddho’’tiādinā ca āvibhāvānurūpaṃ satthu guṇe anussaritvā , tato ‘‘svākkhāto’’tiādinā dhammassa, ‘‘suppaṭipanno’’tiādinā ariyasaṅghassa ca guṇe anussari. Evaṃ mahāthero anekākāravokāraṃ ratanattayaguṇesu āvibhūtesu attamano pamudito uḷārapītisomanassaṃ paṭisaṃvedento nisīdi. Tamatthaṃ dassetuṃ ‘‘āyasmato upasenassa vaṅgantaputtassa rahogatassā’’tiādi vuttaṃ.

    ตตฺถ รโหคตสฺสาติ รหสิ คตสฺสฯ ปฎิสลฺลีนสฺสาติ เอกีภูตสฺสฯ เอวํ เจตโส ปริวิตโกฺก อุทปาทีติ เอวํ อิทานิ วุจฺจมานากาโร จิตฺตสฺส วิตโกฺก อุปฺปชฺชิฯ ลาภา วต เมติ เย อิเม มนุสฺสตฺตพุทฺธุปฺปาทสทฺธาสมธิคมาทโย, อโห วต เม เอเต ลาภาฯ สุลทฺธํ วต เมติ ยญฺจิทํ มยา ภควโต สาสเน ปพฺพชฺชูปสมฺปทารตนตฺตยปยิรุปาสนาทิ ปฎิลทฺธํ, ตํ เม อโห วต สุฎฺฐุ ลทฺธํฯ ตตฺถ การณมาห ‘‘สตฺถา จ เม’’ติอาทินาฯ

    Tattha rahogatassāti rahasi gatassa. Paṭisallīnassāti ekībhūtassa. Evaṃ cetaso parivitakko udapādīti evaṃ idāni vuccamānākāro cittassa vitakko uppajji. Lābhā vata meti ye ime manussattabuddhuppādasaddhāsamadhigamādayo, aho vata me ete lābhā. Suladdhaṃ vata meti yañcidaṃ mayā bhagavato sāsane pabbajjūpasampadāratanattayapayirupāsanādi paṭiladdhaṃ, taṃ me aho vata suṭṭhu laddhaṃ. Tattha kāraṇamāha ‘‘satthā ca me’’tiādinā.

    ตตฺถ ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกปรมเตฺถหิ ยถารหํ สเตฺต อนุสาสตีติ สตฺถาฯ ภาคฺยวนฺตตาทีหิ การเณหิ ภควาฯ อารกตฺตา กิเลเสหิ, กิเลสารีนํ หตตฺตา, สํสารจกฺกสฺส วา อรานํ หตตฺตา, ปจฺจยาทีนํ อรหตฺตา, ปาปกรเณ รหาภาวา อรหํ ฯ สมฺมา สามญฺจ สพฺพธมฺมานํ พุทฺธตฺตา สมฺมาสมฺพุโทฺธติ อยเมตฺถ สเงฺขโป, วิตฺถาโร ปน วิสุทฺธิมเคฺค (วิสุทฺธิ. ๑.๑๒๓ อาทโย) พุทฺธานุสฺสตินิเทฺทสโต คเหตโพฺพฯ

    Tattha diṭṭhadhammikasamparāyikaparamatthehi yathārahaṃ satte anusāsatīti satthā. Bhāgyavantatādīhi kāraṇehi bhagavā. Ārakattā kilesehi, kilesārīnaṃ hatattā, saṃsāracakkassa vā arānaṃ hatattā, paccayādīnaṃ arahattā, pāpakaraṇe rahābhāvā arahaṃ. Sammā sāmañca sabbadhammānaṃ buddhattā sammāsambuddhoti ayamettha saṅkhepo, vitthāro pana visuddhimagge (visuddhi. 1.123 ādayo) buddhānussatiniddesato gahetabbo.

    สฺวากฺขาเตติ สุฎฺฐุ อกฺขาเต, เอกนฺตนิยฺยานิกํ กตฺวา ภาสิเตฯ ธมฺมวินเยติ ปาวจเนฯ ตญฺหิ ยถานุสิฎฺฐํ ปฎิปชฺชมานานํ สํสารทุกฺขปาตโต ธารเณน, ราคาทิกิเลเส วินยเนน จ ธมฺมวินโยติ วุจฺจติฯ สพฺรหฺมจาริโนติ เสฎฺฐเฎฺฐน พฺรหฺมสงฺขาตํ ภควโต สาสนํ อริยมคฺคํ สห จรนฺติ ปฎิปชฺชนฺตีติ สพฺรหฺมจาริโนฯ สีลวโนฺตติ มคฺคผลสีลวเสน สีลวโนฺตฯ กลฺยาณธมฺมาติ สมาธิปญฺญาวิมุตฺติวิมุตฺติญาณทสฺสนาทโย กลฺยาณา สุนฺทรา ธมฺมา เอเตสํ อตฺถีติ กลฺยาณธมฺมาฯ เอเตน สงฺฆสฺส สุปฺปฎิปตฺติํ ทเสฺสติฯ สีเลสุ จมฺหิ ปริปูรการีติ ‘‘อหมฺปิ ปพฺพชิตฺวา น ติรจฺฉานกถากถิโก กายทฬฺหิพหุโล หุตฺวา วิหาสิํ, อถ โข ปาติโมกฺขสํวราทิํ จตุพฺพิธมฺปิ สีลํ อขณฺฑํ อฉิทฺทํ อสพลํ อกมฺมาสํ ภุชิสฺสํ วิญฺญุปฺปสตฺถํ อปรามฎฺฐํ กตฺวา ปริปูเรโนฺต อริยมคฺคํเยว ปาเปสิ’’นฺติ วทติฯ เอเตน เหฎฺฐิมผลทฺวยสมฺปตฺติมตฺตโน ทีเปติฯ โสตาปนฺนสกทาคามิโน หิ สีเลสุ ปริปูรการิโนฯ สุสมาหิโต จมฺหิ เอกคฺคจิโตฺตติ อุปจารปฺปนาเภเทน สมาธินา สพฺพถาปิ สมาหิโต จ อมฺหิ อวิกฺขิตฺตจิโตฺตฯ อิมินา สมาธิสฺมิํ ปริปูรการิตาวจเนน ตติยผลสมฺปตฺติมตฺตโน ทีเปติฯ อนาคามิโน หิ สมาธิสฺมิํ ปริปูรการิโนฯ อรหา จมฺหิ ขีณาสโวติ กามาสวาทีนํ สพฺพโส ขีณตฺตา ขีณาสโว, ตโต เอว ปริกฺขีณภวสํโยชโน สเทวเก โลเก อคฺคทกฺขิเณยฺยตาย อรหา จมฺหิฯ เอเตน อตฺตโน กตกรณียตํ ทเสฺสติฯ มหิทฺธิโก จมฺหิ มหานุภาโวติ อธิฎฺฐานวิกุพฺพนาทิอิทฺธีสุ มหตา วสีภาเวน สมนฺนาคตตฺตา มหิทฺธิโก อุฬารสฺส ปุญฺญานุภาวสฺส คุณานุภาวสฺส จ สมฺปตฺติยา มหานุภาโว จ อสฺมิฯ เอเตน โลกิยาภิญฺญานวานุปุพฺพวิหารสมาปตฺติโยคมตฺตโน ทีเปติฯ อภิญฺญาสุ วสีภาเวน หิ อริยา ยถิจฺฉิตนิปฺผาทเนน มหิทฺธิกา, ปุพฺพูปนิสฺสยสมฺปตฺติยา นานาวิหารสมาปตฺตีหิ จ วิโสธิตสนฺตานตฺตา มหานุภาวา จ โหนฺตีติฯ

    Svākkhāteti suṭṭhu akkhāte, ekantaniyyānikaṃ katvā bhāsite. Dhammavinayeti pāvacane. Tañhi yathānusiṭṭhaṃ paṭipajjamānānaṃ saṃsāradukkhapātato dhāraṇena, rāgādikilese vinayanena ca dhammavinayoti vuccati. Sabrahmacārinoti seṭṭhaṭṭhena brahmasaṅkhātaṃ bhagavato sāsanaṃ ariyamaggaṃ saha caranti paṭipajjantīti sabrahmacārino. Sīlavantoti maggaphalasīlavasena sīlavanto. Kalyāṇadhammāti samādhipaññāvimuttivimuttiñāṇadassanādayo kalyāṇā sundarā dhammā etesaṃ atthīti kalyāṇadhammā. Etena saṅghassa suppaṭipattiṃ dasseti. Sīlesu camhi paripūrakārīti ‘‘ahampi pabbajitvā na tiracchānakathākathiko kāyadaḷhibahulo hutvā vihāsiṃ, atha kho pātimokkhasaṃvarādiṃ catubbidhampi sīlaṃ akhaṇḍaṃ achiddaṃ asabalaṃ akammāsaṃ bhujissaṃ viññuppasatthaṃ aparāmaṭṭhaṃ katvā paripūrento ariyamaggaṃyeva pāpesi’’nti vadati. Etena heṭṭhimaphaladvayasampattimattano dīpeti. Sotāpannasakadāgāmino hi sīlesu paripūrakārino. Susamāhito camhi ekaggacittoti upacārappanābhedena samādhinā sabbathāpi samāhito ca amhi avikkhittacitto. Iminā samādhismiṃ paripūrakāritāvacanena tatiyaphalasampattimattano dīpeti. Anāgāmino hi samādhismiṃ paripūrakārino. Arahā camhi khīṇāsavoti kāmāsavādīnaṃ sabbaso khīṇattā khīṇāsavo, tato eva parikkhīṇabhavasaṃyojano sadevake loke aggadakkhiṇeyyatāya arahā camhi. Etena attano katakaraṇīyataṃ dasseti. Mahiddhikocamhi mahānubhāvoti adhiṭṭhānavikubbanādiiddhīsu mahatā vasībhāvena samannāgatattā mahiddhiko uḷārassa puññānubhāvassa guṇānubhāvassa ca sampattiyā mahānubhāvo ca asmi. Etena lokiyābhiññānavānupubbavihārasamāpattiyogamattano dīpeti. Abhiññāsu vasībhāvena hi ariyā yathicchitanipphādanena mahiddhikā, pubbūpanissayasampattiyā nānāvihārasamāpattīhi ca visodhitasantānattā mahānubhāvā ca hontīti.

    ภทฺทกํ เม ชีวิตนฺติ เอวํวิธสีลาทิคุณสมนฺนาคตสฺส เม ยาวายํ กาโย ธรติ, ตาว สตฺตานํ หิตสุขเมว วฑฺฒติ, ปุญฺญเกฺขตฺตภาวโต ชีวิตมฺปิ เม ภทฺทกํ สุนฺทรํฯ ภทฺทกํ มรณนฺติ สเจ ปนิทํ ขนฺธปญฺจกํ อชฺช วา อิมสฺมิํเยว วา ขเณ อนุปาทาโน วิย ชาตเวโท นิพฺพายติ, ตํ อปฺปฎิสนฺธิกํ ปรินิพฺพานสงฺขาตํ มรณมฺปิ เม ภทฺทกนฺติ อุภยตฺถ ตาทิภาวํ ทีเปติฯ เอวํ มหาเถโร อปฺปหีนโสมนสฺสุปฺปิลาวิตวาสนุสฺสนฺนตฺตา อุฬารโสมนสฺสิโต ธมฺมพหุมาเนน ธมฺมปีติปฎิสํเวทเนน ปริวิตเกฺกสิฯ

    Bhaddakaṃ me jīvitanti evaṃvidhasīlādiguṇasamannāgatassa me yāvāyaṃ kāyo dharati, tāva sattānaṃ hitasukhameva vaḍḍhati, puññakkhettabhāvato jīvitampi me bhaddakaṃ sundaraṃ. Bhaddakaṃ maraṇanti sace panidaṃ khandhapañcakaṃ ajja vā imasmiṃyeva vā khaṇe anupādāno viya jātavedo nibbāyati, taṃ appaṭisandhikaṃ parinibbānasaṅkhātaṃ maraṇampi me bhaddakanti ubhayattha tādibhāvaṃ dīpeti. Evaṃ mahāthero appahīnasomanassuppilāvitavāsanussannattā uḷārasomanassito dhammabahumānena dhammapītipaṭisaṃvedanena parivitakkesi.

    ตํ สตฺถา คนฺธกุฎิยํ นิสิโนฺนว สพฺพญฺญุตญฺญาเณน ชานิตฺวา ชีวิเต มรเณ จ ตสฺส ตาทิภาววิภาวนํ อิมํ อุทานํ อุทาเนสิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อถ โข ภควา…เป.… อุทาเนสี’’ติฯ

    Taṃ satthā gandhakuṭiyaṃ nisinnova sabbaññutaññāṇena jānitvā jīvite maraṇe ca tassa tādibhāvavibhāvanaṃ imaṃ udānaṃ udānesi. Tena vuttaṃ – ‘‘atha kho bhagavā…pe… udānesī’’ti.

    ตตฺถ ยํ ชีวิตํ น ตปตีติ ยํ ขีณาสวปุคฺคลํ ชีวิตํ อายติํ ขนฺธปฺปวตฺติยา สเพฺพน สพฺพํ อภาวโต น ตปติ น พาธติ, วตฺตมานเมว วา ชีวิตํ สพฺพโส สงฺขตธมฺมตฺตา สติปญฺญาเวปุลฺลปฺปตฺติยา สพฺพตฺถ สติสมฺปชญฺญสมาโยคโต น พาธติฯ โย หิ อนฺธปุถุชฺชโน ปาปชนเสวี อโยนิโสมนสิการพหุโล อกตกุสโล อกตปุโญฺญ, โส ‘‘อกตํ วต เม กลฺยาณ’’นฺติอาทินา วิปฺปฎิสาเรน ตปตีติ ตสฺส ชีวิตํ ตํ ตปติ นามฯ อิตเร ปน อกตปาปา กตปุญฺญา กลฺยาณปุถุชฺชเนน สทฺธิํ สตฺต เสขา ตปนียธมฺมปริวชฺชเนน อตปนียธมฺมสมนฺนาคเมน จ ปจฺฉานุตาเปน น ตปนฺตีติ น เตสํ ชีวิตํ ตปติฯ ขีณาสเว ปน วตฺตพฺพเมว นตฺถีติ ปวตฺติทุกฺขวเสน อตฺถวณฺณนา กตาฯ

    Tattha yaṃ jīvitaṃ na tapatīti yaṃ khīṇāsavapuggalaṃ jīvitaṃ āyatiṃ khandhappavattiyā sabbena sabbaṃ abhāvato na tapati na bādhati, vattamānameva vā jīvitaṃ sabbaso saṅkhatadhammattā satipaññāvepullappattiyā sabbattha satisampajaññasamāyogato na bādhati. Yo hi andhaputhujjano pāpajanasevī ayonisomanasikārabahulo akatakusalo akatapuñño, so ‘‘akataṃ vata me kalyāṇa’’ntiādinā vippaṭisārena tapatīti tassa jīvitaṃ taṃ tapati nāma. Itare pana akatapāpā katapuññā kalyāṇaputhujjanena saddhiṃ satta sekhā tapanīyadhammaparivajjanena atapanīyadhammasamannāgamena ca pacchānutāpena na tapantīti na tesaṃ jīvitaṃ tapati. Khīṇāsave pana vattabbameva natthīti pavattidukkhavasena atthavaṇṇanā katā.

    มรณเนฺต น โสจตีติ มรณสงฺขาเต อเนฺต ปริโยสาเน, มรณสมีเป วา น โสจติ อนาคามิมเคฺคเนว โสกสฺส สมุคฺฆาติตตฺตาฯ ส เว ทิฎฺฐปโท ธีโร, โสกมเชฺฌ น โสจตีติ โส อนภิชฺฌาทีนํ จตุนฺนํ ธมฺมปทานํ นิพฺพานเสฺสว วา ทิฎฺฐตฺตา ทิฎฺฐปโท, ธิติสมฺปนฺนตฺตา ธีโร ขีณาสโว โสจนธมฺมตฺตา ‘‘โสกา’’ติ ลทฺธนามานํ อวีตราคานํ สตฺตานํ, โสกเหตูนํ วา โลกธมฺมานํ มเชฺฌ ฐตฺวาปิ น โสจติฯ

    Maraṇante na socatīti maraṇasaṅkhāte ante pariyosāne, maraṇasamīpe vā na socati anāgāmimaggeneva sokassa samugghātitattā. Sa ve diṭṭhapado dhīro, sokamajjhe na socatīti so anabhijjhādīnaṃ catunnaṃ dhammapadānaṃ nibbānasseva vā diṭṭhattā diṭṭhapado, dhitisampannattā dhīro khīṇāsavo socanadhammattā ‘‘sokā’’ti laddhanāmānaṃ avītarāgānaṃ sattānaṃ, sokahetūnaṃ vā lokadhammānaṃ majjhe ṭhatvāpi na socati.

    อิทานิสฺส สพฺพโส โสกเหตูนํ อภาวํ ทีเปตุํ ‘‘อุจฺฉินฺนภวตณฺหสฺสา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ยสฺส อคฺคมเคฺคน สพฺพโส อุจฺฉินฺนา ภวตณฺหา, โส อุจฺฉินฺนภวตโณฺหฯ ตสฺส อวเสสกิเลสานํ อนวเสสวูปสเมน สนฺตจิตฺตสฺส ขีณาสวภิกฺขุโนฯ วิกฺขีโณ ชาติสํสาโรติ ชาติอาทิโก –

    Idānissa sabbaso sokahetūnaṃ abhāvaṃ dīpetuṃ ‘‘ucchinnabhavataṇhassā’’tiādimāha. Tattha yassa aggamaggena sabbaso ucchinnā bhavataṇhā, so ucchinnabhavataṇho. Tassa avasesakilesānaṃ anavasesavūpasamena santacittassa khīṇāsavabhikkhuno. Vikkhīṇo jātisaṃsāroti jātiādiko –

    ‘‘ขนฺธานญฺจ ปฎิปาฎิ, ธาตุอายตนาน จ;

    ‘‘Khandhānañca paṭipāṭi, dhātuāyatanāna ca;

    อโพฺพจฺฉินฺนํ วตฺตมานา, ‘สํสาโร’ติ ปวุจฺจตี’’ติฯ –

    Abbocchinnaṃ vattamānā, ‘saṃsāro’ti pavuccatī’’ti. –

    วุตฺตลกฺขโณ สํสาโร วิเสสโต ขีโณฯ ตสฺมา นตฺถิ ตสฺส ปุนพฺภโวติ ยสฺมา ตสฺส เอวรูปสฺส อริยปุคฺคลสฺส อายติํ ปุนพฺภโว นตฺถิ, ตสฺมา ตสฺส ชาติสํสาโร ขีโณฯ กสฺมา ปนสฺส ปุนพฺภโว นตฺถิ? ยสฺมา อุจฺฉินฺนภวตโณฺห สนฺตจิโตฺต จ โหติ, ตสฺมาติ อาวเตฺตตฺวา วตฺตพฺพํฯ อถ วา วิกฺขีโณ ชาติสํสาโร, ตโต เอว นตฺถิ ตสฺส ปุนพฺภโวติ อโตฺถ โยเชตโพฺพฯ

    Vuttalakkhaṇo saṃsāro visesato khīṇo. Tasmā natthi tassa punabbhavoti yasmā tassa evarūpassa ariyapuggalassa āyatiṃ punabbhavo natthi, tasmā tassa jātisaṃsāro khīṇo. Kasmā panassa punabbhavo natthi? Yasmā ucchinnabhavataṇho santacitto ca hoti, tasmāti āvattetvā vattabbaṃ. Atha vā vikkhīṇo jātisaṃsāro, tato eva natthi tassa punabbhavoti attho yojetabbo.

    นวมสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Navamasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / อุทานปาฬิ • Udānapāḷi / ๙. อุปเสนสุตฺตํ • 9. Upasenasuttaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact