Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / เถรคาถา-อฎฺฐกถา • Theragāthā-aṭṭhakathā

    ๖. วงฺคนฺตปุตฺตอุปเสนเตฺถรคาถาวณฺณนา

    6. Vaṅgantaputtaupasenattheragāthāvaṇṇanā

    วิวิตฺตํ อปฺปนิโคฺฆสนฺติอาทิกา อายสฺมโต อุปเสนเตฺถรสฺส คาถาฯ กา อุปฺปตฺติ? อยํ กิร ปทุมุตฺตรสฺส ภควโต กาเล หํสวตีนคเร กุลเคเห นิพฺพตฺติตฺวา วยปฺปโตฺต สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา ธมฺมํ สุณมาโน สตฺถารํ เอกํ ภิกฺขุํ สมนฺตปาสาทิกานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา สตฺถุ อธิการกมฺมํ กตฺวา ตํ ฐานนฺตรํ ปเตฺถตฺวา ยาวชีวํ กุสลํ กตฺวา เทวมนุเสฺสสุ สํสรโนฺต อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท นาลกคาเม รูปสารีพฺราหฺมณิยา กุจฺฉิมฺหิ นิพฺพตฺติ, อุปเสโนติสฺส นามํ อโหสิฯ โส วยปฺปโตฺต ตโย เวเท อุคฺคเหตฺวา สตฺถุ สนฺติเก ธมฺมํ สุตฺวา ปฎิลทฺธสโทฺธ ปพฺพชิตฺวา อุปสมฺปทาย เอกวสฺสิโก ‘‘อริยคพฺภํ วเฑฺฒมี’’ติ เอกํ กุลปุตฺตํ อตฺตโน สนฺติเก อุปสมฺปาเทตฺวา เตน สทฺธิํ สตฺถุ สนฺติกํ คโตฯ สตฺถารา จสฺส ตสฺส อวสฺสิกสฺส ภิกฺขุโน สทฺธิวิหาริกภาวํ สุตฺวา, ‘‘อติลหุํ โข ตฺวํ, โมฆปุริส, พาหุลฺลาย อาวโตฺต’’ติ (มหาว. ๗๕) ครหิโตฯ ‘‘อิทานาหํ ยทิปิ ปริสํ นิสฺสาย สตฺถารา ครหิโต, ปริสํเยว ปน นิสฺสาย สตฺถุ ปาสํโสปิ ภวิสฺสามี’’ติ วิปสฺสนาย กมฺมํ กโรโนฺต นจิรเสฺสว อรหตฺตํ ปาปุณิฯ เตน วุตฺตํ อปทาเน (อป. เถร ๑.๒.๘๖-๙๖) –

    Vivittaṃappanigghosantiādikā āyasmato upasenattherassa gāthā. Kā uppatti? Ayaṃ kira padumuttarassa bhagavato kāle haṃsavatīnagare kulagehe nibbattitvā vayappatto satthu santikaṃ gantvā dhammaṃ suṇamāno satthāraṃ ekaṃ bhikkhuṃ samantapāsādikānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā satthu adhikārakammaṃ katvā taṃ ṭhānantaraṃ patthetvā yāvajīvaṃ kusalaṃ katvā devamanussesu saṃsaranto imasmiṃ buddhuppāde nālakagāme rūpasārībrāhmaṇiyā kucchimhi nibbatti, upasenotissa nāmaṃ ahosi. So vayappatto tayo vede uggahetvā satthu santike dhammaṃ sutvā paṭiladdhasaddho pabbajitvā upasampadāya ekavassiko ‘‘ariyagabbhaṃ vaḍḍhemī’’ti ekaṃ kulaputtaṃ attano santike upasampādetvā tena saddhiṃ satthu santikaṃ gato. Satthārā cassa tassa avassikassa bhikkhuno saddhivihārikabhāvaṃ sutvā, ‘‘atilahuṃ kho tvaṃ, moghapurisa, bāhullāya āvatto’’ti (mahāva. 75) garahito. ‘‘Idānāhaṃ yadipi parisaṃ nissāya satthārā garahito, parisaṃyeva pana nissāya satthu pāsaṃsopi bhavissāmī’’ti vipassanāya kammaṃ karonto nacirasseva arahattaṃ pāpuṇi. Tena vuttaṃ apadāne (apa. thera 1.2.86-96) –

    ‘‘ปทุมุตฺตรํ ภควนฺตํ, โลกเชฎฺฐํ นราสภํ;

    ‘‘Padumuttaraṃ bhagavantaṃ, lokajeṭṭhaṃ narāsabhaṃ;

    ปพฺภารมฺหิ นิสีทนฺตํ, อุปคจฺฉิํ นรุตฺตมํฯ

    Pabbhāramhi nisīdantaṃ, upagacchiṃ naruttamaṃ.

    ‘‘กณิการปุปฺผํ ทิสฺวา, วเณฺฎ เฉตฺวานหํ ตทา;

    ‘‘Kaṇikārapupphaṃ disvā, vaṇṭe chetvānahaṃ tadā;

    อลงฺกริตฺวา ฉตฺตมฺหิ, พุทฺธสฺส อภิโรปยิํฯ

    Alaṅkaritvā chattamhi, buddhassa abhiropayiṃ.

    ‘‘ปิณฺฑปาตญฺจ ปาทาสิํ, ปรมนฺนํ สุโภชนํ;

    ‘‘Piṇḍapātañca pādāsiṃ, paramannaṃ subhojanaṃ;

    พุเทฺธน นวเม ตตฺถ, สมเณ อฎฺฐ โภชยิํฯ

    Buddhena navame tattha, samaṇe aṭṭha bhojayiṃ.

    ‘‘อนุโมทิ มหาวีโร, สยมฺภู อคฺคปุคฺคโล;

    ‘‘Anumodi mahāvīro, sayambhū aggapuggalo;

    อิมินา ฉตฺตทาเนน, ปรมนฺนปเวจฺฉนาฯ

    Iminā chattadānena, paramannapavecchanā.

    ‘‘เตน จิตฺตปฺปสาเทน, สมฺปตฺติมนุโภสฺสสิ;

    ‘‘Tena cittappasādena, sampattimanubhossasi;

    ฉตฺติํสกฺขตฺตุํ เทวิโนฺท, เทวรชฺชํ กริสฺสติฯ

    Chattiṃsakkhattuṃ devindo, devarajjaṃ karissati.

    ‘‘เอกวีสติกฺขตฺตุญฺจ, จกฺกวตฺตี ภวิสฺสติ;

    ‘‘Ekavīsatikkhattuñca, cakkavattī bhavissati;

    ปเทสรชฺชํ วิปุลํ, คณนาโต อสงฺขิยํฯ

    Padesarajjaṃ vipulaṃ, gaṇanāto asaṅkhiyaṃ.

    ‘‘สตสหสฺสิโต กเปฺป, โอกฺกากกุลสมฺภโว;

    ‘‘Satasahassito kappe, okkākakulasambhavo;

    โคตโม นาม โคเตฺตน, สตฺถา โลเก ภวิสฺสติฯ

    Gotamo nāma gottena, satthā loke bhavissati.

    ‘‘สาสเน ทิพฺพมานมฺหิ, มนุสฺสตฺตํ คมิสฺสติ;

    ‘‘Sāsane dibbamānamhi, manussattaṃ gamissati;

    ตสฺส ธเมฺมสุ ทายาโท, โอรโส ธมฺมนิมฺมิโตฯ

    Tassa dhammesu dāyādo, oraso dhammanimmito.

    ‘‘อุปเสโนติ นาเมน, เหสฺสติ สตฺถุ สาวโก;

    ‘‘Upasenoti nāmena, hessati satthu sāvako;

    สมนฺตปาสาทิกตฺตา, อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสฺสติฯ

    Samantapāsādikattā, aggaṭṭhāne ṭhapessati.

    ‘‘จริมํ วตฺตเต มยฺหํ, ภวา สเพฺพ สมูหตา;

    ‘‘Carimaṃ vattate mayhaṃ, bhavā sabbe samūhatā;

    ธาเรมิ อนฺติมํ เทหํ, เชตฺวา มารํ สวาหนํฯ

    Dhāremi antimaṃ dehaṃ, jetvā māraṃ savāhanaṃ.

    ‘‘ปฎิสมฺภิทา จตโสฺส…เป.… กตํ พุทฺธสฺส สาสน’’นฺติฯ

    ‘‘Paṭisambhidā catasso…pe… kataṃ buddhassa sāsana’’nti.

    อรหตฺตํ ปน ปตฺวา สยมฺปิ สเพฺพ ธุตงฺคธเมฺม สมาทาย วตฺตติ, อเญฺญปิ ตทตฺถาย สมาทเปติ , เตน นํ ภควา สมนฺตปาสาทิกานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสิฯ โส อปเรน สมเยน โกสมฺพิยํ กลเห อุปฺปเนฺน ภิกฺขุสเงฺฆ จ ทฺวิธาภูเต เอเกน ภิกฺขุนา ตํ กลหํ ปริวชฺชิตุกาเมน ‘‘เอตรหิ โข กลโห อุปฺปโนฺน, สโงฺฆ ทฺวิธาภูโต, กถํ นุ โข มยา ปฎิปชฺชิตพฺพ’’นฺติ ปุโฎฺฐ วิเวกวาสโต ปฎฺฐาย ตสฺส ปฎิปตฺติํ กเถโนฺต –

    Arahattaṃ pana patvā sayampi sabbe dhutaṅgadhamme samādāya vattati, aññepi tadatthāya samādapeti , tena naṃ bhagavā samantapāsādikānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesi. So aparena samayena kosambiyaṃ kalahe uppanne bhikkhusaṅghe ca dvidhābhūte ekena bhikkhunā taṃ kalahaṃ parivajjitukāmena ‘‘etarahi kho kalaho uppanno, saṅgho dvidhābhūto, kathaṃ nu kho mayā paṭipajjitabba’’nti puṭṭho vivekavāsato paṭṭhāya tassa paṭipattiṃ kathento –

    ๕๗๗.

    577.

    ‘‘วิวิตฺตํ อปฺปนิโคฺฆสํ, วาฬมิคนิเสวิตํ;

    ‘‘Vivittaṃ appanigghosaṃ, vāḷamiganisevitaṃ;

    เสเว เสนาสนํ ภิกฺขุ, ปฎิสลฺลานการณาฯ

    Seve senāsanaṃ bhikkhu, paṭisallānakāraṇā.

    ๕๗๘.

    578.

    ‘‘สงฺการปุญฺชา อาหตฺวา, สุสานา รถิยาหิ จ;

    ‘‘Saṅkārapuñjā āhatvā, susānā rathiyāhi ca;

    ตโต สงฺฆาฎิกํ กตฺวา, ลูขํ ธาเรยฺย จีวรํฯ

    Tato saṅghāṭikaṃ katvā, lūkhaṃ dhāreyya cīvaraṃ.

    ๕๗๙.

    579.

    ‘‘นีจํ มนํ กริตฺวาน, สปทานํ กุลา กุลํ;

    ‘‘Nīcaṃ manaṃ karitvāna, sapadānaṃ kulā kulaṃ;

    ปิณฺฑิกาย จเร ภิกฺขุ, คุตฺตทฺวาโร สุสํวุโตฯ

    Piṇḍikāya care bhikkhu, guttadvāro susaṃvuto.

    ๕๘๐.

    580.

    ‘‘ลูเขนปิ วา สนฺตุเสฺส, นาญฺญํ ปเตฺถ รสํ พหุํ;

    ‘‘Lūkhenapi vā santusse, nāññaṃ patthe rasaṃ bahuṃ;

    รเสสุ อนุคิทฺธสฺส, ฌาเน น รมตี มโนฯ

    Rasesu anugiddhassa, jhāne na ramatī mano.

    ๕๘๑.

    581.

    ‘‘อปฺปิโจฺฉ เจว สนฺตุโฎฺฐ, ปวิวิโตฺต วเส มุนิ;

    ‘‘Appiccho ceva santuṭṭho, pavivitto vase muni;

    อสํสโฎฺฐ คหเฎฺฐหิ, อนาคาเรหิ จูภยํฯ

    Asaṃsaṭṭho gahaṭṭhehi, anāgārehi cūbhayaṃ.

    ๕๘๒.

    582.

    ‘‘ยถา ชโฬ ว มูโค ว, อตฺตานํ ทสฺสเย ตถา;

    ‘‘Yathā jaḷo va mūgo va, attānaṃ dassaye tathā;

    นาติเวลํ สมฺภาเสยฺย, สงฺฆมชฺฌมฺหิ ปณฺฑิโตฯ

    Nātivelaṃ sambhāseyya, saṅghamajjhamhi paṇḍito.

    ๕๘๓.

    583.

    ‘‘น โส อุปวเท กญฺจิ, อุปฆาตํ วิวชฺชเย;

    ‘‘Na so upavade kañci, upaghātaṃ vivajjaye;

    สํวุโต ปาติโมกฺขสฺมิํ, มตฺตญฺญู จสฺส โภชเนฯ

    Saṃvuto pātimokkhasmiṃ, mattaññū cassa bhojane.

    ๕๘๔. ‘‘สุคฺคหีตนิมิตฺตสฺส, จิตฺตสฺสุปฺปาทโกวิโทฯ

    584. ‘‘Suggahītanimittassa, cittassuppādakovido.

    สมถํ อนุยุเญฺชยฺย, กาเลน จ วิปสฺสนํฯ

    Samathaṃ anuyuñjeyya, kālena ca vipassanaṃ.

    ๕๘๕.

    585.

    ‘‘วีริยสาตจฺจสมฺปโนฺน, ยุตฺตโยโค สทา สิยา;

    ‘‘Vīriyasātaccasampanno, yuttayogo sadā siyā;

    น จ อปฺปตฺวา ทุกฺขนฺตํ, วิสฺสาสํ เอยฺย ปณฺฑิโตฯ

    Na ca appatvā dukkhantaṃ, vissāsaṃ eyya paṇḍito.

    ๕๘๖.

    586.

    ‘‘เอวํ วิหรมานสฺส, สุทฺธิกามสฺส ภิกฺขุโน;

    ‘‘Evaṃ viharamānassa, suddhikāmassa bhikkhuno;

    ขียนฺติ อาสวา สเพฺพ, นิพฺพุติญฺจาธิคจฺฉตี’’ติฯ –

    Khīyanti āsavā sabbe, nibbutiñcādhigacchatī’’ti. –

    อิมา คาถา อภาสิฯ

    Imā gāthā abhāsi.

    ตตฺถ วิวิตฺตนฺติ, ชนวิวิตฺตํ สุญฺญํ อรญฺญาทิํฯ อปฺปนิโคฺฆสนฺติ, นิสฺสทฺทํ สทฺทสงฺฆฎฺฎนรหิตํฯ วาฬมิคนิเสวิตนฺติ, สีหพฺยคฺฆทีปิวาฬมิเคหิ จริตํฯ อิมินาปิ ชนวิเวกํเยว ทเสฺสติ ปนฺตเสนาสนภาวทีปนโตฯ เสนาสนนฺติ, สยิตุํ อาสยิตุญฺจ ยุตฺตภาเวน วสนฎฺฐานํ อิธ เสนาสนนฺติ อธิเปฺปตํฯ ปฎิสลฺลานการณาติ, ปฎิสลฺลานนิมิตฺตํ, นานารมฺมณโต นิวเตฺตตฺวา กมฺมฎฺฐาเนเยว จิตฺตสฺส ปฎิ ปฎิ สมฺมเทว อลฺลียนตฺถํฯ

    Tattha vivittanti, janavivittaṃ suññaṃ araññādiṃ. Appanigghosanti, nissaddaṃ saddasaṅghaṭṭanarahitaṃ. Vāḷamiganisevitanti, sīhabyagghadīpivāḷamigehi caritaṃ. Imināpi janavivekaṃyeva dasseti pantasenāsanabhāvadīpanato. Senāsananti, sayituṃ āsayituñca yuttabhāvena vasanaṭṭhānaṃ idha senāsananti adhippetaṃ. Paṭisallānakāraṇāti, paṭisallānanimittaṃ, nānārammaṇato nivattetvā kammaṭṭhāneyeva cittassa paṭi paṭi sammadeva allīyanatthaṃ.

    เอวํ ภาวนานุรูปํ เสนาสนํ นิทฺทิสโนฺต เสนาสเน สโนฺตสํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ จีวราทีสุปิ ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘สํการปุญฺชา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ สํการปุญฺชาติ สํการานํ ปุญฺชํ สํการปุญฺชํ, ตโต กจวรฎฺฐานาฯ อาหตฺวาติ อาหริตฺวาฯ ตโตติ ตถา อาหฎโจฬกฺขเณฺฑหิฯ กรเณ หิ อิทํ นิสฺสกฺกวจนํ ลูขนฺติ สตฺถลูขรชนลูขาทินา ลูขํ อวณฺณามฎฺฐํฯ ธาเรยฺยาติ นิวาสนาทิวเสน ปริหเรยฺย, เอเตน จีวรสโนฺตสํ วทติฯ

    Evaṃ bhāvanānurūpaṃ senāsanaṃ niddisanto senāsane santosaṃ dassetvā idāni cīvarādīsupi taṃ dassetuṃ ‘‘saṃkārapuñjā’’tiādi vuttaṃ. Tattha saṃkārapuñjāti saṃkārānaṃ puñjaṃ saṃkārapuñjaṃ, tato kacavaraṭṭhānā. Āhatvāti āharitvā. Tatoti tathā āhaṭacoḷakkhaṇḍehi. Karaṇe hi idaṃ nissakkavacanaṃ lūkhanti satthalūkharajanalūkhādinā lūkhaṃ avaṇṇāmaṭṭhaṃ. Dhāreyyāti nivāsanādivasena parihareyya, etena cīvarasantosaṃ vadati.

    นีจ มนํ กริตฺวานาติ ‘‘อนฺตมิทํ, ภิกฺขเว, ชีวิกาน’’นฺติอาทิกํ (อิติวุ. ๙๑; สํ. นิ. ๓.๘๐) สุคโตวาทํ อนุสฺสริตฺวา นิหตมานทปฺปํ จิตฺตํ กตฺวาฯ สปทานนฺติ ฆเรสุ อวขณฺฑรหิตํ; อนุฆรนฺติ อโตฺถฯ เตนาห ‘‘กุลา กุล’’นฺติฯ กุลา กุลนฺติ กุลโต กุลํ, กุลานุปุพฺพิยา ฆรปฎิปาฎิยาติ อโตฺถฯ ปิณฺฑิกายาติ มิสฺสกภิกฺขาย, อิมินา ปิณฺฑปาตสโนฺตสํ วทติฯ คุตฺตทฺวาโรติ สุปิหิตจกฺขาทิทฺวาโรฯ สุสํวุโตติ หตฺถกุกฺกุจฺจาทีนํ อภาเวน สุฎฺฐุ สํวุโตฯ

    Nīca manaṃ karitvānāti ‘‘antamidaṃ, bhikkhave, jīvikāna’’ntiādikaṃ (itivu. 91; saṃ. ni. 3.80) sugatovādaṃ anussaritvā nihatamānadappaṃ cittaṃ katvā. Sapadānanti gharesu avakhaṇḍarahitaṃ; anugharanti attho. Tenāha ‘‘kulā kula’’nti. Kulā kulanti kulato kulaṃ, kulānupubbiyā gharapaṭipāṭiyāti attho. Piṇḍikāyāti missakabhikkhāya, iminā piṇḍapātasantosaṃ vadati. Guttadvāroti supihitacakkhādidvāro. Susaṃvutoti hatthakukkuccādīnaṃ abhāvena suṭṭhu saṃvuto.

    ลูเขนปิ วาติ อปิสโทฺท สมุจฺจเย, วา-สโทฺท วิกเปฺปฯ อุภเยนปิ ลูเขนปิ อเปฺปนปิ เยน เกนจิ สุลเภน อิตรีตเรน สนฺตุเสฺส สมํ สมฺมา ตุเสฺสยฺยฯ เตนาห ‘‘นาญฺญํ ปเตฺถ รสํ พหุ’’นฺติฯ นาญฺญํ ปเตฺถ รสํ พหุนฺติ อตฺตนา ยถาลทฺธโต อญฺญํ มธุราทิรสํ พหุํ ปณีตญฺจ น ปเตฺถยฺย น ปิเหยฺย, อิมินา คิลานปจฺจเยปิ สโนฺตโส ทสฺสิโต โหติฯ รเสสุ เคธวารณตฺถํ ปน การณํ วทโนฺต รเสสุ อนุคิทฺธสฺส, ฌาเน น รมตี มโน’’ติ อาหฯ อินฺทฺริยสํวรมฺปิ อปริปูเรนฺตสฺส กุโต วิกฺขิตฺตจิตฺตสมาธานนฺติ อธิปฺปาโยฯ

    Lūkhenapi vāti apisaddo samuccaye, vā-saddo vikappe. Ubhayenapi lūkhenapi appenapi yena kenaci sulabhena itarītarena santusse samaṃ sammā tusseyya. Tenāha ‘‘nāññaṃ patthe rasaṃ bahu’’nti. Nāññaṃ patthe rasaṃ bahunti attanā yathāladdhato aññaṃ madhurādirasaṃ bahuṃ paṇītañca na pattheyya na piheyya, iminā gilānapaccayepi santoso dassito hoti. Rasesu gedhavāraṇatthaṃ pana kāraṇaṃ vadanto rasesu anugiddhassa, jhāne na ramatī mano’’ti āha. Indriyasaṃvarampi aparipūrentassa kuto vikkhittacittasamādhānanti adhippāyo.

    เอวํ จตูสุ ปจฺจเยสุ สเลฺลขปฎิปตฺติํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ อวสิฎฺฐกถาวตฺถูนิ ทเสฺสตุํ ‘‘อปฺปิโจฺฉ เจวา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ อปฺปิโจฺฉติ, อนิโจฺฉ จตูสุ ปจฺจเยสุ อิจฺฉารหิโต, เตน จตุพฺพิธปจฺจเยสุ ตณฺหุปฺปาทวิกฺขมฺภนมาหฯ สนฺตุโฎฺฐติ, จตูสุ ปจฺจเยสุ ยถาลาภสโนฺตสาทินา สนฺตุโฎฺฐฯ โย หิ –

    Evaṃ catūsu paccayesu sallekhapaṭipattiṃ dassetvā idāni avasiṭṭhakathāvatthūni dassetuṃ ‘‘appiccho cevā’’tiādi vuttaṃ. Tattha appicchoti, aniccho catūsu paccayesu icchārahito, tena catubbidhapaccayesu taṇhuppādavikkhambhanamāha. Santuṭṭhoti, catūsu paccayesu yathālābhasantosādinā santuṭṭho. Yo hi –

    ‘‘อตีตํ นานุโสเจยฺย, นปฺปชเปฺปยฺยนาคตํ;

    ‘‘Atītaṃ nānusoceyya, nappajappeyyanāgataṃ;

    ปจฺจุปฺปเนฺนน ยาเปยฺย, โส ‘สนฺตุโฎฺฐ’ติ ปวุจฺจตี’’ติฯ

    Paccuppannena yāpeyya, so ‘santuṭṭho’ti pavuccatī’’ti.

    ปวิวิโตฺตติ คณสงฺคณิกํ ปหาย กาเยน ปวิวิโตฺต วูปกโฎฺฐฯ จิตฺตวิเวกาทิเก หิ ปรโต วกฺขติฯ วเสติ สพฺพตฺถ โยเชตพฺพํฯ โมเนยฺยธมฺมสมนฺนาคเมน มุนิฯ อสํสโฎฺฐติ ทสฺสนสวนสมุลฺลปนสโมฺภคกายสํสคฺคานํ อภาเวน อสํสโฎฺฐ ยถาวุตฺตสํสคฺครหิโตฯ อุภยนฺติ, คหเฎฺฐหิ อนาคาเรหิ จาติ อุภเยหิปิ อสํสโฎฺฐฯ กรเณ หิ อิทํ ปจฺจตฺตวจนํฯ

    Pavivittoti gaṇasaṅgaṇikaṃ pahāya kāyena pavivitto vūpakaṭṭho. Cittavivekādike hi parato vakkhati. Vaseti sabbattha yojetabbaṃ. Moneyyadhammasamannāgamena muni. Asaṃsaṭṭhoti dassanasavanasamullapanasambhogakāyasaṃsaggānaṃ abhāvena asaṃsaṭṭho yathāvuttasaṃsaggarahito. Ubhayanti, gahaṭṭhehi anāgārehi cāti ubhayehipi asaṃsaṭṭho. Karaṇe hi idaṃ paccattavacanaṃ.

    อตฺตานํ ทสฺสเย ตถาติ อชโฬ อมูโคปิ สมาโน ยถา ชโฬ วา มูโค วา, ตถา อตฺตานํ ทเสฺสยฺย, เอเตน ปาคพฺพิยปฺปหานมาหฯ ชโฬ ว มูโค วาติ จ คาถาสุขตฺถํ รสฺสตฺตํ กตํ, สมุจฺจยโตฺถ จ วาสโทฺทฯ นาติเวลํ สมฺภาเสยฺยาติ อติเวลํ อติกฺกนฺตปมาณํ น ภาเสยฺย, มตฺตภาณี อสฺสาติ อโตฺถฯ สงฺฆมชฺฌมฺหีติ ภิกฺขุสเงฺฆ, ชนสมูเห วาฯ

    Attānaṃ dassaye tathāti ajaḷo amūgopi samāno yathā jaḷo vā mūgo vā, tathā attānaṃ dasseyya, etena pāgabbiyappahānamāha. Jaḷo va mūgo vāti ca gāthāsukhatthaṃ rassattaṃ kataṃ, samuccayattho ca vāsaddo. Nātivelaṃ sambhāseyyāti ativelaṃ atikkantapamāṇaṃ na bhāseyya, mattabhāṇī assāti attho. Saṅghamajjhamhīti bhikkhusaṅghe, janasamūhe vā.

    น โส อุปวเท กญฺจีติ โส ยถาวุตฺตปฎิปตฺติโก ภิกฺขุ หีนํ วา มชฺฌิมํ วา อุกฺกฎฺฐํ วา ยํกิญฺจิ น วาจาย อุปวเทยฺยฯ อุปฆาตํ วิวชฺชเยติ กาเยน อุปฆาตํ ปริวิเหฐนํ วเชฺชยฺยฯ สํวุโต ปาติโมกฺขสฺมินฺติ ปาติโมกฺขมฺหิ ปาติโมกฺขสํวรสีเล สํวุโต อสฺส, ปาติโมกฺขสํวเรน ปิหิตกายวาโจ สิยาติ อโตฺถฯ มตฺตญฺญู จสฺส โภชเนติ ปริเยสนปฎิคฺคหณปริโภควิสฺสชฺชเนสุ โภชเน ปมาณญฺญู สิยาฯ

    Na so upavade kañcīti so yathāvuttapaṭipattiko bhikkhu hīnaṃ vā majjhimaṃ vā ukkaṭṭhaṃ vā yaṃkiñci na vācāya upavadeyya. Upaghātaṃ vivajjayeti kāyena upaghātaṃ pariviheṭhanaṃ vajjeyya. Saṃvuto pātimokkhasminti pātimokkhamhi pātimokkhasaṃvarasīle saṃvuto assa, pātimokkhasaṃvarena pihitakāyavāco siyāti attho. Mattaññū cassa bhojaneti pariyesanapaṭiggahaṇaparibhogavissajjanesu bhojane pamāṇaññū siyā.

    สุคฺคหีตนิมิตฺตสฺสาติ ‘‘เอวํ เม มนสิ กโรโต จิตฺตํ สมาหิตํ อโหสี’’ติ ตทาการํ สลฺลเกฺขโนฺต สุฎฺฐุ คหิตสมาธินิมิโตฺต อสฺสฯ ‘‘สุคฺคหีตนิมิโตฺต โส’’ติปิ ปาโฐ, โส โยคีติ อโตฺถฯ จิตฺตสฺสุปฺปาทโกวิโทติ เอวํ ภาวยโต จิตฺตํ ลีนํ โหติ, ‘‘เอวํ อุทฺธต’’นฺติ ลีนสฺส อุทฺธตสฺส จ จิตฺตสฺส อุปฺปตฺติการเณ กุสโล อสฺสฯ ลีเน หิ จิเตฺต ธมฺมวิจยวีริยปีติสโมฺพชฺฌงฺคา ภาเวตพฺพา, อุทฺธเต ปสฺสทฺธิสมาธิอุเปกฺขาสโมฺพชฺฌงฺคาฯ สติสโมฺพชฺฌโงฺค ปน สพฺพตฺถ อิจฺฉิตโพฺพฯ เตนาห ภควา – ‘‘ยสฺมิญฺจ โข, ภิกฺขเว, สมเย ลีนํ จิตฺตํ โหติ, กาโล ตสฺมิํ สมเย ธมฺมวิจยสโมฺพชฺฌงฺคสฺส ภาวนายา’’ติอาทิ (สํ. นิ. ๕.๒๓๔)ฯ สมถํ อนุยุเญฺชยฺยาติ สมถภาวนํ ภาเวยฺย, อนุปฺปนฺนํ สมาธิํ อุปฺปาเทยฺย, อุปฺปนฺนญฺจ ยาว วสีภาวปฺปตฺติ, ตาว วเฑฺฒยฺย พฺยูเหยฺยาติ อโตฺถฯ กาเลน จ วิปสฺสนนฺติ ยถาลทฺธํ สมาธิํ นิกนฺติยา อปริยาทาเนน หานภาคิยํ ฐิติภาคิยํ วา อกตฺวา นิเพฺพธภาคิยํว กตฺวา กาเลน วิปสฺสนญฺจ อนุยุเญฺชยฺยฯ อถ วา กาเลน จ วิปสฺสนนฺติ สมถํ อนุยุญฺชโนฺต ตสฺส ถิรีภูตกาเล สโงฺกจํ อนาปชฺชิตฺวา อริยมคฺคาธิคมาย วิปสฺสนํ อนุยุเญฺชยฺยฯ ยถาห –

    Suggahītanimittassāti ‘‘evaṃ me manasi karoto cittaṃ samāhitaṃ ahosī’’ti tadākāraṃ sallakkhento suṭṭhu gahitasamādhinimitto assa. ‘‘Suggahītanimitto so’’tipi pāṭho, so yogīti attho. Cittassuppādakovidoti evaṃ bhāvayato cittaṃ līnaṃ hoti, ‘‘evaṃ uddhata’’nti līnassa uddhatassa ca cittassa uppattikāraṇe kusalo assa. Līne hi citte dhammavicayavīriyapītisambojjhaṅgā bhāvetabbā, uddhate passaddhisamādhiupekkhāsambojjhaṅgā. Satisambojjhaṅgo pana sabbattha icchitabbo. Tenāha bhagavā – ‘‘yasmiñca kho, bhikkhave, samaye līnaṃ cittaṃ hoti, kālo tasmiṃ samaye dhammavicayasambojjhaṅgassa bhāvanāyā’’tiādi (saṃ. ni. 5.234). Samathaṃ anuyuñjeyyāti samathabhāvanaṃ bhāveyya, anuppannaṃ samādhiṃ uppādeyya, uppannañca yāva vasībhāvappatti, tāva vaḍḍheyya byūheyyāti attho. Kālena ca vipassananti yathāladdhaṃ samādhiṃ nikantiyā apariyādānena hānabhāgiyaṃ ṭhitibhāgiyaṃ vā akatvā nibbedhabhāgiyaṃva katvā kālena vipassanañca anuyuñjeyya. Atha vā kālena ca vipassananti samathaṃ anuyuñjanto tassa thirībhūtakāle saṅkocaṃ anāpajjitvā ariyamaggādhigamāya vipassanaṃ anuyuñjeyya. Yathāha –

    ‘‘อถ วา สมาธิลาเภน, วิวิตฺตสยเนน วา;

    ‘‘Atha vā samādhilābhena, vivittasayanena vā;

    ภิกฺขุ วิสฺสาสมาปาทิ, อปฺปโตฺต อาสวกฺขย’’นฺติฯ (ธ. ป. ๒๗๑-๒๗๒);

    Bhikkhu vissāsamāpādi, appatto āsavakkhaya’’nti. (dha. pa. 271-272);

    เตน วุตฺตํ – ‘‘วีริยสาตจฺจสมฺปโนฺน’’ติอาทิฯ สตตภาโว สาตจฺจํ, วีริยสฺส สาตจฺจํ, เตน สมฺปโนฺน สมนฺนาคโต, สตตปวตฺตวีริโย, นิจฺจปคฺคหิตวีริโยติ อโตฺถฯ ยุตฺตโยโค สทา สิยาติ สพฺพกาลํ ภาวนานุยุโตฺต สิยาฯ ทุกฺขนฺตนฺติ วฎฺฎทุกฺขสฺส อนฺตํ ปริโยสานํ นิโรธํ นิพฺพานํ อปฺปตฺวา วิสฺสาสํ น เอยฺย น คเจฺฉยฺยฯ ‘‘อหํ ปริสุทฺธสีโล ฌานลาภี อภิญฺญาลาภี วิปสฺสนํ มตฺถกํ ปาเปตฺวา ฐิโต’’ติ วา วิสฺสโฎฺฐ น ภเวยฺยาติ อโตฺถฯ

    Tena vuttaṃ – ‘‘vīriyasātaccasampanno’’tiādi. Satatabhāvo sātaccaṃ, vīriyassa sātaccaṃ, tena sampanno samannāgato, satatapavattavīriyo, niccapaggahitavīriyoti attho. Yuttayogo sadā siyāti sabbakālaṃ bhāvanānuyutto siyā. Dukkhantanti vaṭṭadukkhassa antaṃ pariyosānaṃ nirodhaṃ nibbānaṃ appatvā vissāsaṃ na eyya na gaccheyya. ‘‘Ahaṃ parisuddhasīlo jhānalābhī abhiññālābhī vipassanaṃ matthakaṃ pāpetvā ṭhito’’ti vā vissaṭṭho na bhaveyyāti attho.

    เอวํ วิหรมานสฺสาติ, เอวํ วิวิตฺตเสนาสนเสวนาทินา วิปสฺสนาวเสน ยุตฺตโยคตาปริโยสาเนน วิธินา วิหรนฺตสฺสฯ สุทฺธิกามสฺสาติ, ญาณทสฺสนวิสุทฺธิํ อจฺจนฺตวิสุทฺธิํ นิพฺพานํ อรหตฺตญฺจ อิจฺฉนฺตสฺสฯ สํสาเร ภยสฺส อิกฺขโต ภิกฺขุโน, กามาสวาทโย สเพฺพ อาสวา ขียนฺติ ขยํ อพฺภตฺถํ คจฺฉนฺติ, เตสํ ขยคมเนเนว สอุปาทิเสสอนุปาทิเสสปเภทํ ทุวิธมฺปิ นิพฺพานํ อธิคจฺฉติ ปาปุณาติฯ

    Evaṃ viharamānassāti, evaṃ vivittasenāsanasevanādinā vipassanāvasena yuttayogatāpariyosānena vidhinā viharantassa. Suddhikāmassāti, ñāṇadassanavisuddhiṃ accantavisuddhiṃ nibbānaṃ arahattañca icchantassa. Saṃsāre bhayassa ikkhato bhikkhuno, kāmāsavādayo sabbe āsavā khīyanti khayaṃ abbhatthaṃ gacchanti, tesaṃ khayagamaneneva saupādisesaanupādisesapabhedaṃ duvidhampi nibbānaṃ adhigacchati pāpuṇāti.

    เอวํ เถโร ตสฺส ภิกฺขุโน โอวาททานาปเทเสน อตฺตนา ตถาปฎิปนฺนภาวํ ทีเปโนฺต อญฺญํ พฺยากาสิฯ

    Evaṃ thero tassa bhikkhuno ovādadānāpadesena attanā tathāpaṭipannabhāvaṃ dīpento aññaṃ byākāsi.

    วงฺคนฺตปุตฺตอุปเสนเตฺถรคาถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Vaṅgantaputtaupasenattheragāthāvaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / เถรคาถาปาฬิ • Theragāthāpāḷi / ๖. วงฺคนฺตปุตฺตอุปเสนเตฺถรคาถา • 6. Vaṅgantaputtaupasenattheragāthā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact