Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๑๕๔] ๔. อุรคชาตกวณฺณนา

    [154] 4. Uragajātakavaṇṇanā

    อิธูรคานํ ปวโร ปวิโฎฺฐติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต เสณิภณฺฑนํ อารพฺภ กเถสิฯ โกสลรโญฺญ กิร เสวกา เสณิปมุขา เทฺว มหามตฺตา อญฺญมญฺญํ ทิฎฺฐฎฺฐาเน กลหํ กโรนฺติ, เตสํ เวริภาโว สกลนคเร ปากโฎ ชาโตฯ เต เนว ราชา, น ญาติมิตฺตา สมเคฺค กาตุํ สกฺขิํสุฯ อเถกทิวสํ สตฺถา ปจฺจูสสมเย โพธเนยฺยพนฺธเว โอโลเกโนฺต เตสํ อุภินฺนมฺปิ โสตาปตฺติมคฺคสฺส อุปนิสฺสยํ ทิสฺวา ปุนทิวเส เอกโกว สาวตฺถิยํ ปิณฺฑาย ปวิสิตฺวา เตสุ เอกสฺส เคหทฺวาเร อฎฺฐาสิฯ โส นิกฺขมิตฺวา ปตฺตํ คเหตฺวา สตฺถารํ อโนฺตนิเวสนํ ปเวเสตฺวา อาสนํ ปญฺญเปตฺวา นิสีทาเปสิฯ สตฺถา นิสีทิตฺวา ตสฺส เมตฺตาภาวนาย อานิสํสํ กเถตฺวา กลฺลจิตฺตตํ ญตฺวา สจฺจานิ ปกาเสสิ, โส สจฺจปริโยสาเน โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิฯ

    Idhūragānaṃ pavaro paviṭṭhoti idaṃ satthā jetavane viharanto seṇibhaṇḍanaṃ ārabbha kathesi. Kosalarañño kira sevakā seṇipamukhā dve mahāmattā aññamaññaṃ diṭṭhaṭṭhāne kalahaṃ karonti, tesaṃ veribhāvo sakalanagare pākaṭo jāto. Te neva rājā, na ñātimittā samagge kātuṃ sakkhiṃsu. Athekadivasaṃ satthā paccūsasamaye bodhaneyyabandhave olokento tesaṃ ubhinnampi sotāpattimaggassa upanissayaṃ disvā punadivase ekakova sāvatthiyaṃ piṇḍāya pavisitvā tesu ekassa gehadvāre aṭṭhāsi. So nikkhamitvā pattaṃ gahetvā satthāraṃ antonivesanaṃ pavesetvā āsanaṃ paññapetvā nisīdāpesi. Satthā nisīditvā tassa mettābhāvanāya ānisaṃsaṃ kathetvā kallacittataṃ ñatvā saccāni pakāsesi, so saccapariyosāne sotāpattiphale patiṭṭhahi.

    สตฺถา ตสฺส โสตาปนฺนภาวํ ญตฺวา ตเมว ปตฺตํ คาหาเปตฺวา อุฎฺฐาย อิตรสฺส เคหทฺวารํ อคมาสิฯ โสปิ นิกฺขมิตฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา ‘‘ปวิสถ, ภเนฺต’’ติ ฆรํ ปเวเสตฺวา นิสีทาเปสิฯ อิตโรปิ ปตฺตํ คเหตฺวา สตฺถารา สทฺธิํเยว ปาวิสิฯ สตฺถา ตสฺส เอกาทส เมตฺตานิสํเส วเณฺณตฺวา กลฺลจิตฺตตํ ญตฺวา สจฺจานิ ปกาเสสิ, สจฺจปริโยสาเน โสปิ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิฯ อิติ เต อุโภปิ โสตาปนฺนา หุตฺวา อญฺญมญฺญํ อจฺจยํ ทเสฺสตฺวา ขมาเปตฺวา สมคฺคา สโมฺมทมานา เอกชฺฌาสยา อเหสุํฯ ตํ ทิวสเญฺญว จ ภควโต สมฺมุขาว เอกโต ภุญฺชิํสุฯ สตฺถา ภตฺตกิจฺจํ นิฎฺฐาเปตฺวา วิหารํ อคมาสิฯ เต พหูนิ มาลาคนฺธวิเลปนานิ เจว สปฺปิมธุผาณิตาทีนิ จ อาทาย สตฺถารา สทฺธิํเยว นิกฺขมิํสุฯ สตฺถา ภิกฺขุสเงฺฆน วเตฺต ทสฺสิเต สุคโตวาทํ ทตฺวา คนฺธกุฎิํ ปาวิสิฯ

    Satthā tassa sotāpannabhāvaṃ ñatvā tameva pattaṃ gāhāpetvā uṭṭhāya itarassa gehadvāraṃ agamāsi. Sopi nikkhamitvā satthāraṃ vanditvā ‘‘pavisatha, bhante’’ti gharaṃ pavesetvā nisīdāpesi. Itaropi pattaṃ gahetvā satthārā saddhiṃyeva pāvisi. Satthā tassa ekādasa mettānisaṃse vaṇṇetvā kallacittataṃ ñatvā saccāni pakāsesi, saccapariyosāne sopi sotāpattiphale patiṭṭhahi. Iti te ubhopi sotāpannā hutvā aññamaññaṃ accayaṃ dassetvā khamāpetvā samaggā sammodamānā ekajjhāsayā ahesuṃ. Taṃ divasaññeva ca bhagavato sammukhāva ekato bhuñjiṃsu. Satthā bhattakiccaṃ niṭṭhāpetvā vihāraṃ agamāsi. Te bahūni mālāgandhavilepanāni ceva sappimadhuphāṇitādīni ca ādāya satthārā saddhiṃyeva nikkhamiṃsu. Satthā bhikkhusaṅghena vatte dassite sugatovādaṃ datvā gandhakuṭiṃ pāvisi.

    ภิกฺขู สายนฺหสมเย ธมฺมสภายํ สตฺถุ คุณกถํ สมุฎฺฐาเปสุํ ‘‘อาวุโส, สตฺถา อทนฺตทมโก, เย นาม เทฺว มหามเตฺต จิรํ วายมมาโนปิ เนว ราชา สมเคฺค กาตุํ สกฺขิ, น ญาติมิตฺตาทโย สกฺขิํสุ, เต เอกทิวเสเนว ตถาคเตน ทมิตา’’ติฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนวาหํ อิเม เทฺว ชเน สมเคฺค อกาสิํ, ปุเพฺพเปเต มยา สมคฺคา กตาเยวา’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ

    Bhikkhū sāyanhasamaye dhammasabhāyaṃ satthu guṇakathaṃ samuṭṭhāpesuṃ ‘‘āvuso, satthā adantadamako, ye nāma dve mahāmatte ciraṃ vāyamamānopi neva rājā samagge kātuṃ sakkhi, na ñātimittādayo sakkhiṃsu, te ekadivaseneva tathāgatena damitā’’ti. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘na, bhikkhave, idānevāhaṃ ime dve jane samagge akāsiṃ, pubbepete mayā samaggā katāyevā’’ti vatvā atītaṃ āhari.

    อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต พาราณสิยํ อุสฺสเว โฆสิเต มหาสมชฺชํ อโหสิฯ พหู มนุสฺสา เจว เทวนาคสุปณฺณาทโย จ สมชฺชทสฺสนตฺถํ สนฺนิปติํสุฯ ตเตฺรกสฺมิํ ฐาเน เอโก นาโค จ สุปโณฺณ จ สมชฺชํ ปสฺสมานา เอกโต อฎฺฐํสุฯ นาโค สุปณฺณสฺส สุปณฺณภาวํ อชานโนฺต อํเส หตฺถํ ฐเปสิฯ สุปโณฺณ ‘‘เกน เม อํเส หโตฺถ ฐปิโต’’ติ นิวตฺติตฺวา โอโลเกโนฺต นาคํ สญฺชานิฯ นาโคปิ โอโลเกโนฺต สุปณฺณํ สญฺชานิตฺวา มรณภยตชฺชิโต นครา นิกฺขมิตฺวา นทีปิเฎฺฐน ปลายิฯ สุปโณฺณปิ ‘‘ตํ คเหสฺสามี’’ติ อนุพนฺธิฯ ตสฺมิํ สมเย โพธิสโตฺต ตาปโส หุตฺวา ตสฺสา นทิยา ตีเร ปณฺณสาลาย วสมาโน ทิวา ทรถปฎิปฺปสฺสมฺภนตฺถํ อุทกสาฎิกํ นิวาเสตฺวา วกฺกลํ พหิ ฐเปตฺวา นทิํ โอตริตฺวา นฺหายติฯ นาโค ‘‘อิมํ ปพฺพชิตํ นิสฺสาย ชีวิตํ ลภิสฺสามี’’ติ ปกติวณฺณํ วิชหิตฺวา มณิกฺขนฺธวณฺณํ มาเปตฺวา วกฺกลนฺตรํ ปาวิสิฯ สุปโณฺณ อนุพนฺธมาโน ตํ ตตฺถ ปวิฎฺฐํ ทิสฺวา วกฺกเล ครุภาเวน อคฺคเหตฺวา โพธิสตฺตํ อามเนฺตตฺวา ‘‘ภเนฺต, อหํ ฉาโต, ตุมฺหากํ วกฺกลํ คณฺหถ, อิมํ นาคํ ขาทิสฺสามี’’ติ อิมมตฺถํ ปกาเสตุํ ปฐมํ คาถมาห –

    Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bārāṇasiyaṃ ussave ghosite mahāsamajjaṃ ahosi. Bahū manussā ceva devanāgasupaṇṇādayo ca samajjadassanatthaṃ sannipatiṃsu. Tatrekasmiṃ ṭhāne eko nāgo ca supaṇṇo ca samajjaṃ passamānā ekato aṭṭhaṃsu. Nāgo supaṇṇassa supaṇṇabhāvaṃ ajānanto aṃse hatthaṃ ṭhapesi. Supaṇṇo ‘‘kena me aṃse hattho ṭhapito’’ti nivattitvā olokento nāgaṃ sañjāni. Nāgopi olokento supaṇṇaṃ sañjānitvā maraṇabhayatajjito nagarā nikkhamitvā nadīpiṭṭhena palāyi. Supaṇṇopi ‘‘taṃ gahessāmī’’ti anubandhi. Tasmiṃ samaye bodhisatto tāpaso hutvā tassā nadiyā tīre paṇṇasālāya vasamāno divā darathapaṭippassambhanatthaṃ udakasāṭikaṃ nivāsetvā vakkalaṃ bahi ṭhapetvā nadiṃ otaritvā nhāyati. Nāgo ‘‘imaṃ pabbajitaṃ nissāya jīvitaṃ labhissāmī’’ti pakativaṇṇaṃ vijahitvā maṇikkhandhavaṇṇaṃ māpetvā vakkalantaraṃ pāvisi. Supaṇṇo anubandhamāno taṃ tattha paviṭṭhaṃ disvā vakkale garubhāvena aggahetvā bodhisattaṃ āmantetvā ‘‘bhante, ahaṃ chāto, tumhākaṃ vakkalaṃ gaṇhatha, imaṃ nāgaṃ khādissāmī’’ti imamatthaṃ pakāsetuṃ paṭhamaṃ gāthamāha –

    .

    7.

    ‘‘อิธูรคานํ ปวโร ปวิโฎฺฐ, เสลสฺส วเณฺณน ปโมกฺขมิจฺฉํ;

    ‘‘Idhūragānaṃ pavaro paviṭṭho, selassa vaṇṇena pamokkhamicchaṃ;

    พฺรหฺมญฺจ วณฺณํ อปจายมาโน, พุภุกฺขิโต โน วิตรามิ โภตฺตุ’’นฺติฯ

    Brahmañca vaṇṇaṃ apacāyamāno, bubhukkhito no vitarāmi bhottu’’nti.

    ตตฺถ อิธูรคานํ ปวโร ปวิโฎฺฐติ อิมสฺมิํ วกฺกเล อุรคานํ ปวโร นาคราชา ปวิโฎฺฐฯ เสลสฺส วเณฺณนาติ มณิวเณฺณน, มณิกฺขโนฺธ หุตฺวา ปวิโฎฺฐติ อโตฺถฯ ปโมกฺขมิจฺฉนฺติ มม สนฺติกา โมกฺขํ อิจฺฉมาโนฯ พฺรหฺมญฺจ วณฺณํ อปจายมาโนติ อหํ ปน ตุมฺหากํ พฺรหฺมวณฺณํ เสฎฺฐวณฺณํ ปูเชโนฺต ครุํ กโรโนฺตฯ พุภุกฺขิโต โน วิตรามิ โภตฺตุนฺติ เอตํ นาคํ วกฺกลนฺตรํ ปวิฎฺฐํ ฉาโตปิ สมาโน ภกฺขิตุํ น สโกฺกมีติฯ

    Tattha idhūragānaṃ pavaro paviṭṭhoti imasmiṃ vakkale uragānaṃ pavaro nāgarājā paviṭṭho. Selassa vaṇṇenāti maṇivaṇṇena, maṇikkhandho hutvā paviṭṭhoti attho. Pamokkhamicchanti mama santikā mokkhaṃ icchamāno. Brahmañca vaṇṇaṃ apacāyamānoti ahaṃ pana tumhākaṃ brahmavaṇṇaṃ seṭṭhavaṇṇaṃ pūjento garuṃ karonto. Bubhukkhito no vitarāmi bhottunti etaṃ nāgaṃ vakkalantaraṃ paviṭṭhaṃ chātopi samāno bhakkhituṃ na sakkomīti.

    โพธิสโตฺต อุทเก ฐิโตเยว สุปณฺณราชสฺส ถุติํ กตฺวา ทุติยํ คาถมาห –

    Bodhisatto udake ṭhitoyeva supaṇṇarājassa thutiṃ katvā dutiyaṃ gāthamāha –

    .

    8.

    ‘‘โส พฺรหฺมคุโตฺต จิรเมว ชีว, ทิพฺยา จ เต ปาตุภวนฺตุ ภกฺขา;

    ‘‘So brahmagutto cirameva jīva, dibyā ca te pātubhavantu bhakkhā;

    โย พฺรหฺมวณฺณํ อปจายมาโน, พุภุกฺขิโต โน วิตราสิ โภตฺตุ’’นฺติฯ

    Yo brahmavaṇṇaṃ apacāyamāno, bubhukkhito no vitarāsi bhottu’’nti.

    ตตฺถ โส พฺรหฺมคุโตฺตติ โส ตฺวํ พฺรหฺมโคปิโต พฺรหฺมรกฺขิโต หุตฺวาฯ ทิพฺยา จ เต ปาตุภวนฺตุ ภกฺขาติ เทวตานํ ปริโภคารหา ภกฺขา จ ตว ปาตุภวนฺตุ, มา ปาณาติปาตํ กตฺวา นาคมํสขาทโก อโหสิฯ

    Tattha so brahmaguttoti so tvaṃ brahmagopito brahmarakkhito hutvā. Dibyā ca te pātubhavantu bhakkhāti devatānaṃ paribhogārahā bhakkhā ca tava pātubhavantu, mā pāṇātipātaṃ katvā nāgamaṃsakhādako ahosi.

    อิติ โพธิสโตฺต อุทเก ฐิโตว อนุโมทนํ กตฺวา อุตฺตริตฺวา วกฺกลํ นิวาเสตฺวา เต อุโภปิ คเหตฺวา อสฺสมปทํ คนฺตฺวา เมตฺตาภาวนาย วณฺณํ กเถตฺวา เทฺวปิ ชเน สมเคฺค อกาสิฯ เต ตโต ปฎฺฐาย สมคฺคา สโมฺมทมานา สุขํ วสิํสุฯ

    Iti bodhisatto udake ṭhitova anumodanaṃ katvā uttaritvā vakkalaṃ nivāsetvā te ubhopi gahetvā assamapadaṃ gantvā mettābhāvanāya vaṇṇaṃ kathetvā dvepi jane samagge akāsi. Te tato paṭṭhāya samaggā sammodamānā sukhaṃ vasiṃsu.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา นาโค จ สุปโณฺณ จ อิเม เทฺว มหามตฺตา อเหสุํ, ตาปโส ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā nāgo ca supaṇṇo ca ime dve mahāmattā ahesuṃ, tāpaso pana ahameva ahosi’’nti.

    อุรคชาตกวณฺณนา จตุตฺถาฯ

    Uragajātakavaṇṇanā catutthā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๑๕๔. อุรคชาตก • 154. Uragajātaka


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact