Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
๘. วรุณวโคฺค
8. Varuṇavaggo
[๗๑] ๑. วรุณชาตกวณฺณนา
[71] 1. Varuṇajātakavaṇṇanā
โย ปุเพฺพ กรณียานีติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต กุฎุมฺพิกปุตฺตติสฺสเตฺถรํ อารพฺภ กเถสิฯ เอกสฺมิํ กิร ทิวเส สาวตฺถิวาสิโน อญฺญมญฺญสหายกา ติํสมตฺตา กุลปุตฺตา คนฺธปุปฺผวตฺถาทีนิ คเหตฺวา ‘‘สตฺถุ ธมฺมเทสนํ สุณิสฺสามา’’ติ มหาชนปริวุตา เชตวนํ คนฺตฺวา นาคมาฬกสาลมาฬกาทีสุ โถกํ นิสีทิตฺวา สายนฺหสมเย สตฺถริ สุรภิคนฺธวาสิตาย คนฺธกุฎิโต นิกฺขมิตฺวา ธมฺมสภํ คนฺตฺวา อลงฺกตพุทฺธาสเน นิสิเนฺน สปริวารา ธมฺมสภํ คนฺตฺวา สตฺถารํ คนฺธปุเปฺผหิ ปูเชตฺวา จกฺกงฺกิตตเลสุ ผุลฺลปทุมสสฺสิริเกสุ ปาเทสุ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสินฺนา ธมฺมํ สุณิํสุฯ
Yopubbe karaṇīyānīti idaṃ satthā jetavane viharanto kuṭumbikaputtatissattheraṃ ārabbha kathesi. Ekasmiṃ kira divase sāvatthivāsino aññamaññasahāyakā tiṃsamattā kulaputtā gandhapupphavatthādīni gahetvā ‘‘satthu dhammadesanaṃ suṇissāmā’’ti mahājanaparivutā jetavanaṃ gantvā nāgamāḷakasālamāḷakādīsu thokaṃ nisīditvā sāyanhasamaye satthari surabhigandhavāsitāya gandhakuṭito nikkhamitvā dhammasabhaṃ gantvā alaṅkatabuddhāsane nisinne saparivārā dhammasabhaṃ gantvā satthāraṃ gandhapupphehi pūjetvā cakkaṅkitatalesu phullapadumasassirikesu pādesu vanditvā ekamantaṃ nisinnā dhammaṃ suṇiṃsu.
อถ เนสํ เอตทโหสิ ‘‘ยถา ยถา โข มยํ ภควตา ธมฺมํ เทสิตํ อาชานาม, ปพฺพเชยฺยามา’’ติฯ เต ตถาคตสฺส ธมฺมสภาโต นิกฺขนฺตกาเล ตถาคตํ อุปสงฺกมิตฺวา วนฺทิตฺวา ปพฺพชฺชํ ยาจิํสุ, สตฺถา เตสํ ปพฺพชฺชํ อทาสิฯ เต อาจริยุปชฺฌาเย อาราเธตฺวา อุปสมฺปทํ ลภิตฺวา ปญฺจ วสฺสานิ อาจริยุปชฺฌายานํ สนฺติเก วสิตฺวา เทฺว มาติกา ปคุณํ กตฺวา กปฺปิยากปฺปิยํ ญตฺวา ติโสฺส อนุโมทนา อุคฺคณฺหิตฺวา จีวรานิ สิเพฺพตฺวา รชิตฺวา ‘‘สมณธมฺมํ กริสฺสามา’’ติ อาจริยุปชฺฌาเย อาปุจฺฉิตฺวา สตฺถารํ อุปสงฺกมิตฺวา วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิตฺวา ‘‘มยํ, ภเนฺต, ภเวสุ อุกฺกณฺฐิตา ชาติชราพฺยาธิมรณภยภีตา, เตสํ โน สํสารปริโมจนตฺถาย กมฺมฎฺฐานํ กเถถา’’ติ ยาจิํสุฯ สตฺถา เตสํ อฎฺฐติํสาย กมฺมฎฺฐาเนสุ สปฺปายํ วิจินิตฺวา กมฺมฎฺฐานํ กเถสิฯ เต สตฺถุ สนฺติเก กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา ปริเวณํ คนฺตฺวา อาจริยุปชฺฌาเย โอโลเกตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย ‘‘สมณธมฺมํ กริสฺสามา’’ติ นิกฺขมิํสุฯ
Atha nesaṃ etadahosi ‘‘yathā yathā kho mayaṃ bhagavatā dhammaṃ desitaṃ ājānāma, pabbajeyyāmā’’ti. Te tathāgatassa dhammasabhāto nikkhantakāle tathāgataṃ upasaṅkamitvā vanditvā pabbajjaṃ yāciṃsu, satthā tesaṃ pabbajjaṃ adāsi. Te ācariyupajjhāye ārādhetvā upasampadaṃ labhitvā pañca vassāni ācariyupajjhāyānaṃ santike vasitvā dve mātikā paguṇaṃ katvā kappiyākappiyaṃ ñatvā tisso anumodanā uggaṇhitvā cīvarāni sibbetvā rajitvā ‘‘samaṇadhammaṃ karissāmā’’ti ācariyupajjhāye āpucchitvā satthāraṃ upasaṅkamitvā vanditvā ekamantaṃ nisīditvā ‘‘mayaṃ, bhante, bhavesu ukkaṇṭhitā jātijarābyādhimaraṇabhayabhītā, tesaṃ no saṃsāraparimocanatthāya kammaṭṭhānaṃ kathethā’’ti yāciṃsu. Satthā tesaṃ aṭṭhatiṃsāya kammaṭṭhānesu sappāyaṃ vicinitvā kammaṭṭhānaṃ kathesi. Te satthu santike kammaṭṭhānaṃ gahetvā satthāraṃ vanditvā padakkhiṇaṃ katvā pariveṇaṃ gantvā ācariyupajjhāye oloketvā pattacīvaramādāya ‘‘samaṇadhammaṃ karissāmā’’ti nikkhamiṃsu.
อถ เนสํ อพฺภนฺตเร เอโก ภิกฺขุ นาเมน กุฎุมฺพิกปุตฺตติสฺสเตฺถโร นาม กุสีโต หีนวีริโย รสคิโทฺธฯ โส เอวํ จิเนฺตสิ ‘‘อหํ เนว อรเญฺญ วสิตุํ, น ปธานํ ปทหิตุํ, น ภิกฺขาจริยาย ยาเปตุํ สกฺขิสฺสามิ, โก เม คมเนน อโตฺถ, นิวตฺติสฺสามี’’ติ โส วีริยํ โอสฺสชิตฺวา เต ภิกฺขู อนุคนฺตฺวา นิวตฺติฯ เตปิ โข ภิกฺขู โกสเลสุ จาริกํ จรมานา อญฺญตรํ ปจฺจนฺตคามํ คนฺตฺวา ตํ อุปนิสฺสาย เอกสฺมิํ อรญฺญายตเน วสฺสํ อุปคนฺตฺวา อโนฺตเตมาสํ อปฺปมตฺตา ฆเฎนฺตา วายมนฺตา วิปสฺสนาคพฺภํ คาหาเปตฺวา ปถวิํ อุนฺนาทยมานา อรหตฺตํ ปตฺวา วุตฺถวสฺสา ปวาเรตฺวา ‘‘ปฎิลทฺธคุณํ สตฺถุ อาโรเจสฺสามา’’ติ ตโต นิกฺขมิตฺวา อนุปุเพฺพน เชตวนํ ปตฺวา ปตฺตจีวรํ ปฎิสาเมตฺวา อาจริยุปชฺฌาเย ทิสฺวา ตถาคตํ ทฎฺฐุกามา สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา วนฺทิตฺวา นิสีทิํสุฯ สตฺถา เตหิ สทฺธิํ มธุรปฎิสนฺถารํ อกาสิฯ เต กตปฎิสนฺถารา อตฺตนา ปฎิลทฺธคุณํ ตถาคตสฺส อาโรเจสุํ, สตฺถา เต ภิกฺขู ปสํสิฯ กุฎุมฺพิกปุตฺตติสฺสเตฺถโร สตฺถารํ เตสํ คุณกถํ กเถนฺตํ ทิสฺวา สยมฺปิ สมณธมฺมํ กาตุกาโม ชาโตฯ เตปิ โข ภิกฺขู ‘‘มยํ, ภเนฺต, ตเมว อรญฺญวาสํ คนฺตฺวา วสิสฺสามา’’ติ สตฺถารํ อาปุจฺฉิํสุฯ สตฺถา ‘‘สาธู’’ติ อนุชานิฯ เต สตฺถารํ วนฺทิตฺวา ปริเวณํ อคมํสุฯ
Atha nesaṃ abbhantare eko bhikkhu nāmena kuṭumbikaputtatissatthero nāma kusīto hīnavīriyo rasagiddho. So evaṃ cintesi ‘‘ahaṃ neva araññe vasituṃ, na padhānaṃ padahituṃ, na bhikkhācariyāya yāpetuṃ sakkhissāmi, ko me gamanena attho, nivattissāmī’’ti so vīriyaṃ ossajitvā te bhikkhū anugantvā nivatti. Tepi kho bhikkhū kosalesu cārikaṃ caramānā aññataraṃ paccantagāmaṃ gantvā taṃ upanissāya ekasmiṃ araññāyatane vassaṃ upagantvā antotemāsaṃ appamattā ghaṭentā vāyamantā vipassanāgabbhaṃ gāhāpetvā pathaviṃ unnādayamānā arahattaṃ patvā vutthavassā pavāretvā ‘‘paṭiladdhaguṇaṃ satthu ārocessāmā’’ti tato nikkhamitvā anupubbena jetavanaṃ patvā pattacīvaraṃ paṭisāmetvā ācariyupajjhāye disvā tathāgataṃ daṭṭhukāmā satthu santikaṃ gantvā vanditvā nisīdiṃsu. Satthā tehi saddhiṃ madhurapaṭisanthāraṃ akāsi. Te katapaṭisanthārā attanā paṭiladdhaguṇaṃ tathāgatassa ārocesuṃ, satthā te bhikkhū pasaṃsi. Kuṭumbikaputtatissatthero satthāraṃ tesaṃ guṇakathaṃ kathentaṃ disvā sayampi samaṇadhammaṃ kātukāmo jāto. Tepi kho bhikkhū ‘‘mayaṃ, bhante, tameva araññavāsaṃ gantvā vasissāmā’’ti satthāraṃ āpucchiṃsu. Satthā ‘‘sādhū’’ti anujāni. Te satthāraṃ vanditvā pariveṇaṃ agamaṃsu.
อถ โส กุฎุมฺพิกปุตฺตติสฺสเตฺถโร รตฺติภาคสมนนฺตเร อจฺจารทฺธวีริโย หุตฺวา อติเวเคน สมณธมฺมํ กโรโนฺต มชฺฌิมยามสมนนฺตเร อาลมฺพนผลกํ นิสฺสาย ฐิตโกว นิทฺทายโนฺต ปริวตฺติตฺวา ปติ, อูรุฎฺฐิกํ ภิชฺชิ, เวทนา มหนฺตา ชาตาฯ เตสํ ภิกฺขูนํ ตํ ปฎิชคฺคนฺตานํ คมนํ น สมฺปชฺชิฯ อถ เน อุปฎฺฐานเวลายํ อาคเต สตฺถา ปุจฺฉิ ‘‘นนุ ตุเมฺห, ภิกฺขเว, ‘เสฺว คมิสฺสามา’ติ หิโยฺย อาปุจฺฉิตฺถา’’ติ? ‘‘อาม, ภเนฺต, อปิจ โข ปน อมฺหากํ สหายโก กุฎุมฺพิกปุตฺตติสฺสเตฺถโร อกาเล อติเวเคน สมณธมฺมํ กโรโนฺต นิทฺทาภิภูโต ปริวตฺติตฺวา ปติโต, อูรุฎฺฐิสฺส ภินฺนํ, ตํ นิสฺสาย อมฺหากํ คมนํ น สมฺปชฺชี’’ติฯ สตฺถา ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนเวส อตฺตโน หีนวีริยภาเวน อกาเล อติเวเคน วีริยํ กโรโนฺต ตุมฺหากํ คมนนฺตรายํ กโรติ, ปุเพฺพเปส ตุมฺหากํ คมนนฺตรายํ อกาสิเยวา’’ติ วตฺวา เตหิ ยาจิโต อตีตํ อาหริฯ
Atha so kuṭumbikaputtatissatthero rattibhāgasamanantare accāraddhavīriyo hutvā ativegena samaṇadhammaṃ karonto majjhimayāmasamanantare ālambanaphalakaṃ nissāya ṭhitakova niddāyanto parivattitvā pati, ūruṭṭhikaṃ bhijji, vedanā mahantā jātā. Tesaṃ bhikkhūnaṃ taṃ paṭijaggantānaṃ gamanaṃ na sampajji. Atha ne upaṭṭhānavelāyaṃ āgate satthā pucchi ‘‘nanu tumhe, bhikkhave, ‘sve gamissāmā’ti hiyyo āpucchitthā’’ti? ‘‘Āma, bhante, apica kho pana amhākaṃ sahāyako kuṭumbikaputtatissatthero akāle ativegena samaṇadhammaṃ karonto niddābhibhūto parivattitvā patito, ūruṭṭhissa bhinnaṃ, taṃ nissāya amhākaṃ gamanaṃ na sampajjī’’ti. Satthā ‘‘na, bhikkhave, idānevesa attano hīnavīriyabhāvena akāle ativegena vīriyaṃ karonto tumhākaṃ gamanantarāyaṃ karoti, pubbepesa tumhākaṃ gamanantarāyaṃ akāsiyevā’’ti vatvā tehi yācito atītaṃ āhari.
อตีเต คนฺธารรเฎฺฐ ตกฺกสิลายํ โพธิสโตฺต ทิสาปาโมโกฺข อาจริโย หุตฺวา ปญฺจ มาณวกสตานิ สิปฺปํ อุคฺคณฺหาเปสิฯ อถสฺส เต มาณวา เอกทิวสํ ทารุํ อาหรณตฺถาย อรญฺญํ คนฺตฺวา ทารูนิ อุทฺธริํสุฯ เตสํ อนฺตเร เอโก กุสีตมาณโว มหนฺตํ วรุณรุกฺขํ ทิสฺวา ‘‘สุกฺขรุโกฺข เอโส’’ติ สญฺญาย ‘‘มุหุตฺตํ ตาว นิปชฺชิตฺวา ปจฺฉา รุกฺขํ อภิรุหิตฺวา ทารูนิ ปาเตตฺวา อาทาย คมิสฺสามี’’ติ อุตฺตริสาฎกํ ปตฺถริตฺวา นิปชฺชิตฺวา กากจฺฉมาโน นิทฺทํ โอกฺกมิฯ อิตเร มาณวกา ทารุกลาเป พนฺธิตฺวา อาทาย คจฺฉนฺตา ตํ ปาเทน ปิฎฺฐิยํ ปหริตฺวา ปโพเธตฺวา อคมํสุฯ กุสีตมาณโว อุฎฺฐาย อกฺขีนิ ปุญฺฉิตฺวา ปุญฺฉิตฺวา อวิคตนิโทฺทว วรุณรุกฺขํ อภิรุหิตฺวา สาขํ คเหตฺวา อตฺตโน อภิมุขํ อากฑฺฒิตฺวา ภญฺชโนฺต ภิชฺชิตฺวา อุฎฺฐิตโกฎิยา อตฺตโน อกฺขิํ ภินฺทาเปตฺวา เอเกน หเตฺถน ตํ ปิธาย เอเกน หเตฺถน อลฺลทารูนิ ภญฺชิตฺวา รุกฺขโต โอรุยฺห ทารุกลาปํ พนฺธิตฺวา อุกฺขิปิตฺวา เวเคน คนฺตฺวา เตหิ ปาติตานํ ทารูนํ อุปริ ปาเตสิฯ
Atīte gandhāraraṭṭhe takkasilāyaṃ bodhisatto disāpāmokkho ācariyo hutvā pañca māṇavakasatāni sippaṃ uggaṇhāpesi. Athassa te māṇavā ekadivasaṃ dāruṃ āharaṇatthāya araññaṃ gantvā dārūni uddhariṃsu. Tesaṃ antare eko kusītamāṇavo mahantaṃ varuṇarukkhaṃ disvā ‘‘sukkharukkho eso’’ti saññāya ‘‘muhuttaṃ tāva nipajjitvā pacchā rukkhaṃ abhiruhitvā dārūni pātetvā ādāya gamissāmī’’ti uttarisāṭakaṃ pattharitvā nipajjitvā kākacchamāno niddaṃ okkami. Itare māṇavakā dārukalāpe bandhitvā ādāya gacchantā taṃ pādena piṭṭhiyaṃ paharitvā pabodhetvā agamaṃsu. Kusītamāṇavo uṭṭhāya akkhīni puñchitvā puñchitvā avigataniddova varuṇarukkhaṃ abhiruhitvā sākhaṃ gahetvā attano abhimukhaṃ ākaḍḍhitvā bhañjanto bhijjitvā uṭṭhitakoṭiyā attano akkhiṃ bhindāpetvā ekena hatthena taṃ pidhāya ekena hatthena alladārūni bhañjitvā rukkhato oruyha dārukalāpaṃ bandhitvā ukkhipitvā vegena gantvā tehi pātitānaṃ dārūnaṃ upari pātesi.
ตํ ทิวสญฺจ ชนปทคามเก เอกํ กุลํ ‘‘เสฺว พฺราหฺมณวาจนกํ กริสฺสามา’’ติ อาจริยํ นิมเนฺตสิฯ อาจริโย มาณวเก อาห ‘‘ตาตา, เสฺว เอกํ คามกํ คนฺตพฺพํ, ตุเมฺห ปน นิราหารา น สกฺขิสฺสถ คนฺตุํ, ปาโตว ยาคุํ ปจาเปตฺวา ตตฺถ คนฺตฺวา อตฺตนา ลทฺธโกฎฺฐาสญฺจ อมฺหากํ ปตฺตโกฎฺฐาสญฺจ สพฺพมาทาย อาคจฺฉถา’’ติฯ เต ปาโตว ยาคุปจนตฺถาย ทาสิํ อุฎฺฐาเปตฺวา ‘‘ขิปฺปํ โน ยาคุํ ปจาหี’’ติ อาหํสุฯ สา ทารูนิ คณฺหนฺตี อุปริ ฐิตานิ อลฺลวรุณทารูนิ คเหตฺวา ปุนปฺปุนํ มุขวาตํ ททมานาปิ อคฺคิํ อุชฺชาเลตุํ อสโกฺกนฺตี สูริยํ อุฎฺฐาเปสิฯ มาณวกา ‘‘อติทิวา ชาโต, อิทานิ น สกฺกา คนฺตุ’’นฺติ อาจริยสฺส สนฺติกํ อคมิํสุฯ อาจริโย ‘‘กิํ, ตาตา, น คตตฺถา’’ติ? ‘‘อาม, อาจริย น คตมฺหา’’ติฯ ‘‘กิํการณา’’ติ? ‘‘อสุโก นาม กุสีตมาณโว อเมฺหหิ สทฺธิํ ทารูนมตฺถาย อรญฺญํ คนฺตฺวา วรุณรุกฺขมูเล นิทฺทายิตฺวา ปจฺฉา เวเคน รุกฺขํ อารุยฺห อกฺขิํ ภินฺทาเปตฺวา อลฺลวรุณทารูนิ อาหริตฺวา อเมฺหหิ อานีตทารูนํ อุปริ ปกฺขิปิฯ ยาคุปาจิกา ตานิ สุกฺขทารุสญฺญาย คเหตฺวา ยาว สูริยุคฺคมนา อุชฺชาเลตุํ นาสกฺขิฯ อิมินา โน การเณน คมนนฺตราโย ชาโต’’ติฯ อาจริโย มาณเวน กตกมฺมํ สุตฺวา ‘‘อนฺธพาลานํ กมฺมํ นิสฺสาย เอวรูปา ปริหานิ โหตี’’ติ วตฺวา อิมํ คาถํ สมุฎฺฐาเปสิ –
Taṃ divasañca janapadagāmake ekaṃ kulaṃ ‘‘sve brāhmaṇavācanakaṃ karissāmā’’ti ācariyaṃ nimantesi. Ācariyo māṇavake āha ‘‘tātā, sve ekaṃ gāmakaṃ gantabbaṃ, tumhe pana nirāhārā na sakkhissatha gantuṃ, pātova yāguṃ pacāpetvā tattha gantvā attanā laddhakoṭṭhāsañca amhākaṃ pattakoṭṭhāsañca sabbamādāya āgacchathā’’ti. Te pātova yāgupacanatthāya dāsiṃ uṭṭhāpetvā ‘‘khippaṃ no yāguṃ pacāhī’’ti āhaṃsu. Sā dārūni gaṇhantī upari ṭhitāni allavaruṇadārūni gahetvā punappunaṃ mukhavātaṃ dadamānāpi aggiṃ ujjāletuṃ asakkontī sūriyaṃ uṭṭhāpesi. Māṇavakā ‘‘atidivā jāto, idāni na sakkā gantu’’nti ācariyassa santikaṃ agamiṃsu. Ācariyo ‘‘kiṃ, tātā, na gatatthā’’ti? ‘‘Āma, ācariya na gatamhā’’ti. ‘‘Kiṃkāraṇā’’ti? ‘‘Asuko nāma kusītamāṇavo amhehi saddhiṃ dārūnamatthāya araññaṃ gantvā varuṇarukkhamūle niddāyitvā pacchā vegena rukkhaṃ āruyha akkhiṃ bhindāpetvā allavaruṇadārūni āharitvā amhehi ānītadārūnaṃ upari pakkhipi. Yāgupācikā tāni sukkhadārusaññāya gahetvā yāva sūriyuggamanā ujjāletuṃ nāsakkhi. Iminā no kāraṇena gamanantarāyo jāto’’ti. Ācariyo māṇavena katakammaṃ sutvā ‘‘andhabālānaṃ kammaṃ nissāya evarūpā parihāni hotī’’ti vatvā imaṃ gāthaṃ samuṭṭhāpesi –
๗๑.
71.
‘‘โย ปุเพฺพ กรณียานิ, ปจฺฉา โส กาตุมิจฺฉติ;
‘‘Yo pubbe karaṇīyāni, pacchā so kātumicchati;
วรุณกฎฺฐภโญฺชว, ส ปจฺฉา มนุตปฺปตี’’ติฯ
Varuṇakaṭṭhabhañjova, sa pacchā manutappatī’’ti.
ตตฺถ ส ปจฺฉา มนุตปฺปตีติ โย โกจิ ปุคฺคโล ‘‘อิทํ ปุเพฺพ กตฺตพฺพํ, อิทํ ปจฺฉา’’ติ อวีมํสิตฺวา ปุเพฺพ กรณียานิ ปฐมเมว กตฺตพฺพกมฺมานิ ปจฺฉา กโรติ, อยํ วรุณกฎฺฐภโญฺช อมฺหากํ มาณวโก วิย โส พาลปุคฺคโล ปจฺฉา อนุตปฺปติ โสจติ ปริเทวตีติ อโตฺถฯ
Tattha sa pacchā manutappatīti yo koci puggalo ‘‘idaṃ pubbe kattabbaṃ, idaṃ pacchā’’ti avīmaṃsitvā pubbe karaṇīyāni paṭhamameva kattabbakammāni pacchā karoti, ayaṃ varuṇakaṭṭhabhañjo amhākaṃ māṇavako viya so bālapuggalo pacchā anutappati socati paridevatīti attho.
เอวํ โพธิสโตฺต อเนฺตวาสิกานํ อิมํ การณํ กเถตฺวา ทานาทีนิ ปุญฺญานิ กริตฺวา ชีวิตปริโยสาเน ยถากมฺมํ คโตฯ
Evaṃ bodhisatto antevāsikānaṃ imaṃ kāraṇaṃ kathetvā dānādīni puññāni karitvā jīvitapariyosāne yathākammaṃ gato.
สตฺถา ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนเวส ตุมฺหากํ อนฺตรายํ กโรติ, ปุเพฺพปิ อกาสิเยวา’’ติ อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา อนุสนฺธิํ ฆเฎตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ ‘‘ตทา อกฺขิเภทํ ปโตฺต มาณโว อูรุเภทํ ปตฺตภิกฺขุ อโหสิ, เสสมาณวา พุทฺธปริสา, อาจริยพฺราหฺมโณ ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā ‘‘na, bhikkhave, idānevesa tumhākaṃ antarāyaṃ karoti, pubbepi akāsiyevā’’ti imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā anusandhiṃ ghaṭetvā jātakaṃ samodhānesi ‘‘tadā akkhibhedaṃ patto māṇavo ūrubhedaṃ pattabhikkhu ahosi, sesamāṇavā buddhaparisā, ācariyabrāhmaṇo pana ahameva ahosi’’nti.
วรุณชาตกวณฺณนา ปฐมาฯ
Varuṇajātakavaṇṇanā paṭhamā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๗๑. วรุณชาตกํ • 71. Varuṇajātakaṃ