Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๓๕๔] ๔. อุรคชาตกวณฺณนา

    [354] 4. Uragajātakavaṇṇanā

    อุรโคว ตจํ ชิณฺณนฺติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต มตปุตฺตกํ กุฎุมฺพิกํ อารพฺภ กเถสิฯ วตฺถุ ปน มตภริยมตปิติกวตฺถุสทิสเมวฯ อิธาปิ ตเถว สตฺถา ตสฺส นิเวสนํ คนฺตฺวา ตํ อาคนฺตฺวา วนฺทิตฺวา นิสินฺนํ ‘‘กิํ, อาวุโส, โสจสี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อาม, ภเนฺต , ปุตฺตสฺส เม มตกาลโต ปฎฺฐาย โสจามี’’ติ วุเตฺต ‘‘อาวุโส, ภิชฺชนธมฺมํ นาม ภิชฺชติ, นสฺสนธมฺมํ นาม นสฺสติ, ตญฺจ โข น เอกสฺมิํเยว กุเล, นาปิ เอกสฺมิเญฺญว คาเม, อถ โข อปริมาเณสุ จกฺกวาเฬสุ ตีสุ ภเวสุ อมรณธโมฺม นาม นตฺถิ, ตพฺภาเวเนว ฐาตุํ สมโตฺถ เอกสงฺขาโรปิ สสฺสโต นาม นตฺถิ, สเพฺพ สตฺตา มรณธมฺมา, สเพฺพ สงฺขารา ภิชฺชนธมฺมา, โปราณกปณฺฑิตาปิ ปุเตฺต มเต ‘มรณธมฺมํ มตํ, นสฺสนธมฺมํ นฎฺฐ’นฺติ น โสจิํสู’’ติ วตฺวา เตน ยาจิโต อตีตํ อาหริฯ

    Uragovatacaṃ jiṇṇanti idaṃ satthā jetavane viharanto mataputtakaṃ kuṭumbikaṃ ārabbha kathesi. Vatthu pana matabhariyamatapitikavatthusadisameva. Idhāpi tatheva satthā tassa nivesanaṃ gantvā taṃ āgantvā vanditvā nisinnaṃ ‘‘kiṃ, āvuso, socasī’’ti pucchitvā ‘‘āma, bhante , puttassa me matakālato paṭṭhāya socāmī’’ti vutte ‘‘āvuso, bhijjanadhammaṃ nāma bhijjati, nassanadhammaṃ nāma nassati, tañca kho na ekasmiṃyeva kule, nāpi ekasmiññeva gāme, atha kho aparimāṇesu cakkavāḷesu tīsu bhavesu amaraṇadhammo nāma natthi, tabbhāveneva ṭhātuṃ samattho ekasaṅkhāropi sassato nāma natthi, sabbe sattā maraṇadhammā, sabbe saṅkhārā bhijjanadhammā, porāṇakapaṇḍitāpi putte mate ‘maraṇadhammaṃ mataṃ, nassanadhammaṃ naṭṭha’nti na sociṃsū’’ti vatvā tena yācito atītaṃ āhari.

    อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต พาราณสิยํ ทฺวารคามเก พฺราหฺมณกุเล นิพฺพตฺติตฺวา กุฎุมฺพํ สณฺฐเปตฺวา กสิกเมฺมน ชีวิกํ กเปฺปสิฯ ตสฺส ปุโตฺต จ ธีตา จาติ เทฺว ทารกา อเหสุํฯ โส ปุตฺตสฺส วยปฺปตฺตสฺส สมานกุลโต กุมาริกํ อาหริตฺวา อทาสิ, อิติ เต ทาสิยา สทฺธิํ ฉ ชนา อเหสุํ – โพธิสโตฺต, ภริยา, ปุโตฺต, ธีตา, สุณิสา, ทาสีติฯ เต สมคฺคา สโมฺมทมานา ปิยสํวาสา อเหสุํฯ โพธิสโตฺต เสสานํ ปญฺจนฺนํ เอวํ โอวาทํ เทติ ‘‘ตุเมฺห ยถาลทฺธนิยาเมเนว ทานํ เทถ, สีลํ รกฺขถ, อุโปสถกมฺมํ กโรถ, มรณสฺสติํ ภาเวถ, ตุมฺหากํ มรณภาวํ สลฺลเกฺขถ, อิเมสญฺหิ สตฺตานํ มรณํ ธุวํ, ชีวิตํ อทฺธุวํ, สเพฺพ สงฺขารา อนิจฺจา ขยวยธมฺมิโนว, รตฺติญฺจ ทิวา จ อปฺปมตฺตา โหถา’’ติฯ เต ‘‘สาธู’’ติ โอวาทํ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา อปฺปมตฺตา มรณสฺสติํ ภาเวนฺติฯ

    Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto bārāṇasiyaṃ dvāragāmake brāhmaṇakule nibbattitvā kuṭumbaṃ saṇṭhapetvā kasikammena jīvikaṃ kappesi. Tassa putto ca dhītā cāti dve dārakā ahesuṃ. So puttassa vayappattassa samānakulato kumārikaṃ āharitvā adāsi, iti te dāsiyā saddhiṃ cha janā ahesuṃ – bodhisatto, bhariyā, putto, dhītā, suṇisā, dāsīti. Te samaggā sammodamānā piyasaṃvāsā ahesuṃ. Bodhisatto sesānaṃ pañcannaṃ evaṃ ovādaṃ deti ‘‘tumhe yathāladdhaniyāmeneva dānaṃ detha, sīlaṃ rakkhatha, uposathakammaṃ karotha, maraṇassatiṃ bhāvetha, tumhākaṃ maraṇabhāvaṃ sallakkhetha, imesañhi sattānaṃ maraṇaṃ dhuvaṃ, jīvitaṃ addhuvaṃ, sabbe saṅkhārā aniccā khayavayadhamminova, rattiñca divā ca appamattā hothā’’ti. Te ‘‘sādhū’’ti ovādaṃ sampaṭicchitvā appamattā maraṇassatiṃ bhāventi.

    อเถกทิวสํ โพธิสโตฺต ปุเตฺตน สทฺธิํ เขตฺตํ คนฺตฺวา กสติฯ ปุโตฺต กจวรํ สงฺกฑฺฒิตฺวา ฌาเปติฯ ตสฺสาวิทูเร เอกสฺมิํ วมฺมิเก อาสีวิโส อตฺถิฯ ธูโม ตสฺส อกฺขีนิ ปหริฯ โส กุโทฺธ นิกฺขมิตฺวา ‘‘อิมํ นิสฺสาย มยฺหํ ภย’’นฺติ จตโสฺส ทาฐา นิมุชฺชาเปโนฺต ตํ ฑํสิ, โส ปริวตฺติตฺวา ปติโตฯ โพธิสโตฺต ปริวตฺติตฺวา ตํ ปติตํ ทิสฺวา โคเณ ฐเปตฺวา คนฺตฺวา ตสฺส มตภาวํ ญตฺวา ตํ อุกฺขิปิตฺวา เอกสฺมิํ รุกฺขมูเล นิปชฺชาเปตฺวา ปารุปิตฺวา เนว โรทิ น ปริเทวิ – ‘‘ภิชฺชนธมฺมํ ปน ภินฺนํ, มรณธมฺมํ มตํ, สเพฺพ สงฺขารา อนิจฺจา มรณนิปฺผตฺติกา’’ติ อนิจฺจภาวเมว สลฺลเกฺขตฺวา กสิฯ โส เขตฺตสมีเปน คจฺฉนฺตํ เอกํ ปฎิวิสฺสกํ ปุริสํ ทิสฺวา ‘‘ตาต, เคหํ คจฺฉสี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อามา’’ติ วุเตฺต เตน หิ อมฺหากมฺปิ ฆรํ คนฺตฺวา พฺราหฺมณิํ วเทยฺยาสิ ‘‘อชฺช กิร ปุเพฺพ วิย ทฺวินฺนํ ภตฺตํ อนาหริตฺวา เอกเสฺสวาหารํ อาหเรยฺยาถ, ปุเพฺพ จ เอกิกาว ทาสี อาหารํ อาหรติ, อชฺช ปน จตฺตาโรปิ ชนา สุทฺธวตฺถนิวตฺถา คนฺธปุปฺผหตฺถา อาคเจฺฉยฺยาถา’’ติฯ โส ‘‘สาธู’’ติ คนฺตฺวา พฺราหฺมณิยา ตเถว กเถสิฯ เกน เต, ตาต, อิมํ สาสนํ ทินฺนนฺติฯ พฺราหฺมเณน , อเยฺยติฯ สา ‘‘ปุโตฺต เม มโต’’ติ อญฺญาสิ, กมฺปนมตฺตมฺปิสฺสา นาโหสิฯ เอวํ สุภาวิตจิตฺตา สุทฺธวตฺถนิวตฺถา คนฺธปุปฺผหตฺถา ทาสิํ ปน อาหารํ อาหราเปตฺวา เสเสหิ สทฺธิํ เขตฺตํ อคมาสิฯ เอกสฺสปิ โรทิตํ วา ปริเทวิตํ วา นาโหสิฯ

    Athekadivasaṃ bodhisatto puttena saddhiṃ khettaṃ gantvā kasati. Putto kacavaraṃ saṅkaḍḍhitvā jhāpeti. Tassāvidūre ekasmiṃ vammike āsīviso atthi. Dhūmo tassa akkhīni pahari. So kuddho nikkhamitvā ‘‘imaṃ nissāya mayhaṃ bhaya’’nti catasso dāṭhā nimujjāpento taṃ ḍaṃsi, so parivattitvā patito. Bodhisatto parivattitvā taṃ patitaṃ disvā goṇe ṭhapetvā gantvā tassa matabhāvaṃ ñatvā taṃ ukkhipitvā ekasmiṃ rukkhamūle nipajjāpetvā pārupitvā neva rodi na paridevi – ‘‘bhijjanadhammaṃ pana bhinnaṃ, maraṇadhammaṃ mataṃ, sabbe saṅkhārā aniccā maraṇanipphattikā’’ti aniccabhāvameva sallakkhetvā kasi. So khettasamīpena gacchantaṃ ekaṃ paṭivissakaṃ purisaṃ disvā ‘‘tāta, gehaṃ gacchasī’’ti pucchitvā ‘‘āmā’’ti vutte tena hi amhākampi gharaṃ gantvā brāhmaṇiṃ vadeyyāsi ‘‘ajja kira pubbe viya dvinnaṃ bhattaṃ anāharitvā ekassevāhāraṃ āhareyyātha, pubbe ca ekikāva dāsī āhāraṃ āharati, ajja pana cattāropi janā suddhavatthanivatthā gandhapupphahatthā āgaccheyyāthā’’ti. So ‘‘sādhū’’ti gantvā brāhmaṇiyā tatheva kathesi. Kena te, tāta, imaṃ sāsanaṃ dinnanti. Brāhmaṇena , ayyeti. Sā ‘‘putto me mato’’ti aññāsi, kampanamattampissā nāhosi. Evaṃ subhāvitacittā suddhavatthanivatthā gandhapupphahatthā dāsiṃ pana āhāraṃ āharāpetvā sesehi saddhiṃ khettaṃ agamāsi. Ekassapi roditaṃ vā paridevitaṃ vā nāhosi.

    โพธิสโตฺต ปุตฺตสฺส นิปนฺนฉายายเมว นิสีทิตฺวา ภุญฺชิฯ ภุตฺตาวสาเน สเพฺพปิ ทารูนิ อุทฺธริตฺวา ตํ จิตกํ อาโรเปตฺวา คนฺธปุเปฺผหิ ปูเชตฺวา ฌาเปสุํฯ เอกสฺส จ เอกพินฺทุปิ อสฺสุ นาโหสิ, สเพฺพปิ สุภาวิตมรณสฺสติโน โหนฺติฯ เตสํ สีลเตเชน สกฺกสฺส อาสนํ อุณฺหาการํ ทเสฺสสิฯ โส ‘‘โก นุ โข มํ ฐานา จาเวตุกาโม’’ติ อุปธาเรโนฺต เตสํ คุณเตเชน อุณฺหภาวํ ญตฺวา ปสนฺนมานโส หุตฺวา ‘‘มยา เอเตสํ สนฺติกํ คนฺตฺวา สีหนาทํ นทาเปตฺวา สีหนาทปริโยสาเน เอเตสํ นิเวสนํ สตฺตรตนปริปุณฺณํ กตฺวา อาคนฺตุํ วฎฺฎตี’’ติ เวเคน ตตฺถ คนฺตฺวา อาฬาหนปเสฺส ฐิโต ‘‘ตาต, กิํ กโรถา’’ติ อาหฯ ‘‘เอกํ มนุสฺสํ ฌาเปม, สามี’’ติฯ ‘‘น ตุเมฺห มนุสฺสํ ฌาเปสฺสถ, เอกํ ปน มิคํ มาเรตฺวา ปจถ มเญฺญ’’ติฯ ‘‘นเตฺถตํ สามิ, มนุสฺสเมว ฌาเปมา’’ติฯ ‘‘เตน หิ เวริมนุโสฺส โว ภวิสฺสตี’’ติฯ อถ นํ โพธิสโตฺต ‘‘โอรสปุโตฺต โน สามิ, น เวริโก’’ติ อาหฯ ‘‘เตน หิ โว อปฺปิยปุโตฺต ภวิสฺสตี’’ติ? ‘‘อติวิย ปิยปุโตฺต, สามี’’ติฯ ‘‘อถ กสฺมา น โรทสี’’ติ? โส อโรทนการณํ กเถโนฺต ปฐมํ คาถมาห –

    Bodhisatto puttassa nipannachāyāyameva nisīditvā bhuñji. Bhuttāvasāne sabbepi dārūni uddharitvā taṃ citakaṃ āropetvā gandhapupphehi pūjetvā jhāpesuṃ. Ekassa ca ekabindupi assu nāhosi, sabbepi subhāvitamaraṇassatino honti. Tesaṃ sīlatejena sakkassa āsanaṃ uṇhākāraṃ dassesi. So ‘‘ko nu kho maṃ ṭhānā cāvetukāmo’’ti upadhārento tesaṃ guṇatejena uṇhabhāvaṃ ñatvā pasannamānaso hutvā ‘‘mayā etesaṃ santikaṃ gantvā sīhanādaṃ nadāpetvā sīhanādapariyosāne etesaṃ nivesanaṃ sattaratanaparipuṇṇaṃ katvā āgantuṃ vaṭṭatī’’ti vegena tattha gantvā āḷāhanapasse ṭhito ‘‘tāta, kiṃ karothā’’ti āha. ‘‘Ekaṃ manussaṃ jhāpema, sāmī’’ti. ‘‘Na tumhe manussaṃ jhāpessatha, ekaṃ pana migaṃ māretvā pacatha maññe’’ti. ‘‘Natthetaṃ sāmi, manussameva jhāpemā’’ti. ‘‘Tena hi verimanusso vo bhavissatī’’ti. Atha naṃ bodhisatto ‘‘orasaputto no sāmi, na veriko’’ti āha. ‘‘Tena hi vo appiyaputto bhavissatī’’ti? ‘‘Ativiya piyaputto, sāmī’’ti. ‘‘Atha kasmā na rodasī’’ti? So arodanakāraṇaṃ kathento paṭhamaṃ gāthamāha –

    ๑๙.

    19.

    ‘‘อุรโคว ตจํ ชิณฺณํ, หิตฺวา คจฺฉติ สํ ตนุํ;

    ‘‘Uragova tacaṃ jiṇṇaṃ, hitvā gacchati saṃ tanuṃ;

    เอวํ สรีเร นิโพฺภเค, เปเต กาลกเต สติฯ

    Evaṃ sarīre nibbhoge, pete kālakate sati.

    ๒๐.

    20.

    ‘‘ฑยฺหมาโน น ชานาติ, ญาตีนํ ปริเทวิตํ;

    ‘‘Ḍayhamāno na jānāti, ñātīnaṃ paridevitaṃ;

    ตสฺมา เอตํ น โสจามิ, คโต โส ตสฺส ยา คตี’’ติฯ

    Tasmā etaṃ na socāmi, gato so tassa yā gatī’’ti.

    ตตฺถ สํ ตนุนฺติ อตฺตโน สรีรํฯ นิโพฺภเคติ ชีวิตินฺทฺริยสฺส อภาเวน โภครหิเตฯ เปเตติ ปรโลกํ ปฎิคเตฯ กาลกเตติ กตกาเล, มเตติ อโตฺถฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – สามิ, มม ปุโตฺต ยถา นาม อุรโค ชิณฺณตจํ นิจฺฉินฺทิตฺวา อโนโลเกตฺวา อนเปโกฺข ฉเฑฺฑตฺวา คเจฺฉยฺย, เอวํ อตฺตโน สรีรํ ฉเฑฺฑตฺวา คจฺฉติ, ตสฺส ชีวิตินฺทฺริยรหิเต สรีเร เอวํ นิโพฺภเค ตสฺมิญฺจ เม ปุเตฺต เปเต ปุน ปฎิคเต มรณกาลํ กตฺวา ฐิเต สติ โก การุเญฺญน วา ปริเทเวน วา อโตฺถฯ อยญฺหิ ยถา สูเลหิ วิชฺฌิตฺวา ฑยฺหมาโน สุขทุกฺขํ น ชานาติ, เอวํ ญาตีนํ ปริเทวิตมฺปิ น ชานาติ, เตน การเณนาหํ เอตํ น โสจามิฯ ยา ตสฺส อตฺตโน คติ, ตํ โส คโตติฯ

    Tattha saṃ tanunti attano sarīraṃ. Nibbhogeti jīvitindriyassa abhāvena bhogarahite. Peteti paralokaṃ paṭigate. Kālakateti katakāle, mateti attho. Idaṃ vuttaṃ hoti – sāmi, mama putto yathā nāma urago jiṇṇatacaṃ nicchinditvā anoloketvā anapekkho chaḍḍetvā gaccheyya, evaṃ attano sarīraṃ chaḍḍetvā gacchati, tassa jīvitindriyarahite sarīre evaṃ nibbhoge tasmiñca me putte pete puna paṭigate maraṇakālaṃ katvā ṭhite sati ko kāruññena vā paridevena vā attho. Ayañhi yathā sūlehi vijjhitvā ḍayhamāno sukhadukkhaṃ na jānāti, evaṃ ñātīnaṃ paridevitampi na jānāti, tena kāraṇenāhaṃ etaṃ na socāmi. Yā tassa attano gati, taṃ so gatoti.

    สโกฺก โพธิสตฺตสฺส วจนํ สุตฺวา พฺราหฺมณิํ ปุจฺฉิ ‘‘อมฺม, ตุยฺหํ โส กิํ โหตี’’ติ? ‘‘ทส มาเส กุจฺฉินา ปริหริตฺวา ถญฺญํ ปาเยตฺวา หตฺถปาเท สณฺฐเปตฺวา วฑฺฒิตปุโตฺต เม, สามี’’ติฯ ‘‘อมฺม, ปิตา ตาว ปุริสภาเวน มา โรทตุ, มาตุ หทยํ ปน มุทุกํ โหติ, ตฺวํ กสฺมา น โรทสี’’ติ? สา อโรทนการณํ กเถนฺตี –

    Sakko bodhisattassa vacanaṃ sutvā brāhmaṇiṃ pucchi ‘‘amma, tuyhaṃ so kiṃ hotī’’ti? ‘‘Dasa māse kucchinā pariharitvā thaññaṃ pāyetvā hatthapāde saṇṭhapetvā vaḍḍhitaputto me, sāmī’’ti. ‘‘Amma, pitā tāva purisabhāvena mā rodatu, mātu hadayaṃ pana mudukaṃ hoti, tvaṃ kasmā na rodasī’’ti? Sā arodanakāraṇaṃ kathentī –

    ๒๑.

    21.

    ‘‘อนวฺหิโต ตโต อาคา, อนนุญฺญาโต อิโต คโต;

    ‘‘Anavhito tato āgā, ananuññāto ito gato;

    ยถาคโต ตถา คโต, ตตฺถ กา ปริเทวนาฯ

    Yathāgato tathā gato, tattha kā paridevanā.

    ๒๒.

    22.

    ‘‘ฑยฺหมาโน น ชานาติ, ญาตีนํ ปริเทวิตํ;

    ‘‘Ḍayhamāno na jānāti, ñātīnaṃ paridevitaṃ;

    ตสฺมา เอตํ น โสจามิ, คโต โส ตสฺส ยา คตี’’ติฯ – คาถาทฺวยมาห –

    Tasmā etaṃ na socāmi, gato so tassa yā gatī’’ti. – gāthādvayamāha –

    ตตฺถ อนวฺหิโตติ อยํ ตาต มยา ปรโลกโต อนวฺหิโต อยาจิโตฯ อาคาติ อมฺหากํ เคหํ อาคโตฯ อิโตติ อิโต มนุสฺสโลกโต คจฺฉโนฺตปิ มยา อนนุญฺญาโตว คโตฯ ยถาคโตติ อาคจฺฉโนฺตปิ ยถา อตฺตโนว รุจิยา อาคโต, คจฺฉโนฺตปิ ตเถว คโตฯ ตตฺถาติ ตสฺมิํ ตสฺส อิโต คมเน กา ปริเทวนาฯ ฑยฺหมาโนติ คาถา วุตฺตนเยน เวทิตพฺพาฯ

    Tattha anavhitoti ayaṃ tāta mayā paralokato anavhito ayācito. Āgāti amhākaṃ gehaṃ āgato. Itoti ito manussalokato gacchantopi mayā ananuññātova gato. Yathāgatoti āgacchantopi yathā attanova ruciyā āgato, gacchantopi tatheva gato. Tatthāti tasmiṃ tassa ito gamane kā paridevanā. Ḍayhamānoti gāthā vuttanayena veditabbā.

    สโกฺก พฺราหฺมณิยา กถํ สุตฺวา ตสฺส ภคินิํ ปุจฺฉิ ‘‘อมฺม, ตุยฺหํ โส กิํ โหตี’’ติ? ‘‘ภาตา เม, สามี’’ติฯ ‘‘อมฺม, ภคินิโย นาม ภาตูสุ สิเนหา โหนฺติ, ตฺวํ กสฺมา น โรทสี’’ติ? สา อโรทนการณํ กเถนฺตี –

    Sakko brāhmaṇiyā kathaṃ sutvā tassa bhaginiṃ pucchi ‘‘amma, tuyhaṃ so kiṃ hotī’’ti? ‘‘Bhātā me, sāmī’’ti. ‘‘Amma, bhaginiyo nāma bhātūsu sinehā honti, tvaṃ kasmā na rodasī’’ti? Sā arodanakāraṇaṃ kathentī –

    ๒๓.

    23.

    ‘‘สเจ โรเท กิสา อสฺสํ, ตสฺสา เม กิํ ผลํ สิยา;

    ‘‘Sace rode kisā assaṃ, tassā me kiṃ phalaṃ siyā;

    ญาติมิตฺตสุหชฺชานํ, ภิโยฺย โน อรตี สิยาฯ

    Ñātimittasuhajjānaṃ, bhiyyo no aratī siyā.

    ๒๔.

    24.

    ฑยฺหมาโน น ชานาติ, ญาตีนํ ปริเทวิตํ;

    Ḍayhamāno na jānāti, ñātīnaṃ paridevitaṃ;

    ตสฺมา เอตํ น โสจามิ, คโต โส ตสฺส ยา คตี’’ติฯ – คาถาทฺวยมาห –

    Tasmā etaṃ na socāmi, gato so tassa yā gatī’’ti. – gāthādvayamāha –

    ตตฺถ สเจติ ยทิ อหํ ภาตริ มเต โรเทยฺยํ, กิสสรีรา อสฺสํฯ ภาตุ ปน เม ตปฺปจฺจยา วุฑฺฒิ นาม นตฺถีติ ทเสฺสติฯ ตสฺสา เมติ ตสฺสา มยฺหํ โรทนฺติยา กิํ ผลํ โก อานิสํโส ภเวยฺยฯ มยฺหํ อวุทฺธิ ปน ปญฺญายตีติ ทีเปติฯ ญาติมิตฺตสุหชฺชานนฺติ ญาติมิตฺตสุหทานํ ฯ อยเมว วา ปาโฐฯ ภิโยฺย โนติ เย อมฺหากํ ญาตี จ มิตฺตา จ สุหทยา จ, เตสํ อธิกตรา อรติ สิยาฯ

    Tattha saceti yadi ahaṃ bhātari mate rodeyyaṃ, kisasarīrā assaṃ. Bhātu pana me tappaccayā vuḍḍhi nāma natthīti dasseti. Tassā meti tassā mayhaṃ rodantiyā kiṃ phalaṃ ko ānisaṃso bhaveyya. Mayhaṃ avuddhi pana paññāyatīti dīpeti. Ñātimittasuhajjānanti ñātimittasuhadānaṃ . Ayameva vā pāṭho. Bhiyyo noti ye amhākaṃ ñātī ca mittā ca suhadayā ca, tesaṃ adhikatarā arati siyā.

    สโกฺก ภคินิยา กถํ สุตฺวา ภริยํ ปุจฺฉิ ‘‘อมฺม, ตุยฺหํ โส กิํ โหตี’’ติ? ‘‘ปติ เม, สามี’’ติฯ ‘‘อิตฺถิโย นาม ปติมฺหิ มเต วิธวา โหนฺติ อนาถา, ตฺวํ กสฺมา น โรทสี’’ติฯ สาปิสฺส อโรทนการณํ กเถนฺตี –

    Sakko bhaginiyā kathaṃ sutvā bhariyaṃ pucchi ‘‘amma, tuyhaṃ so kiṃ hotī’’ti? ‘‘Pati me, sāmī’’ti. ‘‘Itthiyo nāma patimhi mate vidhavā honti anāthā, tvaṃ kasmā na rodasī’’ti. Sāpissa arodanakāraṇaṃ kathentī –

    ๒๕.

    25.

    ‘‘ยถาปิ ทารโก จนฺทํ, คจฺฉนฺตมนุโรทติ;

    ‘‘Yathāpi dārako candaṃ, gacchantamanurodati;

    เอวํสมฺปทเมเวตํ, โย เปตมนุโสจติฯ

    Evaṃsampadamevetaṃ, yo petamanusocati.

    ๒๖.

    26.

    ‘‘ฑยฺหมาโน น ชานาติ, ญาตีนํ ปริเทวิตํ;

    ‘‘Ḍayhamāno na jānāti, ñātīnaṃ paridevitaṃ;

    ตสฺมา เอตํ น โสจามิ, คโต โส ตสฺส ยา คตี’’ติฯ – คาถาทฺวยมาห –

    Tasmā etaṃ na socāmi, gato so tassa yā gatī’’ti. – gāthādvayamāha –

    ตสฺสโตฺถ – ยถา นาม ยตฺถ กตฺถจิ ยุตฺตายุตฺตํ ลพฺภนียาลพฺภนียํ อชานโนฺต พาลทารโก มาตุ อุจฺฉเงฺค นิสิโนฺน ปุณฺณมาสิยํ ปุณฺณํ จนฺทํ อากาเส คจฺฉนฺตํ ทิสฺวา ‘‘อมฺม, จนฺทํ เม เทหิ, อมฺม, จนฺทํ เม เทหี’’ติ ปุนปฺปุนํ โรทติ, เอวํสมฺปทเมเวตํ, เอวํนิปฺผตฺติกเมว เอตํ ตสฺส รุณฺณํ โหติ, โย เปตํ กาลกตํ อนุโสจติฯ อิโตปิ จ พาลตรํฯ กิํการณา? โส หิ วิชฺชมานจนฺทํ อนุโรทติ, มยฺหํ ปน ปติ มโต เอตรหิ อวิชฺชมาโน สูเลหิ วิชฺฌิตฺวา ฑยฺหมาโนปิ น กิญฺจิ ชานาตีติฯ

    Tassattho – yathā nāma yattha katthaci yuttāyuttaṃ labbhanīyālabbhanīyaṃ ajānanto bāladārako mātu ucchaṅge nisinno puṇṇamāsiyaṃ puṇṇaṃ candaṃ ākāse gacchantaṃ disvā ‘‘amma, candaṃ me dehi, amma, candaṃ me dehī’’ti punappunaṃ rodati, evaṃsampadamevetaṃ, evaṃnipphattikameva etaṃ tassa ruṇṇaṃ hoti, yo petaṃ kālakataṃ anusocati. Itopi ca bālataraṃ. Kiṃkāraṇā? So hi vijjamānacandaṃ anurodati, mayhaṃ pana pati mato etarahi avijjamāno sūlehi vijjhitvā ḍayhamānopi na kiñci jānātīti.

    สโกฺก ภริยาย วจนํ สุตฺวา ทาสิํ ปุจฺฉิ ‘‘อมฺม, ตุยฺหํ โส กิํ โหตี’’ติ? ‘‘อโยฺย เม, สามี’’ติฯ ‘‘นนุ ตฺวํ อิมินา ปีเฬตฺวา โปเถตฺวา ปริภุตฺตา ภวิสฺสสิ, ตสฺมา ‘‘สุมุตฺตา อห’’นฺติ น โรทสี’’ติฯ ‘สามิ, มา เอวํ อวจ, น เอตํ เอตสฺส อนุจฺฉวิกํ, ขนฺติเมตฺตานุทฺทยสมฺปโนฺน เม อยฺยปุโตฺต, อุเร สํวฑฺฒิตปุโตฺต วิย อโหสี’ติฯ ‘‘อถ กสฺมา น โรทสี’’ติ? สาปิสฺส อโรทนการณํ กเถนฺตี –

    Sakko bhariyāya vacanaṃ sutvā dāsiṃ pucchi ‘‘amma, tuyhaṃ so kiṃ hotī’’ti? ‘‘Ayyo me, sāmī’’ti. ‘‘Nanu tvaṃ iminā pīḷetvā pothetvā paribhuttā bhavissasi, tasmā ‘‘sumuttā aha’’nti na rodasī’’ti. ‘Sāmi, mā evaṃ avaca, na etaṃ etassa anucchavikaṃ, khantimettānuddayasampanno me ayyaputto, ure saṃvaḍḍhitaputto viya ahosī’ti. ‘‘Atha kasmā na rodasī’’ti? Sāpissa arodanakāraṇaṃ kathentī –

    ๒๗.

    27.

    ‘‘ยถาปิ อุทกกุโมฺภ, ภิโนฺน อปฺปฎิสนฺธิโย;

    ‘‘Yathāpi udakakumbho, bhinno appaṭisandhiyo;

    เอวํสมฺปทเมเวตํ, โย เปตมนุโสจติฯ

    Evaṃsampadamevetaṃ, yo petamanusocati.

    ๒๘.

    28.

    ‘‘ฑยฺหมาโน น ชานาติ, ญาตีนํ ปริเทวิตํ;

    ‘‘Ḍayhamāno na jānāti, ñātīnaṃ paridevitaṃ;

    ตสฺมา เอตํ น โสจามิ, คโต โส ตสฺส ยา คตี’’ติฯ – คาถาทฺวยมาห –

    Tasmā etaṃ na socāmi, gato so tassa yā gatī’’ti. – gāthādvayamāha –

    ตสฺสโตฺถ – ยถา นาม อุทกกุโมฺภ อุกฺขิปิยมาโน ปติตฺวา สตฺตธา ภิโนฺน ปุน ตานิ กปาลานิ ปฎิปาฎิยา ฐเปตฺวา สํวิทหิตฺวา ปฎิปากติกํ กาตุํ น สโกฺกติ, โย เปตมนุโสจติ, ตสฺสปิ เอตมนุโสจนํ เอวํนิปฺผตฺติกเมว โหติ, มตสฺส ปุน ชีวาเปตุํ อสกฺกุเณยฺยตฺตา อิทฺธิมโต วา อิทฺธานุภาเวน ภินฺนํ กุมฺภํ สํวิทหิตฺวา อุทกสฺส ปูเรตุํ สกฺกา ภเวยฺย, กาลกโต ปน อิทฺธิพเลนาปิ น สกฺกา ปฎิปากติตํ กาตุนฺติฯ อิตรา คาถา วุตฺตตฺถาเยวฯ

    Tassattho – yathā nāma udakakumbho ukkhipiyamāno patitvā sattadhā bhinno puna tāni kapālāni paṭipāṭiyā ṭhapetvā saṃvidahitvā paṭipākatikaṃ kātuṃ na sakkoti, yo petamanusocati, tassapi etamanusocanaṃ evaṃnipphattikameva hoti, matassa puna jīvāpetuṃ asakkuṇeyyattā iddhimato vā iddhānubhāvena bhinnaṃ kumbhaṃ saṃvidahitvā udakassa pūretuṃ sakkā bhaveyya, kālakato pana iddhibalenāpi na sakkā paṭipākatitaṃ kātunti. Itarā gāthā vuttatthāyeva.

    สโกฺก สเพฺพสํ ธมฺมกถํ สุตฺวา ปสีทิตฺวา ‘‘ตุเมฺหหิ อปฺปมเตฺตหิ มรณสฺสติ ภาวิตา, ตุเมฺห อิโต ปฎฺฐาย สหเตฺถน กมฺมํ มา กริตฺถ, อหํ, สโกฺก เทวราชา, อหํ โว เคเห สตฺต รตนานิ อปริมาณานิ กริสฺสามิ, ตุเมฺห ทานํ เทถ , สีลํ รกฺขถ, อุโปสถกมฺมํ กโรถ, อปฺปมตฺตา โหถา’’ติ เตสํ โอวาทํ ทตฺวา เคหํ อปริมิตธนํ กตฺวา ปกฺกามิฯ

    Sakko sabbesaṃ dhammakathaṃ sutvā pasīditvā ‘‘tumhehi appamattehi maraṇassati bhāvitā, tumhe ito paṭṭhāya sahatthena kammaṃ mā karittha, ahaṃ, sakko devarājā, ahaṃ vo gehe satta ratanāni aparimāṇāni karissāmi, tumhe dānaṃ detha , sīlaṃ rakkhatha, uposathakammaṃ karotha, appamattā hothā’’ti tesaṃ ovādaṃ datvā gehaṃ aparimitadhanaṃ katvā pakkāmi.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ, สจฺจปริโยสาเน กุฎุมฺพิโก โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิฯ ตทา ทาสี ขุชฺชุตฺตรา อโหสิ, ธีตา อุปฺปลวณฺณา, ปุโตฺต ราหุโล, มาตา เขมา, พฺราหฺมโณ ปน อหเมว อโหสินฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi, saccapariyosāne kuṭumbiko sotāpattiphale patiṭṭhahi. Tadā dāsī khujjuttarā ahosi, dhītā uppalavaṇṇā, putto rāhulo, mātā khemā, brāhmaṇo pana ahameva ahosinti.

    อุรคชาตกวณฺณนา จตุตฺถาฯ

    Uragajātakavaṇṇanā catutthā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๓๕๔. อุรคชาตกํ • 354. Uragajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact