Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā |
วชฺชิปุตฺตกวตฺถุวณฺณนา
Vajjiputtakavatthuvaṇṇanā
๔๓-๔. วชฺชีสุ ชนปเทสุ วสนฺตา วชฺชิโน นาม, เตสํ ปุตฺตาฯ ยาวทตฺถนฺติ ยาวตา อโตฺถ อธิปฺปาโยติ วุตฺตํ โหติ, ตตฺถ ยํ วุตฺตํ ‘‘สิกฺขํ อปฺปจฺจกฺขาย ทุพฺพลฺยํอนาวิกตฺวา’’ติ, ตํ กามํ สิกฺขาปจฺจกฺขาเน, ตเทกเฎฺฐ จ ทุพฺพลฺยาวิกรเณ ปญฺญเตฺต สติ ยุชฺชติ, น อญฺญถาฯ ตถาปิ อิทานิ ปญฺญเปตพฺพํ อุปาทาย วุตฺตํ, กถญฺหิ นาม ฉพฺพคฺคิยา ภิกฺขู อติเรกจีวรํ ธาเรสฺสนฺติ (ปารา. ๔๕๙), อาฬวกา ภิกฺขู กุฎิโย การาเปนฺติ อปฺปมาณิกาโย (ปารา. ๓๔๒), ภิกฺขุนิโย เทฺว วสฺสานิ ฉสุ ธเมฺมสุ อสิกฺขิตสิกฺขํ สิกฺขมานํ วุฎฺฐาเปนฺติ (ปาจิ. ๑๐๗๗), สเงฺฆน อสมฺมตํ วุฎฺฐาเปนฺตีติอาทิ (ปาจิ. ๑๐๘๔) วิย ทฎฺฐพฺพํฯ น หิ ตโต ปุเพฺพ อธิฎฺฐานํ วิกปฺปนํ วา อนุญฺญาตํฯ ยทภาวา อติเรกจีวรนฺติ วเทยฺย, ปมาณํ วา น ปญฺญตฺตํ, ยทภาวา อปฺปมาณิกาโยติ วเทยฺย, เอวํสมฺปทมิทํ ทฎฺฐพฺพํฯ ‘‘อุลฺลุมฺปตุ มํ, ภเนฺต, สโงฺฆ อนุกมฺปํ อุปาทายา’’ติ (มหาว. ๗๑, ๑๒๖) อุปสมฺปทํ ยาจิตฺวา อุปสมฺปเนฺนน อุปสมฺปนฺนสมนนฺตรเมว ‘‘อุปสมฺปเนฺนน ภิกฺขุนา เมถุโน ธโมฺม น ปฎิเสวิตโพฺพ, อสกฺยปุตฺติโย’’ติ (มหาว. ๑๒๙) จ ปญฺญเตฺตน อสฺสมณาทิภาวํ อุปคนฺตุกาเมน นนุ ปฐมํ อชฺฌุปคตา สิกฺขา ปจฺจกฺขาตพฺพา, ตตฺถ ทุพฺพลฺยํ วา อาวิกาตพฺพํ สิยา, เต ปน ‘‘สิกฺขํ อปฺปจฺจกฺขาย ทุพฺพลฺยํ อนาวิกตฺวา เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสวิํสู’’ติ อนุปญฺญตฺติยา โอกาสกรณตฺถํ วา ตํ วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ ‘‘โส อาคโต น อุปสมฺปาเทตโพฺพ’’ติ กิญฺจาปิ เอเตฺถว วุตฺตํ, ตถาปิ อิตเรสุปิ ปาราชิเกสุ ยถาสมฺภวํ เวทิตพฺพํฯ น หิ สิกฺขํ อปฺปจฺจกฺขาย ทุพฺพลฺยํ อนาวิกตฺวา โย ปาราชิกวตฺถุํ อทินฺนํ เถยฺยสงฺขาตํ อาทิยติ, มนุสฺสวิคฺคหํ วา ชีวิตา โวโรเปติ, ปฎิวิชานนฺตสฺส อุตฺตริมนุสฺสธมฺมํ วา อุลฺลปติ, โส อาคโต น อุปสมฺปาเทตโพฺพฯ อนุปญฺญตฺติ หิ ทฬฺหีกมฺมสิถิลกมฺมกรณปฺปโยชนาฯ สา หิ ยสฺส ปาราชิกํ โหติ อญฺญา วา อาปตฺติ, ตสฺส นิยมทสฺสนปฺปโยชนาติลกฺขณานุปญฺญตฺติกตฺตาฯ เอวญฺหิ อเนฺต อวตฺวา อาทิมฺหิ วุตฺตา ‘‘คามา วา อรญฺญา วา’’ติ (ปารา. ๙๑) อนุปญฺญตฺติ วิยฯ ปริปุเณฺณ ปเนตสฺมิํ สิกฺขาปเท –
43-4. Vajjīsu janapadesu vasantā vajjino nāma, tesaṃ puttā. Yāvadatthanti yāvatā attho adhippāyoti vuttaṃ hoti, tattha yaṃ vuttaṃ ‘‘sikkhaṃ appaccakkhāya dubbalyaṃanāvikatvā’’ti, taṃ kāmaṃ sikkhāpaccakkhāne, tadekaṭṭhe ca dubbalyāvikaraṇe paññatte sati yujjati, na aññathā. Tathāpi idāni paññapetabbaṃ upādāya vuttaṃ, kathañhi nāma chabbaggiyā bhikkhū atirekacīvaraṃ dhāressanti (pārā. 459), āḷavakā bhikkhū kuṭiyo kārāpenti appamāṇikāyo (pārā. 342), bhikkhuniyo dve vassāni chasu dhammesu asikkhitasikkhaṃ sikkhamānaṃ vuṭṭhāpenti (pāci. 1077), saṅghena asammataṃ vuṭṭhāpentītiādi (pāci. 1084) viya daṭṭhabbaṃ. Na hi tato pubbe adhiṭṭhānaṃ vikappanaṃ vā anuññātaṃ. Yadabhāvā atirekacīvaranti vadeyya, pamāṇaṃ vā na paññattaṃ, yadabhāvā appamāṇikāyoti vadeyya, evaṃsampadamidaṃ daṭṭhabbaṃ. ‘‘Ullumpatu maṃ, bhante, saṅgho anukampaṃ upādāyā’’ti (mahāva. 71, 126) upasampadaṃ yācitvā upasampannena upasampannasamanantarameva ‘‘upasampannena bhikkhunā methuno dhammo na paṭisevitabbo, asakyaputtiyo’’ti (mahāva. 129) ca paññattena assamaṇādibhāvaṃ upagantukāmena nanu paṭhamaṃ ajjhupagatā sikkhā paccakkhātabbā, tattha dubbalyaṃ vā āvikātabbaṃ siyā, te pana ‘‘sikkhaṃ appaccakkhāya dubbalyaṃ anāvikatvā methunaṃ dhammaṃ paṭiseviṃsū’’ti anupaññattiyā okāsakaraṇatthaṃ vā taṃ vuttanti veditabbaṃ. ‘‘So āgato na upasampādetabbo’’ti kiñcāpi ettheva vuttaṃ, tathāpi itaresupi pārājikesu yathāsambhavaṃ veditabbaṃ. Na hi sikkhaṃ appaccakkhāya dubbalyaṃ anāvikatvā yo pārājikavatthuṃ adinnaṃ theyyasaṅkhātaṃ ādiyati, manussaviggahaṃ vā jīvitā voropeti, paṭivijānantassa uttarimanussadhammaṃ vā ullapati, so āgato na upasampādetabbo. Anupaññatti hi daḷhīkammasithilakammakaraṇappayojanā. Sā hi yassa pārājikaṃ hoti aññā vā āpatti, tassa niyamadassanappayojanātilakkhaṇānupaññattikattā. Evañhi ante avatvā ādimhi vuttā ‘‘gāmā vā araññā vā’’ti (pārā. 91) anupaññatti viya. Paripuṇṇe panetasmiṃ sikkhāpade –
‘‘นิทานา มาติกาเภโท, วิภโงฺค ตํนิยามโก;
‘‘Nidānā mātikābhedo, vibhaṅgo taṃniyāmako;
ตโต อาปตฺติยา เภโท, อนาปตฺติ ตทญฺญถา’’ติฯ –
Tato āpattiyā bhedo, anāpatti tadaññathā’’ti. –
อยํ นโย เวทิตโพฺพฯ ตตฺถ สุทินฺนวตฺถุ มกฺกฎิวตฺถุ วชฺชิปุตฺตกวตฺถุ จาติ ติปฺปเภทํ วตฺถุ อิมสฺส สิกฺขาปทสฺส นิทานํ นาม, ตโต นิทานา ‘‘โย ปน, ภิกฺขุ, ภิกฺขูนํ สิกฺขาสาชีวสมาปโนฺน…เป.… อสํวาโส’’ติ อิมิสฺสา มาติกาย เภโท ชาโตฯ ตตฺถ หิ ‘‘อนฺตมโส ติรจฺฉานคตายา’’ติ อิตฺถิลิงฺควจเนน ‘‘สจฺจํ, อาวุโส, ภควตา สิกฺขาปทํ ปญฺญตฺตํ, ตญฺจ โข อิตฺถิยา โน ปุริเส โน ปณฺฑเก โน อุภโตพฺยญฺชนเก จา’’ติ มกฺกฎิปาราชิโก วิย อโญฺญปิ เลสํ โอเฑฺฑตุํ สโกฺกติ, ตสฺมา ตาทิสสฺส อเลโสกาสสฺส ทสฺสนตฺถํ อิทํ วุจฺจติฯ มกฺกฎิวตฺถุสงฺขาตา นิทานา ‘‘อนฺตมโส ติรจฺฉานคตายปี’’ติ มาติกาวจนเภโท น อิตฺถิยา เอว เมถุนสิทฺธิทสฺสนโต กโต, ตสฺมา วิภโงฺค ตํนิยามโก ตสฺสา มาติกาย อธิเปฺปตตฺถนิยามโก วิภโงฺคฯ วิภเงฺค หิ ‘‘ติโสฺส อิตฺถิโยฯ ตโย อุภโตพฺยญฺชนกาฯ ตโย ปณฺฑกาฯ ตโย ปุริสาฯ มนุสฺสิตฺถิยา ตโย มเคฺค…เป.… ติรจฺฉานคตปุริสสฺส เทฺว มเคฺค’’ติอาทินา (ปารา. ๕๖) นเยน สพฺพเลโสกาสํ ปิทหิตฺวา นิยโม กโตฯ
Ayaṃ nayo veditabbo. Tattha sudinnavatthu makkaṭivatthu vajjiputtakavatthu cāti tippabhedaṃ vatthu imassa sikkhāpadassa nidānaṃ nāma, tato nidānā ‘‘yo pana, bhikkhu, bhikkhūnaṃ sikkhāsājīvasamāpanno…pe… asaṃvāso’’ti imissā mātikāya bhedo jāto. Tattha hi ‘‘antamaso tiracchānagatāyā’’ti itthiliṅgavacanena ‘‘saccaṃ, āvuso, bhagavatā sikkhāpadaṃ paññattaṃ, tañca kho itthiyā no purise no paṇḍake no ubhatobyañjanake cā’’ti makkaṭipārājiko viya aññopi lesaṃ oḍḍetuṃ sakkoti, tasmā tādisassa alesokāsassa dassanatthaṃ idaṃ vuccati. Makkaṭivatthusaṅkhātā nidānā ‘‘antamaso tiracchānagatāyapī’’ti mātikāvacanabhedo na itthiyā eva methunasiddhidassanato kato, tasmā vibhaṅgo taṃniyāmako tassā mātikāya adhippetatthaniyāmako vibhaṅgo. Vibhaṅge hi ‘‘tisso itthiyo. Tayo ubhatobyañjanakā. Tayo paṇḍakā. Tayo purisā. Manussitthiyā tayo magge…pe… tiracchānagatapurisassa dve magge’’tiādinā (pārā. 56) nayena sabbalesokāsaṃ pidahitvā niyamo kato.
เอตฺถาห – ยทิ เอวํ สาธารณสิกฺขาปทวเสน วา ลิงฺคปริวตฺตนวเสน วา น เกวลํ ภิกฺขูนํ, ภิกฺขุนีนมฺปิ ‘‘สิกฺขาสาชีวสมาปโนฺน’’ติ วิภเงฺค วตฺตพฺพํ สิยาฯ ตทวจเนน ภิกฺขุนี ปุริสลิงฺคปาตุภาเวน ภิกฺขุภาเว ฐิตา เอวํ วเทยฺย ‘‘นาหํ อุปสมฺปทกาเล ภิกฺขูนํ สิกฺขาสาชีวสมาปนฺนา, ตสฺมา น อปฺปจฺจกฺขาตสิกฺขาปิ เมถุนธเมฺมน ปาราชิกา โหมี’’ติ? วุจฺจเต – ตถา น วตฺตพฺพํ อนิฎฺฐปฺปสงฺคโตฯ ภิกฺขุนีนมฺปิ ‘‘สิกฺขาสาชีวสมาปโนฺน’’ติ วุเตฺต ภิกฺขุนีนมฺปิ สิกฺขาปจฺจกฺขานํ อตฺถีติ อาปชฺชติ, ตญฺจานิฎฺฐํฯ อิทํ อปรํ อนิฎฺฐปฺปสโงฺคติ ‘‘สพฺพสิกฺขาปทานิ สาธารณาเนว, นาสาธารณานี’’ติฯ อปิจายํ ภิกฺขูนํ สิกฺขาสาชีวสมาปโนฺนวาติ ทสฺสนตฺถํ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ตํเยว อุปชฺฌ’’นฺติอาทิ (ปารา. ๖๙) วุตฺตํ, อปิจ โย ตถา เลสํ โอเฑฺฑตฺวา เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสวโนฺต วชฺชิปุตฺตกา วิย ปาราชิโก โหติฯ เต หิ ‘‘ภิกฺขูนํ สิกฺขาสาชีวสมาปโนฺน’’ติ วจนาภาเว สติ ‘‘อาปตฺติํ ตุเมฺห, ภิกฺขเว, อาปนฺนา ปาราชิก’’นฺติ วุตฺตา ภควตาฯ เอตฺถ ปน ‘‘ภิกฺขเว’’ติ วุตฺตตฺตา เกจิ ภิกฺขุลิเงฺค ฐิตา, ‘‘อิทานิ เจปิ มยํ, ภเนฺต อานนฺท, ลเภยฺยาม ภควโต สนฺติเก ปพฺพชฺชํ ลเภยฺยาม อุปสมฺปท’’นฺติ วุตฺตตฺตา เกจิ วิพฺภนฺตาติ เวทิตพฺพาฯ ตโต อาปตฺติยา เภโทติ ตโต วิภงฺคโต ‘‘อกฺขายิเต สรีเร ปาราชิกํ, เยภุเยฺยน ขายิเต ถุลฺลจฺจย’’นฺติอาทิ อาปตฺติยา เภโท โหติฯ อนาปตฺติ ตทญฺญถาติ ตโต เอว วิภงฺคโต เยนากาเรน อาปตฺติ วุตฺตา, ตโต อเญฺญนากาเรน อนาปตฺติเภโทว โหติฯ ‘‘สาทิยติ อาปตฺติ ปาราชิกสฺส, น สาทิยติ อนาปตฺตี’’ติ หิ วิภเงฺค อสติ น ปญฺญายติฯ เอตฺตาวตา สมาสโต คาถาโตฺถ วุโตฺต โหติฯ เอตฺถ จ ปน –
Etthāha – yadi evaṃ sādhāraṇasikkhāpadavasena vā liṅgaparivattanavasena vā na kevalaṃ bhikkhūnaṃ, bhikkhunīnampi ‘‘sikkhāsājīvasamāpanno’’ti vibhaṅge vattabbaṃ siyā. Tadavacanena bhikkhunī purisaliṅgapātubhāvena bhikkhubhāve ṭhitā evaṃ vadeyya ‘‘nāhaṃ upasampadakāle bhikkhūnaṃ sikkhāsājīvasamāpannā, tasmā na appaccakkhātasikkhāpi methunadhammena pārājikā homī’’ti? Vuccate – tathā na vattabbaṃ aniṭṭhappasaṅgato. Bhikkhunīnampi ‘‘sikkhāsājīvasamāpanno’’ti vutte bhikkhunīnampi sikkhāpaccakkhānaṃ atthīti āpajjati, tañcāniṭṭhaṃ. Idaṃ aparaṃ aniṭṭhappasaṅgoti ‘‘sabbasikkhāpadāni sādhāraṇāneva, nāsādhāraṇānī’’ti. Apicāyaṃ bhikkhūnaṃ sikkhāsājīvasamāpannovāti dassanatthaṃ ‘‘anujānāmi, bhikkhave, taṃyeva upajjha’’ntiādi (pārā. 69) vuttaṃ, apica yo tathā lesaṃ oḍḍetvā methunaṃ dhammaṃ paṭisevanto vajjiputtakā viya pārājiko hoti. Te hi ‘‘bhikkhūnaṃ sikkhāsājīvasamāpanno’’ti vacanābhāve sati ‘‘āpattiṃ tumhe, bhikkhave, āpannā pārājika’’nti vuttā bhagavatā. Ettha pana ‘‘bhikkhave’’ti vuttattā keci bhikkhuliṅge ṭhitā, ‘‘idāni cepi mayaṃ, bhante ānanda, labheyyāma bhagavato santike pabbajjaṃ labheyyāma upasampada’’nti vuttattā keci vibbhantāti veditabbā. Tato āpattiyā bhedoti tato vibhaṅgato ‘‘akkhāyite sarīre pārājikaṃ, yebhuyyena khāyite thullaccaya’’ntiādi āpattiyā bhedo hoti. Anāpatti tadaññathāti tato eva vibhaṅgato yenākārena āpatti vuttā, tato aññenākārena anāpattibhedova hoti. ‘‘Sādiyati āpatti pārājikassa, na sādiyati anāpattī’’ti hi vibhaṅge asati na paññāyati. Ettāvatā samāsato gāthāttho vutto hoti. Ettha ca pana –
‘‘นิทานมาติกาเภโท, วิภงฺคสฺส ปโยชนํ;
‘‘Nidānamātikābhedo, vibhaṅgassa payojanaṃ;
อนาปตฺติปกาโร จ, ปฐโม นิปฺปโยชโน’’ติฯ –
Anāpattipakāro ca, paṭhamo nippayojano’’ti. –
อิมํ นยํ ทเสฺสตฺวาว สพฺพสิกฺขาปทานํ อโตฺถ ปกาสิตโพฺพฯ กถํ? ภควตา ปน เยนากาเรน ยํ สิกฺขาปทํ ปญฺญาปิตํ, ตสฺส อาการสฺส สมตฺถํ วา อสมตฺถํ วาติ ทุวิธํ นิทานํ, อยํ นิทานเภโทฯ มาติกาปิ นิทานาเปกฺขา นิทานานเปกฺขาติ ทุวิธาฯ ตตฺถ จตุตฺถปาราชิกาทิสิกฺขาปทานิ นิทานาเปกฺขานิฯ น หิ วคฺคุมุทาตีริยา ภิกฺขู สยเมว อตฺตโน อตฺตโน อสนฺตํ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมํ มุสาวาทลกฺขณํ ปาเปตฺวา ภาสิํสุฯ อญฺญมญฺญสฺส หิ เต อุตฺตริมนุสฺสธมฺมสฺส คิหีนํ วณฺณํ ภาสิํสุ, น จ ตาวตา ปาราชิกวตฺถุ โหติฯ ตตฺถ เตน เลเสน ภควา ตํ วตฺถุํ นิทานํ กตฺวา ปาราชิกํ ปญฺญเปสิ, เตน วุตฺตํ ‘‘นิทานาเปกฺข’’นฺติฯ อิมินา นเยน นิทานาเปกฺขานิ ญตฺวา ตพฺพิปรีตานิ สิกฺขาปทานิ นิทานานเปกฺขานีติ เวทิตพฺพานิ, อยํ มาติกาเภโทฯ
Imaṃ nayaṃ dassetvāva sabbasikkhāpadānaṃ attho pakāsitabbo. Kathaṃ? Bhagavatā pana yenākārena yaṃ sikkhāpadaṃ paññāpitaṃ, tassa ākārassa samatthaṃ vā asamatthaṃ vāti duvidhaṃ nidānaṃ, ayaṃ nidānabhedo. Mātikāpi nidānāpekkhā nidānānapekkhāti duvidhā. Tattha catutthapārājikādisikkhāpadāni nidānāpekkhāni. Na hi vaggumudātīriyā bhikkhū sayameva attano attano asantaṃ uttarimanussadhammaṃ musāvādalakkhaṇaṃ pāpetvā bhāsiṃsu. Aññamaññassa hi te uttarimanussadhammassa gihīnaṃ vaṇṇaṃ bhāsiṃsu, na ca tāvatā pārājikavatthu hoti. Tattha tena lesena bhagavā taṃ vatthuṃ nidānaṃ katvā pārājikaṃ paññapesi, tena vuttaṃ ‘‘nidānāpekkha’’nti. Iminā nayena nidānāpekkhāni ñatvā tabbiparītāni sikkhāpadāni nidānānapekkhānīti veditabbāni, ayaṃ mātikābhedo.
นานปฺปการโต มูลาปตฺติปฺปโหนกวตฺถุปโยคจิตฺตนิยามทสฺสนวเสน มาติกาย วิภชนภาวทีปนตฺถํ เตสํ อปฺปโหนกตาย วา ตทญฺญตรเวกลฺลตาย วา วีติกฺกเม สติ อาปตฺติเภททสฺสนตฺถํ, อสติ อนาปตฺติทสฺสนตฺถญฺจาติ สพฺพตฺถ ตโย อตฺถวเส ปฎิจฺจ มาติกาย วิภชนํ วิภโงฺค อารภียตีติ เวทิตโพฺพฯ เอตฺถ ปน ‘‘ภิกฺขโกติ ภิกฺขุ, ภิกฺขาจริยํ อชฺฌุปคโตติ ภิกฺขุ, ภินฺนปฎธโรติ ภิกฺขู’’ติ เกวลํ พฺยญฺชนตฺถทีปนวเสน ปวโตฺต วา, ‘‘สมญฺญาย ภิกฺขู’’ติ ภิกฺขุภาวสมฺภวํ อนเปกฺขิตฺวาปิ เกวลํ ภิกฺขุ นาม ปวตฺติฎฺฐานทีปนวเสน ปวโตฺต วา, ‘‘เอหิ ภิกฺขูติ ภิกฺขุ, สรณคมเนหิ อุปสมฺปโนฺนติ ภิกฺขุ, ญตฺติจตุเตฺถน กเมฺมน อุปสมฺปโนฺนติ ภิกฺขู’’ติ อุปสมฺปทานนฺตเรนาปิ ภิกฺขุภาวสิทฺธิทีปนวเสน ปวโตฺต วา, ‘‘ภโทฺร ภิกฺขุ, สาโร ภิกฺขุ, เสโกฺข ภิกฺขุ, อเสโกฺข ภิกฺขู’’ติ ภิกฺขุกรเณหิ ธเมฺมหิ สมนฺนาคตภิกฺขุทีปนวเสน ปวโตฺต วา วิภโงฺค อชฺฌุเปกฺขิโต สพฺพสามญฺญปทตฺตา, ตถา อญฺญภาคิยสิกฺขาปทาทีสุ สทฺวารวเสน, อธิกรณทสฺสนาทิวเสน ปวโตฺต จ อชฺฌุเปกฺขิโต อิตรตฺถ ตทภาวโตติ เวทิตโพฺพฯ
Nānappakārato mūlāpattippahonakavatthupayogacittaniyāmadassanavasena mātikāya vibhajanabhāvadīpanatthaṃ tesaṃ appahonakatāya vā tadaññataravekallatāya vā vītikkame sati āpattibhedadassanatthaṃ, asati anāpattidassanatthañcāti sabbattha tayo atthavase paṭicca mātikāya vibhajanaṃ vibhaṅgo ārabhīyatīti veditabbo. Ettha pana ‘‘bhikkhakoti bhikkhu, bhikkhācariyaṃ ajjhupagatoti bhikkhu, bhinnapaṭadharoti bhikkhū’’ti kevalaṃ byañjanatthadīpanavasena pavatto vā, ‘‘samaññāya bhikkhū’’ti bhikkhubhāvasambhavaṃ anapekkhitvāpi kevalaṃ bhikkhu nāma pavattiṭṭhānadīpanavasena pavatto vā, ‘‘ehi bhikkhūti bhikkhu, saraṇagamanehi upasampannoti bhikkhu, ñatticatutthena kammena upasampannoti bhikkhū’’ti upasampadānantarenāpi bhikkhubhāvasiddhidīpanavasena pavatto vā, ‘‘bhadro bhikkhu, sāro bhikkhu, sekkho bhikkhu, asekkho bhikkhū’’ti bhikkhukaraṇehi dhammehi samannāgatabhikkhudīpanavasena pavatto vā vibhaṅgo ajjhupekkhito sabbasāmaññapadattā, tathā aññabhāgiyasikkhāpadādīsu sadvāravasena, adhikaraṇadassanādivasena pavatto ca ajjhupekkhito itarattha tadabhāvatoti veditabbo.
ตตฺถ ติโสฺส อิตฺถิโยติอาทิ วตฺถุนิยมทสฺสนวเสน ปวโตฺต, มนุสฺสิตฺถิยา ตโย มเคฺค เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสวนฺตสฺส อาปตฺติ ปาราชิกสฺสาติอาทิ ปโยคนิยมทสฺสนวเสน ปวโตฺต, ภิกฺขุสฺส เสวนจิตฺตํ อุปฎฺฐิเตติอาทิ จิตฺตนิยมทสฺสนวเสน ปวโตฺต, สาทิยติ อาปตฺติ ปาราชิกสฺส, น สาทิยติ อนาปตฺตีติอาทิ วตฺถุปโยคนิยเม สติ จิตฺตนิยมภาวาภาววเสน อาปตฺตานาปตฺติทสฺสนตฺถํ ปวโตฺต, มตํ เยภุเยฺยน ขายิตํ อาปตฺติ ถุลฺลจฺจยสฺสาติอาทิ วตฺถุสฺส อปฺปโหนกตาย วีติกฺกเม อาปตฺติเภททสฺสนตฺถํ ปวโตฺต, น สาทิยติ อนาปตฺตีติ จิตฺตนิยมเวกเลฺยน วีติกฺกมาภาวา อนาปตฺติทสฺสนตฺถํ ปวโตฺตติฯ เอวํ อิตเรสุปิ สิกฺขาปเทสุ ยถาสมฺภวนโย อยนฺติ ปโยชโน วิภโงฺคฯ
Tattha tisso itthiyotiādi vatthuniyamadassanavasena pavatto, manussitthiyā tayo magge methunaṃ dhammaṃ paṭisevantassa āpatti pārājikassātiādi payoganiyamadassanavasena pavatto, bhikkhussa sevanacittaṃ upaṭṭhitetiādi cittaniyamadassanavasena pavatto, sādiyati āpatti pārājikassa, na sādiyati anāpattītiādi vatthupayoganiyame sati cittaniyamabhāvābhāvavasena āpattānāpattidassanatthaṃ pavatto, mataṃ yebhuyyena khāyitaṃ āpatti thullaccayassātiādi vatthussa appahonakatāya vītikkame āpattibhedadassanatthaṃ pavatto, na sādiyati anāpattīti cittaniyamavekalyena vītikkamābhāvā anāpattidassanatthaṃ pavattoti. Evaṃ itaresupi sikkhāpadesu yathāsambhavanayo ayanti payojano vibhaṅgo.
อนาปตฺติวาโร ปน มูลาปตฺติโต, ตทเญฺญกเทสโต, สพฺพาปตฺติโต จ อนาปตฺติทีปนวเสน ติวิโธฯ ตตฺถ โย ปฐโม, โส วิภโงฺค วิย ตโย อตฺถวเส ปฎิจฺจ ปวโตฺตฯ กตเม ตโย? มาติกาปทานํ สาตฺถกนิรตฺถกานํ ตทญฺญถา อุทฺธรณานุทฺธรณวเสน สปฺปโยชนนิปฺปโยชนภาวทีปนตฺถํ, ตทญฺญถา ปฎิปตฺติกฺกมทสฺสนตฺถํ, อาปตฺติปฺปโหนกฎฺฐาเนปิ วิสฺสชฺชนตฺถญฺจาติฯ กถํ? เอฬกโลมสิกฺขาปเท ‘‘ภิกฺขุโน ปเนว อทฺธานมคฺคปฺปฎิปนฺนสฺส เอฬกโลมานิ อุปฺปเชฺชยฺยุํ, อากงฺขมาเนน ภิกฺขุนา ปฎิคฺคเหตพฺพานี’’ติ (ปารา. ๕๗๒) เอตานิ เกวลํ วตฺถุมตฺตทีปนปทานีติ นิรตฺถกานิ นาม, เตสํ อนาปตฺติฯ ‘‘อทฺธานมคฺคํ อปฺปฎิปนฺนสฺส อุปฺปเนฺน เอฬกโลเม อนาปตฺติ, อากงฺขมาเนน ปฎิคฺคหิเต’’ติอาทินา นเยน ตทญฺญถา อนุทฺธรเณน นิปฺปโยชนภาโว ทีปิโต โหติ, ยทิทํ มาติกายํ ‘‘เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสเวยฺยา’’ติ, อิทํ สาตฺถกํฯ ตสฺส สปฺปโยชนภาวทีปนตฺถํ ‘‘อนาปตฺติ อชานนฺตสฺส อสาทิยนฺตสฺสา’’ติ วุตฺตํฯ ยสฺมา ชานนสาทิยนภาเวน อาปตฺติ, อเสวนฺตสฺส อนาปตฺติ, ตสฺมา วุตฺตํ มาติกายํ ‘‘โย ปน ภิกฺขุ เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสเวยฺย, ปาราชิโก โหติ อสํวาโส’’ติ อธิปฺปาโยฯ ‘‘ปรปริคฺคหิตํ ปรปริคฺคหิตสญฺญิตา ครุปริกฺขาโร เถยฺยจิตฺตํ อวหรณ’’นฺติ วุตฺตานํ ปญฺจนฺนมฺปิ องฺคานํ ปาริปูริยา เปตติรจฺฉานคตปริคฺคหิเต อาปตฺติปฺปโหนกฎฺฐาเนปิ วิสฺสชฺชนตฺถํ ‘‘อนาปตฺติ เปตปริคฺคหิเต’’ติอาทิ (กงฺขา. อฎฺฐ. ทุติยปาราชิกวณฺณนา) วุตฺตํฯ อนาปตฺติ อิมํ ชาน, อิมํ เทหิ, อิมํ อาหร, อิมินา อโตฺถ, อิมํ กปฺปิยํ กโรหีติ ภณตีติอาทิ ปน ตทญฺญถา ปฎิปตฺติกฺกมทสฺสนตฺถํ วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ เอตฺตาวตา ‘‘นิทานมาติกาเภโท’’ติอาทินา วุตฺตคาถาย อโตฺถ ปกาสิโต โหติฯ
Anāpattivāro pana mūlāpattito, tadaññekadesato, sabbāpattito ca anāpattidīpanavasena tividho. Tattha yo paṭhamo, so vibhaṅgo viya tayo atthavase paṭicca pavatto. Katame tayo? Mātikāpadānaṃ sātthakaniratthakānaṃ tadaññathā uddharaṇānuddharaṇavasena sappayojananippayojanabhāvadīpanatthaṃ, tadaññathā paṭipattikkamadassanatthaṃ, āpattippahonakaṭṭhānepi vissajjanatthañcāti. Kathaṃ? Eḷakalomasikkhāpade ‘‘bhikkhuno paneva addhānamaggappaṭipannassa eḷakalomāni uppajjeyyuṃ, ākaṅkhamānena bhikkhunā paṭiggahetabbānī’’ti (pārā. 572) etāni kevalaṃ vatthumattadīpanapadānīti niratthakāni nāma, tesaṃ anāpatti. ‘‘Addhānamaggaṃ appaṭipannassa uppanne eḷakalome anāpatti, ākaṅkhamānena paṭiggahite’’tiādinā nayena tadaññathā anuddharaṇena nippayojanabhāvo dīpito hoti, yadidaṃ mātikāyaṃ ‘‘methunaṃ dhammaṃ paṭiseveyyā’’ti, idaṃ sātthakaṃ. Tassa sappayojanabhāvadīpanatthaṃ ‘‘anāpatti ajānantassa asādiyantassā’’ti vuttaṃ. Yasmā jānanasādiyanabhāvena āpatti, asevantassa anāpatti, tasmā vuttaṃ mātikāyaṃ ‘‘yo pana bhikkhu methunaṃ dhammaṃ paṭiseveyya, pārājiko hoti asaṃvāso’’ti adhippāyo. ‘‘Parapariggahitaṃ parapariggahitasaññitā garuparikkhāro theyyacittaṃ avaharaṇa’’nti vuttānaṃ pañcannampi aṅgānaṃ pāripūriyā petatiracchānagatapariggahite āpattippahonakaṭṭhānepi vissajjanatthaṃ ‘‘anāpatti petapariggahite’’tiādi (kaṅkhā. aṭṭha. dutiyapārājikavaṇṇanā) vuttaṃ. Anāpatti imaṃ jāna, imaṃ dehi, imaṃ āhara, iminā attho, imaṃ kappiyaṃ karohīti bhaṇatītiādi pana tadaññathā paṭipattikkamadassanatthaṃ vuttanti veditabbaṃ. Ettāvatā ‘‘nidānamātikābhedo’’tiādinā vuttagāthāya attho pakāsito hoti.
เอตฺถ ปฐมปญฺญตฺติ ตาว ปฐมโพธิํ อติกฺกมิตฺวา ปญฺญตฺตตฺตา, อายสฺมโต สุทินฺนสฺส อฎฺฐวสฺสิกกาเล ปญฺญตฺตตฺตา จ รตฺตญฺญุมหตฺตํ ปตฺตกาเล ปญฺญตฺตาฯ ทุติยอนุปญฺญตฺติ พาหุสจฺจมหตฺตํ ปตฺตกาเล อุปฺปนฺนาฯ โส หายสฺมา มกฺกฎิปาราชิโก ยถา มาตุคามปฎิสํยุเตฺตสุ สิกฺขาปเทสุ ติรจฺฉานคติตฺถี อนธิเปฺปตา, ตถา อิธาปีติ สญฺญาย ‘‘สจฺจํ, อาวุโส, ภควตา สิกฺขาปทํ ปญฺญตฺตํ, ตญฺจ โข มนุสฺสิตฺถิยา, โน ติรจฺฉานคติตฺถิยา’’ติ อาหฯ ตติยานุปญฺญตฺติ ลาภคฺคมหตฺตํ ปตฺตกาเล อุปฺปนฺนาฯ เต หิ วชฺชิปุตฺตกา ลาภคฺคมหตฺตํ ปตฺตา หุตฺวา ยาวทตฺถํ ภุญฺชิตฺวา นฺหายิตฺวา วรสยเนสุ สยิตฺวา ตติยานุปญฺญตฺติยา วตฺถุํ อุปฺปาเทสุํ, เต จ เวปุลฺลมหตฺตํ ปเตฺต สเงฺฆ อุปฺปนฺนา, สยญฺจ เวปุลฺลมหตฺตํ ปตฺตาติ ‘‘เวปุลฺลมหตฺตเมฺปตฺถ ลพฺภตี’’ติ วุตฺตํฯ อิทํ ปฐมปาราชิกสิกฺขาปทํ ติวิธมฺปิ วตฺถุํ อุปาทาย จตุพฺพิธมฺปิ ตํ กาลํ ปตฺวา ปญฺญตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Ettha paṭhamapaññatti tāva paṭhamabodhiṃ atikkamitvā paññattattā, āyasmato sudinnassa aṭṭhavassikakāle paññattattā ca rattaññumahattaṃ pattakāle paññattā. Dutiyaanupaññatti bāhusaccamahattaṃ pattakāle uppannā. So hāyasmā makkaṭipārājiko yathā mātugāmapaṭisaṃyuttesu sikkhāpadesu tiracchānagatitthī anadhippetā, tathā idhāpīti saññāya ‘‘saccaṃ, āvuso, bhagavatā sikkhāpadaṃ paññattaṃ, tañca kho manussitthiyā, no tiracchānagatitthiyā’’ti āha. Tatiyānupaññatti lābhaggamahattaṃ pattakāle uppannā. Te hi vajjiputtakā lābhaggamahattaṃ pattā hutvā yāvadatthaṃ bhuñjitvā nhāyitvā varasayanesu sayitvā tatiyānupaññattiyā vatthuṃ uppādesuṃ, te ca vepullamahattaṃ patte saṅghe uppannā, sayañca vepullamahattaṃ pattāti ‘‘vepullamahattampettha labbhatī’’ti vuttaṃ. Idaṃ paṭhamapārājikasikkhāpadaṃ tividhampi vatthuṃ upādāya catubbidhampi taṃ kālaṃ patvā paññattanti veditabbaṃ.
ตตฺถ โย ปนาติ อนวเสสปริยาทานปทํฯ ภิกฺขูติ ตสฺส อติปฺปสงฺคนิยมปทํฯ ภิกฺขูนํ สิกฺขาสาชีวสมาปโนฺนติ ตสฺส วิเสสนวจนํฯ น หิ สโพฺพปิ ภิกฺขุนามโก ยา ภควตา ยาย กายจิ อุปสมฺปทาย อุปสมฺปนฺนภิกฺขูนํ เหฎฺฐิมปริเจฺฉเทน สิกฺขิตพฺพสิกฺขา วิหิตา, ‘‘เอตฺถ สห ชีวนฺตี’’ติ โย จ อาชีโว วุโตฺต, ตํ อุภยํ สมาปโนฺนว โหติฯ กทา ปน สมาปโนฺน อโหสิ? ยาย กายจิ อุปสมฺปทาย อุปสมฺปนฺนสมนนฺตรเมว ตทุภยํ ชานโนฺตปิ อชานโนฺตปิ ตทชฺฌุปคตตฺตา สมาปโนฺน นาม โหติฯ สห ชีวนฺตีติ ยาว สิกฺขํ น ปจฺจกฺขาติ, ปาราชิกภาวญฺจ น ปาปุณาติ, ยํ ปน วุตฺตํ อนฺธกฎฺฐกถายํ ‘‘สิกฺขํ ปริปูเรโนฺต สิกฺขาสมาปโนฺน สาชีวํ อวีติกฺกมโนฺต สาชีวสมาปโนฺน โหตี’’ติ, ตํ อุกฺกฎฺฐปริเจฺฉทวเสน วุตฺตํฯ น หิ สิกฺขํ อปริปูเรโนฺต กามวิตกฺกาทิพหุโล วา เอกจฺจํ สาวเสสํ สาชีวํ วีติกฺกมโนฺต วา สิกฺขาสาชีวสมาปโนฺน นาม น โหติฯ อุกฺกฎฺฐปริเจฺฉเทน ปน จตุกฺกํ ลพฺภติ อตฺถิ ภิกฺขุ สิกฺขาสมาปโนฺน สีลานิ ปจฺจเวกฺขโนฺต น สาชีวสมาปโนฺน อจิตฺตกํ สิกฺขาปทํ วีติกฺกมโนฺต, อตฺถิ น สิกฺขาสมาปโนฺน กามวิตกฺกาทิพหุโล สาชีวสมาปโนฺน นิราปตฺติโก, อตฺถิ น สิกฺขาสมาปโนฺน น จ สาชีวสมาปโนฺน อนวเสสํ อาปตฺติํ อาปโนฺน, อตฺถิ สิกฺขาสมาปโนฺน จ สาชีวสมาปโนฺน จ สิกฺขํ ปริปูเรโนฺต สาชีวญฺจ อวีติกฺกมโนฺต, อยเมว จตุโตฺถ ภิกฺขุ อุกฺกโฎฺฐ อิธ อธิเปฺปโต สิยาฯ น หิ ภควา อนุกฺกฎฺฐํ วตฺตุํ ยุโตฺตติ เจ? น, ‘‘ตตฺร ยายํ อธิสีลสิกฺขา, อยํ อิมสฺมิํ อเตฺถ อธิเปฺปตา สิกฺขา’’ติวจนวิโรธโตฯ อุกฺกฎฺฐคฺคหณาธิปฺปาเย สติ ‘‘สิกฺขาติ ติโสฺส สิกฺขา’’ติ เอตฺตกเมว วตฺตพฺพนฺติ อธิปฺปาโยฯ สิกฺขตฺตยสมาปโนฺน หิ สพฺพุกฺกโฎฺฐติฯ
Tattha yo panāti anavasesapariyādānapadaṃ. Bhikkhūti tassa atippasaṅganiyamapadaṃ. Bhikkhūnaṃ sikkhāsājīvasamāpannoti tassa visesanavacanaṃ. Na hi sabbopi bhikkhunāmako yā bhagavatā yāya kāyaci upasampadāya upasampannabhikkhūnaṃ heṭṭhimaparicchedena sikkhitabbasikkhā vihitā, ‘‘ettha saha jīvantī’’ti yo ca ājīvo vutto, taṃ ubhayaṃ samāpannova hoti. Kadā pana samāpanno ahosi? Yāya kāyaci upasampadāya upasampannasamanantarameva tadubhayaṃ jānantopi ajānantopi tadajjhupagatattā samāpanno nāma hoti. Saha jīvantīti yāva sikkhaṃ na paccakkhāti, pārājikabhāvañca na pāpuṇāti, yaṃ pana vuttaṃ andhakaṭṭhakathāyaṃ ‘‘sikkhaṃ paripūrento sikkhāsamāpanno sājīvaṃ avītikkamanto sājīvasamāpanno hotī’’ti, taṃ ukkaṭṭhaparicchedavasena vuttaṃ. Na hi sikkhaṃ aparipūrento kāmavitakkādibahulo vā ekaccaṃ sāvasesaṃ sājīvaṃ vītikkamanto vā sikkhāsājīvasamāpanno nāma na hoti. Ukkaṭṭhaparicchedena pana catukkaṃ labbhati atthi bhikkhu sikkhāsamāpanno sīlāni paccavekkhanto na sājīvasamāpanno acittakaṃ sikkhāpadaṃ vītikkamanto, atthi na sikkhāsamāpanno kāmavitakkādibahulo sājīvasamāpanno nirāpattiko, atthi na sikkhāsamāpanno na ca sājīvasamāpanno anavasesaṃ āpattiṃ āpanno, atthi sikkhāsamāpanno ca sājīvasamāpanno ca sikkhaṃ paripūrento sājīvañca avītikkamanto, ayameva catuttho bhikkhu ukkaṭṭho idha adhippeto siyā. Na hi bhagavā anukkaṭṭhaṃ vattuṃ yuttoti ce? Na, ‘‘tatra yāyaṃ adhisīlasikkhā, ayaṃ imasmiṃ atthe adhippetā sikkhā’’tivacanavirodhato. Ukkaṭṭhaggahaṇādhippāye sati ‘‘sikkhāti tisso sikkhā’’ti ettakameva vattabbanti adhippāyo. Sikkhattayasamāpanno hi sabbukkaṭṭhoti.
‘‘เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสเวยฺยา’’ติ ปรโต วจนํ อเปกฺขิตฺวา อธิสีลสิกฺขาว วุตฺตาติ เจ? น, ตสฺสาปิ อภพฺพตฺตาฯ น หิ อธิสีลสิกฺขํ ปริปูเรโนฺต สาชีวญฺจ อวีติกฺกมโนฺต เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสวิตุํ ภโพฺพ, ตํ สิกฺขํ อปริปูเรโนฺต สาชีวญฺจ วีติกฺกมโนฺต เอว หิ ปฎิเสเวยฺยาติ อธิปฺปาโย, ตสฺมา เอวเมตฺถ อโตฺถ คเหตโพฺพฯ ยสฺมา สิกฺขาปทสงฺขาโต สาชีโว อธิสีลสิกฺขเมว สงฺคณฺหาติ, เนตรํ อธิจิตฺตสิกฺขํ อธิปญฺญาสิกฺขํ วา, ตสฺมา ‘‘ตตฺร ยายํ อธิสีลสิกฺขา, อยํ อิมสฺมิํ อเตฺถ อธิเปฺปตา สิกฺขา’’ติ วุตฺตํ, ตสฺมา อธิสีลสิกฺขาย สงฺคาหโก สาชีโว สิกฺขาสาชีโวติ วุโตฺตฯ อิติ สาชีววิเสสนตฺถํ สิกฺขาคฺคหณํ กตํฯ ตทตฺถทีปนตฺถเมว วิภเงฺค สิกฺขํ อปรามสิตฺวา ‘‘ตสฺมิํ สิกฺขติ, เตน วุจฺจติ สาชีวสมาปโนฺน’’ติ วุตฺตํ , เตน เอกเมวิทํ อตฺถปทนฺติ ทีปิตํ โหติฯ ตญฺจ อุปสมฺปทูปคมนนฺตรโต ปฎฺฐาย สิกฺขนาธิการตฺตา ‘‘สิกฺขตี’’ติ จ ‘‘สมาปโนฺน’’ติ จ วุจฺจติฯ โย เอวํ ‘‘สิกฺขาสาชีวสมาปโนฺน’’ติ สงฺขฺยํ คโต, ตาทิสํ ปจฺจยํ ปฎิจฺจ อปรภาเค สาชีวสงฺขาตเมว สิกฺขํ อปฺปจฺจกฺขาย, ตสฺมิํเยว จ ทุพฺพลฺยํ อนาวิกตฺวา เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสเวยฺยาติ อยมโตฺถ ยุชฺชติฯ กินฺตุ อฎฺฐกถานโย ปฎิกฺขิโตฺต โหติฯ โส จ น ปฎิเกฺขปารโหติ เตน ตทนุสาเรน ภวิตพฺพํฯ
‘‘Methunaṃ dhammaṃ paṭiseveyyā’’ti parato vacanaṃ apekkhitvā adhisīlasikkhāva vuttāti ce? Na, tassāpi abhabbattā. Na hi adhisīlasikkhaṃ paripūrento sājīvañca avītikkamanto methunaṃ dhammaṃ paṭisevituṃ bhabbo, taṃ sikkhaṃ aparipūrento sājīvañca vītikkamanto eva hi paṭiseveyyāti adhippāyo, tasmā evamettha attho gahetabbo. Yasmā sikkhāpadasaṅkhāto sājīvo adhisīlasikkhameva saṅgaṇhāti, netaraṃ adhicittasikkhaṃ adhipaññāsikkhaṃ vā, tasmā ‘‘tatra yāyaṃ adhisīlasikkhā, ayaṃ imasmiṃ atthe adhippetā sikkhā’’ti vuttaṃ, tasmā adhisīlasikkhāya saṅgāhako sājīvo sikkhāsājīvoti vutto. Iti sājīvavisesanatthaṃ sikkhāggahaṇaṃ kataṃ. Tadatthadīpanatthameva vibhaṅge sikkhaṃ aparāmasitvā ‘‘tasmiṃ sikkhati, tena vuccati sājīvasamāpanno’’ti vuttaṃ , tena ekamevidaṃ atthapadanti dīpitaṃ hoti. Tañca upasampadūpagamanantarato paṭṭhāya sikkhanādhikārattā ‘‘sikkhatī’’ti ca ‘‘samāpanno’’ti ca vuccati. Yo evaṃ ‘‘sikkhāsājīvasamāpanno’’ti saṅkhyaṃ gato, tādisaṃ paccayaṃ paṭicca aparabhāge sājīvasaṅkhātameva sikkhaṃ appaccakkhāya, tasmiṃyeva ca dubbalyaṃ anāvikatvā methunaṃ dhammaṃ paṭiseveyyāti ayamattho yujjati. Kintu aṭṭhakathānayo paṭikkhitto hoti. So ca na paṭikkhepārahoti tena tadanusārena bhavitabbaṃ.
อธิปฺปาโย ปเนตฺถ ปริเยสิตโพฺพ, โส ทานิ วุจฺจติ – สเพฺพสุปิ สิกฺขาปเทสุ อิทเมว ภิกฺขุลกฺขณํ สาธารณํ, ยทิทํ ‘‘ภิกฺขูนํ สิกฺขาสาชีวสมาปโนฺน’’ติฯ ขีณาสโวปิ สาวโก อาปตฺติํ อาปชฺชติ อจิตฺตกํ, ตถา เสโกฺขฯ ปุถุชฺชโน ปน สจิตฺตกมฺปิ, ตสฺมา เสกฺขาเสกฺขปุถุชฺชนภิกฺขูนํ สามญฺญมิทํ ภิกฺขุลกฺขณนฺติ กตฺวา เกวลํ สิกฺขาสมาปโนฺน, เกวลํ สาชีวสมาปโนฺน จ อุภยสมาปโนฺน จาติ สรูเปกเทเสกเสสนเยน ‘‘สิกฺขาสาชีวสมอาปโนฺน’’เตฺวว สมฺปิเณฺฑตฺวา อุกฺกฎฺฐคฺคหเณน อนุกฺกฎฺฐานํ คหณสิทฺธิโต อฎฺฐกถายํ อุกฺกโฎฺฐว วุโตฺตฯ ตเมว สมฺปาเทตุํ ‘‘ตสฺมิํ สิกฺขติ, เตน วุจฺจติ สาชีวสมาปโนฺน’’ติ เอตฺถ สิกฺขาปทสฺส อวจเน ปริหารํ วตฺวา ยสฺมา ปน โส อสิกฺขมฺปิ สมาปโนฺน, ตสฺมา สิกฺขาสมาปโนฺนติปิ อตฺถโต เวทิตโพฺพติ จ วตฺวา ‘‘ยํ สิกฺขํ สมาปโนฺน ตํ อปฺปจฺจกฺขาย ยญฺจ สาชีวํ สมาปโนฺน ตตฺถ ทุพฺพลฺยํ อนาวิกตฺวา’’ติ วุตฺตนฺติ อยมฎฺฐกถายํ อธิปฺปาโย เวทิตโพฺพฯ เอตสฺมิํ ปน อธิปฺปาเย อธิสีลสิกฺขาย เอว คหณํ สพฺพตฺถิกตฺตา, สีลาธิการโต จ วินยสฺสาติ เวทิตพฺพํฯ ยถา จ สิกฺขาปทํ สมาทิยโนฺต สีลํ สมาทิยตีติ วุจฺจติ, เอวํ สิกฺขาปทํ ปจฺจกฺขโนฺต สีลสงฺขาตํ สิกฺขํ ปจฺจกฺขาตีติ วตฺตุํ ยุชฺชติ, ตสฺมา ตตฺถ วุตฺตํ ‘‘ยํ สิกฺขํ สมาปโนฺน, ตํ อปฺปจฺจกฺขายา’’ติฯ สิกฺขํ ปจฺจกฺขาย ปฎิเสวิตเมถุนสฺส อุปสมฺปทํ อนุชานโนฺต น สมูหนติ นามฯ น หิ โส ภิกฺขุ หุตฺวา ปฎิเสวิ, ‘‘โย ปน ภิกฺขู’’ติ จ ปญฺญตฺตํฯ เอตฺตาวตา สมาสโต ‘‘สิกฺขาสาชีวสมาโนฺน’’ติ เอตฺถ วตฺตพฺพํ วุตฺตํฯ
Adhippāyo panettha pariyesitabbo, so dāni vuccati – sabbesupi sikkhāpadesu idameva bhikkhulakkhaṇaṃ sādhāraṇaṃ, yadidaṃ ‘‘bhikkhūnaṃ sikkhāsājīvasamāpanno’’ti. Khīṇāsavopi sāvako āpattiṃ āpajjati acittakaṃ, tathā sekkho. Puthujjano pana sacittakampi, tasmā sekkhāsekkhaputhujjanabhikkhūnaṃ sāmaññamidaṃ bhikkhulakkhaṇanti katvā kevalaṃ sikkhāsamāpanno, kevalaṃ sājīvasamāpanno ca ubhayasamāpanno cāti sarūpekadesekasesanayena ‘‘sikkhāsājīvasamaāpanno’’tveva sampiṇḍetvā ukkaṭṭhaggahaṇena anukkaṭṭhānaṃ gahaṇasiddhito aṭṭhakathāyaṃ ukkaṭṭhova vutto. Tameva sampādetuṃ ‘‘tasmiṃ sikkhati, tena vuccati sājīvasamāpanno’’ti ettha sikkhāpadassa avacane parihāraṃ vatvā yasmā pana so asikkhampi samāpanno, tasmā sikkhāsamāpannotipi atthato veditabboti ca vatvā ‘‘yaṃ sikkhaṃ samāpanno taṃ appaccakkhāya yañca sājīvaṃ samāpanno tattha dubbalyaṃ anāvikatvā’’ti vuttanti ayamaṭṭhakathāyaṃ adhippāyo veditabbo. Etasmiṃ pana adhippāye adhisīlasikkhāya eva gahaṇaṃ sabbatthikattā, sīlādhikārato ca vinayassāti veditabbaṃ. Yathā ca sikkhāpadaṃ samādiyanto sīlaṃ samādiyatīti vuccati, evaṃ sikkhāpadaṃ paccakkhanto sīlasaṅkhātaṃ sikkhaṃ paccakkhātīti vattuṃ yujjati, tasmā tattha vuttaṃ ‘‘yaṃ sikkhaṃ samāpanno, taṃ appaccakkhāyā’’ti. Sikkhaṃ paccakkhāya paṭisevitamethunassa upasampadaṃ anujānanto na samūhanati nāma. Na hi so bhikkhu hutvā paṭisevi, ‘‘yo pana bhikkhū’’ti ca paññattaṃ. Ettāvatā samāsato ‘‘sikkhāsājīvasamānno’’ti ettha vattabbaṃ vuttaṃ.
กิํ อิมินา วิเสสวจเนน ปโยชนํ, นนุ ‘‘โย ปน ภิกฺขุ สิกฺขํ อปฺปจฺจกฺขาย ทุพฺพลฺยํ อนาวิกตฺวา…เป.… อสํวาโส’’ติ เอตฺตกเมว วตฺตพฺพนฺติ เจ ? น วตฺตพฺพํ อนิฎฺฐปฺปสงฺคโตฯ โย ปน สิกฺขาสาชีวสมาปโนฺน เถยฺยสํวาสาทิโก เกวเลน สมญฺญามเตฺตน, ปฎิญฺญามเตฺตน วา ภิกฺขุ, ตสฺสาปิ สิกฺขาปจฺจกฺขานํ อตฺถิฯ สิกฺขํ อปฺปจฺจกฺขาย จ เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสวนฺตสฺส ปาราชิกาปตฺติฯ โย วา ปจฺฉา ปาราชิกํ อาปตฺติํ อาปชฺชิตฺวา น สิกฺขาสาชีวสมาปโนฺน ตสฺส จ, โย วา ปกฺขปณฺฑกตฺตา ปณฺฑกภาวูปคมเนน น สิกฺขาสาชีวสมาปโนฺน ตสฺส จ ตทุภยํ อตฺถีติ อาปชฺชติฯ ‘‘ปณฺฑกภาวปเกฺข จ ปกฺขปณฺฑโก อุปสมฺปทาย น วตฺถู’’ติ วุตฺตํ, ตสฺมา อิตรสฺมิํ ปเกฺข วตฺถูติ สิทฺธํ, ตสฺมิํ ปเกฺข อุปสมฺปโนฺน ปณฺฑกภาวปเกฺข ปณฺฑกตฺตา น สิกฺขาสาชีวสมาปโนฺน, โส ปริจฺจชิตพฺพสิกฺขาย อภาเวน สิกฺขํ อปฺปจฺจกฺขาย มุเขน ปรสฺส องฺคชาตคฺคหณาทโย เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสเวยฺย, ตสฺส กุโต ปาราชิกาปตฺตีติ อธิปฺปาโยฯ อยํ นโย อปณฺฑกปกฺขํ อลภมานเสฺสว ปรโต ยุชฺชติ, ลภนฺตสฺส ปน อรูปสตฺตานํ กุสลานํ สมาปตฺติกฺขเณ ภวงฺควิเจฺฉเท สติปิ อมรณํ วิย ปณฺฑกภาวปเกฺขปิ ภิกฺขุภาโว อตฺถิฯ สํวาสํ วา สาทิยนฺตสฺส น เถยฺยสํวาสกภาโว อตฺถิ อนฺติมวตฺถุํ อชฺฌาปนฺนสฺส วิยฯ น จ สหเสยฺยาทิกํ ชเนติฯ คณปูรโก ปน น โหติ อนฺติมวตฺถุํ อชฺฌาปโนฺน วิย, น โส สิกฺขาสาชีวสมาปโนฺน, อิตรสฺมิํ ปน ปเกฺข โหติ, อยํ อิมสฺส ตโต วิเสโสฯ กิมยํ สเหตุโก, อุทาหุ อเหตุโกติ? น อเหตุโกฯ ยโต อุปสมฺปทา ตสฺส อปณฺฑกปเกฺข อนุญฺญาตา สเหตุกปฎิสนฺธิกตฺตาฯ ปณฺฑกภาวปเกฺขปิ กิสฺส นานุญฺญาตาติ เจ? ปณฺฑกภูตตฺตา โอปกฺกมิกปณฺฑกสฺส วิยฯ
Kiṃ iminā visesavacanena payojanaṃ, nanu ‘‘yo pana bhikkhu sikkhaṃ appaccakkhāya dubbalyaṃ anāvikatvā…pe… asaṃvāso’’ti ettakameva vattabbanti ce ? Na vattabbaṃ aniṭṭhappasaṅgato. Yo pana sikkhāsājīvasamāpanno theyyasaṃvāsādiko kevalena samaññāmattena, paṭiññāmattena vā bhikkhu, tassāpi sikkhāpaccakkhānaṃ atthi. Sikkhaṃ appaccakkhāya ca methunaṃ dhammaṃ paṭisevantassa pārājikāpatti. Yo vā pacchā pārājikaṃ āpattiṃ āpajjitvā na sikkhāsājīvasamāpanno tassa ca, yo vā pakkhapaṇḍakattā paṇḍakabhāvūpagamanena na sikkhāsājīvasamāpanno tassa ca tadubhayaṃ atthīti āpajjati. ‘‘Paṇḍakabhāvapakkhe ca pakkhapaṇḍako upasampadāya na vatthū’’ti vuttaṃ, tasmā itarasmiṃ pakkhe vatthūti siddhaṃ, tasmiṃ pakkhe upasampanno paṇḍakabhāvapakkhe paṇḍakattā na sikkhāsājīvasamāpanno, so pariccajitabbasikkhāya abhāvena sikkhaṃ appaccakkhāya mukhena parassa aṅgajātaggahaṇādayo methunaṃ dhammaṃ paṭiseveyya, tassa kuto pārājikāpattīti adhippāyo. Ayaṃ nayo apaṇḍakapakkhaṃ alabhamānasseva parato yujjati, labhantassa pana arūpasattānaṃ kusalānaṃ samāpattikkhaṇe bhavaṅgavicchede satipi amaraṇaṃ viya paṇḍakabhāvapakkhepi bhikkhubhāvo atthi. Saṃvāsaṃ vā sādiyantassa na theyyasaṃvāsakabhāvo atthi antimavatthuṃ ajjhāpannassa viya. Na ca sahaseyyādikaṃ janeti. Gaṇapūrako pana na hoti antimavatthuṃ ajjhāpanno viya, na so sikkhāsājīvasamāpanno, itarasmiṃ pana pakkhe hoti, ayaṃ imassa tato viseso. Kimayaṃ sahetuko, udāhu ahetukoti? Na ahetuko. Yato upasampadā tassa apaṇḍakapakkhe anuññātā sahetukapaṭisandhikattā. Paṇḍakabhāvapakkhepi kissa nānuññātāti ce? Paṇḍakabhūtattā opakkamikapaṇḍakassa viya.
อปิจ สิกฺขาสาชีวสมาปโนฺนติ อิมินา ตสฺส สิกฺขาสมาทานํ ทีเปตฺวา ตํ สมาทินฺนสิกฺขํ อปฺปจฺจกฺขาย ตตฺถ จ ทุพฺพลฺยํ อนาวิกตฺวาติ วตฺตุํ ยุชฺชติ, น อญฺญถาติ อิมินา การเณน ยถาวุตฺตานิฎฺฐปฺปสงฺคโต ‘‘โย ปน ภิกฺขุ ภิกฺขูนํ สิกฺขาสาชีวสมาปโนฺน สิกฺขํ อปฺปจฺจกฺขายา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ยถา เจตฺถ, ตถา ‘‘โย ปน ภิกฺขุ ภิกฺขูนํ สิกฺขาสาชีวสมาปโนฺน สิกฺขํ อปฺปจฺจกฺขาย ทุพฺพลฺยํ อนาวิกตฺวา คามา วา อรญฺญา วา อทินฺนํ เถยฺยสงฺขาตํ อาทิเยยฺย (ปารา. ๘๙), สุคตจีวรปฺปมาณํ จีวรํ การาเปยฺย อติเรกํ วา, เฉทนกํ ปาจิตฺติย’’นฺติอาทินา (ปาจิ. ๕๔๘) นเยน สพฺพตฺถ โยเชตพฺพํ ฯ อนฺตมโส ติรจฺฉานคตายปีติ มนุสฺสิตฺถิํ อุปาทาย วุตฺตํฯ น หิ ‘‘ปเคว ปณฺฑเก ปุริเส วา’’ติ วตฺตุํ ยุชฺชติฯ เสสํ ตตฺถ ตตฺถ วุตฺตนยเมวฯ
Apica sikkhāsājīvasamāpannoti iminā tassa sikkhāsamādānaṃ dīpetvā taṃ samādinnasikkhaṃ appaccakkhāya tattha ca dubbalyaṃ anāvikatvāti vattuṃ yujjati, na aññathāti iminā kāraṇena yathāvuttāniṭṭhappasaṅgato ‘‘yo pana bhikkhu bhikkhūnaṃ sikkhāsājīvasamāpanno sikkhaṃ appaccakkhāyā’’tiādi vuttaṃ. Yathā cettha, tathā ‘‘yo pana bhikkhu bhikkhūnaṃ sikkhāsājīvasamāpanno sikkhaṃ appaccakkhāya dubbalyaṃ anāvikatvā gāmā vā araññā vā adinnaṃ theyyasaṅkhātaṃ ādiyeyya (pārā. 89), sugatacīvarappamāṇaṃ cīvaraṃ kārāpeyya atirekaṃ vā, chedanakaṃ pācittiya’’ntiādinā (pāci. 548) nayena sabbattha yojetabbaṃ . Antamaso tiracchānagatāyapīti manussitthiṃ upādāya vuttaṃ. Na hi ‘‘pageva paṇḍake purise vā’’ti vattuṃ yujjati. Sesaṃ tattha tattha vuttanayameva.
อยํ ปฐมปาราชิกสฺส มาติกาย ตาว วินิจฺฉโยฯ
Ayaṃ paṭhamapārājikassa mātikāya tāva vinicchayo.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวิภงฺค • Mahāvibhaṅga / ๑. ปฐมปาราชิกํ • 1. Paṭhamapārājikaṃ
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / วินยปิฎก (อฎฺฐกถา) • Vinayapiṭaka (aṭṭhakathā) / มหาวิภงฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvibhaṅga-aṭṭhakathā / ๑. ปฐมปาราชิกํ • 1. Paṭhamapārājikaṃ
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā / วชฺชิปุตฺตกวตฺถุวณฺณนา • Vajjiputtakavatthuvaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / วชฺชิปุตฺตกวตฺถุกถาวณฺณนา • Vajjiputtakavatthukathāvaṇṇanā