Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๒๘๓] ๓. วฑฺฒกีสูกรชาตกวณฺณนา
[283] 3. Vaḍḍhakīsūkarajātakavaṇṇanā
วรํ วรํ ตฺวนฺติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต ธนุคฺคหติสฺสเตฺถรํ อารพฺภ กเถสิฯ ปเสนทิรโญฺญ ปิตา มหาโกสโล พิมฺพิสารรโญฺญ ธีตรํ เวเทหิํ นาม โกสลเทวิํ ททมาโน ตสฺสา นฺหานจุณฺณมูลํ สตสหสฺสุฎฺฐานํ กาสิคามํ อทาสิฯ อชาตสตฺตุนา ปน ปิตริ มาริเต โกสลเทวีปิ โสกาภิภูตา กาลมกาสิฯ ตโต ปเสนทิ โกสลราชา จิเนฺตสิ – ‘‘อชาตสตฺตุนา ปิตา มาริโต, ภคินีปิ เม สามิเก กาลกเต เตน โสเกน กาลกตา, ปิตุฆาตกสฺส โจรสฺส กาสิคามํ น ทสฺสามี’’ติฯ โส ตํ อชาตสตฺตุสฺส น อทาสิฯ ตํ คามํ นิสฺสาย เตสํ ทฺวินฺนมฺปิ กาเลน กาลํ ยุทฺธํ โหติ, อชาตสตฺตุ ตรุโณ สมโตฺถ, ปเสนทิ มหลฺลโกเยวฯ โส อภิกฺขณํ ปรชฺชติ, มหาโกสลสฺสาปิ มนุสฺสา เยภุเยฺยน ปราชิตาฯ อถ ราชา ‘‘มยํ อภิณฺหํ ปรชฺชาม, กิํ นุ โข กาตพฺพ’’นฺติ อมเจฺจ ปุจฺฉิฯ ‘‘เทว, อยฺยา นาม มนฺตเจฺฉกา โหนฺติ, เชตวนวิหาเร ภิกฺขูนํ กถํ โสตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ ราชา ‘‘เตน หิ ตายํ เวลายํ ภิกฺขูนํ กถาสลฺลาปํ สุณาถา’’ติ จรปุริเส อาณาเปสิฯ เต ตโต ปฎฺฐาย ตถา อกํสุฯ
Varaṃ varaṃ tvanti idaṃ satthā jetavane viharanto dhanuggahatissattheraṃ ārabbha kathesi. Pasenadirañño pitā mahākosalo bimbisārarañño dhītaraṃ vedehiṃ nāma kosaladeviṃ dadamāno tassā nhānacuṇṇamūlaṃ satasahassuṭṭhānaṃ kāsigāmaṃ adāsi. Ajātasattunā pana pitari mārite kosaladevīpi sokābhibhūtā kālamakāsi. Tato pasenadi kosalarājā cintesi – ‘‘ajātasattunā pitā mārito, bhaginīpi me sāmike kālakate tena sokena kālakatā, pitughātakassa corassa kāsigāmaṃ na dassāmī’’ti. So taṃ ajātasattussa na adāsi. Taṃ gāmaṃ nissāya tesaṃ dvinnampi kālena kālaṃ yuddhaṃ hoti, ajātasattu taruṇo samattho, pasenadi mahallakoyeva. So abhikkhaṇaṃ parajjati, mahākosalassāpi manussā yebhuyyena parājitā. Atha rājā ‘‘mayaṃ abhiṇhaṃ parajjāma, kiṃ nu kho kātabba’’nti amacce pucchi. ‘‘Deva, ayyā nāma mantacchekā honti, jetavanavihāre bhikkhūnaṃ kathaṃ sotuṃ vaṭṭatī’’ti. Rājā ‘‘tena hi tāyaṃ velāyaṃ bhikkhūnaṃ kathāsallāpaṃ suṇāthā’’ti carapurise āṇāpesi. Te tato paṭṭhāya tathā akaṃsu.
ตสฺมิํ ปน กาเล เทฺว มหลฺลกเตฺถรา วิหารปจฺจเนฺต ปณฺณสาลายํ วสนฺติ ทตฺตเตฺถโร จ ธนุคฺคหติสฺสเตฺถโร จฯ เตสุ ธนุคฺคหติสฺสเตฺถโร ปฐมยาเมปิ มชฺฌิมยาเมปิ นิทฺทายิตฺวา ปจฺฉิมยาเม ปพุชฺฌิตฺวา อุมฺมุกฺกานิ โสเธตฺวา อคฺคิํ ชาเลตฺวา นิสินฺนโก อาห – ‘‘ภเนฺต, ทตฺตเตฺถรา’’ติฯ ‘‘กิํ, ภเนฺต, ติสฺสเตฺถรา’’ติ? ‘‘กิํ นิทฺทายสิ โน ตฺว’’นฺติฯ ‘‘อนิทฺทายนฺตา กิํ กริสฺสามา’’ติ? ‘‘อุฎฺฐาย ตาว นิสีทถา’’ติฯ โส อุฎฺฐาย นิสิโนฺน ตํ ทตฺตเตฺถรํ อาห – ‘‘ภเนฺต ทตฺตเตฺถร, อยํ เต โลโล มโหทรโกสโล จาฎิมตฺตํ ภตฺตเมว ปูติํ กโรติ, ยุทฺธวิจารณํ ปน กิญฺจิ น ชานาติ, ปราชิโต ปราชิโตเตฺวว วทาเปตี’’ติฯ ‘‘กิํ ปน กาตุํ วฎฺฎตี’’ติ? ตสฺมิํ ขเณ เต จรปุริสา เตสํ กถํ สุณนฺตา อฎฺฐํสุฯ
Tasmiṃ pana kāle dve mahallakattherā vihārapaccante paṇṇasālāyaṃ vasanti dattatthero ca dhanuggahatissatthero ca. Tesu dhanuggahatissatthero paṭhamayāmepi majjhimayāmepi niddāyitvā pacchimayāme pabujjhitvā ummukkāni sodhetvā aggiṃ jāletvā nisinnako āha – ‘‘bhante, dattattherā’’ti. ‘‘Kiṃ, bhante, tissattherā’’ti? ‘‘Kiṃ niddāyasi no tva’’nti. ‘‘Aniddāyantā kiṃ karissāmā’’ti? ‘‘Uṭṭhāya tāva nisīdathā’’ti. So uṭṭhāya nisinno taṃ dattattheraṃ āha – ‘‘bhante dattatthera, ayaṃ te lolo mahodarakosalo cāṭimattaṃ bhattameva pūtiṃ karoti, yuddhavicāraṇaṃ pana kiñci na jānāti, parājito parājitotveva vadāpetī’’ti. ‘‘Kiṃ pana kātuṃ vaṭṭatī’’ti? Tasmiṃ khaṇe te carapurisā tesaṃ kathaṃ suṇantā aṭṭhaṃsu.
ธนุคฺคหติสฺสเตฺถโร ยุทฺธํ วิจาเรสิ – ‘‘ภเนฺต, ยุโทฺธ นาม ติวิโธ – ปทุมพฺยูโห, จกฺกพฺยูโห, สกฎพฺยูโหติฯ อชาตสตฺตุํ คณฺหิตุกาเมน อสุเก นาม ปพฺพตกุจฺฉิสฺมิํ ทฺวีสุ ปพฺพตภิตฺตีสุ มนุเสฺส ฐเปตฺวา ปุรโต ทุพฺพลพลํ ทเสฺสตฺวา ปพฺพตนฺตรํ ปวิฎฺฐภาวํ ชานิตฺวา ปวิฎฺฐมคฺคํ โอจฺฉินฺทิตฺวา ปุรโต จ ปจฺฉโต จ อุโภสุ ปพฺพตภิตฺตีสุ วคฺคิตฺวา อุนฺนทิตฺวา ขิเป ปติตมจฺฉํ วิย อโนฺตมุฎฺฐิยํ วฎฺฎโปตกํ วิย จ กตฺวา สกฺกา อสฺส ตํ คเหตุ’’นฺติฯ จรปุริสา ตํ สาสนํ รโญฺญ อาโรเจสุํฯ ตํ สุตฺวา ราชา สงฺคามเภริํ จราเปตฺวา คนฺตฺวา สกฎพฺยูหํ กตฺวา อชาตสตฺตุํ ชีวคฺคาหํ คาหาเปตฺวา อตฺตโน ธีตรํ วชิรกุมาริํ ภาคิเนยฺยสฺส ทตฺวา กาสิคามํ ตสฺสา นฺหานมูลํ กตฺวา ทตฺวา อุโยฺยเชสิฯ สา ปวตฺติ ภิกฺขุสเงฺฆ ปากฎา ชาตาฯ อเถกทิวสํ ภิกฺขู ธมฺมสภายํ กถํ สมุฎฺฐาเปสุํ – ‘‘อาวุโส, โกสลราชา กิร ธนุคฺคหติสฺสเตฺถรสฺส วิจารณาย อชาตสตฺตุํ ชินี’’ติฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว, ปุเพฺพปิ ธนุคฺคหติโสฺส ยุทฺธวิจารณาย เฉโกเยวา’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Dhanuggahatissatthero yuddhaṃ vicāresi – ‘‘bhante, yuddho nāma tividho – padumabyūho, cakkabyūho, sakaṭabyūhoti. Ajātasattuṃ gaṇhitukāmena asuke nāma pabbatakucchismiṃ dvīsu pabbatabhittīsu manusse ṭhapetvā purato dubbalabalaṃ dassetvā pabbatantaraṃ paviṭṭhabhāvaṃ jānitvā paviṭṭhamaggaṃ occhinditvā purato ca pacchato ca ubhosu pabbatabhittīsu vaggitvā unnaditvā khipe patitamacchaṃ viya antomuṭṭhiyaṃ vaṭṭapotakaṃ viya ca katvā sakkā assa taṃ gahetu’’nti. Carapurisā taṃ sāsanaṃ rañño ārocesuṃ. Taṃ sutvā rājā saṅgāmabheriṃ carāpetvā gantvā sakaṭabyūhaṃ katvā ajātasattuṃ jīvaggāhaṃ gāhāpetvā attano dhītaraṃ vajirakumāriṃ bhāgineyyassa datvā kāsigāmaṃ tassā nhānamūlaṃ katvā datvā uyyojesi. Sā pavatti bhikkhusaṅghe pākaṭā jātā. Athekadivasaṃ bhikkhū dhammasabhāyaṃ kathaṃ samuṭṭhāpesuṃ – ‘‘āvuso, kosalarājā kira dhanuggahatissattherassa vicāraṇāya ajātasattuṃ jinī’’ti. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘na, bhikkhave, idāneva, pubbepi dhanuggahatisso yuddhavicāraṇāya chekoyevā’’ti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต อรเญฺญ รุกฺขเทวตา หุตฺวา นิพฺพตฺติ ฯ ตทา พาราณสิํ นิสฺสาย นิวุตฺถวฑฺฒกิคามกา เอโก วฑฺฒกี ถมฺภตฺถาย อรญฺญํ คนฺตฺวา อาวาเฎ ปติตํ สูกรโปตกํ ทิสฺวา ตํ ฆรํ เนตฺวา ปฎิชคฺคิฯ โส วุฑฺฒิปฺปโตฺต มหาสรีโร วงฺกทาโฐ อาจารสมฺปโนฺน อโหสิ, วฑฺฒกินา โปสิตตฺตา ปน ‘‘วฑฺฒกีสูกโร’’เตฺวว ปญฺญายิฯ วฑฺฒกิสฺส รุกฺขตจฺฉนกาเล ตุเณฺฑน รุกฺขํ ปริวเตฺตติ, มุเขน ฑํสิตฺวา วาสิผรสุนิขาทนมุคฺคเร อาหรติ, กาลสุตฺตโกฎิยํ คณฺหาติฯ อถ โส วฑฺฒกี ‘‘โกจิเทว, นํ ขาเทยฺยา’’ติ ภเยน เนตฺวา อรเญฺญ วิสฺสเชฺชสิฯ โสปิ อรญฺญํ ปวิสิตฺวา เขมํ ผาสุกฎฺฐานํ โอโลเกโนฺต เอกํ ปพฺพตนฺตเร มหนฺตํ คิริกนฺทรํ อทฺทส สมฺปนฺนกนฺทมูลผลํ ผาสุกํ วสนฎฺฐานํ อเนกสตสูกรสมากิณฺณํฯ เต สูกรา ตํ ทิสฺวา ตสฺส สนฺติกํ อาคมํสุฯ โสปิ เต อาห – ‘‘อหํ ตุเมฺหว โอโลเกโนฺต วิจรามิ, อปิจ โว มยา ทิฎฺฐา, อิทญฺจ ฐานํ รมณียํ, อหมฺปิ อิทานิ อิเธว วสิสฺสามี’’ติฯ ‘‘สจฺจํ อิทํ ฐานํ รมณียํ, ปริสฺสโย ปเนตฺถ อตฺถี’’ติฯ ‘‘อหมฺปิ ตุเมฺห ทิสฺวา เอตํ อญฺญาสิํ, เอวํ โคจรสมฺปเนฺน ฐาเน วสนฺตานํ โว สรีเรสุ มํสโลหิตํ นตฺถิ, กิํ ปน โว เอตฺถ ภย’’นฺติ? ‘‘เอโก พฺยโคฺฆ ปาโตว อาคนฺตฺวา ทิฎฺฐทิฎฺฐํเยว คเหตฺวา คจฺฉตี’’ติฯ ‘‘กิํ ปน โส นิพทฺธํ คณฺหาติ, อุทาหุ อนฺตรนฺตรา’’ติ? ‘‘นิพทฺธํ คณฺหาตี’’ติฯ ‘‘กติ ปน เต พฺยคฺฆา’’ติ? ‘‘เอโกเยวา’’ติฯ ‘‘เอตฺตกา ตุเมฺห เอกสฺส ยุชฺฌิตุํ น สโกฺกถา’’ติ? ‘‘อาม, น สโกฺกมา’’ติฯ ‘‘อหํ ตํ คณฺหิสฺสามิ, เกวลํ ตุเมฺห มม วจนํ กโรถ, โส พฺยโคฺฆ กหํ วสตี’’ติ? ‘‘เอตสฺมิํ ปพฺพเต’’ติฯ
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto araññe rukkhadevatā hutvā nibbatti . Tadā bārāṇasiṃ nissāya nivutthavaḍḍhakigāmakā eko vaḍḍhakī thambhatthāya araññaṃ gantvā āvāṭe patitaṃ sūkarapotakaṃ disvā taṃ gharaṃ netvā paṭijaggi. So vuḍḍhippatto mahāsarīro vaṅkadāṭho ācārasampanno ahosi, vaḍḍhakinā positattā pana ‘‘vaḍḍhakīsūkaro’’tveva paññāyi. Vaḍḍhakissa rukkhatacchanakāle tuṇḍena rukkhaṃ parivatteti, mukhena ḍaṃsitvā vāsipharasunikhādanamuggare āharati, kālasuttakoṭiyaṃ gaṇhāti. Atha so vaḍḍhakī ‘‘kocideva, naṃ khādeyyā’’ti bhayena netvā araññe vissajjesi. Sopi araññaṃ pavisitvā khemaṃ phāsukaṭṭhānaṃ olokento ekaṃ pabbatantare mahantaṃ girikandaraṃ addasa sampannakandamūlaphalaṃ phāsukaṃ vasanaṭṭhānaṃ anekasatasūkarasamākiṇṇaṃ. Te sūkarā taṃ disvā tassa santikaṃ āgamaṃsu. Sopi te āha – ‘‘ahaṃ tumheva olokento vicarāmi, apica vo mayā diṭṭhā, idañca ṭhānaṃ ramaṇīyaṃ, ahampi idāni idheva vasissāmī’’ti. ‘‘Saccaṃ idaṃ ṭhānaṃ ramaṇīyaṃ, parissayo panettha atthī’’ti. ‘‘Ahampi tumhe disvā etaṃ aññāsiṃ, evaṃ gocarasampanne ṭhāne vasantānaṃ vo sarīresu maṃsalohitaṃ natthi, kiṃ pana vo ettha bhaya’’nti? ‘‘Eko byaggho pātova āgantvā diṭṭhadiṭṭhaṃyeva gahetvā gacchatī’’ti. ‘‘Kiṃ pana so nibaddhaṃ gaṇhāti, udāhu antarantarā’’ti? ‘‘Nibaddhaṃ gaṇhātī’’ti. ‘‘Kati pana te byagghā’’ti? ‘‘Ekoyevā’’ti. ‘‘Ettakā tumhe ekassa yujjhituṃ na sakkothā’’ti? ‘‘Āma, na sakkomā’’ti. ‘‘Ahaṃ taṃ gaṇhissāmi, kevalaṃ tumhe mama vacanaṃ karotha, so byaggho kahaṃ vasatī’’ti? ‘‘Etasmiṃ pabbate’’ti.
โส รตฺติเญฺญว สูกเร จราเปตฺวา ยุทฺธํ วิจาเรโนฺต ‘‘ยุทฺธํ นาม ปทุมพฺยูหจกฺกพฺยูหสกฎพฺยูหวเสน ติวิธํ โหตี’’ติ วตฺวา ปทุมพฺยูหวเสน วิจาเรสิฯ โส หิ ภูมิสีสํ ชานาติฯ ตสฺมา ‘‘อิมสฺมิํ ฐาเน ยุทฺธํ วิจาเรตุํ วฎฺฎตี’’ติ สูกรปิลฺลเก มาตโร จ เตสํ มชฺฌฎฺฐาเน ฐเปสิฯ โส ตา อาวิชฺฌิตฺวา มชฺฌิมสูกริโย, ตา อาวิชฺฌิตฺวา โปตกสูกเร, เต อาวิชฺฌิตฺวา ชรสูกเร, เต อาวิชฺฌิตฺวา ทีฆทาฐสูกเร, เต อาวิชฺฌิตฺวา ยุทฺธสมเตฺถ พลวตรสูกเร ทส วีส ติํส ชเน ตสฺมิํ ตสฺมิํ ฐาเน พลคุมฺพํ กตฺวา ฐเปสิฯ อตฺตโน ฐิตฎฺฐานสฺส ปุรโต เอกํ ปริมณฺฑลํ อาวาฎํ ขณาเปสิ, ปจฺฉโต เอกํ สุปฺปสณฺฐานํ อนุปุพฺพนินฺนํ ปพฺภารสทิสํฯ ตสฺส สฎฺฐิสตฺตติมเตฺต โยธสูกเร อาทาย ตสฺมิํ ตสฺมิํ ฐาเน ‘‘มา ภายิตฺถา’’ติ กมฺมํ วิจารโต อรุณํ อุฎฺฐหิฯ
So rattiññeva sūkare carāpetvā yuddhaṃ vicārento ‘‘yuddhaṃ nāma padumabyūhacakkabyūhasakaṭabyūhavasena tividhaṃ hotī’’ti vatvā padumabyūhavasena vicāresi. So hi bhūmisīsaṃ jānāti. Tasmā ‘‘imasmiṃ ṭhāne yuddhaṃ vicāretuṃ vaṭṭatī’’ti sūkarapillake mātaro ca tesaṃ majjhaṭṭhāne ṭhapesi. So tā āvijjhitvā majjhimasūkariyo, tā āvijjhitvā potakasūkare, te āvijjhitvā jarasūkare, te āvijjhitvā dīghadāṭhasūkare, te āvijjhitvā yuddhasamatthe balavatarasūkare dasa vīsa tiṃsa jane tasmiṃ tasmiṃ ṭhāne balagumbaṃ katvā ṭhapesi. Attano ṭhitaṭṭhānassa purato ekaṃ parimaṇḍalaṃ āvāṭaṃ khaṇāpesi, pacchato ekaṃ suppasaṇṭhānaṃ anupubbaninnaṃ pabbhārasadisaṃ. Tassa saṭṭhisattatimatte yodhasūkare ādāya tasmiṃ tasmiṃ ṭhāne ‘‘mā bhāyitthā’’ti kammaṃ vicārato aruṇaṃ uṭṭhahi.
พฺยโคฺฆ อุฎฺฐาย ‘‘กาโล’’ติ ญตฺวา คนฺตฺวา เตสํ สมฺมุขา ฐิเต ปพฺพตตเล ฐตฺวา อกฺขีนิ อุมฺมีเลตฺวา สูกเร โอโลเกสิฯ วฑฺฒกีสูกโร ‘‘ปฎิโอโลเกถ น’’นฺติ สูกรานํ สญฺญํ อทาสิ, เต ปฎิโอโลเกสุํฯ พฺยโคฺฆ มุขํ อุคฺฆาเฎตฺวา อโสฺสสิ, สูกราปิ ตถา กริํสุฯ พฺยโคฺฆ มุตฺตํ ฉเฑฺฑสิ, สูกราปิ ฉฑฺฑยิํสุฯ อิติ ยํ ยํ โส กโรติ, ตํ ตํ เต ปฎิกริํสุฯ โส จิเนฺตสิ – ‘‘ปุเพฺพ สูกรา มยา โอโลกิตกาเล ปลายนฺตา ปลายิตุมฺปิ น สโกฺกนฺติ, อชฺช อปลายิตฺวา มม ปฎิสตฺตุ หุตฺวา มยา กตเมว ปฎิกโรนฺติฯ เอตสฺมิํ ภูมิสีเส ฐิโต เอโก เตสํ สํวิธายโกปิ อตฺถิ, อชฺช มยฺหํ คตสฺส ชโย น ปญฺญายตี’’ติฯ โส นิวตฺติตฺวา อตฺตโน วสนฎฺฐานเมว อคมาสิฯ เตน ปน คหิตมํสขาทโก เอโก กูฎชฎิโล อตฺถิ, โส ตํ ตุจฺฉหตฺถเมว อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวา เตน สทฺธิํ สลฺลปโนฺต ปฐมํ คาถมาห –
Byaggho uṭṭhāya ‘‘kālo’’ti ñatvā gantvā tesaṃ sammukhā ṭhite pabbatatale ṭhatvā akkhīni ummīletvā sūkare olokesi. Vaḍḍhakīsūkaro ‘‘paṭioloketha na’’nti sūkarānaṃ saññaṃ adāsi, te paṭiolokesuṃ. Byaggho mukhaṃ ugghāṭetvā assosi, sūkarāpi tathā kariṃsu. Byaggho muttaṃ chaḍḍesi, sūkarāpi chaḍḍayiṃsu. Iti yaṃ yaṃ so karoti, taṃ taṃ te paṭikariṃsu. So cintesi – ‘‘pubbe sūkarā mayā olokitakāle palāyantā palāyitumpi na sakkonti, ajja apalāyitvā mama paṭisattu hutvā mayā katameva paṭikaronti. Etasmiṃ bhūmisīse ṭhito eko tesaṃ saṃvidhāyakopi atthi, ajja mayhaṃ gatassa jayo na paññāyatī’’ti. So nivattitvā attano vasanaṭṭhānameva agamāsi. Tena pana gahitamaṃsakhādako eko kūṭajaṭilo atthi, so taṃ tucchahatthameva āgacchantaṃ disvā tena saddhiṃ sallapanto paṭhamaṃ gāthamāha –
๙๗.
97.
‘‘วรํ วรํ ตฺวํ นิหนํ ปุเร จริ,
‘‘Varaṃ varaṃ tvaṃ nihanaṃ pure cari,
อสฺมิํ ปเทเส อภิภุยฺย สูกเร;
Asmiṃ padese abhibhuyya sūkare;
โสทานิ เอโก พฺยปคมฺม ฌายสิ,
Sodāni eko byapagamma jhāyasi,
พลํ นุ เต พฺยคฺฆ น จชฺช วิชฺชตี’’ติฯ
Balaṃ nu te byaggha na cajja vijjatī’’ti.
ตตฺถ วรํ วรํ ตฺวํ นิหนํ ปุเร จริ, อสฺมิํ ปเทเส อภิภุยฺย สูกเรติ อโมฺภ พฺยคฺฆ, ตฺวํ ปุเพฺพ อิมสฺมิํ ปเทเส สพฺพสูกเร อภิภวิตฺวา อิเมสุ สูกเรสุ วรํ วรํ ตฺวํ อุตฺตมุตฺตมํ สูกรํ นิหนโนฺต วิจริฯ โสทานิ เอโก พฺยปคมฺม ฌายสีติ โส ตฺวํ อิทานิ อญฺญตรํ สูกรํ อคฺคเหตฺวา เอกโกว อปคนฺตฺวา ฌายสิ ปชฺฌายสิฯ พลํ นุ เต พฺยคฺฆ น จชฺช วิชฺชตีติ กิํ นุ เต, อโมฺภ พฺยคฺฆ, อชฺช กายพลํ นตฺถีติฯ
Tattha varaṃ varaṃ tvaṃ nihanaṃ pure cari, asmiṃ padese abhibhuyya sūkareti ambho byaggha, tvaṃ pubbe imasmiṃ padese sabbasūkare abhibhavitvā imesu sūkaresu varaṃ varaṃ tvaṃ uttamuttamaṃ sūkaraṃ nihananto vicari. Sodāni eko byapagamma jhāyasīti so tvaṃ idāni aññataraṃ sūkaraṃ aggahetvā ekakova apagantvā jhāyasi pajjhāyasi. Balaṃ nu te byaggha na cajja vijjatīti kiṃ nu te, ambho byaggha, ajja kāyabalaṃ natthīti.
ตํ สุตฺวา พฺยโคฺฆ ทุติยํ คาถมาห –
Taṃ sutvā byaggho dutiyaṃ gāthamāha –
๙๘.
98.
‘‘อิเม สุทํ ยนฺติ ทิโสทิสํ ปุเร, ภยฎฺฎิตา เลณคเวสิโน ปุถู;
‘‘Ime sudaṃ yanti disodisaṃ pure, bhayaṭṭitā leṇagavesino puthū;
เต ทานิ สงฺคมฺม วสนฺติ เอกโต, ยตฺถฎฺฐิตา ทุปฺปสหชฺชเม มยา’’ติฯ
Te dāni saṅgamma vasanti ekato, yatthaṭṭhitā duppasahajjame mayā’’ti.
ตตฺถ สุทนฺติ นิปาโตฯ อยํ ปน สเงฺขปโตฺถ – อิเม สูกรา ปุเพฺพ มํ ทิสฺวา ภเยน อฎฺฎิตา ปีฬิตา อตฺตโน เลณคเวสิโน ปุถู วิสุํ วิสุํ หุตฺวา ทิโสทิสํ ยนฺติ, ตํ ตํ ทิสํ อภิมุขา ปลายนฺติ, เต ทานิ สเพฺพปิ สมาคนฺตฺวา เอกโต วสนฺติ ติฎฺฐนฺติ, ตญฺจ ภูมิสีสํ อุปคตา, ยตฺถ ฐิตา ทุปฺปสหา ทุมฺมทฺทยา อชฺช อิเม มยาติฯ
Tattha sudanti nipāto. Ayaṃ pana saṅkhepattho – ime sūkarā pubbe maṃ disvā bhayena aṭṭitā pīḷitā attano leṇagavesino puthū visuṃ visuṃ hutvā disodisaṃ yanti, taṃ taṃ disaṃ abhimukhā palāyanti, te dāni sabbepi samāgantvā ekato vasanti tiṭṭhanti, tañca bhūmisīsaṃ upagatā, yattha ṭhitā duppasahā dummaddayā ajja ime mayāti.
อถสฺส อุสฺสาหํ ชเนโนฺต กูฎชฎิโล ‘‘มา ภายิ, คจฺฉ ตยิ นทิตฺวา ปกฺขนฺทเนฺต สเพฺพปิ ภีตา ภิชฺชิตฺวา ปลายิสฺสนฺตี’’ติ อาหฯ พฺยโคฺฆ ตสฺมิํ อุสฺสาหํ ชเนเนฺต สูโร หุตฺวา ปุน คนฺตฺวา ปพฺพตตเล อฎฺฐาสิฯ วฑฺฒกีสูกโร ทฺวินฺนํ อาวาฎานํ อนฺตเร อฎฺฐาสิฯ สูกรา ‘‘สามิ, มหาโจโร ปุนาคโต’’ติ อาหํสุฯ ‘‘มา ภายิตฺถ, อิทานิ ตํ คณฺหิสฺสามี’’ติฯ พฺยโคฺฆ นทิตฺวา วฑฺฒกีสูกรสฺส อุปริ ปตติ, สูกโร ตสฺส อตฺตโน อุปริ ปตนกาเล ปริวตฺติตฺวา เวเคน อุชุกํ ขตอาวาเฎ ปติฯ พฺยโคฺฆ เวคํ สนฺธาเรตุํ อสโกฺกโนฺต อุปริภาเคน คนฺตฺวา สุปฺปมุขสฺส ติริยํ ขตอาวาฎสฺส อติสมฺพาเธ มุขฎฺฐาเน ปติตฺวา ปุญฺชกโต วิย อโหสิฯ สูกโร อาวาฎา อุตฺตริตฺวา อสนิเวเคน คนฺตฺวา พฺยคฺฆํ อนฺตรสตฺถิมฺหิ ทาฐาย ปหริตฺวา ยาว วกฺกปเทสา ผาเลตฺวา ปญฺจมธุรมํสํ ทาฐาย ปลิเวเฐตฺวา พฺยคฺฆสฺส มตฺถเก อาวิชฺฌิตฺวา ‘‘คณฺหถ ตุมฺหากํ ปจฺจามิตฺต’’นฺติ อุกฺขิปิตฺวา พหิอาวาเฎ ฉเฑฺฑสิฯ ปฐมํ อาคตา พฺยคฺฆมํสํ ลภิํสุ, ปจฺฉา อาคตา ‘‘พฺยคฺฆมํสํ กีทิสํ โหตี’’ติ เตสํ มุขํ อุปสิงฺฆนฺตา วิจริํสุฯ
Athassa ussāhaṃ janento kūṭajaṭilo ‘‘mā bhāyi, gaccha tayi naditvā pakkhandante sabbepi bhītā bhijjitvā palāyissantī’’ti āha. Byaggho tasmiṃ ussāhaṃ janente sūro hutvā puna gantvā pabbatatale aṭṭhāsi. Vaḍḍhakīsūkaro dvinnaṃ āvāṭānaṃ antare aṭṭhāsi. Sūkarā ‘‘sāmi, mahācoro punāgato’’ti āhaṃsu. ‘‘Mā bhāyittha, idāni taṃ gaṇhissāmī’’ti. Byaggho naditvā vaḍḍhakīsūkarassa upari patati, sūkaro tassa attano upari patanakāle parivattitvā vegena ujukaṃ khataāvāṭe pati. Byaggho vegaṃ sandhāretuṃ asakkonto uparibhāgena gantvā suppamukhassa tiriyaṃ khataāvāṭassa atisambādhe mukhaṭṭhāne patitvā puñjakato viya ahosi. Sūkaro āvāṭā uttaritvā asanivegena gantvā byagghaṃ antarasatthimhi dāṭhāya paharitvā yāva vakkapadesā phāletvā pañcamadhuramaṃsaṃ dāṭhāya paliveṭhetvā byagghassa matthake āvijjhitvā ‘‘gaṇhatha tumhākaṃ paccāmitta’’nti ukkhipitvā bahiāvāṭe chaḍḍesi. Paṭhamaṃ āgatā byagghamaṃsaṃ labhiṃsu, pacchā āgatā ‘‘byagghamaṃsaṃ kīdisaṃ hotī’’ti tesaṃ mukhaṃ upasiṅghantā vicariṃsu.
สูกรา น ตาว ตุสฺสนฺติฯ วฑฺฒกีสูกโร เตสํ อิงฺฆิตํ ทิสฺวา ‘‘กิํ นุ โข ตุเมฺห น ตุสฺสถา’’ติ อาหฯ ‘‘สามิ, กิํ เอเตน พฺยเคฺฆน ฆาติเตน, อโญฺญ ปน พฺยคฺฆอาณาปนสมโตฺถ กูฎชฎิโล อตฺถิเยวา’’ติฯ ‘‘โก นาเมโส’’ติ? ‘‘เอโก ทุสฺสีลตาปโส’’ติฯ ‘‘พฺยโคฺฆปิ มยา ฆาติโต, โส เม กิํ ปโหติ, เอถ คณฺหิสฺสาม น’’นฺติ สูกรฆฎาย สทฺธิํ ปายาสิฯ กูฎตาปโสปิ พฺยเคฺฆ จิรายเนฺต ‘‘กิํ นุ โข สูกรา พฺยคฺฆํ คณฺหิํสู’’ติ ปฎิปถํ คจฺฉโนฺต เต สูกเร อาคจฺฉเนฺต ทิสฺวา อตฺตโน ปริกฺขารํ อาทาย ปลายโนฺต เตหิ อนุพนฺธิโต ปริกฺขารํ ฉเฑฺฑตฺวา เวเคน อุทุมฺพรรุกฺขํ อภิรุหิฯ สูกรา ‘‘อิทานิมฺห, สามิ, นฎฺฐา, ตาปโส ปลายิตฺวา รุกฺขํ อภิรุหี’’ติ อาหํสุฯ ‘‘กิํ รุกฺขํ นามา’’ติ? ‘‘อุทุมฺพรรุกฺข’’นฺติฯ โส ‘‘สูกริโย อุทกํ อาหรนฺตุ, สูกรโปตกา ปถวิํ ขณนฺตุ, ทีฆทาฐา สูกรา มูลานิ ฉินฺทนฺตุ, เสสา ปริวาเรตฺวา อารกฺขนฺตู’’ติ สํวิทหิตฺวา เตสุ ตถา กโรเนฺตสุ สยํ อุทุมฺพรสฺส อุชุกํ ถูลมูลํ ผรสุนา ปหรโนฺต วิย เอกปฺปหารเมว กตฺวา อุทุมฺพรรุกฺขํ ปาเตสิฯ ปริวาเรตฺวา ฐิตสูกรา กูฎชฎิลํ ภูมิยํ ปาเตตฺวา ขณฺฑาขณฺฑิกํ กตฺวา ยาว อฎฺฐิโต ขาทิตฺวา วฑฺฒกีสูกรํ อุทุมฺพรขเนฺธเยว นิสีทาเปตฺวา กูฎชฎิลสฺส ปริโภคสเงฺขน อุทกํ อาหริตฺวา อภิสิญฺจิตฺวา ราชานํ กริํสุ, เอกญฺจ ตรุณสูกริํ ตสฺส อคฺคมเหสิํ อกํสุฯ ตโต ปฎฺฐาย กิร ยาวชฺชตนา ราชาโน อุทุมฺพรภทฺทปีเฐ นิสีทาเปตฺวา ตีหิ สเงฺขหิ อภิสิญฺจนฺติฯ
Sūkarā na tāva tussanti. Vaḍḍhakīsūkaro tesaṃ iṅghitaṃ disvā ‘‘kiṃ nu kho tumhe na tussathā’’ti āha. ‘‘Sāmi, kiṃ etena byagghena ghātitena, añño pana byagghaāṇāpanasamattho kūṭajaṭilo atthiyevā’’ti. ‘‘Ko nāmeso’’ti? ‘‘Eko dussīlatāpaso’’ti. ‘‘Byagghopi mayā ghātito, so me kiṃ pahoti, etha gaṇhissāma na’’nti sūkaraghaṭāya saddhiṃ pāyāsi. Kūṭatāpasopi byagghe cirāyante ‘‘kiṃ nu kho sūkarā byagghaṃ gaṇhiṃsū’’ti paṭipathaṃ gacchanto te sūkare āgacchante disvā attano parikkhāraṃ ādāya palāyanto tehi anubandhito parikkhāraṃ chaḍḍetvā vegena udumbararukkhaṃ abhiruhi. Sūkarā ‘‘idānimha, sāmi, naṭṭhā, tāpaso palāyitvā rukkhaṃ abhiruhī’’ti āhaṃsu. ‘‘Kiṃ rukkhaṃ nāmā’’ti? ‘‘Udumbararukkha’’nti. So ‘‘sūkariyo udakaṃ āharantu, sūkarapotakā pathaviṃ khaṇantu, dīghadāṭhā sūkarā mūlāni chindantu, sesā parivāretvā ārakkhantū’’ti saṃvidahitvā tesu tathā karontesu sayaṃ udumbarassa ujukaṃ thūlamūlaṃ pharasunā paharanto viya ekappahārameva katvā udumbararukkhaṃ pātesi. Parivāretvā ṭhitasūkarā kūṭajaṭilaṃ bhūmiyaṃ pātetvā khaṇḍākhaṇḍikaṃ katvā yāva aṭṭhito khāditvā vaḍḍhakīsūkaraṃ udumbarakhandheyeva nisīdāpetvā kūṭajaṭilassa paribhogasaṅkhena udakaṃ āharitvā abhisiñcitvā rājānaṃ kariṃsu, ekañca taruṇasūkariṃ tassa aggamahesiṃ akaṃsu. Tato paṭṭhāya kira yāvajjatanā rājāno udumbarabhaddapīṭhe nisīdāpetvā tīhi saṅkhehi abhisiñcanti.
ตสฺมิํ วนสเณฺฑ อธิวตฺถา เทวตา ตํ อจฺฉริยํ ทิสฺวา เอกสฺมิํ วิฎปนฺตเร สูกรานํ อภิมุขา หุตฺวา ตติยํ คาถมาห –
Tasmiṃ vanasaṇḍe adhivatthā devatā taṃ acchariyaṃ disvā ekasmiṃ viṭapantare sūkarānaṃ abhimukhā hutvā tatiyaṃ gāthamāha –
๙๙.
99.
‘‘นมตฺถุ สงฺฆาน สมาคตานํ, ทิสฺวา สยํ สขฺย วทามิ อพฺภุตํ;
‘‘Namatthu saṅghāna samāgatānaṃ, disvā sayaṃ sakhya vadāmi abbhutaṃ;
พฺยคฺฆํ มิคา ยตฺถ ชินิํสุ ทาฐิโน, สามคฺคิยา ทาฐพเลสุ มุจฺจเร’’ติฯ
Byagghaṃ migā yattha jiniṃsu dāṭhino, sāmaggiyā dāṭhabalesu muccare’’ti.
ตตฺถ นมตฺถุ สงฺฆานนฺติ อยํ มม นมกฺกาโร สมาคตานํ สูกรสงฺฆานํ อตฺถุฯ ทิสฺวา สยํ สขฺย วทามิ อพฺภุตนฺติ อิทํ ปุเพฺพ อภูตปุพฺพํ อพฺภุตํ สขฺยํ มิตฺตภาวํ สยํ ทิสฺวา วทามิฯ พฺยคฺฆํ มิคา ยตฺถ ชินิํสุ ทาฐิโนติ ยตฺร หิ นาม ทาฐิโน สูกรมิคา พฺยคฺฆํ ชินิํสุ, อยเมว วา ปาโฐฯ สามคฺคิยา ทาฐพเลสุ มุจฺจเรติ ยา สา ทาฐพเลสุ สูกเรสุ สามคฺคี เอกชฺฌาสยตา, ตาย เตสุ สามคฺคิยา เต ทาฐพลา ปจฺจามิตฺตํ คเหตฺวา อชฺช มรณภยา มุตฺตาติ อโตฺถฯ
Tattha namatthu saṅghānanti ayaṃ mama namakkāro samāgatānaṃ sūkarasaṅghānaṃ atthu. Disvā sayaṃ sakhya vadāmi abbhutanti idaṃ pubbe abhūtapubbaṃ abbhutaṃ sakhyaṃ mittabhāvaṃ sayaṃ disvā vadāmi. Byagghaṃ migā yattha jiniṃsu dāṭhinoti yatra hi nāma dāṭhino sūkaramigā byagghaṃ jiniṃsu, ayameva vā pāṭho. Sāmaggiyā dāṭhabalesu muccareti yā sā dāṭhabalesu sūkaresu sāmaggī ekajjhāsayatā, tāya tesu sāmaggiyā te dāṭhabalā paccāmittaṃ gahetvā ajja maraṇabhayā muttāti attho.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา ธนุคฺคหติโสฺส วฑฺฒกีสูกโร อโหสิ, รุกฺขเทวตา ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā dhanuggahatisso vaḍḍhakīsūkaro ahosi, rukkhadevatā pana ahameva ahosi’’nti.
วฑฺฒกีสูกรชาตกวณฺณนา ตติยาฯ
Vaḍḍhakīsūkarajātakavaṇṇanā tatiyā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๒๘๓. วฑฺฒกีสูกรชาตกํ • 283. Vaḍḍhakīsūkarajātakaṃ