Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วินยสงฺคห-อฎฺฐกถา • Vinayasaṅgaha-aṭṭhakathā |
๒๕. อุโปสถปวารณาวินิจฺฉยกถา
25. Uposathapavāraṇāvinicchayakathā
๑๖๘. อุโปสถปวารณาติ เอตฺถ (กงฺขา. อฎฺฐ. นิทานวณฺณนา) ทิวสวเสน ตโย อุโปสถา จาตุทฺทสิโก ปนฺนรสิโก สามคฺคีอุโปสโถติฯ ตตฺถ เหมนฺตคิมฺหวสฺสานานํ ติณฺณํ อุตูนํ ตติยสตฺตมปเกฺขสุ เทฺว เทฺว กตฺวา ฉ จาตุทฺทสิกา, เสสา ปนฺนรสิกาติ เอวํ เอกสํวจฺฉเร จตุวีสติ อุโปสถาฯ อิทํ ตาว ปกติจาริตฺตํฯ ตถารูปปจฺจเย สติ อญฺญสฺมิมฺปิ จาตุทฺทเส อุโปสถํ กาตุํ วฎฺฎติฯ ปุริมวสฺสํวุฎฺฐานํ ปน ปุพฺพกตฺติกปุณฺณมา, เตสํเยว สเจ ภณฺฑนการเกหิ อุปทฺทุตา ปวารณํ ปจฺจุกฺกฑฺฒนฺติ, อถ กตฺติกมาสสฺส กาฬปกฺขจาตุทฺทโส วา ปจฺฉิมกตฺติกปุณฺณมา วา ปจฺฉิมวสฺสํวุฎฺฐานญฺจ ปจฺฉิมกตฺติกปุณฺณมา เอว วาติ อิเม ตโย ปวารณาทิวสาปิ โหนฺติฯ อิทมฺปิ ปกติจาริตฺตเมวฯ ตถารูปปจฺจเย สติ ทฺวินฺนํ กตฺติกปุณฺณมานํ ปุริเมสุ จาตุทฺทเสสุปิ ปวารณํ กาตุํ วฎฺฎติฯ ยทา ปน โกสมฺพกกฺขนฺธเก (มหาว. ๔๕๑ อาทโย) อาคตนเยน ภิเนฺน ภิกฺขุสเงฺฆ โอสาริเต ตสฺมิํ ภิกฺขุสฺมิํ สโงฺฆ ตสฺส วตฺถุสฺส วูปสมาย สงฺฆสามคฺคิํ กโรติ, ตทา ตาวเทว อุโปสโถ กาตโพฺพฯ ‘‘ปาติโมกฺขํ อุทฺทิสิตพฺพ’’นฺติ วจนโต ฐเปตฺวา จาตุทฺทสปนฺนรเส อโญฺญปิ โย โกจิ ทิวโส อุโปสถทิวโส นาม โหติ, วสฺสํวุฎฺฐานํ ปน กตฺติกมาสพฺภนฺตเร อยเมว สามคฺคีปวารณาทิวโส นาม โหติฯ อิติ อิเมสุ ตีสุ ทิวเสสุ อุโปสโถ กาตโพฺพฯ กโรเนฺตน ปน สเจ จาตุทฺทสิโก โหติ, ‘‘อชฺชุโปสโถ จาตุทฺทโส’’ติ วตฺตพฺพํฯ สเจ สามคฺคีอุโปสโถ โหติ, ‘‘อชฺชุโปสโถ สามคฺคี’’ติ วตฺตพฺพํฯ ปนฺนรสิยํ ปน ปาฬิยํ อาคตนเยเนว ‘‘อชฺชุโปสโถ ปนฺนรโส’’ติ วตฺตพฺพํฯ
168.Uposathapavāraṇāti ettha (kaṅkhā. aṭṭha. nidānavaṇṇanā) divasavasena tayo uposathā cātuddasiko pannarasiko sāmaggīuposathoti. Tattha hemantagimhavassānānaṃ tiṇṇaṃ utūnaṃ tatiyasattamapakkhesu dve dve katvā cha cātuddasikā, sesā pannarasikāti evaṃ ekasaṃvacchare catuvīsati uposathā. Idaṃ tāva pakaticārittaṃ. Tathārūpapaccaye sati aññasmimpi cātuddase uposathaṃ kātuṃ vaṭṭati. Purimavassaṃvuṭṭhānaṃ pana pubbakattikapuṇṇamā, tesaṃyeva sace bhaṇḍanakārakehi upaddutā pavāraṇaṃ paccukkaḍḍhanti, atha kattikamāsassa kāḷapakkhacātuddaso vā pacchimakattikapuṇṇamā vā pacchimavassaṃvuṭṭhānañca pacchimakattikapuṇṇamā eva vāti ime tayo pavāraṇādivasāpi honti. Idampi pakaticārittameva. Tathārūpapaccaye sati dvinnaṃ kattikapuṇṇamānaṃ purimesu cātuddasesupi pavāraṇaṃ kātuṃ vaṭṭati. Yadā pana kosambakakkhandhake (mahāva. 451 ādayo) āgatanayena bhinne bhikkhusaṅghe osārite tasmiṃ bhikkhusmiṃ saṅgho tassa vatthussa vūpasamāya saṅghasāmaggiṃ karoti, tadā tāvadeva uposatho kātabbo. ‘‘Pātimokkhaṃ uddisitabba’’nti vacanato ṭhapetvā cātuddasapannarase aññopi yo koci divaso uposathadivaso nāma hoti, vassaṃvuṭṭhānaṃ pana kattikamāsabbhantare ayameva sāmaggīpavāraṇādivaso nāma hoti. Iti imesu tīsu divasesu uposatho kātabbo. Karontena pana sace cātuddasiko hoti, ‘‘ajjuposatho cātuddaso’’ti vattabbaṃ. Sace sāmaggīuposatho hoti, ‘‘ajjuposatho sāmaggī’’ti vattabbaṃ. Pannarasiyaṃ pana pāḷiyaṃ āgatanayeneva ‘‘ajjuposatho pannaraso’’ti vattabbaṃ.
๑๖๙. สเงฺฆ อุโปสโถ (กงฺขา. อฎฺฐ. นิทานวณฺณนา), คเณ อุโปสโถ, ปุคฺคเล อุโปสโถติ เอวํ การกวเสน อปเรปิ ตโย อุโปสถา วุตฺตา, กตฺตพฺพาการวเสน ปน สุตฺตุเทฺทโส ปาริสุทฺธิอุโปสโถ อธิฎฺฐานุโปสโถติ อปเรปิ ตโย อุโปสถาฯ ตตฺถ สุตฺตุเทฺทโส นาม ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ’’ติอาทินา นเยน วุโตฺต ปาติโมกฺขุเทฺทโสฯ เย ปนิตเร เทฺว อุโปสถา, เตสุ ปาริสุทฺธิอุโปสโถ ตาว อเญฺญสญฺจ สนฺติเก อญฺญมญฺญญฺจ อาโรจนวเสน ทุวิโธฯ ตตฺถ ยฺวายํ อเญฺญสํ สนฺติเก กรียติ, โสปิ ปวาริตานญฺจ อปฺปวาริตานญฺจ สนฺติเก กรณวเสน ทุวิโธฯ ตตฺถ มหาปวารณาย ปวาริตานํ สนฺติเก ปจฺฉิมิกาย อุปคเตน วา อนุปคเตน วา ฉินฺนวเสฺสน วา จาตุมาสินิยํ ปน ปวาริตานํ สนฺติเก อนุปคเตน วา ฉินฺนวเสฺสน วา กายสามคฺคิํ ทตฺวา ‘‘ปริสุโทฺธ อหํ ภเนฺต, ปริสุโทฺธติ มํ ธาเรถา’’ติ ติกฺขตฺตุํ วตฺวา กาตโพฺพฯ ฐเปตฺวา ปน ปวารณาทิวสํ อญฺญสฺมิํ กาเล อาวาสิเกหิ อุทฺทิฎฺฐมเตฺต ปาติโมเกฺข อวุฎฺฐิตาย วา เอกจฺจาย วุฎฺฐิตาย วา สพฺพาย วา วุฎฺฐิตาย ปริสาย เย อเญฺญ สมสมา วา โถกตรา วา อาคจฺฉนฺติ, เตหิ เตสํ สนฺติเก วุตฺตนเยเนว ปาริสุทฺธิ อาโรเจตพฺพาฯ
169. Saṅghe uposatho (kaṅkhā. aṭṭha. nidānavaṇṇanā), gaṇe uposatho, puggale uposathoti evaṃ kārakavasena aparepi tayo uposathā vuttā, kattabbākāravasena pana suttuddeso pārisuddhiuposatho adhiṭṭhānuposathoti aparepi tayo uposathā. Tattha suttuddeso nāma ‘‘suṇātu me, bhante, saṅgho’’tiādinā nayena vutto pātimokkhuddeso. Ye panitare dve uposathā, tesu pārisuddhiuposatho tāva aññesañca santike aññamaññañca ārocanavasena duvidho. Tattha yvāyaṃ aññesaṃ santike karīyati, sopi pavāritānañca appavāritānañca santike karaṇavasena duvidho. Tattha mahāpavāraṇāya pavāritānaṃ santike pacchimikāya upagatena vā anupagatena vā chinnavassena vā cātumāsiniyaṃ pana pavāritānaṃ santike anupagatena vā chinnavassena vā kāyasāmaggiṃ datvā ‘‘parisuddho ahaṃ bhante, parisuddhoti maṃ dhārethā’’ti tikkhattuṃ vatvā kātabbo. Ṭhapetvā pana pavāraṇādivasaṃ aññasmiṃ kāle āvāsikehi uddiṭṭhamatte pātimokkhe avuṭṭhitāya vā ekaccāya vuṭṭhitāya vā sabbāya vā vuṭṭhitāya parisāya ye aññe samasamā vā thokatarā vā āgacchanti, tehi tesaṃ santike vuttanayeneva pārisuddhi ārocetabbā.
โย ปนายํ อญฺญมญฺญํ อาโรจนวเสน กรียติ, โส ญตฺติํ ฐเปตฺวา กรณวเสน จ อฎฺฐเปตฺวา กรณวเสน จ ทุวิโธฯ ตตฺถ ยสฺมิํ อาวาเส ตโย ภิกฺขู วิหรนฺติ, เตสุ อุโปสถทิวเส สนฺนิปติเตสุ เอเกน ภิกฺขุนา ‘‘สุณนฺตุ เม อายสฺมนฺตา, อชฺชุโปสโถ จาตุทฺทโส’’ติ วา ‘‘ปนฺนรโส’’ติ วา วตฺวา ‘‘ยทายสฺมนฺตานํ ปตฺตกลฺลํ, มยํ อญฺญมญฺญํ ปาริสุทฺธิอุโปสถํ กเรยฺยามา’’ติ ญตฺติยา ฐปิตาย เถเรน ภิกฺขุนา เอกํสํ อุตฺตราสงฺคํ กริตฺวา อุกฺกุฎิกํ นิสีทิตฺวา อญฺชลิํ ปคฺคเหตฺวา ‘‘ปริสุโทฺธ อหํ, อาวุโส, ปริสุโทฺธติ มํ ธาเรถา’’ติ ติกฺขตฺตุํ วตฺตพฺพํฯ อิตเรหิ ‘‘ภเนฺต’’ติ วตฺวา เอวเมว วตฺตพฺพํฯ เอวํ ญตฺติํ ฐเปตฺวา กาตโพฺพฯ ยตฺร ปน เทฺว ภิกฺขู วิหรนฺติ, ตตฺร ญตฺติํ อฎฺฐเปตฺวา วุตฺตนเยเนว ปาริสุทฺธิ อาโรเจตพฺพาติ อยํ ปาริสุทฺธิอุโปสโถฯ
Yo panāyaṃ aññamaññaṃ ārocanavasena karīyati, so ñattiṃ ṭhapetvā karaṇavasena ca aṭṭhapetvā karaṇavasena ca duvidho. Tattha yasmiṃ āvāse tayo bhikkhū viharanti, tesu uposathadivase sannipatitesu ekena bhikkhunā ‘‘suṇantu me āyasmantā, ajjuposatho cātuddaso’’ti vā ‘‘pannaraso’’ti vā vatvā ‘‘yadāyasmantānaṃ pattakallaṃ, mayaṃ aññamaññaṃ pārisuddhiuposathaṃ kareyyāmā’’ti ñattiyā ṭhapitāya therena bhikkhunā ekaṃsaṃ uttarāsaṅgaṃ karitvā ukkuṭikaṃ nisīditvā añjaliṃ paggahetvā ‘‘parisuddho ahaṃ, āvuso, parisuddhoti maṃ dhārethā’’ti tikkhattuṃ vattabbaṃ. Itarehi ‘‘bhante’’ti vatvā evameva vattabbaṃ. Evaṃ ñattiṃ ṭhapetvā kātabbo. Yatra pana dve bhikkhū viharanti, tatra ñattiṃ aṭṭhapetvā vuttanayeneva pārisuddhi ārocetabbāti ayaṃ pārisuddhiuposatho.
สเจ ปน เอโกว ภิกฺขุ โหติ, สพฺพํ ปุพฺพกรณียํ กตฺวา อเญฺญสํ อนาคมนํ ญตฺวา ‘‘อชฺช เม อุโปสโถ จาตุทฺทโส’’ติ วา ‘‘ปนฺนรโส’’ติ วา วตฺวา ‘‘อธิฎฺฐามี’’ติ วตฺตพฺพํฯ อยํ อธิฎฺฐานุโปสโถติ เอวํ กตฺตพฺพาการวเสน ตโย อุโปสถา เวทิตพฺพาฯ เอตฺตาวตา นว อุโปสถา ทีปิตา โหนฺติฯ เตสุ ทิวสวเสน ปนฺนรสิโก, การกวเสน สงฺฆุโปสโถ, กตฺตพฺพาการวเสน สุตฺตุเทฺทโสติ เอวํ ติลกฺขณสมฺปเนฺน อุโปสเถ ปวตฺตมาเน อุโปสถํ อกตฺวา ตทหุโปสเถ อญฺญํ อภิกฺขุกํ นานาสํวาสเกหิ วา สภิกฺขุกํ อาวาสํ วา อนาวาสํ วา วาสตฺถาย อญฺญตฺร สเงฺฆน อญฺญตฺร อนฺตรายา คจฺฉนฺตสฺส ทุกฺกฎํ โหติฯ
Sace pana ekova bhikkhu hoti, sabbaṃ pubbakaraṇīyaṃ katvā aññesaṃ anāgamanaṃ ñatvā ‘‘ajja me uposatho cātuddaso’’ti vā ‘‘pannaraso’’ti vā vatvā ‘‘adhiṭṭhāmī’’ti vattabbaṃ. Ayaṃ adhiṭṭhānuposathoti evaṃ kattabbākāravasena tayo uposathā veditabbā. Ettāvatā nava uposathā dīpitā honti. Tesu divasavasena pannarasiko, kārakavasena saṅghuposatho, kattabbākāravasena suttuddesoti evaṃ tilakkhaṇasampanne uposathe pavattamāne uposathaṃ akatvā tadahuposathe aññaṃ abhikkhukaṃ nānāsaṃvāsakehi vā sabhikkhukaṃ āvāsaṃ vā anāvāsaṃ vā vāsatthāya aññatra saṅghena aññatra antarāyā gacchantassa dukkaṭaṃ hoti.
๑๗๐. อุโปสถกรณตฺถํ สนฺนิปติเต สเงฺฆ พหิ อุโปสถํ กตฺวา อาคเตน สนฺนิปาตฎฺฐานํ คนฺตฺวา กายสามคฺคิํ อเทเนฺตน ฉโนฺท ทาตโพฺพฯ โยปิ คิลาโน วา โหติ กิจฺจปสุโต วา, เตนปิ ปาริสุทฺธิํ เทเนฺตน ฉโนฺทปิ ทาตโพฺพฯ กถํ? เอกสฺส ภิกฺขุโน สนฺติเก ‘‘ฉนฺทํ ทมฺมิ, ฉนฺทํ เม หร, ฉนฺทํ เม อาโรเจหี’’ติ อยมโตฺถ กาเยน วา วาจาย วา อุภเยน วา วิญฺญาเปตโพฺพ, เอวํ ทิโนฺน โหติ ฉโนฺทฯ อกตุโปสเถน คิลาเนน วา กิจฺจปสุเตน วา ปาริสุทฺธิ ทาตพฺพาฯ กถํ? เอกสฺส ภิกฺขุโน สนฺติเก ‘‘ปาริสุทฺธิํ ทมฺมิ, ปาริสุทฺธิํ เม หร , ปาริสุทฺธิํ เม อาโรเจหี’’ติ อยมโตฺถ กาเยน วา วาจาย วา อุภเยน วา วิญฺญาเปตโพฺพ, เอวํ ทินฺนา โหติ ปาริสุทฺธิฯ ตํ ปน เทเนฺตน ฉโนฺทปิ ทาตโพฺพฯ วุตฺตเญฺหตํ ภควตา ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ตทหุโปสเถ ปาริสุทฺธิํ เทเนฺตน ฉนฺทมฺปิ ทาตุํ, สนฺติ สงฺฆสฺส กรณีย’’นฺติ (มหาว. ๑๖๕)ฯ ตตฺถ ปาริสุทฺธิทานํ สงฺฆสฺสปิ อตฺตโนปิ อุโปสถกรณํ สมฺปาเทติ, น อวเสสํ สงฺฆกิจฺจํ, ฉนฺททานํ สงฺฆเสฺสว อุโปสถกรณญฺจ เสสกิจฺจญฺจ สมฺปาเทติ, อตฺตโน ปนสฺส อุโปสโถ อกโตเยว โหติ, ตสฺมา ปาริสุทฺธิํ เทเนฺตน ฉโนฺทปิ ทาตโพฺพฯ ปุเพฺพ วุตฺตํ ปน สุทฺธิกจฺฉนฺทํ วา ปาริสุทฺธิํ วา อิมํ วา ฉนฺทปาริสุทฺธิํ เอเกน พหูนมฺปิ อาหริตุํ วฎฺฎติฯ สเจ ปน โส อนฺตรามเคฺค อญฺญํ ภิกฺขุํ ปสฺสิตฺวา เยสํ เตน ฉโนฺท วา ปาริสุทฺธิ วา คหิตา, เตสญฺจ อตฺตโน จ ฉนฺทปาริสุทฺธิํ เทติ, ตเสฺสว อาคจฺฉติฯ อิตรา ปน พิฬาลสงฺขลิกา ฉนฺทปาริสุทฺธิ นาม โหติ, สา น อาคจฺฉติ, ตสฺมา สยเมว สนฺนิปาตฎฺฐานํ คนฺตฺวา อาโรเจตพฺพํฯ สเจ ปน สญฺจิจฺจ นาโรเจติ, ทุกฺกฎํ อาปชฺชติ, ฉนฺทปาริสุทฺธิ ปน ตสฺมิํ หตฺถปาสํ อุปคตมเตฺตเยว อาคตา โหติฯ
170. Uposathakaraṇatthaṃ sannipatite saṅghe bahi uposathaṃ katvā āgatena sannipātaṭṭhānaṃ gantvā kāyasāmaggiṃ adentena chando dātabbo. Yopi gilāno vā hoti kiccapasuto vā, tenapi pārisuddhiṃ dentena chandopi dātabbo. Kathaṃ? Ekassa bhikkhuno santike ‘‘chandaṃ dammi, chandaṃ me hara, chandaṃ me ārocehī’’ti ayamattho kāyena vā vācāya vā ubhayena vā viññāpetabbo, evaṃ dinno hoti chando. Akatuposathena gilānena vā kiccapasutena vā pārisuddhi dātabbā. Kathaṃ? Ekassa bhikkhuno santike ‘‘pārisuddhiṃ dammi, pārisuddhiṃ me hara , pārisuddhiṃ me ārocehī’’ti ayamattho kāyena vā vācāya vā ubhayena vā viññāpetabbo, evaṃ dinnā hoti pārisuddhi. Taṃ pana dentena chandopi dātabbo. Vuttañhetaṃ bhagavatā ‘‘anujānāmi, bhikkhave, tadahuposathe pārisuddhiṃ dentena chandampi dātuṃ, santi saṅghassa karaṇīya’’nti (mahāva. 165). Tattha pārisuddhidānaṃ saṅghassapi attanopi uposathakaraṇaṃ sampādeti, na avasesaṃ saṅghakiccaṃ, chandadānaṃ saṅghasseva uposathakaraṇañca sesakiccañca sampādeti, attano panassa uposatho akatoyeva hoti, tasmā pārisuddhiṃ dentena chandopi dātabbo. Pubbe vuttaṃ pana suddhikacchandaṃ vā pārisuddhiṃ vā imaṃ vā chandapārisuddhiṃ ekena bahūnampi āharituṃ vaṭṭati. Sace pana so antarāmagge aññaṃ bhikkhuṃ passitvā yesaṃ tena chando vā pārisuddhi vā gahitā, tesañca attano ca chandapārisuddhiṃ deti, tasseva āgacchati. Itarā pana biḷālasaṅkhalikā chandapārisuddhi nāma hoti, sā na āgacchati, tasmā sayameva sannipātaṭṭhānaṃ gantvā ārocetabbaṃ. Sace pana sañcicca nāroceti, dukkaṭaṃ āpajjati, chandapārisuddhi pana tasmiṃ hatthapāsaṃ upagatamatteyeva āgatā hoti.
๑๗๑. ปาริวาสิเยน ปน ฉนฺททาเนน ยํ กิญฺจิ สงฺฆกมฺมํ กาตุํ น วฎฺฎติฯ ตตฺถ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๑๑๖๗) จตุพฺพิธํ ปาริวาสิยํ ปริสปาริวาสิยํ รตฺติปาริวาสิยํ ฉนฺทปาริวาสิยํ อชฺฌาสยปาริวาสิยนฺติฯ เตสุ ปริสปาริวาสิยํ นาม ภิกฺขู เกนจิเทว กรณีเยน สนฺนิปติตา โหนฺติ, อถ เมโฆ วา อุเฎฺฐติ, อุสฺสารณา วา กรียติ, มนุสฺสา วา อโชฺฌตฺถรนฺตา อาคจฺฉนฺติ, ภิกฺขู ‘‘อโนกาสา มยํ, อญฺญตฺถ คจฺฉามา’’ติ ฉนฺทํ อวิสฺสเชฺชตฺวาว อุฎฺฐหนฺติฯ อิทํ ปริสปาริวาสิยํฯ กิญฺจาปิ ปริสปาริวาสิยํ, ฉนฺทสฺส ปน อวิสฺสฎฺฐตฺตา กมฺมํ กาตุํ วฎฺฎติฯ
171. Pārivāsiyena pana chandadānena yaṃ kiñci saṅghakammaṃ kātuṃ na vaṭṭati. Tattha (pāci. aṭṭha. 1167) catubbidhaṃ pārivāsiyaṃ parisapārivāsiyaṃ rattipārivāsiyaṃ chandapārivāsiyaṃ ajjhāsayapārivāsiyanti. Tesu parisapārivāsiyaṃ nāma bhikkhū kenacideva karaṇīyena sannipatitā honti, atha megho vā uṭṭheti, ussāraṇā vā karīyati, manussā vā ajjhottharantā āgacchanti, bhikkhū ‘‘anokāsā mayaṃ, aññattha gacchāmā’’ti chandaṃ avissajjetvāva uṭṭhahanti. Idaṃ parisapārivāsiyaṃ. Kiñcāpi parisapārivāsiyaṃ, chandassa pana avissaṭṭhattā kammaṃ kātuṃ vaṭṭati.
ปุน ภิกฺขู ‘‘อุโปสถาทีนิ กริสฺสามา’’ติ รตฺติํ สนฺนิปติตฺวา ‘‘ยาว สเพฺพ สนฺนิปตนฺติ, ตาว ธมฺมํ สุณิสฺสามา’’ติ เอกํ อเชฺฌสนฺติ, ตสฺมิํ ธมฺมกถํ กเถเนฺตเยว อรุโณ อุคฺคจฺฉติฯ สเจ ‘‘จาตุทฺทสิกํ อุโปสถํ กริสฺสามา’’ติ นิสินฺนา, ปนฺนรโสติ กาตุํ วฎฺฎติฯ สเจ ปนฺนรสิกํ กาตุํ นิสินฺนา, ปาฎิปเท อนุโปสเถ อุโปสถํ กาตุํ น วฎฺฎติ, อญฺญํ ปน สงฺฆกิจฺจํ กาตุํ วฎฺฎติฯ อิทํ รตฺติปาริวาสิยํ นามฯ
Puna bhikkhū ‘‘uposathādīni karissāmā’’ti rattiṃ sannipatitvā ‘‘yāva sabbe sannipatanti, tāva dhammaṃ suṇissāmā’’ti ekaṃ ajjhesanti, tasmiṃ dhammakathaṃ kathenteyeva aruṇo uggacchati. Sace ‘‘cātuddasikaṃ uposathaṃ karissāmā’’ti nisinnā, pannarasoti kātuṃ vaṭṭati. Sace pannarasikaṃ kātuṃ nisinnā, pāṭipade anuposathe uposathaṃ kātuṃ na vaṭṭati, aññaṃ pana saṅghakiccaṃ kātuṃ vaṭṭati. Idaṃ rattipārivāsiyaṃ nāma.
ปุน ภิกฺขู ‘‘กิญฺจิเทว อพฺภานาทิสงฺฆกมฺมํ กริสฺสามา’’ติ นิสินฺนา โหนฺติ, ตเตฺรโก นกฺขตฺตปาฐโก ภิกฺขุ เอวํ วทติ ‘‘อชฺช นกฺขตฺตํ ทารุณํ, มา อิมํ กโรถา’’ติฯ เต ตสฺส วจเนน ฉนฺทํ วิสฺสเชฺชตฺวา ตเตฺถว นิสินฺนา โหนฺติฯ อถโญฺญ อาคนฺตฺวา ‘‘นกฺขตฺตํ ปติมาเนนฺตํ, อโตฺถ พาลํ อุปจฺจคา’’ติ (ชา. ๑.๑.๔๙) วตฺวา ‘‘กิํ นกฺขเตฺตน, กโรถา’’ติ วทติฯ อิทํ ฉนฺทปาริวาสิยเญฺจว อชฺฌาสยปาริวาสิยญฺจฯ เอตสฺมิํ ปาริวาสิเย ปุน ฉนฺทปาริสุทฺธิํ อนาเนตฺวา กมฺมํ กาตุํ น วฎฺฎติฯ
Puna bhikkhū ‘‘kiñcideva abbhānādisaṅghakammaṃ karissāmā’’ti nisinnā honti, tatreko nakkhattapāṭhako bhikkhu evaṃ vadati ‘‘ajja nakkhattaṃ dāruṇaṃ, mā imaṃ karothā’’ti. Te tassa vacanena chandaṃ vissajjetvā tattheva nisinnā honti. Athañño āgantvā ‘‘nakkhattaṃ patimānentaṃ, attho bālaṃ upaccagā’’ti (jā. 1.1.49) vatvā ‘‘kiṃ nakkhattena, karothā’’ti vadati. Idaṃ chandapārivāsiyañceva ajjhāsayapārivāsiyañca. Etasmiṃ pārivāsiye puna chandapārisuddhiṃ anānetvā kammaṃ kātuṃ na vaṭṭati.
๑๗๒. สเจ โกจิ ภิกฺขุ คิลาโน น สโกฺกติ ฉนฺทปาริสุทฺธิํ ทาตุํ, โส มเญฺจน วา ปีเฐน วา สงฺฆมชฺฌํ อาเนตโพฺพฯ สเจ คิลานุปฎฺฐากานํ ภิกฺขูนํ เอวํ โหติ ‘‘สเจ โข มยํ คิลานํ ฐานา จาเวสฺสาม, อาพาโธ วา อภิวฑฺฒิสฺสติ, กาลกิริยา วา ภวิสฺสตี’’ติ, น โส ภิกฺขุ ฐานา จาเวตโพฺพ, สเงฺฆน ตตฺถ คนฺตฺวา อุโปสโถ กาตโพฺพฯ สเจ พหู ตาทิสา คิลานา โหนฺติ, สเงฺฆน ปฎิปาฎิยา ฐตฺวา สเพฺพ หตฺถปาเส กาตพฺพาฯ สเจ ทูเร โหนฺติ, สโงฺฆ นปฺปโหติ, ตํ ทิวสํ อุโปสโถ น กาตโพฺพฯ น เตฺวว วเคฺคน สเงฺฆน อุโปสโถ กาตโพฺพ, กเรยฺย เจ, ทุกฺกฎํฯ
172. Sace koci bhikkhu gilāno na sakkoti chandapārisuddhiṃ dātuṃ, so mañcena vā pīṭhena vā saṅghamajjhaṃ ānetabbo. Sace gilānupaṭṭhākānaṃ bhikkhūnaṃ evaṃ hoti ‘‘sace kho mayaṃ gilānaṃ ṭhānā cāvessāma, ābādho vā abhivaḍḍhissati, kālakiriyā vā bhavissatī’’ti, na so bhikkhu ṭhānā cāvetabbo, saṅghena tattha gantvā uposatho kātabbo. Sace bahū tādisā gilānā honti, saṅghena paṭipāṭiyā ṭhatvā sabbe hatthapāse kātabbā. Sace dūre honti, saṅgho nappahoti, taṃ divasaṃ uposatho na kātabbo. Na tveva vaggena saṅghena uposatho kātabbo, kareyya ce, dukkaṭaṃ.
สเจ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๔๙) เอกสฺมิํ วิหาเร จตูสุ ภิกฺขูสุ วสเนฺตสุ เอกสฺส ฉนฺทปาริสุทฺธิํ อาหริตฺวา ตโย ปาริสุทฺธิอุโปสถํ กโรนฺติ, ตีสุ วา วสเนฺตสุ เอกสฺส ฉนฺทปาริสุทฺธิํ อาหริตฺวา เทฺว ปาติโมกฺขํ อุทฺทิสนฺติ, อธเมฺมน วคฺคํ อุโปสถกมฺมํ โหติฯ สเจ ปน จตฺตาโรปิ สนฺนิปติตฺวา ปาริสุทฺธิอุโปสถํ กโรนฺติ, ตโย วา เทฺว วา ปาติโมกฺขํ อุทฺทิสนฺติ, อธเมฺมน สมคฺคํ นาม โหติฯ สเจ จตูสุ ชเนสุ เอกสฺส ปาริสุทฺธิํ อาหริตฺวา ตโย ปาติโมกฺขํ อุทฺทิสนฺติ, ตีสุ วา ชเนสุ เอกสฺส ปาริสุทฺธิํ อาหริตฺวา เทฺว ปาริสุทฺธิอุโปสถํ กโรนฺติ, ธเมฺมน วคฺคํ นาม โหติฯ สเจ ปน จตฺตาโร เอกตฺถ วสนฺตา สเพฺพ สนฺนิปติตฺวา ปาติโมกฺขํ อุทฺทิสนฺติ, ตโย ปาริสุทฺธิอุโปสถํ กโรนฺติ, เทฺว อญฺญมญฺญํ ปาริสุทฺธิอุโปสถํ กโรนฺติ, ธเมฺมน สมคฺคํ นาม โหติฯ
Sace (mahāva. aṭṭha. 149) ekasmiṃ vihāre catūsu bhikkhūsu vasantesu ekassa chandapārisuddhiṃ āharitvā tayo pārisuddhiuposathaṃ karonti, tīsu vā vasantesu ekassa chandapārisuddhiṃ āharitvā dve pātimokkhaṃ uddisanti, adhammena vaggaṃ uposathakammaṃ hoti. Sace pana cattāropi sannipatitvā pārisuddhiuposathaṃ karonti, tayo vā dve vā pātimokkhaṃ uddisanti, adhammena samaggaṃ nāma hoti. Sace catūsu janesu ekassa pārisuddhiṃ āharitvā tayo pātimokkhaṃ uddisanti, tīsu vā janesu ekassa pārisuddhiṃ āharitvā dve pārisuddhiuposathaṃ karonti, dhammena vaggaṃ nāma hoti. Sace pana cattāro ekattha vasantā sabbe sannipatitvā pātimokkhaṃ uddisanti, tayo pārisuddhiuposathaṃ karonti, dve aññamaññaṃ pārisuddhiuposathaṃ karonti, dhammena samaggaṃ nāma hoti.
๑๗๓. ปวารณากเมฺมสุ (มหาว. อฎฺฐ. ๒๑๒) ปน สเจ เอกสฺมิํ วิหาเร ปญฺจสุ ภิกฺขูสุ วสเนฺตสุ เอกสฺส ปวารณํ อาหริตฺวา จตฺตาโร คณญตฺติํ ฐเปตฺวา ปวาเรนฺติ, จตูสุ วา ตีสุ วา วสเนฺตสุ เอกสฺส ปวารณํ อาหริตฺวา ตโย วา เทฺว วา สงฺฆญตฺติํ ฐเปตฺวา ปวาเรนฺติ, สพฺพเมตํ อธเมฺมน วคฺคํ ปวารณากมฺมํฯ สเจ ปน สเพฺพปิ ปญฺจ ชนา เอกโต สนฺนิปติตฺวา คณญตฺติํ ฐเปตฺวา ปวาเรนฺติ, จตฺตาโร วา ตโย วา เทฺว วา วสนฺตา เอกโต สนฺนิปติตฺวา สงฺฆญตฺติํ ฐเปตฺวา ปวาเรนฺติ, สพฺพเมตํ อธเมฺมน สมคฺคํ ปวารณากมฺมํฯ สเจ ปญฺจสุ ชเนสุ เอกสฺส ปวารณํ อาหริตฺวา จตฺตาโร สงฺฆญตฺติํ ฐเปตฺวา ปวาเรนฺติ, จตูสุ วา ตีสุ วา เอกสฺส ปวารณํ อาหริตฺวา ตโย วา เทฺว วา คณญตฺติํ ฐเปตฺวา ปวาเรนฺติ, สพฺพเมตํ ธเมฺมน วคฺคํ ปวารณากมฺมํฯ สเจ ปน สเพฺพปิ ปญฺจ ชนา เอกโต สนฺนิปติตฺวา สงฺฆญตฺติํ ฐเปตฺวา ปวาเรนฺติ, จตฺตาโร วา ตโย วา เอกโต สนฺนิปติตฺวา คณญตฺติํ ฐเปตฺวา ปวาเรนฺติ, เทฺว อญฺญมญฺญํ ปวาเรนฺติ, เอกโก วสโนฺต อธิฎฺฐานปวารณํ กโรติ, สพฺพเมตํ ธเมฺมน สมคฺคํ นาม ปวารณากมฺมนฺติฯ
173. Pavāraṇākammesu (mahāva. aṭṭha. 212) pana sace ekasmiṃ vihāre pañcasu bhikkhūsu vasantesu ekassa pavāraṇaṃ āharitvā cattāro gaṇañattiṃ ṭhapetvā pavārenti, catūsu vā tīsu vā vasantesu ekassa pavāraṇaṃ āharitvā tayo vā dve vā saṅghañattiṃ ṭhapetvā pavārenti, sabbametaṃ adhammena vaggaṃ pavāraṇākammaṃ. Sace pana sabbepi pañca janā ekato sannipatitvā gaṇañattiṃ ṭhapetvā pavārenti, cattāro vā tayo vā dve vā vasantā ekato sannipatitvā saṅghañattiṃ ṭhapetvā pavārenti, sabbametaṃ adhammena samaggaṃ pavāraṇākammaṃ. Sace pañcasu janesu ekassa pavāraṇaṃ āharitvā cattāro saṅghañattiṃ ṭhapetvā pavārenti, catūsu vā tīsu vā ekassa pavāraṇaṃ āharitvā tayo vā dve vā gaṇañattiṃ ṭhapetvā pavārenti, sabbametaṃ dhammena vaggaṃ pavāraṇākammaṃ. Sace pana sabbepi pañca janā ekato sannipatitvā saṅghañattiṃ ṭhapetvā pavārenti, cattāro vā tayo vā ekato sannipatitvā gaṇañattiṃ ṭhapetvā pavārenti, dve aññamaññaṃ pavārenti, ekako vasanto adhiṭṭhānapavāraṇaṃ karoti, sabbametaṃ dhammena samaggaṃ nāma pavāraṇākammanti.
เอตฺถ สเจ จาตุทฺทสิกา โหติ, ‘‘อชฺช เม ปวารณา จาตุทฺทสี’’ติ, สเจ ปนฺนรสิกา, ‘‘อชฺช เม ปวารณา ปนฺนรสี’’ติ เอวํ อธิฎฺฐาตพฺพํฯ ปวารณํ เทเนฺตน ปน ‘‘ปวารณํ ทมฺมิ, ปวารณํ เม หร, มมตฺถาย ปวาเรหี’’ติ กาเยน วา วาจาย วา กายวาจาหิ วา อยมโตฺถ วิญฺญาเปตโพฺพฯ เอวํ ทินฺนาย (มหาว. อฎฺฐ. ๒๑๓) ปวารณาย ปวารณาหารเกน สงฺฆํ อุปสงฺกมิตฺวา เอวํ ปวาเรตพฺพํ ‘‘ติโสฺส, ภเนฺต, ภิกฺขุ สงฺฆํ ปวาเรติ ทิเฎฺฐน วา สุเตน วา ปริสงฺกาย วา, วทตุ ตํ, ภเนฺต, สโงฺฆ อนุกมฺปํ อุปาทาย, ปสฺสโนฺต ปฎิกริสฺสติฯ ทุติยมฺปิ, ภเนฺต…เป.… ตติยมฺปิ, ภเนฺต, ติโสฺส ภิกฺขุ สงฺฆํ ปวาเรติ…เป.… ปฎิกริสฺสตี’’ติฯ สเจ ปน วุฑฺฒตโร โหติ, ‘‘อายสฺมา, ภเนฺต, ติโสฺส’’ติ วตฺตพฺพํฯ เอวญฺหิ เตน ตสฺสตฺถาย ปวาริตํ โหติฯ ปวารณํ เทเนฺตน ปน ฉโนฺทปิ ทาตโพฺพ, ฉนฺททานํ เหฎฺฐา วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ อิธาปิ ฉนฺททานํ อวเสสกมฺมตฺถายฯ ตสฺมา สเจ ปวารณํ เทโนฺต ฉนฺทํ เทติ, วุตฺตนเยน อาหฎาย ปวารณาย เตน จ ภิกฺขุนา สเงฺฆน จ ปวาริตเมว โหติฯ อถ ปวารณเมว เทติ, น ฉนฺทํ, ตสฺส จ ปวารณาย อาโรจิตาย สเงฺฆน จ ปวาริเต สเพฺพสํ สุปฺปวาริตํ โหติ, อญฺญํ ปน กมฺมํ กุปฺปติฯ สเจ ฉนฺทเมว เทติ, น ปวารณํ, สงฺฆสฺส ปวารณา จ เสสกมฺมานิ จ น กุปฺปนฺติ, เตน ปน ภิกฺขุนา อปฺปวาริตํ โหติ, ปวารณาทิวเส ปน พหิสีมาย ปวารณํ อธิฎฺฐหิตฺวา อาคเตนปิ ฉโนฺท ทาตโพฺพ เตน สงฺฆสฺส ปวารณากมฺมํ น กุปฺปติฯ
Ettha sace cātuddasikā hoti, ‘‘ajja me pavāraṇā cātuddasī’’ti, sace pannarasikā, ‘‘ajja me pavāraṇā pannarasī’’ti evaṃ adhiṭṭhātabbaṃ. Pavāraṇaṃ dentena pana ‘‘pavāraṇaṃ dammi, pavāraṇaṃ me hara, mamatthāya pavārehī’’ti kāyena vā vācāya vā kāyavācāhi vā ayamattho viññāpetabbo. Evaṃ dinnāya (mahāva. aṭṭha. 213) pavāraṇāya pavāraṇāhārakena saṅghaṃ upasaṅkamitvā evaṃ pavāretabbaṃ ‘‘tisso, bhante, bhikkhu saṅghaṃ pavāreti diṭṭhena vā sutena vā parisaṅkāya vā, vadatu taṃ, bhante, saṅgho anukampaṃ upādāya, passanto paṭikarissati. Dutiyampi, bhante…pe… tatiyampi, bhante, tisso bhikkhu saṅghaṃ pavāreti…pe… paṭikarissatī’’ti. Sace pana vuḍḍhataro hoti, ‘‘āyasmā, bhante, tisso’’ti vattabbaṃ. Evañhi tena tassatthāya pavāritaṃ hoti. Pavāraṇaṃ dentena pana chandopi dātabbo, chandadānaṃ heṭṭhā vuttanayeneva veditabbaṃ. Idhāpi chandadānaṃ avasesakammatthāya. Tasmā sace pavāraṇaṃ dento chandaṃ deti, vuttanayena āhaṭāya pavāraṇāya tena ca bhikkhunā saṅghena ca pavāritameva hoti. Atha pavāraṇameva deti, na chandaṃ, tassa ca pavāraṇāya ārocitāya saṅghena ca pavārite sabbesaṃ suppavāritaṃ hoti, aññaṃ pana kammaṃ kuppati. Sace chandameva deti, na pavāraṇaṃ, saṅghassa pavāraṇā ca sesakammāni ca na kuppanti, tena pana bhikkhunā appavāritaṃ hoti, pavāraṇādivase pana bahisīmāya pavāraṇaṃ adhiṭṭhahitvā āgatenapi chando dātabbo tena saṅghassa pavāraṇākammaṃ na kuppati.
สเจ ปุริมิกาย ปญฺจ ภิกฺขู วสฺสํ อุปคตา, ปจฺฉิมิกายปิ ปญฺจ, ปุริเมหิ ญตฺติํ ฐเปตฺวา ปวาริเต ปจฺฉิเมหิ เตสํ สนฺติเก ปาริสุทฺธิอุโปสโถ กาตโพฺพ, น เอกสฺมิํ อุโปสถเคฺค เทฺว ญตฺติโย ฐเปตพฺพาฯ สเจปิ ปจฺฉิมิกาย อุปคตา จตฺตาโร ตโย เทฺว เอโก วา โหติ, เอเสว นโยฯ อถ ปุริมิกาย จตฺตาโร, ปจฺฉิมิกายปิ จตฺตาโร ตโย เทฺว เอโก วา, เอเสว นโยฯ อถาปิ ปุริมิกาย ตโย, ปจฺฉิมิกายปิ ตโย เทฺว เอโก วา, เอเสว นโยฯ อิทเญฺหตฺถ ลกฺขณํฯ
Sace purimikāya pañca bhikkhū vassaṃ upagatā, pacchimikāyapi pañca, purimehi ñattiṃ ṭhapetvā pavārite pacchimehi tesaṃ santike pārisuddhiuposatho kātabbo, na ekasmiṃ uposathagge dve ñattiyo ṭhapetabbā. Sacepi pacchimikāya upagatā cattāro tayo dve eko vā hoti, eseva nayo. Atha purimikāya cattāro, pacchimikāyapi cattāro tayo dve eko vā, eseva nayo. Athāpi purimikāya tayo, pacchimikāyapi tayo dve eko vā, eseva nayo. Idañhettha lakkhaṇaṃ.
สเจ ปุริมิกาย อุปคเตหิ ปจฺฉิมิกาย อุปคตา โถกตรา เจว โหนฺติ สมสมา จ, สงฺฆปวารณาย จ คณํ ปูเรนฺติ, สงฺฆปวารณาวเสน ญตฺติ ฐเปตพฺพาฯ สเจ ปน ปจฺฉิมิกาย เอโก โหติ, เตน สทฺธิํ เต จตฺตาโร โหนฺติ, จตุนฺนํ สงฺฆญตฺติํ ฐเปตฺวา ปวาเรตุํ น วฎฺฎติฯ คณญตฺติยา ปน โส คณปูรโก โหติ, ตสฺมา คณวเสน ญตฺติํ ฐเปตฺวา ปุริเมหิ ปวาเรตพฺพํ, อิตเรน เตสํ สนฺติเก ปาริสุทฺธิอุโปสโถ กาตโพฺพติฯ ปุริมิกาย เทฺว, ปจฺฉิมิกาย เทฺว วา เอโก วา เอเสว นโยฯ ปุริมิกาย เอโก ปจฺฉิมิกาย เอโกติ เอเกน เอกสฺส สนฺติเก ปวาเรตพฺพํ, เอเกน ปาริสุทฺธิอุโปสโถ กาตโพฺพฯ สเจ ปุริเมหิ วสฺสูปคเตหิ ปจฺฉา วสฺสูปคตา เอเกนปิ อธิกตรา โหนฺติ, ปฐมํ ปาติโมกฺขํ อุทฺทิสิตฺวา ปจฺฉา โถกตเรหิ เตสํ สนฺติเก ปวาเรตพฺพํฯ
Sace purimikāya upagatehi pacchimikāya upagatā thokatarā ceva honti samasamā ca, saṅghapavāraṇāya ca gaṇaṃ pūrenti, saṅghapavāraṇāvasena ñatti ṭhapetabbā. Sace pana pacchimikāya eko hoti, tena saddhiṃ te cattāro honti, catunnaṃ saṅghañattiṃ ṭhapetvā pavāretuṃ na vaṭṭati. Gaṇañattiyā pana so gaṇapūrako hoti, tasmā gaṇavasena ñattiṃ ṭhapetvā purimehi pavāretabbaṃ, itarena tesaṃ santike pārisuddhiuposatho kātabboti. Purimikāya dve, pacchimikāya dve vā eko vā eseva nayo. Purimikāya eko pacchimikāya ekoti ekena ekassa santike pavāretabbaṃ, ekena pārisuddhiuposatho kātabbo. Sace purimehi vassūpagatehi pacchā vassūpagatā ekenapi adhikatarā honti, paṭhamaṃ pātimokkhaṃ uddisitvā pacchā thokatarehi tesaṃ santike pavāretabbaṃ.
กตฺติกาย จาตุมาสินิปวารณาย ปน สเจ ปฐมวสฺสูปคเตหิ มหาปวารณาย ปวาริเตหิ ปจฺฉา อุปคตา อธิกตรา วา สมสมา วา โหนฺติ, ปวารณาญตฺติํ ฐเปตฺวา ปวาเรตพฺพํฯ เตหิ ปวาริเต ปจฺฉา อิตเรหิ ปาริสุทฺธิอุโปสโถ กาตโพฺพฯ อถ มหาปวารณายํ ปวาริตา พหู โหนฺติ, ปจฺฉา วสฺสูปคตา โถกา วา เอโก วา, ปาติโมเกฺข อุทฺทิเฎฺฐ ปจฺฉา เตสํ สนฺติเก เตน ปวาเรตพฺพํฯ กิํ ปเนตํ ปาติโมกฺขํ สกลเมว อุทฺทิสิตพฺพํ, อุทาหุ เอกเทสมฺปีติ? เอกเทสมฺปิ อุทฺทิสิตุํ วฎฺฎติฯ วุตฺตเญฺหตํ ภควตา –
Kattikāya cātumāsinipavāraṇāya pana sace paṭhamavassūpagatehi mahāpavāraṇāya pavāritehi pacchā upagatā adhikatarā vā samasamā vā honti, pavāraṇāñattiṃ ṭhapetvā pavāretabbaṃ. Tehi pavārite pacchā itarehi pārisuddhiuposatho kātabbo. Atha mahāpavāraṇāyaṃ pavāritā bahū honti, pacchā vassūpagatā thokā vā eko vā, pātimokkhe uddiṭṭhe pacchā tesaṃ santike tena pavāretabbaṃ. Kiṃ panetaṃ pātimokkhaṃ sakalameva uddisitabbaṃ, udāhu ekadesampīti? Ekadesampi uddisituṃ vaṭṭati. Vuttañhetaṃ bhagavatā –
‘‘ปญฺจิเม, ภิกฺขเว, ปาติโมกฺขุเทฺทสา, นิทานํ อุทฺทิสิตฺวา อวเสสํ สุเตน สาเวตพฺพํ, อยํ ปฐโม ปาติโมกฺขุเทฺทโสฯ นิทานํ อุทฺทิสิตฺวา จตฺตาริ ปาราชิกานิ อุทฺทิสิตฺวา อวเสสํ สุเตน สาเวตพฺพํ, อยํ ทุติโย ปาติโมกฺขุเทฺทโสฯ นิทานํ อุทฺทิสิตฺวา จตฺตาริ ปาราชิกานิ อุทฺทิสิตฺวา เตรส สงฺฆาทิเสเส อุทฺทิสิตฺวา อวเสสํ สุเตน สาเวตพฺพํ, อยํ ตติโย ปาติโมกฺขุเทฺทโสฯ นิทานํ อุทฺทิสิตฺวา จตฺตาริ ปาราชิกานิ อุทฺทิสิตฺวา เตรส สงฺฆาทิเสเส อุทฺทิสิตฺวา เทฺว อนิยเต อุทฺทิสิตฺวา อวเสสํ ภุเตน สาเวตพฺพํ, อยํ จตุโตฺถ ปาติโมกฺขุเทฺทโสฯ วิตฺถาเรเนว ปญฺจโม’’ติ (มาหาว. ๑๕๐)ฯ
‘‘Pañcime, bhikkhave, pātimokkhuddesā, nidānaṃ uddisitvā avasesaṃ sutena sāvetabbaṃ, ayaṃ paṭhamo pātimokkhuddeso. Nidānaṃ uddisitvā cattāri pārājikāni uddisitvā avasesaṃ sutena sāvetabbaṃ, ayaṃ dutiyo pātimokkhuddeso. Nidānaṃ uddisitvā cattāri pārājikāni uddisitvā terasa saṅghādisese uddisitvā avasesaṃ sutena sāvetabbaṃ, ayaṃ tatiyo pātimokkhuddeso. Nidānaṃ uddisitvā cattāri pārājikāni uddisitvā terasa saṅghādisese uddisitvā dve aniyate uddisitvā avasesaṃ bhutena sāvetabbaṃ, ayaṃ catuttho pātimokkhuddeso. Vitthāreneva pañcamo’’ti (māhāva. 150).
ตตฺถ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๕๐) นิทานํ อุทฺทิสิตฺวา อวเสสํ สุเตน สาเวตพฺพนฺติ ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ…เป.… อาวิกตา หิสฺส ผาสุ โหตี’’ติ อิมํ นิทานํ อุทฺทิสิตฺวา ‘‘อุทฺทิฎฺฐํ โข อายสฺมโนฺต นิทานํ, ตตฺถายสฺมเนฺต ปุจฺฉามิ กจฺจิตฺถ ปริสุทฺธาฯ ทุติยมฺปิ ปุจฺฉามิ…เป.… เอวเมตํ ธารยามิฯ สุตา โข ปนายสฺมเนฺตหิ จตฺตาโร ปาราชิกา ธมฺมา …เป.… อวิวทมาเนหิ สิกฺขิตพฺพ’’นฺติ เอวํ อวเสสํ สุเตน สาเวตพฺพํฯ เอเตน นเยน เสสาปิ จตฺตาโร ปาติโมกฺขุเทฺทสา เวทิตพฺพาฯ
Tattha (mahāva. aṭṭha. 150) nidānaṃ uddisitvā avasesaṃ sutena sāvetabbanti ‘‘suṇātu me, bhante, saṅgho…pe… āvikatā hissa phāsu hotī’’ti imaṃ nidānaṃ uddisitvā ‘‘uddiṭṭhaṃ kho āyasmanto nidānaṃ, tatthāyasmante pucchāmi kaccittha parisuddhā. Dutiyampi pucchāmi…pe… evametaṃ dhārayāmi. Sutā kho panāyasmantehi cattāro pārājikā dhammā …pe… avivadamānehi sikkhitabba’’nti evaṃ avasesaṃ sutena sāvetabbaṃ. Etena nayena sesāpi cattāro pātimokkhuddesā veditabbā.
๑๗๔. ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, สติ อนฺตราเย สํขิเตฺตน ปาติโมกฺขํ อุทฺทิสิตุํฯ น, ภิกฺขเว, อสติ อนฺตราเย สํขิเตฺตน ปาติโมกฺขํ อุทฺทิสิตพฺพํ, โย อุทฺทิเสยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (มหาว. ๑๕๐) วจนโต ปน วินา อนฺตรายา สํขิเตฺตน ปาติโมกฺขํ น อุทฺทิสิตพฺพํฯ ตตฺริเม อนฺตรายา – ราชนฺตราโย โจรนฺตราโย อคฺยนฺตราโย อุทกนฺตราโย มนุสฺสนฺตราโย อมนุสฺสนฺตราโย วาฬนฺตราโย สรีสปนฺตราโย ชีวิตนฺตราโย พฺรหฺมจริยนฺตราโยติฯ
174. ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, sati antarāye saṃkhittena pātimokkhaṃ uddisituṃ. Na, bhikkhave, asati antarāye saṃkhittena pātimokkhaṃ uddisitabbaṃ, yo uddiseyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (mahāva. 150) vacanato pana vinā antarāyā saṃkhittena pātimokkhaṃ na uddisitabbaṃ. Tatrime antarāyā – rājantarāyo corantarāyo agyantarāyo udakantarāyo manussantarāyo amanussantarāyo vāḷantarāyo sarīsapantarāyo jīvitantarāyo brahmacariyantarāyoti.
ตตฺถ สเจ ภิกฺขูสุ อุโปสถํ กริสฺสามาติ นิสิเนฺนสุ ราชา อาคจฺฉติ, อยํ ราชนฺตราโยฯ โจรา อาคจฺฉนฺติ, อยํ โจรนฺตราโยฯ ทวฑาโห อาคจฺฉติ, อาวาเส วา อคฺคิ อุฎฺฐาติ, อยํ อคฺยนฺตราโยฯ เมโฆ วา อุเฎฺฐติ, โอโฆ วา อาคจฺฉติ, อยํ อุทกนฺตราโยฯ พหู มนุสฺสา อาคจฺฉนฺติ, อยํ มนุสฺสนฺตราโยฯ ภิกฺขุํ ยโกฺข คณฺหาติ, อยํ อมนุสฺสนฺตราโยฯ พฺยคฺฆาทโย จณฺฑมิคา อาคจฺฉนฺติ, อยํ วาฬนฺตราโยฯ ภิกฺขุํ สปฺปาทโย ฑํสนฺติ, อยํ สรีสปนฺตราโยฯ ภิกฺขุ คิลาโน วา โหติ, กาลํ วา กโรติ, เวริโน วา ตํ มาเรตุกามา คณฺหนฺติ, อยํ ชีวิตนฺตราโยฯ มนุสฺสา เอกํ วา พหู วา ภิกฺขู พฺรหฺมจริยา จาเวตุกามา คณฺหนฺติ, อยํ พฺรหฺมจริยนฺตราโยฯ เอวรูเปสุ อนฺตราเยสุ สํขิเตฺตน ปาติโมโกฺข อุทฺทิสิตโพฺพ, ปฐโม วา อุเทฺทโส อุทฺทิสิตโพฺพฯ อาทิมฺหิ เทฺว ตโย จตฺตาโร วาฯ เอตฺถ ทุติยาทีสุ อุเทฺทเสสุ ยสฺมิํ อปริโยสิเต อนฺตราโย โหติ, โสปิ สุเตเนว สาเวตโพฺพฯ นิทานุเทฺทเส ปน อนิฎฺฐิเต สุเตน สาเวตพฺพํ นาม นตฺถิฯ
Tattha sace bhikkhūsu uposathaṃ karissāmāti nisinnesu rājā āgacchati, ayaṃ rājantarāyo. Corā āgacchanti, ayaṃ corantarāyo. Davaḍāho āgacchati, āvāse vā aggi uṭṭhāti, ayaṃ agyantarāyo. Megho vā uṭṭheti, ogho vā āgacchati, ayaṃ udakantarāyo. Bahū manussā āgacchanti, ayaṃ manussantarāyo. Bhikkhuṃ yakkho gaṇhāti, ayaṃ amanussantarāyo. Byagghādayo caṇḍamigā āgacchanti, ayaṃ vāḷantarāyo. Bhikkhuṃ sappādayo ḍaṃsanti, ayaṃ sarīsapantarāyo. Bhikkhu gilāno vā hoti, kālaṃ vā karoti, verino vā taṃ māretukāmā gaṇhanti, ayaṃ jīvitantarāyo. Manussā ekaṃ vā bahū vā bhikkhū brahmacariyā cāvetukāmā gaṇhanti, ayaṃ brahmacariyantarāyo. Evarūpesu antarāyesu saṃkhittena pātimokkho uddisitabbo, paṭhamo vā uddeso uddisitabbo. Ādimhi dve tayo cattāro vā. Ettha dutiyādīsu uddesesu yasmiṃ apariyosite antarāyo hoti, sopi suteneva sāvetabbo. Nidānuddese pana aniṭṭhite sutena sāvetabbaṃ nāma natthi.
ปวารณากเมฺมปิ สติ อนฺตราเย เทฺววาจิกํ เอกวาจิกํ สมานวสฺสิกํ วา ปวาเรตุํ วฎฺฎติฯ เอตฺถ (มหาว. อฎฺฐ. ๒๓๔) ญตฺติํ ฐเปเนฺตนปิ ‘‘ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สโงฺฆ เทฺววาจิกํ ปวาเรยฺยา’’ติ วตฺตพฺพํฯ เอกวาจิเก ‘‘เอกวาจิกํ ปวาเรยฺยา’’ติ, สมานวสฺสิเกปิ ‘‘สมานวสฺสิกํ ปวาเรยฺยา’’ติ วตฺตพฺพํฯ เอตฺถ จ พหูปิ สมานวสฺสา เอกโต ปวาเรตุํ ลภนฺติฯ ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อชฺช ปวารณา ปนฺนรสี, ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สโงฺฆ ปวาเรยฺยา’’ติ อิมาย ปน สพฺพสงฺคาหิกาย ญตฺติยา ฐปิตาย เตวาจิกํ เทฺววาจิกํ เอกวาจิกญฺจ ปวาเรตุํ วฎฺฎติ, สมานวสฺสิกํ น วฎฺฎติฯ ‘‘เตวาจิกํ ปวาเรยฺยา’’ติ วุเตฺต ปน เตวาจิกเมว วฎฺฎติ, อญฺญํ น วฎฺฎติฯ ‘‘เทฺววาจิกํ ปวาเรยฺยา’’ติ วุเตฺต เทฺววาจิกํ เตวาจิกญฺจ วฎฺฎติ, เอกวาจิกญฺจ สมานวสฺสิกญฺจ น วฎฺฎติฯ ‘‘เอกวาจิกํ ปวาเรยฺยา’’ติ วุเตฺต ปน เอกวาจิกเทฺววาจิกเตวาจิกานิ วฎฺฎนฺติ, สมานวสฺสิกเมว น วฎฺฎติฯ ‘‘สมานวสฺสิก’’นฺติ วุเตฺต สพฺพํ วฎฺฎติฯ
Pavāraṇākammepi sati antarāye dvevācikaṃ ekavācikaṃ samānavassikaṃ vā pavāretuṃ vaṭṭati. Ettha (mahāva. aṭṭha. 234) ñattiṃ ṭhapentenapi ‘‘yadi saṅghassa pattakallaṃ, saṅgho dvevācikaṃ pavāreyyā’’ti vattabbaṃ. Ekavācike ‘‘ekavācikaṃ pavāreyyā’’ti, samānavassikepi ‘‘samānavassikaṃ pavāreyyā’’ti vattabbaṃ. Ettha ca bahūpi samānavassā ekato pavāretuṃ labhanti. ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, ajja pavāraṇā pannarasī, yadi saṅghassa pattakallaṃ, saṅgho pavāreyyā’’ti imāya pana sabbasaṅgāhikāya ñattiyā ṭhapitāya tevācikaṃ dvevācikaṃ ekavācikañca pavāretuṃ vaṭṭati, samānavassikaṃ na vaṭṭati. ‘‘Tevācikaṃ pavāreyyā’’ti vutte pana tevācikameva vaṭṭati, aññaṃ na vaṭṭati. ‘‘Dvevācikaṃ pavāreyyā’’ti vutte dvevācikaṃ tevācikañca vaṭṭati, ekavācikañca samānavassikañca na vaṭṭati. ‘‘Ekavācikaṃ pavāreyyā’’ti vutte pana ekavācikadvevācikatevācikāni vaṭṭanti, samānavassikameva na vaṭṭati. ‘‘Samānavassika’’nti vutte sabbaṃ vaṭṭati.
๑๗๕. เกน ปน ปาติโมกฺขํ อุทฺทิสิตพฺพนฺติ? ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, เถราธิกํ ปาติโมกฺข’’นฺติ (มหาว. ๑๕๔) วจนโต เถเรน วา ปาติโมกฺขํ อุทฺทิสิตพฺพํ, ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, โย ตตฺถ ภิกฺขุ พฺยโตฺต ปฎิพโล, ตสฺสาเธยฺยํ ปาติโมกฺข’’นฺติ (มหาว. ๑๕๕) วจนโต นวกตเรน วาฯ เอตฺถ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๕๕) จ กิญฺจาปิ นวกตรสฺสปิ พฺยตฺตสฺส ปาติโมกฺขํ อนุญฺญาตํ, อถ โข เอตฺถ อยํ อธิปฺปาโย – สเจ เถรสฺส ปญฺจ วา จตฺตาโร วา ตโย วา ปาติโมกฺขุเทฺทสา นาคจฺฉนฺติ, เทฺว ปน อขณฺฑา สุวิสทา วาจุคฺคตา โหนฺติ, เถรายตฺตํว ปาติโมกฺขํฯ สเจ ปน เอตฺตกมฺปิ วิสทํ กาตุํ น สโกฺกติ, พฺยตฺตสฺส ภิกฺขุโน อายตฺถํ โหติ, ตสฺมา สยํ วา อุทฺทิสิตพฺพํ, อโญฺญ วา อเชฺฌสิตโพฺพฯ ‘‘น, ภิกฺขเว, สงฺฆมเชฺฌ อนชฺฌิเฎฺฐน ปาติโมกฺขํ อุทฺทิสิตพฺพํ, โย อุทฺทิเสยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (มหาว. ๑๕๔) วจนโต อนชฺฌิเฎฺฐน ปาติโมกฺขํ น อุทฺทิสิตพฺพํฯ น เกวลํ ปาติโมกฺขํเยว, ธโมฺมปิ น ภาสิตโพฺพ ‘‘น, ภิกฺขเว, สงฺฆมเชฺฌ อนชฺฌิเฎฺฐน ธโมฺม ภาสิตโพฺพ, โย ภาเสยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (มหาว. ๑๕๐) วจนโตฯ
175. Kena pana pātimokkhaṃ uddisitabbanti? ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, therādhikaṃ pātimokkha’’nti (mahāva. 154) vacanato therena vā pātimokkhaṃ uddisitabbaṃ, ‘‘anujānāmi, bhikkhave, yo tattha bhikkhu byatto paṭibalo, tassādheyyaṃ pātimokkha’’nti (mahāva. 155) vacanato navakatarena vā. Ettha (mahāva. aṭṭha. 155) ca kiñcāpi navakatarassapi byattassa pātimokkhaṃ anuññātaṃ, atha kho ettha ayaṃ adhippāyo – sace therassa pañca vā cattāro vā tayo vā pātimokkhuddesā nāgacchanti, dve pana akhaṇḍā suvisadā vācuggatā honti, therāyattaṃva pātimokkhaṃ. Sace pana ettakampi visadaṃ kātuṃ na sakkoti, byattassa bhikkhuno āyatthaṃ hoti, tasmā sayaṃ vā uddisitabbaṃ, añño vā ajjhesitabbo. ‘‘Na, bhikkhave, saṅghamajjhe anajjhiṭṭhena pātimokkhaṃ uddisitabbaṃ, yo uddiseyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (mahāva. 154) vacanato anajjhiṭṭhena pātimokkhaṃ na uddisitabbaṃ. Na kevalaṃ pātimokkhaṃyeva, dhammopi na bhāsitabbo ‘‘na, bhikkhave, saṅghamajjhe anajjhiṭṭhena dhammo bhāsitabbo, yo bhāseyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (mahāva. 150) vacanato.
อเชฺฌสนา เจตฺถ สเงฺฆน สมฺมตธมฺมเชฺฌสกายตฺตา วา สงฺฆเตฺถ รายตฺตา วา, ตสฺมา ธมฺมเชฺฌสเก อสติ สงฺฆเตฺถรํ อาปุจฺฉิตฺวา วา เตน ยาจิโต วา ภาสิตุํ ลภติฯ สงฺฆเตฺถเรนปิ สเจ วิหาเร พหู ธมฺมกถิกา โหนฺติ, วารปฎิปาฎิยา วตฺตโพฺพฯ ‘‘ตฺวํ ธมฺมํ ภณ, ธมฺมทานํ เทหี’’ติ วา วุเตฺตน ตีหิปิ วิธีหิ ธโมฺม ภาสิตโพฺพ, ‘‘โอสาเรหี’’ติ วุโตฺต ปน โอสาเรตุเมว ลภติ, ‘‘กเถหี’’ติ วุโตฺต กเถตุเมว, ‘‘สรภญฺญํ ภณาหี’’ติ วุโตฺต สรภญฺญเมวฯ สงฺฆเตฺถโรปิ จ อุจฺจตเร อาสเน นิสิโนฺน ยาจิตุํ น ลภติฯ สเจ อุปชฺฌาโย เจว สทฺธิวิหาริโก จ โหติ, อุปชฺฌาโย จ นํ อุจฺจาสเน นิสิโนฺน ‘‘ภณา’’ติ วทติ, สชฺฌายํ อธิฎฺฐหิตฺวา ภณิตพฺพํฯ สเจ ปเนตฺถ ทหรภิกฺขู โหนฺติ, ‘‘เตสํ ภณามี’’ติ ภณิตพฺพํฯ สเจ วิหาเร สงฺฆเตฺถโร อตฺตโนเยว นิสฺสิตเก ภณาเปติ, อเญฺญ มธุรภาณเกปิ นาเชฺฌสติ, โส อเญฺญหิ วตฺตโพฺพ – ‘‘ภเนฺต, อสุกํ นาม ภณาเปมา’’ติฯ สเจ ‘‘ภณาเปถา’’ติ วทติ, ตุณฺหี วา โหติ, ภณาเปตุํ วฎฺฎติฯ สเจ ปน ปฎิพาหติ, น ภณาเปตพฺพํฯ ยทิ ปน อนาคเตเยว สงฺฆเตฺถเร ธมฺมสฺสวนํ อารทฺธํ, ปุน อาคเต ฐเปตฺวา อาปุจฺฉนกิจฺจํ นตฺถิฯ โอสาเรตฺวา ปน กเถเนฺตน อาปุจฺฉิตฺวา อฎฺฐเปตฺวาเยว วา กเถตพฺพํฯ กเถนฺตสฺส ปุน อาคเตปิ เอเสว นโยฯ
Ajjhesanā cettha saṅghena sammatadhammajjhesakāyattā vā saṅghatthe rāyattā vā, tasmā dhammajjhesake asati saṅghattheraṃ āpucchitvā vā tena yācito vā bhāsituṃ labhati. Saṅghattherenapi sace vihāre bahū dhammakathikā honti, vārapaṭipāṭiyā vattabbo. ‘‘Tvaṃ dhammaṃ bhaṇa, dhammadānaṃ dehī’’ti vā vuttena tīhipi vidhīhi dhammo bhāsitabbo, ‘‘osārehī’’ti vutto pana osāretumeva labhati, ‘‘kathehī’’ti vutto kathetumeva, ‘‘sarabhaññaṃ bhaṇāhī’’ti vutto sarabhaññameva. Saṅghattheropi ca uccatare āsane nisinno yācituṃ na labhati. Sace upajjhāyo ceva saddhivihāriko ca hoti, upajjhāyo ca naṃ uccāsane nisinno ‘‘bhaṇā’’ti vadati, sajjhāyaṃ adhiṭṭhahitvā bhaṇitabbaṃ. Sace panettha daharabhikkhū honti, ‘‘tesaṃ bhaṇāmī’’ti bhaṇitabbaṃ. Sace vihāre saṅghatthero attanoyeva nissitake bhaṇāpeti, aññe madhurabhāṇakepi nājjhesati, so aññehi vattabbo – ‘‘bhante, asukaṃ nāma bhaṇāpemā’’ti. Sace ‘‘bhaṇāpethā’’ti vadati, tuṇhī vā hoti, bhaṇāpetuṃ vaṭṭati. Sace pana paṭibāhati, na bhaṇāpetabbaṃ. Yadi pana anāgateyeva saṅghatthere dhammassavanaṃ āraddhaṃ, puna āgate ṭhapetvā āpucchanakiccaṃ natthi. Osāretvā pana kathentena āpucchitvā aṭṭhapetvāyeva vā kathetabbaṃ. Kathentassa puna āgatepi eseva nayo.
อุปนิสินฺนกถายมฺปิ สงฺฆเตฺถโรว สามี, ตสฺมา เตน สยํ วา กเถตพฺพํ, อโญฺญ วา ภิกฺขุ ‘‘กเถหี’’ติ วตฺตโพฺพ, โน จ โข อุจฺจตเร อาสเนฺน นิสิเนฺนน, มนุสฺสานํ ปน ‘‘ภณาหี’’ติ วตฺตุํ วฎฺฎติฯ มนุสฺสา อตฺตโน ชานนกํ ภิกฺขุํ ปุจฺฉนฺติ, เตน เถรํ อาปุจฺฉิตฺวาปิ กเถตพฺพํฯ สเจ สงฺฆเตฺถโร ‘‘ภเนฺต, อิเม ปญฺหํ ปุจฺฉนฺตี’’ติ ปุโฎฺฐ ‘‘กเถหี’’ติ วา ภณติ, ตุณฺหี วา โหติ, กเถตุํ วฎฺฎติฯ อนฺตรฆเร อนุโมทนาทีสุปิ เอเสว นโยฯ สเจ สงฺฆเตฺถโร ‘‘วิหาเร วา อนฺตรฆเร วา มํ อนาปุจฺฉิตฺวาปิ กเถยฺยาสี’’ติ อนุชานาติ, ลทฺธกปฺปิยํ โหติ, สพฺพตฺถ วตฺตุํ วฎฺฎติฯ สชฺฌายํ กโรเนฺตนาปิ เถโร อาปุจฺฉิตโพฺพเยวฯ เอกํ อาปุจฺฉิตฺวา สชฺฌายนฺตสฺส อปโร อาคจฺฉติ, ปุน อาปุจฺฉนกิจฺจํ นตฺถิฯ สเจปิ ‘‘วิสฺสมิสฺสามี’’ติ ฐปิตสฺส อาคจฺฉติ, ปุน อารภเนฺตน อาปุจฺฉิตพฺพํฯ สงฺฆเตฺถเร อนาคเตเยว อารทฺธํ สชฺฌายนฺตสฺสาปิ เอเสว นโยฯ เอเกน สงฺฆเตฺถเรน ‘‘มํ อนาปุจฺฉาปิ ยถาสุขํ สชฺฌายาหี’’ติ อนุญฺญาเต ยถาสุขํ สชฺฌายิตุํ วฎฺฎติ, อญฺญสฺมิํ ปน อาคเต ตํ อาปุจฺฉิตฺวาว สชฺฌายิตพฺพํฯ
Upanisinnakathāyampi saṅghattherova sāmī, tasmā tena sayaṃ vā kathetabbaṃ, añño vā bhikkhu ‘‘kathehī’’ti vattabbo, no ca kho uccatare āsanne nisinnena, manussānaṃ pana ‘‘bhaṇāhī’’ti vattuṃ vaṭṭati. Manussā attano jānanakaṃ bhikkhuṃ pucchanti, tena theraṃ āpucchitvāpi kathetabbaṃ. Sace saṅghatthero ‘‘bhante, ime pañhaṃ pucchantī’’ti puṭṭho ‘‘kathehī’’ti vā bhaṇati, tuṇhī vā hoti, kathetuṃ vaṭṭati. Antaraghare anumodanādīsupi eseva nayo. Sace saṅghatthero ‘‘vihāre vā antaraghare vā maṃ anāpucchitvāpi katheyyāsī’’ti anujānāti, laddhakappiyaṃ hoti, sabbattha vattuṃ vaṭṭati. Sajjhāyaṃ karontenāpi thero āpucchitabboyeva. Ekaṃ āpucchitvā sajjhāyantassa aparo āgacchati, puna āpucchanakiccaṃ natthi. Sacepi ‘‘vissamissāmī’’ti ṭhapitassa āgacchati, puna ārabhantena āpucchitabbaṃ. Saṅghatthere anāgateyeva āraddhaṃ sajjhāyantassāpi eseva nayo. Ekena saṅghattherena ‘‘maṃ anāpucchāpi yathāsukhaṃ sajjhāyāhī’’ti anuññāte yathāsukhaṃ sajjhāyituṃ vaṭṭati, aññasmiṃ pana āgate taṃ āpucchitvāva sajjhāyitabbaṃ.
ยสฺมิํ ปน วิหาเร สเพฺพว ภิกฺขู พาลา โหนฺติ อพฺยตฺตา น ชานนฺติ ปาติโมกฺขํ อุทฺทิสิตุํ, ตตฺถ กิํ กาตพฺพนฺติ? เตหิ ภิกฺขูหิ เอโก ภิกฺขุ สามนฺตา อาวาสา สชฺชุกํ ปาเหตโพฺพ ‘‘คจฺฉาวุโส, สํขิเตฺตน วา วิตฺถาเรน วา ปาติโมกฺขํ ปริยาปุณิตฺวา อาคจฺฉาหี’’ติฯ เอวเญฺจตํ ลเภถ, อิเจฺจตํ กุสลํฯ โน เจ ลเภถ, เตหิ ภิกฺขูหิ สเพฺพเหว ยตฺถ ตาทิสา ภิกฺขู โหนฺติ, โส อาวาโส อุโปสถกรณตฺถาย อนฺวฑฺฒมาสํ คนฺตโพฺพ, อคจฺฉนฺตานํ ทุกฺกฎํฯ อิทญฺจ อุตุวเสฺสเยว, วสฺสาเน ปน ปุริมิกาย ปาติโมกฺขุเทฺทสเกน วินา น วสฺสํ อุปคจฺฉิตพฺพํฯ สเจ โส วสฺสูปคตานํ ปกฺกมติ วา วิพฺภมติ วา กาลํ วา กโรติ, อญฺญสฺมิํ สติเยว ปจฺฉิมิกาย วสิตุํ วฎฺฎติ, อสติ อญฺญตฺถ คนฺตพฺพํ, อคจฺฉนฺตานํ ทุกฺกฎํฯ สเจ ปน ปจฺฉิมิกาย ปกฺกมติ วา วิพฺภมติ วา กาลํ วา กโรติ, มาสทฺวยํ วสิตพฺพํฯ
Yasmiṃ pana vihāre sabbeva bhikkhū bālā honti abyattā na jānanti pātimokkhaṃ uddisituṃ, tattha kiṃ kātabbanti? Tehi bhikkhūhi eko bhikkhu sāmantā āvāsā sajjukaṃ pāhetabbo ‘‘gacchāvuso, saṃkhittena vā vitthārena vā pātimokkhaṃ pariyāpuṇitvā āgacchāhī’’ti. Evañcetaṃ labhetha, iccetaṃ kusalaṃ. No ce labhetha, tehi bhikkhūhi sabbeheva yattha tādisā bhikkhū honti, so āvāso uposathakaraṇatthāya anvaḍḍhamāsaṃ gantabbo, agacchantānaṃ dukkaṭaṃ. Idañca utuvasseyeva, vassāne pana purimikāya pātimokkhuddesakena vinā na vassaṃ upagacchitabbaṃ. Sace so vassūpagatānaṃ pakkamati vā vibbhamati vā kālaṃ vā karoti, aññasmiṃ satiyeva pacchimikāya vasituṃ vaṭṭati, asati aññattha gantabbaṃ, agacchantānaṃ dukkaṭaṃ. Sace pana pacchimikāya pakkamati vā vibbhamati vā kālaṃ vā karoti, māsadvayaṃ vasitabbaṃ.
ยตฺถ ปน เต พาลา ภิกฺขู วิหรนฺติ อพฺยตฺตา, สเจ ตตฺถ โกจิ ภิกฺขุ อาคจฺฉติ พหุสฺสุโต อาคตาคโม ธมฺมธโร วินยธโร มาติกาธโร ปณฺฑิโต พฺยโตฺต เมธาวี ลชฺชี กุกฺกุจฺจโก สิกฺขากาโม, เตหิ ภิกฺขูหิ โส ภิกฺขุ สงฺคเหตโพฺพ อนุคฺคเหตโพฺพ อุปลาเปตโพฺพ , อุปฎฺฐาเปตโพฺพ จุเณฺณน มตฺติกาย ทนฺตกเฎฺฐน มุโขทเกนฯ โน เจ สงฺคเหยฺยุํ อนุคฺคเหยฺยุํ อุปลาเปยฺยุํ, อุปฎฺฐาเปยฺยุํ จุเณฺณน มตฺติกาย ทนฺตกเฎฺฐน มุโขทเกน, สเพฺพสํ ทุกฺกฎํฯ อิธ เนว เถรา, น ทหรา มุจฺจนฺติ, สเพฺพหิ วาเรน อุปฎฺฐาเปตโพฺพฯ อตฺตโน วาเร อนุปฎฺฐหนฺตสฺส อาปตฺติฯ เตน ปน มหาเถรานํ ปริเวณสมฺมชฺชนทนฺตกฎฺฐทานาทีนิ น สาทิตพฺพานิ, เอวมฺปิ สติ มหาเถเรหิ สายํปาตํ อุปฎฺฐานํ อาคนฺตพฺพํ, เตน ปน เตสํ อาคมนํ ญตฺวา ปฐมตรํ มหาเถรานํ อุปฎฺฐานํ คนฺตพฺพํฯ สจสฺส สทฺธิญฺจรา ภิกฺขู อุปฎฺฐากา อตฺถิ, ‘‘มยฺหํ อุปฎฺฐากา อตฺถิ, ตุเมฺห อโปฺปสฺสุกฺกา วิหรถา’’ติ วตฺตพฺพํฯ อถาปิสฺส สทฺธิญฺจรา นตฺถิ, ตสฺมิํเยว วิหาเร เอโก วา เทฺว วา วตฺตสมฺปนฺนา วทนฺติ ‘‘มยํ เถรสฺส กตฺตพฺพํ กริสฺสาม, อวเสสา ผาสุ วิหรนฺตู’’ติ, สเพฺพสํ อนาปตฺติฯ
Yattha pana te bālā bhikkhū viharanti abyattā, sace tattha koci bhikkhu āgacchati bahussuto āgatāgamo dhammadharo vinayadharo mātikādharo paṇḍito byatto medhāvī lajjī kukkuccako sikkhākāmo, tehi bhikkhūhi so bhikkhu saṅgahetabbo anuggahetabbo upalāpetabbo , upaṭṭhāpetabbo cuṇṇena mattikāya dantakaṭṭhena mukhodakena. No ce saṅgaheyyuṃ anuggaheyyuṃ upalāpeyyuṃ, upaṭṭhāpeyyuṃ cuṇṇena mattikāya dantakaṭṭhena mukhodakena, sabbesaṃ dukkaṭaṃ. Idha neva therā, na daharā muccanti, sabbehi vārena upaṭṭhāpetabbo. Attano vāre anupaṭṭhahantassa āpatti. Tena pana mahātherānaṃ pariveṇasammajjanadantakaṭṭhadānādīni na sāditabbāni, evampi sati mahātherehi sāyaṃpātaṃ upaṭṭhānaṃ āgantabbaṃ, tena pana tesaṃ āgamanaṃ ñatvā paṭhamataraṃ mahātherānaṃ upaṭṭhānaṃ gantabbaṃ. Sacassa saddhiñcarā bhikkhū upaṭṭhākā atthi, ‘‘mayhaṃ upaṭṭhākā atthi, tumhe appossukkā viharathā’’ti vattabbaṃ. Athāpissa saddhiñcarā natthi, tasmiṃyeva vihāre eko vā dve vā vattasampannā vadanti ‘‘mayaṃ therassa kattabbaṃ karissāma, avasesā phāsu viharantū’’ti, sabbesaṃ anāpatti.
๑๗๖. ‘‘ยสฺส สิยา อาปตฺติ, โส อาวิกเรยฺยา’’ติ(มหาว. ๑๓๔) อาทิวจนโต น สาปตฺติเกน อุโปสโถ กาตโพฺพ, ตสฺมา ตทหุโปสเถ อาปตฺติํ สรเนฺตน เทเสตพฺพาฯ เทเสเนฺตน จ เอกํ ภิกฺขุํ อุปสงฺกมิตฺวา เอกํสํ อุตฺตราสงฺคํ กริตฺวา อุกฺกุฎิกํ นิสีทิตฺวา อญฺชลิํ ปคฺคเหตฺวา เอวํ วตฺตโพฺพ ‘‘อหํ, อาวุโส, อิตฺถนฺนามํ อาปตฺติํ อาปโนฺน, ตํ ปฎิเทเสมี’’ติฯ สเจ นวกตโร โหติ, ‘‘อหํ, ภเนฺต’’ติ วตฺตพฺพํฯ ‘‘ตํ ปฎิเทเสมี’’ติ อิทํ ปน อตฺตโน อตฺตโน อนุรูปวเสน ‘‘ตํ ตุยฺหมูเล, ตํ ตุมฺหมูเล ปฎิเทเสมี’’ติ วุเตฺตปิ สุวุตฺตเมว โหติฯ ปฎิคฺคาหเกนปิ อตฺตโน อตฺตโน อนุรูปวเสน ‘‘ปสฺสถ, ภเนฺต, ตํ อาปตฺติํ, ปสฺสสิ, อาวุโส, ตํ อาปตฺติ’’นฺติ วา วตฺตพฺพํ, ปุน เทสเกน ‘‘อาม, อาวุโส, ปสฺสามิ, อาม, ภเนฺต, ปสฺสามี’’ติ วา วตฺตพฺพํฯ ปุน ปฎิคฺคาหเกน ‘‘อายติํ, ภเนฺต, สํวเรยฺยาถ, อายติํ, อาวุโส, สํวเรยฺยาสี’’ติ วา วตฺตพฺพํฯ เอวํ วุเตฺต เทสเกน ‘‘สาธุ สุฎฺฐุ อาวุโส สํวริสฺสามิ, สาธุ สุฎฺฐุ, ภเนฺต, สํวริสฺสามี’’ติ วา วตฺตพฺพํฯ สเจ อาปตฺติยา เวมติโก โหติ, เอกํ ภิกฺขุํ อุปสงฺกมิตฺวา เอกํสํ อุตฺตราสงฺคํ กริตฺวา อุกฺกุฎิกํ นิสีทิตฺวา อญฺชลิํ ปคฺคเหตฺวา เอวํ วตฺตโพฺพ ‘‘อหํ, อาวุโส, อิตฺถนฺนามาย อาปตฺติยา เวมติโก, ยทา นิเพฺพมติโก ภวิสฺสามิ, ตทา ตํ อาปตฺติํ ปฎิกริสฺสามี’’ติ วตฺวา อุโปสโถ กาตโพฺพ, ปาติโมกฺขํ โสตพฺพํ, น เตฺวว ตปฺปจฺจยา อุโปสถสฺส อนฺตราโย กาตโพฺพฯ ‘‘น, ภิกฺขเว, สภาคา อาปตฺติ เทเสตพฺพา, โย เทเสยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ น, ภิกฺขเว, สภาคา อาปตฺติ ปฎิคฺคเหตพฺพา, โย ปฎิคฺคเณฺหยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (มหาว. ๑๖๙) วจนโต ยํ เทฺวปิ ชนา วิกาลโภชนาทินา สภาควตฺถุนา อาปตฺติํ อาปชฺชนฺติ, เอวรูปา วตฺถุสภาคา อาปตฺติ เนว เทเสตพฺพา, น จ ปฎิคฺคเหตพฺพาฯ วิกาลโภชนปจฺจยา อาปนฺนํ ปน อาปตฺติสภาคํ อนติริตฺตโภชนปจฺจยา อาปนฺนสฺส สนฺติเก เทเสตุํ วฎฺฎติฯ
176. ‘‘Yassa siyā āpatti, so āvikareyyā’’ti(mahāva. 134) ādivacanato na sāpattikena uposatho kātabbo, tasmā tadahuposathe āpattiṃ sarantena desetabbā. Desentena ca ekaṃ bhikkhuṃ upasaṅkamitvā ekaṃsaṃ uttarāsaṅgaṃ karitvā ukkuṭikaṃ nisīditvā añjaliṃ paggahetvā evaṃ vattabbo ‘‘ahaṃ, āvuso, itthannāmaṃ āpattiṃ āpanno, taṃ paṭidesemī’’ti. Sace navakataro hoti, ‘‘ahaṃ, bhante’’ti vattabbaṃ. ‘‘Taṃ paṭidesemī’’ti idaṃ pana attano attano anurūpavasena ‘‘taṃ tuyhamūle, taṃ tumhamūle paṭidesemī’’ti vuttepi suvuttameva hoti. Paṭiggāhakenapi attano attano anurūpavasena ‘‘passatha, bhante, taṃ āpattiṃ, passasi, āvuso, taṃ āpatti’’nti vā vattabbaṃ, puna desakena ‘‘āma, āvuso, passāmi, āma, bhante, passāmī’’ti vā vattabbaṃ. Puna paṭiggāhakena ‘‘āyatiṃ, bhante, saṃvareyyātha, āyatiṃ, āvuso, saṃvareyyāsī’’ti vā vattabbaṃ. Evaṃ vutte desakena ‘‘sādhu suṭṭhu āvuso saṃvarissāmi, sādhu suṭṭhu, bhante, saṃvarissāmī’’ti vā vattabbaṃ. Sace āpattiyā vematiko hoti, ekaṃ bhikkhuṃ upasaṅkamitvā ekaṃsaṃ uttarāsaṅgaṃ karitvā ukkuṭikaṃ nisīditvā añjaliṃ paggahetvā evaṃ vattabbo ‘‘ahaṃ, āvuso, itthannāmāya āpattiyā vematiko, yadā nibbematiko bhavissāmi, tadā taṃ āpattiṃ paṭikarissāmī’’ti vatvā uposatho kātabbo, pātimokkhaṃ sotabbaṃ, na tveva tappaccayā uposathassa antarāyo kātabbo. ‘‘Na, bhikkhave, sabhāgā āpatti desetabbā, yo deseyya, āpatti dukkaṭassa. Na, bhikkhave, sabhāgā āpatti paṭiggahetabbā, yo paṭiggaṇheyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (mahāva. 169) vacanato yaṃ dvepi janā vikālabhojanādinā sabhāgavatthunā āpattiṃ āpajjanti, evarūpā vatthusabhāgā āpatti neva desetabbā, na ca paṭiggahetabbā. Vikālabhojanapaccayā āpannaṃ pana āpattisabhāgaṃ anatirittabhojanapaccayā āpannassa santike desetuṃ vaṭṭati.
สเจ ปน สโพฺพ สโงฺฆ วิกาลโภชนาทินา สภาควตฺถุนา ลหุกาปตฺติํ อาปชฺชติ, ตตฺถ กิํ กาตพฺพนฺติ? เตหิ ภิกฺขูหิ เอโก ภิกฺขุ สามนฺตา อาวาสา สชฺชุกํ ปาเหตโพฺพ ‘‘คจฺฉาวุโส, ตํ อาปตฺติํ ปฎิกริตฺวา อาคจฺฉ, มยํ เต สนฺติเก อาปตฺติํ ปฎิกริสฺสามา’’ติฯ เอวเญฺจตํ ลเภถ, อิเจฺจตํ กุสลํฯ โน เจ ลเภถ, พฺยเตฺตน ภิกฺขุนา ปฎิพเลน สโงฺฆ ญาเปตโพฺพ – ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อยํ สโพฺพ สโงฺฆ สภาคํ อาปตฺติํ อาปโนฺน, ยทา อญฺญํ ภิกฺขุํ สุทฺธํ อนาปตฺติกํ ปสฺสิสฺสติ, ตทา ตสฺส สนฺติเก ตํ อาปตฺติํ ปฎิกริสฺสตี’’ติ (มหาว. ๑๗๑) วตฺวา อุโปสโถ กาตโพฺพฯ สเจ ปน เวมติโก โหติ, ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อยํ สโพฺพ สโงฺฆ สภาคาย อาปตฺติยา เวมติโก, ยทา นิเพฺพมติโก ภวิสฺสติ, ตทา ตํ อาปตฺติํ ปฎิกริสฺสตี’’ติ (มหาว. ๑๗๑) วตฺวา อุโปสโถ กาตโพฺพฯ สเจ ปเนตฺถ โกจิ ‘‘ตํ สภาคํ อาปตฺติํ เทเสตุํ วฎฺฎตี’’ติ มญฺญมาโน เอกสฺส สนฺติเก เทเสติ, เทสิตา สุเทสิตาวฯ อญฺญํ ปน เทสนาปจฺจยา เทสโก ปฎิคฺคหณปจฺจยา ปฎิคฺคาหโก จาติ อุโภปิ ทุกฺกฎํ อาปชฺชนฺติ, ตํ นานาวตฺถุกํ โหติ, ตสฺมา อญฺญมญฺญํ เทเสตพฺพํฯ เอตฺตาวตา เต นิราปตฺติกา โหนฺติ, เตสํ สนฺติเก เสเสหิ สภาคาปตฺติโย เทเสตพฺพา วา อาโรเจตพฺพา วาฯ สเจ เต เอวํ อกตฺวา อุโปสถํ กโรนฺติ, ‘‘ปาริสุทฺธิํ อายสฺมโนฺต อาโรเจถา’’ติอาทินา นเยน สาปตฺติกสฺส อุโปสถกรเณ ปญฺญตฺตํ ทุกฺกฎํ อาปชฺชนฺติฯ
Sace pana sabbo saṅgho vikālabhojanādinā sabhāgavatthunā lahukāpattiṃ āpajjati, tattha kiṃ kātabbanti? Tehi bhikkhūhi eko bhikkhu sāmantā āvāsā sajjukaṃ pāhetabbo ‘‘gacchāvuso, taṃ āpattiṃ paṭikaritvā āgaccha, mayaṃ te santike āpattiṃ paṭikarissāmā’’ti. Evañcetaṃ labhetha, iccetaṃ kusalaṃ. No ce labhetha, byattena bhikkhunā paṭibalena saṅgho ñāpetabbo – ‘‘suṇātu me, bhante, saṅgho, ayaṃ sabbo saṅgho sabhāgaṃ āpattiṃ āpanno, yadā aññaṃ bhikkhuṃ suddhaṃ anāpattikaṃ passissati, tadā tassa santike taṃ āpattiṃ paṭikarissatī’’ti (mahāva. 171) vatvā uposatho kātabbo. Sace pana vematiko hoti, ‘‘suṇātu me, bhante, saṅgho, ayaṃ sabbo saṅgho sabhāgāya āpattiyā vematiko, yadā nibbematiko bhavissati, tadā taṃ āpattiṃ paṭikarissatī’’ti (mahāva. 171) vatvā uposatho kātabbo. Sace panettha koci ‘‘taṃ sabhāgaṃ āpattiṃ desetuṃ vaṭṭatī’’ti maññamāno ekassa santike deseti, desitā sudesitāva. Aññaṃ pana desanāpaccayā desako paṭiggahaṇapaccayā paṭiggāhako cāti ubhopi dukkaṭaṃ āpajjanti, taṃ nānāvatthukaṃ hoti, tasmā aññamaññaṃ desetabbaṃ. Ettāvatā te nirāpattikā honti, tesaṃ santike sesehi sabhāgāpattiyo desetabbā vā ārocetabbā vā. Sace te evaṃ akatvā uposathaṃ karonti, ‘‘pārisuddhiṃ āyasmanto ārocethā’’tiādinā nayena sāpattikassa uposathakaraṇe paññattaṃ dukkaṭaṃ āpajjanti.
สเจ โกจิ ภิกฺขุ ปาติโมเกฺข อุทฺทิสฺสมาเน อาปตฺติํ สรติ, เตน ภิกฺขุนา สามโนฺต ภิกฺขุ เอวํ วตฺตโพฺพ ‘‘อหํ, อาวุโส, อิตฺถนฺนามํ อาปตฺติํ อาปโนฺน, อิโต วุฎฺฐหิตฺวา ตํ อาปตฺติํ ปฎิกริสฺสามี’’ติฯ สามโนฺต จ ภิกฺขุ สภาโคเยว วตฺตโพฺพฯ วิสภาคสฺส หิ วุจฺจมาเน ภณฺฑนกลหสงฺฆเภทาทีนิปิ โหนฺติ, ตสฺมา ตสฺส อวตฺวา ‘‘อิโต วุฎฺฐหิตฺวา ปฎิกริสฺสามี’’ติ อาโภคํ กตฺวา อุโปสโถ กาตโพฺพฯ สเจ ปน โกจิ ปาติโมเกฺข อุทฺทิสฺสมาเน อาปตฺติยา เวมติโก โหติ, เตนปิ สภาโคเยว สามโนฺต ภิกฺขุ เอวํ วตฺตโพฺพ ‘‘อหํ, อาวุโส, อิตฺถนฺนามาย อาปตฺติยา เวมติโก, ยทา นิเพฺพมติโก ภวิสฺสามิ, ตทา ตํ อาปตฺติํ ปฎิกริสฺสามี’’ติฯ เอวญฺจ วตฺวา อุโปสโถ กาตโพฺพ, ปาติโมกฺขํ โสตพฺพํ, น เตฺวว ตปฺปจฺจยา อุโปสถสฺส อนฺตราโย กาตโพฺพฯ
Sace koci bhikkhu pātimokkhe uddissamāne āpattiṃ sarati, tena bhikkhunā sāmanto bhikkhu evaṃ vattabbo ‘‘ahaṃ, āvuso, itthannāmaṃ āpattiṃ āpanno, ito vuṭṭhahitvā taṃ āpattiṃ paṭikarissāmī’’ti. Sāmanto ca bhikkhu sabhāgoyeva vattabbo. Visabhāgassa hi vuccamāne bhaṇḍanakalahasaṅghabhedādīnipi honti, tasmā tassa avatvā ‘‘ito vuṭṭhahitvā paṭikarissāmī’’ti ābhogaṃ katvā uposatho kātabbo. Sace pana koci pātimokkhe uddissamāne āpattiyā vematiko hoti, tenapi sabhāgoyeva sāmanto bhikkhu evaṃ vattabbo ‘‘ahaṃ, āvuso, itthannāmāya āpattiyā vematiko, yadā nibbematiko bhavissāmi, tadā taṃ āpattiṃ paṭikarissāmī’’ti. Evañca vatvā uposatho kātabbo, pātimokkhaṃ sotabbaṃ, na tveva tappaccayā uposathassa antarāyo kātabbo.
๑๗๗. ‘‘อนุชานามิ , ภิกฺขเว, อุโปสถาคารํ สมฺมชฺชิตุ’’นฺติ(มหาว. ๑๕๙) อาทิวจนโต –
177. ‘‘Anujānāmi , bhikkhave, uposathāgāraṃ sammajjitu’’nti(mahāva. 159) ādivacanato –
‘‘สมฺมชฺชนี ปทีโป จ, อุทกํ อาสเนน จ;
‘‘Sammajjanī padīpo ca, udakaṃ āsanena ca;
อุโปสถสฺส เอตานิ, ปุพฺพกรณนฺติ วุจฺจตี’’ติฯ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๖๘) –
Uposathassa etāni, pubbakaraṇanti vuccatī’’ti. (mahāva. aṭṭha. 168) –
เอวํ วุตฺตํ จตุพฺพิธํ ปุพฺพกรณํ กตฺวาว อุโปสโถ กาตโพฺพฯ เกน ปน ตํ กาตพฺพนฺติ? ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, เถเรน ภิกฺขุนา นวํ ภิกฺขุํ อาณาเปตุํ, น, ภิกฺขเว, เถเรน อาณเตฺตน อคิลาเนน น สมฺมชฺชิตพฺพํ, โย น สมฺมเชฺชยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติอาทิวจนโต โย เถเรน อาณโตฺต, เตน กาตพฺพํฯ อาณาเปเนฺตน จ กิญฺจิ กมฺมํ กโรโนฺต วา สทากาลเมว เอโก วา ภารนิตฺถรณโก วา สรภาณกธมฺมกถิกาทีสุ อญฺญตโร วา น อุโปสถาคารสมฺมชฺชนตฺถํ อาณาเปตโพฺพ, อวเสสา ปน วาเรน อาณาเปตพฺพาฯ สเจ อาณโตฺต สมฺมุญฺชนิํ ตาวกาลิกมฺปิ น ลภติ, สาขาภงฺคํ กปฺปิยํ กาเรตฺวา สมฺมชฺชิตพฺพํ, ตมฺปิ อลภนฺตสฺส ลทฺธกปฺปิยํ โหติฯ
Evaṃ vuttaṃ catubbidhaṃ pubbakaraṇaṃ katvāva uposatho kātabbo. Kena pana taṃ kātabbanti? ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, therena bhikkhunā navaṃ bhikkhuṃ āṇāpetuṃ, na, bhikkhave, therena āṇattena agilānena na sammajjitabbaṃ, yo na sammajjeyya, āpatti dukkaṭassā’’tiādivacanato yo therena āṇatto, tena kātabbaṃ. Āṇāpentena ca kiñci kammaṃ karonto vā sadākālameva eko vā bhāranittharaṇako vā sarabhāṇakadhammakathikādīsu aññataro vā na uposathāgārasammajjanatthaṃ āṇāpetabbo, avasesā pana vārena āṇāpetabbā. Sace āṇatto sammuñjaniṃ tāvakālikampi na labhati, sākhābhaṅgaṃ kappiyaṃ kāretvā sammajjitabbaṃ, tampi alabhantassa laddhakappiyaṃ hoti.
อาสนปญฺญาปนตฺถํ อาณเตฺตน จ สเจ อุโปสถาคาเร อาสนานิ นตฺถิ, สงฺฆิกาวาสโต อาหริตฺวา ปญฺญเปตฺวา ปุน อาหริตพฺพานิ, อาสเนสุ อสติ กฎสารเกปิ ตฎฺฎิกาโยปิ ปญฺญาเปตุํ วฎฺฎติ, ตฎฺฎิกาสุปิ อสติ สาขาภงฺคานิ กปฺปิยํ กาเรตฺวา ปญฺญเปตพฺพานิ, กปฺปิยการกํ อลภนฺตสฺส ลทฺธกปฺปิยํ โหติฯ
Āsanapaññāpanatthaṃ āṇattena ca sace uposathāgāre āsanāni natthi, saṅghikāvāsato āharitvā paññapetvā puna āharitabbāni, āsanesu asati kaṭasārakepi taṭṭikāyopi paññāpetuṃ vaṭṭati, taṭṭikāsupi asati sākhābhaṅgāni kappiyaṃ kāretvā paññapetabbāni, kappiyakārakaṃ alabhantassa laddhakappiyaṃ hoti.
ปทีปกรณตฺถํ อาณาเปเนฺตน ปน ‘‘อสุกสฺมิํ นาม โอกาเส เตลํ วา วฎฺฎิ วา กปลฺลิกา วา อตฺถิ, ตํ คเหตฺวา กโรหี’’ติ วตฺตโพฺพฯ สเจ เตลาทีนิ นตฺถิ, ปริเยสิตพฺพานิ, ปริเยสิตฺวา อลภนฺตสฺส ลทฺธกปฺปิยํ โหติฯ อปิจ กปาเล อคฺคิปิ ชาเลตโพฺพฯ
Padīpakaraṇatthaṃ āṇāpentena pana ‘‘asukasmiṃ nāma okāse telaṃ vā vaṭṭi vā kapallikā vā atthi, taṃ gahetvā karohī’’ti vattabbo. Sace telādīni natthi, pariyesitabbāni, pariyesitvā alabhantassa laddhakappiyaṃ hoti. Apica kapāle aggipi jāletabbo.
‘‘ฉนฺทปาริสุทฺธิอุตุกฺขานํ, ภิกฺขุคณนาจ โอวาโท;
‘‘Chandapārisuddhiutukkhānaṃ, bhikkhugaṇanāca ovādo;
อุโปสถสฺส เอตานิ, ปุพฺพกิจฺจนฺติ วุจฺจตี’’ติฯ (มหาว. ๑๖๘) –
Uposathassa etāni, pubbakiccanti vuccatī’’ti. (mahāva. 168) –
เอวํ วุตฺตํ ปน จตุพฺพิธมฺปิ ปุพฺพกิจฺจํ ปุพฺพกรณโต ปจฺฉา กาตพฺพํฯ ตมฺปิ หิ อกตฺวา อุโปสโถ น กาตโพฺพฯ
Evaṃ vuttaṃ pana catubbidhampi pubbakiccaṃ pubbakaraṇato pacchā kātabbaṃ. Tampi hi akatvā uposatho na kātabbo.
๑๗๘. ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สโงฺฆ อุโปสถํ กเรยฺยา’’ติ (มหาว. ๑๔๓) วจนโต ยทา สงฺฆสฺส อุโปสถกมฺมํ ปตฺตกลฺลํ โหติ, ตทา ตํ กาตพฺพํ, ปตฺตกลฺลญฺจ นาเมตํ จตูหิ อเงฺคหิ สงฺคหิตํฯ เตนาหุ อฎฺฐกถาจริยา –
178. Yadi saṅghassa pattakallaṃ, saṅgho uposathaṃ kareyyā’’ti (mahāva. 143) vacanato yadā saṅghassa uposathakammaṃ pattakallaṃ hoti, tadā taṃ kātabbaṃ, pattakallañca nāmetaṃ catūhi aṅgehi saṅgahitaṃ. Tenāhu aṭṭhakathācariyā –
‘‘อุโปสโถ ยาวติกา จ ภิกฺขู กมฺมปฺปตฺตา,
‘‘Uposatho yāvatikā ca bhikkhū kammappattā,
สภาคาปตฺติโย จ น วิชฺชนฺติ;
Sabhāgāpattiyo ca na vijjanti;
วชฺชนียา จ ปุคฺคลา ตสฺมิํ น โหนฺติ,
Vajjanīyā ca puggalā tasmiṃ na honti,
ปตฺตกลฺลนฺติ วุจฺจตี’’ติฯ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๖๘);
Pattakallanti vuccatī’’ti. (mahāva. aṭṭha. 168);
ตตฺถ อุโปสโถติ ตีสุ อุโปสถทิวเสสุ อญฺญตรทิวโสฯ ตสฺมิญฺหิ สติ อิทํ สงฺฆสฺส อุโปสถกมฺมํ ปตฺตกลฺลํ นาม โหติ, นาสติฯ ยถาห ‘‘น จ, ภิกฺขเว, อนุโปสเถ อุโปสโถ กาตโพฺพ’’ติ (มหาว. ๑๘๓)ฯ
Tattha uposathoti tīsu uposathadivasesu aññataradivaso. Tasmiñhi sati idaṃ saṅghassa uposathakammaṃ pattakallaṃ nāma hoti, nāsati. Yathāha ‘‘na ca, bhikkhave, anuposathe uposatho kātabbo’’ti (mahāva. 183).
ยาวติกา จ ภิกฺขู กมฺมปฺปตฺตาติ ยตฺตกา ภิกฺขู ตสฺส อุโปสถกมฺมสฺส ปตฺตา ยุตฺตา อนุรูปา สพฺพนฺติเมน ปริเจฺฉเทน จตฺตาโร ปกตตฺตา, เต จ โข หตฺถปาสํ อวิชหิตฺวา เอกสีมายํ ฐิตาฯ เตสุ หิ จตูสุ ภิกฺขูสุ เอกสีมายํ หตฺถปาสํ อวิชหิตฺวา ฐิเตเสฺวว ตํ สงฺฆสฺส อุโปสถกมฺมํ ปตฺตกลฺลํ นาม โหติ, น อิตรถาฯ ยถาห ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, จตุนฺนํ ปาติโมกฺขํ อุทฺทิสิตุ’’นฺติ (มหาว. ๑๖๘)ฯ
Yāvatikā ca bhikkhū kammappattāti yattakā bhikkhū tassa uposathakammassa pattā yuttā anurūpā sabbantimena paricchedena cattāro pakatattā, te ca kho hatthapāsaṃ avijahitvā ekasīmāyaṃ ṭhitā. Tesu hi catūsu bhikkhūsu ekasīmāyaṃ hatthapāsaṃ avijahitvā ṭhitesveva taṃ saṅghassa uposathakammaṃ pattakallaṃ nāma hoti, na itarathā. Yathāha ‘‘anujānāmi, bhikkhave, catunnaṃ pātimokkhaṃ uddisitu’’nti (mahāva. 168).
สภาคาปตฺติโย จ น วิชฺชนฺตีติ เอตฺถ ยํ สโพฺพ สโงฺฆ วิกาลโภชนาทินา สภาควตฺถุนา ลหุกาปตฺติํ อาปชฺชติ, เอวรูปา วตฺถุสภาคา สภาคาติ วุจฺจติฯ เอตาสุ อวิชฺชมานาสุปิ สภาคาสุ วิชฺชมานาสุปิ ปตฺตกลฺลํ โหติเยวฯ
Sabhāgāpattiyo ca na vijjantīti ettha yaṃ sabbo saṅgho vikālabhojanādinā sabhāgavatthunā lahukāpattiṃ āpajjati, evarūpā vatthusabhāgā sabhāgāti vuccati. Etāsu avijjamānāsupi sabhāgāsu vijjamānāsupi pattakallaṃ hotiyeva.
วชฺชนียา จ ปุคฺคลา ตสฺมิํ น โหนฺตีติ ‘‘น, ภิกฺขเว, สคหฎฺฐาย ปริสาย ปาติโมกฺขํ อุทฺทิสิตพฺพ’’นฺติ (มหาว. ๑๕๔) วจนโต คหโฎฺฐ จ, ‘‘น, ภิกฺขเว, ภิกฺขุนิยา นิสินฺนปริสาย ปาติโมกฺขํ อุทฺทิสิตพฺพ’’นฺติอาทินา (มหาว. ๑๘๓) นเยน วุตฺตา ภิกฺขุนี, สิกฺขมานา, สามเณโร, สามเณรี, สิกฺขาปจฺจกฺขาตโก, อนฺติมวตฺถุอชฺฌาปนฺนโก , อาปตฺติยา อทสฺสเน อุกฺขิตฺตโก, อาปตฺติยา อปฺปฎิกเมฺม อุกฺขิตฺตโก, ปาปิกาย ทิฎฺฐิยา อปฺปฎินิสฺสเคฺค อุกฺขิตฺตโก, ปณฺฑโก, เถยฺยสํวาสโก, ติตฺถิยปกฺกนฺตโก, ติรจฺฉานคโต, มาตุฆาตโก , ปิตุฆาตโก, อรหนฺตฆาตโก, ภิกฺขุนีทูสโก, สงฺฆเภทโก, โลหิตุปฺปาทโก, อุภโตพฺยญฺชนโกติ อิเม วีสติ จาติ เอกวีสติ ปุคฺคลา วชฺชนียา นามฯ เต หตฺถปาสโต พหิกรณวเสน วเชฺชตพฺพาฯ เอเตสุ หิ ติวิเธ อุกฺขิตฺตเก สติ อุโปสถํ กโรโนฺต สโงฺฆ ปาจิตฺติยํ อาปชฺชติ, เสเสสุ ทุกฺกฎํ, เอตฺถ จ ติรจฺฉานคโตติ ยสฺส อุปสมฺปทา ปฎิกฺขิตฺตาฯ ติตฺถิยา คหเฎฺฐเนว สงฺคหิตาฯ เอเตปิ หิ วชฺชนียาฯ เอวํ ปตฺตกลฺลํ อิเมหิ จตูหิ อเงฺคหิ สงฺคหิตนฺติ เวทิตพฺพํฯ อิทญฺจ สพฺพํ ปวารณากเมฺมปิ โยเชตฺวา ทเสฺสตพฺพํฯ ‘‘น, ภิกฺขเว, ปาติโมกฺขุเทฺทสเกน สญฺจิจฺจ น สาเวตพฺพํ, โย น สาเวยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ปาติโมกฺขุเทฺทสเกน วายมิตุํ ‘กถํ สาเวยฺย’นฺติ, วายมนฺตสฺส อนาปตฺตี’’ติ (มหาว. ๑๕๔) วจนโต ปาติโมกฺขุเทฺทสเกน ปริสํ สาเวตุํ วายมิตพฺพนฺติฯ
Vajjanīyā ca puggalā tasmiṃ na hontīti ‘‘na, bhikkhave, sagahaṭṭhāya parisāya pātimokkhaṃ uddisitabba’’nti (mahāva. 154) vacanato gahaṭṭho ca, ‘‘na, bhikkhave, bhikkhuniyā nisinnaparisāya pātimokkhaṃ uddisitabba’’ntiādinā (mahāva. 183) nayena vuttā bhikkhunī, sikkhamānā, sāmaṇero, sāmaṇerī, sikkhāpaccakkhātako, antimavatthuajjhāpannako , āpattiyā adassane ukkhittako, āpattiyā appaṭikamme ukkhittako, pāpikāya diṭṭhiyā appaṭinissagge ukkhittako, paṇḍako, theyyasaṃvāsako, titthiyapakkantako, tiracchānagato, mātughātako , pitughātako, arahantaghātako, bhikkhunīdūsako, saṅghabhedako, lohituppādako, ubhatobyañjanakoti ime vīsati cāti ekavīsati puggalā vajjanīyā nāma. Te hatthapāsato bahikaraṇavasena vajjetabbā. Etesu hi tividhe ukkhittake sati uposathaṃ karonto saṅgho pācittiyaṃ āpajjati, sesesu dukkaṭaṃ, ettha ca tiracchānagatoti yassa upasampadā paṭikkhittā. Titthiyā gahaṭṭheneva saṅgahitā. Etepi hi vajjanīyā. Evaṃ pattakallaṃ imehi catūhi aṅgehi saṅgahitanti veditabbaṃ. Idañca sabbaṃ pavāraṇākammepi yojetvā dassetabbaṃ. ‘‘Na, bhikkhave, pātimokkhuddesakena sañcicca na sāvetabbaṃ, yo na sāveyya, āpatti dukkaṭassa. Anujānāmi, bhikkhave, pātimokkhuddesakena vāyamituṃ ‘kathaṃ sāveyya’nti, vāyamantassa anāpattī’’ti (mahāva. 154) vacanato pātimokkhuddesakena parisaṃ sāvetuṃ vāyamitabbanti.
อิติ ปาฬิมุตฺตกวินยวินิจฺฉยสงฺคเห
Iti pāḷimuttakavinayavinicchayasaṅgahe
อุโปสถปวารณาวินิจฺฉยกถา สมตฺตาฯ
Uposathapavāraṇāvinicchayakathā samattā.