Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / เปตวตฺถุ-อฎฺฐกถา • Petavatthu-aṭṭhakathā |
๑๒. อุรคเปตวตฺถุวณฺณนา
12. Uragapetavatthuvaṇṇanā
อุรโคว ตจํ ชิณฺณนฺติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต อญฺญตรํ อุปาสกํ อารพฺภ กเถสิฯ สาวตฺถิยํ กิร อญฺญตรสฺส อุปาสกสฺส ปุโตฺต กาลมกาสิฯ โส ปุตฺตมรณเหตุ ปริเทวโสกสมาปโนฺน พหิ นิกฺขมิตฺวา กิญฺจิ กมฺมํ กาตุํ อสโกฺกโนฺต เคเหเยว อฎฺฐาสิฯ อถ สตฺถา ปจฺจูสเวลายํ มหากรุณาสมาปตฺติโต วุฎฺฐาย พุทฺธจกฺขุนา โลกํ โวโลเกโนฺต ตํ อุปาสกํ ทิสฺวา ปุพฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย ตสฺส เคหํ คนฺตฺวา ทฺวาเร อฎฺฐาสิฯ อุปาสโก จ สตฺถุ อาคตภาวํ สุตฺวา สีฆํ อุฎฺฐาย คนฺตฺวา ปจฺจุคฺคมนํ กตฺวา หตฺถโต ปตฺตํ คเหตฺวา เคหํ ปเวเสตฺวา อาสนํ ปญฺญเปตฺวา อทาสิฯ นิสีทิ ภควา ปญฺญเตฺต อาสเนฯ อุปาสโกปิ ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ ตํ ภควา ‘‘กิํ, อุปาสก, โสกปเรโต วิย ทิสฺสตี’’ติ อาหฯ ‘‘อาม, ภควา, ปิโย เม ปุโตฺต กาลกโต, เตนาหํ โสจามี’’ติฯ อถสฺส ภควา โสกวิโนทนํ กโรโนฺต อุรคชาตกํ (ชา. ๑.๕.๑๙ อาทโย) กเถสิฯ
Uragova tacaṃ jiṇṇanti idaṃ satthā jetavane viharanto aññataraṃ upāsakaṃ ārabbha kathesi. Sāvatthiyaṃ kira aññatarassa upāsakassa putto kālamakāsi. So puttamaraṇahetu paridevasokasamāpanno bahi nikkhamitvā kiñci kammaṃ kātuṃ asakkonto geheyeva aṭṭhāsi. Atha satthā paccūsavelāyaṃ mahākaruṇāsamāpattito vuṭṭhāya buddhacakkhunā lokaṃ volokento taṃ upāsakaṃ disvā pubbaṇhasamayaṃ nivāsetvā pattacīvaramādāya tassa gehaṃ gantvā dvāre aṭṭhāsi. Upāsako ca satthu āgatabhāvaṃ sutvā sīghaṃ uṭṭhāya gantvā paccuggamanaṃ katvā hatthato pattaṃ gahetvā gehaṃ pavesetvā āsanaṃ paññapetvā adāsi. Nisīdi bhagavā paññatte āsane. Upāsakopi bhagavantaṃ vanditvā ekamantaṃ nisīdi. Taṃ bhagavā ‘‘kiṃ, upāsaka, sokapareto viya dissatī’’ti āha. ‘‘Āma, bhagavā, piyo me putto kālakato, tenāhaṃ socāmī’’ti. Athassa bhagavā sokavinodanaṃ karonto uragajātakaṃ (jā. 1.5.19 ādayo) kathesi.
อตีเต กิร กาสิรเฎฺฐ พาราณสิยํ ธมฺมปาลํ นาม พฺราหฺมณกุลํ อโหสิฯ ตตฺถ พฺราหฺมโณ พฺราหฺมณี ปุโตฺต ธีตา สุณิสา ทาสีติ อิเม สเพฺพปิ มรณานุสฺสติภาวนาภิรตา อเหสุํฯ เตสุ โย เคหโต นิกฺขมติ, โส เสสชเน โอวทิตฺวา นิรเปโกฺขว นิกฺขมติฯ อเถกทิวสํ พฺราหฺมโณ ปุเตฺตน สทฺธิํ ฆรโต นิกฺขมิตฺวา เขตฺตํ คนฺตฺวา กสติฯ ปุโตฺต สุกฺขติณปณฺณกฎฺฐานิ อาลิเมฺปติฯ ตเตฺถโก กณฺหสโปฺป ฑาหภเยน รุกฺขสุสิรโต นิกฺขมิตฺวา อิมํ พฺราหฺมณสฺส ปุตฺตํ ฑํสิฯ โส วิสเวเคน มุจฺฉิโต ตเตฺถว ปริปติตฺวา กาลกโต, สโกฺก เทวราชา หุตฺวา นิพฺพตฺติฯ พฺราหฺมโณ ปุตฺตํ มตํ ทิสฺวา กมฺมนฺตสมีเปน คจฺฉนฺตํ เอกํ ปุริสํ เอวมาห – ‘‘สมฺม, มม ฆรํ คนฺตฺวา พฺราหฺมณิํ เอวํ วเทหิ ‘นฺหายิตฺวา สุทฺธวตฺถนิวตฺถา เอกสฺส ภตฺตํ มาลาคนฺธาทีนิ จ คเหตฺวา ตุริตํ อาคจฺฉตู’ติ’’ฯ โส ตตฺถ คนฺตฺวา ตถา อาโรเจสิ, เคหชโนปิ ตถา อกาสิฯ พฺราหฺมโณ นฺหตฺวา ภุญฺชิตฺวา วิลิมฺปิตฺวา ปริชนปริวุโต ปุตฺตสฺส สรีรํ จิตกํ อาโรเปตฺวา อคฺคิํ ทตฺวา ทารุกฺขนฺธํ ฑหโนฺต วิย นิโสฺสโก นิสฺสนฺตาโป อนิจฺจสญฺญํ มนสิ กโรโนฺต อฎฺฐาสิฯ
Atīte kira kāsiraṭṭhe bārāṇasiyaṃ dhammapālaṃ nāma brāhmaṇakulaṃ ahosi. Tattha brāhmaṇo brāhmaṇī putto dhītā suṇisā dāsīti ime sabbepi maraṇānussatibhāvanābhiratā ahesuṃ. Tesu yo gehato nikkhamati, so sesajane ovaditvā nirapekkhova nikkhamati. Athekadivasaṃ brāhmaṇo puttena saddhiṃ gharato nikkhamitvā khettaṃ gantvā kasati. Putto sukkhatiṇapaṇṇakaṭṭhāni ālimpeti. Tattheko kaṇhasappo ḍāhabhayena rukkhasusirato nikkhamitvā imaṃ brāhmaṇassa puttaṃ ḍaṃsi. So visavegena mucchito tattheva paripatitvā kālakato, sakko devarājā hutvā nibbatti. Brāhmaṇo puttaṃ mataṃ disvā kammantasamīpena gacchantaṃ ekaṃ purisaṃ evamāha – ‘‘samma, mama gharaṃ gantvā brāhmaṇiṃ evaṃ vadehi ‘nhāyitvā suddhavatthanivatthā ekassa bhattaṃ mālāgandhādīni ca gahetvā turitaṃ āgacchatū’ti’’. So tattha gantvā tathā ārocesi, gehajanopi tathā akāsi. Brāhmaṇo nhatvā bhuñjitvā vilimpitvā parijanaparivuto puttassa sarīraṃ citakaṃ āropetvā aggiṃ datvā dārukkhandhaṃ ḍahanto viya nissoko nissantāpo aniccasaññaṃ manasi karonto aṭṭhāsi.
อถ พฺราหฺมณสฺส ปุโตฺต สโกฺก หุตฺวา นิพฺพตฺติ, โส จ อมฺหากํ โพธิสโตฺต อโหสิฯ โส อตฺตโน ปุริมชาติํ กตปุญฺญญฺจ ปจฺจเวกฺขิตฺวา ปิตรํ ญาตเก จ อนุกมฺปมาโน พฺราหฺมณเวเสน ตตฺถ อาคนฺตฺวา ญาตเก อโสจเนฺต ทิสฺวา ‘‘อโมฺภ, มิคํ ฌาเปถ, อมฺหากํ มํสํ เทถ, ฉาโตมฺหี’’ติ อาหฯ ‘‘น มิโค, มนุโสฺส พฺราหฺมณา’’ติ อาหฯ ‘‘กิํ ตุมฺหากํ ปจฺจตฺถิโก เอโส’’ติ? ‘‘น ปจฺจตฺถิโก, อุเร ชาโต โอรโส มหาคุณวโนฺต ตรุณปุโตฺต’’ติ อาหฯ ‘‘กิมตฺถํ ตุเมฺห ตถารูเป คุณวติ ตรุณปุเตฺต มเต น โสจถา’’ติ? ตํ สุตฺวา พฺราหฺมโณ อโสจนการณํ กเถโนฺต –
Atha brāhmaṇassa putto sakko hutvā nibbatti, so ca amhākaṃ bodhisatto ahosi. So attano purimajātiṃ katapuññañca paccavekkhitvā pitaraṃ ñātake ca anukampamāno brāhmaṇavesena tattha āgantvā ñātake asocante disvā ‘‘ambho, migaṃ jhāpetha, amhākaṃ maṃsaṃ detha, chātomhī’’ti āha. ‘‘Na migo, manusso brāhmaṇā’’ti āha. ‘‘Kiṃ tumhākaṃ paccatthiko eso’’ti? ‘‘Na paccatthiko, ure jāto oraso mahāguṇavanto taruṇaputto’’ti āha. ‘‘Kimatthaṃ tumhe tathārūpe guṇavati taruṇaputte mate na socathā’’ti? Taṃ sutvā brāhmaṇo asocanakāraṇaṃ kathento –
๘๕.
85.
‘‘อุรโคว ตจํ ชิณฺณํ, หิตฺวา คจฺฉติ สํ ตนุํ;
‘‘Uragova tacaṃ jiṇṇaṃ, hitvā gacchati saṃ tanuṃ;
เอวํ สรีเร นิโพฺภเค, เปเต กาลกเต สติฯ
Evaṃ sarīre nibbhoge, pete kālakate sati.
๘๖.
86.
‘‘ฑยฺหมาโน น ชานาติ, ญาตีนํ ปริเทวิตํ;
‘‘Ḍayhamāno na jānāti, ñātīnaṃ paridevitaṃ;
ตสฺมา เอตํ น โรทามิ, คโต โส ตสฺส ยา คตี’’ติฯ –
Tasmā etaṃ na rodāmi, gato so tassa yā gatī’’ti. –
เทฺว คาถา อภาสิฯ
Dve gāthā abhāsi.
๘๕-๘๖. ตตฺถ อุรโคติ อุเรน คจฺฉตีติ อุรโคฯ สปฺปเสฺสตํ อธิวจนํฯ ตจํ ชิณฺณนฺติ ชชฺชรภาเวน ชิณฺณํ ปุราณํ อตฺตโน ตจํ นิโมฺมกํฯ หิตฺวา คจฺฉติ สํ ตนุนฺติ ยถา อุรโค อตฺตโน ชิณฺณตจํ รุกฺขนฺตเร วา กฎฺฐนฺตเร วา มูลนฺตเร วา ปาสาณนฺตเร วา กญฺจุกํ โอมุญฺจโนฺต วิย สรีรโต โอมุญฺจิตฺวา ปหาย ฉเฑฺฑตฺวา ยถากามํ คจฺฉติ, เอวเมว สํสาเร ปริพฺภมโนฺต สโตฺต โปราณสฺส กมฺมสฺส ปริกฺขีณตฺตา ชชฺชรีภูตํ สํ ตนุํ อตฺตโน สรีรํ หิตฺวา คจฺฉติ, ยถากมฺมํ คจฺฉติ, ปุนพฺภววเสน อุปปชฺชตีติ อโตฺถฯ เอวนฺติ ฑยฺหมานํ ปุตฺตสฺส สรีรํ ทเสฺสโนฺต อาหฯ สรีเร นิโพฺภเคติ อสฺส วิย อเญฺญสมฺปิ กาเย เอวํ โภควิรหิเต นิรตฺถเก ชาเตฯ เปเตติ อายุอุสฺมาวิญฺญาณโต อปคเตฯ กาลกเต สตีติ มเต ชาเตฯ ตสฺมาติ ยสฺมา ฑยฺหมาโน กาโย อเปตวิญฺญาณตฺตา ฑาหทุกฺขํ วิย ญาตีนํ รุทิตํ ปริเทวิตมฺปิ น ชานาติ, ตสฺมา เอตํ มม ปุตฺตํ นิมิตฺตํ กตฺวา น โรทามิฯ คโต โส ตสฺส ยา คตีติ ยทิ มตสตฺตา น อุจฺฉิชฺชนฺติ, มตสฺส ปน กโตกาสสฺส กมฺมสฺส วเสน ยา คติ ปาฎิกงฺขา, ตํ จุติอนนฺตรเมว คโต, โส น ปุริมญาตีนํ รุทิตํ ปริเทวิตํ วา ปจฺจาสีสติ, นาปิ เยภุเยฺยน ปุริมญาตีนํ รุทิเตน กาจิ อตฺถสิทฺธีติ อธิปฺปาโยฯ
85-86. Tattha uragoti urena gacchatīti urago. Sappassetaṃ adhivacanaṃ. Tacaṃ jiṇṇanti jajjarabhāvena jiṇṇaṃ purāṇaṃ attano tacaṃ nimmokaṃ. Hitvā gacchati saṃ tanunti yathā urago attano jiṇṇatacaṃ rukkhantare vā kaṭṭhantare vā mūlantare vā pāsāṇantare vā kañcukaṃ omuñcanto viya sarīrato omuñcitvā pahāya chaḍḍetvā yathākāmaṃ gacchati, evameva saṃsāre paribbhamanto satto porāṇassa kammassa parikkhīṇattā jajjarībhūtaṃ saṃ tanuṃ attano sarīraṃ hitvā gacchati, yathākammaṃ gacchati, punabbhavavasena upapajjatīti attho. Evanti ḍayhamānaṃ puttassa sarīraṃ dassento āha. Sarīre nibbhogeti assa viya aññesampi kāye evaṃ bhogavirahite niratthake jāte. Peteti āyuusmāviññāṇato apagate. Kālakate satīti mate jāte. Tasmāti yasmā ḍayhamāno kāyo apetaviññāṇattā ḍāhadukkhaṃ viya ñātīnaṃ ruditaṃ paridevitampi na jānāti, tasmā etaṃ mama puttaṃ nimittaṃ katvā na rodāmi. Gato sotassa yā gatīti yadi matasattā na ucchijjanti, matassa pana katokāsassa kammassa vasena yā gati pāṭikaṅkhā, taṃ cutianantarameva gato, so na purimañātīnaṃ ruditaṃ paridevitaṃ vā paccāsīsati, nāpi yebhuyyena purimañātīnaṃ ruditena kāci atthasiddhīti adhippāyo.
เอวํ พฺราหฺมเณน อตฺตโน อโสจนการเณ กถิเต ปริยายมนสิการโกสเลฺล ปกาสิเต พฺราหฺมณรูโป สโกฺก พฺราหฺมณิํ อาห – ‘‘อมฺม, ตุยฺหํ โส มโต กิํ โหตี’’ติ? ‘‘ทส มาเส กุจฺฉินา ปริหริตฺวา ถญฺญํ ปาเยตฺวา หตฺถปาเท สณฺฐเปตฺวา สํวฑฺฒิโต ปุโตฺต เม, สามี’’ติฯ ‘‘ยทิ เอวํ ปิตา ตาว ปุริสภาเวน มา โรทตุ, มาตุ นาม หทยํ มุทุกํ, ตฺวํ กสฺมา น โรทสี’’ติ? ตํ สุตฺวา สา อโรทนการณํ กเถนฺตี –
Evaṃ brāhmaṇena attano asocanakāraṇe kathite pariyāyamanasikārakosalle pakāsite brāhmaṇarūpo sakko brāhmaṇiṃ āha – ‘‘amma, tuyhaṃ so mato kiṃ hotī’’ti? ‘‘Dasa māse kucchinā pariharitvā thaññaṃ pāyetvā hatthapāde saṇṭhapetvā saṃvaḍḍhito putto me, sāmī’’ti. ‘‘Yadi evaṃ pitā tāva purisabhāvena mā rodatu, mātu nāma hadayaṃ mudukaṃ, tvaṃ kasmā na rodasī’’ti? Taṃ sutvā sā arodanakāraṇaṃ kathentī –
๘๗.
87.
‘‘อนพฺภิโต ตโต อาคา, นานุญฺญาโต อิโต คโต;
‘‘Anabbhito tato āgā, nānuññāto ito gato;
ยถาคโต ตถา คโต, ตตฺถ กา ปริเทวนาฯ
Yathāgato tathā gato, tattha kā paridevanā.
๘๘.
88.
‘‘ฑยฺหมาโน น ชานาติ, ญาตีนํ ปริเทวิตํ;
‘‘Ḍayhamāno na jānāti, ñātīnaṃ paridevitaṃ;
ตสฺมา เอตํ น โรทามิ, คโต โส ตสฺส ยา คตี’’ติฯ –
Tasmā etaṃ na rodāmi, gato so tassa yā gatī’’ti. –
คาถาทฺวยมาหฯ ตตฺถ อนพฺภิโตติ อนวฺหาโต, ‘‘เอหิ มยฺหํ ปุตฺตภาวํ อุปคจฺฉา’’ติ เอวํ อปโกฺกสิโตฯ ตโตติ ยตฺถ ปุเพฺพ ฐิโต, ตโต ปรโลกโตฯ อาคาติ อาคญฺฉิฯ นานุญฺญาโตติ อนนุมโต, ‘‘คจฺฉ, ตาต, ปรโลก’’นฺติ เอวํ อเมฺหหิ อวิสฺสโฎฺฐฯ อิโตติ อิธโลกโตฯ คโตติ อปคโตฯ ยถาคโตติ เยนากาเรน อาคโต, อเมฺหหิ อนพฺภิโต เอว อาคโตติ อโตฺถฯ ตถา คโตติ เตเนวากาเรน คโตฯ ยถา สเกเนว กมฺมุนา อาคโต, ตถา สเกเนว กมฺมุนา คโตติฯ เอเตน กมฺมสฺสกตํ ทเสฺสติฯ ตตฺถ กา ปริเทวนาติ เอวํ อวสวตฺติเก สํสารปวเตฺต มรณํ ปฎิจฺจ กา นาม ปริเทวนา, อยุตฺตา สา ปญฺญวตา อกรณียาติ ทเสฺสติฯ
Gāthādvayamāha. Tattha anabbhitoti anavhāto, ‘‘ehi mayhaṃ puttabhāvaṃ upagacchā’’ti evaṃ apakkosito. Tatoti yattha pubbe ṭhito, tato paralokato. Āgāti āgañchi. Nānuññātoti ananumato, ‘‘gaccha, tāta, paraloka’’nti evaṃ amhehi avissaṭṭho. Itoti idhalokato. Gatoti apagato. Yathāgatoti yenākārena āgato, amhehi anabbhito eva āgatoti attho. Tathā gatoti tenevākārena gato. Yathā sakeneva kammunā āgato, tathā sakeneva kammunā gatoti. Etena kammassakataṃ dasseti. Tattha kā paridevanāti evaṃ avasavattike saṃsārapavatte maraṇaṃ paṭicca kā nāma paridevanā, ayuttā sā paññavatā akaraṇīyāti dasseti.
เอวํ พฺราหฺมณิยา วจนํ สุตฺวา ตสฺส ภคินิํ ปุจฺฉิ – ‘‘อมฺม, ตุยฺหํ โส กิํ โหตี’’ติ? ‘‘ภาตา เม, สามี’’ติฯ ‘‘อมฺม, ภคินิโย นาม ภาตูสุ สิเนหา, ตฺวํ กสฺมา น โรทสี’’ติ? สาปิ อโรทนการณํ กเถนฺตี –
Evaṃ brāhmaṇiyā vacanaṃ sutvā tassa bhaginiṃ pucchi – ‘‘amma, tuyhaṃ so kiṃ hotī’’ti? ‘‘Bhātā me, sāmī’’ti. ‘‘Amma, bhaginiyo nāma bhātūsu sinehā, tvaṃ kasmā na rodasī’’ti? Sāpi arodanakāraṇaṃ kathentī –
๘๙.
89.
‘‘สเจ โรเท กิสฺส อสฺสํ, ตตฺถ เม กิํ ผลํ สิยา;
‘‘Sace rode kissa assaṃ, tattha me kiṃ phalaṃ siyā;
ญาติมิตฺตสุหชฺชานํ, ภิโยฺย โน อรตี สิยาฯ
Ñātimittasuhajjānaṃ, bhiyyo no aratī siyā.
๙๐.
90.
‘‘ฑยฺหมาโน น ชานาติ, ญาตีนํ ปริเทวิตํ;
‘‘Ḍayhamāno na jānāti, ñātīnaṃ paridevitaṃ;
ตสฺมา เอตํ น โรทามิ, คโต โส ตสฺส ยา คตี’’ติฯ –
Tasmā etaṃ na rodāmi, gato so tassa yā gatī’’ti. –
คาถาทฺวยมาหฯ ตตฺถ สเจ โรเท กิสา อสฺสนฺติ ยทิ อหํ โรเทยฺยํ, กิสา ปริสุกฺขสรีรา ภเวยฺยํฯ ตตฺถ เม กิํ ผลํ สิยาติ ตสฺมิํ มยฺหํ ภาตุ มรณนิมิเตฺต โรทเน กิํ นาม ผลํ, โก อานิสํโส ภเวยฺย? น เตน มยฺหํ ภาติโก อาคเจฺฉยฺย, นาปิ โส เตน สุคติํ คเจฺฉยฺยาติ อธิปฺปาโยฯ ญาติมิตฺตสุหชฺชานํ, ภิโยฺย โน อรตี สิยาติ อมฺหากํ ญาตีนํ มิตฺตานํ สุหทยานญฺจ มม โสจเนน ภาตุมรณทุกฺขโต ภิโยฺยปิ อรติ ทุกฺขเมว สิยาติฯ
Gāthādvayamāha. Tattha sace rode kisā assanti yadi ahaṃ rodeyyaṃ, kisā parisukkhasarīrā bhaveyyaṃ. Tattha me kiṃ phalaṃ siyāti tasmiṃ mayhaṃ bhātu maraṇanimitte rodane kiṃ nāma phalaṃ, ko ānisaṃso bhaveyya? Na tena mayhaṃ bhātiko āgaccheyya, nāpi so tena sugatiṃ gaccheyyāti adhippāyo. Ñātimittasuhajjānaṃ, bhiyyo no aratī siyāti amhākaṃ ñātīnaṃ mittānaṃ suhadayānañca mama socanena bhātumaraṇadukkhato bhiyyopi arati dukkhameva siyāti.
เอวํ ภคินิยา วจนํ สุตฺวา ตสฺส ภริยํ ปุจฺฉิ – ‘‘ตุยฺหํ โส กิํ โหตี’’ติ? ‘‘ภตฺตา เม, สามี’’ติฯ ‘‘ภเทฺท, อิตฺถิโย นาม ภตฺตริ สิเนหา โหนฺติ, ตสฺมิญฺจ มเต วิธวา อนาถา โหนฺติ, กสฺมา ตฺวํ น โรทสี’’ติ? สาปิ อตฺตโน อโรทนการณํ กเถนฺตี –
Evaṃ bhaginiyā vacanaṃ sutvā tassa bhariyaṃ pucchi – ‘‘tuyhaṃ so kiṃ hotī’’ti? ‘‘Bhattā me, sāmī’’ti. ‘‘Bhadde, itthiyo nāma bhattari sinehā honti, tasmiñca mate vidhavā anāthā honti, kasmā tvaṃ na rodasī’’ti? Sāpi attano arodanakāraṇaṃ kathentī –
๙๑.
91.
‘‘ยถาปิ ทารโก จนฺทํ, คจฺฉนฺตมนุโรทติ;
‘‘Yathāpi dārako candaṃ, gacchantamanurodati;
เอวํสมฺปทเมเวตํ, โย เปตมนุโสจติฯ
Evaṃsampadamevetaṃ, yo petamanusocati.
๙๒.
92.
‘‘ฑยฺหมาโน น ชานาติ, ญาตีนํ ปริเทวิตํ;
‘‘Ḍayhamāno na jānāti, ñātīnaṃ paridevitaṃ;
ตสฺมา เอตํ น โรทามิ, คโต โส ตสฺส ยา คตี’’ติฯ – คาถาทฺวยมาห;
Tasmā etaṃ na rodāmi, gato so tassa yā gatī’’ti. – gāthādvayamāha;
ตตฺถ ทารโกติ พาลทารโกฯ จนฺทนฺติ จนฺทมณฺฑลํฯ คจฺฉนฺตนฺติ นภํ อพฺภุสฺสุกฺกมานํฯ อนุโรทตีติ ‘‘มยฺหํ รถจกฺกํ คเหตฺวา เทหี’’ติ อนุโรทติฯ เอวํสมฺปทเมเวตนฺติ โย เปตํ มตํ อนุโสจติ, ตเสฺสตํ อนุโสจนํ เอวํสมฺปทํ เอวรูปํ, อากาเสน คจฺฉนฺตสฺส จนฺทสฺส คเหตุกามตาสทิสํ อลพฺภเนยฺยวตฺถุสฺมิํ อิจฺฉาภาวโตติ อธิปฺปาโยฯ
Tattha dārakoti bāladārako. Candanti candamaṇḍalaṃ. Gacchantanti nabhaṃ abbhussukkamānaṃ. Anurodatīti ‘‘mayhaṃ rathacakkaṃ gahetvā dehī’’ti anurodati. Evaṃsampadamevetanti yo petaṃ mataṃ anusocati, tassetaṃ anusocanaṃ evaṃsampadaṃ evarūpaṃ, ākāsena gacchantassa candassa gahetukāmatāsadisaṃ alabbhaneyyavatthusmiṃ icchābhāvatoti adhippāyo.
เอวํ ตสฺส ภริยาย วจนํ สุตฺวา ทาสิํ ปุจฺฉิ – ‘‘อมฺม, ตุยฺหํ โส กิํ โหตี’’ติ? ‘‘อโยฺย เม, สามี’’ติฯ ‘‘ยทิ เอวํ เตน ตฺวํ โปเถตฺวา เวยฺยาวจฺจํ การิตา ภวิสฺสสิ, ตสฺมา มเญฺญ ‘สุมุตฺตาหํ เตนา’ติ น โรทสี’’ติ? ‘‘สามิ, มา มํ เอวํ อวจ, น เจตํ อนุจฺฉวิกํ , อติวิย ขนฺติเมตฺตานุทฺทยาสมฺปโนฺน ยุตฺตวาที มยฺหํ อยฺยปุโตฺต อุเร สํวฑฺฒปุโตฺต วิย อโหสี’’ติฯ อถ ‘‘กสฺมา น โรทสี’’ติ? สาปิ อตฺตโน อโรทนการณํ กเถนฺตี –
Evaṃ tassa bhariyāya vacanaṃ sutvā dāsiṃ pucchi – ‘‘amma, tuyhaṃ so kiṃ hotī’’ti? ‘‘Ayyo me, sāmī’’ti. ‘‘Yadi evaṃ tena tvaṃ pothetvā veyyāvaccaṃ kāritā bhavissasi, tasmā maññe ‘sumuttāhaṃ tenā’ti na rodasī’’ti? ‘‘Sāmi, mā maṃ evaṃ avaca, na cetaṃ anucchavikaṃ , ativiya khantimettānuddayāsampanno yuttavādī mayhaṃ ayyaputto ure saṃvaḍḍhaputto viya ahosī’’ti. Atha ‘‘kasmā na rodasī’’ti? Sāpi attano arodanakāraṇaṃ kathentī –
๙๓.
93.
‘‘ยถาปิ พฺรเหฺม อุทกุโมฺภ, ภิโนฺน อปฺปฎิสนฺธิโย;
‘‘Yathāpi brahme udakumbho, bhinno appaṭisandhiyo;
เอวํสมฺปทเมเวตํ, โย เปตมนุโสจติฯ
Evaṃsampadamevetaṃ, yo petamanusocati.
๙๔.
94.
‘‘ฑยฺหมาโน น ชานาติ, ญาตีนํ ปริเทวิตํ;
‘‘Ḍayhamāno na jānāti, ñātīnaṃ paridevitaṃ;
ตสฺมา เอตํ น โรทามิ, คโต โส ตสฺส ยา คตี’’ติฯ –
Tasmā etaṃ na rodāmi, gato so tassa yā gatī’’ti. –
คาถาทฺวยมาหฯ ตตฺถ ยถาปิ พฺรเหฺม อุทกุโพฺภ, ภิโนฺน อปฺปฎิสนฺธิโยติ พฺราหฺมณ เสยฺยถาปิ อุทกฆโฎ มุคฺครปฺปหาราทินา ภิโนฺน อปฺปฎิสนฺธิโย ปุน ปากติโก น โหติฯ เสสเมตฺถ วุตฺตนยตฺตา อุตฺตานตฺถเมวฯ
Gāthādvayamāha. Tattha yathāpi brahme udakubbho, bhinno appaṭisandhiyoti brāhmaṇa seyyathāpi udakaghaṭo muggarappahārādinā bhinno appaṭisandhiyo puna pākatiko na hoti. Sesamettha vuttanayattā uttānatthameva.
สโกฺก เตสํ กถํ สุตฺวา ปสนฺนมานโส ‘‘สมฺมเทว ตุเมฺหหิ มรณสฺสติ ภาวิตา, อิโต ปฎฺฐาย น ตุเมฺหหิ กสิอาทิกรณกิจฺจํ อตฺถี’’ติ เตสํ เคหํ สตฺตรตนภริตํ กตฺวา ‘‘อปฺปมตฺตา ทานํ เทถ, สีลํ รกฺขถ, อุโปสถกมฺมํ กโรถา’’ติ โอวทิตฺวา อตฺตานญฺจ เตสํ นิเวเทตฺวา สกฎฺฐานเมว คโตฯ เตปิ พฺราหฺมณาทโย ทานาทีนิ ปุญฺญานิ กโรนฺตา ยาวตายุกํ ฐตฺวา เทวโลเก อุปฺปชฺชิํสุฯ
Sakko tesaṃ kathaṃ sutvā pasannamānaso ‘‘sammadeva tumhehi maraṇassati bhāvitā, ito paṭṭhāya na tumhehi kasiādikaraṇakiccaṃ atthī’’ti tesaṃ gehaṃ sattaratanabharitaṃ katvā ‘‘appamattā dānaṃ detha, sīlaṃ rakkhatha, uposathakammaṃ karothā’’ti ovaditvā attānañca tesaṃ nivedetvā sakaṭṭhānameva gato. Tepi brāhmaṇādayo dānādīni puññāni karontā yāvatāyukaṃ ṭhatvā devaloke uppajjiṃsu.
สตฺถา อิมํ ชาตกํ อาหริตฺวา ตสฺส อุปาสกสฺส โสกสลฺลํ สมุทฺธริตฺวา อุปริ สจฺจานิ ปกาเสสิ, สจฺจปริโยสาเน อุปาสโก โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหีติฯ
Satthā imaṃ jātakaṃ āharitvā tassa upāsakassa sokasallaṃ samuddharitvā upari saccāni pakāsesi, saccapariyosāne upāsako sotāpattiphale patiṭṭhahīti.
อุรคเปตวตฺถุวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Uragapetavatthuvaṇṇanā niṭṭhitā.
อิติ ขุทฺทก-อฎฺฐกถาย เปตวตฺถุสฺมิํ
Iti khuddaka-aṭṭhakathāya petavatthusmiṃ
ทฺวาทสวตฺถุปฎิมณฺฑิตสฺส
Dvādasavatthupaṭimaṇḍitassa
ปฐมสฺส อุรควคฺคสฺส อตฺถสํวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Paṭhamassa uragavaggassa atthasaṃvaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / เปตวตฺถุปาฬิ • Petavatthupāḷi / ๑๒. อุรคเปตวตฺถุ • 12. Uragapetavatthu