A World of Knowledge
    Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā)

    ๓. วมฺมิกสุตฺตวณฺณนา

    3. Vammikasuttavaṇṇanā

    ๒๔๙. เอวํ เม สุตนฺติ วมฺมิกสุตฺตํฯ ตตฺถ อายสฺมาติ ปิยวจนเมตํฯ กุมารกสฺสโปติ ตสฺส นามํฯ กุมารกาเล ปพฺพชิตตฺตา ปน ภควตา, ‘‘กสฺสปํ ปโกฺกสถ, อิทํ ผลํ วา ขาทนียํ วา กสฺสปสฺส เทถา’’ติ วุเตฺต, กตรสฺส กสฺสปสฺสาติ กุมารกสฺสปสฺสาติ เอวํ คหิตนามตฺตา ตโต ปฎฺฐาย วุฑฺฒกาเลปิ ‘‘กุมารกสฺสโป’’ เตฺวว วุจฺจติฯ อปิจ รญฺญา โปสาวนิกปุตฺตตฺตาปิ ตํ ‘‘กุมารกสฺสโป’’ติ สญฺชานิํสุฯ อยํ ปนสฺส ปุพฺพโยคโต ปฎฺฐาย อาวิภาวกถา –

    249.Evaṃme sutanti vammikasuttaṃ. Tattha āyasmāti piyavacanametaṃ. Kumārakassapoti tassa nāmaṃ. Kumārakāle pabbajitattā pana bhagavatā, ‘‘kassapaṃ pakkosatha, idaṃ phalaṃ vā khādanīyaṃ vā kassapassa dethā’’ti vutte, katarassa kassapassāti kumārakassapassāti evaṃ gahitanāmattā tato paṭṭhāya vuḍḍhakālepi ‘‘kumārakassapo’’ tveva vuccati. Apica raññā posāvanikaputtattāpi taṃ ‘‘kumārakassapo’’ti sañjāniṃsu. Ayaṃ panassa pubbayogato paṭṭhāya āvibhāvakathā –

    เถโร กิร ปทุมุตฺตรสฺส ภควโต กาเล เสฎฺฐิปุโตฺต อโหสิฯ อเถกทิวสํ ภควนฺตํ จิตฺรกถิํ เอกํ อตฺตโน สาวกํ ฐานนฺตเร ฐเปนฺตํ ทิสฺวา ภควโต สตฺตาหํ ทานํ ทตฺวา, ‘‘อหมฺปิ ภควา อนาคเต เอกสฺส พุทฺธสฺส อยํ เถโร วิย จิตฺรกถี สาวโก ภเวยฺย’’นฺติ ปตฺถนํ กตฺวา ปุญฺญานิ กโรโนฺต กสฺสปสฺส ภควโต สาสเน ปพฺพชิตฺวา วิเสสํ นิพฺพเตฺตตุํ นาสกฺขิฯ

    Thero kira padumuttarassa bhagavato kāle seṭṭhiputto ahosi. Athekadivasaṃ bhagavantaṃ citrakathiṃ ekaṃ attano sāvakaṃ ṭhānantare ṭhapentaṃ disvā bhagavato sattāhaṃ dānaṃ datvā, ‘‘ahampi bhagavā anāgate ekassa buddhassa ayaṃ thero viya citrakathī sāvako bhaveyya’’nti patthanaṃ katvā puññāni karonto kassapassa bhagavato sāsane pabbajitvā visesaṃ nibbattetuṃ nāsakkhi.

    ตทา กิร ปรินิพฺพุตสฺส ภควโต สาสเน โอสกฺกเนฺต ปญฺจ ภิกฺขู นิเสฺสณิํ พนฺธิตฺวา ปพฺพตํ อภิรุยฺห สมณธมฺมํ อกํสุฯ สงฺฆเตฺถโร ตติยทิวเส อรหตฺตํ ปโตฺตฯ อนุเถโร จตุตฺถทิวเส อนาคามี อโหสิฯ อิตเร ตโย วิเสสํ นิพฺพเตฺตตุํ อสโกฺกนฺตา เทวโลเก นิพฺพตฺติํสุฯ เตสํ เอกํ พุทฺธนฺตรํ เทเวสุ จ มนุเสฺสสุ จ สมฺปตฺติํ อนุโภนฺตานํ เอโก ตกฺกสิลายํ ราชกุเล นิพฺพตฺติตฺวา ปุกฺกุสาติ นาม ราชา หุตฺวา ภควนฺตํ อุทฺทิสฺส ปพฺพชิตฺวา ราชคหํ คจฺฉโนฺต กุมฺภการสาลายํ ภควโต ธมฺมเทสนํ สุตฺวา อนาคามิผลํ ปโตฺตฯ เอโก เอกสฺมิํ สมุทฺทปฎฺฎเน กุลฆเร นิพฺพตฺติตฺวา นาวํ อารุยฺห ภินฺนนาโว ทารุจีรานิ นิวาเสตฺวา ลาภสมฺปตฺติํ ปโตฺต, ‘‘อหํ อรหา’’ติ จิตฺตํ อุปฺปาเทตฺวา, ‘‘น ตฺวํ อรหา, คจฺฉ สตฺถารํ ปญฺหํ ปุจฺฉา’’ติ อตฺถกามาย เทวตาย โจทิโต ตถา กตฺวา อรหตฺตผลํ ปโตฺตฯ

    Tadā kira parinibbutassa bhagavato sāsane osakkante pañca bhikkhū nisseṇiṃ bandhitvā pabbataṃ abhiruyha samaṇadhammaṃ akaṃsu. Saṅghatthero tatiyadivase arahattaṃ patto. Anuthero catutthadivase anāgāmī ahosi. Itare tayo visesaṃ nibbattetuṃ asakkontā devaloke nibbattiṃsu. Tesaṃ ekaṃ buddhantaraṃ devesu ca manussesu ca sampattiṃ anubhontānaṃ eko takkasilāyaṃ rājakule nibbattitvā pukkusāti nāma rājā hutvā bhagavantaṃ uddissa pabbajitvā rājagahaṃ gacchanto kumbhakārasālāyaṃ bhagavato dhammadesanaṃ sutvā anāgāmiphalaṃ patto. Eko ekasmiṃ samuddapaṭṭane kulaghare nibbattitvā nāvaṃ āruyha bhinnanāvo dārucīrāni nivāsetvā lābhasampattiṃ patto, ‘‘ahaṃ arahā’’ti cittaṃ uppādetvā, ‘‘na tvaṃ arahā, gaccha satthāraṃ pañhaṃ pucchā’’ti atthakāmāya devatāya codito tathā katvā arahattaphalaṃ patto.

    เอโก ราชคเห เอกิสฺสา กุลทาริกาย กุจฺฉิมฺหิ อุปฺปโนฺนฯ สา จ ปฐมํ มาตาปิตโร ยาจิตฺวา ปพฺพชฺชํ อลภมานา กุลฆรํ คตา คพฺภสณฺฐิตมฺปิ อชานนฺตี สามิกํ อาราเธตฺวา เตน อนุญฺญาตา ภิกฺขุนีสุ ปพฺพชิตาฯ ตสฺสา คพฺภินินิมิตฺตํ ทิสฺวา ภิกฺขุนิโย เทวทตฺตํ ปุจฺฉิํสุ, โส ‘‘อสฺสมณี’’ติ อาหฯ ทสพลํ ปุจฺฉิํสุ, สตฺถา อุปาลิเตฺถรํ ปฎิจฺฉาเปสิฯ เถโร สาวตฺถินครวาสีนิ กุลานิ วิสาขญฺจ อุปาสิกํ ปโกฺกสาเปตฺวา โสเธโนฺต, – ‘‘ปุเร ลโทฺธ คโพฺภ, ปพฺพชฺชา อโรคา’’ติ อาหฯ สตฺถา ‘‘สุวินิจฺฉิตํ อธิกรณ’’นฺติ เถรสฺส สาธุการํ อทาสิฯ สา ภิกฺขุนี สุวณฺณพิมฺพสทิสํ ปุตฺตํ วิชายิ, ตํ คเหตฺวา ราชา ปเสนทิ โกสโล โปสาเปสิฯ ‘‘กสฺสโป’’ติ จสฺส นามํ กตฺวา อปรภาเค อลงฺกริตฺวา สตฺถุ สนฺติกํ เนตฺวา ปพฺพาเชสิฯ อิติ รโญฺญ โปสาวนิกปุตฺตตฺตาปิ ตํ ‘‘กุมารกสฺสโป’’ติ สญฺชานิํสูติฯ

    Eko rājagahe ekissā kuladārikāya kucchimhi uppanno. Sā ca paṭhamaṃ mātāpitaro yācitvā pabbajjaṃ alabhamānā kulagharaṃ gatā gabbhasaṇṭhitampi ajānantī sāmikaṃ ārādhetvā tena anuññātā bhikkhunīsu pabbajitā. Tassā gabbhininimittaṃ disvā bhikkhuniyo devadattaṃ pucchiṃsu, so ‘‘assamaṇī’’ti āha. Dasabalaṃ pucchiṃsu, satthā upālittheraṃ paṭicchāpesi. Thero sāvatthinagaravāsīni kulāni visākhañca upāsikaṃ pakkosāpetvā sodhento, – ‘‘pure laddho gabbho, pabbajjā arogā’’ti āha. Satthā ‘‘suvinicchitaṃ adhikaraṇa’’nti therassa sādhukāraṃ adāsi. Sā bhikkhunī suvaṇṇabimbasadisaṃ puttaṃ vijāyi, taṃ gahetvā rājā pasenadi kosalo posāpesi. ‘‘Kassapo’’ti cassa nāmaṃ katvā aparabhāge alaṅkaritvā satthu santikaṃ netvā pabbājesi. Iti rañño posāvanikaputtattāpi taṃ ‘‘kumārakassapo’’ti sañjāniṃsūti.

    อนฺธวเนติ เอวํนามเก วเนฯ ตํ กิร วนํ ทฺวินฺนํ พุทฺธานํ กาเล อวิชหิตนามํ อนฺธวนํเตฺวว ปญฺญายติฯ ตตฺรายํ ปญฺญตฺติวิภาวนา – อปฺปายุกพุทฺธานญฺหิ สรีรธาตุ น เอกคฺฆนา โหติฯ อธิฎฺฐานานุภาเวน วิปฺปกิริยติฯ เตเนว อมฺหากมฺปิ ภควา, – ‘‘อหํ น จิรฎฺฐิติโก, อปฺปเกหิ สเตฺตหิ อหํ ทิโฎฺฐ, เยหิ น ทิโฎฺฐ, เตว พหุตรา, เต เม ธาตุโย อาทาย ตตฺถ ตตฺถ ปูเชนฺตา สคฺคปรายณา ภวิสฺสนฺตี’’ติ ปรินิพฺพานกาเล, ‘‘อตฺตโน สรีรํ วิปฺปกิริยตู’’ติ อธิฎฺฐาสิฯ ทีฆายุกพุทฺธานํ ปน สุวณฺณกฺขโนฺธ วิย เอกคฺฆนํ ธาตุสรีรํ ติฎฺฐติฯ

    Andhavaneti evaṃnāmake vane. Taṃ kira vanaṃ dvinnaṃ buddhānaṃ kāle avijahitanāmaṃ andhavanaṃtveva paññāyati. Tatrāyaṃ paññattivibhāvanā – appāyukabuddhānañhi sarīradhātu na ekagghanā hoti. Adhiṭṭhānānubhāvena vippakiriyati. Teneva amhākampi bhagavā, – ‘‘ahaṃ na ciraṭṭhitiko, appakehi sattehi ahaṃ diṭṭho, yehi na diṭṭho, teva bahutarā, te me dhātuyo ādāya tattha tattha pūjentā saggaparāyaṇā bhavissantī’’ti parinibbānakāle, ‘‘attano sarīraṃ vippakiriyatū’’ti adhiṭṭhāsi. Dīghāyukabuddhānaṃ pana suvaṇṇakkhandho viya ekagghanaṃ dhātusarīraṃ tiṭṭhati.

    กสฺสปสฺสาปิ ภควโต ตเถว อฎฺฐาสิฯ ตโต มหาชนา สนฺนิปติตฺวา, ‘‘ธาตุโย เอกคฺฆนา น สกฺกา วิโยเชตุํ, กิํ กริสฺสามา’’ติ สมฺมนฺตยิตฺวา เอกคฺฆนเมว เจติยํ กริสฺสาม, กิตฺตกํ ปน โหตุ ตนฺติ อาหํสุฯ เอเก สตฺตโยชนิยนฺติ อาหํสุฯ เอตํ อติมหนฺตํ, อนาคเต ชคฺคิตุํ น สกฺกา, ฉโยชนํ โหตุ, ปญฺจโยชนํ… จตุโยชนํ… ติโยชนํ… ทฺวิโยชนํ… เอกโยชนํ โหตูติ สนฺนิฎฺฐานํ กตฺวา อิฎฺฐกา กีทิสา โหนฺตูติ พาหิรเนฺต อิฎฺฐกา รตฺตสุวณฺณมยา เอกคฺฆนา สตสหสฺสคฺฆนิกา โหนฺตุ, อพฺภนฺตริมเนฺต ปญฺญาสสหสฺสคฺฆนิกาฯ หริตาลมโนสิลาหิ มตฺติกากิจฺจํ กยิรตุ, เตเลน อุทกกิจฺจนฺติ นิฎฺฐํ คนฺตฺวา จตฺตาริ มุขานิ จตุธา วิภชิํสุฯ ราชา เอกํ มุขํ คณฺหิ, ราชปุโตฺต ปถวินฺทรกุมาโร เอกํ, อมจฺจานํ เชฎฺฐโก หุตฺวา เสนาปติ เอกํ, ชนปทานํ เชฎฺฐโก หุตฺวา เสฎฺฐิ เอกํฯ

    Kassapassāpi bhagavato tatheva aṭṭhāsi. Tato mahājanā sannipatitvā, ‘‘dhātuyo ekagghanā na sakkā viyojetuṃ, kiṃ karissāmā’’ti sammantayitvā ekagghanameva cetiyaṃ karissāma, kittakaṃ pana hotu tanti āhaṃsu. Eke sattayojaniyanti āhaṃsu. Etaṃ atimahantaṃ, anāgate jaggituṃ na sakkā, chayojanaṃ hotu, pañcayojanaṃ… catuyojanaṃ… tiyojanaṃ… dviyojanaṃ… ekayojanaṃ hotūti sanniṭṭhānaṃ katvā iṭṭhakā kīdisā hontūti bāhirante iṭṭhakā rattasuvaṇṇamayā ekagghanā satasahassagghanikā hontu, abbhantarimante paññāsasahassagghanikā. Haritālamanosilāhi mattikākiccaṃ kayiratu, telena udakakiccanti niṭṭhaṃ gantvā cattāri mukhāni catudhā vibhajiṃsu. Rājā ekaṃ mukhaṃ gaṇhi, rājaputto pathavindarakumāro ekaṃ, amaccānaṃ jeṭṭhako hutvā senāpati ekaṃ, janapadānaṃ jeṭṭhako hutvā seṭṭhi ekaṃ.

    ตตฺถ ธนสมฺปนฺนตาย ราชาปิ สุวณฺณํ นีหราเปตฺวา อตฺตนา คหิตมุเข กมฺมํ อารภิ, อุปราชาปิ, เสนาปติปิฯ เสฎฺฐินา คหิตมุเข ปน กมฺมํ โอลียติฯ ตโต ยโสรโต นาม เอโก อุปาสโก เตปิฎโก ภาณโก อนาคามี อริยสาวโก, โส กมฺมํ โอลียตีติ ญตฺวา ปญฺจ สกฎสตานิ โยชาเปตฺวา ชนปทํ คนฺตฺวา ‘‘กสฺสปสมฺมาสมฺพุโทฺธ วีสติวสฺสสหสฺสานิ ฐตฺวา ปรินิพฺพุโตฯ ตสฺส โยชนิกํ รตนเจติยํ กยิรติ, โย ยํ ทาตุํ อุสฺสหติ สุวณฺณํ วา หิรญฺญํ วา สตฺตรตนํ วา หริตาลํ วา มโนสิลํ วา, โส ตํ เทตู’’ติ สมาทเปสิฯ มนุสฺสา อตฺตโน อตฺตโน ถาเมน หิรญฺญสุวณฺณาทีนิ อทํสุฯ อสโกฺกนฺตา เตลตณฺฑุลาทีนิ เทนฺติเยวฯ อุปาสโก เตลตณฺฑุลาทีนิ กมฺมการานํ ภตฺตเวตนตฺถํ ปหิณาติ, อวเสเสหิ สุวณฺณํ เจตาเปตฺวา ปหิณาติ, เอวํ สกลชมฺพุทีปํ อจริฯ

    Tattha dhanasampannatāya rājāpi suvaṇṇaṃ nīharāpetvā attanā gahitamukhe kammaṃ ārabhi, uparājāpi, senāpatipi. Seṭṭhinā gahitamukhe pana kammaṃ olīyati. Tato yasorato nāma eko upāsako tepiṭako bhāṇako anāgāmī ariyasāvako, so kammaṃ olīyatīti ñatvā pañca sakaṭasatāni yojāpetvā janapadaṃ gantvā ‘‘kassapasammāsambuddho vīsativassasahassāni ṭhatvā parinibbuto. Tassa yojanikaṃ ratanacetiyaṃ kayirati, yo yaṃ dātuṃ ussahati suvaṇṇaṃ vā hiraññaṃ vā sattaratanaṃ vā haritālaṃ vā manosilaṃ vā, so taṃ detū’’ti samādapesi. Manussā attano attano thāmena hiraññasuvaṇṇādīni adaṃsu. Asakkontā telataṇḍulādīni dentiyeva. Upāsako telataṇḍulādīni kammakārānaṃ bhattavetanatthaṃ pahiṇāti, avasesehi suvaṇṇaṃ cetāpetvā pahiṇāti, evaṃ sakalajambudīpaṃ acari.

    เจติเย กมฺมํ นิฎฺฐิตนฺติ เจติยฎฺฐานโต ปณฺณํ ปหิณิํสุ – ‘‘นิฎฺฐิตํ กมฺมํ อาจริโย อาคนฺตฺวา เจติยํ วนฺทตู’’ติฯ โสปิ ปณฺณํ ปหิณิ – ‘‘มยา สกลชมฺพุทีโป สมาทปิโต, ยํ อตฺถิ, ตํ คเหตฺวา กมฺมํ นิฎฺฐาเปนฺตู’’ติฯ เทฺวปิ ปณฺณานิ อนฺตรามเคฺค สมาคมิํสุฯ อาจริยสฺส ปณฺณโต ปน เจติยฎฺฐานโต ปณฺณํ ปฐมตรํ อาจริยสฺส หตฺถํ อคมาสิฯ โส ปณฺณํ วาเจตฺวา เจติยํ วนฺทิสฺสามีติ เอกโกว นิกฺขมิฯ อนฺตรามเคฺค อฎวิยํ ปญฺจ โจรสตานิ อุฎฺฐหิํสุฯ ตเตฺรกเจฺจ ตํ ทิสฺวา อิมินา สกลชมฺพุทีปโต หิรญฺญสุวณฺณํ สมฺปิณฺฑิตํ, นิธิกุมฺภี โน ปวฎฺฎมานา อาคตาติ อวเสสานํ อาโรเจตฺวา ตํ อคฺคเหสุํฯ กสฺมา ตาตา, มํ คณฺหถาติ? ตยา สกลชมฺพุทีปโต สพฺพํ หิรญฺญสุวณฺณํ สมฺปิณฺฑิตํ, อมฺหากมฺปิ โถกํ โถกํ เทหีติฯ กิํ ตุเมฺห น ชานาถ, กสฺสโป ภควา ปรินิพฺพุโต, ตสฺส โยชนิกํ รตนเจติยํ กยิรติ, ตทตฺถาย มยา สมาทปิตํ, โน อตฺตโน อตฺถายฯ ตํ ตํ ลทฺธลทฺธฎฺฐานโต ตเตฺถว เปสิตํ, มยฺหํ ปน นิวตฺถสาฎกมตฺตํ ฐเปตฺวา อญฺญํ วิตฺตํ กากณิกมฺปิ นตฺถีติฯ

    Cetiye kammaṃ niṭṭhitanti cetiyaṭṭhānato paṇṇaṃ pahiṇiṃsu – ‘‘niṭṭhitaṃ kammaṃ ācariyo āgantvā cetiyaṃ vandatū’’ti. Sopi paṇṇaṃ pahiṇi – ‘‘mayā sakalajambudīpo samādapito, yaṃ atthi, taṃ gahetvā kammaṃ niṭṭhāpentū’’ti. Dvepi paṇṇāni antarāmagge samāgamiṃsu. Ācariyassa paṇṇato pana cetiyaṭṭhānato paṇṇaṃ paṭhamataraṃ ācariyassa hatthaṃ agamāsi. So paṇṇaṃ vācetvā cetiyaṃ vandissāmīti ekakova nikkhami. Antarāmagge aṭaviyaṃ pañca corasatāni uṭṭhahiṃsu. Tatrekacce taṃ disvā iminā sakalajambudīpato hiraññasuvaṇṇaṃ sampiṇḍitaṃ, nidhikumbhī no pavaṭṭamānā āgatāti avasesānaṃ ārocetvā taṃ aggahesuṃ. Kasmā tātā, maṃ gaṇhathāti? Tayā sakalajambudīpato sabbaṃ hiraññasuvaṇṇaṃ sampiṇḍitaṃ, amhākampi thokaṃ thokaṃ dehīti. Kiṃ tumhe na jānātha, kassapo bhagavā parinibbuto, tassa yojanikaṃ ratanacetiyaṃ kayirati, tadatthāya mayā samādapitaṃ, no attano atthāya. Taṃ taṃ laddhaladdhaṭṭhānato tattheva pesitaṃ, mayhaṃ pana nivatthasāṭakamattaṃ ṭhapetvā aññaṃ vittaṃ kākaṇikampi natthīti.

    เอเก, ‘‘เอวเมตํ วิสฺสเชถ อาจริย’’นฺติ อาหํสุฯ เอเก, ‘‘อยํ ราชปูชิโต อมจฺจปูชิโต , อเมฺหสุ กญฺจิเทว นครวีถิยํ ทิสฺวา ราชราชมหามตฺตาทีนํ อาโรเจตฺวา อนยวฺยสนํ ปาปุณาเปยฺยา’’ติ อาหํสุฯ อุปาสโก, ‘‘ตาตา, นาหํ เอวํ กริสฺสามี’’ติ อาหฯ ตญฺจ โข เตสุ การุเญฺญน, น อตฺตโน ชีวิตนิกนฺติยาฯ อถ เตสุ คเหตโพฺพ วิสฺสเชฺชตโพฺพติ วิวทเนฺตสุ คเหตโพฺพติ ลทฺธิกา เอว พหุตรา หุตฺวา ชีวิตา โวโรปยิํสุฯ

    Eke, ‘‘evametaṃ vissajetha ācariya’’nti āhaṃsu. Eke, ‘‘ayaṃ rājapūjito amaccapūjito , amhesu kañcideva nagaravīthiyaṃ disvā rājarājamahāmattādīnaṃ ārocetvā anayavyasanaṃ pāpuṇāpeyyā’’ti āhaṃsu. Upāsako, ‘‘tātā, nāhaṃ evaṃ karissāmī’’ti āha. Tañca kho tesu kāruññena, na attano jīvitanikantiyā. Atha tesu gahetabbo vissajjetabboti vivadantesu gahetabboti laddhikā eva bahutarā hutvā jīvitā voropayiṃsu.

    เตสํ พลวคุเณ อริยสาวเก อปราเธน นิพฺพุตทีปสิขา วิย อกฺขีนิ อนฺตรธายิํสุฯ เต, ‘‘กหํ โภ จกฺขุ, กหํ โภ จกฺขู’’ติ วิปฺปลปนฺตา เอกเจฺจ ญาตเกหิ เคหํ นีตาฯ เอกเจฺจ โนญาตกา อนาถาติ ตเตฺถว อฎวิยํ รุกฺขมูเล ปณฺณสาลายํ วสิํสุฯ อฎวิํ อาคตมนุสฺสา การุเญฺญน เตสํ ตณฺฑุลํ วา ปุฎภตฺตํ วา ปริพฺพยํ วา เทนฺติฯ ทารุปณฺณาทีนํ อตฺถาย คนฺตฺวา อาคตา มนุสฺสา กุหิํ คตตฺถาติ วุเตฺต อนฺธวนํ คตมฺหาติ วทนฺติฯ เอวํ ทฺวินฺนมฺปิ พุทฺธานํ กาเล ตํ วนํ อนฺธวนํเตฺวว ปญฺญายติฯ กสฺสปพุทฺธกาเล ปเนตํ ฉฑฺฑิตชนปเท อฎวิ อโหสิฯ อมฺหากํ ภควโต กาเล สาวตฺถิยา อวิทูเร เชตวนสฺส ปิฎฺฐิภาเค ปวิเวกกามานํ กุลปุตฺตานํ วสนฎฺฐานํ ปธานฆรํ อโหสิ, ตตฺถ อายสฺมา กุมารกสฺสโป เตน สมเยน เสขปฎิปทํ ปูรยมาโน วิหรติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อนฺธวเน วิหรตี’’ติฯ

    Tesaṃ balavaguṇe ariyasāvake aparādhena nibbutadīpasikhā viya akkhīni antaradhāyiṃsu. Te, ‘‘kahaṃ bho cakkhu, kahaṃ bho cakkhū’’ti vippalapantā ekacce ñātakehi gehaṃ nītā. Ekacce noñātakā anāthāti tattheva aṭaviyaṃ rukkhamūle paṇṇasālāyaṃ vasiṃsu. Aṭaviṃ āgatamanussā kāruññena tesaṃ taṇḍulaṃ vā puṭabhattaṃ vā paribbayaṃ vā denti. Dārupaṇṇādīnaṃ atthāya gantvā āgatā manussā kuhiṃ gatatthāti vutte andhavanaṃ gatamhāti vadanti. Evaṃ dvinnampi buddhānaṃ kāle taṃ vanaṃ andhavanaṃtveva paññāyati. Kassapabuddhakāle panetaṃ chaḍḍitajanapade aṭavi ahosi. Amhākaṃ bhagavato kāle sāvatthiyā avidūre jetavanassa piṭṭhibhāge pavivekakāmānaṃ kulaputtānaṃ vasanaṭṭhānaṃ padhānagharaṃ ahosi, tattha āyasmā kumārakassapo tena samayena sekhapaṭipadaṃ pūrayamāno viharati. Tena vuttaṃ ‘‘andhavane viharatī’’ti.

    อญฺญตรา เทวตาติ นามโคตฺตวเสน อปากฎา เอกา เทวตาติ อโตฺถฯ ‘‘อภิชานาติ โน, ภเนฺต, ภควา อหุญาตญฺญตรสฺส มเหสกฺขสฺส สํขิเตฺตน ตณฺหาสงฺขยวิมุตฺติํ ภาสิตา’’ติ (ม. นิ. ๑.๓๖๕) เอตฺถ ปน อภิญฺญาโต สโกฺกปิ เทวราชา อญฺญตโรติ วุโตฺตฯ เทวตาติ จ อิทํ เทวานมฺปิ เทวธีตานมฺปิ สาธารณวจนํฯ อิมสฺมิํ ปนเตฺถ เทโว อธิเปฺปโตฯ อภิกฺกนฺตาย รตฺติยาติ เอตฺถ อภิกฺกนฺตสโทฺท ขยสุนฺทราภิรูปอพฺภนุโมทนาทีสุ ทิสฺสติฯ ตตฺถ – ‘‘อภิกฺกนฺตา, ภเนฺต, รตฺติ, นิกฺขโนฺต ปฐโม ยาโม, จิรนิสิโนฺน ภิกฺขุสโงฺฆ, อุทฺทิสตุ, ภเนฺต, ภควา ภิกฺขูนํ ปาติโมกฺข’’นฺติ เอวมาทีสุ (อ. นิ. ๘.๒๐) ขเย ทิสฺสติฯ ‘‘อยํ อิเมสํ จตุนฺนํ ปุคฺคลานํ อภิกฺกนฺตตโร จ ปณีตตโร จา’’ติ (อ. นิ. ๔.๑๐๐) เอวมาทีสุ สุนฺทเรฯ

    Aññatarā devatāti nāmagottavasena apākaṭā ekā devatāti attho. ‘‘Abhijānāti no, bhante, bhagavā ahuñātaññatarassa mahesakkhassa saṃkhittena taṇhāsaṅkhayavimuttiṃ bhāsitā’’ti (ma. ni. 1.365) ettha pana abhiññāto sakkopi devarājā aññataroti vutto. Devatāti ca idaṃ devānampi devadhītānampi sādhāraṇavacanaṃ. Imasmiṃ panatthe devo adhippeto. Abhikkantāya rattiyāti ettha abhikkantasaddo khayasundarābhirūpaabbhanumodanādīsu dissati. Tattha – ‘‘abhikkantā, bhante, ratti, nikkhanto paṭhamo yāmo, ciranisinno bhikkhusaṅgho, uddisatu, bhante, bhagavā bhikkhūnaṃ pātimokkha’’nti evamādīsu (a. ni. 8.20) khaye dissati. ‘‘Ayaṃ imesaṃ catunnaṃ puggalānaṃ abhikkantataro ca paṇītataro cā’’ti (a. ni. 4.100) evamādīsu sundare.

    ‘‘โก เม วนฺทติ ปาทานิ, อิทฺธิยา ยสสา ชลํ;

    ‘‘Ko me vandati pādāni, iddhiyā yasasā jalaṃ;

    อภิกฺกเนฺตน วเณฺณน, สพฺพา โอภาสยํ ทิสา’’ติฯ (วิ. ว. ๘๕๗) –

    Abhikkantena vaṇṇena, sabbā obhāsayaṃ disā’’ti. (vi. va. 857) –

    เอวมาทีสุ อภิรูเปฯ ‘‘อภิกฺกนฺตํ, โภ โคตมา’’ติ เอวมาทีสุ (ปารา. ๑๕) อพฺภนุโมทเนฯ อิธ ปน ขเยฯ เตน อภิกฺกนฺตาย รตฺติยาติ ปริกฺขีณาย รตฺติยาติ วุตฺตํ โหติฯ ตตฺถายํ เทวปุโตฺต มชฺฌิมยามสมนนฺตเร อาคโตติ เวทิตโพฺพฯ อภิกฺกนฺตวณฺณาติ อิธ อภิกฺกนฺตสโทฺท อภิรูเปฯ วณฺณสโทฺท ปน ฉวิ-ถุติ-กุลวคฺคการณ-สณฺฐานปมาณรูปายตนาทีสุ ทิสฺสติฯ ตตฺถ, ‘‘สุวณฺณวโณฺณสิ ภควา’’ติ เอวมาทีสุ ฉวิยาฯ ‘‘กทา สญฺญูฬฺหา ปน เต คหปติ สมณสฺส โคตมสฺส วณฺณา’’ติ (ม. นิ. ๒.๗๗) เอวมาทีสุ ถุติยํฯ ‘‘จตฺตาโรเม, โภ โคตม, วณฺณา’’ติ เอวมาทีสุ (ที. นิ. ๓.๑๑๕) กุลวเคฺคฯ ‘‘อถ เกน นุ วเณฺณน, คนฺธเถโนติ วุจฺจตี’’ติ เอวมาทีสุ (สํ. นิ. ๑.๒๓๔) การเณฯ ‘‘มหนฺตํ หตฺถิราชวณฺณํ อภินิมฺมินิตฺวา’’ติ เอวมาทีสุ (สํ. นิ. ๑.๑๓๘) สณฺฐาเนฯ ‘‘ตโย ปตฺตสฺส วณฺณา’’ติ เอวมาทีสุ (ปารา. ๖๐๒) ปมาเณฯ ‘‘วโณฺณ คโนฺธ รโส โอชา’’ติ เอวมาทีสุ รูปายตเนฯ โส อิธ ฉวิยํ ทฎฺฐโพฺพฯ เตน อภิกฺกนฺตวณฺณาติ อภิรูปฉวิอิฎฺฐวณฺณา, มนาปวณฺณาติ วุตฺตํ โหติฯ เทวตา หิ มนุสฺสโลกํ อาคจฺฉมานา ปกติวณฺณํ ปกติอิทฺธิํ ปชหิตฺวา โอฬาริกํ อตฺตภาวํ กตฺวา อติเรกวณฺณํ อติเรกอิทฺธิํ มาเปตฺวา นฎสมชฺชาทีนิ คจฺฉนฺตา มนุสฺสา วิย อภิสงฺขเตน กาเยน อาคจฺฉนฺติฯ อยมฺปิ เทวปุโตฺต ตเถว อาคโตฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อภิกฺกนฺตวณฺณา’’ติฯ

    Evamādīsu abhirūpe. ‘‘Abhikkantaṃ, bho gotamā’’ti evamādīsu (pārā. 15) abbhanumodane. Idha pana khaye. Tena abhikkantāya rattiyāti parikkhīṇāya rattiyāti vuttaṃ hoti. Tatthāyaṃ devaputto majjhimayāmasamanantare āgatoti veditabbo. Abhikkantavaṇṇāti idha abhikkantasaddo abhirūpe. Vaṇṇasaddo pana chavi-thuti-kulavaggakāraṇa-saṇṭhānapamāṇarūpāyatanādīsu dissati. Tattha, ‘‘suvaṇṇavaṇṇosi bhagavā’’ti evamādīsu chaviyā. ‘‘Kadā saññūḷhā pana te gahapati samaṇassa gotamassa vaṇṇā’’ti (ma. ni. 2.77) evamādīsu thutiyaṃ. ‘‘Cattārome, bho gotama, vaṇṇā’’ti evamādīsu (dī. ni. 3.115) kulavagge. ‘‘Atha kena nu vaṇṇena, gandhathenoti vuccatī’’ti evamādīsu (saṃ. ni. 1.234) kāraṇe. ‘‘Mahantaṃ hatthirājavaṇṇaṃ abhinimminitvā’’ti evamādīsu (saṃ. ni. 1.138) saṇṭhāne. ‘‘Tayo pattassa vaṇṇā’’ti evamādīsu (pārā. 602) pamāṇe. ‘‘Vaṇṇo gandho raso ojā’’ti evamādīsu rūpāyatane. So idha chaviyaṃ daṭṭhabbo. Tena abhikkantavaṇṇāti abhirūpachaviiṭṭhavaṇṇā, manāpavaṇṇāti vuttaṃ hoti. Devatā hi manussalokaṃ āgacchamānā pakativaṇṇaṃ pakatiiddhiṃ pajahitvā oḷārikaṃ attabhāvaṃ katvā atirekavaṇṇaṃ atirekaiddhiṃ māpetvā naṭasamajjādīni gacchantā manussā viya abhisaṅkhatena kāyena āgacchanti. Ayampi devaputto tatheva āgato. Tena vuttaṃ ‘‘abhikkantavaṇṇā’’ti.

    เกวลกปฺปนฺติ เอตฺถ เกวลสโทฺท อนวเสส-เยภูยฺย-อพฺยามิสฺสานติเรกทฬฺหตฺถ-วิสํโยคาทิอเนกโตฺถฯ ตถา หิสฺส, ‘‘เกวลปริปุณฺณํ ปริสุทฺธํ พฺรหฺมจริย’’นฺติ (ปารา. ๑) เอวมาทีสุ อนวเสสตฺตมโตฺถฯ ‘‘เกวลกปฺปา จ องฺคมคธา ปหูตํ ขาทนียํ โภชนียํ อาทาย อุปสงฺกมิสฺสนฺตี’’ติ เอวมาทีสุ เยภุยฺยตาฯ ‘‘เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส สมุทโย โหตี’’ติ (วิภ. ๒๒๕) เอวมาทีสุ อพฺยามิสฺสตาฯ ‘‘เกวลํ สทฺธามตฺตกํ นูน อยมายสฺมา’’ติ (มหาว. ๒๔๔) เอวมาทีสุ อนติเรกตาฯ ‘‘อายสฺมโต อนุรุทฺธสฺส พาหิโย นาม สทฺธิวิหาริโก เกวลกปฺปํ สงฺฆเภทาย ฐิโต’’ติ (อ. นิ. ๔.๒๔๓) เอวมาทีสุ ทฬฺหตฺถตา ฯ ‘‘เกวลี วุสิตวา อุตฺตมปุริโสติ วุจฺจตี’’ติ (สํ. นิ. ๓.๕๗) เอวมาทีสุ วิสํโยโคฯ อิธ ปนสฺส อนวเสสตฺตมโตฺถติ อธิเปฺปโตฯ

    Kevalakappanti ettha kevalasaddo anavasesa-yebhūyya-abyāmissānatirekadaḷhattha-visaṃyogādianekattho. Tathā hissa, ‘‘kevalaparipuṇṇaṃ parisuddhaṃ brahmacariya’’nti (pārā. 1) evamādīsu anavasesattamattho. ‘‘Kevalakappā ca aṅgamagadhā pahūtaṃ khādanīyaṃ bhojanīyaṃ ādāya upasaṅkamissantī’’ti evamādīsu yebhuyyatā. ‘‘Kevalassa dukkhakkhandhassa samudayo hotī’’ti (vibha. 225) evamādīsu abyāmissatā. ‘‘Kevalaṃ saddhāmattakaṃ nūna ayamāyasmā’’ti (mahāva. 244) evamādīsu anatirekatā. ‘‘Āyasmato anuruddhassa bāhiyo nāma saddhivihāriko kevalakappaṃ saṅghabhedāya ṭhito’’ti (a. ni. 4.243) evamādīsu daḷhatthatā . ‘‘Kevalī vusitavā uttamapurisoti vuccatī’’ti (saṃ. ni. 3.57) evamādīsu visaṃyogo. Idha panassa anavasesattamatthoti adhippeto.

    กปฺปสโทฺท ปนายํ อภิสทฺทหน-โวหาร-กาล-ปญฺญตฺติ- เฉทน-วิกปฺป-เลส-สมนฺตภาวาทิ-อเนกโตฺถฯ ตถา หิสฺส, ‘‘โอกปฺปนิยเมตํ โภโต โคตมสฺส, ยถา ตํ อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสา’’ติ (ม. นิ. ๑.๓๘๗) เอวมาทีสุ อภิสทฺทหนมโตฺถฯ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ปญฺจหิ สมณกเปฺปหิ ผลํ ปริภุญฺชิตุ’’นฺติ (จูฬว. ๒๕๐) เอวมาทีสุ โวหาโรฯ ‘‘เยน สุทํ นิจฺจกปฺปํ วิหรามี’’ติ เอวมาทีสุ (ม. นิ. ๑.๓๘๗) กาโลฯ ‘‘อิจฺจายสฺมา กโปฺป’’ติ (สํ. นิ. ๓.๑๒๔) เอวมาทีสุ ปญฺญตฺติฯ ‘‘อลงฺกตา กปฺปิตเกสมสฺสู’’ติ (สํ. นิ. ๔.๓๖๕) เอวมาทีสุ เฉทนํฯ ‘‘กปฺปติ ทฺวงฺคุลกโปฺป’’ติ (จูฬว. ๔๔๖) เอวมาทีสุ วิกโปฺปฯ ‘‘อตฺถิ กโปฺป นิปชฺชิตุ’’นฺติ (อ. นิ. ๘.๘๐) เอวมาทีสุ เลโสฯ ‘‘เกวลกปฺปํ เวฬุวนํ โอภาเสตฺวา’’ติ (สํ. นิ. ๑.๙๔) เอวมาทีสุ สมนฺตภาโวฯ อิธ ปนสฺส สมนฺตภาโว อโตฺถ อธิเปฺปโตฯ ตสฺมา เกวลกปฺปํ อนฺธวนนฺติ เอตฺถ อนวเสสํ สมนฺตโต อนฺธวนนฺติ เอวมโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ

    Kappasaddo panāyaṃ abhisaddahana-vohāra-kāla-paññatti- chedana-vikappa-lesa-samantabhāvādi-anekattho. Tathā hissa, ‘‘okappaniyametaṃ bhoto gotamassa, yathā taṃ arahato sammāsambuddhassā’’ti (ma. ni. 1.387) evamādīsu abhisaddahanamattho. ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, pañcahi samaṇakappehi phalaṃ paribhuñjitu’’nti (cūḷava. 250) evamādīsu vohāro. ‘‘Yena sudaṃ niccakappaṃ viharāmī’’ti evamādīsu (ma. ni. 1.387) kālo. ‘‘Iccāyasmā kappo’’ti (saṃ. ni. 3.124) evamādīsu paññatti. ‘‘Alaṅkatā kappitakesamassū’’ti (saṃ. ni. 4.365) evamādīsu chedanaṃ. ‘‘Kappati dvaṅgulakappo’’ti (cūḷava. 446) evamādīsu vikappo. ‘‘Atthi kappo nipajjitu’’nti (a. ni. 8.80) evamādīsu leso. ‘‘Kevalakappaṃ veḷuvanaṃ obhāsetvā’’ti (saṃ. ni. 1.94) evamādīsu samantabhāvo. Idha panassa samantabhāvo attho adhippeto. Tasmā kevalakappaṃ andhavananti ettha anavasesaṃ samantato andhavananti evamattho daṭṭhabbo.

    โอภาเสตฺวาติ วตฺถาลงฺการสรีรสมุฎฺฐิตาย อาภาย ผริตฺวา, จนฺทิมา วิย จ สูริโย วิย จ เอโกภาสํ เอกปโชฺชตํ กริตฺวาติ อโตฺถฯ เอกมนฺตํ อฎฺฐาสีติ เอกสฺมิํ อเนฺต, เอกสฺมิํ โอกาเส อฎฺฐาสิฯ เอตทโวจาติ เอตํ ‘‘ภิกฺขุ ภิกฺขู’’ติอาทิวจนมโวจฯ กสฺมา ปนายํ อวนฺทิตฺวา สมณโวหาเรเนว กเถตีติ? สมณสญฺญาสมุทาจาเรเนวฯ เอวํ กิรสฺส อโหสิ – ‘‘อยํ อนฺตรา กามาวจเร วสิฯ อหํ ปน อสฺมิ ตโต กาลโต ปฎฺฐาย พฺรหฺมจารี’’ติ สมณสญฺญาวสฺส สมุทาจรติ, ตสฺมา อวนฺทิตฺวา สมณโวหาเรเนว กเถติฯ ปุพฺพสหาโย กิเรโส เทวปุโตฺต เถรสฺสฯ กุโต ปฎฺฐายาติ? กสฺสปสมฺมาสมฺพุทฺธกาลโต ปฎฺฐายฯ โย หิ ปุพฺพโยเค อาคเตสุ ปญฺจสุ สหาเยสุ อนุเถโร จตุตฺถทิวเส อนาคามี อโหสีติ วุโตฺต, อยํ โสฯ ตทา กิร เตสุ สงฺฆเตฺถรสฺส อรหเตฺตเนว สทฺธิํ อภิญฺญา อาคมิํสุฯ โส, ‘‘มยฺหํ กิจฺจํ มตฺถกํ ปตฺต’’นฺติ เวหาสํ อุปฺปติตฺวา อโนตตฺตทเห มุขํ โธวิตฺวา อุตฺตรกุรุโต ปิณฺฑปาตํ อาทาย อาคนฺตฺวา, ‘‘อิมํ, อาวุโส, ปิณฺฑปาตํ ภุญฺชิตฺวา อปฺปมตฺตา สมณธมฺมํ กโรถา’’ติ อาหฯ อิตเร อาหํสุ – ‘‘น, อาวุโส, อมฺหากํ เอวํ กติกา อตฺถิ – ‘โย ปฐมํ วิเสสํ นิพฺพเตฺตตฺวา ปิณฺฑปาตํ อาหรติ, เตนาภตํ ภุญฺชิตฺวา เสเสหิ สมณธโมฺม กาตโพฺพ’ติฯ ตุเมฺห อตฺตโน อุปนิสฺสเยน กิจฺจํ มตฺถกํ ปาปยิตฺถฯ มยมฺปิ สเจ โน อุปนิสฺสโย ภวิสฺสติ, กิจฺจํ มตฺถกํ ปาเปสฺสามฯ ปปโญฺจ เอส อมฺหากํ, คจฺฉถ ตุเมฺห’’ติฯ โส ยถาผาสุกํ คนฺตฺวา อายุปริโยสาเน ปรินิพฺพายิฯ

    Obhāsetvāti vatthālaṅkārasarīrasamuṭṭhitāya ābhāya pharitvā, candimā viya ca sūriyo viya ca ekobhāsaṃ ekapajjotaṃ karitvāti attho. Ekamantaṃ aṭṭhāsīti ekasmiṃ ante, ekasmiṃ okāse aṭṭhāsi. Etadavocāti etaṃ ‘‘bhikkhu bhikkhū’’tiādivacanamavoca. Kasmā panāyaṃ avanditvā samaṇavohāreneva kathetīti? Samaṇasaññāsamudācāreneva. Evaṃ kirassa ahosi – ‘‘ayaṃ antarā kāmāvacare vasi. Ahaṃ pana asmi tato kālato paṭṭhāya brahmacārī’’ti samaṇasaññāvassa samudācarati, tasmā avanditvā samaṇavohāreneva katheti. Pubbasahāyo kireso devaputto therassa. Kuto paṭṭhāyāti? Kassapasammāsambuddhakālato paṭṭhāya. Yo hi pubbayoge āgatesu pañcasu sahāyesu anuthero catutthadivase anāgāmī ahosīti vutto, ayaṃ so. Tadā kira tesu saṅghattherassa arahatteneva saddhiṃ abhiññā āgamiṃsu. So, ‘‘mayhaṃ kiccaṃ matthakaṃ patta’’nti vehāsaṃ uppatitvā anotattadahe mukhaṃ dhovitvā uttarakuruto piṇḍapātaṃ ādāya āgantvā, ‘‘imaṃ, āvuso, piṇḍapātaṃ bhuñjitvā appamattā samaṇadhammaṃ karothā’’ti āha. Itare āhaṃsu – ‘‘na, āvuso, amhākaṃ evaṃ katikā atthi – ‘yo paṭhamaṃ visesaṃ nibbattetvā piṇḍapātaṃ āharati, tenābhataṃ bhuñjitvā sesehi samaṇadhammo kātabbo’ti. Tumhe attano upanissayena kiccaṃ matthakaṃ pāpayittha. Mayampi sace no upanissayo bhavissati, kiccaṃ matthakaṃ pāpessāma. Papañco esa amhākaṃ, gacchatha tumhe’’ti. So yathāphāsukaṃ gantvā āyupariyosāne parinibbāyi.

    ปุนทิวเส อนุเถโร อนาคามิผลํ สจฺฉกาสิ, ตสฺส อภิญฺญาโย อาคมิํสุฯ โสปิ ตเถว ปิณฺฑปาตํ อาหริตฺวา เตหิ ปฎิกฺขิโตฺต ยถาผาสุกํ คนฺตฺวา อายุปริโยสาเน สุทฺธาวาเส นิพฺพตฺติฯ โส สุทฺธาวาเส ฐตฺวา เต สหาเย โอโลเกโนฺต, เอโก ตทาว ปรินิพฺพุโต, เอโก อธุนา ภควโต สนฺติเก อริยภูมิํ ปโตฺต, เอโก ลาภสกฺการํ นิสฺสาย, ‘‘อหํ อรหา’’ติ จิตฺตํ อุปฺปาเทตฺวา สุปฺปารกปฎฺฎเน วสตีติ ทิสฺวา ตํ อุปสงฺกมิตฺวา, ‘‘น ตฺวํ อรหา, น อรหตฺตมคฺคํ ปฎิปโนฺน, คจฺฉ ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา ธมฺมํ สุณาหี’’ติ อุโยฺยเชสิฯ โสปิ อนฺตรฆเร ภควนฺตํ โอวาทํ ยาจิตฺวา, ‘‘ตสฺมา ติห เต พาหิย เอวํ สิกฺขิตพฺพํ ทิเฎฺฐ ทิฎฺฐมตฺตํ โหตู’’ติ (อุทา. ๑๐) ภควตา สํขิเตฺตน โอวทิโต อริยภูมิํ สมฺปาปุณิฯ

    Punadivase anuthero anāgāmiphalaṃ sacchakāsi, tassa abhiññāyo āgamiṃsu. Sopi tatheva piṇḍapātaṃ āharitvā tehi paṭikkhitto yathāphāsukaṃ gantvā āyupariyosāne suddhāvāse nibbatti. So suddhāvāse ṭhatvā te sahāye olokento, eko tadāva parinibbuto, eko adhunā bhagavato santike ariyabhūmiṃ patto, eko lābhasakkāraṃ nissāya, ‘‘ahaṃ arahā’’ti cittaṃ uppādetvā suppārakapaṭṭane vasatīti disvā taṃ upasaṅkamitvā, ‘‘na tvaṃ arahā, na arahattamaggaṃ paṭipanno, gaccha bhagavantaṃ upasaṅkamitvā dhammaṃ suṇāhī’’ti uyyojesi. Sopi antaraghare bhagavantaṃ ovādaṃ yācitvā, ‘‘tasmā tiha te bāhiya evaṃ sikkhitabbaṃ diṭṭhe diṭṭhamattaṃ hotū’’ti (udā. 10) bhagavatā saṃkhittena ovadito ariyabhūmiṃ sampāpuṇi.

    ตโต อโญฺญ เอโก อตฺถิ, โส กุหินฺติ โอโลเกโนฺต อนฺธวเน เสกฺขปฎิปทํ ปูรยมาโน วิหรตีติ ทิสฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘สหายกสฺส สนฺติเก คมิสฺสามีติ, คจฺฉเนฺตน ปน ตุจฺฉหเตฺถน อคนฺตฺวา กิญฺจิ ปณฺณาการํ คเหตฺวา คนฺตุํ วฎฺฎติ, สหาโย โข ปน เม นิรามิโส ปพฺพตมตฺถเก วสโนฺต มยา อากาเส ฐตฺวา ทินฺนํ ปิณฺฑปาตมฺปิ อปริภุญฺชิตฺวา สมณธมฺมํ อกาสิ, อิทานิ อามิสปณฺณาการํ กิํ คณฺหิสฺสติ? ธมฺมปณฺณาการํ คเหตฺวา คมิสฺสามี’’ติ พฺรหฺมโลเก ฐิโตว รตนาวฬิํ คเนฺถโนฺต วิย ปนฺนรส ปเญฺห วิภชิตฺวา ตํ ธมฺมปณฺณาการํ อาทาย อาคนฺตฺวา สหายสฺส อวิทูเร ฐตฺวา อตฺตโน สมณสญฺญาสมุทาจารวเสน ตํ อนภิวาเทตฺวาว, ‘‘ภิกฺขุ ภิกฺขู’’ติ อาลปิตฺวา อยํ วมฺมิโกติอาทิมาหฯ ตตฺถ ตุริตาลปนวเสน ภิกฺขุ ภิกฺขูติ อาเมฑิตํ เวทิตพฺพํฯ ยถา วา เอกเนว ติลเกน นลาฎํ น โสภติ, ตํ ปริวาเรตฺวา อเญฺญสุปิ ทิเนฺนสุ ผุลฺลิตมณฺฑิตํ วิย โสภติ, เอวํ เอเกเนว ปเทน วจนํ น โสภติ , ปริวาริกปเทน สทฺธิํ ผุลฺลิตมณฺฑิตํ วิย โสภตีติ ตํ ปริวาริกปทวเสน วจนํ ผุลฺลิตมณฺฑิตํ วิย กโรโนฺตปิ เอวมาหฯ

    Tato añño eko atthi, so kuhinti olokento andhavane sekkhapaṭipadaṃ pūrayamāno viharatīti disvā cintesi – ‘‘sahāyakassa santike gamissāmīti, gacchantena pana tucchahatthena agantvā kiñci paṇṇākāraṃ gahetvā gantuṃ vaṭṭati, sahāyo kho pana me nirāmiso pabbatamatthake vasanto mayā ākāse ṭhatvā dinnaṃ piṇḍapātampi aparibhuñjitvā samaṇadhammaṃ akāsi, idāni āmisapaṇṇākāraṃ kiṃ gaṇhissati? Dhammapaṇṇākāraṃ gahetvā gamissāmī’’ti brahmaloke ṭhitova ratanāvaḷiṃ ganthento viya pannarasa pañhe vibhajitvā taṃ dhammapaṇṇākāraṃ ādāya āgantvā sahāyassa avidūre ṭhatvā attano samaṇasaññāsamudācāravasena taṃ anabhivādetvāva, ‘‘bhikkhu bhikkhū’’ti ālapitvā ayaṃ vammikotiādimāha. Tattha turitālapanavasena bhikkhu bhikkhūti āmeḍitaṃ veditabbaṃ. Yathā vā ekaneva tilakena nalāṭaṃ na sobhati, taṃ parivāretvā aññesupi dinnesu phullitamaṇḍitaṃ viya sobhati, evaṃ ekeneva padena vacanaṃ na sobhati , parivārikapadena saddhiṃ phullitamaṇḍitaṃ viya sobhatīti taṃ parivārikapadavasena vacanaṃ phullitamaṇḍitaṃ viya karontopi evamāha.

    อยํ วมฺมิโกติ ปุรโต ฐิโต วมฺมิโก นาม นตฺถิ, เทสนาวเสน ปน ปุรโต ฐิตํ ทเสฺสโนฺต วิย อยนฺติ อาหฯ ลงฺคินฺติ สตฺถํ อาทาย ขณโนฺต ปลิฆํ อทฺทสฯ อุกฺขิป ลงฺคิํ อภิกฺขณ สุเมธาติ ตาต, ปณฺฑิต, ลงฺคี นาม รตฺติํ ธูมายติ ทิวา ปชฺชลติฯ อุกฺขิเปต ปรํ ปรโต ขณาติฯ เอวํ สพฺพปเทสุ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ อุทฺธุมายิกนฺติ มณฺฑูกํฯ จงฺกวารนฺติ ขารปริสฺสาวนํฯ กุมฺมนฺติ กจฺฉปํฯ อสิสูนนฺติ มํสเจฺฉทกํ อสิเญฺจว อธิกุฎฺฎนญฺจฯ มํสเปสินฺติ นิสทโปตปฺปมาณํ อลฺลมํสปิณฺฑํฯ นาคนฺติ สุมนปุปฺผกลาปสทิสํ มหาผณํ ติวิธโสวตฺถิกปริกฺขิตฺตํ อหินาคํ อทฺทสฯ มา นาคํ ฆเฎฺฎสีติ ทณฺฑกโกฎิยา วา วลฺลิโกฎิยา วา ปํสุจุณฺณํ วา ปน ขิปมาโน มา นาคํ ฆฎฺฎยิฯ นโม กโรหิ นาคสฺสาติ อุปริวาตโต อปคมฺม สุทฺธวตฺถํ นิวาเสตฺวา นาคสฺส นมกฺการํ กโรหิฯ นาเคน อธิสยิตํ ธนํ นาม ยาว สตฺตมา กุลปริวฎฺฎา ขาทโต น ขียติ, นาโค เต อธิสยิตํ ธนํ ทสฺสติ, ตสฺมา นโม กโรหิ นาคสฺสาติฯ อิโต วา ปน สุตฺวาติ ยถา ทุกฺขกฺขเนฺธ อิโตติ สาสเน นิสฺสกํ, น ตถา อิธฯ อิธ ปน เทวปุเตฺต นิสฺสกฺกํ, ตสฺมา อิโต วา ปนาติ มม วา ปน สนฺติกา สุตฺวาติ อยเมตฺถ อโตฺถฯ

    Ayaṃvammikoti purato ṭhito vammiko nāma natthi, desanāvasena pana purato ṭhitaṃ dassento viya ayanti āha. Laṅginti satthaṃ ādāya khaṇanto palighaṃ addasa. Ukkhipa laṅgiṃ abhikkhaṇa sumedhāti tāta, paṇḍita, laṅgī nāma rattiṃ dhūmāyati divā pajjalati. Ukkhipeta paraṃ parato khaṇāti. Evaṃ sabbapadesu attho daṭṭhabbo. Uddhumāyikanti maṇḍūkaṃ. Caṅkavāranti khāraparissāvanaṃ. Kummanti kacchapaṃ. Asisūnanti maṃsacchedakaṃ asiñceva adhikuṭṭanañca. Maṃsapesinti nisadapotappamāṇaṃ allamaṃsapiṇḍaṃ. Nāganti sumanapupphakalāpasadisaṃ mahāphaṇaṃ tividhasovatthikaparikkhittaṃ ahināgaṃ addasa. Mā nāgaṃ ghaṭṭesīti daṇḍakakoṭiyā vā vallikoṭiyā vā paṃsucuṇṇaṃ vā pana khipamāno mā nāgaṃ ghaṭṭayi. Namo karohi nāgassāti uparivātato apagamma suddhavatthaṃ nivāsetvā nāgassa namakkāraṃ karohi. Nāgena adhisayitaṃ dhanaṃ nāma yāva sattamā kulaparivaṭṭā khādato na khīyati, nāgo te adhisayitaṃ dhanaṃ dassati, tasmā namo karohi nāgassāti. Ito vā pana sutvāti yathā dukkhakkhandhe itoti sāsane nissakaṃ, na tathā idha. Idha pana devaputte nissakkaṃ, tasmā ito vā panāti mama vā pana santikā sutvāti ayamettha attho.

    ๒๕๑. จาตุมฺมหาภูติกสฺสาติ จตุมหาภูตมยสฺสฯ กายเสฺสตํ อธิวจนนฺติ สรีรสฺส นามํฯ ยเถว หิ พาหิรโก วมฺมิโก, วมตีติ วนฺตโกติ วนฺตุสฺสโยติ วนฺตสิเนหสมฺพโนฺธติ จตูหิ การเณหิ วมฺมิโกติ วุจฺจติฯ โส หิ อหิมงฺคุสอุนฺทูรฆรโคฬิกาทโย นานปฺปกาเร ปาณเก วมตีติ วมฺมิโกฯ อุปจิกาหิ วนฺตโกติ วมฺมิโกฯ อุปจิกาหิ วมิตฺวา มุขตุณฺฑเกน อุกฺขิตฺตปํสุจุเณฺณน กฎิปฺปมาเณนปิ โปริสปฺปมาเณนปิ อุสฺสิโตติ วมฺมิโกฯ อุปจิกาหิ วนฺตเขฬสิเนเหน อาพทฺธตาย สตฺตสตฺตาหํ เทเว วสฺสเนฺตปิ น วิปฺปกิริยติ, นิทาเฆปิ ตโต ปํสุมุฎฺฐิํ คเหตฺวา ตสฺมิํ มุฎฺฐินา ปีฬิยมาเน สิเนโห นิกฺขมติ, เอวํ วนฺตสิเนเหน สมฺพโทฺธติ วมฺมิโกฯ เอวมยํ กาโยปิ, ‘‘อกฺขิมฺหา อกฺขิคูถโก’’ติอาทินา นเยน นานปฺปการกํ อสุจิกลิมลํ วมตีติ วมฺมิโกฯ พุทฺธปเจฺจกพุทฺธขีณาสวา อิมสฺมิํ อตฺตภาเว นิกนฺติปริยาทาเนน อตฺตภาวํ ฉเฑฺฑตฺวา คตาติ อริเยหิ วนฺตโกติปิ วมฺมิโกฯ เยหิ จายํ ตีหิ อฎฺฐิสเตหิ อุสฺสิโต นฺหารุสมฺพโทฺธ มํสาวเลปโน อลฺลจมฺมปริโยนโทฺธ ฉวิรญฺชิโต สเตฺต วเญฺจติ, ตํ สพฺพํ อริเยหิ วนฺตเมวาติ วนฺตุสฺสโยติปิ วมฺมิโกฯ ‘‘ตณฺหา ชเนติ ปุริสํ, จิตฺตมสฺส วิธาวตี’’ติ (สํ. นิ. ๑.๕๕) เอวํ ตณฺหาย ชนิตตฺตา อริเยหิ วเนฺตเนว ตณฺหาสิเนเหน สมฺพโทฺธ อยนฺติ วนฺตสิเนเหน สมฺพโทฺธติปิ วมฺมิโกฯ ยถา จ วมฺมิกสฺส อโนฺต นานปฺปการา ปาณกา ตเตฺถว ชายนฺติ, อุจฺจารปสฺสาวํ กโรนฺติ, คิลานา สยนฺติ, มตา ปตนฺติฯ อิติ โส เตสํ สูติฆรํ วจฺจกุฎิ คิลานสาลา สุสานญฺจ โหติฯ เอวํ ขตฺติยมหาสาลาทีนมฺปิ กาโย อยํ โคปิตรกฺขิโต มณฺฑิตปฺปสาธิโต มหานุภาวานํ กาโยติ อจิเนฺตตฺวา ฉวินิสฺสิตา ปาณา จมฺมนิสฺสิตา ปาณา มํสนิสฺสิตา ปาณา นฺหารุนิสฺสิตา ปาณา อฎฺฐินิสฺสิตา ปาณา อฎฺฐิมิญฺชนิสฺสิตา ปาณาติ เอวํ กุลคณนาย อสีติมตฺตานิ กิมิกุลสหสฺสานิ อโนฺตกายสฺมิํเยว ชายนฺติ, อุจฺจารปสฺสาวํ กโรนฺติ, เคลเญฺญน อาตุริตานิ สยนฺติ, มตานิ ปตนฺติ, อิติ อยมฺปิ เตสํ ปาณานํ สูติฆรํ วจฺจกุฎิ คิลานสาลา สุสานญฺจ โหตีติ ‘‘วมฺมิโก’’ เตฺวว สงฺขํ คโตฯ เตนาห ภควา – ‘‘วมฺมิโกติ โข, ภิกฺขุ, อิมสฺส จาตุมหาภูติกสฺส กายเสฺสตํ อธิวจน’’นฺติฯ

    251.Cātummahābhūtikassāti catumahābhūtamayassa. Kāyassetaṃ adhivacananti sarīrassa nāmaṃ. Yatheva hi bāhirako vammiko, vamatīti vantakoti vantussayoti vantasinehasambandhoti catūhi kāraṇehi vammikoti vuccati. So hi ahimaṅgusaundūragharagoḷikādayo nānappakāre pāṇake vamatīti vammiko. Upacikāhi vantakoti vammiko. Upacikāhi vamitvā mukhatuṇḍakena ukkhittapaṃsucuṇṇena kaṭippamāṇenapi porisappamāṇenapi ussitoti vammiko. Upacikāhi vantakheḷasinehena ābaddhatāya sattasattāhaṃ deve vassantepi na vippakiriyati, nidāghepi tato paṃsumuṭṭhiṃ gahetvā tasmiṃ muṭṭhinā pīḷiyamāne sineho nikkhamati, evaṃ vantasinehena sambaddhoti vammiko. Evamayaṃ kāyopi, ‘‘akkhimhā akkhigūthako’’tiādinā nayena nānappakārakaṃ asucikalimalaṃ vamatīti vammiko. Buddhapaccekabuddhakhīṇāsavā imasmiṃ attabhāve nikantipariyādānena attabhāvaṃ chaḍḍetvā gatāti ariyehi vantakotipi vammiko. Yehi cāyaṃ tīhi aṭṭhisatehi ussito nhārusambaddho maṃsāvalepano allacammapariyonaddho chavirañjito satte vañceti, taṃ sabbaṃ ariyehi vantamevāti vantussayotipi vammiko. ‘‘Taṇhā janeti purisaṃ, cittamassa vidhāvatī’’ti (saṃ. ni. 1.55) evaṃ taṇhāya janitattā ariyehi vanteneva taṇhāsinehena sambaddho ayanti vantasinehena sambaddhotipi vammiko. Yathā ca vammikassa anto nānappakārā pāṇakā tattheva jāyanti, uccārapassāvaṃ karonti, gilānā sayanti, matā patanti. Iti so tesaṃ sūtigharaṃ vaccakuṭi gilānasālā susānañca hoti. Evaṃ khattiyamahāsālādīnampi kāyo ayaṃ gopitarakkhito maṇḍitappasādhito mahānubhāvānaṃ kāyoti acintetvā chavinissitā pāṇā cammanissitā pāṇā maṃsanissitā pāṇā nhārunissitā pāṇā aṭṭhinissitā pāṇā aṭṭhimiñjanissitā pāṇāti evaṃ kulagaṇanāya asītimattāni kimikulasahassāni antokāyasmiṃyeva jāyanti, uccārapassāvaṃ karonti, gelaññena āturitāni sayanti, matāni patanti, iti ayampi tesaṃ pāṇānaṃ sūtigharaṃ vaccakuṭi gilānasālā susānañca hotīti ‘‘vammiko’’ tveva saṅkhaṃ gato. Tenāha bhagavā – ‘‘vammikoti kho, bhikkhu, imassa cātumahābhūtikassa kāyassetaṃ adhivacana’’nti.

    มาตาเปตฺติกสมฺภวสฺสาติ มาติโต จ ปิติโต จ นิพฺพเตฺตน มาตาเปตฺติเกน สุกฺกโสณิเตน สมฺภูตสฺสฯ โอทนกุมฺมาสูปจยสฺสาติ โอทเนน เจว กุมฺมาเสน จ อุปจิตสฺส วฑฺฒิตสฺสฯ อนิจฺจุจฺฉาทนปริมทฺทนเภทนวิทฺธํสนธมฺมสฺสาติ เอตฺถ อยํ กาโย หุตฺวา อภาวเฎฺฐน อนิจฺจธโมฺมฯ ทุคฺคนฺธวิฆาตตฺถาย ตนุวิเลปเนน อุจฺฉาทนธโมฺมฯ องฺคปจฺจงฺคาพาธวิโนทนตฺถาย ขุทฺทกสมฺพาหเนน ปริมทฺทนธโมฺมฯ ทหรกาเล วา อูรูสุ สยาเปตฺวา คพฺภวาเสน ทุสฺสณฺฐิตานํ เตสํ เตสํ องฺคานํ สณฺฐานสมฺปาทนตฺถํ อญฺฉนปีฬนาทิวเสน ปริมทฺทนธโมฺมฯ เอวํ ปริหรโตปิ จ เภทนวิทฺธํสนธโมฺม ภิชฺชติ เจว วิกิรติ จ, เอวํ สภาโวติ อโตฺถฯ ตตฺถ มาตาเปตฺติกสมฺภวโอทนกุมฺมาสูปจยอุจฺฉาทนปริมทฺทนปเทหิ สมุทโย กถิโต, อนิจฺจเภทวิทฺธํสนปเทหิ อตฺถงฺคโมฯ เอวํ สตฺตหิปิ ปเทหิ จาตุมหาภูติกสฺส กายสฺส อุจฺจาวจภาโว วฑฺฒิปริหานิ สมุทยตฺถงฺคโม กถิโตติ เวทิตโพฺพฯ

    Mātāpettikasambhavassāti mātito ca pitito ca nibbattena mātāpettikena sukkasoṇitena sambhūtassa. Odanakummāsūpacayassāti odanena ceva kummāsena ca upacitassa vaḍḍhitassa. Aniccucchādanaparimaddanabhedanaviddhaṃsanadhammassāti ettha ayaṃ kāyo hutvā abhāvaṭṭhena aniccadhammo. Duggandhavighātatthāya tanuvilepanena ucchādanadhammo. Aṅgapaccaṅgābādhavinodanatthāya khuddakasambāhanena parimaddanadhammo. Daharakāle vā ūrūsu sayāpetvā gabbhavāsena dussaṇṭhitānaṃ tesaṃ tesaṃ aṅgānaṃ saṇṭhānasampādanatthaṃ añchanapīḷanādivasena parimaddanadhammo. Evaṃ pariharatopi ca bhedanaviddhaṃsanadhammo bhijjati ceva vikirati ca, evaṃ sabhāvoti attho. Tattha mātāpettikasambhavaodanakummāsūpacayaucchādanaparimaddanapadehi samudayo kathito, aniccabhedaviddhaṃsanapadehi atthaṅgamo. Evaṃ sattahipi padehi cātumahābhūtikassa kāyassa uccāvacabhāvo vaḍḍhiparihāni samudayatthaṅgamo kathitoti veditabbo.

    ทิวา กมฺมเนฺตติ ทิวา กตฺตพฺพกมฺมเนฺตฯ ธูมายนาติ เอตฺถ อยํ ธูมสโทฺท โกเธ ตณฺหาย วิตเกฺก ปญฺจสุ กามคุเณสุ ธมฺมเทสนาย ปกติธูเมติ อิเมสุ อเตฺถสุ วตฺตติฯ ‘‘โกโธ ธูโม ภสฺมนิโมสวชฺช’’นฺติ (สํ. นิ. ๑.๑๖๕) เอตฺถ หิ โกเธ วตฺตติฯ ‘‘อิจฺฉาธูมายิตา สตฺตา’’ติ เอตฺถ ตณฺหายฯ ‘‘เตน โข ปน สมเยน อญฺญตโร ภิกฺขุ ภควโต อวิทูเร ธูมายโนฺต นิสิโนฺน โหตี’’ติ เอตฺถ วิตเกฺกฯ

    Divā kammanteti divā kattabbakammante. Dhūmāyanāti ettha ayaṃ dhūmasaddo kodhe taṇhāya vitakke pañcasu kāmaguṇesu dhammadesanāya pakatidhūmeti imesu atthesu vattati. ‘‘Kodho dhūmo bhasmanimosavajja’’nti (saṃ. ni. 1.165) ettha hi kodhe vattati. ‘‘Icchādhūmāyitā sattā’’ti ettha taṇhāya. ‘‘Tena kho pana samayena aññataro bhikkhu bhagavato avidūre dhūmāyanto nisinno hotī’’ti ettha vitakke.

    ‘‘ปโงฺก จ กามา ปลิโป จ กามา,

    ‘‘Paṅko ca kāmā palipo ca kāmā,

    ภยญฺจ เมตํ ติมูลํ ปวุตฺตํ;

    Bhayañca metaṃ timūlaṃ pavuttaṃ;

    รโช จ ธูโม จ มยา ปกาสิตา;

    Rajo ca dhūmo ca mayā pakāsitā;

    หิตฺวา ตุวํ ปพฺพช พฺรหฺมทตฺตา’’ติฯ (ชา. ๑.๖.๑๔) –

    Hitvā tuvaṃ pabbaja brahmadattā’’ti. (jā. 1.6.14) –

    เอตฺถ ปญฺจกามคุเณสุฯ ‘‘ธูมํ กตฺตา โหตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๓๔๙) เอตฺถ ธมฺมเทสนายฯ ‘‘ธโช รถสฺส ปญฺญาณํ, ธูโม ปญฺญาณมคฺคิโน’’ติ (สํ. นิ. ๑.๗๒) เอตฺถ ปกติธูเมฯ อิธ ปนายํ วิตเกฺก อธิเปฺปโตฯ เตนาห ‘‘อยํ รตฺติํ ธูมายนา’’ติฯ

    Ettha pañcakāmaguṇesu. ‘‘Dhūmaṃ kattā hotī’’ti (ma. ni. 1.349) ettha dhammadesanāya. ‘‘Dhajo rathassa paññāṇaṃ, dhūmo paññāṇamaggino’’ti (saṃ. ni. 1.72) ettha pakatidhūme. Idha panāyaṃ vitakke adhippeto. Tenāha ‘‘ayaṃ rattiṃ dhūmāyanā’’ti.

    ตถาคตเสฺสตํ อธิวจนนฺติ ตถาคโต หิ สตฺตนฺนํ ธมฺมานํ พาหิตตฺตา พฺราหฺมโณ นามฯ ยถาห – ‘‘สตฺตนฺนํ โข, ภิกฺขุ, ธมฺมานํ พาหิตตฺตา พฺราหฺมโณฯ กตเมสํ สตฺตนฺนํ? ราโค พาหิโต โหติ, โทโส… โมโห… มาโน… สกฺกายทิฎฺฐิ… วิจิกิจฺฉา… สีลพฺพตปรามาโส พาหิโต โหติฯ อิเมสํ ภิกฺขุ สตฺตนฺนํ ธมฺมานํ พาหิตตฺตา พฺราหฺมโณ’’ติ (จูฬนิ. เมตฺตคูมาณวปุจฺฉานิเทฺทส ๒๘)ฯ สุเมโธติ สุนฺทรปโญฺญฯ เสกฺขสฺสาติ เอตฺถ สิกฺขตีติ เสโกฺขฯ ยถาห – ‘‘สิกฺขตีติ โข, ภิกฺขุ, ตสฺมา เสโกฺขติ วุจฺจติฯ กิญฺจ สิกฺขติ? อธิสีลมฺปิ สิกฺขติ, อธิจิตฺตมฺปิ สิกฺขติ, อธิปญฺญมฺปิ สิกฺขตี’’ติ (อ. นิ. ๓.๘๖)ฯ

    Tathāgatassetaṃ adhivacananti tathāgato hi sattannaṃ dhammānaṃ bāhitattā brāhmaṇo nāma. Yathāha – ‘‘sattannaṃ kho, bhikkhu, dhammānaṃ bāhitattā brāhmaṇo. Katamesaṃ sattannaṃ? Rāgo bāhito hoti, doso… moho… māno… sakkāyadiṭṭhi… vicikicchā… sīlabbataparāmāso bāhito hoti. Imesaṃ bhikkhu sattannaṃ dhammānaṃ bāhitattā brāhmaṇo’’ti (cūḷani. mettagūmāṇavapucchāniddesa 28). Sumedhoti sundarapañño. Sekkhassāti ettha sikkhatīti sekkho. Yathāha – ‘‘sikkhatīti kho, bhikkhu, tasmā sekkhoti vuccati. Kiñca sikkhati? Adhisīlampi sikkhati, adhicittampi sikkhati, adhipaññampi sikkhatī’’ti (a. ni. 3.86).

    ปญฺญาย อธิวจนนฺติ โลกิยโลกุตฺตราย ปญฺญาย เอตํ อธิวจนํ, น อาวุธสตฺถสฺสฯ วีริยารมฺภสฺสาติ กายิกเจตสิกวีริยสฺสฯ ตํ ปญฺญาคติกเมว โหติฯ โลกิยาย ปญฺญาย โลกิยํ, โลกุตฺตราย ปญฺญาย โลกุตฺตรํฯ เอตฺถ ปนายํ อตฺถทีปนา –

    Paññāyaadhivacananti lokiyalokuttarāya paññāya etaṃ adhivacanaṃ, na āvudhasatthassa. Vīriyārambhassāti kāyikacetasikavīriyassa. Taṃ paññāgatikameva hoti. Lokiyāya paññāya lokiyaṃ, lokuttarāya paññāya lokuttaraṃ. Ettha panāyaṃ atthadīpanā –

    เอโก กิร ชานปโท พฺราหฺมโณ ปาโตว มาณวเกหิ สทฺธิํ คามโต นิกฺขมฺม ทิวสํ อรเญฺญ มเนฺต วาเจตฺวา สายํ คามํ อาคจฺฉติฯ อนฺตรามเคฺค จ เอโก วมฺมิโก อตฺถิฯ โส รตฺติํ ธูมายติ, ทิวา ปชฺชลติฯ พฺราหฺมโณ อเนฺตวาสิํ สุเมธํ มาณวํ อาห – ‘‘ตาต, อยํ วมฺมิโก รตฺติํ ธูมายติ, ทิวา ปชฺชลติ, วิการมสฺส ปสฺสิสฺสาม, ภินฺทิตฺวา นํ จตฺตาโร โกฎฺฐาเส กตฺวา ขิปาหี’’ติฯ โส สาธูติ กุทาลํ คเหตฺวา สเมหิ ปาเทหิ ปถวิยํ ปติฎฺฐาย ตถา อกาสิฯ ตตฺร อาจริยพฺราหฺมโณ วิย ภควาฯ สุเมธมาณวโก วิย เสโกฺข ภิกฺขุฯ วมฺมิโก วิย กาโยฯ ‘‘ตาต, อยํ วมฺมิโก รตฺติํ ธูมายติ, ทิวา ปชฺชลติ, วิการมสฺส ปสฺสิสฺสาม, ภินฺทิตฺวา นํ จตฺตาโร โกฎฺฐาเส กตฺวา ขิปาหี’’ติ พฺราหฺมเณน วุตฺตกาโล วิย, ‘‘ภิกฺขุ จาตุมหาภูติกํ กายํ จตฺตาโร โกฎฺฐาเส กตฺวา ปริคฺคณฺหาหี’’ติ ภควตา วุตฺตกาโลฯ ตสฺส สาธูติ กุทาลํ คเหตฺวา ตถากรณํ วิย เสกฺขสฺส ภิกฺขุโน, ‘‘โย วีสติยา โกฎฺฐาเสสุ ถทฺธภาโว, อยํ ปถวีธาตุฯ โย ทฺวาทสสุ โกฎฺฐาเสสุ อาพนฺธนภาโว, อยํ อาโปธาตุฯ โย จตูสุ โกฎฺฐาเสสุ ปริปาจนภาโว, อยํ เตโชธาตุฯ โย ฉสุ โกฎฺฐาเสสุ วิตฺถมฺภนภาโว, อยํ วาโยธาตู’’ติ เอวํ จตุธาตุววตฺถานวเสน กายปริคฺคโห เวทิตโพฺพฯ

    Eko kira jānapado brāhmaṇo pātova māṇavakehi saddhiṃ gāmato nikkhamma divasaṃ araññe mante vācetvā sāyaṃ gāmaṃ āgacchati. Antarāmagge ca eko vammiko atthi. So rattiṃ dhūmāyati, divā pajjalati. Brāhmaṇo antevāsiṃ sumedhaṃ māṇavaṃ āha – ‘‘tāta, ayaṃ vammiko rattiṃ dhūmāyati, divā pajjalati, vikāramassa passissāma, bhinditvā naṃ cattāro koṭṭhāse katvā khipāhī’’ti. So sādhūti kudālaṃ gahetvā samehi pādehi pathaviyaṃ patiṭṭhāya tathā akāsi. Tatra ācariyabrāhmaṇo viya bhagavā. Sumedhamāṇavako viya sekkho bhikkhu. Vammiko viya kāyo. ‘‘Tāta, ayaṃ vammiko rattiṃ dhūmāyati, divā pajjalati, vikāramassa passissāma, bhinditvā naṃ cattāro koṭṭhāse katvā khipāhī’’ti brāhmaṇena vuttakālo viya, ‘‘bhikkhu cātumahābhūtikaṃ kāyaṃ cattāro koṭṭhāse katvā pariggaṇhāhī’’ti bhagavatā vuttakālo. Tassa sādhūti kudālaṃ gahetvā tathākaraṇaṃ viya sekkhassa bhikkhuno, ‘‘yo vīsatiyā koṭṭhāsesu thaddhabhāvo, ayaṃ pathavīdhātu. Yo dvādasasu koṭṭhāsesu ābandhanabhāvo, ayaṃ āpodhātu. Yo catūsu koṭṭhāsesu paripācanabhāvo, ayaṃ tejodhātu. Yo chasu koṭṭhāsesu vitthambhanabhāvo, ayaṃ vāyodhātū’’ti evaṃ catudhātuvavatthānavasena kāyapariggaho veditabbo.

    ลงฺคีติ โข, ภิกฺขูติ กสฺมา ภควา อวิชฺชํ ลงฺคีติ กตฺวา ทเสฺสสีติ? ยถา หิ นครสฺส ทฺวารํ ปิธาย ปลิเฆ โยชิเต มหาชนสฺส คมนํ ปจฺฉิชฺชติ, เย นครสฺส อโนฺต, เต อโนฺตเยว โหนฺติฯ เย พหิ, เต พหิเยวฯ เอวเมว ยสฺส ญาณมุเข อวิชฺชาลงฺคี ปตติ, ตสฺส นิพฺพานสมฺปาปกํ ญาณคมนํ ปจฺฉิชฺชติ, ตสฺมา อวิชฺชํ ลงฺคีติ กตฺวา ทเสฺสสิฯ ปชห อวิชฺชนฺติ เอตฺถ กมฺมฎฺฐานอุคฺคหปริปุจฺฉาวเสน อวิชฺชาปหานํ กถิตํฯ

    Laṅgīti kho, bhikkhūti kasmā bhagavā avijjaṃ laṅgīti katvā dassesīti? Yathā hi nagarassa dvāraṃ pidhāya palighe yojite mahājanassa gamanaṃ pacchijjati, ye nagarassa anto, te antoyeva honti. Ye bahi, te bahiyeva. Evameva yassa ñāṇamukhe avijjālaṅgī patati, tassa nibbānasampāpakaṃ ñāṇagamanaṃ pacchijjati, tasmā avijjaṃ laṅgīti katvā dassesi. Pajaha avijjanti ettha kammaṭṭhānauggahaparipucchāvasena avijjāpahānaṃ kathitaṃ.

    อุทฺธุมายิกาติ โข, ภิกฺขูติ เอตฺถ อุทฺธุมายิกมณฺฑูโก นาม โน มหโนฺต, นขปิฎฺฐิปฺปมาโณ โหติ, ปุราณปณฺณนฺตเร วา คจฺฉนฺตเร วา วลฺลิอนฺตเร วา วสติฯ โส ทณฺฑโกฎิยา วา วลฺลิโกฎิยา วา ปํสุจุณฺณเกน วา ฆฎฺฎิโต อายมิตฺวา มหโนฺต ปริมณฺฑโล เพลุวปกฺกปฺปมาโณ หุตฺวา จตฺตาโร ปาเท อากาสคเต กตฺวา ปจฺฉินฺนคมโน หุตฺวา อมิตฺตวสํ ยาติ, กากกุลลาทิภตฺตเมว โหติฯ เอวเมว อยํ โกโธ ปฐมํ อุปฺปชฺชโนฺต จิตฺตาวิลมตฺตโกว โหติฯ ตสฺมิํ ขเณ อนิคฺคหิโต วฑฺฒิตฺวา มุขวิกุลนํ ปาเปติฯ ตทา อนิคฺคหิโต หนุสโญฺจปนํ ปาเปติฯ ตทา อนิคฺคหิโต ผรุสวาจานิจฺฉารณํ ปาเปติฯ ตทา อนิคฺคหิโต ทิสาวิโลกนํ ปาเปติฯ ตทา อนิคฺคหิโต อากฑฺฒนปริกฑฺฒนํ ปาเปติฯ ตทา อนิคฺคหิโต ปาณินา เลฑฺฑุทณฺฑสตฺถปรามสนํ ปาเปติฯ ตทา อนิคฺคหิโต ทณฺฑสตฺถาภินิปาตํ ปาเปติ ฯ ตทา อนิคฺคหิโต ปรฆาตนมฺปิ อตฺตฆาตนมฺปิ ปาเปติฯ วุตฺตมฺปิ เหตํ – ‘‘ยโต อยํ โกโธ ปรํ ฆาเตตฺวา อตฺตานํ ฆาเตติ, เอตฺตาวตายํ โกโธ ปรมุสฺสทคโต โหติ ปรมเวปุลฺลปฺปโตฺต’’ติฯ ตตฺถ ยถา อุทฺธุมายิกาย จตูสุ ปาเทสุ อากาสคเตสุ คมนํ ปจฺฉิชฺชติ, อุทฺธุมายิกา อมิตฺตวสํ คนฺตฺวา กากาทิภตฺตํ โหติ, เอวเมว โกธสมงฺคีปุคฺคโล กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา วเฑฺฒตุํ น สโกฺกติ, อมิตฺตวสํ ยาติ, สเพฺพสํ มารานํ ยถากามกรณีโย โหติฯ เตนาห ภควา – ‘‘อุทฺธุมายิกาติ โข, ภิกฺขุ, โกธูปายาสเสฺสตํ อธิวจน’’นฺติฯ ตตฺถ พลวปฺปโตฺต โกโธว โกธูปายาโสฯ ปชห โกธูปายาสนฺติ เอตฺถ ปฎิสงฺขานปฺปหานํ กถิตํฯ

    Uddhumāyikātikho, bhikkhūti ettha uddhumāyikamaṇḍūko nāma no mahanto, nakhapiṭṭhippamāṇo hoti, purāṇapaṇṇantare vā gacchantare vā valliantare vā vasati. So daṇḍakoṭiyā vā vallikoṭiyā vā paṃsucuṇṇakena vā ghaṭṭito āyamitvā mahanto parimaṇḍalo beluvapakkappamāṇo hutvā cattāro pāde ākāsagate katvā pacchinnagamano hutvā amittavasaṃ yāti, kākakulalādibhattameva hoti. Evameva ayaṃ kodho paṭhamaṃ uppajjanto cittāvilamattakova hoti. Tasmiṃ khaṇe aniggahito vaḍḍhitvā mukhavikulanaṃ pāpeti. Tadā aniggahito hanusañcopanaṃ pāpeti. Tadā aniggahito pharusavācānicchāraṇaṃ pāpeti. Tadā aniggahito disāvilokanaṃ pāpeti. Tadā aniggahito ākaḍḍhanaparikaḍḍhanaṃ pāpeti. Tadā aniggahito pāṇinā leḍḍudaṇḍasatthaparāmasanaṃ pāpeti. Tadā aniggahito daṇḍasatthābhinipātaṃ pāpeti . Tadā aniggahito paraghātanampi attaghātanampi pāpeti. Vuttampi hetaṃ – ‘‘yato ayaṃ kodho paraṃ ghātetvā attānaṃ ghāteti, ettāvatāyaṃ kodho paramussadagato hoti paramavepullappatto’’ti. Tattha yathā uddhumāyikāya catūsu pādesu ākāsagatesu gamanaṃ pacchijjati, uddhumāyikā amittavasaṃ gantvā kākādibhattaṃ hoti, evameva kodhasamaṅgīpuggalo kammaṭṭhānaṃ gahetvā vaḍḍhetuṃ na sakkoti, amittavasaṃ yāti, sabbesaṃ mārānaṃ yathākāmakaraṇīyo hoti. Tenāha bhagavā – ‘‘uddhumāyikāti kho, bhikkhu, kodhūpāyāsassetaṃ adhivacana’’nti. Tattha balavappatto kodhova kodhūpāyāso. Pajaha kodhūpāyāsanti ettha paṭisaṅkhānappahānaṃ kathitaṃ.

    ทฺวิธาปโถติ เอตฺถ, ยถา ปุริโส สธโน สโภโค กนฺตารทฺธานมคฺคปฺปฎิปโนฺน เทฺวธาปถํ ปตฺวา, ‘‘อิมินา นุ โข คนฺตพฺพํ, อิมินา คนฺตพฺพ’’นฺติ นิเจฺฉตุํ อสโกฺกโนฺต ตเตฺถว ติฎฺฐติ, อถ นํ โจรา อุฎฺฐหิตฺวา อนยพฺยสนํ ปาเปนฺติ, เอวเมว โข มูลกมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา นิสิโนฺน ภิกฺขุ พุทฺธาทีสุ กงฺขาย อุปฺปนฺนาย กมฺมฎฺฐานํ วเฑฺฒตุํ น สโกฺกติ, อถ นํ กิเลสมาราทโย สเพฺพ มารา อนยพฺยสนํ ปาเปนฺติ, อิติ วิจิกิจฺฉา เทฺวธาปถสมา โหติฯ เตนาห ภควา – ‘‘ทฺวิธาปโถติ โข, ภิกฺขุ, วิจิกิจฺฉาเยตํ อธิวจน’’นฺติฯ ปชห วิจิกิจฺฉนฺติ เอตฺถ กมฺมฎฺฐานอุคฺคหปริปุจฺฉาวเสน วิจิกิจฺฉาปหานํ กถิตํฯ

    Dvidhāpathoti ettha, yathā puriso sadhano sabhogo kantāraddhānamaggappaṭipanno dvedhāpathaṃ patvā, ‘‘iminā nu kho gantabbaṃ, iminā gantabba’’nti nicchetuṃ asakkonto tattheva tiṭṭhati, atha naṃ corā uṭṭhahitvā anayabyasanaṃ pāpenti, evameva kho mūlakammaṭṭhānaṃ gahetvā nisinno bhikkhu buddhādīsu kaṅkhāya uppannāya kammaṭṭhānaṃ vaḍḍhetuṃ na sakkoti, atha naṃ kilesamārādayo sabbe mārā anayabyasanaṃ pāpenti, iti vicikicchā dvedhāpathasamā hoti. Tenāha bhagavā – ‘‘dvidhāpathoti kho, bhikkhu, vicikicchāyetaṃ adhivacana’’nti. Pajaha vicikicchanti ettha kammaṭṭhānauggahaparipucchāvasena vicikicchāpahānaṃ kathitaṃ.

    จงฺควารนฺติ เอตฺถ, ยถา รชเกหิ ขารปริสฺสาวนมฺหิ อุทเก ปกฺขิเตฺต เอโก อุทกฆโฎ เทฺวปิ ทสปิ วีสติปิ ฆฎสตมฺปิ ปคฺฆรติเยว, ปสฎมตฺตมฺปิ อุทกํ น ติฎฺฐติ, เอวเมว นีวรณสมงฺคิโน ปุคฺคลสฺส อพฺภนฺตเร กุสลธโมฺม น ติฎฺฐติฯ เตนาห ภควา – ‘‘จงฺควารนฺติ โข, ภิกฺขุ, ปญฺจเนฺนตํ นีวรณานํ อธิวจน’’นฺติฯ ปชห ปญฺจนีวรเณติ เอตฺถ วิกฺขมฺภนตทงฺควเสน นีวรณปฺปหานํ กถิตํฯ

    Caṅgavāranti ettha, yathā rajakehi khāraparissāvanamhi udake pakkhitte eko udakaghaṭo dvepi dasapi vīsatipi ghaṭasatampi paggharatiyeva, pasaṭamattampi udakaṃ na tiṭṭhati, evameva nīvaraṇasamaṅgino puggalassa abbhantare kusaladhammo na tiṭṭhati. Tenāha bhagavā – ‘‘caṅgavāranti kho, bhikkhu, pañcannetaṃ nīvaraṇānaṃ adhivacana’’nti. Pajaha pañcanīvaraṇeti ettha vikkhambhanatadaṅgavasena nīvaraṇappahānaṃ kathitaṃ.

    กุโมฺมติ เอตฺถ, ยถา กจฺฉปสฺส จตฺตาโร ปาทา สีสนฺติ ปเญฺจว องฺคานิ โหนฺติ, เอวเมว สเพฺพปิ สงฺขตา ธมฺมา คยฺหมานา ปเญฺจว ขนฺธา ภวนฺติฯ เตนาห ภควา – ‘‘กุโมฺมติ โข, ภิกฺขุ, ปญฺจเนฺนตํ อุปาทานกฺขนฺธานํ อธิวจน’’นฺติฯ ปชห ปญฺจุปาทานกฺขเนฺธติ เอตฺถ ปญฺจสุ ขเนฺธสุ ฉนฺทราคปฺปหานํ กถิตํฯ

    Kummoti ettha, yathā kacchapassa cattāro pādā sīsanti pañceva aṅgāni honti, evameva sabbepi saṅkhatā dhammā gayhamānā pañceva khandhā bhavanti. Tenāha bhagavā – ‘‘kummoti kho, bhikkhu, pañcannetaṃ upādānakkhandhānaṃ adhivacana’’nti. Pajaha pañcupādānakkhandheti ettha pañcasu khandhesu chandarāgappahānaṃ kathitaṃ.

    อสิสูนาติ เอตฺถ, ยถา สูนาย อุปริ มํสํ ฐเปตฺวา อสินา โกเฎฺฎนฺติ, เอวมิเม สตฺตา วตฺถุกามตฺถาย กิเลสกาเมหิ ฆาตยมานา วตฺถุกามานํ อุปริ กตฺวา กิเลสกาเมหิ กนฺติตา โกฎฺฎิตา จ โหนฺติฯ เตนาห ภควา – ‘‘อสิสูนาติ โข, ภิกฺขุ, ปญฺจเนฺนตํ กามคุณานํ อธิวจน’’นฺติฯ ปชห ปญฺจ กามคุเณติ เอตฺถ ปญฺจสุ กามคุเณสุ ฉนฺทราคปฺปหานํ กถิตํฯ

    Asisūnāti ettha, yathā sūnāya upari maṃsaṃ ṭhapetvā asinā koṭṭenti, evamime sattā vatthukāmatthāya kilesakāmehi ghātayamānā vatthukāmānaṃ upari katvā kilesakāmehi kantitā koṭṭitā ca honti. Tenāha bhagavā – ‘‘asisūnāti kho, bhikkhu, pañcannetaṃ kāmaguṇānaṃ adhivacana’’nti. Pajaha pañca kāmaguṇeti ettha pañcasu kāmaguṇesu chandarāgappahānaṃ kathitaṃ.

    มํสเปสีติ โข, ภิกฺขูติ เอตฺถ อยํ มํสเปสิ นาม พหุชนปตฺถิตา ขตฺติยาทโย มนุสฺสาปิ นํ ปเตฺถนฺติ กากาทโย ติรจฺฉานาปิฯ อิเม หิ สตฺตา อวิชฺชาย สมฺมตฺตา นนฺทิราคํ อุปคมฺม วฎฺฎํ วเฑฺฒนฺติฯ ยถา วา มํสเปสิ ฐปิตฐปิตฎฺฐาเน ลคฺคติ, เอวมิเม สตฺตา นนฺทิราคพทฺธา วเฎฺฎ ลคฺคนฺติ, ทุกฺขํ ปตฺวาปิ น อุกฺกณฺฐนฺติ , อิติ นนฺทิราโค มํสเปสิสทิโส โหติฯ เตนาห ภควา – ‘‘มํสเปสีติ โข, ภิกฺขุ, นนฺทิราคเสฺสตํ อธิวจน’’นฺติฯ ปชห นนฺทีราคนฺติ เอตฺถ จตุตฺถมเคฺคน นนฺทีราคปฺปหานํ กถิตํฯ

    Maṃsapesīti kho, bhikkhūti ettha ayaṃ maṃsapesi nāma bahujanapatthitā khattiyādayo manussāpi naṃ patthenti kākādayo tiracchānāpi. Ime hi sattā avijjāya sammattā nandirāgaṃ upagamma vaṭṭaṃ vaḍḍhenti. Yathā vā maṃsapesi ṭhapitaṭhapitaṭṭhāne laggati, evamime sattā nandirāgabaddhā vaṭṭe lagganti, dukkhaṃ patvāpi na ukkaṇṭhanti , iti nandirāgo maṃsapesisadiso hoti. Tenāha bhagavā – ‘‘maṃsapesīti kho, bhikkhu, nandirāgassetaṃ adhivacana’’nti. Pajaha nandīrāganti ettha catutthamaggena nandīrāgappahānaṃ kathitaṃ.

    นาโคติ โข, ภิกฺขุ, ขีณาสวเสฺสตํ ภิกฺขุโน อธิวจนนฺติ เอตฺถ เยนเตฺถน ขีณาสโว นาโคติ วุจฺจติ, โส อนงฺคณสุเตฺต (ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.๖๓) ปกาสิโต เอวฯ นโม กโรหิ นาคสฺสาติ ขีณาสวสฺส พุทฺธนาคสฺส, ‘‘พุโทฺธ โส ภควา โพธาย ธมฺมํ เทเสติ, ทโนฺต โส ภควา ทมถาย ธมฺมํ เทเสติ, สโนฺต โส ภควา สมถาย ธมฺมํ เทเสติ, ติโณฺณ โส ภควา ตรณาย ธมฺมํ เทเสติ, ปรินิพฺพุโต โส ภควา ปรินิพฺพานาย ธมฺมํ เทเสตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๓๖๑) เอวํ นมกฺการํ กโรหีติ อยเมตฺถ อโตฺถฯ อิติ อิทํ สุตฺตํ เถรสฺส กมฺมฎฺฐานํ อโหสิฯ เถโรปิ อิทเมว สุตฺตํ กมฺมฎฺฐานํ กตฺวา วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา อรหตฺตํ ปโตฺตฯ อยเมตสฺส อโตฺถติ อยํ เอตสฺส ปญฺหสฺส อโตฺถฯ อิติ ภควา รตนราสิมฺหิ มณิกูฎํ คณฺหโนฺต วิย ยถานุสนฺธินาว เทสนํ นิฎฺฐเปสีติฯ

    Nāgoti kho, bhikkhu, khīṇāsavassetaṃ bhikkhuno adhivacananti ettha yenatthena khīṇāsavo nāgoti vuccati, so anaṅgaṇasutte (ma. ni. aṭṭha. 1.63) pakāsito eva. Namo karohi nāgassāti khīṇāsavassa buddhanāgassa, ‘‘buddho so bhagavā bodhāya dhammaṃ deseti, danto so bhagavā damathāya dhammaṃ deseti, santo so bhagavā samathāya dhammaṃ deseti, tiṇṇo so bhagavā taraṇāya dhammaṃ deseti, parinibbuto so bhagavā parinibbānāya dhammaṃ desetī’’ti (ma. ni. 1.361) evaṃ namakkāraṃ karohīti ayamettha attho. Iti idaṃ suttaṃ therassa kammaṭṭhānaṃ ahosi. Theropi idameva suttaṃ kammaṭṭhānaṃ katvā vipassanaṃ vaḍḍhetvā arahattaṃ patto. Ayametassa atthoti ayaṃ etassa pañhassa attho. Iti bhagavā ratanarāsimhi maṇikūṭaṃ gaṇhanto viya yathānusandhināva desanaṃ niṭṭhapesīti.

    ปปญฺจสูทนิยา มชฺฌิมนิกายฎฺฐกถาย

    Papañcasūdaniyā majjhimanikāyaṭṭhakathāya

    วมฺมิกสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Vammikasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๓. วมฺมิกสุตฺตํ • 3. Vammikasuttaṃ

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๓. วมฺมิกสุตฺตวณฺณนา • 3. Vammikasuttavaṇṇanā


    © 1991-2024 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact