Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วินยวินิจฺฉย-ฎีกา • Vinayavinicchaya-ṭīkā

    อุโปสถกฺขนฺธกกถาวณฺณนา

    Uposathakkhandhakakathāvaṇṇanā

    ๒๕๕๑-๒. ยา เอกาทสหิ สีมาวิปตฺตีหิ วชฺชิตา ติสมฺปตฺติสํยุตา นิมิเตฺตน นิมิตฺตํ ฆเฎตฺวา สมฺมตา, สา อยํ พทฺธสีมา นาม สิยาติ โยชนาฯ ตตฺถ อติขุทฺทกา, อติมหตี, ขณฺฑนิมิตฺตา, ฉายานิมิตฺตา, อนิมิตฺตา, พหิสีเม ฐิตสมฺมตา, นทิยา สมฺมตา, สมุเทฺท สมฺมตา, ชาตสฺสเร สมฺมตา, สีมาย สีมํ สมฺภินฺทเนฺตน สมฺมตา, สีมาย สีมํ อโชฺฌตฺถรเนฺตน สมฺมตาติ ‘‘อิเมหิ เอกาทสหิ อากาเรหิ สีมโต กมฺมานิ วิปชฺชนฺตี’’ติ (ปริ. ๔๘๖) วจนโต อิมา เอกาทส วิปตฺติสีมาโย นาม, วิปนฺนสีมาติ วุตฺตํ โหติฯ

    2551-2. Yā ekādasahi sīmāvipattīhi vajjitā tisampattisaṃyutā nimittena nimittaṃ ghaṭetvā sammatā, sā ayaṃ baddhasīmā nāma siyāti yojanā. Tattha atikhuddakā, atimahatī, khaṇḍanimittā, chāyānimittā, animittā, bahisīme ṭhitasammatā, nadiyā sammatā, samudde sammatā, jātassare sammatā, sīmāya sīmaṃ sambhindantena sammatā, sīmāya sīmaṃ ajjhottharantena sammatāti ‘‘imehi ekādasahi ākārehi sīmato kammāni vipajjantī’’ti (pari. 486) vacanato imā ekādasa vipattisīmāyo nāma, vipannasīmāti vuttaṃ hoti.

    ตตฺถ อติขุทฺทกา นาม ยตฺถ เอกวีสติ ภิกฺขู นิสีทิตุํ น สโกฺกนฺติฯ อติมหตี นาม ยา อนฺตมโส เกสคฺคมเตฺตนาปิ ติโยชนํ อติกฺกมิตฺวา สมฺมตาฯ ขณฺฑนิมิตฺตา นาม อฆฎิตนิมิตฺตา วุจฺจติฯ ปุรตฺถิมาย ทิสาย นิมิตฺตํ กิเตฺตตฺวา อนุกฺกเมเนว ทกฺขิณาย, ปจฺฉิมาย, อุตฺตราย ทิสาย กิเตฺตตฺวา ปุน ปุรตฺถิมาย ทิสาย ปุพฺพกิตฺติตํ ปฎิกิเตฺตตฺวา ฐเปตุํ วฎฺฎติ, เอวํ อขณฺฑนิมิตฺตา โหติฯ สเจ ปน อนุกฺกเมน อาหริตฺวา อุตฺตราย ทิสาย นิมิตฺตํ กิเตฺตตฺวา ตเตฺถว ฐเปติ, ขณฺฑนิมิตฺตา นาม โหติฯ อปราปิ ขณฺฑนิมิตฺตา นาม ยา อนิมิตฺตุปคํ ตจสารรุกฺขํ วา ขาณุกํ วา ปํสุปุญฺชวาลิกาปุญฺชานํ วา อญฺญตรํ อนฺตรา เอกํ นิมิตฺตํ กตฺวา สมฺมตาฯ ฉายานิมิตฺตา นาม ปพฺพตจฺฉายาทีนํ ยํ กิญฺจิ ฉายํ นิมิตฺตํ กตฺวา สมฺมตาฯ อนิมิตฺตา นาม สเพฺพน สพฺพํ นิมิตฺตานิ อกิเตฺตตฺวา สมฺมตาฯ พหิสีเม ฐิตสมฺมตา นาม นิมิตฺตานิ กิเตฺตตฺวา นิมิตฺตานํ พหิ ฐิเตน สมฺมตาฯ

    Tattha atikhuddakā nāma yattha ekavīsati bhikkhū nisīdituṃ na sakkonti. Atimahatī nāma yā antamaso kesaggamattenāpi tiyojanaṃ atikkamitvā sammatā. Khaṇḍanimittā nāma aghaṭitanimittā vuccati. Puratthimāya disāya nimittaṃ kittetvā anukkameneva dakkhiṇāya, pacchimāya, uttarāya disāya kittetvā puna puratthimāya disāya pubbakittitaṃ paṭikittetvā ṭhapetuṃ vaṭṭati, evaṃ akhaṇḍanimittā hoti. Sace pana anukkamena āharitvā uttarāya disāya nimittaṃ kittetvā tattheva ṭhapeti, khaṇḍanimittā nāma hoti. Aparāpi khaṇḍanimittā nāma yā animittupagaṃ tacasārarukkhaṃ vā khāṇukaṃ vā paṃsupuñjavālikāpuñjānaṃ vā aññataraṃ antarā ekaṃ nimittaṃ katvā sammatā. Chāyānimittā nāma pabbatacchāyādīnaṃ yaṃ kiñci chāyaṃ nimittaṃ katvā sammatā. Animittā nāma sabbena sabbaṃ nimittāni akittetvā sammatā. Bahisīme ṭhitasammatā nāma nimittāni kittetvā nimittānaṃ bahi ṭhitena sammatā.

    นทิยา สมุเทฺท ชาตสฺสเร สมฺมตา นาม เอเตสุ นทิอาทีสุ สมฺมตาฯ สา หิ เอวํ สมฺมตาปิ ‘‘สพฺพา, ภิกฺขเว, นที อสีมา, สโพฺพ สมุโทฺท อสีโม, สโพฺพ ชาตสฺสโร อสีโม’’ติ (มหาว. ๑๔๘) วจนโต อสมฺมตาว โหติฯ สีมาย สีมํ สมฺภินฺทเนฺตน สมฺมตา นาม อตฺตโน สีมาย ปเรสํ สีมํ สมฺภินฺทเนฺตน สมฺมตาฯ สเจ หิ โปราณกสฺส วิหารสฺส ปุรตฺถิมาย ทิสาย อโมฺพ เจว ชมฺพู จาติ เทฺว รุกฺขา อญฺญมญฺญํ สํสฎฺฐวิฎปา โหนฺติ, เตสุ อมฺพสฺส ปจฺฉิมทิสาภาเค ชมฺพู, วิหารสีมา จ ชมฺพุํ อโนฺต กตฺวา อมฺพํ กิเตฺตตฺวา พทฺธา โหติ, อถ ปจฺฉา ตสฺส วิหารสฺส ปุรตฺถิมาย ทิสาย วิหาเร กเต สีมํ พนฺธนฺตา ภิกฺขู ตํ อมฺพํ อโนฺต กตฺวา ชมฺพุํ กิเตฺตตฺวา พนฺธนฺติ, สีมาย สีมํ สมฺภินฺนา โหติฯ สีมาย สีมํ อโชฺฌตฺถรเนฺตน สมฺมตา นาม อตฺตโน สีมาย ปเรสํ สีมํ อโชฺฌตฺถรเนฺตน สมฺมตาฯ สเจ หิ ปเรสํ พทฺธสีมํ สกลํ วา ตสฺสา ปเทสํ วา อโนฺต กตฺวา อตฺตโน สีมํ สมฺมนฺนติ, สีมาย สีมา อโชฺฌตฺถริตา นาม โหตีติฯ อิติ อิมาหิ เอกาทสหิ วิปตฺติสีมาหิ วชฺชิตาติ อโตฺถฯ

    Nadiyā samudde jātassare sammatā nāma etesu nadiādīsu sammatā. Sā hi evaṃ sammatāpi ‘‘sabbā, bhikkhave, nadī asīmā, sabbo samuddo asīmo, sabbo jātassaro asīmo’’ti (mahāva. 148) vacanato asammatāva hoti. Sīmāya sīmaṃ sambhindantena sammatā nāma attano sīmāya paresaṃ sīmaṃ sambhindantena sammatā. Sace hi porāṇakassa vihārassa puratthimāya disāya ambo ceva jambū cāti dve rukkhā aññamaññaṃ saṃsaṭṭhaviṭapā honti, tesu ambassa pacchimadisābhāge jambū, vihārasīmā ca jambuṃ anto katvā ambaṃ kittetvā baddhā hoti, atha pacchā tassa vihārassa puratthimāya disāya vihāre kate sīmaṃ bandhantā bhikkhū taṃ ambaṃ anto katvā jambuṃ kittetvā bandhanti, sīmāya sīmaṃ sambhinnā hoti. Sīmāya sīmaṃ ajjhottharantena sammatā nāma attano sīmāya paresaṃ sīmaṃ ajjhottharantena sammatā. Sace hi paresaṃ baddhasīmaṃ sakalaṃ vā tassā padesaṃ vā anto katvā attano sīmaṃ sammannati, sīmāya sīmā ajjhottharitā nāma hotīti. Iti imāhi ekādasahi vipattisīmāhi vajjitāti attho.

    ติสมฺปตฺติสํยุตาติ นิมิตฺตสมฺปตฺติ, ปริสาสมฺปตฺติ, กมฺมวาจาสมฺปตฺตีติ อิมาหิ ตีหิ สมฺปตฺตีหิ สมนฺนาคตาฯ ตตฺถ นิมิตฺตสมฺปตฺติยุตฺตา นาม ‘‘ปพฺพตนิมิตฺตํ, ปาสาณนิมิตฺตํ, วนนิมิตฺตํ, รุกฺขนิมิตฺตํ, มคฺคนิมิตฺตํ, วมฺมิกนิมิตฺตํ, นทินิมิตฺตํ, อุทกนิมิตฺต’’นฺติ (มหาว. ๑๓๘) เอวํ วุเตฺตสุ อฎฺฐสุ นิมิเตฺตสุ ตสฺมิํ ตสฺมิํ ทิสาภาเค ยถาลทฺธานิ นิมิตฺตุปคานิ นิมิตฺตานิ ‘‘ปุรตฺถิมาย ทิสาย กิํ นิมิตฺตํ? ปพฺพโต, ภเนฺต, เอโส ปพฺพโต นิมิตฺต’’นฺติอาทินา นเยน สมฺมา กิเตฺตตฺวา สมฺมตาฯ

    Tisampattisaṃyutāti nimittasampatti, parisāsampatti, kammavācāsampattīti imāhi tīhi sampattīhi samannāgatā. Tattha nimittasampattiyuttā nāma ‘‘pabbatanimittaṃ, pāsāṇanimittaṃ, vananimittaṃ, rukkhanimittaṃ, magganimittaṃ, vammikanimittaṃ, nadinimittaṃ, udakanimitta’’nti (mahāva. 138) evaṃ vuttesu aṭṭhasu nimittesu tasmiṃ tasmiṃ disābhāge yathāladdhāni nimittupagāni nimittāni ‘‘puratthimāya disāya kiṃ nimittaṃ? Pabbato, bhante, eso pabbato nimitta’’ntiādinā nayena sammā kittetvā sammatā.

    ปริสาสมฺปตฺติยุตฺตา นาม สพฺพนฺติเมน ปริเจฺฉเทน จตูหิ ภิกฺขูหิ สนฺนิปติตฺวา ยาวติกา ตสฺมิํ คามเขเตฺต พทฺธสีมํ วา นทิสมุทฺทชาตสฺสเร วา อโนกฺกมิตฺวา ฐิตา ภิกฺขู, เต สเพฺพ หตฺถปาเส วา กตฺวา, ฉนฺทํ วา อาหริตฺวา สมฺมตาฯ

    Parisāsampattiyuttā nāma sabbantimena paricchedena catūhi bhikkhūhi sannipatitvā yāvatikā tasmiṃ gāmakhette baddhasīmaṃ vā nadisamuddajātassare vā anokkamitvā ṭhitā bhikkhū, te sabbe hatthapāse vā katvā, chandaṃ vā āharitvā sammatā.

    กมฺมวาจาสมฺปตฺติยุตฺตา นาม ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต สโงฺฆ, ยาวตา สมนฺตา นิมิตฺตา กิตฺติตา’’ติอาทินา (มหาว. ๑๓๙) นเยน วุตฺตาย ปริสุทฺธาย ญตฺติทุติยกมฺมวาจาย สมฺมตาฯ เอวํ เอกาทส วิปตฺติสีมาโย อติกฺกมิตฺวา ติวิธสมฺปตฺติยุตฺตา นิมิเตฺตน นิมิตฺตํ ฆเฎตฺวา สมฺมตา สีมา พทฺธสีมาติ เวทิตพฺพาฯ

    Kammavācāsampattiyuttā nāma ‘‘suṇātu me, bhante saṅgho, yāvatā samantā nimittā kittitā’’tiādinā (mahāva. 139) nayena vuttāya parisuddhāya ñattidutiyakammavācāya sammatā. Evaṃ ekādasa vipattisīmāyo atikkamitvā tividhasampattiyuttā nimittena nimittaṃ ghaṭetvā sammatā sīmā baddhasīmāti veditabbā.

    ๒๕๕๓-๔. ขณฺฑสมานสํวาสอวิปฺปวาสา อาทโย อาทิภูตา, อาทิมฺหิ วา ยาสํ สีมานํ ตา ขณฺฑสมานสํวาสาวิปฺปวาสาที, ตาสํ, ตาหิ วา ปเภโท ขณฺฑสมานสํวาสาทิเภโท, ตโต ขณฺฑสมานสํวาสาทิเภทโต, ขณฺฑสีมา, สมานสํวาสสีมา, อวิปฺปวาสสีมาติ อิมาสํ สีมานํ เอตาหิ วา กรณภูตาหิ, เหตุภูตาหิ วา ชาเตน วิภาเคนาติ วุตฺตํ โหติฯ สมานสํวาสาวิปฺปวาสานมนฺตเร ขณฺฑา ปริจฺฉินฺนา ตาหิ อสงฺกรา สีมา ขณฺฑสีมา นามฯ สมานสํวาเสหิ ภิกฺขูหิ เอกโต อุโปสถาทิโก สํวาโส เอตฺถ กรียตีติ สมานสํวาสา นามฯ อวิปฺปวาสาย ลกฺขณํ ‘‘พนฺธิตฺวา’’ติอาทินา วกฺขติฯ อิติ พทฺธา ติธา วุตฺตาติ เอวํ พทฺธสีมา ติปฺปเภทา วุตฺตาฯ

    2553-4. Khaṇḍasamānasaṃvāsaavippavāsā ādayo ādibhūtā, ādimhi vā yāsaṃ sīmānaṃ tā khaṇḍasamānasaṃvāsāvippavāsādī, tāsaṃ, tāhi vā pabhedo khaṇḍasamānasaṃvāsādibhedo, tato khaṇḍasamānasaṃvāsādibhedato, khaṇḍasīmā, samānasaṃvāsasīmā, avippavāsasīmāti imāsaṃ sīmānaṃ etāhi vā karaṇabhūtāhi, hetubhūtāhi vā jātena vibhāgenāti vuttaṃ hoti. Samānasaṃvāsāvippavāsānamantare khaṇḍā paricchinnā tāhi asaṅkarā sīmā khaṇḍasīmā nāma. Samānasaṃvāsehi bhikkhūhi ekato uposathādiko saṃvāso ettha karīyatīti samānasaṃvāsā nāma. Avippavāsāya lakkhaṇaṃ ‘‘bandhitvā’’tiādinā vakkhati. Iti baddhā tidhā vuttāti evaṃ baddhasīmā tippabhedā vuttā.

    อุทกุเกฺขปาติ เหตุมฺหิ นิสฺสกฺกวจนํฯ สตฺตนฺนํ อพฺภนฺตรานํ สมาหารา สตฺตพฺภนฺตรา, ตโตปิ จฯ อพทฺธาปิ ติวิธาติ สมฺพโนฺธฯ ตตฺถาติ ตาสุ ตีสุ อพทฺธสีมาสุฯ คามปริเจฺฉโทติ สพฺพทิสาสุ สีมํ ปริจฺฉินฺทิตฺวา ‘‘อิมสฺส ปเทสสฺส เอตฺตโก กโร’’ติ เอวํ กเรน นิยมิโต คามปฺปเทโสฯ ยถาห – ‘‘ยตฺตเก ปเทเส ตสฺส คามสฺส โภชกา พลิํ หรนฺติ , โส ปเทโส อโปฺป วา โหตุ มหโนฺต วา, ‘คามสีมา’เตฺวว สงฺขฺยํ คจฺฉติฯ ยมฺปิ เอกสฺมิํเยว คามเกฺขเตฺต เอกํ ปเทสํ ‘อยํ วิสุํ คาโม โหตู’ติ ปริจฺฉินฺทิตฺวา ราชา กสฺสจิ เทติ, โสปิ วิสุํคามสีมา โหติเยวา’’ติ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๔๗)ฯ

    Udakukkhepāti hetumhi nissakkavacanaṃ. Sattannaṃ abbhantarānaṃ samāhārā sattabbhantarā, tatopi ca. Abaddhāpi tividhāti sambandho. Tatthāti tāsu tīsu abaddhasīmāsu. Gāmaparicchedoti sabbadisāsu sīmaṃ paricchinditvā ‘‘imassa padesassa ettako karo’’ti evaṃ karena niyamito gāmappadeso. Yathāha – ‘‘yattake padese tassa gāmassa bhojakā baliṃ haranti , so padeso appo vā hotu mahanto vā, ‘gāmasīmā’tveva saṅkhyaṃ gacchati. Yampi ekasmiṃyeva gāmakkhette ekaṃ padesaṃ ‘ayaṃ visuṃ gāmo hotū’ti paricchinditvā rājā kassaci deti, sopi visuṃgāmasīmā hotiyevā’’ti (mahāva. aṭṭha. 147).

    ‘‘คามปริเจฺฉโท’’ติ อิมินา จ นครปริเจฺฉโท จ สงฺคหิโตฯ ยถาห – ‘‘คามคฺคหเณน เจตฺถ นครมฺปิ คหิตเมว โหตี’’ติ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๔๗)ฯ นิคมสีมาย วิสุํเยว วุตฺตตฺตา ตสฺสา อิธ สงฺคโห น วตฺตโพฺพฯ วุตฺตญฺหิ ปาฬิยํ ‘‘ยํ คามํ วา นิคมํ วา อุปนิสฺสาย วิหรติฯ ยา ตสฺส วา คามสฺส คามสีมา, นิคมสฺส วา นิคมสีมา, อยํ ตตฺถ สมานสํวาสา เอกุโปสถา’’ติ (มหาว. ๑๔๗)ฯ อิมิสฺสา วิสุํเยว ลกฺขณสฺส วุตฺตตฺตา คามสีมาลกฺขเณเนว อุปลกฺขิตาฯ

    ‘‘Gāmaparicchedo’’ti iminā ca nagaraparicchedo ca saṅgahito. Yathāha – ‘‘gāmaggahaṇena cettha nagarampi gahitameva hotī’’ti (mahāva. aṭṭha. 147). Nigamasīmāya visuṃyeva vuttattā tassā idha saṅgaho na vattabbo. Vuttañhi pāḷiyaṃ ‘‘yaṃ gāmaṃ vā nigamaṃ vā upanissāya viharati. Yā tassa vā gāmassa gāmasīmā, nigamassa vā nigamasīmā, ayaṃ tattha samānasaṃvāsā ekuposathā’’ti (mahāva. 147). Imissā visuṃyeva lakkhaṇassa vuttattā gāmasīmālakkhaṇeneva upalakkhitā.

    ๒๕๕๕. ‘‘ชาตสฺสเร’’ติอาทีสุ ชาตสฺสราทีนํ ลกฺขณํ เอวํ เวทิตพฺพํ – โย ปน เกนจิ ขณิตฺวา อกโต สยํชาโต โสโพฺภ สมนฺตโต อาคเตน อุทเกน ปูริโต ติฎฺฐติ, ยตฺถ นทิยํ วกฺขมานปฺปกาเร วสฺสกาเล อุทกํ สนฺติฎฺฐติ, อยํ ชาตสฺสโร นามฯ โยปิ นทิํ วา สมุทฺทํ วา ภินฺทิตฺวา นิกฺขนฺตอุทเกน ขณิโต โสโพฺภ เอตํ ลกฺขณํ ปาปุณาติ, อยมฺปิ ชาตสฺสโรเยวฯ สมุโทฺท ปากโฎเยวฯ

    2555.‘‘Jātassare’’tiādīsu jātassarādīnaṃ lakkhaṇaṃ evaṃ veditabbaṃ – yo pana kenaci khaṇitvā akato sayaṃjāto sobbho samantato āgatena udakena pūrito tiṭṭhati, yattha nadiyaṃ vakkhamānappakāre vassakāle udakaṃ santiṭṭhati, ayaṃ jātassaro nāma. Yopi nadiṃ vā samuddaṃ vā bhinditvā nikkhantaudakena khaṇito sobbho etaṃ lakkhaṇaṃ pāpuṇāti, ayampi jātassaroyeva. Samuddo pākaṭoyeva.

    ยสฺสา ธมฺมิกานํ ราชูนํ กาเล อนฺวฑฺฒมาสํ อนุทสาหํ อนุปญฺจาหํ อนติกฺกมิตฺวา เทเว วสฺสเนฺต วลาหเกสุ วิคตมเตฺตสุ โสตํ ปจฺฉิชฺชติ, อยํ นทิสงฺขฺยํ น คจฺฉติฯ ยสฺสา ปน อีทิเส สุวุฎฺฐิกาเล วสฺสานสฺส จตุมาเส โสตํ น ปจฺฉิชฺชติ, ยตฺถ ติเตฺถน วา อติเตฺถน วา สิกฺขากรณีเย อาคตลกฺขเณน ติมณฺฑลํ ปฎิจฺฉาเทตฺวา อนฺตรวาสกํ อนุกฺขิปิตฺวา อุตฺตรนฺติยา ภิกฺขุนิยา เอกทฺวงฺคุลมตฺตมฺปิ อนฺตรวาสโก เตมิยติ, อยํ สมุทฺทํ วา ปวิสตุ ตฬากํ วา, ปภวโต ปฎฺฐาย นที นามฯ

    Yassā dhammikānaṃ rājūnaṃ kāle anvaḍḍhamāsaṃ anudasāhaṃ anupañcāhaṃ anatikkamitvā deve vassante valāhakesu vigatamattesu sotaṃ pacchijjati, ayaṃ nadisaṅkhyaṃ na gacchati. Yassā pana īdise suvuṭṭhikāle vassānassa catumāse sotaṃ na pacchijjati, yattha titthena vā atitthena vā sikkhākaraṇīye āgatalakkhaṇena timaṇḍalaṃ paṭicchādetvā antaravāsakaṃ anukkhipitvā uttarantiyā bhikkhuniyā ekadvaṅgulamattampi antaravāsako temiyati, ayaṃ samuddaṃ vā pavisatu taḷākaṃ vā, pabhavato paṭṭhāya nadī nāma.

    สมนฺตโตติ สมนฺตาฯ มชฺฌิมสฺสาติ ถามมชฺฌิมสฺส ปุริสสฺสฯ อุทกุเกฺขโปติ วกฺขมาเนน นเยน ถามปฺปมาเณน ขิตฺตสฺส อุทกสฺส วา วาลุกาย วา ปติตฎฺฐาเนน ปริจฺฉิโนฺน อโนฺตปเทโสฯ ยถา อกฺขธุตฺตา ทารุคุฬํ ขิปนฺติ, เอวํ อุทกํ วา วาลุกํ วา หเตฺถน คเหตฺวา ถามมชฺฌิเมน ปุริเสน สพฺพถาเมน ขิปิตพฺพํ, ตตฺถ ยตฺถ เอวํ ขิตฺตํ อุทกํ วา วาลุกา วา ปตติ, อยํ อุทกุเกฺขโป นามาติฯ อุทกุเกฺขปสญฺญิโตติ ‘‘อุทกุเกฺขโป’’ติ สลฺลกฺขิโตฯ

    Samantatoti samantā. Majjhimassāti thāmamajjhimassa purisassa. Udakukkhepoti vakkhamānena nayena thāmappamāṇena khittassa udakassa vā vālukāya vā patitaṭṭhānena paricchinno antopadeso. Yathā akkhadhuttā dāruguḷaṃ khipanti, evaṃ udakaṃ vā vālukaṃ vā hatthena gahetvā thāmamajjhimena purisena sabbathāmena khipitabbaṃ, tattha yattha evaṃ khittaṃ udakaṃ vā vālukā vā patati, ayaṃ udakukkhepo nāmāti. Udakukkhepasaññitoti ‘‘udakukkhepo’’ti sallakkhito.

    ๒๕๕๖. อคามเก อรเญฺญติ วิญฺฌาฎวิสทิเส คามรหิเต มหาอรเญฺญฯ สมนฺตโต สเตฺตวพฺภนฺตราติ อตฺตโน ฐิตฎฺฐานโต ปริกฺขิปิตฺวา สเตฺตว อพฺภนฺตรา ยสฺสา สีมาย ปริเจฺฉโท, อยํ สตฺตพฺภนฺตรนามิกา สีมา นามฯ

    2556.Agāmake araññeti viñjhāṭavisadise gāmarahite mahāaraññe. Samantato sattevabbhantarāti attano ṭhitaṭṭhānato parikkhipitvā satteva abbhantarā yassā sīmāya paricchedo, ayaṃ sattabbhantaranāmikā sīmā nāma.

    ๒๕๕๗. คุฬุเกฺขปนเยนาติ อกฺขธุตฺตกานํ ทารุคุฬุกฺขิปนากาเรนฯ อุทกุเกฺขปกาติ อุทกุเกฺขปสทิสวเสนฯ

    2557.Guḷukkhepanayenāti akkhadhuttakānaṃ dāruguḷukkhipanākārena. Udakukkhepakāti udakukkhepasadisavasena.

    ๒๕๕๘. อิมาสํ ทฺวินฺนํ สีมานํ วฑฺฒนกฺกมํ ทเสฺสตุมาห ‘‘อพฺภนฺตรูทกุเกฺขปา, ฐิโตกาสา ปรํ สิยุ’’นฺติฯ ฐิโตกาสา ปรนฺติ ปริสาย ฐิตฎฺฐานโต ปรํ, ปริสปริยนฺตโต ปฎฺฐาย สตฺตพฺภนฺตรา จ มินิตพฺพา, อุทกุเกฺขโป จ กาตโพฺพติ อโตฺถฯ

    2558. Imāsaṃ dvinnaṃ sīmānaṃ vaḍḍhanakkamaṃ dassetumāha ‘‘abbhantarūdakukkhepā, ṭhitokāsā paraṃ siyu’’nti. Ṭhitokāsā paranti parisāya ṭhitaṭṭhānato paraṃ, parisapariyantato paṭṭhāya sattabbhantarā ca minitabbā, udakukkhepo ca kātabboti attho.

    ๒๕๕๙-๖๐. อโนฺตปริเจฺฉเทติ อุทกุเกฺขเปน วา สตฺตพฺภนฺตเรหิ วา ปริจฺฉิโนฺนกาสสฺส อโนฺตฯ หตฺถปาสํ วิหาย ฐิโต วา ปรํ ตตฺตกํ ปริเจฺฉทํ อนติกฺกมฺม ฐิโต วาติ โยชนา, สีมนฺตริกตฺถาย ฐเปตพฺพํ เอกํ อุทกุเกฺขปํ วา สตฺตพฺภนฺตรํ เอว วา อนติกฺกมฺม ฐิโตติ อโตฺถฯ

    2559-60.Antoparicchedeti udakukkhepena vā sattabbhantarehi vā paricchinnokāsassa anto. Hatthapāsaṃ vihāya ṭhito vā paraṃ tattakaṃ paricchedaṃ anatikkamma ṭhito vāti yojanā, sīmantarikatthāya ṭhapetabbaṃ ekaṃ udakukkhepaṃ vā sattabbhantaraṃ eva vā anatikkamma ṭhitoti attho.

    กมฺมํ วิโกเปตีติ อโนฺต ฐิโต กมฺมสฺส วคฺคภาวกรณโต, พหิ ตตฺตกํ ปเทสํ อนติกฺกมิตฺวา ฐิโต อญฺญสฺส สงฺฆสฺส คณปูรณภาวํ คจฺฉโนฺต สีมาย สงฺกรภาวกรเณน กมฺมํ วิโกเปติฯ อิติ ยสฺมา อฎฺฐกถานโย, ตสฺมา โส อโนฺตสีมาย หตฺถปาสํ วิชหิตฺวา ฐิโต หตฺถปาเส วา กาตโพฺพ, สีมนฺตริกตฺถาย ปริจฺฉิโนฺนกาสโต พหิ วา กาตโพฺพฯ ตตฺตกํ ปริเจฺฉทํ อนติกฺกมิตฺวา ฐิโต ยถาฐิโตว สเจ อญฺญสฺส กมฺมสฺส คณปูรโก น โหติ, กมฺมํ น โกเปตีติ คเหตพฺพํฯ

    Kammaṃ vikopetīti anto ṭhito kammassa vaggabhāvakaraṇato, bahi tattakaṃ padesaṃ anatikkamitvā ṭhito aññassa saṅghassa gaṇapūraṇabhāvaṃ gacchanto sīmāya saṅkarabhāvakaraṇena kammaṃ vikopeti. Iti yasmā aṭṭhakathānayo, tasmā so antosīmāya hatthapāsaṃ vijahitvā ṭhito hatthapāse vā kātabbo, sīmantarikatthāya paricchinnokāsato bahi vā kātabbo. Tattakaṃ paricchedaṃ anatikkamitvā ṭhito yathāṭhitova sace aññassa kammassa gaṇapūrako na hoti, kammaṃ na kopetīti gahetabbaṃ.

    ๒๕๖๑-๒. สณฺฐานนฺติ ติโกฎิสณฺฐานํฯ นิมิตฺตนฺติ ปพฺพตาทินิมิตฺตํฯ ทิสกิตฺตนนฺติ ‘‘ปุรตฺถิมาย ทิสาย กิํ นิมิตฺต’’นฺติอาทินา ทิสากิตฺตนํฯ ปมาณนฺติ ติโยชนปรมํ ปมาณํ ฯ โสเธตฺวาติ ยสฺมิํ คามเกฺขเตฺต สีมํ พนฺธติ, ตตฺถ วสเนฺต อุปสมฺปนฺนภิกฺขู พทฺธสีมวิหาเร วสเนฺต สีมาย พหิ คนฺตุํ อทตฺวา, อพทฺธสีมวิหาเร วสเนฺต หตฺถปาสํ อุปเนตเพฺพ หตฺถปาสํ เนตฺวา อวเสเส พหิสีมาย กตฺวา สพฺพมเคฺคสุ อารกฺขํ วิทหิตฺวาติ วุตฺตํ โหติฯ สีมนฺติ ขณฺฑสีมํฯ

    2561-2.Saṇṭhānanti tikoṭisaṇṭhānaṃ. Nimittanti pabbatādinimittaṃ. Disakittananti ‘‘puratthimāya disāya kiṃ nimitta’’ntiādinā disākittanaṃ. Pamāṇanti tiyojanaparamaṃ pamāṇaṃ . Sodhetvāti yasmiṃ gāmakkhette sīmaṃ bandhati, tattha vasante upasampannabhikkhū baddhasīmavihāre vasante sīmāya bahi gantuṃ adatvā, abaddhasīmavihāre vasante hatthapāsaṃ upanetabbe hatthapāsaṃ netvā avasese bahisīmāya katvā sabbamaggesu ārakkhaṃ vidahitvāti vuttaṃ hoti. Sīmanti khaṇḍasīmaṃ.

    กีทิสนฺติ อาห ‘‘ติโกณ’’นฺติอาทิฯ ปณวูปมนฺติ ปณวสณฺฐานํ มเชฺฌ สํขิตฺตํ อุภยโกฎิยา วิตฺถตํฯ ‘‘วิตานาการํ ธนุกาการ’’นฺติ อาการ-สโทฺท ปเจฺจกํ โยเชตโพฺพฯ ธนุกาการนฺติ อาโรปิตธนุสณฺฐานํ, ‘‘มุทิงฺคูปมํ สกฎูปม’’นฺติ อุปมา-สโทฺท ปเจฺจกํ โยเชตโพฺพฯ มุทิงฺคูปมนฺติ มเชฺฌ วิตฺถตํ อุภยโกฎิยา ตนุกํ ตุริยวิเสสํ มุทิงฺคนฺติ วทนฺติ, ตาทิสนฺติ อโตฺถฯ สีมํ พเนฺธยฺยาติ โยชนาฯ

    Kīdisanti āha ‘‘tikoṇa’’ntiādi. Paṇavūpamanti paṇavasaṇṭhānaṃ majjhe saṃkhittaṃ ubhayakoṭiyā vitthataṃ. ‘‘Vitānākāraṃ dhanukākāra’’nti ākāra-saddo paccekaṃ yojetabbo. Dhanukākāranti āropitadhanusaṇṭhānaṃ, ‘‘mudiṅgūpamaṃ sakaṭūpama’’nti upamā-saddo paccekaṃ yojetabbo. Mudiṅgūpamanti majjhe vitthataṃ ubhayakoṭiyā tanukaṃ turiyavisesaṃ mudiṅganti vadanti, tādisanti attho. Sīmaṃ bandheyyāti yojanā.

    ๒๕๖๓. ปพฺพตาทินิมิตฺตุปคนิมิตฺตานิ ทเสฺสตุมาห ‘‘ปพฺพต’’นฺติอาทิฯ อิติ อฎฺฐ นิมิตฺตานิ ทีปเยติ โยชนาฯ ตเตฺรวํ สเงฺขปโต นิมิตฺตุปคตา เวทิตพฺพา – สุทฺธปํสุสุทฺธปาสาณอุภยมิสฺสกวเสน (กงฺขา. อฎฺฐ. นิทานวณฺณนา; มหาว. อฎฺฐ. ๑๓๘) ติวิโธปิ หิ ปพฺพโต หตฺถิปฺปมาณโต ปฎฺฐาย อุทฺธํ นิมิตฺตุปโค, ตโต โอมกตโร น วฎฺฎติฯ อโนฺตสาเรหิ วา อโนฺตสารมิสฺสเกหิ วา รุเกฺขหิ จตุปญฺจรุกฺขมตฺตมฺปิ วนํ นิมิตฺตุปคํ, ตโต อูนตรํ น วฎฺฎติฯ ปาสาณนิมิเตฺต อยคุฬมฺปิ ปาสาณสงฺขฺยเมว คจฺฉติ, ตสฺมา โย โกจิ ปาสาโณ อุกฺกํเสน หตฺถิปฺปมาณโต โอมกตรํ อาทิํ กตฺวา เหฎฺฐิมปริเจฺฉเทน ทฺวตฺติํสปลคุฬปิณฺฑปริมาโณ นิมิตฺตุปโค, น ตโต ขุทฺทกตโรฯ ปิฎฺฐิปาสาโณ ปน อติมหโนฺตปิ วฎฺฎติฯ รุโกฺข ชีวโนฺตเยว อโนฺตสาโร ภูมิยํ ปติฎฺฐิโต อนฺตมโส อุเพฺพธโต อฎฺฐงฺคุโล ปริณาหโต สูจิทณฺฑปฺปมาโณปิ นิมิตฺตุปโค, น ตโต โอรํ วฎฺฎติฯ มโคฺค ชงฺฆมโคฺค วา โหตุ สกฎมโคฺค วา, โย วินิวิชฺฌิตฺวา เทฺว ตีณิ คามเกฺขตฺตานิ คจฺฉติ, ตาทิโส ชงฺฆสกฎสเตฺถหิ วฬญฺชิยมาโนเยว นิมิตฺตุปโค, อวฬโญฺช น วฎฺฎติฯ เหฎฺฐิมปริเจฺฉเทน ตํทิวสํ ชาโต อฎฺฐงฺคุลุเพฺพโธ โควิสาณมโตฺตปิ วมฺมิโก นิมิตฺตุปโค, ตโต โอรํ น วฎฺฎติฯ อุทกํ ยํ อสนฺทมานํ อาวาฎโปกฺขรณิตฬากชาตสฺสรโลณิสมุทฺทาทีสุ ฐิตํ, ตํ อาทิํ กตฺวา อนฺตมโส ตงฺขณํเยว ปถวิยํ ขเต อาวาเฎ ฆเฎหิ อาหริตฺวา ปูริตมฺปิ ยาว กมฺมวาจาปริโยสานา สณฺฐหนกํ นิมิตฺตุปคํ, อิตรํ สนฺทมานกํ, วุตฺตปริเจฺฉทกาลํ อติฎฺฐนฺตํ, ภาชนคตํ วา น วฎฺฎติฯ ยา อพทฺธสีมาลกฺขเณ นที วุตฺตา, สา นิมิตฺตุปคา, อญฺญา น วฎฺฎตีติฯ

    2563. Pabbatādinimittupaganimittāni dassetumāha ‘‘pabbata’’ntiādi. Iti aṭṭha nimittāni dīpayeti yojanā. Tatrevaṃ saṅkhepato nimittupagatā veditabbā – suddhapaṃsusuddhapāsāṇaubhayamissakavasena (kaṅkhā. aṭṭha. nidānavaṇṇanā; mahāva. aṭṭha. 138) tividhopi hi pabbato hatthippamāṇato paṭṭhāya uddhaṃ nimittupago, tato omakataro na vaṭṭati. Antosārehi vā antosāramissakehi vā rukkhehi catupañcarukkhamattampi vanaṃ nimittupagaṃ, tato ūnataraṃ na vaṭṭati. Pāsāṇanimitte ayaguḷampi pāsāṇasaṅkhyameva gacchati, tasmā yo koci pāsāṇo ukkaṃsena hatthippamāṇato omakataraṃ ādiṃ katvā heṭṭhimaparicchedena dvattiṃsapalaguḷapiṇḍaparimāṇo nimittupago, na tato khuddakataro. Piṭṭhipāsāṇo pana atimahantopi vaṭṭati. Rukkho jīvantoyeva antosāro bhūmiyaṃ patiṭṭhito antamaso ubbedhato aṭṭhaṅgulo pariṇāhato sūcidaṇḍappamāṇopi nimittupago, na tato oraṃ vaṭṭati. Maggo jaṅghamaggo vā hotu sakaṭamaggo vā, yo vinivijjhitvā dve tīṇi gāmakkhettāni gacchati, tādiso jaṅghasakaṭasatthehi vaḷañjiyamānoyeva nimittupago, avaḷañjo na vaṭṭati. Heṭṭhimaparicchedena taṃdivasaṃ jāto aṭṭhaṅgulubbedho govisāṇamattopi vammiko nimittupago, tato oraṃ na vaṭṭati. Udakaṃ yaṃ asandamānaṃ āvāṭapokkharaṇitaḷākajātassaraloṇisamuddādīsu ṭhitaṃ, taṃ ādiṃ katvā antamaso taṅkhaṇaṃyeva pathaviyaṃ khate āvāṭe ghaṭehi āharitvā pūritampi yāva kammavācāpariyosānā saṇṭhahanakaṃ nimittupagaṃ, itaraṃ sandamānakaṃ, vuttaparicchedakālaṃ atiṭṭhantaṃ, bhājanagataṃ vā na vaṭṭati. Yā abaddhasīmālakkhaṇe nadī vuttā, sā nimittupagā, aññā na vaṭṭatīti.

    ๒๕๖๔. เตสูติ นิทฺธารเณ ภุมฺมํฯ ตีณีติ นิทฺธาริตพฺพทสฺสนํ, อิมินา เอกํ วา เทฺว วา นิมิตฺตานิ น วฎฺฎนฺตีติ ทเสฺสติฯ ยถาห – ‘‘สา เอวํ สมฺมนฺนิตฺวา พชฺฌมานา เอเกน, ทฺวีหิ วา นิมิเตฺตหิ อพทฺธา โหตี’’ติ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๓๘)ฯ สเตนาปีติ เอตฺถ ปิ-สโทฺท สมฺภาวนายํ ทฎฺฐโพฺพ, เตน วีสติยา, ติํสาย วา นิมิเตฺตหิ วตฺตพฺพเมว นตฺถีติ ทีเปติฯ

    2564.Tesūti niddhāraṇe bhummaṃ. Tīṇīti niddhāritabbadassanaṃ, iminā ekaṃ vā dve vā nimittāni na vaṭṭantīti dasseti. Yathāha – ‘‘sā evaṃ sammannitvā bajjhamānā ekena, dvīhi vā nimittehi abaddhā hotī’’ti (mahāva. aṭṭha. 138). Satenāpīti ettha pi-saddo sambhāvanāyaṃ daṭṭhabbo, tena vīsatiyā, tiṃsāya vā nimittehi vattabbameva natthīti dīpeti.

    ๒๕๖๕. ติโยชนํ ปรํ อุกฺกโฎฺฐ ปริเจฺฉโท เอติสฺสาติ ติโยชนปราฯ ‘‘วีสตี’’ติอาทีนํ สงฺขฺยาเน, สเงฺขฺยเยฺย จ วตฺตนโต อิธ สงฺขฺยาเน วตฺตมานํ วีสติ-สทฺทํ คเหตฺวา เอกวีสติ ภิกฺขูนนฺติ ภินฺนาธิกรณนิเทฺทโส กโตติ ทฎฺฐพฺพํฯ ‘‘เอกวีสติ’’นฺติ วตฺตเพฺพ คาถาพนฺธวเสน นิคฺคหีตโลโป, วีสติวคฺคกรณียปรมตฺตา สงฺฆกมฺมสฺส กมฺมารเหน สทฺธิํ ภิกฺขูนํ เอกวีสติํ คณฺหนฺตีติ อโตฺถ, อิทญฺจ นิสินฺนานํ วเสน วุตฺตํฯ เหฎฺฐิมนฺตโต หิ ยตฺถ เอกวีสติ ภิกฺขู นิสีทิตุํ สโกฺกนฺติ, ตตฺตเก ปเทเส สีมํ พนฺธิตุํ วฎฺฎตีติฯ

    2565. Tiyojanaṃ paraṃ ukkaṭṭho paricchedo etissāti tiyojanaparā. ‘‘Vīsatī’’tiādīnaṃ saṅkhyāne, saṅkhyeyye ca vattanato idha saṅkhyāne vattamānaṃ vīsati-saddaṃ gahetvā ekavīsati bhikkhūnanti bhinnādhikaraṇaniddeso katoti daṭṭhabbaṃ. ‘‘Ekavīsati’’nti vattabbe gāthābandhavasena niggahītalopo, vīsativaggakaraṇīyaparamattā saṅghakammassa kammārahena saddhiṃ bhikkhūnaṃ ekavīsatiṃ gaṇhantīti attho, idañca nisinnānaṃ vasena vuttaṃ. Heṭṭhimantato hi yattha ekavīsati bhikkhū nisīdituṃ sakkonti, tattake padese sīmaṃ bandhituṃ vaṭṭatīti.

    ๒๕๖๖. ยา อุกฺกฎฺฐายปิ ยา จ เหฎฺฐิมายปิ เกสคฺคมตฺตโตปิ อธิกา วา อูนา วา, เอตา เทฺวปิ สีมาโย ‘‘อสีมา’’ติ อาทิจฺจพนฺธุนา วุตฺตาติ โยชนาฯ

    2566. Yā ukkaṭṭhāyapi yā ca heṭṭhimāyapi kesaggamattatopi adhikā vā ūnā vā, etā dvepi sīmāyo ‘‘asīmā’’ti ādiccabandhunā vuttāti yojanā.

    ๒๕๖๗. สมนฺตโต สพฺพเมว นิมิตฺตํ กิเตฺตตฺวาติ ปุพฺพทิสานุทิสาทีสุ ปริโต สพฺพทิสาสุ ยถาลทฺธํ นิมิโตฺตปคํ สพฺพนิมิตฺตํ ‘‘วินยธเรน ปุจฺฉิตพฺพํ ‘ปุรตฺถิมาย ทิสาย กิํ นิมิตฺต’นฺติ? ‘ปพฺพโต, ภเนฺต’ติฯ ปุน วินยธเรน ‘เอโส ปพฺพโต นิมิตฺต’’นฺติอาทินา (มหาว. อฎฺฐ. ๑๓๘) อฎฺฐกถายํ วุตฺตนเยน นิมิเตฺตน นิมิตฺตํ ฆเฎตฺวา กิเตฺตตฺวาฯ ญตฺติ ทุติยา ยสฺสาติ วิคฺคโห, ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต สโงฺฆ, ยาวตา สมนฺตา นิมิตฺตา กิตฺติตา’’ติอาทินา (มหาว. ๑๓๙) ปทภาชเน วุเตฺตน ญตฺติทุติเยน กเมฺมนาติ อโตฺถฯ อรหติ ปโหติ วินยธโรติ อธิปฺปาโยฯ

    2567.Samantato sabbameva nimittaṃ kittetvāti pubbadisānudisādīsu parito sabbadisāsu yathāladdhaṃ nimittopagaṃ sabbanimittaṃ ‘‘vinayadharena pucchitabbaṃ ‘puratthimāya disāya kiṃ nimitta’nti? ‘Pabbato, bhante’ti. Puna vinayadharena ‘eso pabbato nimitta’’ntiādinā (mahāva. aṭṭha. 138) aṭṭhakathāyaṃ vuttanayena nimittena nimittaṃ ghaṭetvā kittetvā. Ñatti dutiyā yassāti viggaho, ‘‘suṇātu me, bhante saṅgho, yāvatā samantā nimittā kittitā’’tiādinā (mahāva. 139) padabhājane vuttena ñattidutiyena kammenāti attho. Arahati pahoti vinayadharoti adhippāyo.

    ๒๕๖๘. พนฺธิตฺวาติ ยถาวุตฺตลกฺขณนเยน สมานสํวาสสีมํ ปฐมํ พนฺธิตฺวาฯ อนนฺตรนฺติ กิจฺจนฺตเรน พฺยวหิตํ อกตฺวา, กาลเกฺขปํ อกตฺวาติ วุตฺตํ โหติ, สีมํ สมูหนิตุกามานํ ปจฺจตฺติกานํ โอกาสํ อทตฺวาติ อธิปฺปาโยฯ ปจฺฉาติ สมานสํวาสสมฺมุติโต ปจฺฉาฯ จีวราวิปฺปวาสกํ สมฺมนฺนิตฺวาน ยา พทฺธา, สา ‘‘อวิปฺปวาสา’’ติ วุจฺจตีติ โยชนาฯ

    2568.Bandhitvāti yathāvuttalakkhaṇanayena samānasaṃvāsasīmaṃ paṭhamaṃ bandhitvā. Anantaranti kiccantarena byavahitaṃ akatvā, kālakkhepaṃ akatvāti vuttaṃ hoti, sīmaṃ samūhanitukāmānaṃ paccattikānaṃ okāsaṃ adatvāti adhippāyo. Pacchāti samānasaṃvāsasammutito pacchā. Cīvarāvippavāsakaṃ sammannitvāna yā baddhā, sā ‘‘avippavāsā’’ti vuccatīti yojanā.

    ตตฺถ จีวราวิปฺปวาสกํ สมฺมนฺนิตฺวาน ยา พทฺธาติ ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต สโงฺฆ, ยา สา สเงฺฆน สีมา สมฺมตา สมานสํวาสา เอกุโปสถา…เป.… ฐเปตฺวา คามญฺจ คามูปจารญฺจ, ขมติ สงฺฆสฺส, ตสฺมา ตุณฺหี, เอวเมตํ ธารยามี’’ติ (มหาว. ๑๔๔) วุตฺตนเยน จีวเรน อวิปฺปวาสํ สมฺมนฺนิตฺวา ยา พทฺธาฯ สา อวิปฺปวาสาติ วุจฺจตีติ ตตฺถ วสนฺตานํ ภิกฺขูนํ จีวเรน วิปฺปวาสนิมิตฺตาปตฺติยา อภาวโต ตถา วุจฺจติ, ‘‘อวิปฺปวาสสีมา’’ติ วุจฺจตีติ วุตฺตํ โหติฯ

    Tattha cīvarāvippavāsakaṃ sammannitvāna yā baddhāti ‘‘suṇātu me, bhante saṅgho, yā sā saṅghena sīmā sammatā samānasaṃvāsā ekuposathā…pe… ṭhapetvā gāmañca gāmūpacārañca, khamati saṅghassa, tasmā tuṇhī, evametaṃ dhārayāmī’’ti (mahāva. 144) vuttanayena cīvarena avippavāsaṃ sammannitvā yā baddhā. Sā avippavāsāti vuccatīti tattha vasantānaṃ bhikkhūnaṃ cīvarena vippavāsanimittāpattiyā abhāvato tathā vuccati, ‘‘avippavāsasīmā’’ti vuccatīti vuttaṃ hoti.

    ๒๕๖๙. ‘‘ยา กาจิ นทิลกฺขณปฺปตฺตา นที นิมิตฺตานิ กิเตฺตตฺวา ‘เอตํ พทฺธสีมํ กโรมา’ติ กตาปิ อสีมาว โหตี’’ติอาทิกํ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๔๗) อฎฺฐกถานยํ ทเสฺสตุมาห ‘‘นที…เป.… น โวตฺถรตี’’ติ, น ปตฺถรติ สีมาภาเวน พฺยาปินี น โหตีติ อโตฺถฯ เตเนวาติ เยน น โวตฺถรติ, เตเนว การเณนฯ อพฺรวีติ ‘‘สพฺพา, ภิกฺขเว, นที อสีมา, สโพฺพ สมุโทฺท อสีโม, สโพฺพ ชาตสฺสโร อสีโม’’ติ (มหาว. ๑๔๗) อโวจฯ

    2569. ‘‘Yā kāci nadilakkhaṇappattā nadī nimittāni kittetvā ‘etaṃ baddhasīmaṃ karomā’ti katāpi asīmāva hotī’’tiādikaṃ (mahāva. aṭṭha. 147) aṭṭhakathānayaṃ dassetumāha ‘‘nadī…pe… na vottharatī’’ti, na pattharati sīmābhāvena byāpinī na hotīti attho. Tenevāti yena na vottharati, teneva kāraṇena. Abravīti ‘‘sabbā, bhikkhave, nadī asīmā, sabbo samuddo asīmo, sabbo jātassaro asīmo’’ti (mahāva. 147) avoca.

    สีมากถาวณฺณนาฯ

    Sīmākathāvaṇṇanā.

    ๒๕๗๐. อฎฺฐมิยาปิ อุโปสถโวหารตฺตา ทินวเสน อุโปสถานํ อติเรกเตฺตปิ อิธ อธิเปฺปเตเยว อุโปสเถ คเหตฺวา อาห ‘‘นเววา’’ติฯ

    2570. Aṭṭhamiyāpi uposathavohārattā dinavasena uposathānaṃ atirekattepi idha adhippeteyeva uposathe gahetvā āha ‘‘navevā’’ti.

    ๒๕๗๑-๓. เต สรูปโต ทเสฺสตุมาห ‘‘จาตุทฺทโส…เป.… กเมฺมนุโปสถา’’ติฯ จตุทฺทสนฺนํ ปูรโณ จาตุทฺทโสฯ ปนฺนรสนฺนํ ปูรโณ ปนฺนรโสฯ ยทา ปน โกสมฺพกฺขนฺธเก (มหาว. ๔๕๑ อาทโย) อาคตนเยน ภิเนฺน สเงฺฆ โอสาริเต ตสฺมิํ ภิกฺขุสฺมิํ สโงฺฆ ตสฺส วตฺถุสฺส วูปสมาย สงฺฆสามคฺคิํ กโรติ, ตทา ‘‘ตาวเทว อุโปสโถ กาตโพฺพ, ปาติโมกฺขํ อุทฺทิสิตพฺพ’’นฺติ (มหาว. ๔๗๕) วจนโต ฐเปตฺวา จาตุทฺทสปนฺนรเส อโญฺญปิ โย โกจิ ทิวโส สามคฺคี อุโปสโถติฯ เอตฺถ อิติ-สโทฺท ลุตฺตนิทฺทิโฎฺฐฯ จาตุทฺทโส, ปนฺนรโส, สามคฺคี จ อุโปสโถติ เอเต ตโยปิ อุโปสถา ทิวเสเนว นิทฺทิฎฺฐา ทิวเสเนว วุตฺตาติ โยชนาฯ

    2571-3. Te sarūpato dassetumāha ‘‘cātuddaso…pe… kammenuposathā’’ti. Catuddasannaṃ pūraṇo cātuddaso. Pannarasannaṃ pūraṇo pannaraso. Yadā pana kosambakkhandhake (mahāva. 451 ādayo) āgatanayena bhinne saṅghe osārite tasmiṃ bhikkhusmiṃ saṅgho tassa vatthussa vūpasamāya saṅghasāmaggiṃ karoti, tadā ‘‘tāvadeva uposatho kātabbo, pātimokkhaṃ uddisitabba’’nti (mahāva. 475) vacanato ṭhapetvā cātuddasapannarase aññopi yo koci divaso sāmaggī uposathoti. Ettha iti-saddo luttaniddiṭṭho. Cātuddaso, pannaraso, sāmaggī ca uposathoti ete tayopi uposathā divaseneva niddiṭṭhā divaseneva vuttāti yojanā.

    สเงฺฆอุโปสโถติ สเงฺฆน กาตพฺพอุโปสโถฯ คเณปุคฺคลุโปสโถติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ สาธฺยสาธนลกฺขณสฺส สมฺพนฺธสฺส ลพฺภมานตฺตา ‘‘สเงฺฆ’’ติอาทีสุ สามิวจนปฺปสเงฺค ภุมฺมนิเทฺทโสฯ อุโปสโถ สาโธฺย กมฺมภาวโต, สงฺฆคณปุคฺคลา สาธนํ การกภาวโตฯ

    Saṅgheuposathoti saṅghena kātabbauposatho. Gaṇepuggaluposathoti etthāpi eseva nayo. Sādhyasādhanalakkhaṇassa sambandhassa labbhamānattā ‘‘saṅghe’’tiādīsu sāmivacanappasaṅge bhummaniddeso. Uposatho sādhyo kammabhāvato, saṅghagaṇapuggalā sādhanaṃ kārakabhāvato.

    สุตฺตสฺส อุเทฺทโส สุตฺตุเทฺทโส, สุตฺตุเทฺทโสติ อภิธานํ นามํ ยสฺส โส สุตฺตุเทฺทสาภิธาโนฯ กเมฺมนาติ กิจฺจวเสนฯ

    Suttassa uddeso suttuddeso, suttuddesoti abhidhānaṃ nāmaṃ yassa so suttuddesābhidhāno. Kammenāti kiccavasena.

    ๒๕๗๔. ‘‘อธิฎฺฐาน’’นฺติ วาจฺจลิงฺคมเปกฺขิตฺวา ‘‘นิทฺทิฎฺฐ’’นฺติ นปุํสกนิเทฺทโสฯ วาจฺจลิงฺคา หิ ตพฺพาทโยติ ปาติโมโกฺข นิทฺทิโฎฺฐ, ปาริสุทฺธิ นิทฺทิฎฺฐาติ ปุมิตฺถิลิเงฺคน โยเชตพฺพาฯ

    2574. ‘‘Adhiṭṭhāna’’nti vāccaliṅgamapekkhitvā ‘‘niddiṭṭha’’nti napuṃsakaniddeso. Vāccaliṅgā hi tabbādayoti pātimokkho niddiṭṭho, pārisuddhi niddiṭṭhāti pumitthiliṅgena yojetabbā.

    ๒๕๗๕. วุตฺตาติ ‘‘ปญฺจิเม, ภิกฺขเว, ปาติโมกฺขุเทฺทสา, นิทานํ อุทฺทิสิตฺวา อวเสสํ สุเตน สาเวตพฺพํ, อยํ ปฐโม ปาติโมกฺขุเทฺทโส’’ติอาทินา (มหาว. ๑๕๐) เทสิตา, สยญฺจ เตสญฺจ อุเทฺทเส สเงฺขปโต ทเสฺสตุมาห ‘‘นิทาน’’นฺติอาทิฯ สาเวตพฺพนฺติ เอตฺถ ‘‘สุเตนา’’ติ เสโสฯ เสสกนฺติ อนุทฺทิฎฺฐฎฺฐานํ –

    2575.Vuttāti ‘‘pañcime, bhikkhave, pātimokkhuddesā, nidānaṃ uddisitvā avasesaṃ sutena sāvetabbaṃ, ayaṃ paṭhamo pātimokkhuddeso’’tiādinā (mahāva. 150) desitā, sayañca tesañca uddese saṅkhepato dassetumāha ‘‘nidāna’’ntiādi. Sāvetabbanti ettha ‘‘sutenā’’ti seso. Sesakanti anuddiṭṭhaṭṭhānaṃ –

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต สโงฺฆ…เป.… อาวิกตา หิสฺส ผาสุ โหตีติ อิมํ นิทานํ อุทฺทิสิตฺวา ‘อุทฺทิฎฺฐํ โข อายสฺมโนฺต นิทานํ, ตตฺถายสฺมเนฺต ปุจฺฉามิ กจฺจิตฺถ ปริสุทฺธา, ทุติยมฺปิ ปุจฺฉามิ…เป.… เอวเมตํ ธารยามี’ติ วตฺวา ‘อุทฺทิฎฺฐํ โข อายสฺมโนฺต นิทานํฯ สุตา โข ปนายสฺมเนฺตหิ จตฺตาโร ปาราชิกา ธมฺมา…เป.… อวิวทมาเนหิ สิกฺขิตพฺพ’’นฺติ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๕๐) –

    ‘‘Suṇātu me, bhante saṅgho…pe… āvikatā hissa phāsu hotīti imaṃ nidānaṃ uddisitvā ‘uddiṭṭhaṃ kho āyasmanto nidānaṃ, tatthāyasmante pucchāmi kaccittha parisuddhā, dutiyampi pucchāmi…pe… evametaṃ dhārayāmī’ti vatvā ‘uddiṭṭhaṃ kho āyasmanto nidānaṃ. Sutā kho panāyasmantehi cattāro pārājikā dhammā…pe… avivadamānehi sikkhitabba’’nti (mahāva. aṭṭha. 150) –

    อฎฺฐกถาย วุตฺตนเยน อวเสสํ สุเตน สาเวตพฺพํฯ

    Aṭṭhakathāya vuttanayena avasesaṃ sutena sāvetabbaṃ.

    ๒๕๗๖. เสเสสุปีติ อุทฺทิฎฺฐาเปกฺขาย เสเสสุ ปาราชิกุเทฺทสาทีสุปิฯ ‘‘อยเมว นโย เญโยฺย’’ติ สามเญฺญน วุเตฺตปิ ‘‘วิตฺถาเรเนว ปญฺจโม’’ติ วจนโต วิตฺถารุเทฺทเส ‘‘สาเวตพฺพํ ตุ เสสก’’นฺติ อยํ นโย น ลพฺภติฯ ‘‘สาเวตพฺพํ ตุ เสสก’’นฺติ วจนโต ปาราชิกุเทฺทสาทีสุ ยสฺมิํ วิปฺปกเต อนฺตราโย อุปฺปชฺชติ, เตน สทฺธิํ อวเสสํ สุเตน สาเวตพฺพํฯ นิทานุเทฺทเส ปน อนุทฺทิเฎฺฐ สุเตน สาเวตพฺพํ นาม นตฺถิฯ ภิกฺขุนิปาติโมเกฺข อนิยตุเทฺทสสฺส ปริหีนตฺตา ‘‘ภิกฺขุนีนญฺจ จตฺตาโร’’ติ วุตฺตํฯ อุเทฺทสา นวิเม ปนาติ ภิกฺขูนํ ปญฺจ, ภิกฺขุนีนํ จตฺตาโรติ อุภโตปาติโมเกฺข อิเม นว อุเทฺทสา วุตฺตาติ อโตฺถฯ

    2576.Sesesupīti uddiṭṭhāpekkhāya sesesu pārājikuddesādīsupi. ‘‘Ayameva nayo ñeyyo’’ti sāmaññena vuttepi ‘‘vitthāreneva pañcamo’’ti vacanato vitthāruddese ‘‘sāvetabbaṃ tu sesaka’’nti ayaṃ nayo na labbhati. ‘‘Sāvetabbaṃ tu sesaka’’nti vacanato pārājikuddesādīsu yasmiṃ vippakate antarāyo uppajjati, tena saddhiṃ avasesaṃ sutena sāvetabbaṃ. Nidānuddese pana anuddiṭṭhe sutena sāvetabbaṃ nāma natthi. Bhikkhunipātimokkhe aniyatuddesassa parihīnattā ‘‘bhikkhunīnañca cattāro’’ti vuttaṃ. Uddesā navime panāti bhikkhūnaṃ pañca, bhikkhunīnaṃ cattāroti ubhatopātimokkhe ime nava uddesā vuttāti attho.

    ๒๕๗๗. อุโปสเถติ สงฺฆุโปสเถฯ อนฺตรายนฺติ ราชนฺตรายาทิกํ ทสวิธํ อนฺตรายํฯ ยถาห – ‘‘ราชนฺตราโย โจรนฺตราโย อคฺยนฺตราโย อุทกนฺตราโย มนุสฺสนฺตราโย อมนุสฺสนฺตราโย วาฬนฺตราโย สรีสปนฺตราโย ชีวิตนฺตราโย พฺรหฺมจริยนฺตราโย’’ติ (มหาว. ๑๕๐)ฯ

    2577.Uposatheti saṅghuposathe. Antarāyanti rājantarāyādikaṃ dasavidhaṃ antarāyaṃ. Yathāha – ‘‘rājantarāyo corantarāyo agyantarāyo udakantarāyo manussantarāyo amanussantarāyo vāḷantarāyo sarīsapantarāyo jīvitantarāyo brahmacariyantarāyo’’ti (mahāva. 150).

    ตตฺถ สเจ ภิกฺขูสุ ‘‘อุโปสถํ กริสฺสามา’’ติ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๕๐) นิสิเนฺนสุ ราชา อาคจฺฉติ, อยํ ราชนฺตราโยฯ โจรา อาคจฺฉนฺติ , อยํ โจรนฺตราโยฯ ทวทาโห อาคจฺฉติ วา, อาวาเส วา อคฺคิ อุฎฺฐหติ, อยํ อคฺยนฺตราโยฯ เมโฆ วา อุเฎฺฐติ, โอโฆ วา อาคจฺฉติ, อยํ อุทกนฺตราโยฯ พหู มนุสฺสา อาคจฺฉนฺติ, อยํ มนุสฺสนฺตราโยฯ ภิกฺขุํ ยโกฺข คณฺหาติ, อยํ อมนุสฺสนฺตราโยฯ พฺยคฺฆาทโย จณฺฑมิคา อาคจฺฉนฺติ, อยํ วาฬนฺตราโยฯ ภิกฺขุํ สปฺปาทโย ฑํสนฺติ, อยํ สรีสปนฺตราโยฯ ภิกฺขุ คิลาโน วา โหติ, กาลํ วา กโรติ, เวริโน วา ตํ มาเรตุํ คณฺหนฺติ, อยํ ชีวิตนฺตราโยฯ มนุสฺสา เอกํ วา พหุํ วา ภิกฺขู พฺรหฺมจริยา จาเวตุกามา คณฺหนฺติ, อยํ พฺรหฺมจริยนฺตราโย

    Tattha sace bhikkhūsu ‘‘uposathaṃ karissāmā’’ti (mahāva. aṭṭha. 150) nisinnesu rājā āgacchati, ayaṃ rājantarāyo. Corā āgacchanti , ayaṃ corantarāyo. Davadāho āgacchati vā, āvāse vā aggi uṭṭhahati, ayaṃ agyantarāyo. Megho vā uṭṭheti, ogho vā āgacchati, ayaṃ udakantarāyo. Bahū manussā āgacchanti, ayaṃ manussantarāyo. Bhikkhuṃ yakkho gaṇhāti, ayaṃ amanussantarāyo. Byagghādayo caṇḍamigā āgacchanti, ayaṃ vāḷantarāyo. Bhikkhuṃ sappādayo ḍaṃsanti, ayaṃ sarīsapantarāyo. Bhikkhu gilāno vā hoti, kālaṃ vā karoti, verino vā taṃ māretuṃ gaṇhanti, ayaṃ jīvitantarāyo. Manussā ekaṃ vā bahuṃ vā bhikkhū brahmacariyā cāvetukāmā gaṇhanti, ayaṃ brahmacariyantarāyo.

    ‘‘เจวา’’ติ อิมินา อนฺตราเยว อนฺตรายสญฺญินา วิตฺถารุเทฺทเส อกเตปิ อนาปตฺตีติ ทีเปติฯ อนุเทฺทโสติ วิตฺถาเรน อนุเทฺทโสฯ นิวาริโตติ ‘‘น, ภิกฺขเว, อสติ อนฺตราเย สํขิเตฺตน ปาติโมกฺขํ อุทฺทิสิตพฺพ’’นฺติอาทินา (มหาว. ๑๕๐) ปฎิสิโทฺธฯ อิมินา ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, สติ อนฺตราเย สํขิเตฺตน ปาติโมกฺขํ อุทฺทิสิตุ’’นฺติ (มหาว. ๑๕๐) อิทมฺปิ วิภาวิตํ โหติฯ

    ‘‘Cevā’’ti iminā antarāyeva antarāyasaññinā vitthāruddese akatepi anāpattīti dīpeti. Anuddesoti vitthārena anuddeso. Nivāritoti ‘‘na, bhikkhave, asati antarāye saṃkhittena pātimokkhaṃ uddisitabba’’ntiādinā (mahāva. 150) paṭisiddho. Iminā ‘‘anujānāmi, bhikkhave, sati antarāye saṃkhittena pātimokkhaṃ uddisitu’’nti (mahāva. 150) idampi vibhāvitaṃ hoti.

    ๒๕๗๘. ตสฺสาติ ปาติโมกฺขสฺสฯ อิสฺสรณสฺส เหตุมาห ‘‘‘เถราเธยฺย’นฺติ ปาฐโต’’ติฯ เถราเธยฺยนฺติ เถราธีนํ, เถรายตฺตนฺติ อโตฺถฯ ปาฐโตติ ปาฬิวจนโตฯ ‘‘โย ตตฺถ ภิกฺขุ พฺยโตฺต ปฎิพโล, ตสฺสาเธยฺยํ ปาติโมกฺข’’นฺติ (มหาว. ๑๕๕) วจนโต อาห ‘‘อวตฺตเนฺตนา’’ติอาทิฯ อวตฺตเนฺตนาติ อนฺตมโส เทฺวปิ อุเทฺทเส อุทฺทิสิตุํ อสโกฺกเนฺตนฯ เถเรน โย อชฺฌิโฎฺฐ, เอวมชฺฌิฎฺฐสฺส ยสฺส ปน เถรสฺส, นวสฺส, มชฺฌิมสฺส วา โส ปาติโมโกฺข วตฺตติ ปคุโณ โหติ, โส อิสฺสโรติ สมฺพโนฺธฯ

    2578.Tassāti pātimokkhassa. Issaraṇassa hetumāha ‘‘‘therādheyya’nti pāṭhato’’ti. Therādheyyanti therādhīnaṃ, therāyattanti attho. Pāṭhatoti pāḷivacanato. ‘‘Yo tattha bhikkhu byatto paṭibalo, tassādheyyaṃ pātimokkha’’nti (mahāva. 155) vacanato āha ‘‘avattantenā’’tiādi. Avattantenāti antamaso dvepi uddese uddisituṃ asakkontena. Therena yo ajjhiṭṭho, evamajjhiṭṭhassa yassa pana therassa, navassa, majjhimassa vā so pātimokkho vattati paguṇo hoti, so issaroti sambandho.

    อชฺฌิโฎฺฐติ ‘‘ตฺวํ, อาวุโส, ปาติโมกฺขํ อุทฺทิสา’’ติ อาณโตฺต, อิมินา อนาณตฺตสฺส อุทฺทิสิตุํ สามตฺถิยา สติปิ อนิสฺสรภาโว ทีปิโต โหติฯ ยถาห – ‘‘สเจ เถรสฺส ปญฺจ วา จตฺตาโร วา ตโย วา ปาติโมกฺขุเทฺทสา นาคจฺฉนฺติ, เทฺว ปน อขณฺฑา สุวิสทา วาจุคฺคตา โหนฺติ, เถรายโตฺตว ปาติโมโกฺขฯ สเจ ปน เอตฺตกมฺปิ วิสทํ กาตุํ น สโกฺกติ, พฺยตฺตสฺส ภิกฺขุโน อายโตฺต โหตี’’ติ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๕๕)ฯ

    Ajjhiṭṭhoti ‘‘tvaṃ, āvuso, pātimokkhaṃ uddisā’’ti āṇatto, iminā anāṇattassa uddisituṃ sāmatthiyā satipi anissarabhāvo dīpito hoti. Yathāha – ‘‘sace therassa pañca vā cattāro vā tayo vā pātimokkhuddesā nāgacchanti, dve pana akhaṇḍā suvisadā vācuggatā honti, therāyattova pātimokkho. Sace pana ettakampi visadaṃ kātuṃ na sakkoti, byattassa bhikkhuno āyatto hotī’’ti (mahāva. aṭṭha. 155).

    ๒๕๗๙. อุทฺทิสเนฺตติ ปาติโมกฺขุเทฺทสเก ปาติโมกฺขํ อุทฺทิสเนฺตฯ สมา วาติ อาวาสิเกหิ คณเนน สมา วาฯ อปฺปา วาติ อูนา วาฯ อาคจฺฉนฺติ สเจ ปนาติ สเจ ปน อาคนฺตุกา ภิกฺขู อาคจฺฉนฺติฯ เสสกนฺติ อนุทฺทิฎฺฐฎฺฐานํฯ

    2579.Uddisanteti pātimokkhuddesake pātimokkhaṃ uddisante. Samā vāti āvāsikehi gaṇanena samā vā. Appā vāti ūnā vā. Āgacchanti sace panāti sace pana āgantukā bhikkhū āgacchanti. Sesakanti anuddiṭṭhaṭṭhānaṃ.

    ๒๕๘๐. อุทฺทิฎฺฐมเตฺตติ อุทฺทิฎฺฐกฺขเณเยว กถารมฺภโต ปุพฺพเมวฯ ‘‘วา’’ติ อิทํ เอตฺถาปิ โยเชตพฺพํ, อิมินา อวุตฺตํ ‘‘อวุฎฺฐิตาย วา’’ติ อิมํ วิกปฺปํ สมฺปิเณฺฑติฯ อวุฎฺฐิตาย ปริสายาติ จ ภิกฺขุปริสาย อญฺญมญฺญํ สุขกถาย นิสินฺนายเยวาติ อโตฺถฯ ปริสายาติ เอตฺถ ‘‘เอกจฺจายา’’ติ จ ‘‘สพฺพายา’’ติ จ เสโสฯ ภิกฺขูนํ เอกจฺจาย ปริสาย วุฎฺฐิตาย วา สพฺพาย ปริสาย วุฎฺฐิตาย วาติ โยชนาฯ เตสนฺติ วุตฺตปฺปการานํ อาวาสิกานํฯ มูเลติ สนฺติเกฯ ปาริสุทฺธิ กาตพฺพาติ โยชนาฯ ‘‘อิธ ปน, ภิกฺขเว…เป.… อาคจฺฉนฺติ พหุตรา, เตหิ, ภิกฺขเว, ภิกฺขูหิ ปุน ปาติโมกฺขํ อุทฺทิสิตพฺพ’’นฺติ วุตฺตนยํ ทเสฺสตุมาห ‘‘สเจ พหู’’ติฯ เอตฺถ ‘‘ปุน ปาติโมกฺขํ อุทฺทิสิตพฺพ’’นฺติ เสโสฯ สพฺพวิกเปฺปสุ ปุพฺพกิจฺจํ กตฺวา ปุน ปาติโมกฺขํ อุทฺทิสิตพฺพนฺติ อโตฺถฯ อยํ ปเนตฺถ เสสวินิจฺฉโย –

    2580.Uddiṭṭhamatteti uddiṭṭhakkhaṇeyeva kathārambhato pubbameva. ‘‘Vā’’ti idaṃ etthāpi yojetabbaṃ, iminā avuttaṃ ‘‘avuṭṭhitāya vā’’ti imaṃ vikappaṃ sampiṇḍeti. Avuṭṭhitāya parisāyāti ca bhikkhuparisāya aññamaññaṃ sukhakathāya nisinnāyayevāti attho. Parisāyāti ettha ‘‘ekaccāyā’’ti ca ‘‘sabbāyā’’ti ca seso. Bhikkhūnaṃ ekaccāya parisāya vuṭṭhitāya vā sabbāya parisāya vuṭṭhitāya vāti yojanā. Tesanti vuttappakārānaṃ āvāsikānaṃ. Mūleti santike. Pārisuddhi kātabbāti yojanā. ‘‘Idha pana, bhikkhave…pe… āgacchanti bahutarā, tehi, bhikkhave, bhikkhūhi puna pātimokkhaṃ uddisitabba’’nti vuttanayaṃ dassetumāha ‘‘sace bahū’’ti. Ettha ‘‘puna pātimokkhaṃ uddisitabba’’nti seso. Sabbavikappesu pubbakiccaṃ katvā puna pātimokkhaṃ uddisitabbanti attho. Ayaṃ panettha sesavinicchayo –

    ‘‘ปนฺนรโสวาสิกานํ, อิตรานํ สเจตโร;

    ‘‘Pannarasovāsikānaṃ, itarānaṃ sacetaro;

    สมาเนตเรนุวตฺตนฺตุ, ปุริมานํ สเจธิกา;

    Samānetarenuvattantu, purimānaṃ sacedhikā;

    ปุริมา อนุวตฺตนฺตุ, เตสํ เสเสปฺยยํ นโยฯ

    Purimā anuvattantu, tesaṃ sesepyayaṃ nayo.

    ‘‘ปาฎิปโทวาสิกานํ ,

    ‘‘Pāṭipadovāsikānaṃ ,

    อิตรานํ อุโปสโถ;

    Itarānaṃ uposatho;

    สมโถกานํ สามคฺคิํ,

    Samathokānaṃ sāmaggiṃ,

    มูลฎฺฐา เทนฺตุ กามโตฯ

    Mūlaṭṭhā dentu kāmato.

    พหิ คนฺตฺวาน กาตโพฺพ,

    Bahi gantvāna kātabbo,

    โน เจ เทนฺติ อุโปสโถ;

    No ce denti uposatho;

    เทยฺยานิจฺฉาย สามคฺคี,

    Deyyānicchāya sāmaggī,

    พหูสุ พหิ วา วเชฯ

    Bahūsu bahi vā vaje.

    ‘‘ปาฎิปเทคนฺตุกานํ, เอวเมว อยํ นโย;

    ‘‘Pāṭipadegantukānaṃ, evameva ayaṃ nayo;

    สาเวยฺย สุตฺตํ สญฺจิจฺจ, อสฺสาเวนฺตสฺส ทุกฺกฎนฺติฯ

    Sāveyya suttaṃ sañcicca, assāventassa dukkaṭanti.

    ๒๕๘๑. วินิทฺทิฎฺฐสฺสาติ อาณตฺตสฺส, อิมินา อิตเรสํ อนาปตฺตีติ ทีเปติฯ อิธ ‘‘อคิลานสฺสา’’ติ เสโสฯ เถเรน อาณาเปเนฺตน ‘‘กิญฺจิ กมฺมํ กโรโนฺต วา สทากาลเมว เอโก วา ภารนิตฺถรณโก วา สรภาณกธมฺมกถิกาทีสุ อญฺญตโร วา น อุโปสถาคารสมฺมชฺชนตฺถํ อาณาเปตโพฺพ, อวเสสา ปน วาเรน อาณาเปตพฺพา’’ติ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๕๙) อฎฺฐกถาย วุตฺตวิธินา อาณาเปตโพฺพฯ สเจ อาณโตฺต สมฺมชฺชนิํ ตาวกาลิกมฺปิ น ลภติ, สาขาภงฺคํ กปฺปิยํ กาเรตฺวา สมฺมชฺชิตพฺพํฯ ตมฺปิ อลภนฺตสฺส ลทฺธกปฺปิยํ โหติฯ

    2581.Viniddiṭṭhassāti āṇattassa, iminā itaresaṃ anāpattīti dīpeti. Idha ‘‘agilānassā’’ti seso. Therena āṇāpentena ‘‘kiñci kammaṃ karonto vā sadākālameva eko vā bhāranittharaṇako vā sarabhāṇakadhammakathikādīsu aññataro vā na uposathāgārasammajjanatthaṃ āṇāpetabbo, avasesā pana vārena āṇāpetabbā’’ti (mahāva. aṭṭha. 159) aṭṭhakathāya vuttavidhinā āṇāpetabbo. Sace āṇatto sammajjaniṃ tāvakālikampi na labhati, sākhābhaṅgaṃ kappiyaṃ kāretvā sammajjitabbaṃ. Tampi alabhantassa laddhakappiyaṃ hoti.

    อาสนปญฺญาปนาณตฺติยมฺปิ วุตฺตนเยเนว อาณาเปตโพฺพฯ อาณาเปเนฺตน จ สเจ อุโปสถาคาเร อาสนานิ นตฺถิ, สงฺฆิกาวาสโตปิ อาหริตฺวา ปญฺญเปตฺวา ปุน อาหริตพฺพานิฯ อาสเนสุ อสติ กฎสารเกปิ ตฎฺฎิกาโยปิ ปญฺญเปตุํ วฎฺฎติ, ตฎฺฎิกาสุปิ อสติ สาขาภงฺคานิ กปฺปิยํ กาเรตฺวา ปญฺญเปตพฺพานิ, กปฺปิยการกํ อลภนฺตสฺส ลทฺธกปฺปิยํ โหติฯ

    Āsanapaññāpanāṇattiyampi vuttanayeneva āṇāpetabbo. Āṇāpentena ca sace uposathāgāre āsanāni natthi, saṅghikāvāsatopi āharitvā paññapetvā puna āharitabbāni. Āsanesu asati kaṭasārakepi taṭṭikāyopi paññapetuṃ vaṭṭati, taṭṭikāsupi asati sākhābhaṅgāni kappiyaṃ kāretvā paññapetabbāni, kappiyakārakaṃ alabhantassa laddhakappiyaṃ hoti.

    ปทีปกรเณปิ วุตฺตนเยเนว อาณาเปตโพฺพฯ อาณาเปเนฺตน จ ‘‘อสุกสฺมิํ นาม โอกาเส เตลํ วา วฎฺฎิ วา กปลฺลิกา วา อตฺถิ, ตํ คเหตฺวา กโรหี’’ติ วตฺตโพฺพฯ สเจ เตลาทีนิ นตฺถิ , ภิกฺขาจาเรนปิ ปริเยสิตพฺพานิฯ ปริเยสิตฺวา อลภนฺตสฺส ลทฺธกปฺปิยํ โหติฯ อปิจ กปาเล อคฺคิปิ ชาเลตโพฺพฯ

    Padīpakaraṇepi vuttanayeneva āṇāpetabbo. Āṇāpentena ca ‘‘asukasmiṃ nāma okāse telaṃ vā vaṭṭi vā kapallikā vā atthi, taṃ gahetvā karohī’’ti vattabbo. Sace telādīni natthi , bhikkhācārenapi pariyesitabbāni. Pariyesitvā alabhantassa laddhakappiyaṃ hoti. Apica kapāle aggipi jāletabbo.

    ๒๕๘๒. ทีปนฺติ เอตฺถ ‘‘ชาเลตฺวา’’ติ เสโสฯ อถ วา ‘‘กตฺวา’’ติ อิมินา จ โยเชตพฺพํฯ คณญตฺติํ ฐเปตฺวาติ ‘‘สุณนฺตุ เม, อายสฺมนฺตา, อชฺชุโปสโถ ปนฺนรโส, ยทายสฺมนฺตานํ ปตฺตกลฺลํ, มยํ อญฺญมญฺญํ ปาริสุทฺธิอุโปสถํ กเรยฺยามา’’ติ เอวํ คณญตฺติํ นิกฺขิปิตฺวาฯ กตฺตโพฺพ ตีหุโปสโถติ ตีหิ ภิกฺขูหิ อุโปสโถ กาตโพฺพฯ ตีสุ เถเรน เอกํสํ อุตฺตราสงฺคํ กตฺวา อุกฺกุฎิกํ นิสีทิตฺวา อญฺชลิํ ปคฺคเหตฺวา เทฺว เอวํ ติกฺขตฺตุเมว วตฺตโพฺพ ‘‘ปริสุโทฺธ อหํ, อาวุโส, ‘ปริสุโทฺธ’ติ มํ ธาเรถา’’ติ (มหาว. ๑๖๘)ฯ ทุติเยน, ตติเยน จ ยถากฺกมํ ‘‘ปริสุโทฺธ อหํ, ภเนฺต, ‘ปริสุโทฺธ’ติ มํ ธาเรถา’’ติ ติกฺขตฺตุเมว วตฺตพฺพํฯ

    2582.Dīpanti ettha ‘‘jāletvā’’ti seso. Atha vā ‘‘katvā’’ti iminā ca yojetabbaṃ. Gaṇañattiṃ ṭhapetvāti ‘‘suṇantu me, āyasmantā, ajjuposatho pannaraso, yadāyasmantānaṃ pattakallaṃ, mayaṃ aññamaññaṃ pārisuddhiuposathaṃ kareyyāmā’’ti evaṃ gaṇañattiṃ nikkhipitvā. Kattabbo tīhuposathoti tīhi bhikkhūhi uposatho kātabbo. Tīsu therena ekaṃsaṃ uttarāsaṅgaṃ katvā ukkuṭikaṃ nisīditvā añjaliṃ paggahetvā dve evaṃ tikkhattumeva vattabbo ‘‘parisuddho ahaṃ, āvuso, ‘parisuddho’ti maṃ dhārethā’’ti (mahāva. 168). Dutiyena, tatiyena ca yathākkamaṃ ‘‘parisuddho ahaṃ, bhante, ‘parisuddho’ti maṃ dhārethā’’ti tikkhattumeva vattabbaṃ.

    ๒๕๘๓. ปุพฺพกิจฺจาทีนิ กตฺวา ญตฺติํ อฎฺฐเปตฺวา เถเรน นโว เอวํ ติกฺขตฺตุเมว วตฺตโพฺพ ‘‘ปริสุโทฺธ อหํ, อาวุโส , ‘ปริสุโทฺธ’ติ มํ ธาเรหี’’ติ (มหาว. ๑๖๘), นเวน เถโรปิ ‘‘ปริสุโทฺธ อหํ, ภเนฺต, ‘ปริสุโทฺธ’ติ มํ ธาเรถา’’ติ (มหาว. ๑๖๘) ติกฺขตฺตุํ วตฺตโพฺพฯ อิมสฺมิํ ปน วาเร ญตฺติยา อฎฺฐปนญฺจ ‘‘ธาเรหี’’ติ เอกวจนนิเทฺทโส จาติ เอตฺตโกว วิเสโสติ ตํ อนาทิยิตฺวา ปุคฺคเลน กาตพฺพํ อุโปสถวิธิํ ทเสฺสตุมาห ‘‘ปุพฺพกิจฺจํ สมาเปตฺวา, อธิเฎฺฐยฺย ปเนกโก’’ติฯ อธิเฎฺฐยฺยาติ ‘‘อชฺช เม อุโปสโถ, ปนฺนรโส’ติ วา ‘จาตุทฺทโส’ติ วา อธิฎฺฐามี’’ติ อธิเฎฺฐยฺยฯ อสฺสาติ อวสาเน วุตฺตปุคฺคลํ สนฺธาย เอกวจนนิเทฺทโสฯ ยถาวุโตฺต สโงฺฆปิ ตโยปิ เทฺวปิ อตฺตโน อตฺตโน อนุญฺญาตํ อุโปสถํ อนฺตรายํ วินา สเจ น กโรนฺติ, เอวเมว อาปตฺติมาปชฺชนฺตีติ เวทิตโพฺพฯ

    2583. Pubbakiccādīni katvā ñattiṃ aṭṭhapetvā therena navo evaṃ tikkhattumeva vattabbo ‘‘parisuddho ahaṃ, āvuso , ‘parisuddho’ti maṃ dhārehī’’ti (mahāva. 168), navena theropi ‘‘parisuddho ahaṃ, bhante, ‘parisuddho’ti maṃ dhārethā’’ti (mahāva. 168) tikkhattuṃ vattabbo. Imasmiṃ pana vāre ñattiyā aṭṭhapanañca ‘‘dhārehī’’ti ekavacananiddeso cāti ettakova visesoti taṃ anādiyitvā puggalena kātabbaṃ uposathavidhiṃ dassetumāha ‘‘pubbakiccaṃ samāpetvā, adhiṭṭheyya panekako’’ti. Adhiṭṭheyyāti ‘‘ajja me uposatho, pannaraso’ti vā ‘cātuddaso’ti vā adhiṭṭhāmī’’ti adhiṭṭheyya. Assāti avasāne vuttapuggalaṃ sandhāya ekavacananiddeso. Yathāvutto saṅghopi tayopi dvepi attano attano anuññātaṃ uposathaṃ antarāyaṃ vinā sace na karonti, evameva āpattimāpajjantīti veditabbo.

    ๒๕๘๔-๕. อิทานิ ‘‘จตฺตาริมานิ, ภิกฺขเว, อุโปสถกมฺมานิ, อธเมฺมน วคฺคํ อุโปสถกมฺม’’นฺติอาทินา (มหาว. ๑๔๙) นเยน วุตฺตํ กมฺมจตุกฺกํ ทเสฺสตุมาห ‘‘อธเมฺมน จ วเคฺคนา’’ติอาทิฯ อธเมฺมน วเคฺคน กมฺมํ, อธมฺมโต สมเคฺคน กมฺมํ, ธเมฺมน วเคฺคน กมฺมํ, ธมฺมโต สมเคฺคน กมฺมนฺติ เอตานิ จตฺตาริ อุโปสถสฺส กมฺมานีติ ชิโน อพฺรวีติ โยชนาฯ จตูสฺวปิ ปเนเตสูติ เอเตสุ จตูสุ กเมฺมสุ ปนฯ จตุตฺถนฺติ ‘‘สมเคฺคน จ ธมฺมโต’’ติ วุตฺตํ จตุตฺถํ อุโปสถกมฺมํ ‘‘ธมฺมกมฺม’’นฺติ อธิเปฺปตํฯ

    2584-5. Idāni ‘‘cattārimāni, bhikkhave, uposathakammāni, adhammena vaggaṃ uposathakamma’’ntiādinā (mahāva. 149) nayena vuttaṃ kammacatukkaṃ dassetumāha ‘‘adhammena ca vaggenā’’tiādi. Adhammena vaggena kammaṃ, adhammato samaggena kammaṃ, dhammena vaggena kammaṃ, dhammato samaggena kammanti etāni cattāri uposathassa kammānīti jino abravīti yojanā. Catūsvapi panetesūti etesu catūsu kammesu pana. Catutthanti ‘‘samaggena ca dhammato’’ti vuttaṃ catutthaṃ uposathakammaṃ ‘‘dhammakamma’’nti adhippetaṃ.

    ๒๕๘๖-๗. ตานิ กมฺมานิ วิภาเวตุมาห ‘‘อธเมฺมนิธา’’ติอาทิฯ อิธ อิมสฺมิํ สาสเน เอตฺถ เอเตสุ จตูสุ อุโปสเถสุฯ อธเมฺมน วโคฺค อุโปสโถ กตโมติ กเถตุกามตาปุจฺฉาฯ ยตฺถ ยสฺสํ เอกสีมายํ ภิกฺขุโน จตฺตาโร วสนฺตีติ โยชนาฯ

    2586-7. Tāni kammāni vibhāvetumāha ‘‘adhammenidhā’’tiādi. Idha imasmiṃ sāsane ettha etesu catūsu uposathesu. Adhammena vaggo uposatho katamoti kathetukāmatāpucchā. Yattha yassaṃ ekasīmāyaṃ bhikkhuno cattāro vasantīti yojanā.

    ตตฺร เอกสฺส ปาริสุทฺธิํ อานยิตฺวา เต ตโย ชนา ปาริสุทฺธิํ อุโปสถํ กโรนฺติ เจ, เอวํ กโต อุโปสโถ อธโมฺม วคฺคุโปสโถ นามาติ โยชนา, เอกสีมเฎฺฐหิ จตูหิ สงฺฆุโปสเถ กาตเพฺพ คณุโปสถสฺส กตตฺตา อธโมฺม จ สงฺฆมชฺฌํ วินา คณมชฺฌํ ปาริสุทฺธิยา อคมนโต ตสฺส หตฺถปาสํ อนุปคมเนน วโคฺค จ โหตีติ อโตฺถฯ

    Tatra ekassa pārisuddhiṃ ānayitvā te tayo janā pārisuddhiṃ uposathaṃ karonti ce, evaṃ kato uposatho adhammo vagguposatho nāmāti yojanā, ekasīmaṭṭhehi catūhi saṅghuposathe kātabbe gaṇuposathassa katattā adhammo ca saṅghamajjhaṃ vinā gaṇamajjhaṃ pārisuddhiyā agamanato tassa hatthapāsaṃ anupagamanena vaggo ca hotīti attho.

    ๒๕๘๘. อธเมฺมน สมโคฺคติ เอตฺถ ‘‘อุโปสโถ กตโม’’ติ อนุวเตฺตตพฺพํฯ ‘‘ภิกฺขุโน เอกโต’’ติ ปทเจฺฉโทฯ ‘‘โหติ อธมฺมิโก’’ติ ปทเจฺฉโทฯ จตูหิ สมเคฺคหิ สงฺฆุโปสเถ กาตเพฺพ คณุโปสถกรณํ อธโมฺม, หตฺถปาสุปคมนโต สมโคฺค โหติฯ

    2588.Adhammena samaggoti ettha ‘‘uposatho katamo’’ti anuvattetabbaṃ. ‘‘Bhikkhuno ekato’’ti padacchedo. ‘‘Hoti adhammiko’’ti padacchedo. Catūhi samaggehi saṅghuposathe kātabbe gaṇuposathakaraṇaṃ adhammo, hatthapāsupagamanato samaggo hoti.

    ๒๕๘๙-๙๐. โย อุโปสโถ ธเมฺมน วโคฺค โหติ, โส กตโมติ โยชนาฯ ยตฺถ ยสฺสํ เอกสีมายํ จตฺตาโร ภิกฺขุโน วสนฺติ, ตตฺร เอกสฺส ปาริสุทฺธิํ อานยิตฺวา เต ตโย ชนา ปาติโมกฺขํ อุทฺทิสเนฺต เจ, ธเมฺมน วโคฺค อุโปสโถ โหตีติ โยชนาฯ เอกสีมเฎฺฐหิ จตูหิ สงฺฆุโปสถสฺส กตตฺตา ธโมฺม, เอกสฺส หตฺถปาสํ อนุปคมเนน วโคฺค จ โหตีติ อโตฺถฯ

    2589-90. Yo uposatho dhammena vaggo hoti, so katamoti yojanā. Yattha yassaṃ ekasīmāyaṃ cattāro bhikkhuno vasanti, tatra ekassa pārisuddhiṃ ānayitvā te tayo janā pātimokkhaṃ uddisante ce, dhammena vaggo uposatho hotīti yojanā. Ekasīmaṭṭhehi catūhi saṅghuposathassa katattā dhammo, ekassa hatthapāsaṃ anupagamanena vaggo ca hotīti attho.

    ๒๕๙๑. โย ธมฺมโต สมโคฺค, โส กตโมติ โยชนาฯ อิธ อิมสฺมิํ สาสเน จตฺตาโร ภิกฺขุโน เอกโต ปาติโมกฺขํ อุทฺทิสนฺติ เจ, อยํ ธมฺมโต สมโคฺค อุโปสโถติ มโต อธิเปฺปโตติ โยชนาฯ จตูหิ สงฺฆุโปสถสฺส กตตฺตา ธโมฺม, เอกสฺสาปิ หตฺถปาสํ อวิชหเนน สมโคฺคติ อธิปฺปาโยฯ

    2591. Yo dhammato samaggo, so katamoti yojanā. Idha imasmiṃ sāsane cattāro bhikkhuno ekato pātimokkhaṃ uddisanti ce, ayaṃ dhammato samaggo uposathoti mato adhippetoti yojanā. Catūhi saṅghuposathassa katattā dhammo, ekassāpi hatthapāsaṃ avijahanena samaggoti adhippāyo.

    ๒๕๙๒. วเคฺค สเงฺฆ วโคฺคติ สญฺญิโน, สมเคฺค จ สเงฺฆ วโคฺคติ สญฺญิโน อุภยตฺถ วิมติสฺส วา อุโปสถํ กโรนฺตสฺส ทุกฺกฎํ อาปตฺติ โหตีติ โยชนาฯ

    2592.Vagge saṅghe vaggoti saññino, samagge ca saṅghe vaggoti saññino ubhayattha vimatissa vā uposathaṃ karontassa dukkaṭaṃ āpatti hotīti yojanā.

    ๒๕๙๓. เภทาธิปฺปายโตติ ‘‘นสฺสเนฺตเต, วินสฺสเนฺตเต, โก เตหิ อโตฺถ’’ติ เอวํ เภทปุเรกฺขารตาย ‘‘อุโปสถํ กโรนฺตสฺสา’’ติ อาเนตฺวา โยเชตพฺพํฯ ตสฺส ภิกฺขุโน ถุลฺลจฺจยํ โหติ อกุสลพลวตาย จ ถุลฺลจฺจยํ โหตีติฯ ยถาห – ‘‘เภทปุเรกฺขารปนฺนรสเก อกุสลพลวตาย ถุลฺลจฺจยํ วุตฺต’’นฺติ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๗๖)ฯ วเคฺค วา สมเคฺค วา สเงฺฆ สมโคฺค อิติ สญฺญิโน อุโปสถํ กโรนฺตสฺส อนาปตฺตีติ โยชนาฯ อวเสโส ปเนตฺถ วตฺตพฺพวินิจฺฉโย ปวารณวินิจฺฉยาวสาเน ‘‘ปาริสุทฺธิปฺปทาเนนา’’ติอาทีหิ (วิ. วิ. ๒๖๔๒) เอกโต วตฺตุมิจฺฉเนฺตน น วุโตฺตฯ

    2593.Bhedādhippāyatoti ‘‘nassantete, vinassantete, ko tehi attho’’ti evaṃ bhedapurekkhāratāya ‘‘uposathaṃ karontassā’’ti ānetvā yojetabbaṃ. Tassa bhikkhuno thullaccayaṃ hoti akusalabalavatāya ca thullaccayaṃ hotīti. Yathāha – ‘‘bhedapurekkhārapannarasake akusalabalavatāya thullaccayaṃ vutta’’nti (mahāva. aṭṭha. 176). Vagge vā samagge vā saṅghe samaggo iti saññino uposathaṃ karontassa anāpattīti yojanā. Avaseso panettha vattabbavinicchayo pavāraṇavinicchayāvasāne ‘‘pārisuddhippadānenā’’tiādīhi (vi. vi. 2642) ekato vattumicchantena na vutto.

    ๒๕๙๔-๕. ‘‘อุกฺขิเตฺตนา’’ติอาทิกานิ กรณวจนนฺตานิ ปทานิ ‘‘สหา’’ติ อิมินา สทฺธิํ ‘‘อุโปสโถ น กาตโพฺพ’’ติ ปเทน ปเจฺจกํ โยเชตพฺพานิฯ อุกฺขิเตฺตนาติ อาปตฺติยา อทสฺสเน อุกฺขิตฺตโก, อาปตฺติยา อปฺปฎิกเมฺม อุกฺขิตฺตโก, ปาปิกาย ทิฎฺฐิยา อปฺปฎินิสฺสเคฺค อุกฺขิตฺตโกติ ติวิเธน อุกฺขิเตฺตนฯ เอเตสุ หิ ติวิเธ อุกฺขิตฺตเก สติ อุโปสถํ กโรโนฺต สโงฺฆ ปาจิตฺติยํ อาปชฺชติฯ

    2594-5.‘‘Ukkhittenā’’tiādikāni karaṇavacanantāni padāni ‘‘sahā’’ti iminā saddhiṃ ‘‘uposatho na kātabbo’’ti padena paccekaṃ yojetabbāni. Ukkhittenāti āpattiyā adassane ukkhittako, āpattiyā appaṭikamme ukkhittako, pāpikāya diṭṭhiyā appaṭinissagge ukkhittakoti tividhena ukkhittena. Etesu hi tividhe ukkhittake sati uposathaṃ karonto saṅgho pācittiyaṃ āpajjati.

    ‘‘คหเฎฺฐนา’’ติ อิมินา ติตฺถิโยปิ สงฺคหิโตฯ เสเสหิ สหธมฺมิหีติ ภิกฺขุนี, สิกฺขมานา, สามเณโร, สามเณรีติ จตูหิ สหธมฺมิเกหิฯ จุตนิกฺขิตฺตสิเกฺขหีติ เอตฺถ จุโต จ นิกฺขิตฺตสิโกฺข จาติ วิคฺคโหฯ จุโต นาม อนฺติมวตฺถุํ อชฺฌาปนฺนโกฯ นิกฺขิตฺตสิโกฺข นาม สิกฺขาปจฺจกฺขาตโกฯ

    ‘‘Gahaṭṭhenā’’ti iminā titthiyopi saṅgahito. Sesehi sahadhammihīti bhikkhunī, sikkhamānā, sāmaṇero, sāmaṇerīti catūhi sahadhammikehi. Cutanikkhittasikkhehīti ettha cuto ca nikkhittasikkho cāti viggaho. Cuto nāma antimavatthuṃ ajjhāpannako. Nikkhittasikkho nāma sikkhāpaccakkhātako.

    เอกาทสหีติ ปณฺฑโก, เถยฺยสํวาสโก, ติตฺถิยปกฺกนฺตโก, ติรจฺฉานคโต, มาตุฆาตโก, ปิตุฆาตโก, อรหนฺตฆาตโก, ภิกฺขุนิทูสโก, สงฺฆเภทโก , โลหิตุปฺปาทโก, อุภโตพฺยญฺชนโกติ อิเมหิ เอกาทสหิ อภเพฺพหิฯ

    Ekādasahīti paṇḍako, theyyasaṃvāsako, titthiyapakkantako, tiracchānagato, mātughātako, pitughātako, arahantaghātako, bhikkhunidūsako, saṅghabhedako , lohituppādako, ubhatobyañjanakoti imehi ekādasahi abhabbehi.

    สภาคาปตฺติเกน วา สห อุโปสโถ น กาตโพฺพ, ปาริวุเตฺถน ฉเนฺทน อุโปสโถ น กาตโพฺพ, กโรโต ทุกฺกฎํ โหตีติ โยชนาฯ เอวํ อุกฺขิตฺตวชฺชิเตสุ สพฺพวิกเปฺปสุ ทุกฺกฎเมว เวทิตพฺพํฯ ‘‘ยํ เทฺวปิ ชนา วิกาลโภชนาทินา สภาควตฺถุนา อาปตฺติํ อาปชฺชนฺติ, เอวรูปา วตฺถุสภาคา ‘สภาคา’ติ วุจฺจตี’’ติ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๖๙) วจนโต ‘‘สภาคาปตฺตี’’ติ วตฺถุสภาคาปตฺติเยว คเหตพฺพาฯ

    Sabhāgāpattikena vā saha uposatho na kātabbo, pārivutthena chandena uposatho na kātabbo, karoto dukkaṭaṃ hotīti yojanā. Evaṃ ukkhittavajjitesu sabbavikappesu dukkaṭameva veditabbaṃ. ‘‘Yaṃ dvepi janā vikālabhojanādinā sabhāgavatthunā āpattiṃ āpajjanti, evarūpā vatthusabhāgā ‘sabhāgā’ti vuccatī’’ti (mahāva. aṭṭha. 169) vacanato ‘‘sabhāgāpattī’’ti vatthusabhāgāpattiyeva gahetabbā.

    อุโปสถทิวเส สโพฺพว สโงฺฆ สเจ สภาคาปตฺติํ อาปโนฺน โหติ,

    Uposathadivase sabbova saṅgho sace sabhāgāpattiṃ āpanno hoti,

    ‘‘อิธ ปน, ภิกฺขเว, อญฺญตรสฺมิํ อาวาเส ตทหุโปสเถ สโพฺพ สโงฺฆ สภาคํ อาปตฺติํ อาปโนฺน โหติ, เตหิ, ภิกฺขเว, ภิกฺขูหิ เอโก ภิกฺขุ สามนฺตา อาวาสา สชฺชุกํ ปาเหตโพฺพ ‘คจฺฉาวุโส, ตํ อาปตฺติํ ปฎิกริตฺวา อาคจฺฉ, มยํ เต สนฺติเก ตํ อาปตฺติํ ปฎิกริสฺสามา’ติฯ เอวเญฺจตํ ลเภถ, อิเจฺจตํ กุสลํฯ โน เจ ลเภถ, พฺยเตฺตน ภิกฺขุนา ปฎิพเลน สโงฺฆ ญาเปตโพฺพ – ‘สุณาตุ เม, ภเนฺต สโงฺฆ, อยํ สโพฺพ สโงฺฆ สภาคํ อาปตฺติํ อาปโนฺน, ยทา อญฺญํ ภิกฺขุํ สุทฺธํ อนาปตฺติกํ ปสฺสิสฺสติ, ตทา ตสฺส สนฺติเก ตํ อาปตฺติํ ปฎิกริสฺสตี’’ติ (มหาว. ๑๗๑) จ,

    ‘‘Idha pana, bhikkhave, aññatarasmiṃ āvāse tadahuposathe sabbo saṅgho sabhāgaṃ āpattiṃ āpanno hoti, tehi, bhikkhave, bhikkhūhi eko bhikkhu sāmantā āvāsā sajjukaṃ pāhetabbo ‘gacchāvuso, taṃ āpattiṃ paṭikaritvā āgaccha, mayaṃ te santike taṃ āpattiṃ paṭikarissāmā’ti. Evañcetaṃ labhetha, iccetaṃ kusalaṃ. No ce labhetha, byattena bhikkhunā paṭibalena saṅgho ñāpetabbo – ‘suṇātu me, bhante saṅgho, ayaṃ sabbo saṅgho sabhāgaṃ āpattiṃ āpanno, yadā aññaṃ bhikkhuṃ suddhaṃ anāpattikaṃ passissati, tadā tassa santike taṃ āpattiṃ paṭikarissatī’’ti (mahāva. 171) ca,

    เวมติโก เจ โหติ,

    Vematiko ce hoti,

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต สโงฺฆ, อยํ สโพฺพ สโงฺฆ สภาคาย อาปตฺติยา เวมติโก, ยทา นิเพฺพมติโก ภวิสฺสติ, ตทา ตํ อาปตฺติํ ปฎิกริสฺสตี’’ติ (มหาว. ๑๗๑) จ,

    ‘‘Suṇātu me, bhante saṅgho, ayaṃ sabbo saṅgho sabhāgāya āpattiyā vematiko, yadā nibbematiko bhavissati, tadā taṃ āpattiṃ paṭikarissatī’’ti (mahāva. 171) ca,

    วุตฺตนเยน อุโปสโถ กาตโพฺพฯ

    Vuttanayena uposatho kātabbo.

    เอตฺถ จ สชฺฌุกนฺติ ตทเหวาคมนตฺถายฯ คณุโปสถาทีสุปิ เอเสว นโยฯ วุตฺตญฺหิ อฎฺฐกถาคณฺฐิปเท ‘‘ยถา สโงฺฆ สภาคํ อาปตฺติํ อาปชฺชิตฺวา สุทฺธํ อลภิตฺวา ‘ยทา สุทฺธํ ปสฺสิสฺสติ, ตทา ตสฺส สนฺติเก ตํ อาปตฺติํ ปฎิกริสฺสตี’ติ วตฺวา อุโปสถํ กาตุํ ลภติ, เอวํ ทฺวีหิปิ อญฺญมญฺญํ อาโรเจตฺวา อุโปสถํ กาตุํ วฎฺฎติฯ เอเกนาปิ ‘ปริสุทฺธํ ลภิตฺวา ปฎิกริสฺสามี’ติ อาโภคํ กตฺวา กาตุํ วฎฺฎติ กิรา’’ติฯ กิราติ เจตฺถ อนุสฺสวเตฺถ ทฎฺฐโพฺพ, น ปนารุจิยํฯ

    Ettha ca sajjhukanti tadahevāgamanatthāya. Gaṇuposathādīsupi eseva nayo. Vuttañhi aṭṭhakathāgaṇṭhipade ‘‘yathā saṅgho sabhāgaṃ āpattiṃ āpajjitvā suddhaṃ alabhitvā ‘yadā suddhaṃ passissati, tadā tassa santike taṃ āpattiṃ paṭikarissatī’ti vatvā uposathaṃ kātuṃ labhati, evaṃ dvīhipi aññamaññaṃ ārocetvā uposathaṃ kātuṃ vaṭṭati. Ekenāpi ‘parisuddhaṃ labhitvā paṭikarissāmī’ti ābhogaṃ katvā kātuṃ vaṭṭati kirā’’ti. Kirāti cettha anussavatthe daṭṭhabbo, na panāruciyaṃ.

    ปาริวุเตฺถน ฉเนฺทนาติ ฉนฺทํ อาหริตฺวา กมฺมํ กาตุํ นิสิเนฺนนปิ ‘‘อสุภลกฺขณตาทินา เกนจิ การเณน น กริสฺสามี’’ติ วิสฺสเฎฺฐ ฉเนฺท สเจ ปุน กริสฺสติ, ปุน ฉนฺทปาริสุทฺธิํ อาหริตฺวา กาตพฺพํฯ ยถาห – ‘‘เอตสฺมิํ ปาริวาสิเย ปุน ฉนฺทปาริสุทฺธิํ อนาเนตฺวา กมฺมํ กาตุํ น วฎฺฎตี’’ติ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๑๖๗)ฯ

    Pārivutthena chandenāti chandaṃ āharitvā kammaṃ kātuṃ nisinnenapi ‘‘asubhalakkhaṇatādinā kenaci kāraṇena na karissāmī’’ti vissaṭṭhe chande sace puna karissati, puna chandapārisuddhiṃ āharitvā kātabbaṃ. Yathāha – ‘‘etasmiṃ pārivāsiye puna chandapārisuddhiṃ anānetvā kammaṃ kātuṃ na vaṭṭatī’’ti (mahāva. aṭṭha. 1167).

    ๒๕๙๖. อเทเสตฺวา ปนาปตฺตินฺติ อาปนฺนํ อาปตฺติํ อเทเสตฺวาฯ นาวิกตฺวาน เวมตินฺติ ‘‘อหํ, ภเนฺต, สมฺพหุลาสุ อาปตฺตีสุ เวมติโก, ยทา นิเพฺพมติโก ภวิสฺสามิ, ตทา ตา อาปตฺติโย ปฎิกริสฺสามี’’ติ วิมติํ อนาโรเจตฺวาฯ ‘‘ยทา นิเพฺพมติโกติ เอตฺถ สเจ ปเนส นิเพฺพมติโก น โหติ, วตฺถุํ กิเตฺตตฺวาว เทเสตุํ วฎฺฎตี’’ติ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๖๙) อนฺธกฎฺฐกถายํ วุตฺตํฯ ตตฺรายํ เทสนาวิธิ – สเจ เมฆจฺฉเนฺน สูริเย ‘‘กาโล นุ โข, วิกาโล’’ติ เวมติโก ภุญฺชติ, เตน ภิกฺขุนา ‘‘อหํ, ภเนฺต, เวมติโก ภุญฺชิํ, สเจ กาโล อตฺถิ, สมฺพหุลา ทุกฺกฎา อาปตฺติโย อาปโนฺนมฺหิฯ โน เจ อตฺถิ, สมฺพหุลา ปาจิตฺติยาปตฺติโย อาปโนฺนมฺหี’’ติ เอวํ วตฺถุํ กิเตฺตตฺวา ‘‘อหํ, ภเนฺต, ยา ตสฺมิํ วตฺถุสฺมิํ สมฺพหุลา ทุกฺกฎา วา ปาจิตฺติยา วา อาปตฺติโย อาปโนฺน, ตา ตุมฺหมูเล ปฎิเทเสมี’’ติ วตฺตพฺพํฯ เอเสว นโย สพฺพาปตฺตีสูติฯ

    2596.Adesetvāpanāpattinti āpannaṃ āpattiṃ adesetvā. Nāvikatvāna vematinti ‘‘ahaṃ, bhante, sambahulāsu āpattīsu vematiko, yadā nibbematiko bhavissāmi, tadā tā āpattiyo paṭikarissāmī’’ti vimatiṃ anārocetvā. ‘‘Yadā nibbematikoti ettha sace panesa nibbematiko na hoti, vatthuṃ kittetvāva desetuṃ vaṭṭatī’’ti (mahāva. aṭṭha. 169) andhakaṭṭhakathāyaṃ vuttaṃ. Tatrāyaṃ desanāvidhi – sace meghacchanne sūriye ‘‘kālo nu kho, vikālo’’ti vematiko bhuñjati, tena bhikkhunā ‘‘ahaṃ, bhante, vematiko bhuñjiṃ, sace kālo atthi, sambahulā dukkaṭā āpattiyo āpannomhi. No ce atthi, sambahulā pācittiyāpattiyo āpannomhī’’ti evaṃ vatthuṃ kittetvā ‘‘ahaṃ, bhante, yā tasmiṃ vatthusmiṃ sambahulā dukkaṭā vā pācittiyā vā āpattiyo āpanno, tā tumhamūle paṭidesemī’’ti vattabbaṃ. Eseva nayo sabbāpattīsūti.

    คณฺฐิปเทสุ ปเนวํ วินิจฺฉโย วุโตฺต – ‘‘อหํ, อาวุโส, อิตฺถนฺนามาย อาปตฺติยา เวมติโก, ยทา นิเพฺพมติโก ภวิสฺสามิ, ตทา ตํ อาปตฺติํ ปฎิกริสฺสามี’ติ วตฺวา อุโปสโถ กาตโพฺพ, ปาติโมกฺขํ โสตพฺพ’’นฺติ (มหาว. ๑๗๐) วจนโต ยาว นิเพฺพมติโก น โหติ, ตาว สภาคาปตฺติํ ปฎิคฺคเหตุํ น ลภติฯ อเญฺญสญฺจ กมฺมานํ ปริสุโทฺธ นาม โหติฯ ‘‘ปุน นิเพฺพมติโก หุตฺวา เทเสตพฺพเมวา’’ติ (กงฺขา. อภิ. ฎี. นิทานวณฺณนา) เนว ปาฬิยํ, น อฎฺฐกถายํ อตฺถิ, เทสิเต ปน น โทโสฯ ‘‘อิโต วุฎฺฐหิตฺวา ตํ อาปตฺติํ ปฎิกริสฺสามี’’ติ (มหาว. ๑๗๐) เอตฺถาปิ เอเสว นโยติฯ

    Gaṇṭhipadesu panevaṃ vinicchayo vutto – ‘‘ahaṃ, āvuso, itthannāmāya āpattiyā vematiko, yadā nibbematiko bhavissāmi, tadā taṃ āpattiṃ paṭikarissāmī’ti vatvā uposatho kātabbo, pātimokkhaṃ sotabba’’nti (mahāva. 170) vacanato yāva nibbematiko na hoti, tāva sabhāgāpattiṃ paṭiggahetuṃ na labhati. Aññesañca kammānaṃ parisuddho nāma hoti. ‘‘Puna nibbematiko hutvā desetabbamevā’’ti (kaṅkhā. abhi. ṭī. nidānavaṇṇanā) neva pāḷiyaṃ, na aṭṭhakathāyaṃ atthi, desite pana na doso. ‘‘Ito vuṭṭhahitvā taṃ āpattiṃ paṭikarissāmī’’ti (mahāva. 170) etthāpi eseva nayoti.

    ๒๕๙๗. อุโปสเถติ ทินการกกตฺตพฺพาการวเสน ปนฺนรสี, สงฺฆุโปสโถ, สุตฺตุเทฺทโสติ อิเมหิ ตีหิ ลกฺขเณหิ สมนฺนาคเต อุโปสเถฯ สภิกฺขุมฺหา จ อาวาสาติ ‘‘ยสฺมิํ อุโปสเถ กิจฺจ’’นฺติอาทินา วกฺขมานปฺปการา สภิกฺขุกา อาวาสาฯ อิธ ‘‘อนาวาสา’’ติ เสโสฯ อาวาโส วา อนาวาโส วาติ เอตฺถ ‘‘อภิกฺขุโก วา นานาสํวาสเกหิ สภิกฺขุโก วา’’ติ จ น คนฺตโพฺพติ เอตฺถ ‘‘อญฺญตฺร สเงฺฆน อญฺญตฺร อนฺตรายา’’ติ จ เสโสฯ ‘‘อนาวาโส’’ติ อุโทสิตาทโย วุตฺตาฯ ภิกฺขุนา อุโปสเถ สภิกฺขุมฺหา อาวาสา วา อนาวาสา วา อภิกฺขุโก วา นานาสํวาสเกหิ สภิกฺขุโก วา อาวาโส วา อนาวาโส วา อญฺญตฺร สเงฺฆน อญฺญตฺร อนฺตรายา กุทาจนํ กทาจิปิ น คนฺตโพฺพติ โยชนาฯ

    2597.Uposatheti dinakārakakattabbākāravasena pannarasī, saṅghuposatho, suttuddesoti imehi tīhi lakkhaṇehi samannāgate uposathe. Sabhikkhumhā ca āvāsāti ‘‘yasmiṃ uposathe kicca’’ntiādinā vakkhamānappakārā sabhikkhukā āvāsā. Idha ‘‘anāvāsā’’ti seso. Āvāso vā anāvāso vāti ettha ‘‘abhikkhuko vā nānāsaṃvāsakehi sabhikkhuko vā’’ti ca na gantabboti ettha ‘‘aññatra saṅghena aññatra antarāyā’’ti ca seso. ‘‘Anāvāso’’ti udositādayo vuttā. Bhikkhunā uposathe sabhikkhumhā āvāsā vā anāvāsā vā abhikkhuko vā nānāsaṃvāsakehi sabhikkhuko vā āvāso vā anāvāso vā aññatra saṅghena aññatra antarāyā kudācanaṃ kadācipi na gantabboti yojanā.

    ๒๕๙๘. ยสฺมิํ อาวาเส ปน อุโปสเถ กิจฺจํ สเจ วตฺตติ, โส อาวาโส ‘‘สภิกฺขุโก นามา’’ติ ปกาสิโตติ โยชนา, อิมินา สเจ ยตฺถ อุโปสโถ น วตฺตติ, โส สเนฺตสุปิ ภิกฺขูสุ อภิกฺขุโก นามาติ ทีเปติฯ

    2598. Yasmiṃ āvāse pana uposathe kiccaṃ sace vattati, so āvāso ‘‘sabhikkhuko nāmā’’ti pakāsitoti yojanā, iminā sace yattha uposatho na vattati, so santesupi bhikkhūsu abhikkhuko nāmāti dīpeti.

    ๒๕๙๙. อุโปสถสฺส ปโยชนํ, ตปฺปสเงฺคน ปวารณาย จ นิทฺธาเรตุกามตายาห ‘‘อุโปสโถ กิมตฺถายา’’ติอาทิฯ

    2599. Uposathassa payojanaṃ, tappasaṅgena pavāraṇāya ca niddhāretukāmatāyāha ‘‘uposatho kimatthāyā’’tiādi.

    ๒๖๐๐. ปฎิโกฺกเสยฺยาติ นิวาเรยฺยฯ อเทนฺตสฺสปิ ทุกฺกฎนฺติ เอตฺถ ‘‘โกเปตุํ ธมฺมิกํ กมฺม’’นฺติ อาเนตฺวา สมฺพนฺธิตพฺพํฯ

    2600.Paṭikkoseyyāti nivāreyya. Adentassapi dukkaṭanti ettha ‘‘kopetuṃ dhammikaṃ kamma’’nti ānetvā sambandhitabbaṃ.

    ๒๖๐๑. โส จาติ (กงฺขา. อฎฺฐ. นิทานวณฺณนา) จตุวคฺคาทิปฺปเภเทน ปญฺจวิโธ โส สโงฺฆ จฯ เหฎฺฐิมปริเจฺฉเทน กตฺตพฺพกมฺมานํ วเสน ปริทีปิโต, น ฉพฺพคฺคาทีนํ กาตุํ อยุตฺตตาทสฺสนวเสนฯ

    2601.So cāti (kaṅkhā. aṭṭha. nidānavaṇṇanā) catuvaggādippabhedena pañcavidho so saṅgho ca. Heṭṭhimaparicchedena kattabbakammānaṃ vasena paridīpito, na chabbaggādīnaṃ kātuṃ ayuttatādassanavasena.

    ๒๖๐๒. จตุวคฺคาทิเภทนิพนฺธนํ กมฺมํ ทเสฺสตุมาห ‘‘ปวารณ’’นฺติอาทิฯ ปวารณญฺจ ตถา อพฺภานญฺจ อุปสมฺปทญฺจ ฐเปตฺวา จตุวเคฺคน อกตฺตพฺพํ กมฺมํ น วิชฺชตีติ โยชนาฯ

    2602. Catuvaggādibhedanibandhanaṃ kammaṃ dassetumāha ‘‘pavāraṇa’’ntiādi. Pavāraṇañca tathā abbhānañca upasampadañca ṭhapetvā catuvaggena akattabbaṃ kammaṃ na vijjatīti yojanā.

    ๒๖๐๓. มชฺฌเทเส อุปสมฺปทา มชฺฌเทสูปสมฺปทา, ตํฯ อพฺภานํ, มชฺฌเทสูปสมฺปทญฺจ วินา ปญฺจวเคฺคน สพฺพํ กมฺมํ กาตุํ วฎฺฎตีติ โยชนาฯ

    2603. Majjhadese upasampadā majjhadesūpasampadā, taṃ. Abbhānaṃ, majjhadesūpasampadañca vinā pañcavaggena sabbaṃ kammaṃ kātuṃ vaṭṭatīti yojanā.

    ๒๖๐๔. กิญฺจิปิ กมฺมํ น น กตฺตพฺพนฺติ โยชนา, สพฺพมฺปิ กมฺมํ กตฺตพฺพเมวาติ อโตฺถฯ เทฺว ปฎิเสธา ปกตตฺถํ คมยนฺตีติฯ วีสติวเคฺคน สเงฺฆน สเพฺพสมฺปิ กมฺมานํ กตฺตพฺพภาเว กิมตฺถํ อติเรกวีสติวคฺคสฺส คหณนฺติ อาห ‘‘อูเน โทโสติ ญาเปตุํ, นาธิเก อติเรกตา’’ติฯ ยถาวุเตฺต จตุพฺพิเธ สเงฺฆ คณนโต อูเน โทโส โหติ, อธิเก โทโส น โหตีติ ญาเปตุํ อติเรกตา ทสฺสิตา, อติเรกวีสติวคฺคสโงฺฆ ทสฺสิโตติ อธิปฺปาโยฯ

    2604. Kiñcipi kammaṃ na na kattabbanti yojanā, sabbampi kammaṃ kattabbamevāti attho. Dve paṭisedhā pakatatthaṃ gamayantīti. Vīsativaggena saṅghena sabbesampi kammānaṃ kattabbabhāve kimatthaṃ atirekavīsativaggassa gahaṇanti āha ‘‘ūne dosoti ñāpetuṃ, nādhike atirekatā’’ti. Yathāvutte catubbidhe saṅghe gaṇanato ūne doso hoti, adhike doso na hotīti ñāpetuṃ atirekatā dassitā, atirekavīsativaggasaṅgho dassitoti adhippāyo.

    ๒๖๐๕. จตุวเคฺคน กตฺตเพฺพ ปกตตฺตาว จตฺตาโร กมฺมปฺปตฺตาติ ทีปิตาติ โยชนาฯ เสสา ปกตตฺตา ฉนฺทารหาติ เสโสฯ ปกตตฺตาติ อนุกฺขิตฺตา เจว อนฺติมวตฺถุํ อนชฺฌาปนฺนา จ คเหตพฺพาฯ เสเสสุ จาติ ปญฺจวคฺคาทีสุปิฯ

    2605. Catuvaggena kattabbe pakatattāva cattāro kammappattāti dīpitāti yojanā. Sesā pakatattā chandārahāti seso. Pakatattāti anukkhittā ceva antimavatthuṃ anajjhāpannā ca gahetabbā. Sesesu cāti pañcavaggādīsupi.

    ๒๖๐๖. จตุวคฺคาทิกตฺตพฺพกมฺมํ อสํวาสปุคฺคลํ คณปูรํ กตฺวา กโรนฺตสฺส ทุกฺกฎํ โหติฯ น เกวลํ ทุกฺกฎเมว, กตญฺจ กมฺมํ กุปฺปตีติ โยชนาฯ

    2606.Catuvaggādikattabbakammaṃ asaṃvāsapuggalaṃ gaṇapūraṃ katvā karontassa dukkaṭaṃ hoti. Na kevalaṃ dukkaṭameva, katañca kammaṃ kuppatīti yojanā.

    ๒๖๐๗. ปริวาสาทีติ เอตฺถ อาทิ-สเทฺทน มูลายปฎิกสฺสนาทีนํ คหณํฯ ตตฺรฎฺฐนฺติ ปริวาสาทีสุ ฐิตํฯ ‘‘ตถา’’ติ อิมินา ‘‘กตํ กุปฺปติ ทุกฺกฎ’’นฺติ อิทํ อนุวเตฺตติฯ เสสํ ตูติ ปริวาสาทิกมฺมโต อญฺญํ ปน อุโปสถาทิกมฺมํ ฯ วฎฺฎตีติ เต ปาริวาสิกาทโย คณปูรเก กตฺวา กาตุํ วฎฺฎติฯ

    2607.Parivāsādīti ettha ādi-saddena mūlāyapaṭikassanādīnaṃ gahaṇaṃ. Tatraṭṭhanti parivāsādīsu ṭhitaṃ. ‘‘Tathā’’ti iminā ‘‘kataṃ kuppati dukkaṭa’’nti idaṃ anuvatteti. Sesaṃ tūti parivāsādikammato aññaṃ pana uposathādikammaṃ . Vaṭṭatīti te pārivāsikādayo gaṇapūrake katvā kātuṃ vaṭṭati.

    อุโปสถกฺขนฺธกกถาวณฺณนาฯ

    Uposathakkhandhakakathāvaṇṇanā.





    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact