Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วิมานวตฺถุ-อฎฺฐกถา • Vimānavatthu-aṭṭhakathā

    ๑๕. อุตฺตราวิมานวณฺณนา

    15. Uttarāvimānavaṇṇanā

    อภิกฺกเนฺตน วเณฺณนาติ อุตฺตราวิมานํฯ ตสฺส กา อุปฺปตฺติ? ภควา ราชคเห วิหรติ เวฬุวเน กลนฺทกนิวาเปฯ เตน จ สมเยน ปุโณฺณ นาม ทุคฺคตปุริโส ราชคหเสฎฺฐิํ อุปนิสฺสาย ชีวติ, ตสฺส ภริยา อุตฺตรา, อุตฺตรา จ นาม ธีตาติ เทฺว เอว เคหมานุสกาฯ อเถกทิวสํ ราชคเห ‘‘มหาชเนน สตฺตาหํ นกฺขตฺตํ กีฬิตพฺพ’’นฺติ โฆสนํ กริํสุฯ ตํ สุตฺวา เสฎฺฐิ ปาโตว อาคตํ ปุณฺณํ ‘‘ตาต, อมฺหากํ ปริชโน นกฺขตฺตํ กีฬิตุกาโม, ตฺวํ กิํ นกฺขตฺตํ กีฬิสฺสสิ, อุทาหุ ภติํ กริสฺสสี’’ติ อาหฯ ‘‘สามิ, นกฺขตฺตํ นาม สธนานํ โหติ, มม ปน เคเห สฺวาตนาย ยาคุตณฺฑุลานิปิ นตฺถิ, กิํ เม นกฺขเตฺตน? โคเณ ลภโนฺต กสิตุํ คมิสฺสามี’ติฯ ‘‘เตน หิ โคเณ คณฺหสฺสู’’ติฯ โส พลวโคเณ จ ภทฺทนงฺคลญฺจ คเหตฺวา ‘‘ภเทฺท, นาครา นกฺขตฺตํ กีฬนฺติ, อหํ ทลิทฺทตาย ภติํ กาตุํ คมิสฺสามิ, มยฺหมฺปิ ตาว อชฺช ทิคุณํ นิวาปํ ปจิตฺวา ภตฺตํ อาหเรยฺยาสี’’ติ ภริยํ วตฺวา เขตฺตํ อคมาสิฯ

    Abhikkantena vaṇṇenāti uttarāvimānaṃ. Tassa kā uppatti? Bhagavā rājagahe viharati veḷuvane kalandakanivāpe. Tena ca samayena puṇṇo nāma duggatapuriso rājagahaseṭṭhiṃ upanissāya jīvati, tassa bhariyā uttarā, uttarā ca nāma dhītāti dve eva gehamānusakā. Athekadivasaṃ rājagahe ‘‘mahājanena sattāhaṃ nakkhattaṃ kīḷitabba’’nti ghosanaṃ kariṃsu. Taṃ sutvā seṭṭhi pātova āgataṃ puṇṇaṃ ‘‘tāta, amhākaṃ parijano nakkhattaṃ kīḷitukāmo, tvaṃ kiṃ nakkhattaṃ kīḷissasi, udāhu bhatiṃ karissasī’’ti āha. ‘‘Sāmi, nakkhattaṃ nāma sadhanānaṃ hoti, mama pana gehe svātanāya yāgutaṇḍulānipi natthi, kiṃ me nakkhattena? Goṇe labhanto kasituṃ gamissāmī’ti. ‘‘Tena hi goṇe gaṇhassū’’ti. So balavagoṇe ca bhaddanaṅgalañca gahetvā ‘‘bhadde, nāgarā nakkhattaṃ kīḷanti, ahaṃ daliddatāya bhatiṃ kātuṃ gamissāmi, mayhampi tāva ajja diguṇaṃ nivāpaṃ pacitvā bhattaṃ āhareyyāsī’’ti bhariyaṃ vatvā khettaṃ agamāsi.

    สาริปุตฺตเตฺถโรปิ สตฺตาหํ นิโรธสมาปโนฺน ตโต วุฎฺฐาย ‘‘กสฺส นุ โข อชฺช มยา สงฺคหํ กาตุํ วฎฺฎตี’’ติ โอโลเกโนฺต ปุณฺณํ อตฺตโน ญาณชาลสฺส อโนฺต ปวิฎฺฐํ ทิสฺวา ‘‘สโทฺธ นุ โข เอส, สกฺขิสฺสติ วา เม สงฺคหํ กาตุ’’นฺติ โอโลเกโนฺต ตสฺส สทฺธภาวญฺจ สงฺคหํ กาตุํ สมตฺถภาวญฺจ ตปฺปจฺจยา จ ตสฺส มหาสมฺปตฺติปฎิลาภํ ญตฺวา ปตฺตจีวรํ อาทาย ตสฺส กสนฎฺฐานํ คนฺตฺวา อาวาฎตีเร เอกํ คุมฺพํ โอโลเกโนฺต อฎฺฐาสิฯ ปุโณฺณ เถรํ ทิสฺวาว กสิํ ฐเปตฺวา ปญฺจปติฎฺฐิเตน เถรํ วนฺทิตฺวา ‘‘ทนฺตกเฎฺฐน อโตฺถ ภวิสฺสตี’’ติ ทนฺตกฎฺฐํ กปฺปิยํ กตฺวา อทาสิฯ อถสฺส เถโร ปตฺตญฺจ ปริสฺสาวนญฺจ นีหริตฺวา อทาสิฯ โส ‘‘ปานีเยน อโตฺถ ภวิสฺสตี’’ติ ตํ อาทาย ปานียํ ปริสฺสาเวตฺวา อทาสิฯ

    Sāriputtattheropi sattāhaṃ nirodhasamāpanno tato vuṭṭhāya ‘‘kassa nu kho ajja mayā saṅgahaṃ kātuṃ vaṭṭatī’’ti olokento puṇṇaṃ attano ñāṇajālassa anto paviṭṭhaṃ disvā ‘‘saddho nu kho esa, sakkhissati vā me saṅgahaṃ kātu’’nti olokento tassa saddhabhāvañca saṅgahaṃ kātuṃ samatthabhāvañca tappaccayā ca tassa mahāsampattipaṭilābhaṃ ñatvā pattacīvaraṃ ādāya tassa kasanaṭṭhānaṃ gantvā āvāṭatīre ekaṃ gumbaṃ olokento aṭṭhāsi. Puṇṇo theraṃ disvāva kasiṃ ṭhapetvā pañcapatiṭṭhitena theraṃ vanditvā ‘‘dantakaṭṭhena attho bhavissatī’’ti dantakaṭṭhaṃ kappiyaṃ katvā adāsi. Athassa thero pattañca parissāvanañca nīharitvā adāsi. So ‘‘pānīyena attho bhavissatī’’ti taṃ ādāya pānīyaṃ parissāvetvā adāsi.

    เถโร จิเนฺตสิ ‘‘อยํ ปเรสํ ปจฺฉิมเคเห วสติ, สจสฺส เคหทฺวารํ คมิสฺสามิ, อิมสฺส ภริยา มํ ทฎฺฐุํ น สกฺขิสฺสติ, ยาวสฺส ภริยา ภตฺตํ อาทาย มคฺคํ ปฎิปชฺชติ, ตาว อิเธว ภวิสฺสามี’’ติฯ โส ตเตฺถว โถกํ วีตินาเมตฺวา ตสฺสา มคฺคารุฬฺหภาวํ ญตฺวา อโนฺตนคราภิมุโข ปายาสิฯ สา อนฺตรามเคฺค เถรํ ทิสฺวา จิเนฺตสิ ‘‘อเปฺปกทาหํ เทยฺยธเมฺม สติ อยฺยํ น ปสฺสามิ, อเปฺปกทา เม อยฺยํ ปสฺสนฺติยา เทยฺยธโมฺม น โหติ, อชฺช ปน เม อโยฺย จ ทิโฎฺฐ, เทยฺยธโมฺม จายํ อตฺถิ, กริสฺสติ นุ โข เม สงฺคห’’นฺติฯ สา ภตฺตภาชนํ โอตาเรตฺวา เถรํ ปญฺจปติฎฺฐิเตน วนฺทิตฺวา ‘‘ภเนฺต, อิทํ ลูขํ วา ปณีตํ วาติ อจิเนฺตตฺวา ทาสสฺส โว สงฺคหํ กโรถา’’ติ อาหฯ อถ เถโร ปตฺตํ อุปนาเมตฺวา ตาย เอเกน หเตฺถน ภาชนํ ธาเรตฺวา เอเกน หเตฺถน ตโต ภตฺตํ ททมานาย อุปฑฺฒภเตฺต ทิเนฺน ‘‘อล’’นฺติ หเตฺถน ปตฺตํ ปิทหิฯ สา ‘‘ภเนฺต, เอโกว ปฎิวีโส, น สกฺกา ทฺวิธา กาตุํ, ตุมฺหากํ ทาสสฺส อิธโลกสงฺคหํ อกตฺวา ปรโลกสงฺคหํ กโรถ, นิรวเสสเมว ทาตุกามามฺหี’’ติ วตฺวา สพฺพเมวสฺส ปเตฺต ปติฎฺฐาเปตฺวา ‘‘ตุเมฺหหิ ทิฎฺฐธมฺมสฺส ภาคินี อสฺส’’นฺติ ปตฺถนํ อกาสิฯ เถโร ‘‘เอวํ โหตู’’ติ วตฺวา ฐิตโกว อนุโมทนํ กตฺวา เอกสฺมิํ อุทกผาสุกฎฺฐาเน นิสีทิตฺวา ภตฺตกิจฺจํ อกาสิฯ สาปิ ปฎินิวตฺติตฺวา ตณฺฑุเล ปริเยสิตฺวา ภตฺตํ ปจิฯ

    Thero cintesi ‘‘ayaṃ paresaṃ pacchimagehe vasati, sacassa gehadvāraṃ gamissāmi, imassa bhariyā maṃ daṭṭhuṃ na sakkhissati, yāvassa bhariyā bhattaṃ ādāya maggaṃ paṭipajjati, tāva idheva bhavissāmī’’ti. So tattheva thokaṃ vītināmetvā tassā maggāruḷhabhāvaṃ ñatvā antonagarābhimukho pāyāsi. Sā antarāmagge theraṃ disvā cintesi ‘‘appekadāhaṃ deyyadhamme sati ayyaṃ na passāmi, appekadā me ayyaṃ passantiyā deyyadhammo na hoti, ajja pana me ayyo ca diṭṭho, deyyadhammo cāyaṃ atthi, karissati nu kho me saṅgaha’’nti. Sā bhattabhājanaṃ otāretvā theraṃ pañcapatiṭṭhitena vanditvā ‘‘bhante, idaṃ lūkhaṃ vā paṇītaṃ vāti acintetvā dāsassa vo saṅgahaṃ karothā’’ti āha. Atha thero pattaṃ upanāmetvā tāya ekena hatthena bhājanaṃ dhāretvā ekena hatthena tato bhattaṃ dadamānāya upaḍḍhabhatte dinne ‘‘ala’’nti hatthena pattaṃ pidahi. Sā ‘‘bhante, ekova paṭivīso, na sakkā dvidhā kātuṃ, tumhākaṃ dāsassa idhalokasaṅgahaṃ akatvā paralokasaṅgahaṃ karotha, niravasesameva dātukāmāmhī’’ti vatvā sabbamevassa patte patiṭṭhāpetvā ‘‘tumhehi diṭṭhadhammassa bhāginī assa’’nti patthanaṃ akāsi. Thero ‘‘evaṃ hotū’’ti vatvā ṭhitakova anumodanaṃ katvā ekasmiṃ udakaphāsukaṭṭhāne nisīditvā bhattakiccaṃ akāsi. Sāpi paṭinivattitvā taṇḍule pariyesitvā bhattaṃ paci.

    ปุโณฺณปิ อฑฺฒกรีสมตฺตํ ฐานํ กสิตฺวา ชิฆจฺฉํ สหิตุํ อสโกฺกโนฺต โคเณ วิสฺสเชฺชตฺวา เอกํ รุกฺขฉายํ ปวิสิตฺวา มคฺคํ โอโลเกโนฺต นิสีทิฯ อถสฺส ภริยา ภตฺตมาทาย คจฺฉมานา ตํ ทิสฺวาว ‘‘เอส ชิฆจฺฉาปีฬิโต มํ โอโลเกโนฺต นิสิโนฺน, สเจ มํ ‘อติวิย จิรายี’ติ ตเชฺชตฺวา ปโตทลฎฺฐิยา ปหริสฺสติ, มยา กตกมฺมํ นิรตฺถกํ ภวิสฺสติ, ปฎิกเจฺจวสฺส อาโรเจสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา เอวมาห ‘‘สามิ, อเชฺชกทิวสํ จิตฺตํ ปสาเทหิ, มา มยา กตกมฺมํ นิรตฺถกํ กริ, อหํ ปาโตว เต ภตฺตํ อาหรนฺตี อนฺตรามเคฺค ธมฺมเสนาปติํ ทิสฺวา ตว ภตฺตํ ตสฺส ทตฺวา ปุน เคหํ คนฺตฺวา ภตฺตํ ปจิตฺวา อาคตา, ปสาเทหิ, สามิ, จิตฺต’’นฺติฯ โส ‘‘กิํ วเทสิ, ภเทฺท’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ปุน ตมตฺถํ สุตฺวา ‘‘ภเทฺท , สาธุ วต เต กตํ มม ภตฺตํ อยฺยสฺส ททมานาย, มยาปิสฺส อชฺช ปาโตว ทนฺตกฎฺฐญฺจ มุโขทกญฺจ ทินฺน’’นฺติ ปสนฺนมานโส ตํ วจนํ อภินนฺทิตฺวา อุสฺสูเร ลทฺธภตฺตตาย กิลนฺตกาโย ตสฺสา อเงฺก สีสํ กตฺวา นิทฺทํ โอกฺกมิฯ

    Puṇṇopi aḍḍhakarīsamattaṃ ṭhānaṃ kasitvā jighacchaṃ sahituṃ asakkonto goṇe vissajjetvā ekaṃ rukkhachāyaṃ pavisitvā maggaṃ olokento nisīdi. Athassa bhariyā bhattamādāya gacchamānā taṃ disvāva ‘‘esa jighacchāpīḷito maṃ olokento nisinno, sace maṃ ‘ativiya cirāyī’ti tajjetvā patodalaṭṭhiyā paharissati, mayā katakammaṃ niratthakaṃ bhavissati, paṭikaccevassa ārocessāmī’’ti cintetvā evamāha ‘‘sāmi, ajjekadivasaṃ cittaṃ pasādehi, mā mayā katakammaṃ niratthakaṃ kari, ahaṃ pātova te bhattaṃ āharantī antarāmagge dhammasenāpatiṃ disvā tava bhattaṃ tassa datvā puna gehaṃ gantvā bhattaṃ pacitvā āgatā, pasādehi, sāmi, citta’’nti. So ‘‘kiṃ vadesi, bhadde’’ti pucchitvā puna tamatthaṃ sutvā ‘‘bhadde , sādhu vata te kataṃ mama bhattaṃ ayyassa dadamānāya, mayāpissa ajja pātova dantakaṭṭhañca mukhodakañca dinna’’nti pasannamānaso taṃ vacanaṃ abhinanditvā ussūre laddhabhattatāya kilantakāyo tassā aṅke sīsaṃ katvā niddaṃ okkami.

    อถสฺส ปาโตว กสิตฎฺฐานํ ปํสุจุณฺณํ อุปาทาย สพฺพํ รตฺตสุวณฺณํ หุตฺวา กณิการปุปฺผราสิ วิย โสภมานํ อฎฺฐาสิฯ โส ปพุโทฺธ โอโลเกตฺวา ภริยํ อาห ‘‘ภเทฺท, เอตํ มยา กสิตฎฺฐานํ สพฺพํ มม สุวณฺณํ หุตฺวา ปญฺญายติ, กิํ นุ โข เม อติอุสฺสูเร ลทฺธภตฺตตาย อกฺขีนิ ภมนฺตี’’ติฯ ‘‘สามิ, มยฺหมฺปิ เอวเมว ปญฺญายตี’’ติฯ โส อุฎฺฐาย ตตฺถ คนฺตฺวา เอกํ ปิณฺฑํ คเหตฺวา นงฺคลสีเส ปหริตฺวา สุวณฺณภาวํ ญตฺวา ‘‘อโห อยฺยสฺส ธมฺมเสนาปติสฺส ทินฺนทาเน อเชฺชว วิปาโก ทสฺสิโต, น โข ปน สกฺกา เอตฺตกํ ธนํ ปฎิจฺฉาเทตฺวา ปริภุญฺชิตุ’’นฺติ ภริยาย อาภตํ ภตฺตปาติํ สุวณฺณสฺส ปูเรตฺวา ราชกุลํ คนฺตฺวา รญฺญา กโตกาโส ปวิสิตฺวา ราชานํ อภิวาเทตฺวา ‘‘กิํ ตาตา’’ติ วุเตฺต ‘‘เทว, อชฺช มยา กสิตฎฺฐานํ สพฺพํ สุวณฺณราสิเมว หุตฺวา ฐิตํ, สุวณฺณํ อาหราเปตุํ วฎฺฎตี’’ติ อาหฯ ‘‘โกสิ ตฺว’’นฺติ? ‘‘ปุโณฺณ นามาห’’นฺติฯ ‘‘กิํ ปน เต อชฺช กต’’นฺติ? ‘‘ธมฺมเสนาปติสฺส เม ปาโตว ทนฺตกฎฺฐญฺจ มุโขทกญฺจ ทินฺนํ, ภริยายปิ เม มยฺหํ อาหฎภตฺตํ ตเสฺสว ทินฺน’’นฺติฯ

    Athassa pātova kasitaṭṭhānaṃ paṃsucuṇṇaṃ upādāya sabbaṃ rattasuvaṇṇaṃ hutvā kaṇikārapuppharāsi viya sobhamānaṃ aṭṭhāsi. So pabuddho oloketvā bhariyaṃ āha ‘‘bhadde, etaṃ mayā kasitaṭṭhānaṃ sabbaṃ mama suvaṇṇaṃ hutvā paññāyati, kiṃ nu kho me atiussūre laddhabhattatāya akkhīni bhamantī’’ti. ‘‘Sāmi, mayhampi evameva paññāyatī’’ti. So uṭṭhāya tattha gantvā ekaṃ piṇḍaṃ gahetvā naṅgalasīse paharitvā suvaṇṇabhāvaṃ ñatvā ‘‘aho ayyassa dhammasenāpatissa dinnadāne ajjeva vipāko dassito, na kho pana sakkā ettakaṃ dhanaṃ paṭicchādetvā paribhuñjitu’’nti bhariyāya ābhataṃ bhattapātiṃ suvaṇṇassa pūretvā rājakulaṃ gantvā raññā katokāso pavisitvā rājānaṃ abhivādetvā ‘‘kiṃ tātā’’ti vutte ‘‘deva, ajja mayā kasitaṭṭhānaṃ sabbaṃ suvaṇṇarāsimeva hutvā ṭhitaṃ, suvaṇṇaṃ āharāpetuṃ vaṭṭatī’’ti āha. ‘‘Kosi tva’’nti? ‘‘Puṇṇo nāmāha’’nti. ‘‘Kiṃ pana te ajja kata’’nti? ‘‘Dhammasenāpatissa me pātova dantakaṭṭhañca mukhodakañca dinnaṃ, bhariyāyapi me mayhaṃ āhaṭabhattaṃ tasseva dinna’’nti.

    ตํ สุตฺวา ราชา ‘‘อเชฺชว กิร โภ ธมฺมเสนาปติสฺส ทินฺนทาเน วิปาโก ทสฺสิโต’’ติ วตฺวา ‘‘ตาต, กิํ กโรมี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘พหูนิ สกฎสหสฺสานิ ปหิณิตฺวา สุวณฺณํ อาหราเปถา’’ติฯ ราชา สกฎานิ ปหิณิฯ ราชปุริเสสุ ‘‘รโญฺญ สนฺตก’’นฺติ คณฺหเนฺตสุ คหิตํ คหิตํ มตฺติกาว โหติฯ เตหิ คนฺตฺวา รโญฺญ อาโรจิเต ‘‘ตาตา, ตุเมฺหหิ กินฺติ วตฺวา คหิต’’นฺติ ปุอา ‘‘ตุมฺหากํ สนฺตก’’นฺติ อาหํสุฯ เตน หิ, ตาตา, ปุน คจฺฉถ, ‘‘ปุณฺณสฺส สนฺตก’’นฺติ วตฺวา คณฺหถาติฯ เต ตถา กริํสุ คหิตํ คหิตํ สุวณฺณเมว อโหสิฯ ตํ สพฺพํ อาหริตฺวา ราชงฺคเณ ราสิํ อกํสุ, อสีติหตฺถุเพฺพโธ ราสิ อโหสิฯ ราชา นาคเร สนฺนิปาตาเปตฺวา อาห ‘‘อิมสฺมิํ นคเร อตฺถิ กสฺสจิ เอตฺตกํ สุวณฺณ’’นฺติ? ‘‘นตฺถิ, เทวา’’ติฯ ‘‘กิํ ปนสฺส ทาตุํ วฎฺฎตี’’ติ? ‘‘เสฎฺฐิจฺฉตฺตํ, เทวา’’ติฯ ราชา ‘‘พหุธนเสฎฺฐิ นาม โหตู’’ติ มหเนฺตน โภเคน สทฺธิํ ตสฺส เสฎฺฐิจฺฉตฺตํ อทาสิฯ

    Taṃ sutvā rājā ‘‘ajjeva kira bho dhammasenāpatissa dinnadāne vipāko dassito’’ti vatvā ‘‘tāta, kiṃ karomī’’ti pucchi. ‘‘Bahūni sakaṭasahassāni pahiṇitvā suvaṇṇaṃ āharāpethā’’ti. Rājā sakaṭāni pahiṇi. Rājapurisesu ‘‘rañño santaka’’nti gaṇhantesu gahitaṃ gahitaṃ mattikāva hoti. Tehi gantvā rañño ārocite ‘‘tātā, tumhehi kinti vatvā gahita’’nti puā ‘‘tumhākaṃ santaka’’nti āhaṃsu. Tena hi, tātā, puna gacchatha, ‘‘puṇṇassa santaka’’nti vatvā gaṇhathāti. Te tathā kariṃsu gahitaṃ gahitaṃ suvaṇṇameva ahosi. Taṃ sabbaṃ āharitvā rājaṅgaṇe rāsiṃ akaṃsu, asītihatthubbedho rāsi ahosi. Rājā nāgare sannipātāpetvā āha ‘‘imasmiṃ nagare atthi kassaci ettakaṃ suvaṇṇa’’nti? ‘‘Natthi, devā’’ti. ‘‘Kiṃ panassa dātuṃ vaṭṭatī’’ti? ‘‘Seṭṭhicchattaṃ, devā’’ti. Rājā ‘‘bahudhanaseṭṭhi nāma hotū’’ti mahantena bhogena saddhiṃ tassa seṭṭhicchattaṃ adāsi.

    อถ นํ โส อาห ‘‘มยํ, เทว, เอตฺตกํ กาลํ ปรกุเล วสิมฺหา, วสนฎฺฐานํ โน เทถา’’ติฯ เตน หิ ปสฺส, เอส คุโมฺพ ปญฺญายติ, เอตํ หราเปตฺวา เคหํ กาเรหีติ ปุราณเสฎฺฐิสฺส เคหฎฺฐานํ อาจิกฺขิฯ โส ตสฺมิํ ฐาเน กติปาเหเนว เคหํ การาเปตฺวา เคหปเวสนมงฺคลญฺจ ฉตฺตมงฺคลญฺจ เอกโตว กโรโนฺต สตฺตาหํ พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส ทานํ อทาสิฯ อถสฺส สตฺถา ทานานุโมทนํ กโรโนฺต อนุปุพฺพิํ กถํ กเถสิฯ ธมฺมกถาวสาเน ปุณฺณเสฎฺฐิ จ ภริยา จสฺส ธีตา จ อุตฺตราติ ตโยปิ ชนา โสตาปนฺนา อเหสุํฯ

    Atha naṃ so āha ‘‘mayaṃ, deva, ettakaṃ kālaṃ parakule vasimhā, vasanaṭṭhānaṃ no dethā’’ti. Tena hi passa, esa gumbo paññāyati, etaṃ harāpetvā gehaṃ kārehīti purāṇaseṭṭhissa gehaṭṭhānaṃ ācikkhi. So tasmiṃ ṭhāne katipāheneva gehaṃ kārāpetvā gehapavesanamaṅgalañca chattamaṅgalañca ekatova karonto sattāhaṃ buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa dānaṃ adāsi. Athassa satthā dānānumodanaṃ karonto anupubbiṃ kathaṃ kathesi. Dhammakathāvasāne puṇṇaseṭṭhi ca bhariyā cassa dhītā ca uttarāti tayopi janā sotāpannā ahesuṃ.

    อปรภาเค ราชคหเสฎฺฐิ ปุณฺณเสฎฺฐิโน ธีตรํ อตฺตโน ปุตฺตสฺส วาเรสิฯ โส ‘‘นาหํ ทสฺสามี’’ติ วุโตฺต ‘‘มา เอวํ กโรตุ, เอตฺตกํ กาลํ อเมฺห นิสฺสาย วสเนฺตเนว เต สมฺปตฺติ ลทฺธา, เทตุ เม ปุตฺตสฺส เต ธีตร’’นฺติ อาหฯ โส ‘‘มิจฺฉาทิฎฺฐิกา ตุเมฺห, มม ธีตา ตีหิ รตเนหิ วินา วสิตุํ น สโกฺกติ, เนวสฺส ธีตรํ ทสฺสามี’’ติ อาหฯ อถ นํ พหู เสฎฺฐิคหปติกาทโย กุลปุตฺตา ‘‘มา เตน สทฺธิํ วิสฺสาสํ ภินฺทิ, เทหิสฺส ธีตร’’นฺติ ยาจิํสุฯ โส เตสํ วจนํ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา อาสาฬฺหิปุณฺณมาย ธีตรํ อทาสิฯ สา ปติกุลํ คตกาลโต ปฎฺฐาย ภิกฺขุํ วา ภิกฺขุนิํ วา อุปสงฺกมิตุํ ทานํ วา ทาตุํ ธมฺมํ วา โสตุํ นาลตฺถ, เอวํ อฑฺฒติเยสุ มาเสสุ วีติวเตฺตสุ อตฺตโน สนฺติเก ฐิเต ปริจาริเก ปุจฺฉิ ‘‘อิทานิ กิตฺตกํ อโนฺตวสฺสํ อวสิฎฺฐ’’นฺติ? ‘‘อฑฺฒมาโส, อเยฺย’’ติฯ สา มาตาปิตูนํ สาสนํ ปหิณิ ‘‘กสฺมา มํ เอวรูเป พนฺธนาคาเร ปกฺขิปิํสุ, วรํ ตุเมฺหหิ มํ ลกฺขณาหตํ กตฺวา ปเรสํ ทาสิํ สาเวตุํ, น เอวรูปสฺส มิจฺฉาทิฎฺฐิกสฺส กุลสฺส ทาตุํ, อาคตกาลโต ปฎฺฐาย ภิกฺขุทสฺสนาทีสุ เอกมฺปิ ปุญฺญํ กาตุํ น ลภามี’’ติฯ อถสฺสา ปิตา ‘‘ทุกฺขิตา วต เม ธีตา’’ติ อนตฺตมนตํ ปเวเทตฺวา ปญฺจทส กหาปณสหสฺสานิ เปเสสิ, ‘‘อิมสฺมิํ นคเร สิริมา นาม คณิกา อตฺถิ, เทวสิกํ สหสฺสํ คณฺหาติ, อิเมหิ กหาปเณหิ ตํ อาเนตฺวา สามิกสฺส นิยฺยาเทตฺวา สยํ ยถารุจิ ปุญฺญานิ กโรตู’’ติ สาสนญฺจ ปหิณิฯ อุตฺตรา ตถา กตฺวา สามิเกน สิริมํ ทิสฺวา ‘‘กิมิท’’นฺติ วุเตฺต ‘‘สามิ, อิมํ อฑฺฒมาสํ มม สหายิกา ตุเมฺห ปริจรตุ, อหํ ปน อิมํ อฑฺฒมาสํ ทานเญฺจว ทาตุกามา ธมฺมญฺจ โสตุกามา’’ติ อาหฯ โส ตํ อภิรูปํ อิตฺถิํ ทิสฺวา อุปฺปนฺนสิเนโห ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิฯ

    Aparabhāge rājagahaseṭṭhi puṇṇaseṭṭhino dhītaraṃ attano puttassa vāresi. So ‘‘nāhaṃ dassāmī’’ti vutto ‘‘mā evaṃ karotu, ettakaṃ kālaṃ amhe nissāya vasanteneva te sampatti laddhā, detu me puttassa te dhītara’’nti āha. So ‘‘micchādiṭṭhikā tumhe, mama dhītā tīhi ratanehi vinā vasituṃ na sakkoti, nevassa dhītaraṃ dassāmī’’ti āha. Atha naṃ bahū seṭṭhigahapatikādayo kulaputtā ‘‘mā tena saddhiṃ vissāsaṃ bhindi, dehissa dhītara’’nti yāciṃsu. So tesaṃ vacanaṃ sampaṭicchitvā āsāḷhipuṇṇamāya dhītaraṃ adāsi. Sā patikulaṃ gatakālato paṭṭhāya bhikkhuṃ vā bhikkhuniṃ vā upasaṅkamituṃ dānaṃ vā dātuṃ dhammaṃ vā sotuṃ nālattha, evaṃ aḍḍhatiyesu māsesu vītivattesu attano santike ṭhite paricārike pucchi ‘‘idāni kittakaṃ antovassaṃ avasiṭṭha’’nti? ‘‘Aḍḍhamāso, ayye’’ti. Sā mātāpitūnaṃ sāsanaṃ pahiṇi ‘‘kasmā maṃ evarūpe bandhanāgāre pakkhipiṃsu, varaṃ tumhehi maṃ lakkhaṇāhataṃ katvā paresaṃ dāsiṃ sāvetuṃ, na evarūpassa micchādiṭṭhikassa kulassa dātuṃ, āgatakālato paṭṭhāya bhikkhudassanādīsu ekampi puññaṃ kātuṃ na labhāmī’’ti. Athassā pitā ‘‘dukkhitā vata me dhītā’’ti anattamanataṃ pavedetvā pañcadasa kahāpaṇasahassāni pesesi, ‘‘imasmiṃ nagare sirimā nāma gaṇikā atthi, devasikaṃ sahassaṃ gaṇhāti, imehi kahāpaṇehi taṃ ānetvā sāmikassa niyyādetvā sayaṃ yathāruci puññāni karotū’’ti sāsanañca pahiṇi. Uttarā tathā katvā sāmikena sirimaṃ disvā ‘‘kimida’’nti vutte ‘‘sāmi, imaṃ aḍḍhamāsaṃ mama sahāyikā tumhe paricaratu, ahaṃ pana imaṃ aḍḍhamāsaṃ dānañceva dātukāmā dhammañca sotukāmā’’ti āha. So taṃ abhirūpaṃ itthiṃ disvā uppannasineho ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchi.

    อุตฺตราปิ โข พุทฺธปฺปมุขํ ภิกฺขุสงฺฆํ นิมเนฺตตฺวา ‘‘ภเนฺต, อิมํ อฑฺฒมาสํ อญฺญตฺถ อคนฺตฺวา อิเธว ภิกฺขา คเหตพฺพา’’ติ สตฺถุ ปฎิญฺญํ คเหตฺวา ‘‘อิโต ทานิ ปฎฺฐาย ยาว มหาปวารณา, ตาว สตฺถารํ อุปฎฺฐาตุํ ธมฺมญฺจ โสตุํ ลภิสฺสามี’’ติ ตุฎฺฐมานสา ‘‘เอวํ ยาคุํ ปจถ, เอวํ ภตฺตํ ปจถ, เอวํ ปูวํ ปจถา’’ติ มหานเส สพฺพกิจฺจานิ สํวิทหนฺตี วิจรติฯ อถสฺสา สามิโก ‘‘เสฺว มหาปวารณา ภวิสฺสตี’’ติ มหานสาภิมุโข วาตปาเน ฐตฺวา ‘‘กิํ นุ โข กโรนฺตี สา อนฺธพาลา วิจรตี’’ติ โอโลเกตฺวา ตํ เสทกิลินฺนํ ฉาริกาย โอกิณฺณํ องฺคารมสิมกฺขิตํ ตถา สํวิทหิตฺวา วิจรมานํ ทิสฺวา ‘‘อโห อนฺธพาลา เอวรูเป ฐาเน อิมํ สิริสมฺปตฺติํ นานุภวติ, ‘‘มุณฺฑกสมเณ อุปฎฺฐหิสฺสามี’ติ ตุฎฺฐจิตฺตา วิจรตี’’ติ หสิตฺวา อปคญฺฉิฯ

    Uttarāpi kho buddhappamukhaṃ bhikkhusaṅghaṃ nimantetvā ‘‘bhante, imaṃ aḍḍhamāsaṃ aññattha agantvā idheva bhikkhā gahetabbā’’ti satthu paṭiññaṃ gahetvā ‘‘ito dāni paṭṭhāya yāva mahāpavāraṇā, tāva satthāraṃ upaṭṭhātuṃ dhammañca sotuṃ labhissāmī’’ti tuṭṭhamānasā ‘‘evaṃ yāguṃ pacatha, evaṃ bhattaṃ pacatha, evaṃ pūvaṃ pacathā’’ti mahānase sabbakiccāni saṃvidahantī vicarati. Athassā sāmiko ‘‘sve mahāpavāraṇā bhavissatī’’ti mahānasābhimukho vātapāne ṭhatvā ‘‘kiṃ nu kho karontī sā andhabālā vicaratī’’ti oloketvā taṃ sedakilinnaṃ chārikāya okiṇṇaṃ aṅgāramasimakkhitaṃ tathā saṃvidahitvā vicaramānaṃ disvā ‘‘aho andhabālā evarūpe ṭhāne imaṃ sirisampattiṃ nānubhavati, ‘‘muṇḍakasamaṇe upaṭṭhahissāmī’ti tuṭṭhacittā vicaratī’’ti hasitvā apagañchi.

    ตสฺมิํ อปคเต ตสฺส สนฺติเก ฐิตา สิริมา ‘‘กิํ นุ โข โอโลเกตฺวา เอส หสตี’’ติ เตเนว วาตปาเนน โอโลเกนฺตี อุตฺตรํ ทิสฺวา ‘‘อิมํ โอโลเกตฺวา อิมินา หสิตํ, อทฺธา อิมสฺส เอตาย สทฺธิํ สนฺถโว อตฺถี’’ติ จิเนฺตสิฯ สา กิร อฑฺฒมาสํ ตสฺมิํ เคเห พาหิรกอิตฺถี หุตฺวา วสมานาปิ ตํ สมฺปตฺติํ อนุภวมานา อตฺตโน พาหิรกอิตฺถิภาวํ อชานิตฺวา ‘‘อหํ ฆรสามินี’’ติ สญฺญมกาสิฯ สา อุตฺตราย อาฆาตํ พนฺธิตฺวา ‘‘ทุกฺขมสฺสา อุปฺปาเทสฺสามี’’ติ ปาสาทา โอรุยฺห มหานสํ ปวิสิตฺวา ปูวปจนฎฺฐาเน ปกฺกุถิตํ สปฺปิํ กฎจฺฉุนา อาทาย อุตฺตราภิมุขํ ปายาสิฯ อุตฺตรา ตํ อาคจฺฉนฺติํ ทิสฺวา ‘‘มม สหายิกาย มยฺหํ อุปกาโร กโต, จกฺกวาฬํ อติสมฺพาธํ, พฺรหฺมโลโก อตินีจโก, มม ปน สหายิกาย คุโณว มหโนฺต, อหมฺปิ เอตํ นิสฺสาย ทานญฺจ ทาตุํ ธมฺมญฺจ โสตุํ ลภิํ, สเจ มม เอติสฺสาย อุปริ โกโธ อตฺถิ, อิทํ สปฺปิ มํ ทหตุ, สเจ นตฺถิ, มา มํ ทหตู’’ติ ตํ เมตฺตาย ผริฯ ตาย ตสฺสา มตฺถเก อาสิญฺจิตมฺปิ ปกฺกุถิตสปฺปิ สีโตทกํ วิย อโหสิฯ อถ นํ ‘‘อิทํ สีตลํ ภวิสฺสตี’’ติ ปุน กฎจฺฉุกํ ปูเรตฺวา อาทาย อาคจฺฉนฺติํ อุตฺตราย ทาสิโย ทิสฺวา ‘‘อเร ทุพฺพินีเต น ตฺวํ อมฺหากํ อยฺยาย อุปริ ปกฺกสปฺปิํ อาสิญฺจิตุํ อนุจฺฉวิกา’’ติ สนฺตเชฺชนฺติโย อิโต จิโต จ อุฎฺฐาย หเตฺถหิ จ ปาเทหิ จ โปเถตฺวา ภูมิยํ ปาเตสุํ, อุตฺตรา วาเรนฺตีปิ วาเรตุํ นาสกฺขิฯ อถ สา อุปริ ฐตฺวา สพฺพา ทาสิโย ปฎิพาหิตฺวา ‘‘กิสฺส เต เอวรูปํ ภาริยํ กมฺมํ กต’’นฺติ สิริมํ โอวทิตฺวา อุโณฺหทเกน นฺหาเปตฺวา สตปากเตเลน อพฺภญฺชิฯ

    Tasmiṃ apagate tassa santike ṭhitā sirimā ‘‘kiṃ nu kho oloketvā esa hasatī’’ti teneva vātapānena olokentī uttaraṃ disvā ‘‘imaṃ oloketvā iminā hasitaṃ, addhā imassa etāya saddhiṃ santhavo atthī’’ti cintesi. Sā kira aḍḍhamāsaṃ tasmiṃ gehe bāhirakaitthī hutvā vasamānāpi taṃ sampattiṃ anubhavamānā attano bāhirakaitthibhāvaṃ ajānitvā ‘‘ahaṃ gharasāminī’’ti saññamakāsi. Sā uttarāya āghātaṃ bandhitvā ‘‘dukkhamassā uppādessāmī’’ti pāsādā oruyha mahānasaṃ pavisitvā pūvapacanaṭṭhāne pakkuthitaṃ sappiṃ kaṭacchunā ādāya uttarābhimukhaṃ pāyāsi. Uttarā taṃ āgacchantiṃ disvā ‘‘mama sahāyikāya mayhaṃ upakāro kato, cakkavāḷaṃ atisambādhaṃ, brahmaloko atinīcako, mama pana sahāyikāya guṇova mahanto, ahampi etaṃ nissāya dānañca dātuṃ dhammañca sotuṃ labhiṃ, sace mama etissāya upari kodho atthi, idaṃ sappi maṃ dahatu, sace natthi, mā maṃ dahatū’’ti taṃ mettāya phari. Tāya tassā matthake āsiñcitampi pakkuthitasappi sītodakaṃ viya ahosi. Atha naṃ ‘‘idaṃ sītalaṃ bhavissatī’’ti puna kaṭacchukaṃ pūretvā ādāya āgacchantiṃ uttarāya dāsiyo disvā ‘‘are dubbinīte na tvaṃ amhākaṃ ayyāya upari pakkasappiṃ āsiñcituṃ anucchavikā’’ti santajjentiyo ito cito ca uṭṭhāya hatthehi ca pādehi ca pothetvā bhūmiyaṃ pātesuṃ, uttarā vārentīpi vāretuṃ nāsakkhi. Atha sā upari ṭhatvā sabbā dāsiyo paṭibāhitvā ‘‘kissa te evarūpaṃ bhāriyaṃ kammaṃ kata’’nti sirimaṃ ovaditvā uṇhodakena nhāpetvā satapākatelena abbhañji.

    ตสฺมิํ ขเณ สา อตฺตโน พาหิรกิตฺถิภาวํ ญตฺวา จิเนฺตสิ ‘‘มยา ภาริยํ กมฺมํ กตํ สามิกสฺส หสิตมตฺตการณา อิมิสฺสา อุปริ ปกฺกสปฺปิํ อาสิญฺจนฺติยา, อยํ ‘คณฺหถ น’นฺติ ทาสิโย น อาณาเปตฺวา มํ วิเหฐนกาเลปิ สพฺพา ทาสิโย ปฎิพาหิตฺวา มยฺหํ กตฺตพฺพเมว อกาสิฯ สจาหํ อิมํ น ขมาเปสฺสามิ, มุทฺธา เม สตฺตธา ผเลยฺยา’’ติ ตสฺสา ปาทมูเล นิปชฺชิตฺวา ‘‘อเยฺย, ขมาหิ เม โทส’’นฺติ อาหฯ ‘‘อหํ สปฺปิติกา ธีตา, ปิตริ เม ขมาปิเต ขมิสฺสามี’’ติฯ ‘‘โหตุ, อเยฺย, ปิตรมฺปิ เต ปุณฺณเสฎฺฐิํ ขมาเปสฺสามี’’ติฯ ‘‘ปุโณฺณ มม วเฎฺฎ ชนกปิตา, วิวเฎฺฎ ชนกปิตริ ขมาปิเต ปน อหํ ขมิสฺสามี’’ติฯ ‘‘โก ปน เต วิวเฎฺฎ ชนกปิตา’’ติ? ‘‘สมฺมาสมฺพุโทฺธ’’ติฯ ‘‘มยฺหํ เตน สทฺธิํ วิสฺสาโส นตฺถิ, อหํ กิํ กริสฺสามี’’ติ? ‘‘สตฺถา เสฺว ภิกฺขุสงฺฆํ อาทาย อิธาคมิสฺสติ, ตฺวํ ยถาลทฺธํ สกฺการํ คเหตฺวา อิเธว อาคนฺตฺวา ตํ ขมาเปหี’’ติฯ สา ‘‘สาธุ, อเยฺย’’ติ อุฎฺฐาย อตฺตโน เคหํ คนฺตฺวา ปญฺจสตปริจาริกิตฺถิโย อาณาเปตฺวา นานาวิธานิ ขาทนียโภชนียานิ เจว สูเปยฺยานิ จ สมฺปาเทตฺวา ปุนทิวเส ตํ สกฺการํ อาทาย อุตฺตราย เคหํ อาคนฺตฺวา พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส ปเตฺต ปติฎฺฐาเปตุํ อวิสหนฺตี อฎฺฐาสิ, ตํ สพฺพํ คเหตฺวา อุตฺตราว สํวิทหิฯ

    Tasmiṃ khaṇe sā attano bāhirakitthibhāvaṃ ñatvā cintesi ‘‘mayā bhāriyaṃ kammaṃ kataṃ sāmikassa hasitamattakāraṇā imissā upari pakkasappiṃ āsiñcantiyā, ayaṃ ‘gaṇhatha na’nti dāsiyo na āṇāpetvā maṃ viheṭhanakālepi sabbā dāsiyo paṭibāhitvā mayhaṃ kattabbameva akāsi. Sacāhaṃ imaṃ na khamāpessāmi, muddhā me sattadhā phaleyyā’’ti tassā pādamūle nipajjitvā ‘‘ayye, khamāhi me dosa’’nti āha. ‘‘Ahaṃ sappitikā dhītā, pitari me khamāpite khamissāmī’’ti. ‘‘Hotu, ayye, pitarampi te puṇṇaseṭṭhiṃ khamāpessāmī’’ti. ‘‘Puṇṇo mama vaṭṭe janakapitā, vivaṭṭe janakapitari khamāpite pana ahaṃ khamissāmī’’ti. ‘‘Ko pana te vivaṭṭe janakapitā’’ti? ‘‘Sammāsambuddho’’ti. ‘‘Mayhaṃ tena saddhiṃ vissāso natthi, ahaṃ kiṃ karissāmī’’ti? ‘‘Satthā sve bhikkhusaṅghaṃ ādāya idhāgamissati, tvaṃ yathāladdhaṃ sakkāraṃ gahetvā idheva āgantvā taṃ khamāpehī’’ti. Sā ‘‘sādhu, ayye’’ti uṭṭhāya attano gehaṃ gantvā pañcasataparicārikitthiyo āṇāpetvā nānāvidhāni khādanīyabhojanīyāni ceva sūpeyyāni ca sampādetvā punadivase taṃ sakkāraṃ ādāya uttarāya gehaṃ āgantvā buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa patte patiṭṭhāpetuṃ avisahantī aṭṭhāsi, taṃ sabbaṃ gahetvā uttarāva saṃvidahi.

    สิริมาปิ สตฺถุ ภตฺตกิจฺจาวสาเน สทฺธิํ ปริวาเรน สตฺถุ ปาทมูเล นิปชฺชิฯ อถ นํ สตฺถา ปุจฺฉิ ‘‘โก เต อปราโธ’’ติฯ ‘‘ภเนฺต มยา หิโยฺย อิทํ นาม กตํ, อถ เม สหายิกา มํ วิเหฐยมานา ทาสิโย นิวาเรตฺวา มยฺหํ อุปการเมว อกาสิฯ สาหํ อิมิสฺสา คุณํ ชานิตฺวา อิมํ ขมาเปสิํ, อถ มํ เอสา ‘ตุเมฺหสุ ขมาปิเตสุ ขมิสฺสามี’ติ อาหา’’ติฯ ‘‘เอวํ กิร อุตฺตเร’’ติฯ ‘‘อาม, ภเนฺต, สีเส เม สหายิกาย ปกฺกสปฺปิ อาสิตฺต’’นฺติฯ ‘‘อถ ตยา กิํ จินฺติต’’นฺติ? ‘‘จกฺกวาฬํ อติสมฺพาธํ, พฺรหฺมโลโก อตินีจโก, มม สหายิกาย คุโณว มหโนฺต, อหญฺหิ เอตํ นิสฺสาย ทานญฺจ ทาตุํ ธมฺมญฺจ โสตุํ อลตฺถํ, สเจ เม อิมิสฺสา อุปริ โกโธ อตฺถิ, อิทํ มํ ทหตุ, โน เจ, มา ทหตู’’ติ เอวํ จิเนฺตตฺวา อิมํ เมตฺตาย ผริํ, ภเนฺตติฯ สตฺถา ‘‘สาธุ สาธุ, อุตฺตเร, เอวํ โกธํ ชินิตุํ วฎฺฎติฯ โกธโน หิ นาม อโกฺกเธน, อโกฺกสโก อนโกฺกสเนฺตน, ปริภาสโก อปริภาสเนฺตน , ถทฺธมจฺฉรี อตฺตโน สนฺตกสฺส ทาเนน, มุสาวาที สจฺจวจเนน ชินิตโพฺพ’’ติ อิมมตฺถํ ทเสฺสโนฺต –

    Sirimāpi satthu bhattakiccāvasāne saddhiṃ parivārena satthu pādamūle nipajji. Atha naṃ satthā pucchi ‘‘ko te aparādho’’ti. ‘‘Bhante mayā hiyyo idaṃ nāma kataṃ, atha me sahāyikā maṃ viheṭhayamānā dāsiyo nivāretvā mayhaṃ upakārameva akāsi. Sāhaṃ imissā guṇaṃ jānitvā imaṃ khamāpesiṃ, atha maṃ esā ‘tumhesu khamāpitesu khamissāmī’ti āhā’’ti. ‘‘Evaṃ kira uttare’’ti. ‘‘Āma, bhante, sīse me sahāyikāya pakkasappi āsitta’’nti. ‘‘Atha tayā kiṃ cintita’’nti? ‘‘Cakkavāḷaṃ atisambādhaṃ, brahmaloko atinīcako, mama sahāyikāya guṇova mahanto, ahañhi etaṃ nissāya dānañca dātuṃ dhammañca sotuṃ alatthaṃ, sace me imissā upari kodho atthi, idaṃ maṃ dahatu, no ce, mā dahatū’’ti evaṃ cintetvā imaṃ mettāya phariṃ, bhanteti. Satthā ‘‘sādhu sādhu, uttare, evaṃ kodhaṃ jinituṃ vaṭṭati. Kodhano hi nāma akkodhena, akkosako anakkosantena, paribhāsako aparibhāsantena , thaddhamaccharī attano santakassa dānena, musāvādī saccavacanena jinitabbo’’ti imamatthaṃ dassento –

    ‘‘อโกฺกเธน ชิเน โกธํ, อสาธุํ สาธุนา ชิเน;

    ‘‘Akkodhena jine kodhaṃ, asādhuṃ sādhunā jine;

    ชิเน กทริยํ ทาเนน, สเจฺจนาลิกวาทิน’’นฺติฯ (ธ. ป. ๒๒๓) –

    Jine kadariyaṃ dānena, saccenālikavādina’’nti. (dha. pa. 223) –

    อิมํ คาถํ วตฺวา คาถาปริโยสาเน จตุสจฺจกถํ อภาสิฯ สจฺจปริโยสาเน อุตฺตรา สกทาคามิผเล ปติฎฺฐหิ, สามิโก จ สสุโร จ สสฺสุ จ โสตาปตฺติผลํ สจฺฉิกริํสุ, สิริมาปิ ปญฺจสตปริวารา โสตาปนฺนา อโหสิฯ อปรภาเค อุตฺตรา กาลํ กตฺวา ตาวติํสภวเน อุปฺปชฺชิฯ อถายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน เหฎฺฐา วุตฺตนเยเนว เทวจาริกํ จรโนฺต อุตฺตรํ เทวธีตรํ ทิสฺวา –

    Imaṃ gāthaṃ vatvā gāthāpariyosāne catusaccakathaṃ abhāsi. Saccapariyosāne uttarā sakadāgāmiphale patiṭṭhahi, sāmiko ca sasuro ca sassu ca sotāpattiphalaṃ sacchikariṃsu, sirimāpi pañcasataparivārā sotāpannā ahosi. Aparabhāge uttarā kālaṃ katvā tāvatiṃsabhavane uppajji. Athāyasmā mahāmoggallāno heṭṭhā vuttanayeneva devacārikaṃ caranto uttaraṃ devadhītaraṃ disvā –

    ๑๒๔.

    124.

    ‘‘อภิกฺกเนฺตน วเณฺณน, ยา ตฺวํ ติฎฺฐสิ เทวเต;

    ‘‘Abhikkantena vaṇṇena, yā tvaṃ tiṭṭhasi devate;

    โอภาเสนฺตี ทิสา สพฺพา, โอสธี วิย ตารกาฯ

    Obhāsentī disā sabbā, osadhī viya tārakā.

    ๑๒๕.

    125.

    ‘‘เกน เตตาทิโส วโณฺณ, เกน เต อิธ มิชฺฌติ;

    ‘‘Kena tetādiso vaṇṇo, kena te idha mijjhati;

    อุปฺปชฺชนฺติ จ เต โภคา, เย เกจิ มนโส ปิยาฯ

    Uppajjanti ca te bhogā, ye keci manaso piyā.

    ๑๒๖.

    126.

    ‘‘ปุจฺฉามิ ตํ เทวิ มหานุภาเว,

    ‘‘Pucchāmi taṃ devi mahānubhāve,

    มนุสฺสภูตา กิมกาสิ ปุญฺญํ;

    Manussabhūtā kimakāsi puññaṃ;

    เกนาสิ เอวํ ชลิตานุภาวา,

    Kenāsi evaṃ jalitānubhāvā,

    วโณฺณ จ เต สพฺพทิสา ปภาสตี’’ติฯ – ปฎิปุจฺฉิ;

    Vaṇṇo ca te sabbadisā pabhāsatī’’ti. – paṭipucchi;

    ๑๒๗.

    127.

    ‘‘สา เทวตา อตฺตมนา, โมคฺคลฺลาเนน ปุจฺฉิตา;

    ‘‘Sā devatā attamanā, moggallānena pucchitā;

    ปญฺหํ ปุฎฺฐา วิยากาสิ, ยสฺส กมฺมสฺสิทํ ผลํ’’ฯ

    Pañhaṃ puṭṭhā viyākāsi, yassa kammassidaṃ phalaṃ’’.

    ๑๒๘.

    128.

    ‘‘อิสฺสา จ มเจฺฉรมโถ ปฬาโส, นาโหสิ มยฺหํ ฆรมาวสนฺติยา;

    ‘‘Issā ca maccheramatho paḷāso, nāhosi mayhaṃ gharamāvasantiyā;

    อโกฺกธนา ภตฺตุ วสานุวตฺตินี, อุโปสเถ นิจฺจหมปฺปมตฺตาฯ

    Akkodhanā bhattu vasānuvattinī, uposathe niccahamappamattā.

    ๑๒๙.

    129.

    ‘‘จาตุทฺทสิํ ปญฺจทสิํ, ยา จ ปกฺขสฺส อฎฺฐมี;

    ‘‘Cātuddasiṃ pañcadasiṃ, yā ca pakkhassa aṭṭhamī;

    ปาฎิหาริยปกฺขญฺจ, อฎฺฐงฺคสุสมาคตํฯ

    Pāṭihāriyapakkhañca, aṭṭhaṅgasusamāgataṃ.

    ๑๓๐.

    130.

    ‘‘อุโปสถํ อุปวสิสฺสํ, สทา สีเลสุ สํวุตา;

    ‘‘Uposathaṃ upavasissaṃ, sadā sīlesu saṃvutā;

    สญฺญมา สํวิภาคา จ, วิมานํ อาวสามหํฯ

    Saññamā saṃvibhāgā ca, vimānaṃ āvasāmahaṃ.

    ๑๓๑.

    131.

    ‘‘ปาณาติปาตา วิรตา, มุสาวาทา จ สญฺญตา;

    ‘‘Pāṇātipātā viratā, musāvādā ca saññatā;

    เถยฺยา จ อติจารา จ, มชฺชปานา จ อารกาฯ

    Theyyā ca aticārā ca, majjapānā ca ārakā.

    ๑๓๒.

    132.

    ‘‘ปญฺจสิกฺขาปเท รตา, อริยสจฺจาน โกวิทา;

    ‘‘Pañcasikkhāpade ratā, ariyasaccāna kovidā;

    อุปาสิกา จกฺขุมโต, โคตมสฺส ยสสฺสิโนฯ

    Upāsikā cakkhumato, gotamassa yasassino.

    ๑๓๓.

    133.

    ‘‘สาหํ สเกน สีเลน, ยสสา จ ยสสฺสินี;

    ‘‘Sāhaṃ sakena sīlena, yasasā ca yasassinī;

    อนุโภมิ สกํ ปุญฺญํ, สุขิตา จมฺหินามยาฯ

    Anubhomi sakaṃ puññaṃ, sukhitā camhināmayā.

    ๑๓๔.

    134.

    ‘‘เตน เมตาทิโส วโณฺณ, เตน เม อิธ มิชฺฌติ;

    ‘‘Tena metādiso vaṇṇo, tena me idha mijjhati;

    อุปฺปชฺชนฺติ จ เม โภคา, เย เกจิ มนโส ปิยาฯ

    Uppajjanti ca me bhogā, ye keci manaso piyā.

    ๑๓๕.

    135.

    ‘‘อกฺขามิ เต ภิกฺขุ มหานุภาว, มนุสฺสภูตา ยมหํ อกาสิํ;

    ‘‘Akkhāmi te bhikkhu mahānubhāva, manussabhūtā yamahaṃ akāsiṃ;

    เตนมฺหิ เอวํ ชลิตานุภาวา, วโณฺณ จ เม สพฺพทิสา ปภาสตี’’ติฯ –

    Tenamhi evaṃ jalitānubhāvā, vaṇṇo ca me sabbadisā pabhāsatī’’ti. –

    เทวตาปิสฺส วิสฺสเชฺชสิฯ

    Devatāpissa vissajjesi.

    ๑๒๖. มม จ, ภเนฺต, วจเนน ภควโต ปาเท สิรสา วเนฺทยฺยาสิ ‘‘อุตฺตรา นาม ภเนฺต, อุปาสิกา ภควโต ปาเท สิรสา วนฺทตี’’ติฯ อนจฺฉริยํ โข ปเนตํ, ภเนฺต, ยํ มํ ภควา อญฺญตรสฺมิํ สามญฺญผเล พฺยากเรยฺย, ตํ ภควา สกทาคามิผเล พฺยากาสีติฯ

    126. Mama ca, bhante, vacanena bhagavato pāde sirasā vandeyyāsi ‘‘uttarā nāma bhante, upāsikā bhagavato pāde sirasā vandatī’’ti. Anacchariyaṃ kho panetaṃ, bhante, yaṃ maṃ bhagavā aññatarasmiṃ sāmaññaphale byākareyya, taṃ bhagavā sakadāgāmiphale byākāsīti.

    ๑๒๘. ตตฺถ อิสฺสา จ มเจฺฉรมโถ ปฬาโส, นาโหสิ มยฺหํ ฆรมาวสนฺติยาติ ยา จ อคารมเชฺฌ วสนฺตีนํ อญฺญาสํ อิตฺถีนํ สมฺปตฺติอาทิวิสยา ปรสมฺปตฺติอุสูยนลกฺขณา อิสฺสา, ยญฺจ ตาวกาลิกาทิวเสนาปิ กิญฺจิ ยาจนฺตานํ อทาตุกามตาย อตฺตสมฺปตฺตินิคูหนลกฺขณํ มจฺฉริยํ , โย จ กุลปเทสาทินา ปเรหิ ยุคคฺคาหลกฺขโณ ปฬาโส อุปฺปชฺชติ, โส ติวิโธปิ ปาปธโมฺม เคเห ฐิตาย มยฺหํ สติปิ ปจฺจยสมวาเย นาโหสิ น อุปฺปชฺชิฯ อโกฺกธนาติ ขนฺติเมตฺตานุทฺทยสมฺปนฺนตาย อกุชฺฌนสภาวาฯ ภตฺตุ วสานุวตฺตินีติ ปุพฺพุฎฺฐานปจฺฉานิปาตนาทินา สามิกสฺส อนุกูลภาเวน วเส วตฺตนสีลา, มนาปจารินีติ อโตฺถฯ อุโปสเถ นิจฺจหมปฺปมตฺตาติ อหํ อุโปสถสีลรกฺขเณ นิจฺจํ อปฺปมตฺตา อปฺปมาทวิหารินีฯ

    128. Tattha issā ca maccheramatho paḷāso, nāhosi mayhaṃ gharamāvasantiyāti yā ca agāramajjhe vasantīnaṃ aññāsaṃ itthīnaṃ sampattiādivisayā parasampattiusūyanalakkhaṇā issā, yañca tāvakālikādivasenāpi kiñci yācantānaṃ adātukāmatāya attasampattinigūhanalakkhaṇaṃ macchariyaṃ , yo ca kulapadesādinā parehi yugaggāhalakkhaṇo paḷāso uppajjati, so tividhopi pāpadhammo gehe ṭhitāya mayhaṃ satipi paccayasamavāye nāhosi na uppajji. Akkodhanāti khantimettānuddayasampannatāya akujjhanasabhāvā. Bhattu vasānuvattinīti pubbuṭṭhānapacchānipātanādinā sāmikassa anukūlabhāvena vase vattanasīlā, manāpacārinīti attho. Uposathe niccahamappamattāti ahaṃ uposathasīlarakkhaṇe niccaṃ appamattā appamādavihārinī.

    ๑๒๙. ตเมว อุโปสเถ อปฺปมาทํ ทเสฺสนฺตี เยสุ ทิวเสสุ ตํ รกฺขิตพฺพํ, ยาทิสํ ยถา จ รกฺขิตพฺพํ, ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘จาตุทฺทสิ’’นฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ จาตุทฺทสิํ ปญฺจทสินฺติ ปกฺขสฺสาติ สมฺพโนฺธ, อจฺจนฺตสํโยเค เจตํ อุปโยควจนํฯ ยา จ ปกฺขสฺส อฎฺฐมีติ เอตฺถ จาติ วจนเสโสฯ ปาฎิหาริยปกฺขญฺจาติ ปฎิหรณกปกฺขญฺจ, จาตุทฺทสีปญฺจทสีอฎฺฐมีนํ ยถากฺกมํ อาทิโต อนฺตโต จาติ ปเวสนนิกฺขมนวเสน อุโปสถสีลสฺส ปฎิหริตพฺพํ ปกฺขญฺจ , เตรสี ปาฎิปทา สตฺตมี นวมี จาติ อโตฺถฯ อฎฺฐงฺคสุสมาคตนฺติ ปาณาติปาตาเวรมณีอาทีหิ อฎฺฐหเงฺคหิ เอว สุฎฺฐุ สมาคตํ สมนฺนาคตํฯ

    129. Tameva uposathe appamādaṃ dassentī yesu divasesu taṃ rakkhitabbaṃ, yādisaṃ yathā ca rakkhitabbaṃ, taṃ dassetuṃ ‘‘cātuddasi’’ntiādimāha. Tattha cātuddasiṃ pañcadasinti pakkhassāti sambandho, accantasaṃyoge cetaṃ upayogavacanaṃ. Yā ca pakkhassa aṭṭhamīti ettha ti vacanaseso. Pāṭihāriyapakkhañcāti paṭiharaṇakapakkhañca, cātuddasīpañcadasīaṭṭhamīnaṃ yathākkamaṃ ādito antato cāti pavesananikkhamanavasena uposathasīlassa paṭiharitabbaṃ pakkhañca , terasī pāṭipadā sattamī navamī cāti attho. Aṭṭhaṅgasusamāgatanti pāṇātipātāveramaṇīādīhi aṭṭhahaṅgehi eva suṭṭhu samāgataṃ samannāgataṃ.

    ๑๓๐. อุปวสิสฺสนฺติ อุปวสิํฯ อตีตเตฺถ หิ อิทํ อนาคตวจนํฯ เกจิ ปน ‘‘อุปวสิํ’’อิเจฺจว ปฐนฺติฯ สทาติ สปฺปฎิหาริเกสุ สเพฺพสุ อุโปสถทิวเสสุฯ สีเลสูติ อุโปสถสีเลสุ สาเธตเพฺพสุฯ นิปฺผาเทตเพฺพ หิ อิทํ ภุมฺมํฯ สํวุตาติ กายวาจาจิเตฺตหิ สํวุตาฯ สทาติ วา สพฺพกาลํฯ สีเลสูติ นิจฺจสีเลสุฯ สํวุตาติ กายวาจาหิ สํวุตาฯ

    130.Upavasissanti upavasiṃ. Atītatthe hi idaṃ anāgatavacanaṃ. Keci pana ‘‘upavasiṃ’’icceva paṭhanti. Sadāti sappaṭihārikesu sabbesu uposathadivasesu. Sīlesūti uposathasīlesu sādhetabbesu. Nipphādetabbe hi idaṃ bhummaṃ. Saṃvutāti kāyavācācittehi saṃvutā. Sadāti vā sabbakālaṃ. Sīlesūti niccasīlesu. Saṃvutāti kāyavācāhi saṃvutā.

    ๑๓๑. อิทานิ ตํ นิจฺจสีลํ ทเสฺสตุํ ‘‘ปาณาติปาตา วิรตา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ ปาโณติ โวหารโต สโตฺต, ปรมตฺถโต ชีวิตินฺทฺริยํฯ ปาณสฺส อติปาโต ปาณวโธ ปาณฆาโต ปาณาติปาโต, อตฺถโต ปาเณ ปาณสญฺญิโน ชีวิตินฺทฺริยุปเจฺฉทกอุปกฺกมสมุฎฺฐาปิกา กายวจีทฺวารานํ อญฺญตรทฺวารปวตฺตา วธกเจตนาฯ ตโต ปาณาติปาตาฯ วิรตาติ โอรตา, นิวตฺตาติ อโตฺถฯ

    131. Idāni taṃ niccasīlaṃ dassetuṃ ‘‘pāṇātipātā viratā’’tiādi vuttaṃ. Tattha pāṇoti vohārato satto, paramatthato jīvitindriyaṃ. Pāṇassa atipāto pāṇavadho pāṇaghāto pāṇātipāto, atthato pāṇe pāṇasaññino jīvitindriyupacchedakaupakkamasamuṭṭhāpikā kāyavacīdvārānaṃ aññataradvārapavattā vadhakacetanā. Tato pāṇātipātā. Viratāti oratā, nivattāti attho.

    มุสาวาทาติ มุสา นาม วิสํวาทนปุเรกฺขารสฺส อตฺถภญฺชนโก วจีปโยโค วา กายปโยโค วา, วิสํวาทนาธิปฺปาเยน ปรสฺส วิสํวาทกกายวจีปโยคสมุฎฺฐาปิกา เจตนา มุสาวาโทฯ อถ วา มุสาติ อภูตํ อตจฺฉํ วตฺถุ, วาโทติ ตสฺส ภูตโต ตจฺฉโต วิญฺญาเปตุกามสฺส ตถา วิญฺญตฺติสมุฎฺฐาปิกา เจตนาฯ ตโต มุสาวาทา สญฺญตา โอรตา, วิรตาติ อโตฺถฯ จ-สโทฺท สมฺปิณฺฑนโตฺถฯ

    Musāvādāti musā nāma visaṃvādanapurekkhārassa atthabhañjanako vacīpayogo vā kāyapayogo vā, visaṃvādanādhippāyena parassa visaṃvādakakāyavacīpayogasamuṭṭhāpikā cetanā musāvādo. Atha vā musāti abhūtaṃ atacchaṃ vatthu, vādoti tassa bhūtato tacchato viññāpetukāmassa tathā viññattisamuṭṭhāpikā cetanā. Tato musāvādā saññatā oratā, viratāti attho. Ca-saddo sampiṇḍanattho.

    เถยฺยาติ เถยฺยํ วุจฺจติ เถนภาโว, โจริกาย ปรสฺสหรณนฺติ อโตฺถฯ อตฺถโต ปรปริคฺคหิเต ปรปริคฺคหิตสญฺญิโน ตทาทายกอุปกฺกมสมุฎฺฐาปิกา เถยฺยเจตนา เถยฺยํฯ ตโต เถยฺยา สญฺญตา, อารกาติ วา สมฺพโนฺธฯ

    Theyyāti theyyaṃ vuccati thenabhāvo, corikāya parassaharaṇanti attho. Atthato parapariggahite parapariggahitasaññino tadādāyakaupakkamasamuṭṭhāpikā theyyacetanā theyyaṃ. Tato theyyā saññatā, ārakāti vā sambandho.

    อติจาราติ อติจฺจ จาโร อติจาโร, โลกมริยาทํ อติกฺกมิตฺวา อคมนียฎฺฐาเน กามวเสน จาโร มิจฺฉาจาโรติ อโตฺถฯ อคมนียฎฺฐานํ นาม – ปุริสานํ มาตุรกฺขิตา ปิตุรกฺขิตา มาตาปิตุรกฺขิตา ภาตุรกฺขิตา ภคินิรกฺขิตา ญาติรกฺขิตา โคตฺตรกฺขิตา ธมฺมรกฺขิตา สารกฺขา สปริทณฺฑาติ ทส, ธนกฺกีตา ฉนฺทวาสินี โภควาสินี ปฎวาสินี โอทปตฺตกินี โอภฎจุมฺพฎา ทาสี จ ภริยา กมฺมการี จ ภริยา ธชาหฎา มุหุตฺติกาติ ทสาติ วีสติ อิตฺถิโยฯ อิตฺถีสุ ปน ทฺวินฺนํ สารกฺขสปริทณฺฑานํ ทสนฺนญฺจ ธนกฺกีตาทีนนฺติ ทฺวาทสนฺนํ อญฺญปุริสา อคมนียฎฺฐานํ, อิทเมว อิธ อธิเปฺปตํฯ ลกฺขณโต ปน อสทฺธมฺมาธิปฺปาเยน กายทฺวารปวตฺตา อคมนียฎฺฐานวีติกฺกมเจตนา อติจาโรฯ ตสฺมา อติจารา

    Aticārāti aticca cāro aticāro, lokamariyādaṃ atikkamitvā agamanīyaṭṭhāne kāmavasena cāro micchācāroti attho. Agamanīyaṭṭhānaṃ nāma – purisānaṃ māturakkhitā piturakkhitā mātāpiturakkhitā bhāturakkhitā bhaginirakkhitā ñātirakkhitā gottarakkhitā dhammarakkhitā sārakkhā saparidaṇḍāti dasa, dhanakkītā chandavāsinī bhogavāsinī paṭavāsinī odapattakinī obhaṭacumbaṭā dāsī ca bhariyā kammakārī ca bhariyā dhajāhaṭā muhuttikāti dasāti vīsati itthiyo. Itthīsu pana dvinnaṃ sārakkhasaparidaṇḍānaṃ dasannañca dhanakkītādīnanti dvādasannaṃ aññapurisā agamanīyaṭṭhānaṃ, idameva idha adhippetaṃ. Lakkhaṇato pana asaddhammādhippāyena kāyadvārapavattā agamanīyaṭṭhānavītikkamacetanā aticāro. Tasmā aticārā.

    มชฺชปานาติ มชฺชํ วุจฺจติมทนียเฎฺฐน สุรา จ เมรยญฺจ, ปิวนฺติ เตนาติ ปานํ, มชฺชสฺส ปานํ มชฺชปานํฯ ยาย ทุสฺสีลฺยเจตนาย มชฺชสงฺขาตํ ปิฎฺฐสุรา, ปูวสุรา, โอทนิยสุรา, กิณฺณปกฺขิตฺตา, สมฺภารสํยุตฺตาติ ปญฺจเภทํ สุรํ วา, ปุปฺผาสโว, ผลาสโว, มธฺวาสโว, คุฬาสโว, สมฺภารสํยุโตฺตติ ปญฺจเภทํ เมรยํ วา พีชโต ปฎฺฐาย กุสเคฺคนาปิ ปิวติ, สา เจตนา มชฺชปานํฯ ตสฺมา มชฺชปานา อารกา วิรตาฯ

    Majjapānāti majjaṃ vuccatimadanīyaṭṭhena surā ca merayañca, pivanti tenāti pānaṃ, majjassa pānaṃ majjapānaṃ. Yāya dussīlyacetanāya majjasaṅkhātaṃ piṭṭhasurā, pūvasurā, odaniyasurā, kiṇṇapakkhittā, sambhārasaṃyuttāti pañcabhedaṃ suraṃ vā, pupphāsavo, phalāsavo, madhvāsavo, guḷāsavo, sambhārasaṃyuttoti pañcabhedaṃ merayaṃ vā bījato paṭṭhāya kusaggenāpi pivati, sā cetanā majjapānaṃ. Tasmā majjapānā ārakā viratā.

    ๑๓๒. เอวํ ‘‘ปาณาติปาตา วิรตา’’ติอาทินา ปหาตพฺพธมฺมวเสน วิภชิตฺวา ทสฺสิตํ นิจฺจสีลํ ปุน สมาทาตพฺพตาวเสน เอกโต กตฺวา ทเสฺสนฺตี ‘‘ปญฺจสิกฺขาปเท รตา’’ติ อาหฯ ตตฺถ สิกฺขาปทนฺติ สิกฺขิตพฺพปทํ, สิกฺขาโกฎฺฐาเสติ อโตฺถฯ อถ วา ฌานาทโย สเพฺพปิ กุสลา ธมฺมา สิกฺขิตพฺพโต สิกฺขา, ปญฺจสุ ปน สีลเงฺคสุ ยํกิญฺจิ องฺคํ ตาสํ สิกฺขานํ ปติฎฺฐานเฎฺฐน ปทนฺติ สิกฺขานํ ปทตฺตา สิกฺขาปทํ, ปญฺจ สีลงฺคานิฯ ตสฺมิํ ปญฺจวิเธ สิกฺขาปเท รตา อภิรตาติ ปญฺจสิกฺขาปเท รตาฯ อริยสจฺจาน โกวิทาติ ปริญฺญาปหานสจฺฉิกิริยาภาวนาภิสมยวเสน ทุกฺขสมุทยนิโรธมคฺคสงฺขาเตสุ จตูสุ อริยสเจฺจสุ กุสลา นิปุณา, ปฎิวิทฺธจตุสจฺจาติ อโตฺถฯ โคตมสฺสาติ ภควนฺตํ โคเตฺตน กิเตฺตติฯ ยสสฺสิโนติ กิตฺติมโต, ปริวารวโต วาฯ

    132. Evaṃ ‘‘pāṇātipātā viratā’’tiādinā pahātabbadhammavasena vibhajitvā dassitaṃ niccasīlaṃ puna samādātabbatāvasena ekato katvā dassentī ‘‘pañcasikkhāpade ratā’’ti āha. Tattha sikkhāpadanti sikkhitabbapadaṃ, sikkhākoṭṭhāseti attho. Atha vā jhānādayo sabbepi kusalā dhammā sikkhitabbato sikkhā, pañcasu pana sīlaṅgesu yaṃkiñci aṅgaṃ tāsaṃ sikkhānaṃ patiṭṭhānaṭṭhena padanti sikkhānaṃ padattā sikkhāpadaṃ, pañca sīlaṅgāni. Tasmiṃ pañcavidhe sikkhāpade ratā abhiratāti pañcasikkhāpade ratā. Ariyasaccāna kovidāti pariññāpahānasacchikiriyābhāvanābhisamayavasena dukkhasamudayanirodhamaggasaṅkhātesu catūsu ariyasaccesu kusalā nipuṇā, paṭividdhacatusaccāti attho. Gotamassāti bhagavantaṃ gottena kitteti. Yasassinoti kittimato, parivāravato vā.

    ๑๓๓. สาหนฺติ สา ยถาวุตฺตคุณา อหํฯ สเกน สีเลนาติ อนุสฺสุกิตาทินา อตฺตโน สภาวสีเลน จ อุโปสถสีลาทิสมาทานสีเลน จ การณภูเตนฯ ตญฺหิ สตฺตานํ กมฺมสฺสกตาย หิตสุขาวหตาย จ วิเสสโต ‘‘สก’’นฺติ วุจฺจติฯ เตเนวาห –

    133.Sāhanti sā yathāvuttaguṇā ahaṃ. Sakena sīlenāti anussukitādinā attano sabhāvasīlena ca uposathasīlādisamādānasīlena ca kāraṇabhūtena. Tañhi sattānaṃ kammassakatāya hitasukhāvahatāya ca visesato ‘‘saka’’nti vuccati. Tenevāha –

    ‘‘ตญฺหิ ตสฺส สกํ โหติ, ตญฺจ อาทาย คจฺฉติ;

    ‘‘Tañhi tassa sakaṃ hoti, tañca ādāya gacchati;

    ตญฺจสฺส อนุคํ โหติ, ฉายาว อนปายินี’’ติฯ (สํ. นิ. ๑.๑๑๕);

    Tañcassa anugaṃ hoti, chāyāva anapāyinī’’ti. (saṃ. ni. 1.115);

    ยสสา จ ยสสฺสินีติ ‘‘อุตฺตรา อุปาสิกา สีลาจารสมฺปนฺนา อนุสฺสุกี อมจฺฉรี อโกฺกธนา’’ติอาทินา ‘‘อาคตผลา วิญฺญาตสาสนา’’ติอาทินา จ ยถาภูตคุณาธิคเตน ชลตเล เตเลน วิย สมนฺตโต ปตฺถเฎน กิตฺติสเทฺทน ยสสฺสินี กิตฺติมตี, เตน วา สีลคุเณน อิธ อธิคเตน ยสปริวาเรน ยสสฺสินี สมฺปนฺนปริวาราฯ อนุโภมิ สกํ ปุญฺญนฺติ ยถูปจิตํ อตฺตโน ปุญฺญํ ปจฺจนุโภมิฯ ยสฺส หิ ปุญฺญผลํ อนุภูยติ, ผลูปจาเรน ตํ ปุญฺญมฺปิ อนุภูยตีติ วุจฺจติฯ อถ วา ปุถุชฺชนภาวโต สุจริตผลมฺปิ ‘‘ปุญฺญ’’นฺติ วุจฺจติฯ ยถาห ‘‘กุสลานํ, ภิกฺขเว, ธมฺมานํ สมาทานเหตุ เอวมิทํ ปุญฺญํ ปวฑฺฒตี’’ติฯ สุขิตา จมฺหินามยาติ ทิพฺพสุเขน จ ผลสุเขน จ สุขิตา จมฺหิ ภวามิ, กายิกเจตสิกทุกฺขาภาวโต อนามยา อโรคาฯ

    Yasasā ca yasassinīti ‘‘uttarā upāsikā sīlācārasampannā anussukī amaccharī akkodhanā’’tiādinā ‘‘āgataphalā viññātasāsanā’’tiādinā ca yathābhūtaguṇādhigatena jalatale telena viya samantato patthaṭena kittisaddena yasassinī kittimatī, tena vā sīlaguṇena idha adhigatena yasaparivārena yasassinī sampannaparivārā. Anubhomi sakaṃ puññanti yathūpacitaṃ attano puññaṃ paccanubhomi. Yassa hi puññaphalaṃ anubhūyati, phalūpacārena taṃ puññampi anubhūyatīti vuccati. Atha vā puthujjanabhāvato sucaritaphalampi ‘‘puñña’’nti vuccati. Yathāha ‘‘kusalānaṃ, bhikkhave, dhammānaṃ samādānahetu evamidaṃ puññaṃ pavaḍḍhatī’’ti. Sukhitā camhināmayāti dibbasukhena ca phalasukhena ca sukhitā camhi bhavāmi, kāyikacetasikadukkhābhāvato anāmayā arogā.

    ๑๓๖. มม จาติ จ-สโทฺท สมุจฺจยโตฺถฯ เตน ‘‘มม วจเนน จ วเนฺทยฺยาสิ, น ตว สภาเวเนวา’’ติ วนฺทนํ สมุจฺจิโนติฯ อนจฺฉริยนฺติอาทินา อตฺตโน อริยสาวิกาภาวสฺส ปากฎภาวํ ทเสฺสติฯ ตํ ภควาติอาทิ สงฺคีติการวจนํฯ เสสํ วุตฺตนยเมวาติฯ

    136.Mama cāti ca-saddo samuccayattho. Tena ‘‘mama vacanena ca vandeyyāsi, na tava sabhāvenevā’’ti vandanaṃ samuccinoti. Anacchariyantiādinā attano ariyasāvikābhāvassa pākaṭabhāvaṃ dasseti. Taṃ bhagavātiādi saṅgītikāravacanaṃ. Sesaṃ vuttanayamevāti.

    อุตฺตราวิมานวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Uttarāvimānavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / วิมานวตฺถุปาฬิ • Vimānavatthupāḷi / ๑๕. อุตฺตราวิมานวตฺถุ • 15. Uttarāvimānavatthu


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact