Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถา • Suttanipāta-aṭṭhakathā

    ๑. อุรควโคฺค

    1. Uragavaggo

    ๑. อุรคสุตฺตวณฺณนา

    1. Uragasuttavaṇṇanā

    เอวํ สมธิคตสโงฺข จ ยสฺมา เอส วคฺคโต อุรควโคฺค, จูฬวโคฺค, มหาวโคฺค, อฎฺฐกวโคฺค, ปารายนวโคฺคติ ปญฺจ วคฺคา โหนฺติ; เตสุ อุรควโคฺค อาทิฯ สุตฺตโต อุรควเคฺค ทฺวาทส สุตฺตานิ, จูฬวเคฺค จุทฺทส, มหาวเคฺค ทฺวาทส, อฎฺฐกวเคฺค โสฬส, ปารายนวเคฺค โสฬสาติ สตฺตติ สุตฺตานิฯ เตสํ อุรคสุตฺตํ อาทิฯ ปริยตฺติปมาณโต อฎฺฐ ภาณวาราฯ เอวํ วคฺคสุตฺตปริยตฺติปมาณวโต ปนสฺส –

    Evaṃ samadhigatasaṅkho ca yasmā esa vaggato uragavaggo, cūḷavaggo, mahāvaggo, aṭṭhakavaggo, pārāyanavaggoti pañca vaggā honti; tesu uragavaggo ādi. Suttato uragavagge dvādasa suttāni, cūḷavagge cuddasa, mahāvagge dvādasa, aṭṭhakavagge soḷasa, pārāyanavagge soḷasāti sattati suttāni. Tesaṃ uragasuttaṃ ādi. Pariyattipamāṇato aṭṭha bhāṇavārā. Evaṃ vaggasuttapariyattipamāṇavato panassa –

    ‘‘โย อุปฺปติตํ วิเนติ โกธํ, วิสฎํ สปฺปวิสํว โอสเธหิ;

    ‘‘Yo uppatitaṃ vineti kodhaṃ, visaṭaṃ sappavisaṃva osadhehi;

    โส ภิกฺขุ ชหาติ โอรปารํ, อุรโค ชิณฺณมิว ตจํ ปุราณ’’นฺติฯ –

    So bhikkhu jahāti orapāraṃ, urago jiṇṇamiva tacaṃ purāṇa’’nti. –

    อยํ คาถา อาทิฯ ตสฺมา อสฺสา อิโต ปภุติ อตฺถวณฺณนํ กาตุํ อิทํ วุจฺจติ –

    Ayaṃ gāthā ādi. Tasmā assā ito pabhuti atthavaṇṇanaṃ kātuṃ idaṃ vuccati –

    ‘‘เยน ยตฺถ ยทา ยสฺมา, วุตฺตา คาถา อยํ อิมํ;

    ‘‘Yena yattha yadā yasmā, vuttā gāthā ayaṃ imaṃ;

    วิธิํ ปกาสยิตฺวาสฺสา, กริสฺสามตฺถวณฺณน’’นฺติฯ

    Vidhiṃ pakāsayitvāssā, karissāmatthavaṇṇana’’nti.

    เกน ปนายํ คาถา วุตฺตา, กตฺถ, กทา, กสฺมา จ วุตฺตาติ? วุจฺจเต – โย โส ภควา จตุวีสติพุทฺธสนฺติเก ลทฺธพฺยากรโณ ยาว เวสฺสนฺตรชาตกํ, ตาว ปารมิโย ปูเรตฺวา ตุสิตภวเน อุปฺปชฺชิ, ตโตปิ จวิตฺวา สกฺยราชกุเล อุปปตฺติํ คเหตฺวา, อนุปุเพฺพน กตมหาภินิกฺขมโน โพธิรุกฺขมูเล สมฺมาสโมฺพธิํ อภิสมฺพุชฺฌิตฺวา, ธมฺมจกฺกํ ปวเตฺตตฺวา เทว-มนุสฺสานํ หิตาย ธมฺมํ เทเสสิ, เตน ภควตา สยมฺภุนา อนาจริยเกน สมฺมาสมฺพุเทฺธน วุตฺตาฯ สา จ ปน อาฬวิยํฯ ยทา จ ภูตคามสิกฺขาปทํ ปญฺญตฺตํ, ตทา ตตฺถ อุปคตานํ ธมฺมเทสนตฺถํ วุตฺตาติฯ อยเมตฺถ สเงฺขปวิสฺสชฺชนาฯ วิตฺถารโต ปน ทูเรนิทานอวิทูเรนิทานสนฺติเกนิทานวเสน เวทิตพฺพาฯ ตตฺถ ทูเรนิทานํ นาม ทีปงฺกรโต ยาว ปจฺจุปฺปนฺนวตฺถุกถา , อวิทูเรนิทานํ นาม ตุสิตภวนโต ยาว ปจฺจุปฺปนฺนวตฺถุกถา, สนฺติเกนิทานํ นาม โพธิมณฺฑโต ยาว ปจฺจุปฺปนฺนวตฺถุกถาติฯ

    Kena panāyaṃ gāthā vuttā, kattha, kadā, kasmā ca vuttāti? Vuccate – yo so bhagavā catuvīsatibuddhasantike laddhabyākaraṇo yāva vessantarajātakaṃ, tāva pāramiyo pūretvā tusitabhavane uppajji, tatopi cavitvā sakyarājakule upapattiṃ gahetvā, anupubbena katamahābhinikkhamano bodhirukkhamūle sammāsambodhiṃ abhisambujjhitvā, dhammacakkaṃ pavattetvā deva-manussānaṃ hitāya dhammaṃ desesi, tena bhagavatā sayambhunā anācariyakena sammāsambuddhena vuttā. Sā ca pana āḷaviyaṃ. Yadā ca bhūtagāmasikkhāpadaṃ paññattaṃ, tadā tattha upagatānaṃ dhammadesanatthaṃ vuttāti. Ayamettha saṅkhepavissajjanā. Vitthārato pana dūrenidānaavidūrenidānasantikenidānavasena veditabbā. Tattha dūrenidānaṃ nāma dīpaṅkarato yāva paccuppannavatthukathā , avidūrenidānaṃ nāma tusitabhavanato yāva paccuppannavatthukathā, santikenidānaṃ nāma bodhimaṇḍato yāva paccuppannavatthukathāti.

    ตตฺถ ยสฺมา อวิทูเรนิทานํ สนฺติเกนิทานญฺจ ทูเรนิทาเนเยว สโมธานํ คจฺฉนฺติ, ตสฺมา ทูเรนิทานวเสเนเวตฺถ วิตฺถารโต วิสฺสชฺชนา เวทิตพฺพาฯ สา ปเนสา ชาตกฎฺฐกถายํ วุตฺตาติ อิธ น วิตฺถาริตาฯ ตโต ตตฺถ วิตฺถาริตนเยเนว เวทิตพฺพาฯ อยํ ปน วิเสโส – ตตฺถ ปฐมคาถาย สาวตฺถิยํ วตฺถุ อุปฺปนฺนํ, อิธ อาฬวิยํฯ ยถาห –

    Tattha yasmā avidūrenidānaṃ santikenidānañca dūrenidāneyeva samodhānaṃ gacchanti, tasmā dūrenidānavasenevettha vitthārato vissajjanā veditabbā. Sā panesā jātakaṭṭhakathāyaṃ vuttāti idha na vitthāritā. Tato tattha vitthāritanayeneva veditabbā. Ayaṃ pana viseso – tattha paṭhamagāthāya sāvatthiyaṃ vatthu uppannaṃ, idha āḷaviyaṃ. Yathāha –

    ‘‘เตน สมเยน พุโทฺธ ภควา อาฬวิยํ วิหรติ อคฺคาฬเว เจติเยฯ เตน โข ปน สมเยน อาฬวกา ภิกฺขู นวกมฺมํ กโรนฺตา รุกฺขํ ฉินฺทนฺติปิ เฉทาเปนฺติปิฯ อญฺญตโรปิ อาฬวโก ภิกฺขุ รุกฺขํ ฉินฺทติฯ ตสฺมิํ รุเกฺข อธิวตฺถา เทวตา ตํ ภิกฺขุํ เอตทโวจ – ‘มา, ภเนฺต, อตฺตโน ภวนํ กตฺตุกาโม มยฺหํ ภวนํ ฉินฺที’ติฯ โส ภิกฺขุ อนาทิยโนฺต ฉินฺทิเยวฯ ตสฺสา จ เทวตาย ทารกสฺส พาหุํ อาโกเฎสิฯ อถ โข ตสฺสา เทวตาย เอตทโหสิ – ‘ยํนูนาหํ อิมํ ภิกฺขุํ อิเธว ชีวิตา โวโรเปยฺย’นฺติฯ อถ โข ตสฺสา เทวตาย เอตทโหสิ – ‘น โข เมตํ ปติรูปํ, ยาหํ อิมํ ภิกฺขุํ อิเธว ชีวิตา โวโรเปยฺยํ, ยํนูนาหํ ภควโต เอตมตฺถํ อาโรเจยฺย’นฺติฯ อถ โข สา เทวตา เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควโต เอตมตฺถํ อาโรเจสิฯ ‘สาธุ, สาธุ เทวเต, สาธุ โข ตฺวํ, เทวเต, ตํ ภิกฺขุํ ชีวิตา น โวโรเปสิฯ สจชฺช ตฺวํ, เทวเต, ตํ ภิกฺขุํ ชีวิตา โวโรเปยฺยาสิ, พหุญฺจ ตฺวํ, เทวเต, อปุญฺญํ ปสเวยฺยาสิฯ คจฺฉ ตฺวํ, เทวเต, อมุกสฺมิํ โอกาเส รุโกฺข วิวิโตฺต, ตสฺมิํ อุปคจฺฉา’’’ติ (ปาจิ. ๘๙)ฯ

    ‘‘Tena samayena buddho bhagavā āḷaviyaṃ viharati aggāḷave cetiye. Tena kho pana samayena āḷavakā bhikkhū navakammaṃ karontā rukkhaṃ chindantipi chedāpentipi. Aññataropi āḷavako bhikkhu rukkhaṃ chindati. Tasmiṃ rukkhe adhivatthā devatā taṃ bhikkhuṃ etadavoca – ‘mā, bhante, attano bhavanaṃ kattukāmo mayhaṃ bhavanaṃ chindī’ti. So bhikkhu anādiyanto chindiyeva. Tassā ca devatāya dārakassa bāhuṃ ākoṭesi. Atha kho tassā devatāya etadahosi – ‘yaṃnūnāhaṃ imaṃ bhikkhuṃ idheva jīvitā voropeyya’nti. Atha kho tassā devatāya etadahosi – ‘na kho metaṃ patirūpaṃ, yāhaṃ imaṃ bhikkhuṃ idheva jīvitā voropeyyaṃ, yaṃnūnāhaṃ bhagavato etamatthaṃ āroceyya’nti. Atha kho sā devatā yena bhagavā tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā bhagavato etamatthaṃ ārocesi. ‘Sādhu, sādhu devate, sādhu kho tvaṃ, devate, taṃ bhikkhuṃ jīvitā na voropesi. Sacajja tvaṃ, devate, taṃ bhikkhuṃ jīvitā voropeyyāsi, bahuñca tvaṃ, devate, apuññaṃ pasaveyyāsi. Gaccha tvaṃ, devate, amukasmiṃ okāse rukkho vivitto, tasmiṃ upagacchā’’’ti (pāci. 89).

    เอวญฺจ ปน วตฺวา ปุน ภควา ตสฺสา เทวตาย อุปฺปนฺนโกธวินยนตฺถํ –

    Evañca pana vatvā puna bhagavā tassā devatāya uppannakodhavinayanatthaṃ –

    ‘‘โย เว อุปฺปติตํ โกธํ, รถํ ภนฺตํว วารเย’’ติฯ (ธ. ป. ๒๒๒) –

    ‘‘Yo ve uppatitaṃ kodhaṃ, rathaṃ bhantaṃva vāraye’’ti. (dha. pa. 222) –

    อิมํ คาถํ อภาสิฯ ตโต ‘‘กถญฺหิ นาม สมณา สกฺยปุตฺติยา รุกฺขํ ฉินฺทิสฺสนฺติปิ, เฉทาเปสฺสนฺติปิ, เอกินฺทฺริยํ สมณา สกฺยปุตฺติยา ชีวํ วิเหเฐนฺตี’’ติ เอวํ มนุสฺสานํ อุชฺฌายิตํ สุตฺวา ภิกฺขูหิ อาโรจิโต ภควา – ‘‘ภูตคามปาตพฺยตาย ปาจิตฺติย’’นฺติ (ปาจิ. ๙๐) อิมํ สิกฺขาปทํ ปญฺญาเปตฺวา ตตฺถ อุปคตานํ ธมฺมเทสนตฺถํ –

    Imaṃ gāthaṃ abhāsi. Tato ‘‘kathañhi nāma samaṇā sakyaputtiyā rukkhaṃ chindissantipi, chedāpessantipi, ekindriyaṃ samaṇā sakyaputtiyā jīvaṃ viheṭhentī’’ti evaṃ manussānaṃ ujjhāyitaṃ sutvā bhikkhūhi ārocito bhagavā – ‘‘bhūtagāmapātabyatāya pācittiya’’nti (pāci. 90) imaṃ sikkhāpadaṃ paññāpetvā tattha upagatānaṃ dhammadesanatthaṃ –

    ‘‘โย อุปฺปติตํ วิเนติ โกธํ,

    ‘‘Yo uppatitaṃ vineti kodhaṃ,

    วิสฎํ สปฺปวิสํว โอสเธหี’’ติฯ –

    Visaṭaṃ sappavisaṃva osadhehī’’ti. –

    อิมํ คาถํ อภาสิฯ เอวมิทํ เอกํเยว วตฺถุ ตีสุ ฐาเนสุ สงฺคหํ คตํ – วินเย, ธมฺมปเท, สุตฺตนิปาเตติฯ เอตฺตาวตา จ ยา สา มาติกา ฐปิตา –

    Imaṃ gāthaṃ abhāsi. Evamidaṃ ekaṃyeva vatthu tīsu ṭhānesu saṅgahaṃ gataṃ – vinaye, dhammapade, suttanipāteti. Ettāvatā ca yā sā mātikā ṭhapitā –

    ‘‘เยน ยตฺถ ยทา ยสฺมา, วุตฺตา คาถา อยํ อิมํ;

    ‘‘Yena yattha yadā yasmā, vuttā gāthā ayaṃ imaṃ;

    วิธิ ปกาสยิตฺวาสฺสา, กริสฺสามตฺถวณฺณน’’นฺติฯ –

    Vidhi pakāsayitvāssā, karissāmatthavaṇṇana’’nti. –

    สา สเงฺขปโต วิตฺถารโต จ ปกาสิตา โหติ ฐเปตฺวา อตฺถวณฺณนํฯ

    Sā saṅkhepato vitthārato ca pakāsitā hoti ṭhapetvā atthavaṇṇanaṃ.

    . อยํ ปเนตฺถ อตฺถวณฺณนาฯ โยติ โย ยาทิโส ขตฺติยกุลา วา ปพฺพชิโต, พฺราหฺมณกุลา วา ปพฺพชิโต, นโว วา มชฺฌิโม วา เถโร วาฯ อุปฺปติตนฺติ อุทฺธมุทฺธํ ปติตํ คตํ, ปวตฺตนฺติ อโตฺถ, อุปฺปนฺนนฺติ วุตฺตํ โหติฯ อุปฺปนฺนญฺจ นาเมตํ วตฺตมานภุตฺวาปคโตกาสกตภูมิลทฺธวเสน อเนกปฺปเภทํฯ ตตฺถ สพฺพมฺปิ สงฺขตํ อุปฺปาทาทิสมงฺคิ วตฺตมานุปฺปนฺนํ นาม, ยํ สนฺธาย ‘‘อุปฺปนฺนา ธมฺมา, อนุปฺปนฺนา ธมฺมา, อุปฺปาทิโน ธมฺมา’’ติ (ธ. ส. ติกมาติกา ๑๗) วุตฺตํฯ อารมฺมณรสมนุภวิตฺวา นิรุทฺธํ อนุภุตฺวาปคตสงฺขาตํ กุสลากุสลํ, อุปฺปาทาทิตฺตยมนุปฺปตฺวา นิรุทฺธํ ภุตฺวาปคตสงฺขาตํ เสสสงฺขตญฺจ ภุตฺวาปคตุปฺปนฺนํ นามฯ ตเทตํ ‘‘เอวรูปํ ปาปกํ ทิฎฺฐิคตํ อุปฺปนฺนํ โหตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๒๓๔; ปาจิ. ๔๑๗) จ, ‘‘ยถา จ อุปฺปนฺนสฺส สติสโมฺพชฺฌงฺคสฺส ภาวนาปาริปูรี โหตี’’ติ จ เอวมาทีสุ สุตฺตเนฺตสุ ทฎฺฐพฺพํฯ ‘‘ยานิสฺส ตานิ ปุเพฺพ กตานิ กมฺมานี’’ติ เอวมาทินา (ม. นิ. ๓.๒๔๘; เนตฺติ. ๑๒๐) นเยน วุตฺตํ กมฺมํ อตีตมฺปิ สมานํ อญฺญสฺส วิปากํ ปฎิพาหิตฺวา อตฺตโน วิปากโสฺสกาสํ กตฺวา ฐิตตฺตา, ตถา กโตกาสญฺจ วิปากํ อนุปฺปนฺนมฺปิ เอวํ กเต โอกาเส อวสฺสมุปฺปตฺติโต โอกาสกตุปฺปนฺนํ นามฯ ตาสุ ตาสุ ภูมีสุ อสมูหตมกุสลํ ภูมิลทฺธุปฺปนฺนํ นามฯ

    1. Ayaṃ panettha atthavaṇṇanā. Yoti yo yādiso khattiyakulā vā pabbajito, brāhmaṇakulā vā pabbajito, navo vā majjhimo vā thero vā. Uppatitanti uddhamuddhaṃ patitaṃ gataṃ, pavattanti attho, uppannanti vuttaṃ hoti. Uppannañca nāmetaṃ vattamānabhutvāpagatokāsakatabhūmiladdhavasena anekappabhedaṃ. Tattha sabbampi saṅkhataṃ uppādādisamaṅgi vattamānuppannaṃ nāma, yaṃ sandhāya ‘‘uppannā dhammā, anuppannā dhammā, uppādino dhammā’’ti (dha. sa. tikamātikā 17) vuttaṃ. Ārammaṇarasamanubhavitvā niruddhaṃ anubhutvāpagatasaṅkhātaṃ kusalākusalaṃ, uppādādittayamanuppatvā niruddhaṃ bhutvāpagatasaṅkhātaṃ sesasaṅkhatañca bhutvāpagatuppannaṃ nāma. Tadetaṃ ‘‘evarūpaṃ pāpakaṃ diṭṭhigataṃ uppannaṃ hotī’’ti (ma. ni. 1.234; pāci. 417) ca, ‘‘yathā ca uppannassa satisambojjhaṅgassa bhāvanāpāripūrī hotī’’ti ca evamādīsu suttantesu daṭṭhabbaṃ. ‘‘Yānissa tāni pubbe katāni kammānī’’ti evamādinā (ma. ni. 3.248; netti. 120) nayena vuttaṃ kammaṃ atītampi samānaṃ aññassa vipākaṃ paṭibāhitvā attano vipākassokāsaṃ katvā ṭhitattā, tathā katokāsañca vipākaṃ anuppannampi evaṃ kate okāse avassamuppattito okāsakatuppannaṃ nāma. Tāsu tāsu bhūmīsu asamūhatamakusalaṃ bhūmiladdhuppannaṃ nāma.

    เอตฺถ จ ภูมิยา ภูมิลทฺธสฺส จ นานตฺตํ เวทิตพฺพํฯ เสยฺยถิทํ – ภูมิ นาม วิปสฺสนาย อารมฺมณภูตา เตภูมกา ปญฺจกฺขนฺธาฯ ภูมิลทฺธํ นาม เตสุ อุปฺปตฺตารหํ กิเลสชาตํฯ เตน หิ สา ภูมิลทฺธา นาม โหตีติฯ ตสฺมา ‘‘ภูมิลทฺธ’’นฺติ วุจฺจติฯ ตญฺจ ปน น อารมฺมณวเสนฯ อารมฺมณวเสน หิ สเพฺพปิ อตีตาทิเภเท ปริญฺญาเตปิ จ ขีณาสวานํ ขเนฺธ อารพฺภ กิเลสา อุปฺปชฺชนฺติ มหากจฺจายนอุปฺปลวณฺณาทีนํ ขเนฺธ อารพฺภ โสเรยฺยเสฎฺฐิปุตฺตนนฺทมาณวกาทีนํ วิยฯ ยทิ เจตํ ภูมิลทฺธํ นาม สิยา, ตสฺส อปฺปเหยฺยโต น โกจิ ภวมูลํ ชเหยฺยฯ วตฺถุวเสน ปน ภูมิลทฺธํ นาม เวทิตพฺพํฯ ยตฺถ ยตฺถ หิ วิปสฺสนาย อปริญฺญาตา ขนฺธา อุปฺปชฺชนฺติ, ตตฺถ ตตฺถ อุปฺปาทโต ปภุติ เตสุ วฎฺฎมูลํ กิเลสชาตํ อนุเสติฯ ตํ อปฺปหีนเฎฺฐน ภูมิลทฺธุปฺปนฺนํ นามาติ เวทิตพฺพํฯ ตตฺถ จ ยสฺส ขเนฺธสุ อปฺปหีนานุสยิตา กิเลสา, ตสฺส เต เอว ขนฺธา เตสํ กิเลสานํ วตฺถุ, น อิตเร ขนฺธาฯ อตีตกฺขเนฺธสุ จสฺส อปฺปหีนานุสยิตานํ กิเลสานํ อตีตกฺขนฺธา เอว วตฺถุ, น อิตเรฯ เอเสว นโย อนาคตาทีสุฯ ตถา กามาวจรกฺขเนฺธสุ อปฺปหีนานุสยิตานํ กิเลสานํ กามาวจรกฺขนฺธา เอว วตฺถุ, น อิตเรฯ เอส นโย รูปารูปาวจเรสุฯ

    Ettha ca bhūmiyā bhūmiladdhassa ca nānattaṃ veditabbaṃ. Seyyathidaṃ – bhūmi nāma vipassanāya ārammaṇabhūtā tebhūmakā pañcakkhandhā. Bhūmiladdhaṃ nāma tesu uppattārahaṃ kilesajātaṃ. Tena hi sā bhūmiladdhā nāma hotīti. Tasmā ‘‘bhūmiladdha’’nti vuccati. Tañca pana na ārammaṇavasena. Ārammaṇavasena hi sabbepi atītādibhede pariññātepi ca khīṇāsavānaṃ khandhe ārabbha kilesā uppajjanti mahākaccāyanauppalavaṇṇādīnaṃ khandhe ārabbha soreyyaseṭṭhiputtanandamāṇavakādīnaṃ viya. Yadi cetaṃ bhūmiladdhaṃ nāma siyā, tassa appaheyyato na koci bhavamūlaṃ jaheyya. Vatthuvasena pana bhūmiladdhaṃ nāma veditabbaṃ. Yattha yattha hi vipassanāya apariññātā khandhā uppajjanti, tattha tattha uppādato pabhuti tesu vaṭṭamūlaṃ kilesajātaṃ anuseti. Taṃ appahīnaṭṭhena bhūmiladdhuppannaṃ nāmāti veditabbaṃ. Tattha ca yassa khandhesu appahīnānusayitā kilesā, tassa te eva khandhā tesaṃ kilesānaṃ vatthu, na itare khandhā. Atītakkhandhesu cassa appahīnānusayitānaṃ kilesānaṃ atītakkhandhā eva vatthu, na itare. Eseva nayo anāgatādīsu. Tathā kāmāvacarakkhandhesu appahīnānusayitānaṃ kilesānaṃ kāmāvacarakkhandhā eva vatthu, na itare. Esa nayo rūpārūpāvacaresu.

    โสตาปนฺนาทีนํ ปน ยสฺส ยสฺส อริยปุคฺคลสฺส ขเนฺธสุ ตํ ตํ วฎฺฎมูลํ กิเลสชาตํ เตน เตน มเคฺคน ปหีนํ, ตสฺส ตสฺส เต เต ขนฺธา ปหีนานํ เตสํ เตสํ วฎฺฎมูลกิเลสานํ อวตฺถุโต ภูมีติ สงฺขํ น ลภนฺติฯ ปุถุชฺชนสฺส ปน สพฺพโส วฎฺฎมูลานํ กิเลสานํ อปฺปหีนตฺตา ยํ กิญฺจิ กริยมานํ กมฺมํ กุสลํ วา อกุสลํ วา โหติ, อิจฺจสฺส กิเลสปฺปจฺจยา วฎฺฎํ วฑฺฒติฯ ตเสฺสตํ วฎฺฎมูลํ รูปกฺขเนฺธ เอว, น เวทนากฺขนฺธาทีสุ…เป.… วิญฺญาณกฺขเนฺธ เอว วา, น รูปกฺขนฺธาทีสูติ น วตฺตพฺพํฯ กสฺมา? อวิเสเสน ปญฺจสุ ขเนฺธสุ อนุสยิตตฺตาฯ กถํ? ปถวีรสาทิมิว รุเกฺขฯ ยถา หิ มหารุเกฺข ปถวีตลํ อธิฎฺฐาย ปถวีรสญฺจ อาโปรสญฺจ นิสฺสาย ตปฺปจฺจยา มูลขนฺธสาขปสาขปตฺตปลฺลวปลาสปุปฺผผเลหิ วฑฺฒิตฺวา นภํ ปูเรตฺวา ยาวกปฺปาวสานํ พีชปรมฺปราย รุกฺขปเวณีสนฺตาเน ฐิเต ‘‘ตํ ปถวีรสาทิ มูเล เอว, น ขนฺธาทีสุ, ผเล เอว วา, น มูลาทีสู’’ติ น วตฺตพฺพํฯ กสฺมา? อวิเสเสน สเพฺพเสฺวว มูลาทีสุ อนุคตตฺตา, เอวํฯ ยถา ปน ตเสฺสว รุกฺขสฺส ปุปฺผผลาทีสุ นิพฺพิโนฺน โกจิ ปุริโส จตูสุ ทิสาสุ มณฺฑูกกณฺฎกํ นาม รุเกฺข วิสํ ปโยเชยฺย, อถ โส รุโกฺข เตน วิสสมฺผเสฺสน ผุโฎฺฐ ปถวีรสอาโปรสปริยาทิเนฺนน อปฺปสวนธมฺมตํ อาคมฺม ปุน สนฺตานํ นิพฺพเตฺตตุํ สมโตฺถ น ภเวยฺย, เอวเมวํ ขนฺธปฺปวตฺติยํ นิพฺพิโนฺน กุลปุโตฺต ตสฺส ปุริสสฺส จตูสุ ทิสาสุ รุเกฺข วิสปฺปโยชนํ วิย อตฺตโน สนฺตาเน จตุมคฺคภาวนํ อารภติฯ อถสฺส โส ขนฺธสนฺตาโน เตน จตุมคฺควิสสมฺผเสฺสน สพฺพโส วฎฺฎมูลกิเลสานํ ปริยาทินฺนตฺตา กิริยภาวมตฺตมุปคตกายกมฺมาทิ สพฺพกมฺมปฺปเภโท อายติํ ปุนพฺภวาภินิพฺพตฺตธมฺมตมาคมฺม ภวนฺตรสนฺตานํ นิพฺพเตฺตตุํ สมโตฺถ น โหติฯ เกวลํ ปน จริมวิญฺญาณนิโรเธน นิรินฺธโน วิย ชาตเวโท อนุปาทาโน ปรินิพฺพาติฯ เอวํ ภูมิยา ภูมิลทฺธสฺส จ นานตฺตํ เวทิตพฺพํฯ

    Sotāpannādīnaṃ pana yassa yassa ariyapuggalassa khandhesu taṃ taṃ vaṭṭamūlaṃ kilesajātaṃ tena tena maggena pahīnaṃ, tassa tassa te te khandhā pahīnānaṃ tesaṃ tesaṃ vaṭṭamūlakilesānaṃ avatthuto bhūmīti saṅkhaṃ na labhanti. Puthujjanassa pana sabbaso vaṭṭamūlānaṃ kilesānaṃ appahīnattā yaṃ kiñci kariyamānaṃ kammaṃ kusalaṃ vā akusalaṃ vā hoti, iccassa kilesappaccayā vaṭṭaṃ vaḍḍhati. Tassetaṃ vaṭṭamūlaṃ rūpakkhandhe eva, na vedanākkhandhādīsu…pe… viññāṇakkhandhe eva vā, na rūpakkhandhādīsūti na vattabbaṃ. Kasmā? Avisesena pañcasu khandhesu anusayitattā. Kathaṃ? Pathavīrasādimiva rukkhe. Yathā hi mahārukkhe pathavītalaṃ adhiṭṭhāya pathavīrasañca āporasañca nissāya tappaccayā mūlakhandhasākhapasākhapattapallavapalāsapupphaphalehi vaḍḍhitvā nabhaṃ pūretvā yāvakappāvasānaṃ bījaparamparāya rukkhapaveṇīsantāne ṭhite ‘‘taṃ pathavīrasādi mūle eva, na khandhādīsu, phale eva vā, na mūlādīsū’’ti na vattabbaṃ. Kasmā? Avisesena sabbesveva mūlādīsu anugatattā, evaṃ. Yathā pana tasseva rukkhassa pupphaphalādīsu nibbinno koci puriso catūsu disāsu maṇḍūkakaṇṭakaṃ nāma rukkhe visaṃ payojeyya, atha so rukkho tena visasamphassena phuṭṭho pathavīrasaāporasapariyādinnena appasavanadhammataṃ āgamma puna santānaṃ nibbattetuṃ samattho na bhaveyya, evamevaṃ khandhappavattiyaṃ nibbinno kulaputto tassa purisassa catūsu disāsu rukkhe visappayojanaṃ viya attano santāne catumaggabhāvanaṃ ārabhati. Athassa so khandhasantāno tena catumaggavisasamphassena sabbaso vaṭṭamūlakilesānaṃ pariyādinnattā kiriyabhāvamattamupagatakāyakammādi sabbakammappabhedo āyatiṃ punabbhavābhinibbattadhammatamāgamma bhavantarasantānaṃ nibbattetuṃ samattho na hoti. Kevalaṃ pana carimaviññāṇanirodhena nirindhano viya jātavedo anupādāno parinibbāti. Evaṃ bhūmiyā bhūmiladdhassa ca nānattaṃ veditabbaṃ.

    อปิจ อปรมฺปิ สมุทาจารารมฺมณาธิคฺคหิตาวิกฺขมฺภิตาสมูหตวเสน จตุพฺพิธมุปฺปนฺนํฯ ตตฺถ วตฺตมานุปฺปนฺนเมว สมุทาจารุปฺปนฺนํฯ จกฺขาทีนํ ปน อาปาถคเต อารมฺมเณ ปุพฺพภาเค อนุปฺปชฺชมานมฺปิ กิเลสชาตํ อารมฺมณสฺส อธิคฺคหิตตฺตา เอว อปรภาเค อวสฺสมุปฺปตฺติโต อารมฺมณาธิคฺคหิตุปฺปนฺนนฺติ วุจฺจติฯ กลฺยาณิคาเม ปิณฺฑาย จรโต มหาติสฺสเตฺถรสฺส วิสภาครูปทสฺสเนน อุปฺปนฺนกิเลสชาตเญฺจตฺถ นิทสฺสนํฯ ตสฺส ‘‘อุปฺปนฺนํ กามวิตกฺก’’นฺติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๒๖; อ. นิ. ๖.๕๘) ปโยโค ทฎฺฐโพฺพฯ สมถวิปสฺสนานํ อญฺญตรวเสน อวิกฺขมฺภิตกิเลสชาตํ จิตฺตสนฺตติมนารูฬฺหํ อุปฺปตฺตินิวารกสฺส เหตุโน อภาวา อวิกฺขมฺภิตุปฺปนฺนํ นามฯ ตํ ‘‘อยมฺปิ โข, ภิกฺขเว, อานาปานสฺสติสมาธิ ภาวิโต พหุลีกโต สโนฺต เจว ปณีโต จ อเสจนโก จ สุโข จ วิหาโร อุปฺปนฺนุปฺปเนฺน ปาปเก อกุสเล ธเมฺม ฐานโส อนฺตรธาเปตี’’ติอาทีสุ (ปารา. ๑๖๕) ทฎฺฐพฺพํฯ สมถวิปสฺสนาวเสน วิกฺขมฺภิตมฺปิ กิเลสชาตํ อริยมเคฺคน อสมูหตตฺตา อุปฺปตฺติธมฺมตํ อนตีตนฺติ กตฺวา อสมูหตุปฺปนฺนนฺติ วุจฺจติฯ อากาเสน คจฺฉนฺตสฺส อฎฺฐสมาปตฺติลาภิโน เถรสฺส กุสุมิตรุเกฺข อุปวเน ปุปฺผานิ โอจินนฺตสฺส มธุรสฺสเรน คายโต มาตุคามสฺส คีตสฺสรํ สุตวโต อุปฺปนฺนกิเลสชาตเญฺจตฺถ นิทสฺสนํฯ ตสฺส ‘‘อริยํ อฎฺฐงฺคิกํ มคฺคํ พหุลีกโรโนฺต อุปฺปนฺนุปฺปเนฺน ปาปเก อกุสเล ธเมฺม อนฺตราเยว อนฺตรธาเปตี’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๕.๑๕๗) ปโยโค ทฎฺฐโพฺพฯ ติวิธมฺปิ เจตํ อารมฺมณาธิคฺคหิตาวิกฺขมฺภิตาสมูหตุปฺปนฺนํ ภูมิลเทฺธเนว สงฺคหํ คจฺฉตีติ เวทิตพฺพํฯ

    Apica aparampi samudācārārammaṇādhiggahitāvikkhambhitāsamūhatavasena catubbidhamuppannaṃ. Tattha vattamānuppannameva samudācāruppannaṃ. Cakkhādīnaṃ pana āpāthagate ārammaṇe pubbabhāge anuppajjamānampi kilesajātaṃ ārammaṇassa adhiggahitattā eva aparabhāge avassamuppattito ārammaṇādhiggahituppannanti vuccati. Kalyāṇigāme piṇḍāya carato mahātissattherassa visabhāgarūpadassanena uppannakilesajātañcettha nidassanaṃ. Tassa ‘‘uppannaṃ kāmavitakka’’ntiādīsu (ma. ni. 1.26; a. ni. 6.58) payogo daṭṭhabbo. Samathavipassanānaṃ aññataravasena avikkhambhitakilesajātaṃ cittasantatimanārūḷhaṃ uppattinivārakassa hetuno abhāvā avikkhambhituppannaṃ nāma. Taṃ ‘‘ayampi kho, bhikkhave, ānāpānassatisamādhi bhāvito bahulīkato santo ceva paṇīto ca asecanako ca sukho ca vihāro uppannuppanne pāpake akusale dhamme ṭhānaso antaradhāpetī’’tiādīsu (pārā. 165) daṭṭhabbaṃ. Samathavipassanāvasena vikkhambhitampi kilesajātaṃ ariyamaggena asamūhatattā uppattidhammataṃ anatītanti katvā asamūhatuppannanti vuccati. Ākāsena gacchantassa aṭṭhasamāpattilābhino therassa kusumitarukkhe upavane pupphāni ocinantassa madhurassarena gāyato mātugāmassa gītassaraṃ sutavato uppannakilesajātañcettha nidassanaṃ. Tassa ‘‘ariyaṃ aṭṭhaṅgikaṃ maggaṃ bahulīkaronto uppannuppanne pāpake akusale dhamme antarāyeva antaradhāpetī’’tiādīsu (saṃ. ni. 5.157) payogo daṭṭhabbo. Tividhampi cetaṃ ārammaṇādhiggahitāvikkhambhitāsamūhatuppannaṃ bhūmiladdheneva saṅgahaṃ gacchatīti veditabbaṃ.

    เอวเมตสฺมิํ ยถาวุตฺตปฺปเภเท อุปฺปเนฺน ภูมิลทฺธารมฺมณาธิคฺคหิตาวิกฺขมฺภิตาสมูหตุปฺปนฺนวเสนายํ โกโธ อุปฺปโนฺนติ เวทิตโพฺพฯ กสฺมา? เอวํวิธสฺส วิเนตพฺพโตฯ เอวํวิธเมว หิ อุปฺปนฺนํ เยน เกนจิ วินเยน วิเนตุํ สกฺกา โหติฯ ยํ ปเนตํ วตฺตมานภุตฺวาปคโตกาสกตสมุทาจารสงฺขาตํ อุปฺปนฺนํ, เอตฺถ อผโล จ อสโกฺย จ วายาโมฯ อผโล หิ ภุตฺวาปคเต วายาโม วายามนฺตเรนาปิ ตสฺส นิรุทฺธตฺตาฯ ตถา โอกาสกเตฯ อสโกฺย จ วตฺตมานสมุทาจารุปฺปเนฺน กิเลสโวทานานํ เอกชฺฌมนุปฺปตฺติโตติฯ

    Evametasmiṃ yathāvuttappabhede uppanne bhūmiladdhārammaṇādhiggahitāvikkhambhitāsamūhatuppannavasenāyaṃ kodho uppannoti veditabbo. Kasmā? Evaṃvidhassa vinetabbato. Evaṃvidhameva hi uppannaṃ yena kenaci vinayena vinetuṃ sakkā hoti. Yaṃ panetaṃ vattamānabhutvāpagatokāsakatasamudācārasaṅkhātaṃ uppannaṃ, ettha aphalo ca asakyo ca vāyāmo. Aphalo hi bhutvāpagate vāyāmo vāyāmantarenāpi tassa niruddhattā. Tathā okāsakate. Asakyo ca vattamānasamudācāruppanne kilesavodānānaṃ ekajjhamanuppattitoti.

    วิเนตีติ เอตฺถ ปน –

    Vinetīti ettha pana –

    ‘‘ทุวิโธ วินโย นาม, เอกเมเกตฺถ ปญฺจธา;

    ‘‘Duvidho vinayo nāma, ekamekettha pañcadhā;

    เตสุ อฎฺฐวิเธเนส, วิเนตีติ ปวุจฺจติ’’ฯ

    Tesu aṭṭhavidhenesa, vinetīti pavuccati’’.

    อยญฺหิ สํวรวินโย, ปหานวินโยติ ทุวิโธ วินโยฯ เอตฺถ จ ทุวิเธ วินเย เอกเมโก วินโย ปญฺจธา ภิชฺชติฯ สํวรวินโยปิ หิ สีลสํวโร, สติสํวโร, ญาณสํวโร, ขนฺติสํวโร, วีริยสํวโรติ ปญฺจวิโธฯ ปหานวินโยปิ ตทงฺคปฺปหานํ, วิกฺขมฺภนปฺปหานํ, สมุเจฺฉทปฺปหานํ, ปฎิปฺปสฺสทฺธิปฺปหานํ, นิสฺสรณปฺปหานนฺติ ปญฺจวิโธฯ

    Ayañhi saṃvaravinayo, pahānavinayoti duvidho vinayo. Ettha ca duvidhe vinaye ekameko vinayo pañcadhā bhijjati. Saṃvaravinayopi hi sīlasaṃvaro, satisaṃvaro, ñāṇasaṃvaro, khantisaṃvaro, vīriyasaṃvaroti pañcavidho. Pahānavinayopi tadaṅgappahānaṃ, vikkhambhanappahānaṃ, samucchedappahānaṃ, paṭippassaddhippahānaṃ, nissaraṇappahānanti pañcavidho.

    ตตฺถ ‘‘อิมินา ปาติโมกฺขสํวเรน อุเปโต โหติ สมุเปโต’’ติอาทีสุ (วิภ. ๕๑๑) สีลสํวโร, ‘‘รกฺขติ จกฺขุนฺทฺริยํ, จกฺขุนฺทฺริเย สํวรํ อาปชฺชตี’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๑.๒๑๓; ม. นิ. ๑.๒๙๕; สํ. นิ. ๔.๒๓๙; อ. นิ. ๓.๑๖) สติสํวโร

    Tattha ‘‘iminā pātimokkhasaṃvarena upeto hoti samupeto’’tiādīsu (vibha. 511) sīlasaṃvaro, ‘‘rakkhati cakkhundriyaṃ, cakkhundriye saṃvaraṃ āpajjatī’’tiādīsu (dī. ni. 1.213; ma. ni. 1.295; saṃ. ni. 4.239; a. ni. 3.16) satisaṃvaro.

    ‘‘ยานิ โสตานิ โลกสฺมิํ, (อชิตาติ ภควา)

    ‘‘Yāni sotāni lokasmiṃ, (ajitāti bhagavā)

    สติ เตสํ นิวารณํ;

    Sati tesaṃ nivāraṇaṃ;

    โสตานํ สํวรํ พฺรูมิ,

    Sotānaṃ saṃvaraṃ brūmi,

    ปญฺญาเยเต ปิธียเร’’ติฯ (สุ. นิ. ๑๐๔๑) –

    Paññāyete pidhīyare’’ti. (su. ni. 1041) –

    อาทีสุ ญาณสํวโร, ‘‘ขโม โหติ สีตสฺส อุณฺหสฺสา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๒๔; อ. นิ. ๔.๑๑๔) ขนฺติสํวโร, ‘‘อุปฺปนฺนํ กามวิตกฺกํ นาธิวาเสติ, ปชหติ, วิโนเทตี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๒๖; อ. นิ. ๔.๑๑๔) วีริยสํวโร เวทิตโพฺพฯ สโพฺพปิ จายํ สํวโร ยถาสกํ สํวริตพฺพานํ วิเนตพฺพานญฺจ กายวจีทุจฺจริตาทีนํ สํวรณโต สํวโร, วินยนโต วินโยติ วุจฺจติฯ เอวํ ตาว สํวรวินโย ปญฺจธา ภิชฺชตีติ เวทิตโพฺพฯ

    Ādīsu ñāṇasaṃvaro, ‘‘khamo hoti sītassa uṇhassā’’tiādīsu (ma. ni. 1.24; a. ni. 4.114) khantisaṃvaro, ‘‘uppannaṃ kāmavitakkaṃ nādhivāseti, pajahati, vinodetī’’tiādīsu (ma. ni. 1.26; a. ni. 4.114) vīriyasaṃvaro veditabbo. Sabbopi cāyaṃ saṃvaro yathāsakaṃ saṃvaritabbānaṃ vinetabbānañca kāyavacīduccaritādīnaṃ saṃvaraṇato saṃvaro, vinayanato vinayoti vuccati. Evaṃ tāva saṃvaravinayo pañcadhā bhijjatīti veditabbo.

    ตถา ยํ นามรูปปริเจฺฉทาทีสุ วิปสฺสนเงฺคสุ ยาว อตฺตโน อปริหานวเสน ปวตฺติ, ตาว เตน เตน ญาเณน ตสฺส ตสฺส อนตฺถสนฺตานสฺส ปหานํฯ เสยฺยถิทํ – นามรูปววตฺถาเนน สกฺกายทิฎฺฐิยา, ปจฺจยปริคฺคเหน อเหตุวิสมเหตุทิฎฺฐีนํ, ตเสฺสว อปรภาเคน กงฺขาวิตรเณน กถํกถีภาวสฺส, กลาปสมฺมสเนน ‘‘อหํ มมา’’ติ คาหสฺส, มคฺคามคฺคววตฺถาเนน อมเคฺค มคฺคสญฺญาย, อุทยทสฺสเนน อุเจฺฉททิฎฺฐิยา, วยทสฺสเนน สสฺสตทิฎฺฐิยา, ภยทสฺสเนน สภเยสุ อภยสญฺญาย, อาทีนวทสฺสเนน อสฺสาทสญฺญาย, นิพฺพิทานุปสฺสเนน อภิรติสญฺญาย, มุจฺจิตุกมฺยตาญาเณน อมุจฺจิตุกมฺยตาย, อุเปกฺขาญาเณน อนุเปกฺขาย, อนุโลเมน ธมฺมฎฺฐิติยํ นิพฺพาเน จ ปฎิโลมภาวสฺส, โคตฺรภุนา สงฺขารนิมิตฺตคฺคาหสฺส ปหานํ, เอตํ ตทงฺคปฺปหานํ นามฯ ยํ ปน อุปจารปฺปนาเภทสฺส สมาธิโน ยาว อตฺตโน อปริหานิปวตฺติ , ตาว เตนาภิหตานํ นีวรณานํ ยถาสกํ วิตกฺกาทิปจฺจนีกธมฺมานญฺจ อนุปฺปตฺติสงฺขาตํ ปหานํ, เอตํ วิกฺขมฺภนปฺปหานํ นามฯ ยํ ปน จตุนฺนํ อริยมคฺคานํ ภาวิตตฺตา ตํตํมคฺควโต อตฺตโน สนฺตาเน ยถาสกํ ‘‘ทิฎฺฐิคตานํ ปหานายา’’ติอาทินา (ธ. ส. ๒๗๗) นเยน วุตฺตสฺส สมุทยปกฺขิกสฺส กิเลสคหนสฺส ปุน อจฺจนฺตอปฺปวตฺติภาเวน สมุเจฺฉทสงฺขาตํ ปหานํ, อิทํ สมุเจฺฉทปฺปหานํ นามฯ ยํ ปน ผลกฺขเณ ปฎิปฺปสฺสทฺธตฺตํ กิเลสานํ ปหานํ, อิทํ ปฎิปฺปสฺสทฺธิปฺปหานํ นามฯ ยํ ปน สพฺพสงฺขตนิสฺสรณตฺตา ปหีนสพฺพสงฺขตํ นิพฺพานํ, เอตํ นิสฺสรณปฺปหานํ นามฯ สพฺพมฺปิ เจตํ ปหานํ ยสฺมา จาคเฎฺฐน ปหานํ, วินยนเฎฺฐน วินโย, ตสฺมา ‘‘ปหานวินโย’’ติ วุจฺจติ, ตํตํปหานวโต วา ตสฺส ตสฺส วินยสฺส สมฺภวโตเปตํ ‘‘ปหานวินโย’’ติ วุจฺจติฯ เอวํ ปหานวินโยปิ ปญฺจธา ภิชฺชตีติ เวทิตโพฺพฯ เอวเมเกกสฺส ปญฺจธา ภินฺนตฺตา ทเสเต วินยา โหนฺติฯ

    Tathā yaṃ nāmarūpaparicchedādīsu vipassanaṅgesu yāva attano aparihānavasena pavatti, tāva tena tena ñāṇena tassa tassa anatthasantānassa pahānaṃ. Seyyathidaṃ – nāmarūpavavatthānena sakkāyadiṭṭhiyā, paccayapariggahena ahetuvisamahetudiṭṭhīnaṃ, tasseva aparabhāgena kaṅkhāvitaraṇena kathaṃkathībhāvassa, kalāpasammasanena ‘‘ahaṃ mamā’’ti gāhassa, maggāmaggavavatthānena amagge maggasaññāya, udayadassanena ucchedadiṭṭhiyā, vayadassanena sassatadiṭṭhiyā, bhayadassanena sabhayesu abhayasaññāya, ādīnavadassanena assādasaññāya, nibbidānupassanena abhiratisaññāya, muccitukamyatāñāṇena amuccitukamyatāya, upekkhāñāṇena anupekkhāya, anulomena dhammaṭṭhitiyaṃ nibbāne ca paṭilomabhāvassa, gotrabhunā saṅkhāranimittaggāhassa pahānaṃ, etaṃ tadaṅgappahānaṃ nāma. Yaṃ pana upacārappanābhedassa samādhino yāva attano aparihānipavatti , tāva tenābhihatānaṃ nīvaraṇānaṃ yathāsakaṃ vitakkādipaccanīkadhammānañca anuppattisaṅkhātaṃ pahānaṃ, etaṃ vikkhambhanappahānaṃ nāma. Yaṃ pana catunnaṃ ariyamaggānaṃ bhāvitattā taṃtaṃmaggavato attano santāne yathāsakaṃ ‘‘diṭṭhigatānaṃ pahānāyā’’tiādinā (dha. sa. 277) nayena vuttassa samudayapakkhikassa kilesagahanassa puna accantaappavattibhāvena samucchedasaṅkhātaṃ pahānaṃ, idaṃ samucchedappahānaṃ nāma. Yaṃ pana phalakkhaṇe paṭippassaddhattaṃ kilesānaṃ pahānaṃ, idaṃ paṭippassaddhippahānaṃ nāma. Yaṃ pana sabbasaṅkhatanissaraṇattā pahīnasabbasaṅkhataṃ nibbānaṃ, etaṃ nissaraṇappahānaṃ nāma. Sabbampi cetaṃ pahānaṃ yasmā cāgaṭṭhena pahānaṃ, vinayanaṭṭhena vinayo, tasmā ‘‘pahānavinayo’’ti vuccati, taṃtaṃpahānavato vā tassa tassa vinayassa sambhavatopetaṃ ‘‘pahānavinayo’’ti vuccati. Evaṃ pahānavinayopi pañcadhā bhijjatīti veditabbo. Evamekekassa pañcadhā bhinnattā dasete vinayā honti.

    เตสุ ปฎิปฺปสฺสทฺธิวินยํ นิสฺสรณวินยญฺจ ฐเปตฺวา อวเสเสน อฎฺฐวิเธน วินเยเนส เตน เตน ปริยาเยน วิเนตีติ ปวุจฺจติฯ กถํ? สีลสํวเรน กายวจีทุจฺจริตานิ วิเนโนฺตปิ หิ ตํสมฺปยุตฺตํ โกธํ วิเนติ, สติปญฺญาสํวเรหิ อภิชฺฌาโทมนสฺสาทีนิ วิเนโนฺตปิ โทมนสฺสสมฺปยุตฺตํ โกธํ วิเนติ, ขนฺติสํวเรน สีตาทีนิ ขมโนฺตปิ ตํตํอาฆาตวตฺถุสมฺภวํ โกธํ วิเนติ, วีริยสํวเรน พฺยาปาทวิตกฺกํ วิเนโนฺตปิ ตํสมฺปยุตฺตํ โกธํ วิเนติฯ เยหิ ธเมฺมหิ ตทงฺควิกฺขมฺภนสมุเจฺฉทปฺปหานานิ โหนฺติ, เตสํ ธมฺมานํ อตฺตนิ นิพฺพตฺตเนน เต เต ธเมฺม ปชหโนฺตปิ ตทงฺคปฺปหาตพฺพํ วิกฺขเมฺภตพฺพํ สมุจฺฉินฺทิตพฺพญฺจ โกธํ วิเนติฯ กามเญฺจตฺถ ปหานวินเยน วินโย น สมฺภวติฯ เยหิ ปน ธเมฺมหิ ปหานํ โหติ, เตหิ วิเนโนฺตปิ ปริยายโต ‘‘ปหานวินเยน วิเนตี’’ติ วุจฺจติฯ ปฎิปฺปสฺสทฺธิปฺปหานกาเล ปน วิเนตพฺพาภาวโต นิสฺสรณปฺปหานสฺส จ อนุปฺปาเทตพฺพโต น เตหิ กิญฺจิ วิเนตีติ วุจฺจติฯ เอวํ เตสุ ปฎิปฺปสฺสทฺธิวินยํ นิสฺสรณวินยญฺจ ฐเปตฺวา อวเสเสน อฎฺฐวิเธน วินเยเนส เตน เตน ปริยาเยน วิเนตีติ ปวุจฺจตีติฯ เย วา –

    Tesu paṭippassaddhivinayaṃ nissaraṇavinayañca ṭhapetvā avasesena aṭṭhavidhena vinayenesa tena tena pariyāyena vinetīti pavuccati. Kathaṃ? Sīlasaṃvarena kāyavacīduccaritāni vinentopi hi taṃsampayuttaṃ kodhaṃ vineti, satipaññāsaṃvarehi abhijjhādomanassādīni vinentopi domanassasampayuttaṃ kodhaṃ vineti, khantisaṃvarena sītādīni khamantopi taṃtaṃāghātavatthusambhavaṃ kodhaṃ vineti, vīriyasaṃvarena byāpādavitakkaṃ vinentopi taṃsampayuttaṃ kodhaṃ vineti. Yehi dhammehi tadaṅgavikkhambhanasamucchedappahānāni honti, tesaṃ dhammānaṃ attani nibbattanena te te dhamme pajahantopi tadaṅgappahātabbaṃ vikkhambhetabbaṃ samucchinditabbañca kodhaṃ vineti. Kāmañcettha pahānavinayena vinayo na sambhavati. Yehi pana dhammehi pahānaṃ hoti, tehi vinentopi pariyāyato ‘‘pahānavinayena vinetī’’ti vuccati. Paṭippassaddhippahānakāle pana vinetabbābhāvato nissaraṇappahānassa ca anuppādetabbato na tehi kiñci vinetīti vuccati. Evaṃ tesu paṭippassaddhivinayaṃ nissaraṇavinayañca ṭhapetvā avasesena aṭṭhavidhena vinayenesa tena tena pariyāyena vinetīti pavuccatīti. Ye vā –

    ‘‘ปญฺจิเม, ภิกฺขเว, อาฆาตปฎิวินยา, ยตฺถ ภิกฺขุโน อุปฺปโนฺน อาฆาโต สพฺพโส ปฎิวิเนตโพฺพฯ กตเม ปญฺจ? ยสฺมิํ, ภิกฺขเว, ปุคฺคเล อาฆาโต ชาเยถ, เมตฺตา ตสฺมิํ ปุคฺคเล ภาเวตพฺพา…เป.… กรุณา… อุเปกฺขา… อสติ-อมนสิกาโร ตสฺมิํ ปุคฺคเล อาปชฺชิตโพฺพ, เอวํ ตสฺมิํ ปุคฺคเล อาฆาโต ปฎิวิเนตโพฺพฯ กมฺมสฺสกตา เอว วา ตสฺมิํ ปุคฺคเล อธิฎฺฐาตพฺพา กมฺมสฺสโก อยมายสฺมา…เป.… ทายาโท ภวิสฺสตี’’ติ (อ. นิ. ๕.๑๖๑) –

    ‘‘Pañcime, bhikkhave, āghātapaṭivinayā, yattha bhikkhuno uppanno āghāto sabbaso paṭivinetabbo. Katame pañca? Yasmiṃ, bhikkhave, puggale āghāto jāyetha, mettā tasmiṃ puggale bhāvetabbā…pe… karuṇā… upekkhā… asati-amanasikāro tasmiṃ puggale āpajjitabbo, evaṃ tasmiṃ puggale āghāto paṭivinetabbo. Kammassakatā eva vā tasmiṃ puggale adhiṭṭhātabbā kammassako ayamāyasmā…pe… dāyādo bhavissatī’’ti (a. ni. 5.161) –

    เอวํ ปญฺจ อาฆาตปฎิวินยา วุตฺตาฯ เย จ –

    Evaṃ pañca āghātapaṭivinayā vuttā. Ye ca –

    ‘‘ปญฺจิเม, อาวุโส, อาฆาตปฎิวินยา, ยตฺถ ภิกฺขุโน อุปฺปโนฺน อาฆาโต สพฺพโส ปฎิวิเนตโพฺพฯ กตเม ปญฺจ? อิธาวุโส , เอกโจฺจ ปุคฺคโล อปริสุทฺธกายสมาจาโร โหติ, ปริสุทฺธวจีสมาจาโร, เอวรูเปปิ, อาวุโส, ปุคฺคเล อาฆาโต ปฎิวิเนตโพฺพ’’ติ (อ. นิ. ๕.๑๖๒) –

    ‘‘Pañcime, āvuso, āghātapaṭivinayā, yattha bhikkhuno uppanno āghāto sabbaso paṭivinetabbo. Katame pañca? Idhāvuso , ekacco puggalo aparisuddhakāyasamācāro hoti, parisuddhavacīsamācāro, evarūpepi, āvuso, puggale āghāto paṭivinetabbo’’ti (a. ni. 5.162) –

    เอวมาทินาปิ นเยน ปญฺจ อาฆาตปฎิวินยา วุตฺตาฯ เตสุ เยน เกนจิ อาฆาตปฎิวินเยน วิเนโนฺตเปส วิเนตีติ ปวุจฺจติฯ อปิจ ยสฺมา –

    Evamādināpi nayena pañca āghātapaṭivinayā vuttā. Tesu yena kenaci āghātapaṭivinayena vinentopesa vinetīti pavuccati. Apica yasmā –

    ‘‘อุภโตทณฺฑเกน เจปิ, ภิกฺขเว, กกเจน โจรา โอจรกา องฺคมงฺคานิ โอกฺกเนฺตยฺยุํ, ตตฺราปิ โย มโน ปโทเสยฺย, น เม โส เตน สาสนกโร’’ติ (ม. นิ. ๑.๒๓๒) –-

    ‘‘Ubhatodaṇḍakena cepi, bhikkhave, kakacena corā ocarakā aṅgamaṅgāni okkanteyyuṃ, tatrāpi yo mano padoseyya, na me so tena sāsanakaro’’ti (ma. ni. 1.232) –-

    เอวํ สตฺถุ โอวาทํ,

    Evaṃ satthu ovādaṃ,

    ‘‘ตเสฺสว เตน ปาปิโย, โย กุทฺธํ ปฎิกุชฺฌติ;

    ‘‘Tasseva tena pāpiyo, yo kuddhaṃ paṭikujjhati;

    กุทฺธํ อปฺปฎิกุชฺฌโนฺต, สงฺคามํ เชติ ทุชฺชยํฯ

    Kuddhaṃ appaṭikujjhanto, saṅgāmaṃ jeti dujjayaṃ.

    ‘‘อุภินฺนมตฺถํ จรติ, อตฺตโน จ ปรสฺส จ;

    ‘‘Ubhinnamatthaṃ carati, attano ca parassa ca;

    ปรํ สงฺกุปิตํ ญตฺวา, โย สโต อุปสมฺมติ’’ฯ (สํ. นิ. ๑.๑๘๘);

    Paraṃ saṅkupitaṃ ñatvā, yo sato upasammati’’. (saṃ. ni. 1.188);

    ‘‘สตฺติเม, ภิกฺขเว, ธมฺมา สปตฺตกนฺตา สปตฺตกรณา โกธนํ อาคจฺฉนฺติ อิตฺถิํ วา ปุริสํ วาฯ กตเม สตฺต? อิธ, ภิกฺขเว, สปโตฺต สปตฺตสฺส เอวํ อิจฺฉติ – ‘อโห, วตายํ ทุพฺพโณฺณ อสฺสา’ติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? น, ภิกฺขเว, สปโตฺต สปตฺตสฺส วณฺณวตาย นนฺทติฯ โกธนายํ, ภิกฺขเว, ปุริสปุคฺคโล โกธาภิภูโต โกธปเรโต กิญฺจาปิ โส โหติ สุนฺหาโต สุวิลิโตฺต กปฺปิตเกสมสฺสุ โอทาตวตฺถวสโน, อถ โข โส ทุพฺพโณฺณว โหติ โกธาภิภูโตฯ อยํ, ภิกฺขเว, ปฐโม ธโมฺม สปตฺตกโนฺต สปตฺตกรโณ โกธนํ อาคจฺฉติ อิตฺถิํ วา ปุริสํ วา (อ. นิ. ๗.๖๔)ฯ

    ‘‘Sattime, bhikkhave, dhammā sapattakantā sapattakaraṇā kodhanaṃ āgacchanti itthiṃ vā purisaṃ vā. Katame satta? Idha, bhikkhave, sapatto sapattassa evaṃ icchati – ‘aho, vatāyaṃ dubbaṇṇo assā’ti. Taṃ kissa hetu? Na, bhikkhave, sapatto sapattassa vaṇṇavatāya nandati. Kodhanāyaṃ, bhikkhave, purisapuggalo kodhābhibhūto kodhapareto kiñcāpi so hoti sunhāto suvilitto kappitakesamassu odātavatthavasano, atha kho so dubbaṇṇova hoti kodhābhibhūto. Ayaṃ, bhikkhave, paṭhamo dhammo sapattakanto sapattakaraṇo kodhanaṃ āgacchati itthiṃ vā purisaṃ vā (a. ni. 7.64).

    ‘‘ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, สปโตฺต สปตฺตสฺส เอวํ อิจฺฉติ – ‘อโห, วตายํ ทุกฺขํ สเยยฺยา’ติ…เป.… ‘น ปจุรโตฺถ อสฺสา’ติ…เป.… ‘น โภควา อสฺสา’ติ…เป.… ‘น ยสวา อสฺสา’ติ…เป.… ‘น มิตฺตวา อสฺสา’ติ…เป.… ‘กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคติํ วินิปาตํ นิรยํ อุปปเชฺชยฺยา’ติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? น, ภิกฺขเว, สปโตฺต สปตฺตสฺส สุคติคมเนน นนฺทติฯ โกธนายํ, ภิกฺขเว, ปุริสปุคฺคโล โกธาภิภูโต โกธปเรโต กาเยน ทุจฺจริตํ จรติ, วาจาย… มนสา ทุจฺจริตํ จรติฯ โส กาเยน ทุจฺจริตํ จริตฺวา…เป.… วาจาย…เป.… มนสา ทุจฺจริตํ จริตฺวา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา…เป.… นิรยํ อุปปชฺชติ โกธาภิภูโต’’ติ (อ. นิ. ๗.๖๔)ฯ

    ‘‘Puna caparaṃ, bhikkhave, sapatto sapattassa evaṃ icchati – ‘aho, vatāyaṃ dukkhaṃ sayeyyā’ti…pe… ‘na pacurattho assā’ti…pe… ‘na bhogavā assā’ti…pe… ‘na yasavā assā’ti…pe… ‘na mittavā assā’ti…pe… ‘kāyassa bhedā paraṃ maraṇā apāyaṃ duggatiṃ vinipātaṃ nirayaṃ upapajjeyyā’ti. Taṃ kissa hetu? Na, bhikkhave, sapatto sapattassa sugatigamanena nandati. Kodhanāyaṃ, bhikkhave, purisapuggalo kodhābhibhūto kodhapareto kāyena duccaritaṃ carati, vācāya… manasā duccaritaṃ carati. So kāyena duccaritaṃ caritvā…pe… vācāya…pe… manasā duccaritaṃ caritvā kāyassa bhedā paraṃ maraṇā…pe… nirayaṃ upapajjati kodhābhibhūto’’ti (a. ni. 7.64).

    ‘‘กุโทฺธ อตฺถํ น ชานาติ, กุโทฺธ ธมฺมํ น ปสฺสติ…เป.…ฯ (อ. นิ. ๗.๖๔; มหานิ. ๕);

    ‘‘Kuddho atthaṃ na jānāti, kuddho dhammaṃ na passati…pe…. (a. ni. 7.64; mahāni. 5);

    ‘‘เยน โกเธน กุทฺธาเส, สตฺตา คจฺฉนฺติ ทุคฺคติํ;

    ‘‘Yena kodhena kuddhāse, sattā gacchanti duggatiṃ;

    ตํ โกธํ สมฺมทญฺญาย, ปชหนฺติ วิปสฺสิโนฯ (อิติวุ. ๔);

    Taṃ kodhaṃ sammadaññāya, pajahanti vipassino. (itivu. 4);

    ‘‘โกธํ ชเห วิปฺปชเหยฺย มานํ, สํโยชนํ สพฺพมติกฺกเมยฺยฯ (ธ. ป. ๒๒๑);

    ‘‘Kodhaṃ jahe vippajaheyya mānaṃ, saṃyojanaṃ sabbamatikkameyya. (dha. pa. 221);

    ‘‘อนตฺถชนโน โกโธ, โกโธ จิตฺตปฺปโกปโนฯ (อ. นิ. ๗.๖๔; อิติวุ. ๘๘);

    ‘‘Anatthajanano kodho, kodho cittappakopano. (a. ni. 7.64; itivu. 88);

    ‘‘เอกาปราธํ ขม ภูริปญฺญ, น ปณฺฑิตา โกธพลา ภวนฺตี’’ติฯ (ชา. ๑.๑๕.๑๙) –

    ‘‘Ekāparādhaṃ khama bhūripañña, na paṇḍitā kodhabalā bhavantī’’ti. (jā. 1.15.19) –

    เอวมาทินา นเยน โกเธ อาทีนวญฺจ ปจฺจเวกฺขโตปิ โกโธ วินยํ อุเปติฯ ตสฺมา เอวํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา โกธํ วิเนโนฺตปิ เอส วิเนตีติ วุจฺจติฯ

    Evamādinā nayena kodhe ādīnavañca paccavekkhatopi kodho vinayaṃ upeti. Tasmā evaṃ paccavekkhitvā kodhaṃ vinentopi esa vinetīti vuccati.

    โกธนฺติ ‘‘อนตฺถํ เม อจรีติ อาฆาโต ชายตี’’ติอาทินา (ที. นิ. ๓.๓๔๐; อ. นิ. ๙.๒๙) นเยน สุเตฺต วุตฺตานํ นวนฺนํ, ‘‘อตฺถํ เม น จรี’’ติ อาทีนญฺจ ตปฺปฎิปกฺขโต สิทฺธานํ นวนฺนเมวาติ อฎฺฐารสนฺนํ, ขาณุกณฺฎกาทินา อฎฺฐาเนน สทฺธิํ เอกูนวีสติยา อาฆาตวตฺถูนํ อญฺญตราฆาตวตฺถุสมฺภวํ อาฆาตํฯ วิสฎนฺติ วิตฺถตํฯ สปฺปวิสนฺติ สปฺปสฺส วิสํฯ อิวาติ โอปมฺมวจนํ, อิ-การ โลปํ กตฺวา ว-อิเจฺจว วุตฺตํฯ โอสเธหีติ อคเทหิฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยถา วิสติกิจฺฉโก เวโชฺช สเปฺปน ทฎฺฐํ สพฺพํ กายํ ผริตฺวา ฐิตํ วิสฎํ สปฺปวิสํ มูลขนฺธตจปตฺตปุปฺผาทีนํ อญฺญตเรหิ นานาเภสเชฺชหิ ปโยเชตฺวา กเตหิ วา โอสเธหิ ขิปฺปเมว วิเนยฺย, เอวเมวํ โย ยถาวุเตฺตนเตฺถน อุปฺปติตํ จิตฺตสนฺตานํ พฺยาเปตฺวา ฐิตํ โกธํ ยถาวุเตฺตสุ วินยนูปาเยสุ เยน เกนจิ อุปาเยน วิเนติ นาธิวาเสติ ปชหติ วิโนเทติ พฺยนฺตีกโรตีติฯ

    Kodhanti ‘‘anatthaṃ me acarīti āghāto jāyatī’’tiādinā (dī. ni. 3.340; a. ni. 9.29) nayena sutte vuttānaṃ navannaṃ, ‘‘atthaṃ me na carī’’ti ādīnañca tappaṭipakkhato siddhānaṃ navannamevāti aṭṭhārasannaṃ, khāṇukaṇṭakādinā aṭṭhānena saddhiṃ ekūnavīsatiyā āghātavatthūnaṃ aññatarāghātavatthusambhavaṃ āghātaṃ. Visaṭanti vitthataṃ. Sappavisanti sappassa visaṃ. Ivāti opammavacanaṃ, i-kāra lopaṃ katvā va-icceva vuttaṃ. Osadhehīti agadehi. Idaṃ vuttaṃ hoti – yathā visatikicchako vejjo sappena daṭṭhaṃ sabbaṃ kāyaṃ pharitvā ṭhitaṃ visaṭaṃ sappavisaṃ mūlakhandhatacapattapupphādīnaṃ aññatarehi nānābhesajjehi payojetvā katehi vā osadhehi khippameva vineyya, evamevaṃ yo yathāvuttenatthena uppatitaṃ cittasantānaṃ byāpetvā ṭhitaṃ kodhaṃ yathāvuttesu vinayanūpāyesu yena kenaci upāyena vineti nādhivāseti pajahati vinodeti byantīkarotīti.

    โส ภิกฺขุ ชหาติ โอรปารนฺติ โส เอวํ โกธํ วิเนโนฺต ภิกฺขุ ยสฺมา โกโธ ตติยมเคฺคน สพฺพโส ปหียติ, ตสฺมา โอรปารสญฺญิตานิ ปโญฺจรมฺภาคิยสํโยชนานิ ชหาตีติ เวทิตโพฺพฯ อวิเสเสน หิ ปารนฺติ ตีรสฺส นามํ, ตสฺมา โอรานิ จ ตานิ สํสารสาครสฺส ปารภูตานิ จาติ กตฺวา ‘‘โอรปาร’’นฺติ วุจฺจติฯ อถ วา ‘‘โย อุปฺปติตํ วิเนติ โกธํ วิสฎํ สปฺปวิสํว โอสเธหิ’’, โส ตติยมเคฺคน สพฺพโส โกธํ วิเนตฺวา อนาคามิผเล ฐิโต ภิกฺขุ ชหาติ โอรปารํฯ ตตฺถ โอรนฺติ สกตฺตภาโว, ปารนฺติ ปรตฺตภาโวฯ โอรํ วา ฉ อชฺฌตฺติกานิ อายตนานิ, ปารํ ฉ พาหิรายตนานิฯ ตถา โอรํ มนุสฺสโลโก, ปารํ เทวโลโกฯ โอรํ กามธาตุ, ปารํ รูปารูปธาตุฯ โอรํ กามรูปภโว, ปารํ อรูปภโวฯ โอรํ อตฺตภาโว, ปารํ อตฺตภาวสุขูปกรณานิฯ เอวเมตสฺมิํ โอรปาเร จตุตฺถมเคฺคน ฉนฺทราคํ ปชหโนฺต ‘‘ชหาติ โอรปาร’’นฺติ วุจฺจติฯ เอตฺถ จ กิญฺจาปิ อนาคามิโน กามราคสฺส ปหีนตฺตา อิธตฺตภาวาทีสุ ฉนฺทราโค เอว นตฺถิ; อปิจ โข ปนสฺส ตติยมคฺคาทีนํ วิย วณฺณปฺปกาสนตฺถํ สพฺพเมตํ โอรปารเภทํ สงฺคเหตฺวา ตตฺถ ฉนฺทราคปฺปหาเนน ‘‘ชหาติ โอรปาร’’นฺติ วุตฺตํฯ

    So bhikkhu jahāti orapāranti so evaṃ kodhaṃ vinento bhikkhu yasmā kodho tatiyamaggena sabbaso pahīyati, tasmā orapārasaññitāni pañcorambhāgiyasaṃyojanāni jahātīti veditabbo. Avisesena hi pāranti tīrassa nāmaṃ, tasmā orāni ca tāni saṃsārasāgarassa pārabhūtāni cāti katvā ‘‘orapāra’’nti vuccati. Atha vā ‘‘yo uppatitaṃ vineti kodhaṃ visaṭaṃ sappavisaṃva osadhehi’’, so tatiyamaggena sabbaso kodhaṃ vinetvā anāgāmiphale ṭhito bhikkhu jahāti orapāraṃ. Tattha oranti sakattabhāvo, pāranti parattabhāvo. Oraṃ vā cha ajjhattikāni āyatanāni, pāraṃ cha bāhirāyatanāni. Tathā oraṃ manussaloko, pāraṃ devaloko. Oraṃ kāmadhātu, pāraṃ rūpārūpadhātu. Oraṃ kāmarūpabhavo, pāraṃ arūpabhavo. Oraṃ attabhāvo, pāraṃ attabhāvasukhūpakaraṇāni. Evametasmiṃ orapāre catutthamaggena chandarāgaṃ pajahanto ‘‘jahāti orapāra’’nti vuccati. Ettha ca kiñcāpi anāgāmino kāmarāgassa pahīnattā idhattabhāvādīsu chandarāgo eva natthi; apica kho panassa tatiyamaggādīnaṃ viya vaṇṇappakāsanatthaṃ sabbametaṃ orapārabhedaṃ saṅgahetvā tattha chandarāgappahānena ‘‘jahāti orapāra’’nti vuttaṃ.

    อิทานิ ตสฺสตฺถสฺส วิภาวนตฺถาย อุปมํ อาห ‘‘อุรโค ชิณฺณมิว ตจํ ปุราณ’’นฺติฯ ตตฺถ อุเรน คจฺฉตีติ อุรโค, สปฺปเสฺสตํ อธิวจนํฯ โส ทุวิโธ – กามรูปี จ อกามรูปี จฯ กามรูปีปิ ทุวิโธ – ชลโช ถลโช จฯ ชลโช ชเล เอว กามรูปํ ลภติ, น ถเล, สงฺขปาลชาตเก สงฺขปาลนาคราชา วิยฯ ถลโช ถเล เอว, น ชเลฯ โส ชชฺชรภาเวน ชิณฺณํ, จิรกาลตาย ปุราณญฺจาติ สงฺขํ คตํฯ ตจํ ชหโนฺต จตุพฺพิเธน ชหาติ – สชาติยํ ฐิโต, ชิคุจฺฉโนฺต, นิสฺสาย, ถาเมนาติฯ สชาติ นาม สปฺปชาติ ทีฆตฺตภาโวฯ อุรคา หิ ปญฺจสุ ฐาเนสุ สชาติํ นาติวตฺตนฺติ – อุปปตฺติยํ, จุติยํ, วิสฺสฎฺฐนิโทฺทกฺกมเน, สมานชาติยา เมถุนปฎิเสวเน, ชิณฺณตจาปนยเน จาติฯ สโปฺป หิ ยทา ตจํ ชหาติ, ตทา สชาติยํเยว ฐตฺวา ชหาติฯ สชาติยํ ฐิโตปิ จ ชิคุจฺฉโนฺต ชหาติฯ ชิคุจฺฉโนฺต นาม ยทา อุปฑฺฒฎฺฐาเน มุโตฺต โหติ, อุปฑฺฒฎฺฐาเน อมุโตฺต โอลมฺพติ, ตทา นํ อฎฺฎียโนฺต ชหาติฯ เอวํ ชิคุจฺฉโนฺตปิ จ ทณฺฑนฺตรํ วา มูลนฺตรํ วา ปาสาณนฺตรํ วา นิสฺสาย ชหาติฯ นิสฺสาย ชหโนฺตปิ จ ถามํ ชเนตฺวา, อุสฺสาหํ กตฺวา, วีริเยน วงฺกํ นงฺคุฎฺฐํ กตฺวา, ปสฺสสโนฺตว ผณํ กริตฺวา ชหาติฯ เอวํ ชหิตฺวา เยนกามํ ปกฺกมติฯ เอวเมวํ อยมฺปิ ภิกฺขุ โอรปารํ ชหิตุกาโม จตุพฺพิเธน ชหาติ – สชาติยํ ฐิโต, ชิคุจฺฉโนฺต, นิสฺสาย, ถาเมนาติฯ สชาติ นาม ภิกฺขุโน ‘‘อริยาย ชาติยา ชาโต’’ติ (ม. นิ. ๒.๓๕๑) วจนโต สีลํฯ เตเนวาห ‘‘สีเล ปติฎฺฐาย นโร สปฺปโญฺญ’’ติ (สํ. นิ. ๑.๒๓; เปฎโก. ๒๒)ฯ เอวเมติสฺสํ สชาติยํ ฐิโต ภิกฺขุ ตํ สกตฺตภาวาทิเภทํ โอรปารํ ชิณฺณปุราณตจมิว ทุกฺขํ ชเนนฺตํ ตตฺถ ตตฺถ อาทีนวทสฺสเนน ชิคุจฺฉโนฺต กลฺยาณมิเตฺต นิสฺสาย อธิมตฺตวายามสงฺขาตํ ถามํ ชเนตฺวา ‘‘ทิวสํ จงฺกเมน นิสชฺชาย อาวรณีเยหิ ธเมฺมหิ จิตฺตํ ปริโสเธตี’’ติ (อ. นิ. ๓.๑๖; วิภ. ๕๑๙) วุตฺตนเยน รตฺตินฺทิวํ ฉธา วิภชิตฺวา ฆเฎโนฺต วายมโนฺต อุรโค วิย, วงฺกํ นงฺคุฎฺฐํ ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา อุรโค วิย ปสฺสสโนฺต, อยมฺปิ อสิถิลปรกฺกมตาย วายมโนฺต อุรโค วิย ผณํ กริตฺวา, อยมฺปิ ญาณวิปฺผารํ ชเนตฺวา อุรโคว ตจํ โอรปารํ ชหาติฯ ชหิตฺวา จ อุรโค วิย โอหิตตโจ เยนกามํ อยมฺปิ โอหิตภาโร อนุปาทิเสสนิพฺพานธาตุทิสํ ปกฺกมตีติฯ เตนาห ภควา –

    Idāni tassatthassa vibhāvanatthāya upamaṃ āha ‘‘urago jiṇṇamiva tacaṃ purāṇa’’nti. Tattha urena gacchatīti urago, sappassetaṃ adhivacanaṃ. So duvidho – kāmarūpī ca akāmarūpī ca. Kāmarūpīpi duvidho – jalajo thalajo ca. Jalajo jale eva kāmarūpaṃ labhati, na thale, saṅkhapālajātake saṅkhapālanāgarājā viya. Thalajo thale eva, na jale. So jajjarabhāvena jiṇṇaṃ, cirakālatāya purāṇañcāti saṅkhaṃ gataṃ. Tacaṃ jahanto catubbidhena jahāti – sajātiyaṃ ṭhito, jigucchanto, nissāya, thāmenāti. Sajāti nāma sappajāti dīghattabhāvo. Uragā hi pañcasu ṭhānesu sajātiṃ nātivattanti – upapattiyaṃ, cutiyaṃ, vissaṭṭhaniddokkamane, samānajātiyā methunapaṭisevane, jiṇṇatacāpanayane cāti. Sappo hi yadā tacaṃ jahāti, tadā sajātiyaṃyeva ṭhatvā jahāti. Sajātiyaṃ ṭhitopi ca jigucchanto jahāti. Jigucchanto nāma yadā upaḍḍhaṭṭhāne mutto hoti, upaḍḍhaṭṭhāne amutto olambati, tadā naṃ aṭṭīyanto jahāti. Evaṃ jigucchantopi ca daṇḍantaraṃ vā mūlantaraṃ vā pāsāṇantaraṃ vā nissāya jahāti. Nissāya jahantopi ca thāmaṃ janetvā, ussāhaṃ katvā, vīriyena vaṅkaṃ naṅguṭṭhaṃ katvā, passasantova phaṇaṃ karitvā jahāti. Evaṃ jahitvā yenakāmaṃ pakkamati. Evamevaṃ ayampi bhikkhu orapāraṃ jahitukāmo catubbidhena jahāti – sajātiyaṃ ṭhito, jigucchanto, nissāya, thāmenāti. Sajāti nāma bhikkhuno ‘‘ariyāya jātiyā jāto’’ti (ma. ni. 2.351) vacanato sīlaṃ. Tenevāha ‘‘sīle patiṭṭhāya naro sappañño’’ti (saṃ. ni. 1.23; peṭako. 22). Evametissaṃ sajātiyaṃ ṭhito bhikkhu taṃ sakattabhāvādibhedaṃ orapāraṃ jiṇṇapurāṇatacamiva dukkhaṃ janentaṃ tattha tattha ādīnavadassanena jigucchanto kalyāṇamitte nissāya adhimattavāyāmasaṅkhātaṃ thāmaṃ janetvā ‘‘divasaṃ caṅkamena nisajjāya āvaraṇīyehi dhammehi cittaṃ parisodhetī’’ti (a. ni. 3.16; vibha. 519) vuttanayena rattindivaṃ chadhā vibhajitvā ghaṭento vāyamanto urago viya, vaṅkaṃ naṅguṭṭhaṃ pallaṅkaṃ ābhujitvā urago viya passasanto, ayampi asithilaparakkamatāya vāyamanto urago viya phaṇaṃ karitvā, ayampi ñāṇavipphāraṃ janetvā uragova tacaṃ orapāraṃ jahāti. Jahitvā ca urago viya ohitataco yenakāmaṃ ayampi ohitabhāro anupādisesanibbānadhātudisaṃ pakkamatīti. Tenāha bhagavā –

    ‘‘โย อุปฺปติตํ วิเนติ โกธํ, วิสฎํ สปฺปวิสํว โอสเธหิ;

    ‘‘Yo uppatitaṃ vineti kodhaṃ, visaṭaṃ sappavisaṃva osadhehi;

    โส ภิกฺขุ ชหาติ โอรปารํ, อุรโค ชิณฺณมิว ตจํ ปุราณ’’นฺติฯ

    So bhikkhu jahāti orapāraṃ, urago jiṇṇamiva tacaṃ purāṇa’’nti.

    เอวเมสา ภควตา อรหตฺตนิกูเฎน ปฐมคาถา เทสิตาติฯ

    Evamesā bhagavatā arahattanikūṭena paṭhamagāthā desitāti.

    . อิทานิ ทุติยคาถาย อตฺถวณฺณนากฺกโม อนุปฺปโตฺตฯ ตตฺราปิ –

    2. Idāni dutiyagāthāya atthavaṇṇanākkamo anuppatto. Tatrāpi –

    ‘‘เยน ยตฺถ ยทา ยสฺมา, วุตฺตา คาถา อยํ อิมํ;

    ‘‘Yena yattha yadā yasmā, vuttā gāthā ayaṃ imaṃ;

    วิธิํ ปกาสยิตฺวาสฺสา, กริสฺสามตฺถวณฺณน’’นฺติฯ –

    Vidhiṃ pakāsayitvāssā, karissāmatthavaṇṇana’’nti. –

    อยเมว มาติกาฯ ตโต ปรญฺจ สพฺพคาถาสุฯ อติวิตฺถารภเยน ปน อิโต ปภุติ มาติกํ อนิกฺขิปิตฺวา อุปฺปตฺติทสฺสนนเยเนว ตสฺสา ตสฺสา อตฺถํ ทเสฺสโนฺต อตฺถวณฺณนํ กริสฺสามิฯ เสยฺยถิทํ โย ราคมุทจฺฉิทา อเสสนฺติ อยํ ทุติยคาถาฯ

    Ayameva mātikā. Tato parañca sabbagāthāsu. Ativitthārabhayena pana ito pabhuti mātikaṃ anikkhipitvā uppattidassananayeneva tassā tassā atthaṃ dassento atthavaṇṇanaṃ karissāmi. Seyyathidaṃ yo rāgamudacchidā asesanti ayaṃ dutiyagāthā.

    ตสฺสุปฺปตฺติ – เอกํ สมยํ ภควา สาวตฺถิยํ วิหรติ เชตวเน อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเมฯ เตน โข ปน สมเยน อายสฺมโต สาริปุตฺตเตฺถรสฺส อุปฎฺฐาโก อญฺญตโร สุวณฺณการปุโตฺต เถรสฺส สนฺติเก ปพฺพชิโตฯ เถโร ตสฺส ‘‘ทหรานํ อสุภํ สปฺปาย’’นฺติ มนฺตฺวา ราควิฆาตตฺถํ อสุภกมฺมฎฺฐานํ อทาสิฯ ตสฺส ตสฺมิํ อาเสวนมตฺตมฺปิ จิตฺตํ น ลภติฯ โส ‘‘อนุปการํ มเมต’’นฺติ เถรสฺส อาโรเจสิฯ เถโร ‘‘ทหรานเมตํ สปฺปาย’’นฺติ มนฺตฺวา ปุนปิ ตเทวาจิกฺขิฯ เอวํ จตฺตาโร มาสา อตีตา, โส กิญฺจิมตฺตมฺปิ วิเสสํ น ลภติฯ ตโต นํ เถโร ภควโต สนฺติกํ เนสิฯ ภควา ‘‘อวิสโย, สาริปุตฺต, ตุเยฺหตสฺส สปฺปายํ ชานิตุํ, พุทฺธเวเนโยฺย เอโส’’ติ วตฺวา ปภสฺสรวณฺณํ ปทุมํ อิทฺธิยา นิมฺมินิตฺวา ตสฺส หเตฺถ ปาทาสิ – ‘‘หนฺท, ภิกฺขุ, อิมํ วิหารปจฺฉายายํ วาลิกาตเล นาเฬน วิชฺฌิตฺวา ฐเปหิ, อภิมุขญฺจสฺส ปลฺลเงฺกน นิสีท ‘โลหิตํ โลหิต’นฺติ อาวเชฺชโนฺต’’ติฯ อยํ กิร ปญฺจ ชาติสตานิ สุวณฺณกาโรว อโหสิฯ เตนสฺส ‘‘โลหิตกนิมิตฺตํ สปฺปาย’’นฺติ ญตฺวา ภควา โลหิตกกมฺมฎฺฐานํ อทาสิฯ โส ตถา กตฺวา มุหุเตฺตเนว ยถากฺกมํ ตตฺถ จตฺตาริปิ ฌานานิ อธิคนฺตฺวา อนุโลมปฎิโลมาทินา นเยน ฌานกีฬํ อารภิฯ อถ ภควา ‘ตํ ปทุมํ มิลายตู’ติ อธิฎฺฐาสิฯ โส ฌานา วุฎฺฐิโต ตํ มิลาตํ กาฬวณฺณํ ทิสฺวา ‘‘ปภสฺสรรูปํ ชราย ปริมทฺทิต’’นฺติ อนิจฺจสญฺญํ ปฎิลภิฯ ตโต นํ อชฺฌตฺตมฺปิ อุปสํหริฯ ตโต ‘‘ยทนิจฺจํ ตํ ทุกฺขํ, ยํ ทุกฺขํ ตทนตฺตา’’ติ ตโยปิ ภเว อาทิเตฺต วิย ปสฺสิฯ เอวํ ปสฺสโต จสฺสาวิทูเร ปทุมสฺสโร อตฺถิฯ ตตฺถ ทารกา โอโรหิตฺวา ปทุมานิ ภญฺชิตฺวา ภญฺชิตฺวา ราสิํ กโรนฺติฯ ตสฺส ตานิ อุทเก ปทุมานิ นฬวเน อคฺคิชาลา วิย ขายิํสุ, ปตฺตานิ ปตนฺตานิ ปปาตํ ปวิสนฺตานิ วิย ขายิํสุ, ถเล นิกฺขิตฺตปทุมานํ อคฺคานิ มิลาตานิ อคฺคิฑฑฺฒานิ วิย ขายิํสุฯ อถสฺส ตทนุสาเรน สพฺพธเมฺม อุปนิชฺฌายโต ภิโยฺยโสมตฺตาย ตโย ภวา อาทิตฺตมิว อคารํ อปฺปฎิสรณา หุตฺวา อุปฎฺฐหิํสุฯ ตโต ภควา คนฺธกุฎิยํ นิสิโนฺนว ตสฺส ภิกฺขุโน อุปริ สรีราภํ มุญฺจิฯ สา จสฺส มุขํเยว อโชฺฌตฺถริฯ ตโต โส ‘‘กิเมต’’นฺติ อาวเชฺชโนฺต ภควนฺตํ อาคนฺตฺวา สมีเป ฐิตมิว ทิสฺวา อุฎฺฐายาสนา อญฺชลิํ ปณาเมสิฯ อถสฺส ภควา สปฺปายํ วิทิตฺวา ธมฺมํ เทเสโนฺต อิมํ โอภาสคาถํ อภาสิ ‘‘โย ราคมุทจฺฉิทา อเสส’’นฺติฯ

    Tassuppatti – ekaṃ samayaṃ bhagavā sāvatthiyaṃ viharati jetavane anāthapiṇḍikassa ārāme. Tena kho pana samayena āyasmato sāriputtattherassa upaṭṭhāko aññataro suvaṇṇakāraputto therassa santike pabbajito. Thero tassa ‘‘daharānaṃ asubhaṃ sappāya’’nti mantvā rāgavighātatthaṃ asubhakammaṭṭhānaṃ adāsi. Tassa tasmiṃ āsevanamattampi cittaṃ na labhati. So ‘‘anupakāraṃ mameta’’nti therassa ārocesi. Thero ‘‘daharānametaṃ sappāya’’nti mantvā punapi tadevācikkhi. Evaṃ cattāro māsā atītā, so kiñcimattampi visesaṃ na labhati. Tato naṃ thero bhagavato santikaṃ nesi. Bhagavā ‘‘avisayo, sāriputta, tuyhetassa sappāyaṃ jānituṃ, buddhaveneyyo eso’’ti vatvā pabhassaravaṇṇaṃ padumaṃ iddhiyā nimminitvā tassa hatthe pādāsi – ‘‘handa, bhikkhu, imaṃ vihārapacchāyāyaṃ vālikātale nāḷena vijjhitvā ṭhapehi, abhimukhañcassa pallaṅkena nisīda ‘lohitaṃ lohita’nti āvajjento’’ti. Ayaṃ kira pañca jātisatāni suvaṇṇakārova ahosi. Tenassa ‘‘lohitakanimittaṃ sappāya’’nti ñatvā bhagavā lohitakakammaṭṭhānaṃ adāsi. So tathā katvā muhutteneva yathākkamaṃ tattha cattāripi jhānāni adhigantvā anulomapaṭilomādinā nayena jhānakīḷaṃ ārabhi. Atha bhagavā ‘taṃ padumaṃ milāyatū’ti adhiṭṭhāsi. So jhānā vuṭṭhito taṃ milātaṃ kāḷavaṇṇaṃ disvā ‘‘pabhassararūpaṃ jarāya parimaddita’’nti aniccasaññaṃ paṭilabhi. Tato naṃ ajjhattampi upasaṃhari. Tato ‘‘yadaniccaṃ taṃ dukkhaṃ, yaṃ dukkhaṃ tadanattā’’ti tayopi bhave āditte viya passi. Evaṃ passato cassāvidūre padumassaro atthi. Tattha dārakā orohitvā padumāni bhañjitvā bhañjitvā rāsiṃ karonti. Tassa tāni udake padumāni naḷavane aggijālā viya khāyiṃsu, pattāni patantāni papātaṃ pavisantāni viya khāyiṃsu, thale nikkhittapadumānaṃ aggāni milātāni aggiḍaḍḍhāni viya khāyiṃsu. Athassa tadanusārena sabbadhamme upanijjhāyato bhiyyosomattāya tayo bhavā ādittamiva agāraṃ appaṭisaraṇā hutvā upaṭṭhahiṃsu. Tato bhagavā gandhakuṭiyaṃ nisinnova tassa bhikkhuno upari sarīrābhaṃ muñci. Sā cassa mukhaṃyeva ajjhotthari. Tato so ‘‘kimeta’’nti āvajjento bhagavantaṃ āgantvā samīpe ṭhitamiva disvā uṭṭhāyāsanā añjaliṃ paṇāmesi. Athassa bhagavā sappāyaṃ viditvā dhammaṃ desento imaṃ obhāsagāthaṃ abhāsi ‘‘yo rāgamudacchidā asesa’’nti.

    ตตฺถ รญฺชนวเสน ราโค, ปญฺจกามคุณราคเสฺสตํ อธิวจนํฯ อุทจฺฉิทาติ อุจฺฉินฺทติ, ภญฺชติ , วินาเสติฯ อตีตกาลิกานมฺปิ หิ ฉนฺทสิ วตฺตมานวจนํ อกฺขรจินฺตกา อิจฺฉนฺติฯ อเสสนฺติ สานุสยํฯ ภิสปุปฺผํว สโรรุหนฺติ สเร วิรูฬฺหํ ปทุมปุปฺผํ วิยฯ วิคยฺหาติ โอคยฺห, ปวิสิตฺวาติ อโตฺถฯ เสสํ ปุพฺพสทิสเมวฯ กิํ วุตฺตํ โหติ? ยถา นาม เอเต ทารกา สรํ โอรุยฺห ภิสปุปฺผํ สโรรุหํ ฉินฺทนฺติ, เอวเมวํ โย ภิกฺขุ อิมํ เตธาตุกโลกสนฺนิวาสํ โอคยฺห –

    Tattha rañjanavasena rāgo, pañcakāmaguṇarāgassetaṃ adhivacanaṃ. Udacchidāti ucchindati, bhañjati , vināseti. Atītakālikānampi hi chandasi vattamānavacanaṃ akkharacintakā icchanti. Asesanti sānusayaṃ. Bhisapupphaṃva saroruhanti sare virūḷhaṃ padumapupphaṃ viya. Vigayhāti ogayha, pavisitvāti attho. Sesaṃ pubbasadisameva. Kiṃ vuttaṃ hoti? Yathā nāma ete dārakā saraṃ oruyha bhisapupphaṃ saroruhaṃ chindanti, evamevaṃ yo bhikkhu imaṃ tedhātukalokasannivāsaṃ ogayha –

    ‘‘นตฺถิ ราคสโม อคฺคิ’’; (ธ. ป. ๒๐๒);

    ‘‘Natthi rāgasamo aggi’’; (Dha. pa. 202);

    ‘‘กามราเคน ทยฺหามิ, จิตฺตํ เม ปริทยฺหติ’’; (สํ. นิ. ๑.๒๑๒);

    ‘‘Kāmarāgena dayhāmi, cittaṃ me paridayhati’’; (Saṃ. ni. 1.212);

    ‘‘เย ราครตฺตานุปตนฺติ โสตํ, สยํ กตํ มกฺกฎโกว ชาลํ’’ฯ (ธ. ป. ๓๔๗);

    ‘‘Ye rāgarattānupatanti sotaṃ, sayaṃ kataṃ makkaṭakova jālaṃ’’. (dha. pa. 347);

    ‘‘รโตฺต โข, อาวุโส, ราเคน อภิภูโต ปริยาทินฺนจิโตฺต ปาณมฺปิ หนตี’’ติ (อ. นิ. ๓.๕๖, ๗๒) –

    ‘‘Ratto kho, āvuso, rāgena abhibhūto pariyādinnacitto pāṇampi hanatī’’ti (a. ni. 3.56, 72) –

    เอวมาทินยมนุคนฺตฺวา ราคาทีนวปจฺจเวกฺขเณน ยถาวุตฺตปฺปกาเรหิ สีลสํวราทีหิ สํวเรหิ สวิญฺญาณกาวิญฺญาณเกสุ วตฺถูสุ อสุภสญฺญาย จ โถกํ โถกํ ราคํ สมุจฺฉินฺทโนฺต อนาคามิมเคฺคน อวเสสํ อรหตฺตมเคฺคน จ ตโต อนวเสสมฺปิ อุจฺฉินฺทติ ปุเพฺพ วุตฺตปฺปกาเรเนว โส ภิกฺขุ ชหาติ โอรปารํ อุรโค ชิณฺณมิว ตจํ ปุราณนฺติฯ เอวเมสา ภควตา อรหตฺตนิกูเฎน คาถา เทสิตาฯ เทสนาปริโยสาเน จ โส ภิกฺขุ อรหเตฺต ปติฎฺฐิโตติฯ

    Evamādinayamanugantvā rāgādīnavapaccavekkhaṇena yathāvuttappakārehi sīlasaṃvarādīhi saṃvarehi saviññāṇakāviññāṇakesu vatthūsu asubhasaññāya ca thokaṃ thokaṃ rāgaṃ samucchindanto anāgāmimaggena avasesaṃ arahattamaggena ca tato anavasesampi ucchindati pubbe vuttappakāreneva so bhikkhu jahāti orapāraṃ urago jiṇṇamiva tacaṃ purāṇanti. Evamesā bhagavatā arahattanikūṭena gāthā desitā. Desanāpariyosāne ca so bhikkhu arahatte patiṭṭhitoti.

    . โย ตณฺหมุทจฺฉิทาติ กา อุปฺปตฺติ? ภควา สาวตฺถิยํ วิหรติฯ อญฺญตโร ภิกฺขุ คคฺคราย โปกฺขรณิยา ตีเร วิหรโนฺต ตณฺหาวเสน อกุสลวิตกฺกํ วิตเกฺกติฯ ภควา ตสฺสชฺฌาสยํ วิทิตฺวา อิมํ โอภาสคาถมภาสิฯ

    3.Yotaṇhamudacchidāti kā uppatti? Bhagavā sāvatthiyaṃ viharati. Aññataro bhikkhu gaggarāya pokkharaṇiyā tīre viharanto taṇhāvasena akusalavitakkaṃ vitakketi. Bhagavā tassajjhāsayaṃ viditvā imaṃ obhāsagāthamabhāsi.

    ตตฺถ ตสฺสตีติ ตณฺหาฯ วิสเยหิ ติตฺติํ น อุเปตีติ อโตฺถฯ กามภววิภวตณฺหานเมตํ อธิวจนํฯ สริตนฺติ คตํ ปวตฺตํ, ยาว ภวคฺคา อโชฺฌตฺถริตฺวา ฐิตนฺติ วุตฺตํ โหติฯ สีฆสรนฺติ สีฆคามินิํ, สนฺทิฎฺฐิกสมฺปรายิกํ อาทีนวํ อคเณตฺวา มุหุเตฺตเนว ปรจกฺกวาฬมฺปิ ภวคฺคมฺปิ สมฺปาปุณิตุํ สมตฺถนฺติ วุตฺตํ โหติฯ เอวเมตํ สริตํ สีฆสรํ สพฺพปฺปการมฺปิ ตณฺหํ –

    Tattha tassatīti taṇhā. Visayehi tittiṃ na upetīti attho. Kāmabhavavibhavataṇhānametaṃ adhivacanaṃ. Saritanti gataṃ pavattaṃ, yāva bhavaggā ajjhottharitvā ṭhitanti vuttaṃ hoti. Sīghasaranti sīghagāminiṃ, sandiṭṭhikasamparāyikaṃ ādīnavaṃ agaṇetvā muhutteneva paracakkavāḷampi bhavaggampi sampāpuṇituṃ samatthanti vuttaṃ hoti. Evametaṃ saritaṃ sīghasaraṃ sabbappakārampi taṇhaṃ –

    ‘‘อุปริวิสาลา ทุปฺปูรา, อิจฺฉา วิสฎคามินี;

    ‘‘Uparivisālā duppūrā, icchā visaṭagāminī;

    เย จ ตํ อนุคิชฺฌนฺติ, เต โหนฺติ จกฺกธาริโน’’ติฯ

    Ye ca taṃ anugijjhanti, te honti cakkadhārino’’ti.

    ‘‘ตณฺหาทุติโย ปุริโส, ทีฆมทฺธานสํสรํ;

    ‘‘Taṇhādutiyo puriso, dīghamaddhānasaṃsaraṃ;

    อิตฺถภาวญฺญถาภาวํ, สํสารํ นาติวตฺตตี’’ติฯ (อิติวุ. ๑๕, ๑๐๕; มหานิ. ๑๙๑; จูฬนิ. ปารายนานุคีติคาถานิเทฺทส ๑๐๗);

    Itthabhāvaññathābhāvaṃ, saṃsāraṃ nātivattatī’’ti. (itivu. 15, 105; mahāni. 191; cūḷani. pārāyanānugītigāthāniddesa 107);

    ‘‘อูโน โลโก อติโตฺต ตณฺหาทาโสติ โข, มหาราชา’’ติ (ม. นิ. ๒.๓๐๕) จ –

    ‘‘Ūno loko atitto taṇhādāsoti kho, mahārājā’’ti (ma. ni. 2.305) ca –

    เอวมาทีนวปจฺจเวกฺขเณน วุตฺตปฺปกาเรหิ สีลสํวราทีหิ จ โย โถกํ โถกํ วิโสสยิตฺวา อรหตฺตมเคฺคน อเสสํ อุจฺฉิชฺชติ, โส ภิกฺขุ ตสฺมิํเยว ขเณ สพฺพปฺปการมฺปิ ชหาติ โอรปารนฺติฯ เทสนาปริโยสาเน โส ภิกฺขุ อรหเตฺต ปติฎฺฐิโตติฯ

    Evamādīnavapaccavekkhaṇena vuttappakārehi sīlasaṃvarādīhi ca yo thokaṃ thokaṃ visosayitvā arahattamaggena asesaṃ ucchijjati, so bhikkhu tasmiṃyeva khaṇe sabbappakārampi jahāti orapāranti. Desanāpariyosāne so bhikkhu arahatte patiṭṭhitoti.

    . โย มานมุทพฺพธีติ กา อุปฺปตฺติ? ภควา สาวตฺถิยํ วิหรติฯ อญฺญตโร ภิกฺขุ คงฺคาย ตีเร วิหรโนฺต คิมฺหกาเล อโปฺปทเก โสเต กตํ นฬเสตุํ ปจฺฉา อาคเตน มโหเฆน วุยฺหมานํ ทิสฺวา ‘‘อนิจฺจา สงฺขารา’’ติ สํวิโคฺค อฎฺฐาสิฯ ตสฺสชฺฌาสยํ วิทิตฺวา ภควา อิมํ โอภาสคาถํ อภาสิฯ

    4.Yo mānamudabbadhīti kā uppatti? Bhagavā sāvatthiyaṃ viharati. Aññataro bhikkhu gaṅgāya tīre viharanto gimhakāle appodake sote kataṃ naḷasetuṃ pacchā āgatena mahoghena vuyhamānaṃ disvā ‘‘aniccā saṅkhārā’’ti saṃviggo aṭṭhāsi. Tassajjhāsayaṃ viditvā bhagavā imaṃ obhāsagāthaṃ abhāsi.

    ตตฺถ มาโนติ ชาติอาทิวตฺถุโก เจตโส อุณฺณาโมฯ โส ‘‘เสโยฺยหมสฺมี’’ติ มาโน, ‘‘สทิโสหมสฺมี’’ติ มาโน, ‘‘หีโนหมสฺมี’’ติ มาโนติ เอวํ ติวิโธ โหติฯ ปุน ‘‘เสยฺยสฺส เสโยฺยหมสฺมีติ, เสยฺยสฺส สทิโส, เสยฺยสฺส หีโน, สทิสสฺส เสโยฺย, สทิสสฺส สทิโส, สทิสสฺส หีโน, หีนสฺส เสโยฺย, หีนสฺส สทิโส, หีนสฺส หีโนหมสฺมี’’ติ มาโนติ เอวํ นววิโธ โหติฯ ตํ สพฺพปฺปการมฺปิ มานํ –

    Tattha mānoti jātiādivatthuko cetaso uṇṇāmo. So ‘‘seyyohamasmī’’ti māno, ‘‘sadisohamasmī’’ti māno, ‘‘hīnohamasmī’’ti mānoti evaṃ tividho hoti. Puna ‘‘seyyassa seyyohamasmīti, seyyassa sadiso, seyyassa hīno, sadisassa seyyo, sadisassa sadiso, sadisassa hīno, hīnassa seyyo, hīnassa sadiso, hīnassa hīnohamasmī’’ti mānoti evaṃ navavidho hoti. Taṃ sabbappakārampi mānaṃ –

    ‘‘เยน มาเนน มตฺตาเส, สตฺตา คจฺฉนฺติ ทุคฺคติ’’นฺติฯ (อิติวุ. ๖) –

    ‘‘Yena mānena mattāse, sattā gacchanti duggati’’nti. (itivu. 6) –

    อาทินา นเยน ตตฺถ อาทีนวปจฺจเวกฺขเณน วุตฺตปฺปกาเรหิ สีลสํวราทีหิ จ โย โถกํ โถกํ วเธโนฺต กิเลสานํ อพลทุพฺพลตฺตา นฬเสตุสทิสํ โลกุตฺตรธมฺมานํ อติพลตฺตา มโหฆสทิเสน อรหตฺตมเคฺคน อเสสํ อุทพฺพธิ, อนวเสสปฺปหานวเสน อุจฺฉินฺทโนฺต วเธตีติ วุตฺตํ โหติฯ โส ภิกฺขุ ตสฺมิํเยว ขเณ สพฺพปฺปการมฺปิ ชหาติ โอรปารนฺติฯ เทสนาปริโยสาเน โส ภิกฺขุ อรหเตฺต ปติฎฺฐิโตติฯ

    Ādinā nayena tattha ādīnavapaccavekkhaṇena vuttappakārehi sīlasaṃvarādīhi ca yo thokaṃ thokaṃ vadhento kilesānaṃ abaladubbalattā naḷasetusadisaṃ lokuttaradhammānaṃ atibalattā mahoghasadisena arahattamaggena asesaṃ udabbadhi, anavasesappahānavasena ucchindanto vadhetīti vuttaṃ hoti. So bhikkhu tasmiṃyeva khaṇe sabbappakārampi jahāti orapāranti. Desanāpariyosāne so bhikkhu arahatte patiṭṭhitoti.

    . ติ กา อุปฺปตฺติ? อิมิสฺสา คาถาย อิโต ปรานญฺจ ทฺวาทสนฺนํ เอกาเยว อุปฺปตฺติฯ เอกํ สมยํ ภควา สาวตฺถิยํ วิหรติฯ เตน โข ปน สมเยน อญฺญตโร พฺราหฺมโณ อตฺตโน ธีตุยา วาเรเยฺย ปจฺจุปฎฺฐิเต จิเนฺตสิ – ‘‘เกนจิ วสเลน อปริภุตฺตปุเพฺพหิ ปุเปฺผหิ ทาริกํ อลงฺกริตฺวา ปติกุลํ เปเสสฺสามี’’ติฯ โส สนฺตรพาหิรํ สาวตฺถิํ วิจินโนฺต กิญฺจิ ติณปุปฺผมฺปิ อปริภุตฺตปุพฺพํ นาทฺทสฯ อถ สมฺพหุเล ธุตฺตกชาติเก พฺราหฺมณทารเก สนฺนิปติเต ทิสฺวา ‘‘เอเต ปุจฺฉิสฺสามิ, อวสฺสํ สมฺพหุเลสุ โกจิ ชานิสฺสตี’’ติ อุปสงฺกมิตฺวา ปุจฺฉิฯ เต ตํ พฺราหฺมณํ อุปฺปเณฺฑนฺตา อาหํสุ – ‘‘อุทุมฺพรปุปฺผํ นาม, พฺราหฺมณ, โลเก น เกนจิ ปริภุตฺตปุพฺพํฯ เตน ธีตรํ อลงฺกริตฺวา เทหี’’ติฯ โส ทุติยทิวเส กาลเสฺสว วุฎฺฐาย ภตฺตวิสฺสคฺคํ กตฺวา อจิรวติยา นทิยา ตีเร อุทุมฺพรวนํ คนฺตฺวา เอกเมกํ รุกฺขํ วิจินโนฺต ปุปฺผสฺส วณฺฎมตฺตมฺปิ นาทฺทสฯ อถ วีติวเตฺต มชฺฌนฺหิเก ทุติยตีรํ อคมาสิฯ ตตฺถ จ อญฺญตโร ภิกฺขุ อญฺญตรสฺมิํ มนุเญฺญ รุกฺขมูเล ทิวาวิหารํ นิสิโนฺน กมฺมฎฺฐานํ มนสิ กโรติฯ โส ตตฺถ อุปสงฺกมิตฺวา อมนสิกริตฺวา, สกิํ นิสีทิตฺวา, สกิํ อุกฺกุฎิโก หุตฺวา, สกิํ ฐตฺวา, ตํ รุกฺขํ สพฺพสาขาวิฎปปตฺตนฺตเรสุ วิจินโนฺต กิลมติฯ ตโต นํ โส ภิกฺขุ อาห – ‘‘พฺราหฺมณ, กิํ มคฺคสี’’ติ? ‘‘อุทุมฺพรปุปฺผํ, โภ’’ติฯ ‘‘อุทุมฺพรปุปฺผํ นาม, พฺราหฺมณ, โลเก นตฺถิ, มุสา เอตํ วจนํ, มา กิลมา’’ติฯ อถ ภควา ตสฺส ภิกฺขุโน อชฺฌาสยํ วิทิตฺวา โอภาสํ มุญฺจิตฺวา สมุปฺปนฺนสมนฺนาหารพหุมานสฺส อิมา โอภาสคาถาโย อภาสิ ‘‘โย นาชฺฌคมา ภเวสุ สาร’’นฺติ สพฺพา วตฺตพฺพาฯ

    5. Ti kā uppatti? Imissā gāthāya ito parānañca dvādasannaṃ ekāyeva uppatti. Ekaṃ samayaṃ bhagavā sāvatthiyaṃ viharati. Tena kho pana samayena aññataro brāhmaṇo attano dhītuyā vāreyye paccupaṭṭhite cintesi – ‘‘kenaci vasalena aparibhuttapubbehi pupphehi dārikaṃ alaṅkaritvā patikulaṃ pesessāmī’’ti. So santarabāhiraṃ sāvatthiṃ vicinanto kiñci tiṇapupphampi aparibhuttapubbaṃ nāddasa. Atha sambahule dhuttakajātike brāhmaṇadārake sannipatite disvā ‘‘ete pucchissāmi, avassaṃ sambahulesu koci jānissatī’’ti upasaṅkamitvā pucchi. Te taṃ brāhmaṇaṃ uppaṇḍentā āhaṃsu – ‘‘udumbarapupphaṃ nāma, brāhmaṇa, loke na kenaci paribhuttapubbaṃ. Tena dhītaraṃ alaṅkaritvā dehī’’ti. So dutiyadivase kālasseva vuṭṭhāya bhattavissaggaṃ katvā aciravatiyā nadiyā tīre udumbaravanaṃ gantvā ekamekaṃ rukkhaṃ vicinanto pupphassa vaṇṭamattampi nāddasa. Atha vītivatte majjhanhike dutiyatīraṃ agamāsi. Tattha ca aññataro bhikkhu aññatarasmiṃ manuññe rukkhamūle divāvihāraṃ nisinno kammaṭṭhānaṃ manasi karoti. So tattha upasaṅkamitvā amanasikaritvā, sakiṃ nisīditvā, sakiṃ ukkuṭiko hutvā, sakiṃ ṭhatvā, taṃ rukkhaṃ sabbasākhāviṭapapattantaresu vicinanto kilamati. Tato naṃ so bhikkhu āha – ‘‘brāhmaṇa, kiṃ maggasī’’ti? ‘‘Udumbarapupphaṃ, bho’’ti. ‘‘Udumbarapupphaṃ nāma, brāhmaṇa, loke natthi, musā etaṃ vacanaṃ, mā kilamā’’ti. Atha bhagavā tassa bhikkhuno ajjhāsayaṃ viditvā obhāsaṃ muñcitvā samuppannasamannāhārabahumānassa imā obhāsagāthāyo abhāsi ‘‘yo nājjhagamā bhavesu sāra’’nti sabbā vattabbā.

    ตตฺถ ปฐมคาถาย ตาว นาชฺฌคมาติ นาธิคจฺฉิ, นาธิคจฺฉติ วาฯ ภเวสูติ กามรูปารูปสญฺญีอสญฺญีเนวสญฺญีนาสญฺญีเอกโวการจตุโวการปญฺจโวการภเวสุฯ สารนฺติ นิจฺจภาวํ อตฺตภาวํ วาฯ วิจินนฺติ ปญฺญาย คเวสโนฺตฯ ปุปฺผมิว อุทุมฺพเรสูติ ยถา อุทุมฺพรรุเกฺขสุ ปุปฺผํ วิจินโนฺต เอส พฺราหฺมโณ นาชฺฌคมา, เอวํ โย โยคาวจโรปิ ปญฺญาย วิจินโนฺต สพฺพภเวสุ กิญฺจิ สารํ นาชฺฌคมาฯ โส อสารกเฎฺฐน เต ธเมฺม อนิจฺจโต อนตฺตโต จ วิปสฺสโนฺต อนุปุเพฺพน โลกุตฺตรธเมฺม อธิคจฺฉโนฺต ชหาติ โอรปารํ อุรโค ชิณฺณมิว ตจํ ปุราณนฺติ อยมโตฺถ โยชนา จฯ อวเสสคาถาสุ ปนสฺส โยชนํ อวตฺวา วิเสสตฺถมตฺตเมว วกฺขามฯ

    Tattha paṭhamagāthāya tāva nājjhagamāti nādhigacchi, nādhigacchati vā. Bhavesūti kāmarūpārūpasaññīasaññīnevasaññīnāsaññīekavokāracatuvokārapañcavokārabhavesu. Sāranti niccabhāvaṃ attabhāvaṃ vā. Vicinanti paññāya gavesanto. Pupphamiva udumbaresūti yathā udumbararukkhesu pupphaṃ vicinanto esa brāhmaṇo nājjhagamā, evaṃ yo yogāvacaropi paññāya vicinanto sabbabhavesu kiñci sāraṃ nājjhagamā. So asārakaṭṭhena te dhamme aniccato anattato ca vipassanto anupubbena lokuttaradhamme adhigacchanto jahāti orapāraṃ urago jiṇṇamiva tacaṃ purāṇanti ayamattho yojanā ca. Avasesagāthāsu panassa yojanaṃ avatvā visesatthamattameva vakkhāma.

    .

    6.

    ‘‘ยสฺสนฺตรโต น สนฺติ โกปา,

    ‘‘Yassantarato na santi kopā,

    อิติภวาภวตญฺจ วีติวโตฺต’’ติฯ (อุทา. ๒๐) –

    Itibhavābhavatañca vītivatto’’ti. (udā. 20) –

    เอตฺถ ตาว อยํ ‘อนฺตรสโทฺท’ –

    Ettha tāva ayaṃ ‘antarasaddo’ –

    ‘‘นทีตีเรสุ สณฺฐาเน, สภาสุ รถิยาสุ จ;

    ‘‘Nadītīresu saṇṭhāne, sabhāsu rathiyāsu ca;

    ชนา สงฺคมฺม มเนฺตนฺติ, มญฺจ ตญฺจ กิมนฺตร’’นฺติฯ (สํ. นิ. ๑.๒๒๘);

    Janā saṅgamma mantenti, mañca tañca kimantara’’nti. (saṃ. ni. 1.228);

    ‘‘อปฺปมตฺตเกน วิเสสาธิคเมน อนฺตรา โวสานมาปาทิ’’ (อ. นิ. ๑๐.๘๔);

    ‘‘Appamattakena visesādhigamena antarā vosānamāpādi’’ (a. ni. 10.84);

    ‘‘อนตฺถชนโน โกโธ, โกโธ จิตฺตปฺปโกปโน;

    ‘‘Anatthajanano kodho, kodho cittappakopano;

    ภยมนฺตรโต ชาตํ, ตํ ชโน นาวพุชฺฌตี’’ติฯ (อ. นิ. ๗.๖๔; อิติวุ. ๘๘) –

    Bhayamantarato jātaṃ, taṃ jano nāvabujjhatī’’ti. (a. ni. 7.64; itivu. 88) –

    เอวํ การณเวมชฺฌจิตฺตาทีสุ สมฺพหุเลสุ อเตฺถสุ ทิสฺสติฯ อิธ ปน จิเตฺตฯ ตโต ยสฺสนฺตรโต น สนฺติ โกปาติ ตติยมเคฺคน สมูหตตฺตา ยสฺส จิเตฺต น สนฺติ โกปาติ อโตฺถฯ ยสฺมา ปน ภโวติ สมฺปตฺติ, วิภโวติ วิปตฺติฯ ตถา ภโวติ วุทฺธิ, วิภโวติ หานิฯ ภโวติ สสฺสโต, วิภโวติ อุเจฺฉโทฯ ภโวติ ปุญฺญํ, วิภโวติ ปาปํฯ วิภโว อภโวติ จ อตฺถโต เอกเมวฯ ตสฺมา อิติภวาภวตญฺจ วีติวโตฺตติ เอตฺถ ยา เอสา สมฺปตฺติวิปตฺติวุฑฺฒิหานิสสฺสตุเจฺฉทปุญฺญปาปวเสน อิติ อเนกปฺปการา ภวาภวตา วุจฺจติฯ จตูหิปิ มเคฺคหิ ยถาสมฺภวํ เตน เตน นเยน ตํ อิติภวาภวตญฺจ วีติวโตฺตติ เอวมโตฺถ ญาตโพฺพฯ

    Evaṃ kāraṇavemajjhacittādīsu sambahulesu atthesu dissati. Idha pana citte. Tato yassantarato na santi kopāti tatiyamaggena samūhatattā yassa citte na santi kopāti attho. Yasmā pana bhavoti sampatti, vibhavoti vipatti. Tathā bhavoti vuddhi, vibhavoti hāni. Bhavoti sassato, vibhavoti ucchedo. Bhavoti puññaṃ, vibhavoti pāpaṃ. Vibhavo abhavoti ca atthato ekameva. Tasmā itibhavābhavatañca vītivattoti ettha yā esā sampattivipattivuḍḍhihānisassatucchedapuññapāpavasena iti anekappakārā bhavābhavatā vuccati. Catūhipi maggehi yathāsambhavaṃ tena tena nayena taṃ itibhavābhavatañca vītivattoti evamattho ñātabbo.

    . ยสฺส วิตกฺกาติ เอตฺถ ปน ยสฺส ภิกฺขุโน ตโย กามพฺยาปาทวิหิํสาวิตกฺกา, ตโย ญาติชนปทามรวิตกฺกา, ตโย ปรานุทฺทยตาปฎิสํยุตฺตลาภสกฺการสิโลกอนวญฺญตฺติปฎิสํยุตฺตวิตกฺกาติ เอเต นว วิตกฺกา สมนฺตภทฺทเก วุตฺตนเยน ตตฺถ ตตฺถ อาทีนวํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา ปฎิปกฺขววตฺถาเนน ตสฺส ตสฺส ปหานสมเตฺถหิ ตีหิ เหฎฺฐิมมเคฺคหิ จ วิธูปิตา ภุสํ ธูปิตา สนฺตาปิตา ทฑฺฒาติ อโตฺถฯ เอวํ วิธูเปตฺวา จ อชฺฌตฺตํ สุวิกปฺปิตา อเสสา, นิยกชฺฌตฺตภูเต อตฺตโน ขนฺธสนฺตาเน อชฺฌตฺตชฺฌตฺตภูเต จิเตฺต จ ยถา น ปุน สมฺภวนฺติ, เอวํ อรหตฺตมเคฺคน อเสสา ฉินฺนาฯ ฉินฺนญฺหิ กปฺปิตนฺติ วุจฺจติฯ ยถาห ‘‘กปฺปิตเกสมสฺสู’’ติ (สํ. นิ. ๑.๑๒๒; ๔.๓๖๕)ฯ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ

    7.Yassavitakkāti ettha pana yassa bhikkhuno tayo kāmabyāpādavihiṃsāvitakkā, tayo ñātijanapadāmaravitakkā, tayo parānuddayatāpaṭisaṃyuttalābhasakkārasilokaanavaññattipaṭisaṃyuttavitakkāti ete nava vitakkā samantabhaddake vuttanayena tattha tattha ādīnavaṃ paccavekkhitvā paṭipakkhavavatthānena tassa tassa pahānasamatthehi tīhi heṭṭhimamaggehi ca vidhūpitā bhusaṃ dhūpitā santāpitā daḍḍhāti attho. Evaṃ vidhūpetvā ca ajjhattaṃ suvikappitā asesā, niyakajjhattabhūte attano khandhasantāne ajjhattajjhattabhūte citte ca yathā na puna sambhavanti, evaṃ arahattamaggena asesā chinnā. Chinnañhi kappitanti vuccati. Yathāha ‘‘kappitakesamassū’’ti (saṃ. ni. 1.122; 4.365). Evamettha attho daṭṭhabbo.

    . อิทานิ โย นาจฺจสารีติ เอตฺถ โย นาจฺจสารีติ โย นาติธาวิฯ น ปจฺจสารีติ น โอหียิฯ กิํ วุตฺตํ โหติ? อจฺจารทฺธวีริเยน หิ อุทฺธเจฺจ ปตโนฺต อจฺจาสรติ, อติสิถิเลน โกสเชฺช ปตโนฺต ปจฺจาสรติฯ ตถา ภวตณฺหาย อตฺตานํ กิลเมโนฺต อจฺจาสรติ, กามตณฺหาย กามสุขมนุยุญฺชโนฺต ปจฺจาสรติฯ สสฺสตทิฎฺฐิยา อจฺจาสรติ, อุเจฺฉททิฎฺฐิยา ปจฺจาสรติฯ อตีตํ อนุโสจโนฺต อจฺจาสรติ, อนาคต ปฎิกงฺขโนฺต ปจฺจาสรติฯ ปุพฺพนฺตานุทิฎฺฐิยา อจฺจาสรติ, อปรนฺตานุทิฎฺฐิยา ปจฺจาสรติฯ ตสฺมา โย เอเต อุโภ อเนฺต วเชฺชตฺวา มชฺฌิมํ ปฎิปทํ ปฎิปชฺชโนฺต นาจฺจสารี น ปจฺจสารีติ เอวํ วุตฺตํ โหติฯ สพฺพํ อจฺจคมา อิมํ ปปญฺจนฺติ ตาย จ ปน อรหตฺตมคฺคโวสานาย มชฺฌิมาย ปฎิปทาย สพฺพํ อิมํ เวทนาสญฺญาวิตกฺกปฺปภวํ ตณฺหามานทิฎฺฐิสงฺขาตํ ติวิธํ ปปญฺจํ อจฺจคมา อติกฺกโนฺต, สมติกฺกโนฺตติ อโตฺถฯ

    8. Idāni yo nāccasārīti ettha yo nāccasārīti yo nātidhāvi. Na paccasārīti na ohīyi. Kiṃ vuttaṃ hoti? Accāraddhavīriyena hi uddhacce patanto accāsarati, atisithilena kosajje patanto paccāsarati. Tathā bhavataṇhāya attānaṃ kilamento accāsarati, kāmataṇhāya kāmasukhamanuyuñjanto paccāsarati. Sassatadiṭṭhiyā accāsarati, ucchedadiṭṭhiyā paccāsarati. Atītaṃ anusocanto accāsarati, anāgata paṭikaṅkhanto paccāsarati. Pubbantānudiṭṭhiyā accāsarati, aparantānudiṭṭhiyā paccāsarati. Tasmā yo ete ubho ante vajjetvā majjhimaṃ paṭipadaṃ paṭipajjanto nāccasārī na paccasārīti evaṃ vuttaṃ hoti. Sabbaṃaccagamā imaṃ papañcanti tāya ca pana arahattamaggavosānāya majjhimāya paṭipadāya sabbaṃ imaṃ vedanāsaññāvitakkappabhavaṃ taṇhāmānadiṭṭhisaṅkhātaṃ tividhaṃ papañcaṃ accagamā atikkanto, samatikkantoti attho.

    . ตทนนฺตรคาถาย ปน สพฺพํ วิตถมิทนฺติ ญตฺวา โลเกติ อยเมว วิเสโสฯ ตสฺสโตฺถ – สพฺพนฺติ อนวเสสํ, สกลมนูนนฺติ วุตฺตํ โหติฯ เอวํ สเนฺตปิ ปน วิปสฺสนุปคํ โลกิยขนฺธายตนธาตุปฺปเภทํ สงฺขตเมว อิธาธิเปฺปตํฯ วิตถนฺติ วิคตตถภาวํฯ นิจฺจนฺติ วา สุขนฺติ วา สุภนฺติ วา อตฺตาติ วา ยถา ยถา กิเลสวเสน พาลชเนหิ คยฺหติ, ตถาตถาภาวโต วิตถนฺติ วุตฺตํ โหติฯ อิทนฺติ ตเมว สพฺพํ ปจฺจกฺขภาเวน ทเสฺสโนฺต อาหฯ ญตฺวาติ มคฺคปญฺญาย ชานิตฺวา, ตญฺจ ปน อสโมฺมหโต, น วิสยโตฯ โลเกติ โอกาสโลเก สพฺพํ ขนฺธาทิเภทํ ธมฺมชาตํ ‘‘วิตถมิท’’นฺติ ญตฺวาติ สมฺพโนฺธฯ

    9. Tadanantaragāthāya pana sabbaṃ vitathamidanti ñatvā loketi ayameva viseso. Tassattho – sabbanti anavasesaṃ, sakalamanūnanti vuttaṃ hoti. Evaṃ santepi pana vipassanupagaṃ lokiyakhandhāyatanadhātuppabhedaṃ saṅkhatameva idhādhippetaṃ. Vitathanti vigatatathabhāvaṃ. Niccanti vā sukhanti vā subhanti vā attāti vā yathā yathā kilesavasena bālajanehi gayhati, tathātathābhāvato vitathanti vuttaṃ hoti. Idanti tameva sabbaṃ paccakkhabhāvena dassento āha. Ñatvāti maggapaññāya jānitvā, tañca pana asammohato, na visayato. Loketi okāsaloke sabbaṃ khandhādibhedaṃ dhammajātaṃ ‘‘vitathamida’’nti ñatvāti sambandho.

    ๑๐-๑๓. อิทานิ อิโต ปราสุ จตูสุ คาถาสุ วีตโลโภ วีตราโค วีตโทโส วีตโมโหติ เอเต วิเสสาฯ เอตฺถ ลุพฺภนวเสน โลโภฯ สพฺพสงฺคาหิกเมตํ ปฐมสฺส อกุสลมูลสฺส อธิวจนํ, วิสมโลภสฺส วาฯ โย โส ‘‘อเปฺปกทา มาตุมตฺตีสุปิ โลภธมฺมา อุปฺปชฺชนฺติ, ภคินิมตฺตีสุปิ โลภธมฺมา อุปฺปชฺชนฺติ, ธีตุมตฺตีสุปิ โลภธมฺมา อุปฺปชฺชนฺตี’’ติ (สํ. นิ. ๔.๑๒๗) เอวํ วุโตฺตฯ รชฺชนวเสน ราโค, ปญฺจกามคุณราคเสฺสตํ อธิวจนํฯ ทุสฺสนวเสน โทโส, ปุเพฺพ วุตฺตโกธเสฺสตํ อธิวจนํฯ มุยฺหนวเสน โมโห, จตูสุ อริยสเจฺจสุ อญฺญาณเสฺสตํ อธิวจนํฯ ตตฺถ ยสฺมา อยํ ภิกฺขุ โลภํ ชิคุจฺฉโนฺต วิปสฺสนํ อารภิ ‘‘กุทาสฺสุ นามาหํ โลภํ วิเนตฺวา วิคตโลโภ วิหเรยฺย’’นฺติ, ตสฺมา ตสฺส โลภปฺปหานูปายํ สพฺพสงฺขารานํ วิตถภาวทสฺสนํ โลภปฺปหานานิสํสญฺจ โอรปารปฺปหานํ ทเสฺสโนฺต อิมํ คาถมาหฯ เอส นโย อิโต ปราสุปิฯ เกจิ ปนาหุ – ‘‘ยถาวุเตฺตเนว นเยน เอเต ธเมฺม ชิคุจฺฉิตฺวา วิปสฺสนมารทฺธสฺส ตสฺส ตสฺส ภิกฺขุโน เอกเมกาว เอตฺถ คาถา วุตฺตา’’ติฯ ยํ รุจฺจติ, ตํ คเหตพฺพํฯ เอส นโย อิโต ปราสุ จตูสุ คาถาสุฯ

    10-13. Idāni ito parāsu catūsu gāthāsu vītalobho vītarāgo vītadoso vītamohoti ete visesā. Ettha lubbhanavasena lobho. Sabbasaṅgāhikametaṃ paṭhamassa akusalamūlassa adhivacanaṃ, visamalobhassa vā. Yo so ‘‘appekadā mātumattīsupi lobhadhammā uppajjanti, bhaginimattīsupi lobhadhammā uppajjanti, dhītumattīsupi lobhadhammā uppajjantī’’ti (saṃ. ni. 4.127) evaṃ vutto. Rajjanavasena rāgo, pañcakāmaguṇarāgassetaṃ adhivacanaṃ. Dussanavasena doso, pubbe vuttakodhassetaṃ adhivacanaṃ. Muyhanavasena moho, catūsu ariyasaccesu aññāṇassetaṃ adhivacanaṃ. Tattha yasmā ayaṃ bhikkhu lobhaṃ jigucchanto vipassanaṃ ārabhi ‘‘kudāssu nāmāhaṃ lobhaṃ vinetvā vigatalobho vihareyya’’nti, tasmā tassa lobhappahānūpāyaṃ sabbasaṅkhārānaṃ vitathabhāvadassanaṃ lobhappahānānisaṃsañca orapārappahānaṃ dassento imaṃ gāthamāha. Esa nayo ito parāsupi. Keci panāhu – ‘‘yathāvutteneva nayena ete dhamme jigucchitvā vipassanamāraddhassa tassa tassa bhikkhuno ekamekāva ettha gāthā vuttā’’ti. Yaṃ ruccati, taṃ gahetabbaṃ. Esa nayo ito parāsu catūsu gāthāsu.

    ๑๔. อยํ ปเนตฺถ อตฺถวณฺณนา – อปฺปหีนเฎฺฐน สนฺตาเน สยนฺตีติ อนุสยา กามราคปฎิฆมานทิฎฺฐิวิจิกิจฺฉาภวราคาวิชฺชานํ เอตํ อธิวจนํฯ สมฺปยุตฺตธมฺมานํ อตฺตโน อาการานุวิธานเฎฺฐน มูลา; อเขมเฎฺฐน อกุสลา; ธมฺมานํ ปติฎฺฐาภูตาติปิ มูลา; สาวชฺชทุกฺขวิปากเฎฺฐน อกุสลา; อุภยเมฺปตํ โลภโทสโมหานํ อธิวจนํฯ เต หิ ‘‘โลโภ, ภิกฺขเว, อกุสลญฺจ อกุสลมูลญฺจา’’ติอาทินา นเยน เอวํ นิทฺทิฎฺฐาฯ เอวเมเต อนุสยา เตน เตน มเคฺคน ปหีนตฺตา ยสฺส เกจิ น สนฺติ, เอเต จ อกุสลมูลา ตเถว สมูหตาเส, สมูหตา อิเจฺจว อโตฺถฯ ปจฺจตฺตพหุวจนสฺส หิ เส-การาคมํ อิจฺฉนฺติ สทฺทลกฺขณโกวิทาฯ อฎฺฐกถาจริยา ปน ‘‘เสติ นิปาโต’’ติ วณฺณยนฺติฯ ยํ รุจฺจติ, ตํ คเหตพฺพํฯ เอตฺถ ปน ‘‘กิญฺจาปิ โส เอวํวิโธ ภิกฺขุ ขีณาสโว โหติ, ขีณาสโว จ เนว อาทิยติ, น ปชหติ, ปชหิตฺวา ฐิโต’’ติ วุโตฺตฯ ตถาปิ วตฺตมานสมีเป วตฺตมานวจนลกฺขเณน ‘‘ชหาติ โอรปาร’’นฺติ วุจฺจติฯ อถ วา อนุปาทิเสสาย จ นิพฺพานธาตุยา ปรินิพฺพายโนฺต อตฺตโน อชฺฌตฺติกพาหิรายตนสงฺขาตํ ชหาติ โอรปารนฺติ เวทิตโพฺพฯ

    14. Ayaṃ panettha atthavaṇṇanā – appahīnaṭṭhena santāne sayantīti anusayā kāmarāgapaṭighamānadiṭṭhivicikicchābhavarāgāvijjānaṃ etaṃ adhivacanaṃ. Sampayuttadhammānaṃ attano ākārānuvidhānaṭṭhena mūlā; akhemaṭṭhena akusalā; dhammānaṃ patiṭṭhābhūtātipi mūlā; sāvajjadukkhavipākaṭṭhena akusalā; ubhayampetaṃ lobhadosamohānaṃ adhivacanaṃ. Te hi ‘‘lobho, bhikkhave, akusalañca akusalamūlañcā’’tiādinā nayena evaṃ niddiṭṭhā. Evamete anusayā tena tena maggena pahīnattā yassa keci na santi, ete ca akusalamūlā tatheva samūhatāse, samūhatā icceva attho. Paccattabahuvacanassa hi se-kārāgamaṃ icchanti saddalakkhaṇakovidā. Aṭṭhakathācariyā pana ‘‘seti nipāto’’ti vaṇṇayanti. Yaṃ ruccati, taṃ gahetabbaṃ. Ettha pana ‘‘kiñcāpi so evaṃvidho bhikkhu khīṇāsavo hoti, khīṇāsavo ca neva ādiyati, na pajahati, pajahitvā ṭhito’’ti vutto. Tathāpi vattamānasamīpe vattamānavacanalakkhaṇena ‘‘jahāti orapāra’’nti vuccati. Atha vā anupādisesāya ca nibbānadhātuyā parinibbāyanto attano ajjhattikabāhirāyatanasaṅkhātaṃ jahāti orapāranti veditabbo.

    ตตฺถ กิเลสปฎิปาฎิยา มคฺคปฎิปาฎิยา จาติ ทฺวิธา อนุสยานํ อภาโว เวทิตโพฺพฯ กิเลสปฎิปาฎิยา หิ กามราคานุสยปฎิฆานุสยานํ ตติยมเคฺคน อภาโว โหติ, มานานุสยสฺส จตุตฺถมเคฺคน, ทิฎฺฐานุสยวิจิกิจฺฉานุสยานํ ปฐมมเคฺคน, ภวราคานุสยาวิชฺชานุสยานํ จตุตฺถมเคฺคเนวฯ มคฺคปฎิปาฎิยา ปน ปฐมมเคฺคน ทิฎฺฐานุสยวิจิกิจฺฉานุสยานํ อภาโว โหติฯ ทุติยมเคฺคน กามราคานุสยปฎิฆานุสยานํ ตนุภาโว, ตติยมเคฺคน สพฺพโส อภาโว, จตุตฺถมเคฺคน มานานุสยภวราคานุสยาวิชฺชานุสยานํ อภาโว โหติฯ ตตฺถ ยสฺมา น สเพฺพ อนุสยา อกุสลมูลา; กามราคภวราคานุสยา เอว หิ โลภากุสลมูเลน สงฺคหํ คจฺฉนฺติฯ ปฎิฆานุสยาวิชฺชานุสยา จ ‘‘โทโส อกุสลมูลํ, โมโห อกุสลมูลํ’’ อิเจฺจว สงฺขํ คจฺฉนฺติ, ทิฎฺฐิมานวิจิกิจฺฉานุสยา ปน น กิญฺจิ อกุสลมูลํ โหนฺติ, ยสฺมา วา อนุสยาภาววเสน จ อกุสลมูลสมุคฺฆาตวเสน จ กิเลสปฺปหานํ ปฎฺฐเปสิ, ตสฺมา –

    Tattha kilesapaṭipāṭiyā maggapaṭipāṭiyā cāti dvidhā anusayānaṃ abhāvo veditabbo. Kilesapaṭipāṭiyā hi kāmarāgānusayapaṭighānusayānaṃ tatiyamaggena abhāvo hoti, mānānusayassa catutthamaggena, diṭṭhānusayavicikicchānusayānaṃ paṭhamamaggena, bhavarāgānusayāvijjānusayānaṃ catutthamaggeneva. Maggapaṭipāṭiyā pana paṭhamamaggena diṭṭhānusayavicikicchānusayānaṃ abhāvo hoti. Dutiyamaggena kāmarāgānusayapaṭighānusayānaṃ tanubhāvo, tatiyamaggena sabbaso abhāvo, catutthamaggena mānānusayabhavarāgānusayāvijjānusayānaṃ abhāvo hoti. Tattha yasmā na sabbe anusayā akusalamūlā; kāmarāgabhavarāgānusayā eva hi lobhākusalamūlena saṅgahaṃ gacchanti. Paṭighānusayāvijjānusayā ca ‘‘doso akusalamūlaṃ, moho akusalamūlaṃ’’ icceva saṅkhaṃ gacchanti, diṭṭhimānavicikicchānusayā pana na kiñci akusalamūlaṃ honti, yasmā vā anusayābhāvavasena ca akusalamūlasamugghātavasena ca kilesappahānaṃ paṭṭhapesi, tasmā –

    ‘‘ยสฺสานุสยา น สนฺติ เกจิ, มูลา จ อกุสลา สมูหตาเส’’ฯ –

    ‘‘Yassānusayā na santi keci, mūlā ca akusalā samūhatāse’’. –

    อิติ ภควา อาหฯ

    Iti bhagavā āha.

    ๑๕. ยสฺส ทรถชาติ เอตฺถ ปน ปฐมุปฺปนฺนา กิเลสา ปริฬาหเฎฺฐน ทรถา นาม, อปราปรุปฺปนฺนา ปน เตหิ ทรเถหิ ชาตตฺตา ทรถชา นามฯ โอรนฺติ สกฺกาโย วุจฺจติฯ ยถาห – ‘‘โอริมํ ตีรนฺติ โข, ภิกฺขุ, สกฺกายเสฺสตํ อธิวจน’’นฺติ (สํ. นิ. ๔.๒๓๘)ฯ อาคมนายาติ อุปฺปตฺติยาฯ ปจฺจยาเสติ ปจฺจยา เอวฯ กิํ วุตฺตํ โหติ? ยสฺส ปน อุปาทานกฺขนฺธคฺคหณาย ปจฺจยภูตา อริยมเคฺคน ปหีนตฺตา, เกจิ ทรถชเววจนา กิเลสา น สนฺติ, ปุเพฺพ วุตฺตนเยเนว โส ภิกฺขุ ชหาติ โอรปารนฺติฯ

    15.Yassa darathajāti ettha pana paṭhamuppannā kilesā pariḷāhaṭṭhena darathā nāma, aparāparuppannā pana tehi darathehi jātattā darathajā nāma. Oranti sakkāyo vuccati. Yathāha – ‘‘orimaṃ tīranti kho, bhikkhu, sakkāyassetaṃ adhivacana’’nti (saṃ. ni. 4.238). Āgamanāyāti uppattiyā. Paccayāseti paccayā eva. Kiṃ vuttaṃ hoti? Yassa pana upādānakkhandhaggahaṇāya paccayabhūtā ariyamaggena pahīnattā, keci darathajavevacanā kilesā na santi, pubbe vuttanayeneva so bhikkhu jahāti orapāranti.

    ๑๖. ยสฺส วนถชาติ เอตฺถปิ ทรถชา วิย วนถชา เวทิตพฺพาฯ วจนเตฺถ ปน อยํ วิเสโส – วนุเต, วโนตีติ วา วนํ ยาจติ เสวติ ภชตีติ อโตฺถฯ ตณฺหาเยตํ อธิวจนํฯ สา หิ วิสยานํ ปตฺถนโต เสวนโต จ ‘‘วน’’นฺติ วุจฺจติฯ ตํ ปริยุฎฺฐานวเสน วนํ ถรติ ตโนตีติ วนโถ, ตณฺหานุสยเสฺสตํ อธิวจนํฯ วนถา ชาตาติ วนถชาติฯ เกจิ ปนาหุ ‘‘สเพฺพปิ กิเลสา คหนเฎฺฐน วนโถติ วุจฺจนฺติ, อปราปรุปฺปนฺนา ปน วนถชา’’ติฯ อยเมว เจตฺถ อุรคสุเตฺต อโตฺถ อธิเปฺปโต, อิตโร ปน ธมฺมปทคาถายํฯ วินิพนฺธาย ภวายาติ ภววินิพนฺธายฯ อถ วา จิตฺตสฺส วิสเยสุ วินิพนฺธาย อายติํ อุปฺปตฺติยา จาติ อโตฺถฯ เหตุเยว เหตุกปฺปาฯ

    16.Yassa vanathajāti etthapi darathajā viya vanathajā veditabbā. Vacanatthe pana ayaṃ viseso – vanute, vanotīti vā vanaṃ yācati sevati bhajatīti attho. Taṇhāyetaṃ adhivacanaṃ. Sā hi visayānaṃ patthanato sevanato ca ‘‘vana’’nti vuccati. Taṃ pariyuṭṭhānavasena vanaṃ tharati tanotīti vanatho, taṇhānusayassetaṃ adhivacanaṃ. Vanathā jātāti vanathajāti. Keci panāhu ‘‘sabbepi kilesā gahanaṭṭhena vanathoti vuccanti, aparāparuppannā pana vanathajā’’ti. Ayameva cettha uragasutte attho adhippeto, itaro pana dhammapadagāthāyaṃ. Vinibandhāya bhavāyāti bhavavinibandhāya. Atha vā cittassa visayesu vinibandhāya āyatiṃ uppattiyā cāti attho. Hetuyeva hetukappā.

    ๑๗. โย นีวรเณติ เอตฺถ นีวรณาติ จิตฺตํ, หิตปฎิปตฺติํ วา นีวรนฺตีติ นีวรณา, ปฎิจฺฉาเทนฺตีติ อโตฺถฯ ปหายาติ ฉเฑฺฑตฺวาฯ ปญฺจาติ เตสํ สงฺขฺยาปริเจฺฉโทฯ อีฆาภาวโต อนีโฆฯ กถํกถาย ติณฺณตฺตา ติณฺณกถํกโถฯ วิคตสลฺลตฺตา วิสโลฺลฯ กิํ วุตฺตํ โหติ? โย ภิกฺขุ กามจฺฉนฺทาทีนิ ปญฺจ นีวรณานิ สมนฺตภทฺทเก วุตฺตนเยน สามญฺญโต วิเสสโต จ นีวรเณสุ อาทีนวํ ทิสฺวา เตน เตน มเคฺคน ปหาย เตสญฺจ ปหีนตฺตา เอว กิเลสทุกฺขสงฺขาตสฺส อีฆสฺสาภาเวน อนีโฆ, ‘‘อโหสิํ นุ โข อหํ อตีตมทฺธาน’’นฺติอาทินา (ม. นิ. ๑.๑๘; สํ. นิ. ๒.๒๐) นเยน ปวตฺตาย กถํกถาย ติณฺณตฺตา ติณฺณกถํกโถ , ‘‘ตตฺถ กตเม ปญฺจ สลฺลา? ราคสโลฺล, โทสสโลฺล, โมหสโลฺล, มานสโลฺล, ทิฎฺฐิสโลฺล’’ติ วุตฺตานํ ปญฺจนฺนํ สลฺลานํ วิคตตฺตา วิสโลฺลฯ โส ภิกฺขุ ปุเพฺพ วุตฺตนเยเนว ชหาติ โอรปารนฺติฯ

    17.Yo nīvaraṇeti ettha nīvaraṇāti cittaṃ, hitapaṭipattiṃ vā nīvarantīti nīvaraṇā, paṭicchādentīti attho. Pahāyāti chaḍḍetvā. Pañcāti tesaṃ saṅkhyāparicchedo. Īghābhāvato anīgho. Kathaṃkathāya tiṇṇattā tiṇṇakathaṃkatho. Vigatasallattā visallo. Kiṃ vuttaṃ hoti? Yo bhikkhu kāmacchandādīni pañca nīvaraṇāni samantabhaddake vuttanayena sāmaññato visesato ca nīvaraṇesu ādīnavaṃ disvā tena tena maggena pahāya tesañca pahīnattā eva kilesadukkhasaṅkhātassa īghassābhāvena anīgho, ‘‘ahosiṃ nu kho ahaṃ atītamaddhāna’’ntiādinā (ma. ni. 1.18; saṃ. ni. 2.20) nayena pavattāya kathaṃkathāya tiṇṇattā tiṇṇakathaṃkatho, ‘‘tattha katame pañca sallā? Rāgasallo, dosasallo, mohasallo, mānasallo, diṭṭhisallo’’ti vuttānaṃ pañcannaṃ sallānaṃ vigatattā visallo. So bhikkhu pubbe vuttanayeneva jahāti orapāranti.

    อตฺราปิ จ กิเลสปฎิปาฎิยา มคฺคปฎิปาฎิยา จาติ ทฺวิธา เอว นีวรณปฺปหานํ เวทิตพฺพํฯ กิเลสปฎิปาฎิยา หิ กามจฺฉนฺทนีวรณสฺส พฺยาปาทนีวรณสฺส จ ตติยมเคฺคน ปหานํ โหติ, ถินมิทฺธนีวรณสฺส อุทฺธจฺจนีวรณสฺส จ จตุตฺถมเคฺคนฯ ‘‘อกตํ วต เม กุสล’’นฺติอาทินา (ม. นิ. ๓.๒๔๘; เนตฺติ. ๑๒๐) นเยน ปวตฺตสฺส วิปฺปฎิสารสงฺขาตสฺส กุกฺกุจฺจนีวรณสฺส วิจิกิจฺฉานีวรณสฺส จ ปฐมมเคฺคนฯ มคฺคปฎิปาฎิยา ปน กุกฺกุจฺจนีวรณสฺส วิจิกิจฺฉานีวรณสฺส จ ปฐมมเคฺคน ปหานํ โหติ, กามจฺฉนฺทนีวรณสฺส พฺยาปาทนีวรณสฺส จ ทุติยมเคฺคน ตนุภาโว โหติ, ตติเยน อนวเสสปฺปหานํฯ ถินมิทฺธนีวรณสฺส อุทฺธจฺจนีวรณสฺส จ จตุตฺถมเคฺคน ปหานํ โหตีติฯ เอวํ –

    Atrāpi ca kilesapaṭipāṭiyā maggapaṭipāṭiyā cāti dvidhā eva nīvaraṇappahānaṃ veditabbaṃ. Kilesapaṭipāṭiyā hi kāmacchandanīvaraṇassa byāpādanīvaraṇassa ca tatiyamaggena pahānaṃ hoti, thinamiddhanīvaraṇassa uddhaccanīvaraṇassa ca catutthamaggena. ‘‘Akataṃ vata me kusala’’ntiādinā (ma. ni. 3.248; netti. 120) nayena pavattassa vippaṭisārasaṅkhātassa kukkuccanīvaraṇassa vicikicchānīvaraṇassa ca paṭhamamaggena. Maggapaṭipāṭiyā pana kukkuccanīvaraṇassa vicikicchānīvaraṇassa ca paṭhamamaggena pahānaṃ hoti, kāmacchandanīvaraṇassa byāpādanīvaraṇassa ca dutiyamaggena tanubhāvo hoti, tatiyena anavasesappahānaṃ. Thinamiddhanīvaraṇassa uddhaccanīvaraṇassa ca catutthamaggena pahānaṃ hotīti. Evaṃ –

    ‘‘โย นีวรเณ ปหาย ปญฺจ, อนีโฆ ติณฺณกถํกโถ วิสโลฺล;

    ‘‘Yo nīvaraṇe pahāya pañca, anīgho tiṇṇakathaṃkatho visallo;

    โส ภิกฺขุ ชหาติ โอรปารํ, อุรโค ชิณฺณมิวตฺตจํ ปุราณ’’นฺติฯ –

    So bhikkhu jahāti orapāraṃ, urago jiṇṇamivattacaṃ purāṇa’’nti. –

    อรหตฺตนิกูเฎเนว ภควา เทสนํ นิฎฺฐาเปสิฯ เทสนาปริโยสาเน โส ภิกฺขุ อรหเตฺต ปติฎฺฐิโตฯ ‘‘เอกเจฺจ เยน เยน เตสํ ภิกฺขูนํ ยา ยา คาถา เทสิตา, เตน เตน ตสฺสา ตสฺสา คาถาย ปริโยสาเน โส โส ภิกฺขุ อรหเตฺต ปติฎฺฐิโต’’ติ วทนฺติฯ

    Arahattanikūṭeneva bhagavā desanaṃ niṭṭhāpesi. Desanāpariyosāne so bhikkhu arahatte patiṭṭhito. ‘‘Ekacce yena yena tesaṃ bhikkhūnaṃ yā yā gāthā desitā, tena tena tassā tassā gāthāya pariyosāne so so bhikkhu arahatte patiṭṭhito’’ti vadanti.

    ปรมตฺถโชติกาย ขุทฺทก-อฎฺฐกถาย

    Paramatthajotikāya khuddaka-aṭṭhakathāya

    สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถาย อุรคสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Suttanipāta-aṭṭhakathāya uragasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / สุตฺตนิปาตปาฬิ • Suttanipātapāḷi / ๑. อุรคสุตฺตํ • 1. Uragasuttaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact