Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ขุทฺทสิกฺขา-มูลสิกฺขา • Khuddasikkhā-mūlasikkhā

    ๔๔. อุโปสถนิเทฺทสวณฺณนา

    44. Uposathaniddesavaṇṇanā

    ๔๑๑. สุตฺตุเทฺทโส สงฺฆเสฺสวฯ เสสานนฺติ ทฺวินฺนํ ติณฺณํ วาฯ

    411.Suttuddeso saṅghasseva. Sesānanti dvinnaṃ tiṇṇaṃ vā.

    ๔๑๒. ปุพฺพกรเณ ปุพฺพกิเจฺจ, ปตฺตกเลฺล สมานิเตติ สพฺพปฐมํ กตฺตพฺพํ ปุพฺพกรณํฯ ตทนนฺตรํ กตฺตพฺพํ ปุพฺพกิจฺจํ นามฯ เอตฺถ –

    412.Pubbakaraṇepubbakicce, pattakalle samāniteti sabbapaṭhamaṃ kattabbaṃ pubbakaraṇaṃ. Tadanantaraṃ kattabbaṃ pubbakiccaṃ nāma. Ettha –

    ‘‘สมฺมชฺชนี ปทีโป จ, อุทกํ อาสเนน จ;

    ‘‘Sammajjanī padīpo ca, udakaṃ āsanena ca;

    อุโปสถสฺส เอตานิ, ปุพฺพกรณนฺติ วุจฺจติฯ

    Uposathassa etāni, pubbakaraṇanti vuccati.

    ‘‘ฉนฺทปาริสุทฺธิอุตุกฺขานํ, ภิกฺขุคณนา จ โอวาโท;

    ‘‘Chandapārisuddhiutukkhānaṃ, bhikkhugaṇanā ca ovādo;

    อุโปสถสฺส เอตานิ, ปุพฺพกิจฺจนฺติ วุจฺจตี’’ติ –ฯ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๖๘);

    Uposathassa etāni, pubbakiccanti vuccatī’’ti –. (mahāva. aṭṭha. 168);

    เอวํ อฎฺฐกถายํ วุตฺตนเยน ปุพฺพกรณญฺจ ปุพฺพกิจฺจญฺจ เวทิตพฺพํฯ

    Evaṃ aṭṭhakathāyaṃ vuttanayena pubbakaraṇañca pubbakiccañca veditabbaṃ.

    ‘‘อุโปสโถ ยาวติกา จ ภิกฺขู กมฺมปฺปตฺตา,

    ‘‘Uposatho yāvatikā ca bhikkhū kammappattā,

    สภาคาปตฺติโย จ น วิชฺชนฺติ;

    Sabhāgāpattiyo ca na vijjanti;

    วชฺชนียา จ ปุคฺคลา ตสฺมิํ น โหนฺติ,

    Vajjanīyā ca puggalā tasmiṃ na honti,

    ปตฺตกลฺลนฺติ วุจฺจตี’’ติ –ฯ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๖๘);

    Pattakallanti vuccatī’’ti –. (mahāva. aṭṭha. 168);

    วุตฺตวเสน ปตฺตกเลฺล สมานิเต, ปชฺชิเตติ อโตฺถฯ ‘‘ปญฺจิเม, ภิกฺขเว, ปาติโมกฺขุเทฺทสาฯ นิทานํ อุทฺทิสิตฺวา อวเสสํ สุเตน สาเวตพฺพํ, อยํ ปฐโม ปาติโมกฺขุเทฺทโสฯ นิทานํ อุทฺทิสิตฺวา จตฺตาริ ปาราชิกานิ อุทฺทิสิตฺวา อวเสสํ สุเตน สาเวตพฺพํ, อยํ ทุติโย ปาติโมกฺขุเทฺทโสฯ นิทานํ อุทฺทิสิตฺวา จตฺตาริ ปาราชิกานิ อุทฺทิสิตฺวา เตรส สงฺฆาทิเสเส อุทฺทิสิตฺวา อวเสสํ สุเตน สาเวตพฺพํ, อยํ ตติโย ปาติโมกฺขุเทฺทโสฯ นิทานํ อุทฺทิสิตฺวา จตฺตาริ ปาราชิกานิ อุทฺทิสิตฺวา เตรส สงฺฆาทิเสเส อุทฺทิสิตฺวา เทฺว อนิยเต อุทฺทิสิตฺวา อวเสสํ สุเตน สาเวตพฺพํ, อยํ จตุโตฺถ ปาติโมกฺขุเทฺทโสฯ วิตฺถาเรเนว ปญฺจโมฯ อิเม โข ภิกฺขเว ปญฺจ ปาติโมกฺขุเทฺทสา’’ติ (มหาว. ๑๕๐) วุตฺตตฺตา โส สุตฺตุเทฺทโส ปญฺจธา วิภาวิโตติ อโตฺถฯ

    Vuttavasena pattakalle samānite, pajjiteti attho. ‘‘Pañcime, bhikkhave, pātimokkhuddesā. Nidānaṃ uddisitvā avasesaṃ sutena sāvetabbaṃ, ayaṃ paṭhamo pātimokkhuddeso. Nidānaṃ uddisitvā cattāri pārājikāni uddisitvā avasesaṃ sutena sāvetabbaṃ, ayaṃ dutiyo pātimokkhuddeso. Nidānaṃ uddisitvā cattāri pārājikāni uddisitvā terasa saṅghādisese uddisitvā avasesaṃ sutena sāvetabbaṃ, ayaṃ tatiyo pātimokkhuddeso. Nidānaṃ uddisitvā cattāri pārājikāni uddisitvā terasa saṅghādisese uddisitvā dve aniyate uddisitvā avasesaṃ sutena sāvetabbaṃ, ayaṃ catuttho pātimokkhuddeso. Vitthāreneva pañcamo. Ime kho bhikkhave pañca pātimokkhuddesā’’ti (mahāva. 150) vuttattā so suttuddeso pañcadhā vibhāvitoti attho.

    ๔๑๓. วินานฺตรายนฺติ (มหาว. ๑๕๐) ราชนฺตรายาทิทสวิธํ อนฺตรายํ วินา สเงฺขเปนุเทฺทโส วินิวาริโต ปฎิกฺขิโตฺตติ อโตฺถฯ เถโรวาติ สงฺฆเตฺถโรวฯ เอตฺถาติ ปญฺจสุ อุเทฺทเสสุฯ ‘‘ทฺวีสุ วา ตีสุ วา วิสเทสุ เถโรว อิสฺสโร’’ติ อฎฺฐกถายํ วุตฺตตฺตา อวตฺตเนฺตปิ อนฺตราเย สํขิเตฺตน อุทฺทิสิตุํ วฎฺฎตีติ อธิปฺปาโยฯ กตฺถ วุตฺตนฺติ เจ? ‘‘โย ตตฺถ ภิกฺขุ พฺยโตฺต ปฎิพโล, ตสฺสาเธยฺย’’นฺติ (มหาว. ๑๕๕) วุตฺตปาฬิยา อฎฺฐกถายํ ‘‘โย ตตฺถ ภิกฺขุ พฺยโตฺต ปฎิพโลติ เอตฺถ กิญฺจาปิ ทหรสฺสาปิ พฺยตฺตสฺส ปาติโมโกฺข อนุญฺญาโต, อถ โข เอตฺถ อยมธิปฺปาโย – สเจ สงฺฆเตฺถรสฺส ปญฺจ วา จตฺตาโร วา ตโย วา ปาติโมกฺขุเทฺทสา นาคจฺฉนฺติ, เทฺว ปน อขณฺฑา สุวิสทา วาจุคฺคตา โหนฺติ, เถรายโตฺตว ปาติโมโกฺขฯ สเจ ปน เอตฺตกมฺปิ วิสทํ กาตุํ น สโกฺกติ, พฺยตฺตสฺส ภิกฺขุโน อายโตฺตว โหตี’’ติ อโตฺถ วุโตฺตฯ ปาฬิยมฺปิ วุตฺตเมว ‘‘เตหิ, ภิกฺขเว, ภิกฺขูหิ เอโก ภิกฺขุ สามนฺตา อาวาสา สชฺชุกํ ปาเหตโพฺพ ‘คจฺฉ, อาวุโส, สํขิเตฺตน วา วิตฺถาเรน วา ปาติโมกฺขํ ปริยาปุณิตฺวา อาคจฺฉา’’’ติ (มหาว. ๑๖๓)ฯ

    413.Vināntarāyanti (mahāva. 150) rājantarāyādidasavidhaṃ antarāyaṃ vinā saṅkhepenuddeso vinivārito paṭikkhittoti attho. Therovāti saṅghattherova. Etthāti pañcasu uddesesu. ‘‘Dvīsu vā tīsu vā visadesu therova issaro’’ti aṭṭhakathāyaṃ vuttattā avattantepi antarāye saṃkhittena uddisituṃ vaṭṭatīti adhippāyo. Kattha vuttanti ce? ‘‘Yo tattha bhikkhu byatto paṭibalo, tassādheyya’’nti (mahāva. 155) vuttapāḷiyā aṭṭhakathāyaṃ ‘‘yo tattha bhikkhu byatto paṭibaloti ettha kiñcāpi daharassāpi byattassa pātimokkho anuññāto, atha kho ettha ayamadhippāyo – sace saṅghattherassa pañca vā cattāro vā tayo vā pātimokkhuddesā nāgacchanti, dve pana akhaṇḍā suvisadā vācuggatā honti, therāyattova pātimokkho. Sace pana ettakampi visadaṃ kātuṃ na sakkoti, byattassa bhikkhuno āyattova hotī’’ti attho vutto. Pāḷiyampi vuttameva ‘‘tehi, bhikkhave, bhikkhūhi eko bhikkhu sāmantā āvāsā sajjukaṃ pāhetabbo ‘gaccha, āvuso, saṃkhittena vā vitthārena vā pātimokkhaṃ pariyāpuṇitvā āgacchā’’’ti (mahāva. 163).

    ๔๑๔. อุทฺทิสเนฺต วาติ (มหาว. ๑๗๒) ปาติโมเกฺข อุทฺทิสิยมาเน สมา วา โถกตรา วา ยทิ อาคเจฺฉยฺยุํ, อุทฺทิฎฺฐํ สุอุทฺทิฎฺฐํ, เตหิ สทฺธิํ นิสีทิตฺวา อวเสสกํ โสตพฺพนฺติ อโตฺถฯ

    414.Uddisante vāti (mahāva. 172) pātimokkhe uddisiyamāne samā vā thokatarā vā yadi āgaccheyyuṃ, uddiṭṭhaṃ suuddiṭṭhaṃ, tehi saddhiṃ nisīditvā avasesakaṃ sotabbanti attho.

    ๔๑๕. อุทฺทิฎฺฐมเตฺต (มหาว. ๑๗๒) วา สกลาย วา เอกจฺจาย วา ปริสาย วุฎฺฐิตาย สมา วา โถกตรา วา ยทิ อาคเจฺฉยฺยุนฺติ สมฺพโนฺธฯ ปาริสุทฺธินฺติ ปาริสุทฺธิอุโปสถํฯ กเรเยฺยสนฺติ กเรยฺย เอสํ, เอเตสํ สนฺติเกติ อโตฺถฯ พหุกาถ เจติ อถ พหุกา เจ, ปุน อาคตา พหุกา เจติ อโตฺถ ,ฯ ‘‘อุทฺทิสฺสมาเน, อุทฺทิฎฺฐมเตฺต เอกจฺจาย วุฎฺฐิตาย สกลาย วุฎฺฐิตายา’’ติ (มหาว. ๑๗๒) อาคเตสุ สพฺพวิกเปฺปสุ ปุพฺพกิจฺจํ กตฺวา ปุน อาทิโต ปฎฺฐาย ปาติโมกฺขํ อุทฺทิเสติ อโตฺถฯ

    415.Uddiṭṭhamatte (mahāva. 172) vā sakalāya vā ekaccāya vā parisāya vuṭṭhitāya samā vā thokatarā vā yadi āgaccheyyunti sambandho. Pārisuddhinti pārisuddhiuposathaṃ. Kareyyesanti kareyya esaṃ, etesaṃ santiketi attho. Bahukātha ceti atha bahukā ce, puna āgatā bahukā ceti attho ,. ‘‘Uddissamāne, uddiṭṭhamatte ekaccāya vuṭṭhitāya sakalāya vuṭṭhitāyā’’ti (mahāva. 172) āgatesu sabbavikappesu pubbakiccaṃ katvā puna ādito paṭṭhāya pātimokkhaṃ uddiseti attho.

    ๔๑๖. อิตรานนฺติ อาคนฺตุกานํฯ สเจตโรติ สเจ จาตุทฺทสิโกติ อโตฺถฯ สมาเนตเรนุวตฺตนฺตูติ สมา วา อูนา วา อิตเร อาคนฺตุกา ปุริมานํ อาวาสิกานํ อนุวตฺตนฺตูติ อโตฺถฯ สเจธิกาติ อาคนฺตุกา สเจ อธิกา, ปุริมา อาวาสิกา อนุวตฺตนฺตูติ อโตฺถฯ เสเสปฺยยํ นโยติ ‘‘อาคนฺตุกานํ ปนฺนรโส โหติ, อาวาสิกานํ จาตุทฺทโส’’ติ อิตเรปิ สมโถกา อาคนฺตุกา อาวาสิกานํ อนุวตฺตนฺตูติอาทินา นเยน วินิจฺฉโย เวทิตโพฺพติ อโตฺถฯ

    416.Itarānanti āgantukānaṃ. Sacetaroti sace cātuddasikoti attho. Samānetarenuvattantūti samā vā ūnā vā itare āgantukā purimānaṃ āvāsikānaṃ anuvattantūti attho. Sacedhikāti āgantukā sace adhikā, purimā āvāsikā anuvattantūti attho. Sesepyayaṃ nayoti ‘‘āgantukānaṃ pannaraso hoti, āvāsikānaṃ cātuddaso’’ti itarepi samathokā āgantukā āvāsikānaṃ anuvattantūtiādinā nayena vinicchayo veditabboti attho.

    ๔๑๗. มูลฎฺฐาติ อาวาสิกาฯ สมโถกานํ อาคนฺตุกานํฯ สามคฺคิํ เทนฺตุ กามโตติ ยทิ อิจฺฉนฺติ, เทนฺตูติ อโตฺถฯ

    417.Mūlaṭṭhāti āvāsikā. Samathokānaṃ āgantukānaṃ. Sāmaggiṃ dentu kāmatoti yadi icchanti, dentūti attho.

    ๔๑๘. โน เจ เทนฺติ, อาคนฺตุเกหิ พหิ คนฺตฺวาน อุโปสโถ กาตโพฺพติ อโตฺถฯ อนิจฺฉาย สามคฺคี เทยฺยาติ สมฺพโนฺธฯ

    418. No ce denti, āgantukehi bahi gantvāna uposatho kātabboti attho. Anicchāya sāmaggī deyyāti sambandho.

    ๔๑๙. ‘‘น ภิกฺขเว ปาติโมกฺขุเทฺทสเกน สญฺจิจฺจ น สาเวตพฺพํฯ โย น สาเวยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติวุตฺตตฺตา (มหาว. ๑๕๔) ‘‘สาเวยฺย สุตฺต’’นฺติ วุตฺตํฯ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ปาติโมกฺขุเทฺทสเกน วายมิตุํ กถํ สาเวยฺยนฺติ, วายมนฺตสฺส อนาปตฺตี’’ติ (มหาว. ๑๕๔) วุตฺตตฺตา ‘‘สญฺจิจฺจ อสฺสาเวนฺตสฺส ทุกฺกฎ’’นฺติ วุตฺตํฯ

    419. ‘‘Na bhikkhave pātimokkhuddesakena sañcicca na sāvetabbaṃ. Yo na sāveyya, āpatti dukkaṭassā’’tivuttattā (mahāva. 154) ‘‘sāveyya sutta’’nti vuttaṃ. ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, pātimokkhuddesakena vāyamituṃ kathaṃ sāveyyanti, vāyamantassa anāpattī’’ti (mahāva. 154) vuttattā ‘‘sañcicca assāventassa dukkaṭa’’nti vuttaṃ.

    ๔๒๐. ตถาติ ทุกฺกฎนฺติ อโตฺถฯ กโลฺลติ อคิลาโนฯ เปสิโตติ อาณโตฺตฯ ‘‘น ภิกฺขเว เถเรน อาณเตฺตน อคิลาเนน น สมฺมชฺชิตพฺพํฯ โย น สมฺมเชฺชยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติอาทิ (มหาว. ๑๕๙) วุตฺตํฯ

    420.Tathāti dukkaṭanti attho. Kalloti agilāno. Pesitoti āṇatto. ‘‘Na bhikkhave therena āṇattena agilānena na sammajjitabbaṃ. Yo na sammajjeyya, āpatti dukkaṭassā’’tiādi (mahāva. 159) vuttaṃ.

    ๔๒๑-๓. อิทานิ ปาริสุทฺธิอุโปสถํ ทเสฺสตุํ ‘‘สมฺมชฺชิตฺวา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ อญฺชลิํ (มหาว. ๑๖๘) ปคฺคยฺหาติ สมฺพโนฺธฯ เตติ อวเสสา เทฺว เอวํ สมุทีริยา วตฺตพฺพาติ อโตฺถฯ เอกํสํ อุตฺตราสงฺคาทิกรณวเสน สมตฺตปุพฺพารเมฺภน เต เทฺว ภิกฺขู นเวน เอวมีริยา วตฺตพฺพาติ อโตฺถฯ

    421-3. Idāni pārisuddhiuposathaṃ dassetuṃ ‘‘sammajjitvā’’tiādi vuttaṃ. Añjaliṃ (mahāva. 168) paggayhāti sambandho. Teti avasesā dve evaṃ samudīriyā vattabbāti attho. Ekaṃsaṃ uttarāsaṅgādikaraṇavasena samattapubbārambhena te dve bhikkhū navena evamīriyā vattabbāti attho.

    ๔๒๔-๕. อิทานิ ทฺวีหิ กตฺตพฺพํ ทเสฺสตุํ ‘‘ทฺวีสุ เถเรนา’’ติ วุตฺตํฯ

    424-5. Idāni dvīhi kattabbaṃ dassetuṃ ‘‘dvīsu therenā’’ti vuttaṃ.

    ๔๒๖. เอตฺตาวตา ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, จตุนฺนํ ปาติโมกฺขํ อุทฺทิสิตุ’’นฺติ (มหาว. ๑๖๘) จ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ติณฺณํ ปาริสุทฺธิอุโปสถํ กาตุ’’นฺติ (มหาว. ๑๖๘) จ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ทฺวินฺนํ ปาริสุทฺธิอุโปสถํ กาตุ’’นฺติ (มหาว. ๑๖๘) จ วุตฺตํ สงฺฆุโปสถญฺจ ปาริสุทฺธิอุโปสถญฺจ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ยตฺถ เอโก ภิกฺขุ วิหรติ, ตสฺส อนุญฺญาตํ อธิฎฺฐานุโปสถํ ทเสฺสตุํ ‘‘ปุพฺพกิจฺจ’’นฺติอาทิมาหฯ เอตฺถ จ ปุพฺพกิจฺจํ นาม สมฺมชฺชนาทิกํเยวฯ

    426. Ettāvatā ‘‘anujānāmi, bhikkhave, catunnaṃ pātimokkhaṃ uddisitu’’nti (mahāva. 168) ca ‘‘anujānāmi, bhikkhave, tiṇṇaṃ pārisuddhiuposathaṃ kātu’’nti (mahāva. 168) ca ‘‘anujānāmi, bhikkhave, dvinnaṃ pārisuddhiuposathaṃ kātu’’nti (mahāva. 168) ca vuttaṃ saṅghuposathañca pārisuddhiuposathañca dassetvā idāni yattha eko bhikkhu viharati, tassa anuññātaṃ adhiṭṭhānuposathaṃ dassetuṃ ‘‘pubbakicca’’ntiādimāha. Ettha ca pubbakiccaṃ nāma sammajjanādikaṃyeva.

    ๔๒๗. สงฺฆุโปสถปาริสุทฺธิอุโปสถอธิฎฺฐานอุโปสถานํ วเสน ตํ ตํ อุโปสถํ ยทิ กยิรุนฺติ สมฺพโนฺธฯ

    427. Saṅghuposathapārisuddhiuposathaadhiṭṭhānauposathānaṃ vasena taṃ taṃ uposathaṃ yadi kayirunti sambandho.

    ๔๒๘. วเคฺค (มหาว. ๑๗๓) จ สมเคฺค จ ‘‘วโคฺค’’ติ สญฺญิโน จ ‘‘วโคฺค นุ โข, สมโคฺค นุ โข’’ติ เอวํ วิมติสฺส จ ทุกฺกฎํ, ‘‘นสฺสเนฺตเต วินสฺสเนฺตเต, โก เตหิ อโตฺถ’’ติ เอวํ อนาคตานํ ภิกฺขูนํ อตฺถิภาวํ ญตฺวา เภทาธิปฺปาเยน อุโปสถํ กโรโต ถุลฺลจฺจยํ โหตีติ อโตฺถฯ ตทุภเยปิ ‘‘สมโคฺค’’ติ สญฺญิโน อนาปตฺติฯ

    428. Vagge (mahāva. 173) ca samagge ca ‘‘vaggo’’ti saññino ca ‘‘vaggo nu kho, samaggo nu kho’’ti evaṃ vimatissa ca dukkaṭaṃ, ‘‘nassantete vinassantete, ko tehi attho’’ti evaṃ anāgatānaṃ bhikkhūnaṃ atthibhāvaṃ ñatvā bhedādhippāyena uposathaṃ karoto thullaccayaṃ hotīti attho. Tadubhayepi ‘‘samaggo’’ti saññino anāpatti.

    ๔๒๙-๔๓๐. เสสสหธมฺมิกา นาม ภิกฺขุํ ฐเปตฺวา อวเสสา จตฺตาโรฯ อภพฺพสฺสาติ เอตฺถ ปณฺฑกเถยฺยสํวาสก ติตฺถิยปกฺกนฺตก ติรจฺฉานคต มาตุฆาตก ปิตุฆาตก อรหนฺตฆาตก ภิกฺขุนิทูสก สงฺฆเภทก โลหิตุปฺปาทกอุภโตพฺยญฺชนกา อภพฺพา คหิตาฯ เอตฺถ ปน นาคมาณวกาทโย ติรจฺฉานคตปกฺขิกาติ เวทิตพฺพาฯ เอเตสํ นิสินฺนปริสายญฺจ ปาติโมกฺขํ น อุทฺทิเสติ สมฺพโนฺธฯ

    429-430.Sesasahadhammikā nāma bhikkhuṃ ṭhapetvā avasesā cattāro. Abhabbassāti ettha paṇḍakatheyyasaṃvāsaka titthiyapakkantaka tiracchānagata mātughātaka pitughātaka arahantaghātaka bhikkhunidūsaka saṅghabhedaka lohituppādakaubhatobyañjanakā abhabbā gahitā. Ettha pana nāgamāṇavakādayo tiracchānagatapakkhikāti veditabbā. Etesaṃ nisinnaparisāyañca pātimokkhaṃ na uddiseti sambandho.

    ตถาติ โย ปน สโงฺฆ สภาคาปตฺติโก, โสปิ น อุทฺทิเส, ปริวุเตฺถน ฉเนฺทนปิ น อุทฺทิเสติ อโตฺถฯ เอตฺถ ปน จตุพฺพิธํ ปาริวาสิยํ ปริสปาริวาสิยํ รตฺติปาริวาสิยํ ฉนฺทปาริวาสิยํ อชฺฌาสยปาริวาสิยนฺติฯ

    Tathāti yo pana saṅgho sabhāgāpattiko, sopi na uddise, parivutthena chandenapi na uddiseti attho. Ettha pana catubbidhaṃ pārivāsiyaṃ parisapārivāsiyaṃ rattipārivāsiyaṃ chandapārivāsiyaṃ ajjhāsayapārivāsiyanti.

    เอตฺถ ปน ภิกฺขู เกนจิเทว กรณีเยน สนฺนิปติตา เมฆาทีหิ อุปทฺทุตา ‘‘อโนกาสา มยํ, อญฺญตฺร คจฺฉามา’’ติ ฉนฺทํ อวิสฺสเชฺชตฺวาว อุฎฺฐหนฺติฯ อิทํ ปริสปาริวาสิยํฯ กิญฺจาปิ ปริสปาริวาสิยํ, ฉนฺทสฺส ปน อวิสฺสฎฺฐตฺตา กมฺมํ กาตุํ วฎฺฎติฯ

    Ettha pana bhikkhū kenacideva karaṇīyena sannipatitā meghādīhi upaddutā ‘‘anokāsā mayaṃ, aññatra gacchāmā’’ti chandaṃ avissajjetvāva uṭṭhahanti. Idaṃ parisapārivāsiyaṃ. Kiñcāpi parisapārivāsiyaṃ, chandassa pana avissaṭṭhattā kammaṃ kātuṃ vaṭṭati.

    ปุนปิ ภิกฺขูนํ ‘‘อุโปสถาทีนิ กริสฺสามา’’ติ รตฺติํ สนฺนิปติตฺวา ธมฺมํ สุณนฺตานํเยว อรุโณ อุคฺคจฺฉติฯ สเจ ‘‘จาตุทฺทสิกํ กริสฺสามา’’ติ นิสินฺนา, ‘‘ปนฺนรโส’’ติ กาตุํ วฎฺฎติฯ สเจ ปนฺนรสิกํ กาตุํ นิสินฺนา, ปาฎิปเท อนุโปสเถ อุโปสถํ กาตุํ น วฎฺฎติ, อญฺญํ ปน สงฺฆกิจฺจํ กาตุํ วฎฺฎติฯ อิทํ รตฺติปาริวาสิยํ นามฯ

    Punapi bhikkhūnaṃ ‘‘uposathādīni karissāmā’’ti rattiṃ sannipatitvā dhammaṃ suṇantānaṃyeva aruṇo uggacchati. Sace ‘‘cātuddasikaṃ karissāmā’’ti nisinnā, ‘‘pannaraso’’ti kātuṃ vaṭṭati. Sace pannarasikaṃ kātuṃ nisinnā, pāṭipade anuposathe uposathaṃ kātuṃ na vaṭṭati, aññaṃ pana saṅghakiccaṃ kātuṃ vaṭṭati. Idaṃ rattipārivāsiyaṃ nāma.

    ปุน ภิกฺขู ‘‘ยํกิญฺจิเทว อพฺภานาทิกมฺมํ กริสฺสามา’’ติ สนฺนิปติตา โหนฺติ, ตเตฺรโก นกฺขตฺตปาฐโก เอวํ วทติ ‘‘อชฺช นกฺขตฺตํ ทารุณ’’นฺติ, เต ตสฺส วจเนน ฉนฺทํ วิสฺสเชฺชตฺวา ตเตฺถว นิสินฺนา โหนฺติฯ อถโญฺญ อาคนฺตฺวา ‘‘กิํ นกฺขเตฺตน, กโรถา’’ติ วทติฯ อิทํ ฉนฺทปาริวาสิยเญฺจว อชฺฌาสยปาริวาสิยญฺจฯ ตสฺมิํ ปาริวาสิเย ปุน ฉนฺทปาริสุทฺธิํ อนาเนตฺวา กมฺมํ กาตุํ น วฎฺฎติฯ อิทํ สนฺธาย ‘‘ฉเนฺทน ปริวุเตฺถนา’’ติ วุตฺตํฯ

    Puna bhikkhū ‘‘yaṃkiñcideva abbhānādikammaṃ karissāmā’’ti sannipatitā honti, tatreko nakkhattapāṭhako evaṃ vadati ‘‘ajja nakkhattaṃ dāruṇa’’nti, te tassa vacanena chandaṃ vissajjetvā tattheva nisinnā honti. Athañño āgantvā ‘‘kiṃ nakkhattena, karothā’’ti vadati. Idaṃ chandapārivāsiyañceva ajjhāsayapārivāsiyañca. Tasmiṃ pārivāsiye puna chandapārisuddhiṃ anānetvā kammaṃ kātuṃ na vaṭṭati. Idaṃ sandhāya ‘‘chandena parivutthenā’’ti vuttaṃ.

    ๔๓๑. อาปนฺนมาปตฺติํ (มหาว. ๑๖๙; มหาว. อฎฺฐ. ๑๖๙) อเทสยิตฺวาน วา ‘‘อหํ, อาวุโส, อิตฺถนฺนามาย อาปตฺติยา เวมติโก, ยทา นิเพฺพมติโก ภวิสฺสามิ, ตํ อาปตฺติํ ปฎิกริสฺสามี’’ติ วตฺวา วิมติํ อนาวิกตฺวาน วา ‘‘น จ ภิกฺขเว อนุโปสเถ อุโปสโถ กาตโพฺพ อญฺญตฺร สงฺฆสามคฺคิยา’’ติ (มหาว. ๑๘๓) วุตฺตตฺตา อนุโปสเถปิ วา กาตุํ น จ กปฺปตีติ อโตฺถฯ

    431.Āpannamāpattiṃ (mahāva. 169; mahāva. aṭṭha. 169) adesayitvāna vā ‘‘ahaṃ, āvuso, itthannāmāya āpattiyā vematiko, yadā nibbematiko bhavissāmi, taṃ āpattiṃ paṭikarissāmī’’ti vatvā vimatiṃ anāvikatvāna vā ‘‘na ca bhikkhave anuposathe uposatho kātabbo aññatra saṅghasāmaggiyā’’ti (mahāva. 183) vuttattā anuposathepi vā kātuṃ na ca kappatīti attho.

    ๔๓๒. ‘‘น จ ภิกฺขเว ตทหุโปสเถ สภิกฺขุกา อาวาสา อภิกฺขุโก อาวาโส วา อนาวาโส วา คนฺตโพฺพ อญฺญตฺร สเงฺฆน อญฺญตฺร อนฺตรายา’’ติ (มหาว. ๑๘๑) วุตฺตตฺตา ‘‘อฎฺฐิโตโปสถาวาสา’’ติ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๘๑) วุตฺตํฯ น วเช น คเจฺฉฯ อธิฎฺฐาตุํ สีมเมว วาติ สเจ วิหาเร อุโปสถํ กโรนฺติ, อุโปสถาธิฎฺฐานตฺถํ สีมาปิ นทีปิ น คนฺตพฺพาฯ สเจ ปเนตฺถ โกจิ ภิกฺขุ โหติ, ตสฺส สนฺติกํ คนฺตุํ วฎฺฎติฯ วิสฺสฎฺฐอุโปสถาปิ อาวาสา คนฺตุํ วฎฺฎติ, เอวํ คโต อธิฎฺฐาตุมฺปิ ลภตีติฯ อุโปสถวินิจฺฉโยฯ

    432. ‘‘Na ca bhikkhave tadahuposathe sabhikkhukā āvāsā abhikkhuko āvāso vā anāvāso vā gantabbo aññatra saṅghena aññatra antarāyā’’ti (mahāva. 181) vuttattā ‘‘aṭṭhitoposathāvāsā’’ti (mahāva. aṭṭha. 181) vuttaṃ. Na vaje na gacche. Adhiṭṭhātuṃ sīmameva vāti sace vihāre uposathaṃ karonti, uposathādhiṭṭhānatthaṃ sīmāpi nadīpi na gantabbā. Sace panettha koci bhikkhu hoti, tassa santikaṃ gantuṃ vaṭṭati. Vissaṭṭhauposathāpi āvāsā gantuṃ vaṭṭati, evaṃ gato adhiṭṭhātumpi labhatīti. Uposathavinicchayo.

    อุโปสถนิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Uposathaniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.





    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact