Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā |
วชาทีสุวสฺสูปคมนกถาวณฺณนา
Vajādīsuvassūpagamanakathāvaṇṇanā
๒๐๓. วเชน สทฺธิํ คตสฺส วสฺสเจฺฉเท อนาปตฺตีติ วสฺสเจฺฉโท น โหตีติ กิร อธิปฺปาโยฯ สตฺถสฺส อวิหารตฺตา ‘‘อิมสฺมิํ วิหาเร’’ติ อวตฺวา ‘‘อิธ วสฺสํ อุเปมี’’ติ เอตฺตกํ วตฺตพฺพํฯ ‘‘สเตฺถ ปน วสฺสํ อุปคนฺตุํ น วฎฺฎตีติ ‘อิมสฺมิํ วิหาเร อิมํ เตมาส’นฺติ วา ‘อิธ วสฺสํ อุเปมี’ติ วา น วฎฺฎติ, อาลยกรณมเตฺตเนว วฎฺฎตีติ อธิปฺปาโย’’ติ ลิขิตํฯ ตํ ปน อฎฺฐกถาย วิรุชฺฌติฯ ‘‘อิธ วสฺสํ อุเปมีติ ติกฺขตฺตุํ วตฺตพฺพ’’นฺติ หิ วุตฺตํฯ อฎฺฐกถาวจนมฺปิ ปุพฺพาปรํ วิรุชฺฌตีติ เจ? น, อธิปฺปายาชานนโตฯ สโตฺถ ทุวิโธ ฐิโต, สญฺจาโรติฯ ตตฺถ ฐิเต กุฎิกาย ‘‘อิธ วสฺสํ อุเปมี’’ติ วตฺวา วสิตพฺพํฯ อิทญฺหิ สนฺธาย ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, สเตฺถ วสฺสํ อุปคนฺตุ’’นฺติ วุตฺตํ, สญฺจาริมฺหิ ปน สเตฺถ กุฎิกาย อภาวโต วสฺสํ อุปคนฺตุํ น วฎฺฎติฯ สติ สิวิกาย วา สกฎกุฎิกาย วา วฎฺฎติ, ตถา วเชปิฯ ตีสุ ฐาเนสุ ภิกฺขุโน นตฺถิ วสฺสเจฺฉเท อาปตฺติฯ
203.Vajena saddhiṃ gatassa vassacchede anāpattīti vassacchedo na hotīti kira adhippāyo. Satthassa avihārattā ‘‘imasmiṃ vihāre’’ti avatvā ‘‘idha vassaṃ upemī’’ti ettakaṃ vattabbaṃ. ‘‘Satthe pana vassaṃ upagantuṃ na vaṭṭatīti ‘imasmiṃ vihāre imaṃ temāsa’nti vā ‘idha vassaṃ upemī’ti vā na vaṭṭati, ālayakaraṇamatteneva vaṭṭatīti adhippāyo’’ti likhitaṃ. Taṃ pana aṭṭhakathāya virujjhati. ‘‘Idha vassaṃ upemīti tikkhattuṃ vattabba’’nti hi vuttaṃ. Aṭṭhakathāvacanampi pubbāparaṃ virujjhatīti ce? Na, adhippāyājānanato. Sattho duvidho ṭhito, sañcāroti. Tattha ṭhite kuṭikāya ‘‘idha vassaṃ upemī’’ti vatvā vasitabbaṃ. Idañhi sandhāya ‘‘anujānāmi, bhikkhave, satthe vassaṃ upagantu’’nti vuttaṃ, sañcārimhi pana satthe kuṭikāya abhāvato vassaṃ upagantuṃ na vaṭṭati. Sati sivikāya vā sakaṭakuṭikāya vā vaṭṭati, tathā vajepi. Tīsu ṭhānesu bhikkhuno natthi vassacchede āpatti.
ปวาเรตุญฺจ ลภตีติ เอตฺถายํ วิจารณา – ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, เยน วโช, เตน คนฺตุ’’นฺติ อิทํ กิํ วสฺสรกฺขณตฺถํ วุตฺตํ, อุทาหุ วสฺสเจฺฉทาปตฺติรกฺขณตฺถนฺติ? กิเญฺจตฺถ ยทิ วสฺสรกฺขณตฺถํ, ‘‘น, ภิกฺขเว, อเสนาสนิเกน วสฺสํ อุปคนฺตพฺพ’’นฺติ อิทํ วิรุชฺฌติฯ อถ วสฺสเจฺฉทาปตฺติรกฺขณตฺถํ วุตฺตนฺติ สิทฺธํ น โส ปวาเรตุํ ลภตีติ, กา ปเนตฺถ ยุตฺติ? ยโต อยเมว ติวิโธ ปวาเรตุํ ลภติ, เนตโรฯ วาเฬหิ อุพฺพาฬฺหาทิโก หิ อุปคตฎฺฐานาปริจฺจาคา ลภติฯ ปริจฺจาคา น ลภตีติ อยเมตฺถ ยุตฺติฯ เยน คาโม, ตตฺถ คโตปิ ปวาเรตุํ ลภตีติ เอเกนาติ อาจริโยฯ โย หิ ปุเพฺพ ‘‘อิธ วสฺสํ อุเปมี’’ติ น อุปคโต, ‘‘อิมสฺมิํ วิหาเร’’ติ อุปคโต, โส จ ปริจฺจโตฺตฯ อญฺญถา วินา วิหาเรน เกวลํ คามํ สนฺธาย ‘‘อิธ วสฺสํ อุเปมี’’ติ อุปคนฺตุํ วฎฺฎตีติฯ อาปชฺชตูติ เจ? น, ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, วเช สเตฺถ นาวาย วสฺสํ อุปคนฺตุ’’นฺติ วจนํ วิย ‘‘คาเม อุปคนฺตุ’’นฺติ วจนาภาวโตฯ ยสฺมา ‘‘ตีสุ ฐาเนสุ ภิกฺขุโน นตฺถิ วสฺสเจฺฉเท อาปตฺตี’’ติ วจนํ ตตฺถ วสฺสูปคมนํ อตฺถีติ ทีเปติ ตทภาเว เฉทาภาวา, ตสฺมา ‘‘สเตฺถ ปน วสฺสํ อุปคนฺตุํ น วฎฺฎตี’’ติ กุฎิยา อภาวกาลํ สนฺธาย วุตฺตนฺติ สิทฺธํฯ ตีสุ ฐาเนสุ ภิกฺขุโน นตฺถิ วสฺสเจฺฉเท อาปตฺตีติ ‘‘เตหิ สทฺธิํ คจฺฉนฺตเสฺสว นตฺถิ, วิรุชฺฌิตฺวา คมเน อาปตฺติ จ, ปวาเรตุญฺจ น ลภตี’’ติ ลิขิตํ, ตสฺมา ยํ วุตฺตํ อฎฺฐกถายํ ‘‘อถ สโตฺถ อโนฺตวเสฺสเยว ภิกฺขุนา ปตฺถิตฎฺฐานํ ปตฺวา อติกฺกมติ…เป.… อนฺตรา เอกสฺมิํ คาเม ติฎฺฐติ วา วิปฺปกิรติ วา’’ติอาทิ, ตํ เอตฺตาวตา วิรุชฺฌิตฺวา คตานมฺปิ วิรุชฺฌิตฺวา คมนํ น โหติ, ตสฺมา ปวาเรตพฺพนฺติ ทสฺสนตฺถนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Pavāretuñca labhatīti etthāyaṃ vicāraṇā – ‘‘anujānāmi, bhikkhave, yena vajo, tena gantu’’nti idaṃ kiṃ vassarakkhaṇatthaṃ vuttaṃ, udāhu vassacchedāpattirakkhaṇatthanti? Kiñcettha yadi vassarakkhaṇatthaṃ, ‘‘na, bhikkhave, asenāsanikena vassaṃ upagantabba’’nti idaṃ virujjhati. Atha vassacchedāpattirakkhaṇatthaṃ vuttanti siddhaṃ na so pavāretuṃ labhatīti, kā panettha yutti? Yato ayameva tividho pavāretuṃ labhati, netaro. Vāḷehi ubbāḷhādiko hi upagataṭṭhānāpariccāgā labhati. Pariccāgā na labhatīti ayamettha yutti. Yena gāmo, tattha gatopi pavāretuṃ labhatīti ekenāti ācariyo. Yo hi pubbe ‘‘idha vassaṃ upemī’’ti na upagato, ‘‘imasmiṃ vihāre’’ti upagato, so ca pariccatto. Aññathā vinā vihārena kevalaṃ gāmaṃ sandhāya ‘‘idha vassaṃ upemī’’ti upagantuṃ vaṭṭatīti. Āpajjatūti ce? Na, ‘‘anujānāmi, bhikkhave, vaje satthe nāvāya vassaṃ upagantu’’nti vacanaṃ viya ‘‘gāme upagantu’’nti vacanābhāvato. Yasmā ‘‘tīsu ṭhānesu bhikkhuno natthi vassacchede āpattī’’ti vacanaṃ tattha vassūpagamanaṃ atthīti dīpeti tadabhāve chedābhāvā, tasmā ‘‘satthe pana vassaṃ upagantuṃ na vaṭṭatī’’ti kuṭiyā abhāvakālaṃ sandhāya vuttanti siddhaṃ. Tīsu ṭhānesu bhikkhuno natthi vassacchede āpattīti ‘‘tehi saddhiṃ gacchantasseva natthi, virujjhitvā gamane āpatti ca, pavāretuñca na labhatī’’ti likhitaṃ, tasmā yaṃ vuttaṃ aṭṭhakathāyaṃ ‘‘atha sattho antovasseyeva bhikkhunā patthitaṭṭhānaṃ patvā atikkamati…pe… antarā ekasmiṃ gāme tiṭṭhati vā vippakirati vā’’tiādi, taṃ ettāvatā virujjhitvā gatānampi virujjhitvā gamanaṃ na hoti, tasmā pavāretabbanti dassanatthanti veditabbaṃ.
ตตฺถ ‘‘ปทรจฺฉทนํ กุฎิํ กตฺวา อุปคนฺตพฺพ’’นฺติ วจนโต เสนาสนตฺถาย รุกฺขํ อารุหิตุํ วฎฺฎตีติ สิทฺธํ โหติ, น ปาฬิวิโรธโตติ เจ? น, ตปฺปฎิเกฺขเปเนว สิทฺธตฺตา, อิมสฺส อิธ ปุนปิ ปฎิเกฺขปนโตฯ ‘‘น, ภิกฺขเว, อเสนาสนิเกน วสฺสํ อุปคนฺตพฺพ’’นฺติ อิมินา ปฎิเกฺขเปน สิเทฺธ ‘‘น, ภิกฺขเว, อโชฺฌกาเส วสฺสํ อุปคนฺตพฺพ’’นฺติ ปฎิเกฺขโป วิย สิยาติ เจ? น, อโชฺฌกาสสฺส อเสนาสนภาวานุมติปฺปสงฺคโตฯ อโชฺฌกาโส หิ ‘‘อโชฺฌกาเส ปลาลปุเญฺช’’ติ วจนโต เสนาสนนฺติ สิทฺธํฯ จตุสาลอโชฺฌกาเส วสโนฺตปิ ‘‘จตุสาลาย วสตี’’ติ วุจฺจติ, ตสฺมา ตตฺถ วฎฺฎตีติ อาปชฺชติ, ตสฺมา อิธ อเสนาสนิโก นาม อตฺตนา วา ปเรน วา อตฺตโน นิพทฺธวาสตฺถํ อปาปิตเสนาสนิโกติ เวทิตพฺพํฯ อญฺญถา ทฺวินฺนํ ปฎิเกฺขปานํ อญฺญตราติเรกตา จ รุกฺขมูเลปิ นิพฺพโกเสปิ วสฺสํ อุปคนฺตุํ วฎฺฎตีติ จ, อปาปิตเสนาสนิเกนาปิ คเพฺภ วสิตุํ วฎฺฎตีติ จ อาปชฺชติ, สทฺวารพนฺธเมว เสนาสนํ อิธ อธิเปฺปตนฺติ กถํ ปญฺญายตีติ เจ? นิทานโตฯ อยญฺหิ อเสนาสนิกวสฺสูปคมนาปตฺติ ‘‘เตน โข ปน สมเยน ภิกฺขู อเสนาสนิกา วสฺสํ อุปคจฺฉนฺติ, สีเตนปิ อุเณฺหนปิ กิลมนฺตี’’ติ อิมสฺมิํ นิทาเน ปญฺญตฺตา, ตสฺมา สีตาทิปฎิเกฺขปเมว อิธ เสนาสนนฺติ อธิเปฺปตพฺพนฺติ สิทฺธํฯ เอวํ สเนฺต สิทฺธํ ปุพฺพปกฺขนิทสฺสนนฺติ เจ? น, ปุเพฺพ อปรตฺถปวตฺติสูจนโตฯ ทุติยชฺฌานนิเทฺทเส ‘‘วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา อวิตกฺกํ อวิจาร’’นฺติ (ที. นิ. ๑.๒๒๘; ม. นิ. ๑.๒๗๑) วจนานิ นิทสฺสนํฯ อโชฺฌกาสปฎิเกฺขปนิทาเนน พหิอโชฺฌกาโสว ปฎิกฺขิโตฺต, น จตุสาลาทิมชฺฌคโต อโชฺฌกาโสติ อาปชฺชติ, ตสฺมา น นิทานํ ปมาณนฺติ เจ? น, นิยมโตฯ กิญฺจิ หิ สิกฺขาปทํ นิทานาเปกฺขํ โหตีติ สาธิตเมตํฯ อิทํ สาเปกฺขํ, อิทํ อนเปกฺขนฺติ กถํ ปญฺญายติ, น หิ เอตฺถ อุภโตวิภเงฺค วิย สิกฺขาปทานํ ปทภาชนํ, อนาปตฺติวาโร วา อตฺถีติ? อิธาปิ เทสนาวิธานโต ปญฺญายติฯ ‘‘เทเว วสฺสเนฺต รุกฺขมูลมฺปิ นิพฺพโกสมฺปิ อุปธาวนฺตี’’ติ หิ อิเมหิ ทฺวีหิ นิทานวจเนหิ พหิ วา อโนฺต วา สพฺพํ โอวสฺสกฎฺฐานํ อิธ อโชฺฌกาโส นามฯ อโนวสฺสกฎฺฐานมฺปิ อนิพฺพโกสเมว อิธ อิจฺฉิตพฺพนฺติ สิทฺธํ โหติฯ เตน น อุปคนฺตพฺพนฺติ น อาลยกรณปฎิเกฺขโป, ‘‘อิธ วสฺสํ อุเปมี’’ติ วจนปฎิเกฺขโปฯ ฉวสรีรํ ทหิตฺวา ฉาริกาย, อฎฺฐิกานญฺจ อตฺถาย กุฎิกา กรียตีติ อนฺธกฎฺฐกถาวจนํฯ ‘‘ฎงฺกิตมโญฺจติ กสิกุฎิกาปาสาณฆร’’นฺติ ลิขิตํฯ ‘‘อกวาฎพทฺธเสนาสเน อตฺตโน ปาปิเต สภาคฎฺฐาเน สกวาฎพเทฺธ วสติ เจ, วฎฺฎตี’’ติ วุตฺตํฯ ปโยโคปิ อตฺถิ, ‘‘อเสนาสนิเกน วสฺสํ น อุปคนฺตพฺพ’’นฺติ ปาฬิ จ อฎฺฐกถา จ, ตสฺมา อุปปริกฺขิตพฺพํฯ
Tattha ‘‘padaracchadanaṃ kuṭiṃ katvā upagantabba’’nti vacanato senāsanatthāya rukkhaṃ āruhituṃ vaṭṭatīti siddhaṃ hoti, na pāḷivirodhatoti ce? Na, tappaṭikkhepeneva siddhattā, imassa idha punapi paṭikkhepanato. ‘‘Na, bhikkhave, asenāsanikena vassaṃ upagantabba’’nti iminā paṭikkhepena siddhe ‘‘na, bhikkhave, ajjhokāse vassaṃ upagantabba’’nti paṭikkhepo viya siyāti ce? Na, ajjhokāsassa asenāsanabhāvānumatippasaṅgato. Ajjhokāso hi ‘‘ajjhokāse palālapuñje’’ti vacanato senāsananti siddhaṃ. Catusālaajjhokāse vasantopi ‘‘catusālāya vasatī’’ti vuccati, tasmā tattha vaṭṭatīti āpajjati, tasmā idha asenāsaniko nāma attanā vā parena vā attano nibaddhavāsatthaṃ apāpitasenāsanikoti veditabbaṃ. Aññathā dvinnaṃ paṭikkhepānaṃ aññatarātirekatā ca rukkhamūlepi nibbakosepi vassaṃ upagantuṃ vaṭṭatīti ca, apāpitasenāsanikenāpi gabbhe vasituṃ vaṭṭatīti ca āpajjati, sadvārabandhameva senāsanaṃ idha adhippetanti kathaṃ paññāyatīti ce? Nidānato. Ayañhi asenāsanikavassūpagamanāpatti ‘‘tena kho pana samayena bhikkhū asenāsanikā vassaṃ upagacchanti, sītenapi uṇhenapi kilamantī’’ti imasmiṃ nidāne paññattā, tasmā sītādipaṭikkhepameva idha senāsananti adhippetabbanti siddhaṃ. Evaṃ sante siddhaṃ pubbapakkhanidassananti ce? Na, pubbe aparatthapavattisūcanato. Dutiyajjhānaniddese ‘‘vitakkavicārānaṃ vūpasamā avitakkaṃ avicāra’’nti (dī. ni. 1.228; ma. ni. 1.271) vacanāni nidassanaṃ. Ajjhokāsapaṭikkhepanidānena bahiajjhokāsova paṭikkhitto, na catusālādimajjhagato ajjhokāsoti āpajjati, tasmā na nidānaṃ pamāṇanti ce? Na, niyamato. Kiñci hi sikkhāpadaṃ nidānāpekkhaṃ hotīti sādhitametaṃ. Idaṃ sāpekkhaṃ, idaṃ anapekkhanti kathaṃ paññāyati, na hi ettha ubhatovibhaṅge viya sikkhāpadānaṃ padabhājanaṃ, anāpattivāro vā atthīti? Idhāpi desanāvidhānato paññāyati. ‘‘Deve vassante rukkhamūlampi nibbakosampi upadhāvantī’’ti hi imehi dvīhi nidānavacanehi bahi vā anto vā sabbaṃ ovassakaṭṭhānaṃ idha ajjhokāso nāma. Anovassakaṭṭhānampi anibbakosameva idha icchitabbanti siddhaṃ hoti. Tena na upagantabbanti na ālayakaraṇapaṭikkhepo, ‘‘idha vassaṃ upemī’’ti vacanapaṭikkhepo. Chavasarīraṃ dahitvā chārikāya, aṭṭhikānañca atthāya kuṭikā karīyatīti andhakaṭṭhakathāvacanaṃ. ‘‘Ṭaṅkitamañcoti kasikuṭikāpāsāṇaghara’’nti likhitaṃ. ‘‘Akavāṭabaddhasenāsane attano pāpite sabhāgaṭṭhāne sakavāṭabaddhe vasati ce, vaṭṭatī’’ti vuttaṃ. Payogopi atthi, ‘‘asenāsanikena vassaṃ na upagantabba’’nti pāḷi ca aṭṭhakathā ca, tasmā upaparikkhitabbaṃ.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวคฺคปาฬิ • Mahāvaggapāḷi / ๑๑๕. วชาทีสุ วสฺสูปคมนํ • 115. Vajādīsu vassūpagamanaṃ
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / วินยปิฎก (อฎฺฐกถา) • Vinayapiṭaka (aṭṭhakathā) / มหาวคฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvagga-aṭṭhakathā / วชาทีสุวสฺสูปคมนกถา • Vajādīsuvassūpagamanakathā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā / วชาทีสุ วสฺสูปคมนกถาวณฺณนา • Vajādīsu vassūpagamanakathāvaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / วชาทีสุ วสฺสูปคมนกถาวณฺณนา • Vajādīsu vassūpagamanakathāvaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / ปาจิตฺยาทิโยชนาปาฬิ • Pācityādiyojanāpāḷi / ๑๑๕. วชาทีสุ วสฺสูปคมนกถา • 115. Vajādīsu vassūpagamanakathā