Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / เปตวตฺถุ-อฎฺฐกถา • Petavatthu-aṭṭhakathā

    ๑๐. อุตฺตรมาตุเปติวตฺถุวณฺณนา

    10. Uttaramātupetivatthuvaṇṇanā

    ทิวาวิหารคตํ ภิกฺขุนฺติ อิทํ อุตฺตรมาตุเปติวตฺถุฯ ตตฺรายํ อตฺถวิภาวนา – สตฺถริ ปรินิพฺพุเต ปฐมมหาสงฺคีติยา ปวตฺติตาย อายสฺมา มหากจฺจายโน ทฺวาทสหิ ภิกฺขูหิ สทฺธิํ โกสมฺพิยา อวิทูเร อญฺญตรสฺมิํ อรญฺญายตเน วิหาสิฯ เตน จ สมเยน รโญฺญ อุเทนสฺส อญฺญตโร อมโจฺจ กาลมกาสิ, เตน จ ปุเพฺพ นคเร กมฺมนฺตา อธิฎฺฐิตา อเหสุํฯ อถ ราชา ตสฺส ปุตฺตํ อุตฺตรํ นาม มาณวํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘ตฺวญฺจ ปิตรา อธิฎฺฐิเต กมฺมเนฺต สมนุสาสา’’ติ เตน ฐิตฎฺฐาเน ฐเปสิฯ

    Divāvihāragataṃ bhikkhunti idaṃ uttaramātupetivatthu. Tatrāyaṃ atthavibhāvanā – satthari parinibbute paṭhamamahāsaṅgītiyā pavattitāya āyasmā mahākaccāyano dvādasahi bhikkhūhi saddhiṃ kosambiyā avidūre aññatarasmiṃ araññāyatane vihāsi. Tena ca samayena rañño udenassa aññataro amacco kālamakāsi, tena ca pubbe nagare kammantā adhiṭṭhitā ahesuṃ. Atha rājā tassa puttaṃ uttaraṃ nāma māṇavaṃ pakkosāpetvā ‘‘tvañca pitarā adhiṭṭhite kammante samanusāsā’’ti tena ṭhitaṭṭhāne ṭhapesi.

    โส จ สาธูติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา เอกทิวสํ นครปฎิสงฺขรณิยานํ ทารูนํ อตฺถาย วฑฺฒกิโย คเหตฺวา อรญฺญํ คโตฯ ตตฺถ อายสฺมโต มหากจฺจายนเตฺถรสฺส วสนฎฺฐานํ อุปคนฺตฺวา เถรํ ตตฺถ ปํสุกูลจีวรธรํ วิวิตฺตํ นิสินฺนํ ทิสฺวา อิริยาปเถเยว ปสีทิตฺวา กตปฎิสนฺถาโร วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เถโร ตสฺส ธมฺมํ กเถสิฯ โส ธมฺมํ สุตฺวา รตนตฺตเย สญฺชาตปฺปสาโท สรเณสุ ปติฎฺฐาย เถรํ นิมเนฺตสิ – ‘‘อธิวาเสถ เม, ภเนฺต, สฺวาตนาย ภตฺตํ สทฺธิํ ภิกฺขูหิ อนุกมฺปํ อุปาทายา’’ติฯ อธิวาเสสิ เถโร ตุณฺหีภาเวนฯ โส ตโต นิกฺขมิตฺวา นครํ คนฺตฺวา อเญฺญสํ อุปาสกานํ อาจิกฺขิ – ‘‘เถโร มยา สฺวาตนาย นิมนฺติโต, ตุเมฺหหิปิ มม ทานคฺคํ อาคนฺตพฺพ’’นฺติฯ

    So ca sādhūti sampaṭicchitvā ekadivasaṃ nagarapaṭisaṅkharaṇiyānaṃ dārūnaṃ atthāya vaḍḍhakiyo gahetvā araññaṃ gato. Tattha āyasmato mahākaccāyanattherassa vasanaṭṭhānaṃ upagantvā theraṃ tattha paṃsukūlacīvaradharaṃ vivittaṃ nisinnaṃ disvā iriyāpatheyeva pasīditvā katapaṭisanthāro vanditvā ekamantaṃ nisīdi. Thero tassa dhammaṃ kathesi. So dhammaṃ sutvā ratanattaye sañjātappasādo saraṇesu patiṭṭhāya theraṃ nimantesi – ‘‘adhivāsetha me, bhante, svātanāya bhattaṃ saddhiṃ bhikkhūhi anukampaṃ upādāyā’’ti. Adhivāsesi thero tuṇhībhāvena. So tato nikkhamitvā nagaraṃ gantvā aññesaṃ upāsakānaṃ ācikkhi – ‘‘thero mayā svātanāya nimantito, tumhehipi mama dānaggaṃ āgantabba’’nti.

    โส ทุติยทิวเส กาลเสฺสว ปณีตํ ขาทนียํ โภชนียํ ปฎิยาทาเปตฺวา กาลํ อาโรจาเปตฺวา สทฺธิํ ภิกฺขูหิ อาคจฺฉนฺตสฺส เถรสฺส ปจฺจุคฺคมนํ กตฺวา วนฺทิตฺวา ปุรกฺขตฺวา เคหํ ปเวเสสิฯ อถ มหารหกปฺปิยปจฺจตฺถรณอตฺถเตสุ อาสเนสุ เถเร จ ภิกฺขูสุ จ นิสิเนฺนสุ คนฺธปุปฺผธูเปหิ ปูชํ กตฺวา ปณีเตน อนฺนปาเนน เต สนฺตเปฺปตฺวา สญฺชาตปฺปสาโท กตญฺชลี อนุโมทนํ สุณิตฺวา กตภตฺตานุโมทเน เถเร คจฺฉเนฺต ปตฺตํ คเหตฺวา อนุคจฺฉโนฺต นครโต นิกฺขมิตฺวา ปฎินิวตฺตโนฺต ‘‘ภเนฺต, ตุเมฺหหิ นิจฺจํ มม เคหํ ปวิสิตพฺพ’’นฺติ ยาจิตฺวา เถรสฺส อธิวาสนํ ญตฺวา นิวตฺติฯ เอวํ โส เถรํ อุปฎฺฐหโนฺต ตสฺส โอวาเท ปติฎฺฐาย โสตาปตฺติผลํ ปาปุณิ, วิหารญฺจ กาเรสิ, สเพฺพ จ อตฺตโน ญาตเก สาสเน อภิปฺปสเนฺน อกาสิฯ

    So dutiyadivase kālasseva paṇītaṃ khādanīyaṃ bhojanīyaṃ paṭiyādāpetvā kālaṃ ārocāpetvā saddhiṃ bhikkhūhi āgacchantassa therassa paccuggamanaṃ katvā vanditvā purakkhatvā gehaṃ pavesesi. Atha mahārahakappiyapaccattharaṇaatthatesu āsanesu there ca bhikkhūsu ca nisinnesu gandhapupphadhūpehi pūjaṃ katvā paṇītena annapānena te santappetvā sañjātappasādo katañjalī anumodanaṃ suṇitvā katabhattānumodane there gacchante pattaṃ gahetvā anugacchanto nagarato nikkhamitvā paṭinivattanto ‘‘bhante, tumhehi niccaṃ mama gehaṃ pavisitabba’’nti yācitvā therassa adhivāsanaṃ ñatvā nivatti. Evaṃ so theraṃ upaṭṭhahanto tassa ovāde patiṭṭhāya sotāpattiphalaṃ pāpuṇi, vihārañca kāresi, sabbe ca attano ñātake sāsane abhippasanne akāsi.

    มาตา ปนสฺส มเจฺฉรมลปริยุฎฺฐิตจิตฺตา หุตฺวา เอวํ ปริภาสิ – ‘‘ยํ ตฺวํ มม อนิจฺฉนฺติยา เอว สมณานํ อนฺนปานํ เทสิ, ตํ เต ปรโลเก โลหิตํ สมฺปชฺชตู’’ติฯ เอกํ ปน โมรปิญฺฉกลาปํ วิหารมหทิวเส ทิยฺยมานํ อนุชานิฯ สา กาลํ กตฺวา เปตโยนิยํ อุปฺปชฺชิ, โมรปิญฺฉกลาปทานานุโมทเนน ปนสฺสา เกสา นีลา สินิทฺธา เวลฺลิตคฺคา สุขุมา ทีฆา จ อเหสุํฯ สา ยทา คงฺคานทิํ ‘‘ปานียํ ปิวิสฺสามี’’ติ โอตรติ, ตทา นที โลหิตปูรา โหติฯ สา ปญฺจปณฺณาส วสฺสานิ ขุปฺปิปาสาภิภูตา วิจริตฺวา เอกทิวสํ กงฺขาเรวตเตฺถรํ คงฺคาย ตีเร ทิวาวิหารํ นิสินฺนํ ทิสฺวา อตฺตานํ อตฺตโน เกเสหิ ปฎิจฺฉาเทตฺวา อุปสงฺกมิตฺวา ปานียํ ยาจิฯ ตํ สนฺธาย วุตฺตํ –

    Mātā panassa maccheramalapariyuṭṭhitacittā hutvā evaṃ paribhāsi – ‘‘yaṃ tvaṃ mama anicchantiyā eva samaṇānaṃ annapānaṃ desi, taṃ te paraloke lohitaṃ sampajjatū’’ti. Ekaṃ pana morapiñchakalāpaṃ vihāramahadivase diyyamānaṃ anujāni. Sā kālaṃ katvā petayoniyaṃ uppajji, morapiñchakalāpadānānumodanena panassā kesā nīlā siniddhā vellitaggā sukhumā dīghā ca ahesuṃ. Sā yadā gaṅgānadiṃ ‘‘pānīyaṃ pivissāmī’’ti otarati, tadā nadī lohitapūrā hoti. Sā pañcapaṇṇāsa vassāni khuppipāsābhibhūtā vicaritvā ekadivasaṃ kaṅkhārevatattheraṃ gaṅgāya tīre divāvihāraṃ nisinnaṃ disvā attānaṃ attano kesehi paṭicchādetvā upasaṅkamitvā pānīyaṃ yāci. Taṃ sandhāya vuttaṃ –

    ๓๓๑.

    331.

    ‘‘ทิวาวิหารคตํ ภิกฺขุํ, คงฺคาตีเร นิสินฺนกํ;

    ‘‘Divāvihāragataṃ bhikkhuṃ, gaṅgātīre nisinnakaṃ;

    ตํ เปตี อุปสงฺกมฺม, ทุพฺพณฺณา ภีรุทสฺสนาฯ

    Taṃ petī upasaṅkamma, dubbaṇṇā bhīrudassanā.

    ๓๓๒.

    332.

    ‘‘เกสา จสฺสา อติทีฆา, ยาวภูมาวลมฺพเร;

    ‘‘Kesā cassā atidīghā, yāvabhūmāvalambare;

    เกเสหิ สา ปฎิจฺฉนฺนา, สมณํ เอตทพฺรวี’’ติฯ –

    Kesehi sā paṭicchannā, samaṇaṃ etadabravī’’ti. –

    อิมา เทฺว คาถา สงฺคีติการเกหิ อิธ อาทิโต ฐปิตาฯ

    Imā dve gāthā saṅgītikārakehi idha ādito ṭhapitā.

    ตตฺถ ภีรุทสฺสนาติ ภยานกทสฺสนาฯ ‘‘รุทฺททสฺสนา’’ติ วา ปาโฐ, พีภจฺฉภาริยทสฺสนาติ อโตฺถฯ ยาวภูมาวลมฺพเรติ ยาว ภูมิ, ตาว โอลมฺพนฺติฯ ปุเพฺพ ‘‘ภิกฺขุ’’นฺติ จ ปจฺฉา ‘‘สมณ’’นฺติ จ กงฺขาเรวตเตฺถรเมว สนฺธาย วุตฺตํฯ

    Tattha bhīrudassanāti bhayānakadassanā. ‘‘Ruddadassanā’’ti vā pāṭho, bībhacchabhāriyadassanāti attho. Yāvabhūmāvalambareti yāva bhūmi, tāva olambanti. Pubbe ‘‘bhikkhu’’nti ca pacchā ‘‘samaṇa’’nti ca kaṅkhārevatattherameva sandhāya vuttaṃ.

    สา ปน เปตี เถรํ อุปสงฺกมิตฺวา ปานียํ ยาจนฺตี –

    Sā pana petī theraṃ upasaṅkamitvā pānīyaṃ yācantī –

    ๓๓๓.

    333.

    ‘‘ปญฺจปณฺณาส วสฺสานิ, ยโต กาลกตา อหํ;

    ‘‘Pañcapaṇṇāsa vassāni, yato kālakatā ahaṃ;

    นาภิชานามิ ภุตฺตํ วา, ปีตํ วา ปน ปานิยํ;

    Nābhijānāmi bhuttaṃ vā, pītaṃ vā pana pāniyaṃ;

    เทหิ ตฺวํ ปานิยํ ภเนฺต, ตสิตา ปานิยาย เม’’ติฯ – อิมํ คาถมาห;

    Dehi tvaṃ pāniyaṃ bhante, tasitā pāniyāya me’’ti. – imaṃ gāthamāha;

    ๓๓๓. ตตฺถ นาภิชานามิ ภุตฺตํ วาติ เอวํ ทีฆมนฺตเร กาเล โภชนํ ภุตฺตํ วา ปานียํ ปีตํ วา นาภิชานามิ, น ภุตฺตํ น ปีตนฺติ อโตฺถฯ ตสิตาติ ปิปาสิตาฯ ปานิยายาติ ปานียตฺถาย อาหิณฺฑนฺติยา เม ปานียํ เทหิ, ภเนฺตติ โยชนาฯ

    333. Tattha nābhijānāmi bhuttaṃ vāti evaṃ dīghamantare kāle bhojanaṃ bhuttaṃ vā pānīyaṃ pītaṃ vā nābhijānāmi, na bhuttaṃ na pītanti attho. Tasitāti pipāsitā. Pāniyāyāti pānīyatthāya āhiṇḍantiyā me pānīyaṃ dehi, bhanteti yojanā.

    อิโต ปรํ –

    Ito paraṃ –

    ๓๓๔.

    334.

    ‘‘อยํ สีโตทิกา คงฺคา, หิมวนฺตโต สนฺทติ;

    ‘‘Ayaṃ sītodikā gaṅgā, himavantato sandati;

    ปิว เอโตฺต คเหตฺวาน, กิํ มํ ยาจสิ ปานิยํฯ

    Piva etto gahetvāna, kiṃ maṃ yācasi pāniyaṃ.

    ๓๓๕.

    335.

    ‘‘สจาหํ ภเนฺต คงฺคาย, สยํ คณฺหามิ ปานิยํ;

    ‘‘Sacāhaṃ bhante gaṅgāya, sayaṃ gaṇhāmi pāniyaṃ;

    โลหิตํ เม ปริวตฺตติ, ตสฺมา ยาจามิ ปานิยํฯ

    Lohitaṃ me parivattati, tasmā yācāmi pāniyaṃ.

    ๓๓๖.

    336.

    ‘‘กิํ นุ กาเยน วาจาย, มนสา ทุกฺกฎํ กตํ;

    ‘‘Kiṃ nu kāyena vācāya, manasā dukkaṭaṃ kataṃ;

    กิสฺสกมฺมวิปาเกน, คงฺคา เต โหติ โลหิตํฯ

    Kissakammavipākena, gaṅgā te hoti lohitaṃ.

    ๓๓๗.

    337.

    ‘‘ปุโตฺต เม อุตฺตโร นาม, สโทฺธ อาสิ อุปาสโก;

    ‘‘Putto me uttaro nāma, saddho āsi upāsako;

    โส จ มยฺหํ อกามาย, สมณานํ ปเวจฺฉติฯ

    So ca mayhaṃ akāmāya, samaṇānaṃ pavecchati.

    ๓๓๘.

    338.

    ‘‘จีวรํ ปิณฺฑปาตญฺจ, ปจฺจยํ สยนาสนํ;

    ‘‘Cīvaraṃ piṇḍapātañca, paccayaṃ sayanāsanaṃ;

    ตมหํ ปริภาสามิ, มเจฺฉเรน อุปทฺทุตาฯ

    Tamahaṃ paribhāsāmi, maccherena upaddutā.

    ๓๓๙.

    339.

    ‘‘ยํ ตฺวํ มยฺหํ อกามาย, สมณานํ ปเวจฺฉสิ;

    ‘‘Yaṃ tvaṃ mayhaṃ akāmāya, samaṇānaṃ pavecchasi;

    จีวรํ ปิณฺฑปาตญฺจ, ปจฺจยํ สยนาสนํฯ

    Cīvaraṃ piṇḍapātañca, paccayaṃ sayanāsanaṃ.

    ๓๔๐.

    340.

    ‘‘เอตํ เต ปรโลกสฺมิํ, โลหิตํ โหตุ อุตฺตร;

    ‘‘Etaṃ te paralokasmiṃ, lohitaṃ hotu uttara;

    ตสฺสกมฺมวิปาเกน, คงฺคา เม โหติ โลหิต’’นฺติฯ –

    Tassakammavipākena, gaṅgā me hoti lohita’’nti. –

    อิมา เถรสฺส จ เปติยา จ วจนปฎิวจนคาถาฯ

    Imā therassa ca petiyā ca vacanapaṭivacanagāthā.

    ๓๓๔. ตตฺถ หิมวนฺตโตติ มหโต หิมสฺส อตฺถิตาย ‘‘หิมวา’’ติ ลทฺธนามโต ปพฺพตราชโตฯ สนฺทตีติ ปวตฺตติฯ เอโตฺตติ อิโต มหาคงฺคาโตฯ กินฺติ กสฺมา มํ ยาจสิ ปานียํ, คงฺคานทิํ โอตริตฺวา ยถารุจิ ปิวาติ ทเสฺสติฯ

    334. Tattha himavantatoti mahato himassa atthitāya ‘‘himavā’’ti laddhanāmato pabbatarājato. Sandatīti pavattati. Ettoti ito mahāgaṅgāto. Kinti kasmā maṃ yācasi pānīyaṃ, gaṅgānadiṃ otaritvā yathāruci pivāti dasseti.

    ๓๓๕. โลหิตํ เม ปริวตฺตตีติ อุทกํ สนฺทมานํ มยฺหํ ปาปกมฺมผเลน โลหิตํ หุตฺวา ปริวตฺตติ ปริณมติ, ตาย คหิตมตฺตํ อุทกํ โลหิตํ ชายติฯ

    335.Lohitaṃme parivattatīti udakaṃ sandamānaṃ mayhaṃ pāpakammaphalena lohitaṃ hutvā parivattati pariṇamati, tāya gahitamattaṃ udakaṃ lohitaṃ jāyati.

    ๓๓๗-๔๐. มยฺหํ อกามายาติ มม อนิจฺฉนฺติยาฯ ปเวจฺฉตีติ เทติฯ ปจฺจยนฺติ คิลานปจฺจยํฯ เอตนฺติ ยํ เอตํ จีวราทิกํ ปจฺจยชาตํ สมณานํ ปเวจฺฉสิ เทสิ, เอตํ เต ปรโลกสฺมิํ โลหิตํ โหตุ อุตฺตราติ อภิสปนวเสน กตํ ปาปกมฺมํ, ตสฺส วิปาเกนาติ โยชนาฯ

    337-40.Mayhaṃ akāmāyāti mama anicchantiyā. Pavecchatīti deti. Paccayanti gilānapaccayaṃ. Etanti yaṃ etaṃ cīvarādikaṃ paccayajātaṃ samaṇānaṃ pavecchasi desi, etaṃ te paralokasmiṃ lohitaṃ hotu uttarāti abhisapanavasena kataṃ pāpakammaṃ, tassa vipākenāti yojanā.

    อถายสฺมา เรวโต ตํ เปติํ อุทฺทิสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส ปานียํ อทาสิ, ปิณฺฑาย จริตฺวา ภตฺตํ คเหตฺวา ภิกฺขูนมทาสิ, สงฺการกูฎาทิโต ปํสุกูลํ คเหตฺวา โธวิตฺวา ภิสิญฺจ จิมิลิกญฺจ กตฺวา ภิกฺขูนํ อทาสิ, เตน จสฺสา เปติยา ทิพฺพสมฺปตฺติโย อเหสุํฯ สา เถรสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา อตฺตนา ลทฺธทิพฺพสมฺปตฺติํ เถรสฺส ทเสฺสสิฯ เถโร ตํ ปวตฺติํ อตฺตโน สนฺติกํ อุปคตานํ จตุนฺนํ ปริสานํ ปกาเสตฺวา ธมฺมกถํ กเถสิฯ เตน มหาชโน สญฺชาตสํเวโค วิคตมลมเจฺฉโร หุตฺวา ทานสีลาทิกุสลธมฺมาภิรโต อโหสีติฯ อิทํ ปน เปตวตฺถุ ทุติยสงฺคีติยํ สงฺคหํ อารุฬฺหนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    Athāyasmā revato taṃ petiṃ uddissa bhikkhusaṅghassa pānīyaṃ adāsi, piṇḍāya caritvā bhattaṃ gahetvā bhikkhūnamadāsi, saṅkārakūṭādito paṃsukūlaṃ gahetvā dhovitvā bhisiñca cimilikañca katvā bhikkhūnaṃ adāsi, tena cassā petiyā dibbasampattiyo ahesuṃ. Sā therassa santikaṃ gantvā attanā laddhadibbasampattiṃ therassa dassesi. Thero taṃ pavattiṃ attano santikaṃ upagatānaṃ catunnaṃ parisānaṃ pakāsetvā dhammakathaṃ kathesi. Tena mahājano sañjātasaṃvego vigatamalamacchero hutvā dānasīlādikusaladhammābhirato ahosīti. Idaṃ pana petavatthu dutiyasaṅgītiyaṃ saṅgahaṃ āruḷhanti daṭṭhabbaṃ.

    อุตฺตรมาตุเปติวตฺถุวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Uttaramātupetivatthuvaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / เปตวตฺถุปาฬิ • Petavatthupāḷi / ๑๐. อุตฺตรมาตุเปติวตฺถุ • 10. Uttaramātupetivatthu


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact