Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / อุทาน-อฎฺฐกถา • Udāna-aṭṭhakathā

    ๑๐. อุเตนสุตฺตวณฺณนา

    10. Utenasuttavaṇṇanā

    ๗๐. ทสเม รโญฺญ อุเตนสฺสาติ อุเตนสฺส นาม รโญฺญ, โย ‘‘วชฺชิราชา’’ติปิ วุจฺจติฯ อุยฺยานคตสฺสาติ อุยฺยานกีฬนตฺถํ อุยฺยานํ คตสฺส ฯ อนาทเร หิ อิทํ สามิวจนํ, ‘‘อเนฺตปุร’’นฺติ ปน ปทํ อเปกฺขิตฺวา สมฺพเนฺธเปตํ สามิวจนํ โหติฯ กาลงฺกตานีติ อคฺคิทฑฺฒานิ หุตฺวา มตานิ โหนฺติฯ สามาวตีปมุขานีติ เอตฺถ กา ปนายํ สามาวตี, กถญฺจ ทฑฺฒาติ? วุจฺจเต, ภทฺทวติยํ เสฎฺฐิโน ธีตา โฆสกเสฎฺฐินา ธีตุฎฺฐาเน ฐปิตา ปญฺจสตอิตฺถิปริวารา รโญฺญ อุเตนสฺส อคฺคมเหสี เมตฺตาวิหารพหุลา อริยสาวิกา สามาวตี นามฯ อยเมตฺถ สเงฺขโป, วิตฺถารโต ปน อาทิโต ปฎฺฐาย สามาวติยา อุปฺปตฺติกถา ธมฺมปทวตฺถุมฺหิ (ธ. ป. อฎฺฐ. ๑.๒๐ สามาวตีวตฺถุ) วุตฺตนเยน เวทิตพฺพาฯ มาคณฺฑิยสฺส นาม พฺราหฺมณสฺส ธีตา อตฺตโน มาตาปิตูนํ –

    70. Dasame rañño utenassāti utenassa nāma rañño, yo ‘‘vajjirājā’’tipi vuccati. Uyyānagatassāti uyyānakīḷanatthaṃ uyyānaṃ gatassa . Anādare hi idaṃ sāmivacanaṃ, ‘‘antepura’’nti pana padaṃ apekkhitvā sambandhepetaṃ sāmivacanaṃ hoti. Kālaṅkatānīti aggidaḍḍhāni hutvā matāni honti. Sāmāvatīpamukhānīti ettha kā panāyaṃ sāmāvatī, kathañca daḍḍhāti? Vuccate, bhaddavatiyaṃ seṭṭhino dhītā ghosakaseṭṭhinā dhītuṭṭhāne ṭhapitā pañcasataitthiparivārā rañño utenassa aggamahesī mettāvihārabahulā ariyasāvikā sāmāvatī nāma. Ayamettha saṅkhepo, vitthārato pana ādito paṭṭhāya sāmāvatiyā uppattikathā dhammapadavatthumhi (dha. pa. aṭṭha. 1.20 sāmāvatīvatthu) vuttanayena veditabbā. Māgaṇḍiyassa nāma brāhmaṇassa dhītā attano mātāpitūnaṃ –

    ‘‘ทิสฺวาน ตณฺหํ อรติํ รคญฺจ,

    ‘‘Disvāna taṇhaṃ aratiṃ ragañca,

    นาโหสิ ฉโนฺท อปิ เมถุนสฺมิํ;

    Nāhosi chando api methunasmiṃ;

    กิเมวิทํ มุตฺตกรีสปุณฺณํ,

    Kimevidaṃ muttakarīsapuṇṇaṃ,

    ปาทาปิ นํ สมฺผุสิตุํ น อิเจฺฉ’’ติฯ (สุ. นิ. ๘๔๑) –

    Pādāpi naṃ samphusituṃ na icche’’ti. (su. ni. 841) –

    ภควตา เทสิตํ อิมํ คาถํ สุตฺวา สตฺถริ พทฺธาฆาตา มาคณฺฑิยา อปรภาเค รญฺญา อุเตเนน มเหสิฎฺฐาเน ฐปิตา ภควโต โกสมฺพิํ อุปคตภาวํ, สามาวตีปมุขานญฺจ ปญฺจนฺนํ อิตฺถิสตานํ อุปาสิกาภาวํ ญตฺวา ‘‘อาคโต นาม สมโณ โคตโม อิมํ นครํ, ทานิสฺส กตฺตพฺพํ ชานิสฺสามิ, อิมาปิ ตสฺส อุปฎฺฐายิกา, อิมาสมฺปิ สามาวตีปมุขานญฺจ กตฺตพฺพํ ชานิสฺสามี’’ติ อเนกปริยาเยหิ ตถาคตสฺส ตาสญฺจ อนตฺถํ กาตุํ วายมิตฺวาปิ อสโกฺกนฺตี ปุเนกทิวสํ รญฺญา สทฺธิํ อุยฺยานกีฬํ คจฺฉนฺตี จูฬปิตุ สาสนํ ปหิณิ ‘‘สามาวติยา ปาสาทํ คนฺตฺวา ทุสฺสโกฎฺฐาคารเตลโกฎฺฐาคารานิ วิวราเปตฺวา ทุสฺสานิ เตลจาฎีสุ เตเมตฺวา ถเมฺภ เวเฐตฺวา ตา สพฺพา เอกโต กตฺวา ทฺวารํ ปิทหิตฺวา พหิ ยนฺตํ ทตฺวา ทณฺฑทีปิกาหิ เคเห อคฺคิํ ททมาโน โอตริตฺวา คจฺฉตู’’ติฯ

    Bhagavatā desitaṃ imaṃ gāthaṃ sutvā satthari baddhāghātā māgaṇḍiyā aparabhāge raññā utenena mahesiṭṭhāne ṭhapitā bhagavato kosambiṃ upagatabhāvaṃ, sāmāvatīpamukhānañca pañcannaṃ itthisatānaṃ upāsikābhāvaṃ ñatvā ‘‘āgato nāma samaṇo gotamo imaṃ nagaraṃ, dānissa kattabbaṃ jānissāmi, imāpi tassa upaṭṭhāyikā, imāsampi sāmāvatīpamukhānañca kattabbaṃ jānissāmī’’ti anekapariyāyehi tathāgatassa tāsañca anatthaṃ kātuṃ vāyamitvāpi asakkontī punekadivasaṃ raññā saddhiṃ uyyānakīḷaṃ gacchantī cūḷapitu sāsanaṃ pahiṇi ‘‘sāmāvatiyā pāsādaṃ gantvā dussakoṭṭhāgāratelakoṭṭhāgārāni vivarāpetvā dussāni telacāṭīsu temetvā thambhe veṭhetvā tā sabbā ekato katvā dvāraṃ pidahitvā bahi yantaṃ datvā daṇḍadīpikāhi gehe aggiṃ dadamāno otaritvā gacchatū’’ti.

    ตํ สุตฺวา โส ปาสาทํ อภิรุยฺห โกฎฺฐาคารานิ วิวริตฺวา วตฺถานิ เตลจาฎีสุ เตเมตฺวา ถเมฺภ เวเฐตุํ อารภิฯ อถ นํ สามาวตีปมุขา อิตฺถิโย ‘‘กิํ เอตํ จูฬปิตา’’ติ วทนฺติโย อุปสงฺกมิํสุฯ ‘‘อมฺมา, ราชา ทฬฺหิกมฺมตฺถาย อิเม ถเมฺภ เตลปิโลติกาหิ พนฺธาเปติ , ราชเคเห นาม สุยุตฺตทุยุตฺตํ ทุชฺชานํ, มา เม สนฺติเก โหถา’’ติ วตฺวา ตา อาคตา คเพฺภสุ ปเวเสตฺวา ทฺวารานิ ปิทหิตฺวา พหิ ยนฺตกํ ทตฺวา อาทิโต ปฎฺฐาย อคฺคิํ เทโนฺต โอตริฯ สามาวตี ตาสํ โอวาทํ อทาสิ, ‘‘อมฺมา, อนมตเคฺค สํสาเร วิจรนฺตีนํ เอวเมว อคฺคินา ฌามตฺตภาวานํ พุทฺธญาเณนปิ ปริเจฺฉโท น สุกโร, อปฺปมตฺตา โหถา’’ติฯ ตา สตฺถุ สนฺติเก ธมฺมํ สุตฺวา อธิคตผลาย วิญฺญาตสาสนาย ขุชฺชุตฺตราย อริยสาวิกาย เสกฺขปฎิสมฺภิทาปตฺตาย สตฺถารา เทสิตนิยาเมเนว ธมฺมํ เทเสนฺติยา สนฺติเก โสตาปตฺติผลสฺส อธิคตา อนฺตรนฺตรา กมฺมฎฺฐานมนสิกาเรน ยุตฺตปฺปยุตฺตา เคเห ฌายเนฺต เวทนาปริคฺคหกมฺมฎฺฐานํ มนสิ กโรนฺติโย กาจิ ทุติยผลํ, กาจิ ตติยผลํ ปาปุณิตฺวา กาลมกํสุฯ อถ ภิกฺขู โกสมฺพิยํ ปิณฺฑาย จรนฺตา ตํ ปวตฺติํ ญตฺวา ปจฺฉาภตฺตํ ภควโต อาโรเจตฺวา ตาสํ อภิสมฺปรายํ ปุจฺฉิํสุฯ ภควา จ ตาสํ อริยผลาธิคมํ ภิกฺขูนํ อภาสิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘เตน โข ปน สมเยน รโญฺญ อุเตนสฺส…เป.… อนิปฺผลา กาลงฺกตา’’ติฯ

    Taṃ sutvā so pāsādaṃ abhiruyha koṭṭhāgārāni vivaritvā vatthāni telacāṭīsu temetvā thambhe veṭhetuṃ ārabhi. Atha naṃ sāmāvatīpamukhā itthiyo ‘‘kiṃ etaṃ cūḷapitā’’ti vadantiyo upasaṅkamiṃsu. ‘‘Ammā, rājā daḷhikammatthāya ime thambhe telapilotikāhi bandhāpeti , rājagehe nāma suyuttaduyuttaṃ dujjānaṃ, mā me santike hothā’’ti vatvā tā āgatā gabbhesu pavesetvā dvārāni pidahitvā bahi yantakaṃ datvā ādito paṭṭhāya aggiṃ dento otari. Sāmāvatī tāsaṃ ovādaṃ adāsi, ‘‘ammā, anamatagge saṃsāre vicarantīnaṃ evameva agginā jhāmattabhāvānaṃ buddhañāṇenapi paricchedo na sukaro, appamattā hothā’’ti. Tā satthu santike dhammaṃ sutvā adhigataphalāya viññātasāsanāya khujjuttarāya ariyasāvikāya sekkhapaṭisambhidāpattāya satthārā desitaniyāmeneva dhammaṃ desentiyā santike sotāpattiphalassa adhigatā antarantarā kammaṭṭhānamanasikārena yuttappayuttā gehe jhāyante vedanāpariggahakammaṭṭhānaṃ manasi karontiyo kāci dutiyaphalaṃ, kāci tatiyaphalaṃ pāpuṇitvā kālamakaṃsu. Atha bhikkhū kosambiyaṃ piṇḍāya carantā taṃ pavattiṃ ñatvā pacchābhattaṃ bhagavato ārocetvā tāsaṃ abhisamparāyaṃ pucchiṃsu. Bhagavā ca tāsaṃ ariyaphalādhigamaṃ bhikkhūnaṃ abhāsi. Tena vuttaṃ – ‘‘tena kho pana samayena rañño utenassa…pe… anipphalā kālaṅkatā’’ti.

    ตตฺถ อนิปฺผลาติ น นิปฺผลา, สมฺปตฺตสามญฺญผลา เอว กาลงฺกตาฯ ตา ปน ผลานิ ปฎิลภนฺติโย สามาวติยา –

    Tattha anipphalāti na nipphalā, sampattasāmaññaphalā eva kālaṅkatā. Tā pana phalāni paṭilabhantiyo sāmāvatiyā –

    ‘‘อารมฺภถ นิกฺกมถ, ยุญฺชถ พุทฺธสาสเน;

    ‘‘Ārambhatha nikkamatha, yuñjatha buddhasāsane;

    ธุนาถ มจฺจุโน เสนํ, นฬาคารํว กุญฺชโรฯ

    Dhunātha maccuno senaṃ, naḷāgāraṃva kuñjaro.

    ‘‘โย อิมสฺมิํ ธมฺมวินเย, อปฺปมโตฺต วิหสฺสติ;

    ‘‘Yo imasmiṃ dhammavinaye, appamatto vihassati;

    ปหาย ชาติสํสารํ, ทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสตี’’ติฯ (สํ. นิ. ๑.๑๘๕; เนตฺติ. ๒๙) –

    Pahāya jātisaṃsāraṃ, dukkhassantaṃ karissatī’’ti. (saṃ. ni. 1.185; netti. 29) –

    คาถาหิ โอวทิยมานา เวทนาปริคฺคหกมฺมฎฺฐานํ มนสิ กโรนฺติโย วิปสฺสิตฺวา ทุติยตติยผลานิ ปฎิลภิํสุฯ ขุชฺชุตฺตรา ปน อายุเสสสฺส อตฺถิตาย, ปุเพฺพ ตาทิสสฺส กมฺมสฺส อกตตฺตา จ ตโต ปาสาทโต พหิ อโหสิฯ ‘‘ทสโยชนนฺตเร ปกฺกามี’’ติ จ วทนฺติฯ อถ ภิกฺขู ธมฺมสภายํ กถํ สมุฎฺฐาเปสุํ, ‘‘อาวุโส, อนนุจฺฉวิกํ วต อริยสาวิกานํ เอวรูปํ มรณ’’นฺติฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต , ‘‘ภิกฺขเว, ยทิปิ ตาสํ อิมสฺมิํ อตฺตภาเว อยุตฺตํ, ปุเพฺพ กตกมฺมสฺส ปน ยุตฺตเมว ตาหิ ลทฺธ’’นฺติ วตฺวา เตหิ ยาจิโต อตีตํ อาหริฯ

    Gāthāhi ovadiyamānā vedanāpariggahakammaṭṭhānaṃ manasi karontiyo vipassitvā dutiyatatiyaphalāni paṭilabhiṃsu. Khujjuttarā pana āyusesassa atthitāya, pubbe tādisassa kammassa akatattā ca tato pāsādato bahi ahosi. ‘‘Dasayojanantare pakkāmī’’ti ca vadanti. Atha bhikkhū dhammasabhāyaṃ kathaṃ samuṭṭhāpesuṃ, ‘‘āvuso, ananucchavikaṃ vata ariyasāvikānaṃ evarūpaṃ maraṇa’’nti. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte , ‘‘bhikkhave, yadipi tāsaṃ imasmiṃ attabhāve ayuttaṃ, pubbe katakammassa pana yuttameva tāhi laddha’’nti vatvā tehi yācito atītaṃ āhari.

    อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต อฎฺฐ ปเจฺจกพุทฺธา รโญฺญ นิเวสเน นิพทฺธํ ภุญฺชนฺติฯ ปญฺจสตา อิตฺถิโย เต อุปฎฺฐหนฺติฯ เตสุ สตฺต ชนา หิมวนฺตํ คจฺฉนฺติ, เอโก นทีตีรสมีเป เอกสฺมิํ ติณคหเน สมาปตฺติยา นิสีทติฯ อเถกทิวสํ ราชา ปเจฺจกพุเทฺธสุ คเตสุ ตาหิ อิตฺถีหิ สทฺธิํ อุทกกีฬํ กีฬิตุกาโม ตตฺถ คโตฯ ตา อิตฺถิโย ทิวสภาคํ อุทเก กีฬิตฺวา สีตปีฬิตา วิสิพฺพิตุกามา ตํ ติณคหนํ อุปริ วิสุกฺขติณสญฺฉนฺนํ ‘‘ติณราสี’’ติ สญฺญาย ปริวาเรตฺวา อคฺคิํ ทตฺวา ติเณสุ ฌายิตฺวา ปตเนฺตสุ ปเจฺจกพุทฺธํ ทิสฺวา ‘‘รโญฺญ ปเจฺจกพุโทฺธ ฌายติ, ตํ ราชา ญตฺวา อเมฺห นาเสสฺสติ, สุทฑฺฒํ นํ กริสฺสามา’’ติ สพฺพา อิโต จิโต จ ทารุอาทีนิ อาหริตฺวา ตสฺส อุปริ ราสิํ กตฺวา อาลิเมฺปตฺวา ‘‘อิทานิ ฌายิสฺสตี’’ติ ปกฺกมิํสุฯ ตา ปฐมํ อสเญฺจตนิกา หุตฺวา อิทานิ กมฺมุนา พชฺฌิํสุฯ ปเจฺจกพุทฺธํ ปน อโนฺตสมาปตฺติยํ สเจ ทารูนํ สกฎสหสฺสมฺปิ อาหริตฺวา อาลิเมฺปนฺตา อุสุมาการมตฺตมฺปิ คาเหตุํ น สโกฺกนฺติ, ตสฺมา โส สตฺตเม ทิวเส อุฎฺฐาย ยถาสุขํ อคมาสิฯ ตา ตสฺส กมฺมสฺส กตตฺตา พหูนิ วสฺสสหสฺสานิ พหูนิ วสฺสสตสหสฺสานิ นิรเย ปจฺจิตฺวา ตเสฺสว กมฺมสฺส วิปากาวเสเสน อตฺตภาวสเต อิมินาว นิยาเมน เคเห ฌายมาเน ฌายิํสุฯ อิทํ ตาสํ ปุพฺพกมฺมํฯ

    Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente aṭṭha paccekabuddhā rañño nivesane nibaddhaṃ bhuñjanti. Pañcasatā itthiyo te upaṭṭhahanti. Tesu satta janā himavantaṃ gacchanti, eko nadītīrasamīpe ekasmiṃ tiṇagahane samāpattiyā nisīdati. Athekadivasaṃ rājā paccekabuddhesu gatesu tāhi itthīhi saddhiṃ udakakīḷaṃ kīḷitukāmo tattha gato. Tā itthiyo divasabhāgaṃ udake kīḷitvā sītapīḷitā visibbitukāmā taṃ tiṇagahanaṃ upari visukkhatiṇasañchannaṃ ‘‘tiṇarāsī’’ti saññāya parivāretvā aggiṃ datvā tiṇesu jhāyitvā patantesu paccekabuddhaṃ disvā ‘‘rañño paccekabuddho jhāyati, taṃ rājā ñatvā amhe nāsessati, sudaḍḍhaṃ naṃ karissāmā’’ti sabbā ito cito ca dāruādīni āharitvā tassa upari rāsiṃ katvā ālimpetvā ‘‘idāni jhāyissatī’’ti pakkamiṃsu. Tā paṭhamaṃ asañcetanikā hutvā idāni kammunā bajjhiṃsu. Paccekabuddhaṃ pana antosamāpattiyaṃ sace dārūnaṃ sakaṭasahassampi āharitvā ālimpentā usumākāramattampi gāhetuṃ na sakkonti, tasmā so sattame divase uṭṭhāya yathāsukhaṃ agamāsi. Tā tassa kammassa katattā bahūni vassasahassāni bahūni vassasatasahassāni niraye paccitvā tasseva kammassa vipākāvasesena attabhāvasate imināva niyāmena gehe jhāyamāne jhāyiṃsu. Idaṃ tāsaṃ pubbakammaṃ.

    ยสฺมา ปน เต อิมสฺมิํ อตฺตภาเว อริยผลานิ สจฺฉากํสุ, รตนตฺตยํ ปยิรุปาสิํสุ, ตสฺมา ตตฺถ อนาคามินิโย สุทฺธาวาเสสุ อุปปนฺนา, อิตรา กาจิ ตาวติํเสสุ, กาจิ ยาเมสุ, กาจิ ตุสิเตสุ, กาจิ นิมฺมานรตีสุ, กาจิ ปรนิมฺมิตวสวตฺตีสุ อุปปนฺนาฯ

    Yasmā pana te imasmiṃ attabhāve ariyaphalāni sacchākaṃsu, ratanattayaṃ payirupāsiṃsu, tasmā tattha anāgāminiyo suddhāvāsesu upapannā, itarā kāci tāvatiṃsesu, kāci yāmesu, kāci tusitesu, kāci nimmānaratīsu, kāci paranimmitavasavattīsu upapannā.

    ราชาปิ โข อุเตโน ‘‘สามาวติยา เคหํ กิร ฌายตี’’ติ สุตฺวา เวเคน อาคจฺฉโนฺตปิ ตํ ปเทสํ ตาสุ ทฑฺฒาสุเยว สมฺปาปุณิฯ อาคนฺตฺวา ปน เคหํ นิพฺพาเปตฺวา อุปฺปนฺนพลวโทมนโสฺส มาคณฺฑิยาย ตถา การิตภาวํ อุปาเยน ญตฺวา อริยสาวิกาสุ กตาปราธกมฺมุนา โจทิยมาโน ตสฺสา ราชาณํ กาเรสิ สทฺธิํ ญาตเกหิฯ เอวํ สา สปริชนา สมิตฺตพนฺธวา อนยพฺยสนํ ปาปุณิฯ

    Rājāpi kho uteno ‘‘sāmāvatiyā gehaṃ kira jhāyatī’’ti sutvā vegena āgacchantopi taṃ padesaṃ tāsu daḍḍhāsuyeva sampāpuṇi. Āgantvā pana gehaṃ nibbāpetvā uppannabalavadomanasso māgaṇḍiyāya tathā kāritabhāvaṃ upāyena ñatvā ariyasāvikāsu katāparādhakammunā codiyamāno tassā rājāṇaṃ kāresi saddhiṃ ñātakehi. Evaṃ sā saparijanā samittabandhavā anayabyasanaṃ pāpuṇi.

    เอตมตฺถํ วิทิตฺวาติ เอตํ สามาวตีปมุขานํ ตาสํ อิตฺถีนํ อคฺคิมฺหิ อนยพฺยสนาปตฺติเหตุํ, มาคณฺฑิยาย จ สมิตฺตพนฺธวาย ราชาณาย อนยพฺยสนาปตฺตินิมิตฺตํ สพฺพาการโต วิทิตฺวา ตทตฺถทีปนํ อิมํ อุทานํ อุทาเนสิ

    Etamatthaṃviditvāti etaṃ sāmāvatīpamukhānaṃ tāsaṃ itthīnaṃ aggimhi anayabyasanāpattihetuṃ, māgaṇḍiyāya ca samittabandhavāya rājāṇāya anayabyasanāpattinimittaṃ sabbākārato viditvā tadatthadīpanaṃ imaṃ udānaṃ udānesi.

    ตตฺถ โมหสมฺพนฺธโน โลโก, ภพฺพรูโปว ทิสฺสตีติ โย อิธ สตฺตโลโก ภพฺพรูโปว เหตุสมฺปโนฺน วิย หุตฺวา ทิสฺสติ, โสปิ โมหสมฺพนฺธโน โมเหน ปลิคุณฺฐิโต อตฺตหิตาหิตํ อชานโนฺต หิเต น ปฎิปชฺชติ, อหิตํ ทุกฺขาวหํ พหุญฺจ อปุญฺญํ อาจินาติฯ ‘‘ภวรูโปว ทิสฺสตี’’ติปิ ปาโฐฯ ตสฺสโตฺถ – อยํ โลโก โมหสมฺพนฺธโน โมเหน ปลิคุณฺฐิโต, ตโต เอว ภวรูโปว สสฺสตสภาโว วิยสฺส อตฺตา ทิสฺสติ, อชรามโร วิย อุปฎฺฐาติ, เยน ปาณาติปาตาทีนิ อกตฺตพฺพานิ กโรติฯ

    Tattha mohasambandhano loko, bhabbarūpova dissatīti yo idha sattaloko bhabbarūpova hetusampanno viya hutvā dissati, sopi mohasambandhano mohena paliguṇṭhito attahitāhitaṃ ajānanto hite na paṭipajjati, ahitaṃ dukkhāvahaṃ bahuñca apuññaṃ ācināti. ‘‘Bhavarūpova dissatī’’tipi pāṭho. Tassattho – ayaṃ loko mohasambandhano mohena paliguṇṭhito, tato eva bhavarūpova sassatasabhāvo viyassa attā dissati, ajarāmaro viya upaṭṭhāti, yena pāṇātipātādīni akattabbāni karoti.

    อุปธิพนฺธโน พาโล, ตมสา ปริวาริโตฯ สสฺสโตริว ขายตีติ น เกวลญฺจ โมหสมฺพนฺธโน เอว, อปิจ โข อุปธิพนฺธโนปิ อยํ อนฺธพาลโลโก อวิชฺชาตมสา ปริวาริโตฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – เยน ญาเณน อวิปรีตํ กาเม จ ขเนฺธ จ ‘‘อนิจฺจา ทุกฺขา วิปริณามธมฺมา’’ติ ปเสฺสยฺย, ตสฺส อภาวโต ยสฺมา พาโล อนฺธปุถุชฺชโน อญฺญาณตมสา สมนฺตโต ปริวาริโต นิวุโต, ตสฺมา โส กามูปธิ กิเลสูปธิ ขนฺธูปธีติ อิเมสํ อุปธีนํ วเสน จ อุปธิพนฺธโน, ตโต เอว จสฺส โสปธิสฺส ปสฺสโต สสฺสโต วิย นิโจฺจ สพฺพกาลภาวี วิย ขายติฯ ‘‘อสสฺสติริว ขายตี’’ติปิ ปาโฐฯ ตสฺสโตฺถ – อตฺตา สพฺพกาลํ วิชฺชติ อุปลพฺภตีติ อโญฺญ อสสฺสติ อนิโจฺจติ โลกสฺส โส อุปธิ มิจฺฉาภินิเวสวเสน เอกเทโส วิย ขายติ, อุปฎฺฐหตีติ อโตฺถฯ กาโร หิ ปทสนฺธิกโรฯ ปสฺสโต นตฺถิ กิญฺจนนฺติ โย ปน สงฺขาเร ปริคฺคเหตฺวา อนิจฺจาทิวเสน วิปสฺสติ, ตเสฺสว วิปสฺสนาปญฺญาสหิตาย มคฺคปญฺญาย ยถาภูตํ ปสฺสโต ชานโต ปฎิวิชฺฌโต ราคาทิกิญฺจนํ นตฺถิ, เยน สํสาเร พเชฺฌยฺยฯ ตถา อปสฺสโนฺต เอว หิ อวิชฺชาตณฺหาทิฎฺฐิอาทิพนฺธเนหิ สํสาเร พโทฺธ สิยาติ อธิปฺปาโยฯ

    Upadhibandhanobālo, tamasā parivārito. Sassatoriva khāyatīti na kevalañca mohasambandhano eva, apica kho upadhibandhanopi ayaṃ andhabālaloko avijjātamasā parivārito. Idaṃ vuttaṃ hoti – yena ñāṇena aviparītaṃ kāme ca khandhe ca ‘‘aniccā dukkhā vipariṇāmadhammā’’ti passeyya, tassa abhāvato yasmā bālo andhaputhujjano aññāṇatamasā samantato parivārito nivuto, tasmā so kāmūpadhi kilesūpadhi khandhūpadhīti imesaṃ upadhīnaṃ vasena ca upadhibandhano, tato eva cassa sopadhissa passato sassato viya nicco sabbakālabhāvī viya khāyati. ‘‘Asassatiriva khāyatī’’tipi pāṭho. Tassattho – attā sabbakālaṃ vijjati upalabbhatīti añño asassati aniccoti lokassa so upadhi micchābhinivesavasena ekadeso viya khāyati, upaṭṭhahatīti attho. Rakāro hi padasandhikaro. Passato natthi kiñcananti yo pana saṅkhāre pariggahetvā aniccādivasena vipassati, tasseva vipassanāpaññāsahitāya maggapaññāya yathābhūtaṃ passato jānato paṭivijjhato rāgādikiñcanaṃ natthi, yena saṃsāre bajjheyya. Tathā apassanto eva hi avijjātaṇhādiṭṭhiādibandhanehi saṃsāre baddho siyāti adhippāyo.

    ทสมสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Dasamasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.

    นิฎฺฐิตา จ จูฬวคฺควณฺณนาฯ

    Niṭṭhitā ca cūḷavaggavaṇṇanā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / อุทานปาฬิ • Udānapāḷi / ๑๐. อุเตนสุตฺตํ • 10. Utenasuttaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact