Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
๒. วณฺณุปถชาตกวณฺณนา
2. Vaṇṇupathajātakavaṇṇanā
อกิลาสุโนติ อิมํ ธมฺมเทสนํ ภควา สาวตฺถิยํ วิหรโนฺต กเถสิฯ กํ ปน อารพฺภาติ? เอกํ โอสฺสฎฺฐวีริยํ ภิกฺขุํฯ ตถาคเต กิร สาวตฺถิยํ วิหรเนฺต เอโก สาวตฺถิวาสี กุลปุโตฺต เชตวนํ คนฺตฺวา สตฺถุ สนฺติเก ธมฺมเทสนํ สุตฺวา ปสนฺนจิโตฺต กาเมสุ อาทีนวํ ทิสฺวา ปพฺพชิตฺวา อุปสมฺปทาย ปญฺจวสฺสิโก หุตฺวา เทฺว มาติกา อุคฺคณฺหิตฺวา วิปสฺสนาจารํ สิกฺขิตฺวา สตฺถุ สนฺติเก อตฺตโน จิตฺตรุจิยํ กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา เอกํ อรญฺญํ ปวิสิตฺวา วสฺสํ อุปคนฺตฺวา เตมาสํ วายมโนฺตปิ โอภาสมตฺตํ วา นิมิตฺตมตฺตํ วา อุปฺปาเทตุํ นาสกฺขิฯ
Akilāsunoti imaṃ dhammadesanaṃ bhagavā sāvatthiyaṃ viharanto kathesi. Kaṃ pana ārabbhāti? Ekaṃ ossaṭṭhavīriyaṃ bhikkhuṃ. Tathāgate kira sāvatthiyaṃ viharante eko sāvatthivāsī kulaputto jetavanaṃ gantvā satthu santike dhammadesanaṃ sutvā pasannacitto kāmesu ādīnavaṃ disvā pabbajitvā upasampadāya pañcavassiko hutvā dve mātikā uggaṇhitvā vipassanācāraṃ sikkhitvā satthu santike attano cittaruciyaṃ kammaṭṭhānaṃ gahetvā ekaṃ araññaṃ pavisitvā vassaṃ upagantvā temāsaṃ vāyamantopi obhāsamattaṃ vā nimittamattaṃ vā uppādetuṃ nāsakkhi.
อถสฺส เอตทโหสิ ‘‘สตฺถารา จตฺตาโร ปุคฺคลา กถิตา, เตสุ มยา ปทปรเมน ภวิตพฺพํ, นตฺถิ มเญฺญ มยฺหํ อิมสฺมิํ อตฺตภาเว มโคฺค วา ผลํ วา, กิํ กริสฺสามิ อรญฺญวาเสน, สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา รูปโสภคฺคปฺปตฺตํ พุทฺธสรีรํ โอโลเกโนฺต มธุรํ ธมฺมเทสนํ สุณโนฺต วิหริสฺสามี’’ติ ปุน เชตวนเมว ปจฺจาคมาสิฯ อถ นํ สนฺทิฎฺฐสมฺภตฺตา อาหํสุ – ‘‘อาวุโส, ตฺวํ สตฺถุ สนฺติเก กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา ‘สมณธมฺมํ กริสฺสามี’ติ คโต, อิทานิ ปน อาคนฺตฺวา สงฺคณิกาย อภิรมมาโน จรสิ, กิํ นุ โข เต ปพฺพชิตกิจฺจํ มตฺถกํ ปตฺตํ, อปฺปฎิสนฺธิโก ชาโตสี’’ติ? อาวุโส, อหํ มคฺคํ วา ผลํ วา อลภิตฺวา ‘‘อภพฺพปุคฺคเลน มยา ภวิตพฺพ’’นฺติ วีริยํ โอสฺสชิตฺวา อาคโตมฺหีติฯ ‘‘อการณํ เต, อาวุโส, กตํ ทฬฺหวีริยสฺส สตฺถุ สาสเน ปพฺพชิตฺวา วีริยํ โอสฺสชเนฺตน, อยุตฺตํ เต กตํ, เอหิ ตถาคตสฺส ทเสฺสมา’’ติ ตํ อาทาย สตฺถุ สนฺติกํ อคมํสุฯ
Athassa etadahosi ‘‘satthārā cattāro puggalā kathitā, tesu mayā padaparamena bhavitabbaṃ, natthi maññe mayhaṃ imasmiṃ attabhāve maggo vā phalaṃ vā, kiṃ karissāmi araññavāsena, satthu santikaṃ gantvā rūpasobhaggappattaṃ buddhasarīraṃ olokento madhuraṃ dhammadesanaṃ suṇanto viharissāmī’’ti puna jetavanameva paccāgamāsi. Atha naṃ sandiṭṭhasambhattā āhaṃsu – ‘‘āvuso, tvaṃ satthu santike kammaṭṭhānaṃ gahetvā ‘samaṇadhammaṃ karissāmī’ti gato, idāni pana āgantvā saṅgaṇikāya abhiramamāno carasi, kiṃ nu kho te pabbajitakiccaṃ matthakaṃ pattaṃ, appaṭisandhiko jātosī’’ti? Āvuso, ahaṃ maggaṃ vā phalaṃ vā alabhitvā ‘‘abhabbapuggalena mayā bhavitabba’’nti vīriyaṃ ossajitvā āgatomhīti. ‘‘Akāraṇaṃ te, āvuso, kataṃ daḷhavīriyassa satthu sāsane pabbajitvā vīriyaṃ ossajantena, ayuttaṃ te kataṃ, ehi tathāgatassa dassemā’’ti taṃ ādāya satthu santikaṃ agamaṃsu.
สตฺถา ตํ ทิสฺวา เอวมาห ‘‘ภิกฺขเว, ตุเมฺห เอตํ ภิกฺขุํ อนิจฺฉมานํ อาทาย อาคตา, กิํ กตํ อิมินา’’ติ? ‘‘ภเนฺต, อยํ ภิกฺขุ เอวรูเป นิยฺยานิกสาสเน ปพฺพชิตฺวา สมณธมฺมํ กโรโนฺต วีริยํ โอสฺสชิตฺวา อาคโต’’ติ อาหํสุฯ อถ นํ สตฺถา อาห ‘‘สจฺจํ กิร ตยา ภิกฺขุ วีริยํ โอสฺสฎฺฐ’’นฺติ? ‘‘สจฺจํ, ภควา’’ติฯ ‘‘กิํ ปน ตฺวํ ภิกฺขุ เอวรูเป มม สาสเน ปพฺพชิตฺวา ‘อปฺปิโจฺฉ’ติ วา ‘สนฺตุโฎฺฐ’ติ วา ‘ปวิวิโตฺต’ติ วา ‘อารทฺธวีริโย’ติ วา เอวํ อตฺตานํ อชานาเปตฺวา ‘โอสฺสฎฺฐวีริโย ภิกฺขู’ติ ชานาเปสิฯ นนุ ตฺวํ ปุเพฺพ วีริยวา อโหสิ, ตยา เอเกน กตํ วีริยํ นิสฺสาย มรุกนฺตาเร ปญฺจสุ สกฎสเตสุ มนุสฺสา จ โคณา จ ปานียํ ลภิตฺวา สุขิตา ชาตา , อิทานิ กสฺมา วีริยํ โอสฺสชสี’’ติฯ โส ภิกฺขุ เอตฺตเกน วจเนน อุปตฺถมฺภิโต อโหสิฯ
Satthā taṃ disvā evamāha ‘‘bhikkhave, tumhe etaṃ bhikkhuṃ anicchamānaṃ ādāya āgatā, kiṃ kataṃ iminā’’ti? ‘‘Bhante, ayaṃ bhikkhu evarūpe niyyānikasāsane pabbajitvā samaṇadhammaṃ karonto vīriyaṃ ossajitvā āgato’’ti āhaṃsu. Atha naṃ satthā āha ‘‘saccaṃ kira tayā bhikkhu vīriyaṃ ossaṭṭha’’nti? ‘‘Saccaṃ, bhagavā’’ti. ‘‘Kiṃ pana tvaṃ bhikkhu evarūpe mama sāsane pabbajitvā ‘appiccho’ti vā ‘santuṭṭho’ti vā ‘pavivitto’ti vā ‘āraddhavīriyo’ti vā evaṃ attānaṃ ajānāpetvā ‘ossaṭṭhavīriyo bhikkhū’ti jānāpesi. Nanu tvaṃ pubbe vīriyavā ahosi, tayā ekena kataṃ vīriyaṃ nissāya marukantāre pañcasu sakaṭasatesu manussā ca goṇā ca pānīyaṃ labhitvā sukhitā jātā , idāni kasmā vīriyaṃ ossajasī’’ti. So bhikkhu ettakena vacanena upatthambhito ahosi.
ตํ ปน กถํ สุตฺวา ภิกฺขู ภควนฺตํ ยาจิํสุ – ‘‘ภเนฺต, อิทานิ อิมินา ภิกฺขุนา วีริยสฺส โอสฺสฎฺฐภาโว อมฺหากํ ปากโฎ, ปุเพฺพ ปนสฺส เอกสฺส วีริยํ นิสฺสาย มรุกนฺตาเร โคณมนุสฺสานํ ปานียํ ลภิตฺวา สุขิตภาโว ปฎิจฺฉโนฺน, ตุมฺหากํ สพฺพญฺญุตญฺญาณเสฺสว ปากโฎ, อมฺหากเมฺปตํ การณํ กเถถา’’ติฯ ‘‘เตน หิ, ภิกฺขเว, สุณาถา’’ติ ภควา เตสํ ภิกฺขูนํ สตุปฺปาทํ ชเนตฺวา ภวนฺตเรน ปฎิจฺฉนฺนการณํ ปากฎมกาสิฯ
Taṃ pana kathaṃ sutvā bhikkhū bhagavantaṃ yāciṃsu – ‘‘bhante, idāni iminā bhikkhunā vīriyassa ossaṭṭhabhāvo amhākaṃ pākaṭo, pubbe panassa ekassa vīriyaṃ nissāya marukantāre goṇamanussānaṃ pānīyaṃ labhitvā sukhitabhāvo paṭicchanno, tumhākaṃ sabbaññutaññāṇasseva pākaṭo, amhākampetaṃ kāraṇaṃ kathethā’’ti. ‘‘Tena hi, bhikkhave, suṇāthā’’ti bhagavā tesaṃ bhikkhūnaṃ satuppādaṃ janetvā bhavantarena paṭicchannakāraṇaṃ pākaṭamakāsi.
อตีเต กาสิรเฎฺฐ พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต สตฺถวาหกุเล ปฎิสนฺธิํ คเหตฺวา วยปฺปโตฺต ปญฺจหิ สกฎสเตหิ วณิชฺชํ กโรโนฺต วิจรติฯ โส เอกทา สฎฺฐิโยชนิกํ มรุกนฺตารํ ปฎิปชฺชิฯ ตสฺมิํ กนฺตาเร สุขุมวาลุกา มุฎฺฐินา คหิตา หเตฺถ น ติฎฺฐติ, สูริยุคฺคมนโต ปฎฺฐาย องฺคารราสิ วิย อุณฺหา โหติ, น สกฺกา อกฺกมิตุํฯ ตสฺมา ตํ ปฎิปชฺชนฺตา ทารุทกติลตณฺฑุลาทีนิ สกเฎหิ อาทาย รตฺติเมว คนฺตฺวา อรุณุคฺคมเน สกฎานิ ปริวฎฺฎํ กตฺวา มตฺถเก มณฺฑปํ กาเรตฺวา กาลเสฺสว อาหารกิจฺจํ นิฎฺฐาเปตฺวา ฉายาย นิสินฺนา ทิวสํ เขเปตฺวา อตฺถงฺคเต สูริเย สายมาสํ ภุญฺชิตฺวา ภูมิยา สีตลาย ชาตาย สกฎานิ โยเชตฺวา คจฺฉนฺติ, สมุทฺทคมนสทิสเมว คมนํ โหติฯ ถลนิยามโก นาม ลทฺธุํ วฎฺฎติ, โส ตารกสญฺญา สตฺถํ ตาเรติฯ
Atīte kāsiraṭṭhe bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto satthavāhakule paṭisandhiṃ gahetvā vayappatto pañcahi sakaṭasatehi vaṇijjaṃ karonto vicarati. So ekadā saṭṭhiyojanikaṃ marukantāraṃ paṭipajji. Tasmiṃ kantāre sukhumavālukā muṭṭhinā gahitā hatthe na tiṭṭhati, sūriyuggamanato paṭṭhāya aṅgārarāsi viya uṇhā hoti, na sakkā akkamituṃ. Tasmā taṃ paṭipajjantā dārudakatilataṇḍulādīni sakaṭehi ādāya rattimeva gantvā aruṇuggamane sakaṭāni parivaṭṭaṃ katvā matthake maṇḍapaṃ kāretvā kālasseva āhārakiccaṃ niṭṭhāpetvā chāyāya nisinnā divasaṃ khepetvā atthaṅgate sūriye sāyamāsaṃ bhuñjitvā bhūmiyā sītalāya jātāya sakaṭāni yojetvā gacchanti, samuddagamanasadisameva gamanaṃ hoti. Thalaniyāmako nāma laddhuṃ vaṭṭati, so tārakasaññā satthaṃ tāreti.
โสปิ สตฺถวาโห ตสฺมิํ กาเล อิมินาว นิยาเมน ตํ กนฺตารํ คจฺฉโนฺต เอกูนสฎฺฐิ โยชนานิ คนฺตฺวา ‘‘อิทานิ เอกรเตฺตเนว มรุกนฺตารา นิกฺขมนํ ภวิสฺสตี’’ติ สายมาสํ ภุญฺชิตฺวา สพฺพํ ทารุทกํ เขเปตฺวา สกฎานิ โยเชตฺวา ปายาสิฯ นิยามโก ปน ปุริมสกเฎ อาสนํ ปตฺถราเปตฺวา อากาเส ตารกํ โอโลเกโนฺต ‘‘อิโต ปาเชถ, อิโต ปาเชถา’’ติ วทมาโน นิปชฺชิฯ โส ทีฆมทฺธานํ อนิทฺทายนภาเวน กิลโนฺต นิทฺทํ โอกฺกมิ, โคเณ นิวตฺติตฺวา อาคตมคฺคเมว คณฺหเนฺต น อญฺญาสิฯ โคณา สพฺพรตฺติํ อคมํสุฯ นิยามโก อรุณุคฺคมนเวลาย ปพุโทฺธ นกฺขตฺตํ โอโลเกตฺวา ‘‘สกฎานิ นิวเตฺตถ นิวเตฺตถา’’ติ อาหฯ สกฎานิ นิวเตฺตตฺวา ปฎิปาฎิํ กโรนฺตานเญฺญว อรุโณ อุคฺคโตฯ มนุสฺสา ‘‘หิโยฺย อมฺหากํ นิวิฎฺฐขนฺธาวารฎฺฐานเมเวตํ, ทารุทกมฺปิ โน ขีณํ, อิทานิ นฎฺฐมฺหา’’ติ สกฎานิ โมเจตฺวา ปริวฎฺฎเกน ฐเปตฺวา มตฺถเก มณฺฑปํ กตฺวา อตฺตโน อตฺตโน สกฎสฺส เหฎฺฐา อนุโสจนฺตา นิปชฺชิํสุฯ
Sopi satthavāho tasmiṃ kāle imināva niyāmena taṃ kantāraṃ gacchanto ekūnasaṭṭhi yojanāni gantvā ‘‘idāni ekaratteneva marukantārā nikkhamanaṃ bhavissatī’’ti sāyamāsaṃ bhuñjitvā sabbaṃ dārudakaṃ khepetvā sakaṭāni yojetvā pāyāsi. Niyāmako pana purimasakaṭe āsanaṃ pattharāpetvā ākāse tārakaṃ olokento ‘‘ito pājetha, ito pājethā’’ti vadamāno nipajji. So dīghamaddhānaṃ aniddāyanabhāvena kilanto niddaṃ okkami, goṇe nivattitvā āgatamaggameva gaṇhante na aññāsi. Goṇā sabbarattiṃ agamaṃsu. Niyāmako aruṇuggamanavelāya pabuddho nakkhattaṃ oloketvā ‘‘sakaṭāni nivattetha nivattethā’’ti āha. Sakaṭāni nivattetvā paṭipāṭiṃ karontānaññeva aruṇo uggato. Manussā ‘‘hiyyo amhākaṃ niviṭṭhakhandhāvāraṭṭhānamevetaṃ, dārudakampi no khīṇaṃ, idāni naṭṭhamhā’’ti sakaṭāni mocetvā parivaṭṭakena ṭhapetvā matthake maṇḍapaṃ katvā attano attano sakaṭassa heṭṭhā anusocantā nipajjiṃsu.
โพธิสโตฺต ‘‘มยิ วีริยํ โอสฺสชเนฺต สเพฺพ วินสฺสิสฺสนฺตี’’ติ ปาโต สีตลเวลายเมว อาหิณฺฑโนฺต เอกํ ทพฺพติณคจฺฉํ ทิสฺวา ‘‘อิมานิ ติณานิ เหฎฺฐา อุทกสิเนเหน อุฎฺฐิตานิ ภวิสฺสนฺตี’’ติ จิเนฺตตฺวา กุทฺทาลํ คาหาเปตฺวา ตํ ปเทสํ ขณาเปสิ, เต สฎฺฐิหตฺถฎฺฐานํ ขณิํสุฯ เอตฺตกํ ฐานํ ขณิตฺวา ปหรนฺตานํ กุทฺทาโล เหฎฺฐาปาสาเณ ปฎิหญฺญิ, ปหฎมเตฺต สเพฺพ วีริยํ โอสฺสชิํสุฯ โพธิสโตฺต ปน ‘‘อิมสฺส ปาสาณสฺส เหฎฺฐา อุทเกน ภวิตพฺพ’’นฺติ โอตริตฺวา ปาสาเณ ฐิโต โอณมิตฺวา โสตํ โอทหิตฺวา สทฺทํ อาวเชฺชโนฺต เหฎฺฐา อุทกสฺส ปวตฺตนสทฺทํ สุตฺวา อุตฺตริตฺวา จูฬุปฎฺฐากํ อาห – ‘‘ตาต, ตยา วีริเย โอสฺสเฎฺฐ สเพฺพ วินสฺสิสฺสาม, ตฺวํ วีริยํ อโนสฺสชโนฺต อิมํ อยกูฎํ คเหตฺวา อาวาฎํ โอตริตฺวา เอตสฺมิํ ปาสาเณ ปหารํ เทหี’’ติฯ โส ตสฺส วจนํ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา สเพฺพสุ วีริยํ โอสฺสชิตฺวา ฐิเตสุปิ วีริยํ อโนสฺสชโนฺต โอตริตฺวา ปาสาเณ ปหารํ อทาสิฯ ปาสาโณ มเชฺฌ ภิชฺชิตฺวา เหฎฺฐา ปติตฺวา โสตํ สนฺนิรุมฺภิตฺวา อฎฺฐาสิ, ตาลกฺขนฺธปฺปมาณา อุทกวฎฺฎิ อุคฺคญฺฉิฯ สเพฺพ ปานียํ ปิวิตฺวา นฺหายิํสุ, อติเรกานิ อกฺขยุคาทีนิ ผาเลตฺวา ยาคุภตฺตํ ปจิตฺวา ภุญฺชิตฺวา โคเณ จ โภเชตฺวา สูริเย อตฺถงฺคเต อุทกาวาฎสมีเป ธชํ พนฺธิตฺวา อิจฺฉิตฎฺฐานํ อคมํสุฯ เต ตตฺถ ภณฺฑํ วิกฺกิณิตฺวา ทิคุณํ ติคุณํ จตุคฺคุณํ ลาภํ ลภิตฺวา อตฺตโน วสนฎฺฐานเมว อคมํสุฯ เต ตตฺถ ยาวตายุกํ ฐตฺวา ยถากมฺมํ คตา, โพธิสโตฺตปิ ทานาทีนิ ปุญฺญานิ กตฺวา ยถากมฺมเมว คโตฯ
Bodhisatto ‘‘mayi vīriyaṃ ossajante sabbe vinassissantī’’ti pāto sītalavelāyameva āhiṇḍanto ekaṃ dabbatiṇagacchaṃ disvā ‘‘imāni tiṇāni heṭṭhā udakasinehena uṭṭhitāni bhavissantī’’ti cintetvā kuddālaṃ gāhāpetvā taṃ padesaṃ khaṇāpesi, te saṭṭhihatthaṭṭhānaṃ khaṇiṃsu. Ettakaṃ ṭhānaṃ khaṇitvā paharantānaṃ kuddālo heṭṭhāpāsāṇe paṭihaññi, pahaṭamatte sabbe vīriyaṃ ossajiṃsu. Bodhisatto pana ‘‘imassa pāsāṇassa heṭṭhā udakena bhavitabba’’nti otaritvā pāsāṇe ṭhito oṇamitvā sotaṃ odahitvā saddaṃ āvajjento heṭṭhā udakassa pavattanasaddaṃ sutvā uttaritvā cūḷupaṭṭhākaṃ āha – ‘‘tāta, tayā vīriye ossaṭṭhe sabbe vinassissāma, tvaṃ vīriyaṃ anossajanto imaṃ ayakūṭaṃ gahetvā āvāṭaṃ otaritvā etasmiṃ pāsāṇe pahāraṃ dehī’’ti. So tassa vacanaṃ sampaṭicchitvā sabbesu vīriyaṃ ossajitvā ṭhitesupi vīriyaṃ anossajanto otaritvā pāsāṇe pahāraṃ adāsi. Pāsāṇo majjhe bhijjitvā heṭṭhā patitvā sotaṃ sannirumbhitvā aṭṭhāsi, tālakkhandhappamāṇā udakavaṭṭi uggañchi. Sabbe pānīyaṃ pivitvā nhāyiṃsu, atirekāni akkhayugādīni phāletvā yāgubhattaṃ pacitvā bhuñjitvā goṇe ca bhojetvā sūriye atthaṅgate udakāvāṭasamīpe dhajaṃ bandhitvā icchitaṭṭhānaṃ agamaṃsu. Te tattha bhaṇḍaṃ vikkiṇitvā diguṇaṃ tiguṇaṃ catugguṇaṃ lābhaṃ labhitvā attano vasanaṭṭhānameva agamaṃsu. Te tattha yāvatāyukaṃ ṭhatvā yathākammaṃ gatā, bodhisattopi dānādīni puññāni katvā yathākammameva gato.
สมฺมาสมฺพุโทฺธ อิมํ ธมฺมเทสนํ กเถตฺวา อภิสมฺพุโทฺธว อิมํ คาถํ กเถสิ –
Sammāsambuddho imaṃ dhammadesanaṃ kathetvā abhisambuddhova imaṃ gāthaṃ kathesi –
๒.
2.
‘‘อกิลาสุโน วณฺณุปเถ ขณนฺตา, อุทงฺคเณ ตตฺถ ปปํ อวินฺทุํ;
‘‘Akilāsuno vaṇṇupathe khaṇantā, udaṅgaṇe tattha papaṃ avinduṃ;
เอวํ มุนี วีริยพลูปปโนฺน, อกิลาสุ วิเนฺท หทยสฺส สนฺติ’’นฺติฯ
Evaṃ munī vīriyabalūpapanno, akilāsu vinde hadayassa santi’’nti.
ตตฺถ อกิลาสุโนติ นิโกฺกสชฺชา อารทฺธวีริยาฯ วณฺณุปเถติ วณฺณุ วุจฺจติ วาลุกา, วาลุกามเคฺคติ อโตฺถฯ ขณนฺตาติ ภูมิํ ขณมานาฯ อุทงฺคเณติ เอตฺถ อุทาติ นิปาโต, องฺคเณติ มนุสฺสานํ สญฺจรณฎฺฐาเน, อนาวาเฎ ภูมิภาเคติ อโตฺถฯ ตตฺถาติ ตสฺมิํ วณฺณุปเถฯ ปปํ อวินฺทุนฺติ อุทกํ ปฎิลภิํสุฯ อุทกญฺหิ ปปียนภาเวน ‘‘ปปา’’ติ วุจฺจติฯ ปวทฺธํ วา อาปํ ปปํ, มโหทกนฺติ อโตฺถฯ
Tattha akilāsunoti nikkosajjā āraddhavīriyā. Vaṇṇupatheti vaṇṇu vuccati vālukā, vālukāmaggeti attho. Khaṇantāti bhūmiṃ khaṇamānā. Udaṅgaṇeti ettha udāti nipāto, aṅgaṇeti manussānaṃ sañcaraṇaṭṭhāne, anāvāṭe bhūmibhāgeti attho. Tatthāti tasmiṃ vaṇṇupathe. Papaṃ avindunti udakaṃ paṭilabhiṃsu. Udakañhi papīyanabhāvena ‘‘papā’’ti vuccati. Pavaddhaṃ vā āpaṃ papaṃ, mahodakanti attho.
เอวนฺติ โอปมฺมปฎิปาทนํฯ มุนีติ โมนํ วุจฺจติ ญาณํ, กายโมเนยฺยาทีสุ วา อญฺญตรํ, เตน สมนฺนาคตตฺตา ปุคฺคโล ‘‘มุนี’’ติ วุจฺจติฯ โส ปเนส อคาริยมุนิ, อนคาริยมุนิ , เสกฺขมุนิ, อเสกฺขมุนิ, ปเจฺจกพุทฺธมุนิ, มุนิมุนีติ อเนกวิโธฯ ตตฺถ อคาริยมุนีติ คิหี อาคตผโล วิญฺญาตสาสโนฯ อนคาริยมุนีติ ตถารูโปว ปพฺพชิโตฯ เสกฺขมุนีติ สตฺต เสกฺขาฯ อเสกฺขมุนีติ ขีณาสโวฯ ปเจฺจกพุทฺธมุนีติ ปเจฺจกสมฺพุโทฺธฯ มุนิมุนีติ สมฺมาสมฺพุโทฺธฯ อิมสฺมิํ ปนเตฺถ สพฺพสงฺคาหกวเสน โมเนยฺยสงฺขาตาย ปญฺญาย สมนฺนาคโต ‘‘มุนี’’ติ เวทิตโพฺพฯ วีริยพลูปปโนฺนติ วีริเยน เจว กายพลญาณพเลน จ สมนฺนาคโตฯ อกิลาสูติ นิโกฺกสโชฺช –
Evanti opammapaṭipādanaṃ. Munīti monaṃ vuccati ñāṇaṃ, kāyamoneyyādīsu vā aññataraṃ, tena samannāgatattā puggalo ‘‘munī’’ti vuccati. So panesa agāriyamuni, anagāriyamuni , sekkhamuni, asekkhamuni, paccekabuddhamuni, munimunīti anekavidho. Tattha agāriyamunīti gihī āgataphalo viññātasāsano. Anagāriyamunīti tathārūpova pabbajito. Sekkhamunīti satta sekkhā. Asekkhamunīti khīṇāsavo. Paccekabuddhamunīti paccekasambuddho. Munimunīti sammāsambuddho. Imasmiṃ panatthe sabbasaṅgāhakavasena moneyyasaṅkhātāya paññāya samannāgato ‘‘munī’’ti veditabbo. Vīriyabalūpapannoti vīriyena ceva kāyabalañāṇabalena ca samannāgato. Akilāsūti nikkosajjo –
‘‘กามํ ตโจ จ นฺหารุ จ, อฎฺฐิ จ อวสิสฺสตุ;
‘‘Kāmaṃ taco ca nhāru ca, aṭṭhi ca avasissatu;
อุปสุสฺสตุ นิเสฺสสํ, สรีเร มํสโลหิต’’นฺติฯ –
Upasussatu nissesaṃ, sarīre maṃsalohita’’nti. –
เอวํ วุเตฺตน จตุรงฺคสมนฺนาคเตน วีริเยน สมนฺนาคตตฺตา อนลโสฯ วิเนฺท หทยสฺส สนฺตินฺติ จิตฺตสฺสปิ หทยรูปสฺสปิ สีตลภาวกรเณน ‘‘สนฺติ’’นฺติ สงฺขํ คตํ ฌานวิปสฺสนาภิญฺญาอรหตฺตมคฺคญาณสงฺขาตํ อริยธมฺมํ วินฺทติ ปฎิลภตีติ อโตฺถฯ ภควตา หิ –
Evaṃ vuttena caturaṅgasamannāgatena vīriyena samannāgatattā analaso. Vinde hadayassa santinti cittassapi hadayarūpassapi sītalabhāvakaraṇena ‘‘santi’’nti saṅkhaṃ gataṃ jhānavipassanābhiññāarahattamaggañāṇasaṅkhātaṃ ariyadhammaṃ vindati paṭilabhatīti attho. Bhagavatā hi –
‘‘ทุกฺขํ, ภิกฺขเว, กุสีโต วิหรติ โวกิโณฺณ ปาปเกหิ อกุสเลหิ ธเมฺมหิ, มหนฺตญฺจ สทตฺถํ ปริหาเปติฯ อารทฺธวีริโย จ โข, ภิกฺขเว, สุขํ วิหรติ ปวิวิโตฺต ปาปเกหิ อกุสเลหิ ธเมฺมหิ, มหนฺตญฺจ สทตฺถํ ปริปูเรติ, น, ภิกฺขเว, หีเนน อคฺคสฺส ปตฺติ โหตี’’ติ (สํ. นิ. ๒.๒๒) –
‘‘Dukkhaṃ, bhikkhave, kusīto viharati vokiṇṇo pāpakehi akusalehi dhammehi, mahantañca sadatthaṃ parihāpeti. Āraddhavīriyo ca kho, bhikkhave, sukhaṃ viharati pavivitto pāpakehi akusalehi dhammehi, mahantañca sadatthaṃ paripūreti, na, bhikkhave, hīnena aggassa patti hotī’’ti (saṃ. ni. 2.22) –
เอวํ อเนเกหิ สุเตฺตหิ กุสีตสฺส ทุกฺขวิหาโร, อารทฺธวีริยสฺส จ สุขวิหาโร สํวณฺณิโตฯ อิธาปิ อารทฺธวีริยสฺส อกตาภินิเวสสฺส วิปสฺสกสฺส วีริยพเลน อธิคนฺตพฺพํ ตเมว สุขวิหารํ ทเสฺสโนฺต ‘‘เอวํ มุนี วีริยพลูปปโนฺน, อกิลาสุ วิเนฺท หทยสฺส สนฺติ’’นฺติ อาหฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยถา เต วาณิชา อกิลาสุโน วณฺณุปเถ ขณนฺตา อุทกํ ลภิํสุ, เอวํ อิมสฺมิมฺปิ สาสเน อกิลาสุ หุตฺวา วายมมาโน ปณฺฑิโต ภิกฺขุ อิมํ ฌานาทิเภทํ หทยสฺส สนฺติํ ลภติฯ โส ตฺวํ ภิกฺขุ ปุเพฺพ อุทกมตฺตสฺส อตฺถาย วีริยํ กตฺวา อิทานิ เอวรูเป มคฺคผลทายเก นิยฺยานิกสาสเน กสฺมา วีริยํ โอสฺสชสีติ เอวํ อิมํ ธมฺมเทสนํ ทเสฺสตฺวา จตฺตาริ สจฺจานิ ปกาเสสิ, สจฺจปริโยสาเน โอสฺสฎฺฐวีริโย ภิกฺขุ อคฺคผเล อรหเตฺต ปติฎฺฐาสิฯ
Evaṃ anekehi suttehi kusītassa dukkhavihāro, āraddhavīriyassa ca sukhavihāro saṃvaṇṇito. Idhāpi āraddhavīriyassa akatābhinivesassa vipassakassa vīriyabalena adhigantabbaṃ tameva sukhavihāraṃ dassento ‘‘evaṃ munī vīriyabalūpapanno, akilāsu vinde hadayassa santi’’nti āha. Idaṃ vuttaṃ hoti – yathā te vāṇijā akilāsuno vaṇṇupathe khaṇantā udakaṃ labhiṃsu, evaṃ imasmimpi sāsane akilāsu hutvā vāyamamāno paṇḍito bhikkhu imaṃ jhānādibhedaṃ hadayassa santiṃ labhati. So tvaṃ bhikkhu pubbe udakamattassa atthāya vīriyaṃ katvā idāni evarūpe maggaphaladāyake niyyānikasāsane kasmā vīriyaṃ ossajasīti evaṃ imaṃ dhammadesanaṃ dassetvā cattāri saccāni pakāsesi, saccapariyosāne ossaṭṭhavīriyo bhikkhu aggaphale arahatte patiṭṭhāsi.
สตฺถาปิ เทฺว วตฺถูนิ กเถตฺวา อนุสนฺธิํ ฆเฎตฺวา ชาตกํ สโมธาเนตฺวา ทเสฺสสิ ‘‘ตสฺมิํ สมเย วีริยํ อโนสฺสชิตฺวา ปาสาณํ ภินฺทิตฺวา มหาชนสฺส อุทกทายโก จูฬุปฎฺฐาโก อยํ โอสฺสฎฺฐวีริโย ภิกฺขุ อโหสิ, อวเสสปริสา อิทานิ พุทฺธปริสา ชาตา, สตฺถวาหเชฎฺฐโก ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติ เทสนํ นิฎฺฐาเปสิฯ
Satthāpi dve vatthūni kathetvā anusandhiṃ ghaṭetvā jātakaṃ samodhānetvā dassesi ‘‘tasmiṃ samaye vīriyaṃ anossajitvā pāsāṇaṃ bhinditvā mahājanassa udakadāyako cūḷupaṭṭhāko ayaṃ ossaṭṭhavīriyo bhikkhu ahosi, avasesaparisā idāni buddhaparisā jātā, satthavāhajeṭṭhako pana ahameva ahosi’’nti desanaṃ niṭṭhāpesi.
วณฺณุปถชาตกวณฺณนา ทุติยาฯ
Vaṇṇupathajātakavaṇṇanā dutiyā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๒. วณฺณุปถชาตกํ • 2. Vaṇṇupathajātakaṃ