Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถา • Suttanipāta-aṭṭhakathā

    ๙. วาเสฎฺฐสุตฺตวณฺณนา

    9. Vāseṭṭhasuttavaṇṇanā

    เอวํ เม สุตนฺติ วาเสฎฺฐสุตฺตํฯ กา อุปฺปตฺติ? อยเมว ยาสฺส นิทาเน วุตฺตา อตฺถวณฺณนํ ปนสฺส วุตฺตนยานิ อุตฺตานตฺถานิ จ ปทานิ ปริหรนฺตา กริสฺสามฯ อิจฺฉานงฺคโลติ คามสฺส นามํฯ พฺราหฺมณมหาสาลานํ จงฺกี ตารุโกฺข โตเทโยฺยติ โวหารนามเมตํฯ โปกฺขรสาติ ชาณุโสฺสณีติ เนมิตฺติกํฯ เตสุ กิร เอโก หิมวนฺตปเสฺส โปกฺขรณิยา ปทุเม นิพฺพโตฺต, อญฺญตโร ตาปโส ตํ ปทุมํ คเหตฺวา ตตฺถ สยิตํ ทารกํ ทิสฺวา สํวเฑฺฒตฺวา รโญฺญ ทเสฺสสิฯ โปกฺขเร สยิตตฺตา ‘‘โปกฺขรสาตี’’ติ จสฺส นามมกาสิฯ เอกสฺส ฐานนฺตเร เนมิตฺติกํฯ เตน กิร ชาณุโสฺสณินามกํ ปุโรหิตฎฺฐานํ ลทฺธํ, โส เตเนว ปญฺญายิฯ

    Evaṃme sutanti vāseṭṭhasuttaṃ. Kā uppatti? Ayameva yāssa nidāne vuttā atthavaṇṇanaṃ panassa vuttanayāni uttānatthāni ca padāni pariharantā karissāma. Icchānaṅgaloti gāmassa nāmaṃ. Brāhmaṇamahāsālānaṃ caṅkī tārukkho todeyyoti vohāranāmametaṃ. Pokkharasāti jāṇussoṇīti nemittikaṃ. Tesu kira eko himavantapasse pokkharaṇiyā padume nibbatto, aññataro tāpaso taṃ padumaṃ gahetvā tattha sayitaṃ dārakaṃ disvā saṃvaḍḍhetvā rañño dassesi. Pokkhare sayitattā ‘‘pokkharasātī’’ti cassa nāmamakāsi. Ekassa ṭhānantare nemittikaṃ. Tena kira jāṇussoṇināmakaṃ purohitaṭṭhānaṃ laddhaṃ, so teneva paññāyi.

    เต สเพฺพปิ อเญฺญ จ อภิญฺญาตา อภิญฺญาตา พฺราหฺมณมหาสาลา กสฺมา อิจฺฉานงฺคเล ปฎิวสนฺตีติ? เวทสชฺฌายนปริวีมํสนตฺถํฯ เตน กิร สมเยน โกสลชนปเท เวทกา พฺราหฺมณา เวทานํ สชฺฌายกรณตฺถญฺจ อตฺถูปปริกฺขณตฺถญฺจ ตสฺมิํเยว คาเม สนฺนิปตนฺติฯ เตน เตปิ อนฺตรนฺตรา อตฺตโน โภคคามโต อาคมฺม ตตฺถ ปฎิวสนฺติฯ

    Te sabbepi aññe ca abhiññātā abhiññātā brāhmaṇamahāsālā kasmā icchānaṅgale paṭivasantīti? Vedasajjhāyanaparivīmaṃsanatthaṃ. Tena kira samayena kosalajanapade vedakā brāhmaṇā vedānaṃ sajjhāyakaraṇatthañca atthūpaparikkhaṇatthañca tasmiṃyeva gāme sannipatanti. Tena tepi antarantarā attano bhogagāmato āgamma tattha paṭivasanti.

    วาเสฎฺฐภารทฺวาชานนฺติ วาเสฎฺฐสฺส จ ภารทฺวาชสฺส จฯ อยมนฺตรากถาติ ยํ อตฺตโน สหายกภาวานุรูปํ กถํ กเถนฺตา อนุวิจริํสุ, ตสฺสา กถาย อนฺตรา เวมเชฺฌเยว อยํ อญฺญา กถา อุทปาทีติ วุตฺตํ โหติฯ สํสุทฺธคหณิโกติ สํสุทฺธกุจฺฉิโก, สํสุทฺธาย พฺราหฺมณิยา เอว กุจฺฉิสฺมิํ นิพฺพโตฺตติ อธิปฺปาโยฯ ‘‘สมเวปากินิยา คหณิยา’’ติอาทีสุ หิ อุทรคฺคิ ‘‘คหณี’’ติ วุจฺจติฯ อิธ ปน มาตุกุจฺฉิฯ ยาว สตฺตมาติ มาตุ มาตา, ปิตุ ปิตาติ เอวํ ปฎิโลเมน ยาว สตฺต ชาติโยฯ เอตฺถ จ ปิตามโห จ ปิตามหี จ ปิตามหา, ตถา มาตามโห จ มาตามหี จ มาตามหา, ปิตามหา จ มาตามหา จ ปิตามหาเยวฯ ปิตามหานํ ยุคํ ปิตามหยุคํฯ ยุคนฺติ อายุปฺปมาณํฯ อภิลาปมตฺตเมว เจตํ, อตฺถโต ปน ปิตามหาเยว ปิตามหยุคํฯ อกฺขิโตฺตติ ชาติํ อารพฺภ ‘‘กิํ โส’’ติ เกนจิ อนวญฺญาโต ฯ อนุปกฺกุโฎฺฐติ ชาติสโนฺทสวาเทน อนุปกฺกุฎฺฐปุโพฺพฯ วตสมฺปโนฺนติ อาจารสมฺปโนฺนฯ สญฺญาเปตุนฺติ ญาเปตุํ โพเธตุํ, นิรนฺตรํ กาตุนฺติ วุตฺตํ โหติฯ อายามาติ คจฺฉามฯ

    Vāseṭṭhabhāradvājānanti vāseṭṭhassa ca bhāradvājassa ca. Ayamantarākathāti yaṃ attano sahāyakabhāvānurūpaṃ kathaṃ kathentā anuvicariṃsu, tassā kathāya antarā vemajjheyeva ayaṃ aññā kathā udapādīti vuttaṃ hoti. Saṃsuddhagahaṇikoti saṃsuddhakucchiko, saṃsuddhāya brāhmaṇiyā eva kucchismiṃ nibbattoti adhippāyo. ‘‘Samavepākiniyā gahaṇiyā’’tiādīsu hi udaraggi ‘‘gahaṇī’’ti vuccati. Idha pana mātukucchi. Yāva sattamāti mātu mātā, pitu pitāti evaṃ paṭilomena yāva satta jātiyo. Ettha ca pitāmaho ca pitāmahī ca pitāmahā, tathā mātāmaho ca mātāmahī ca mātāmahā, pitāmahā ca mātāmahā ca pitāmahāyeva. Pitāmahānaṃ yugaṃ pitāmahayugaṃ. Yuganti āyuppamāṇaṃ. Abhilāpamattameva cetaṃ, atthato pana pitāmahāyeva pitāmahayugaṃ. Akkhittoti jātiṃ ārabbha ‘‘kiṃ so’’ti kenaci anavaññāto . Anupakkuṭṭhoti jātisandosavādena anupakkuṭṭhapubbo. Vatasampannoti ācārasampanno. Saññāpetunti ñāpetuṃ bodhetuṃ, nirantaraṃ kātunti vuttaṃ hoti. Āyāmāti gacchāma.

    ๖๐๐. อนุญฺญาตปฎิญฺญาตาติ ‘‘เตวิชฺชา ตุเมฺห’’ติ เอวํ มยํ อาจริเยหิ จ อนุญฺญาตา อตฺตนา จ ปฎิชานิมฺหาติ อโตฺถฯ อสฺมาติ ภวามฯ อุโภติ เทฺวปิ ชนาฯ อหํ โปกฺขรสาติสฺส, ตารุกฺขสฺสายํ มาณโวติ อหํ โปกฺขรสาติสฺส เชฎฺฐเนฺตวาสี อคฺคสิโสฺส, อยํ ตารุกฺขสฺสาติ อธิปฺปาเยน ภณติ อาจริยสมฺปตฺติํ อตฺตโน สมฺปตฺติญฺจ ทีเปโนฺตฯ

    600.Anuññātapaṭiññātāti ‘‘tevijjā tumhe’’ti evaṃ mayaṃ ācariyehi ca anuññātā attanā ca paṭijānimhāti attho. Asmāti bhavāma. Ubhoti dvepi janā. Ahaṃ pokkharasātissa, tārukkhassāyaṃ māṇavoti ahaṃ pokkharasātissa jeṭṭhantevāsī aggasisso, ayaṃ tārukkhassāti adhippāyena bhaṇati ācariyasampattiṃ attano sampattiñca dīpento.

    ๖๐๑. เตวิชฺชานนฺติ ติเวทานํฯ เกวลิโนติ นิฎฺฐงฺคตาฯ อสฺมเสติ อมฺห ภวามฯ อิทานิ ตํ เกวลิภาวํ วิตฺถาเรโนฺต อาห – ‘‘ปทกสฺมา…เป.… สาทิสา’’ติฯ ตตฺถ ชเปฺปติ เวเทฯ กมฺมุนาติ ทสวิเธน กุสลกมฺมปถกมฺมุนาฯ อยญฺหิ ปุเพฺพ สตฺตวิธํ กายวจีกมฺมํ สนฺธาย ‘‘ยโต โข โภ สีลวา โหตี’’ติ อาหฯ ติวิธํ มโนกมฺมํ สนฺธาย ‘‘วตสมฺปโนฺน’’ติ อาหฯ เตน สมนฺนาคโต หิ อาจารสมฺปโนฺน โหติฯ

    601.Tevijjānanti tivedānaṃ. Kevalinoti niṭṭhaṅgatā. Asmaseti amha bhavāma. Idāni taṃ kevalibhāvaṃ vitthārento āha – ‘‘padakasmā…pe… sādisā’’ti. Tattha jappeti vede. Kammunāti dasavidhena kusalakammapathakammunā. Ayañhi pubbe sattavidhaṃ kāyavacīkammaṃ sandhāya ‘‘yato kho bho sīlavā hotī’’ti āha. Tividhaṃ manokammaṃ sandhāya ‘‘vatasampanno’’ti āha. Tena samannāgato hi ācārasampanno hoti.

    ๖๐๒-๕. อิทานิ ตํ วจนนฺตเรน ทเสฺสโนฺต อาห – ‘‘อหญฺจ กมฺมุนา พฺรูมี’’ติฯ ขยาตีตนฺติ อูนภาวํ อตีตํ, ปริปุณฺณนฺติ อโตฺถฯ เปจฺจาติ อุปคนฺตฺวาฯ นมสฺสนฺตีติ นโม กโรนฺติฯ จกฺขุํ โลเก สมุปฺปนฺนนฺติ อวิชฺชนฺธกาเร โลเก, ตํ อนฺธการํ วิธมิตฺวา โลกสฺส ทิฎฺฐธมฺมิกาทิอตฺถสนฺทสฺสเนน จกฺขุ หุตฺวา สมุปฺปนฺนํฯ

    602-5. Idāni taṃ vacanantarena dassento āha – ‘‘ahañca kammunā brūmī’’ti. Khayātītanti ūnabhāvaṃ atītaṃ, paripuṇṇanti attho. Peccāti upagantvā. Namassantīti namo karonti. Cakkhuṃ loke samuppannanti avijjandhakāre loke, taṃ andhakāraṃ vidhamitvā lokassa diṭṭhadhammikādiatthasandassanena cakkhu hutvā samuppannaṃ.

    ๖๐๖. เอวํ อภิตฺถวิตฺวา วาเสเฎฺฐน ยาจิโต ภควา เทฺวปิ ชเน สงฺคณฺหโนฺต อาห – ‘‘เตสํ โว อหํ พฺยกฺขิสฺส’’นฺติอาทิฯ ตตฺถ พฺยกฺขิสฺสนฺติ พฺยากริสฺสามิฯ อนุปุพฺพนฺติ ติฎฺฐตุ ตาว พฺราหฺมณจินฺตา, กีฎปฎงฺคติณรุกฺขโต ปภุติ โว อนุปุพฺพํ พฺยกฺขิสฺสนฺติ เอวเมตฺถ อธิปฺปาโย เวทิตโพฺพ, เอวํ วิตฺถารกถาย วิเนตพฺพา หิ เต มาณวกาฯ ชาติวิภงฺคนฺติ ชาติวิตฺถารํฯ อญฺญมญฺญา หิ ชาติโยติ เตสํ เตสญฺหิ ปาณานํ ชาติโย อญฺญา อญฺญา นานปฺปการาติ อโตฺถฯ

    606. Evaṃ abhitthavitvā vāseṭṭhena yācito bhagavā dvepi jane saṅgaṇhanto āha – ‘‘tesaṃ vo ahaṃ byakkhissa’’ntiādi. Tattha byakkhissanti byākarissāmi. Anupubbanti tiṭṭhatu tāva brāhmaṇacintā, kīṭapaṭaṅgatiṇarukkhato pabhuti vo anupubbaṃ byakkhissanti evamettha adhippāyo veditabbo, evaṃ vitthārakathāya vinetabbā hi te māṇavakā. Jātivibhaṅganti jātivitthāraṃ. Aññamaññā hi jātiyoti tesaṃ tesañhi pāṇānaṃ jātiyo aññā aññā nānappakārāti attho.

    ๖๐๗. ตโต ปาณานํ ชาติวิภเงฺค กเถตเพฺพ ‘‘ติณรุเกฺขปิ ชานาถา’’ติ อนุปาทินฺนกานํ ตาว กเถตุํ อารโทฺธฯ ตํ กิมตฺถมิติ เจ? อุปาทิเนฺนสุ สุขญาปนตฺถํฯ อนุปาทิเนฺนสุ หิ ชาติเภเท คหิเต อุปาทิเนฺนสุ โส ปากฎตโร โหติฯ ตตฺถ ติณานิ นาม อโนฺตเผคฺคูนิ พหิสารานิฯ ตสฺมา ตาลนาฬิเกราทโยปิ ติณสงฺคหํ คจฺฉนฺติฯ รุกฺขา นาม พหิเผคฺคู อโนฺตสาราฯ ติณานิ จ รุกฺขา จ ติณรุกฺขาฯ เต อุปโยคพหุวจเนน ทเสฺสโนฺต อาห – ‘‘ติณรุเกฺขปิ ชานาถา’’ติฯ น จาปิ ปฎิชานเรติ ‘‘มยํ ติณา, มยํ รุกฺขา’’ติ เอวมฺปิ น ปฎิชานนฺติฯ ลิงฺคํ ชาติมยนฺติ อปฎิชานนฺตานมฺปิ จ เตสํ ชาติมยเมว สณฺฐานํ อตฺตโน มูลภูตติณาทิสทิสเมว โหติฯ กิํ การณํ? อญฺญมญฺญา หิ ชาติโย, ยสฺมา อญฺญา ติณชาติ, อญฺญา รุกฺขชาติ; ติเณสุปิ อญฺญา ตาลชาติ, อญฺญา นาฬิเกรชาตีติ เอวํ วิตฺถาเรตพฺพํฯ

    607. Tato pāṇānaṃ jātivibhaṅge kathetabbe ‘‘tiṇarukkhepi jānāthā’’ti anupādinnakānaṃ tāva kathetuṃ āraddho. Taṃ kimatthamiti ce? Upādinnesu sukhañāpanatthaṃ. Anupādinnesu hi jātibhede gahite upādinnesu so pākaṭataro hoti. Tattha tiṇāni nāma antopheggūni bahisārāni. Tasmā tālanāḷikerādayopi tiṇasaṅgahaṃ gacchanti. Rukkhā nāma bahipheggū antosārā. Tiṇāni ca rukkhā ca tiṇarukkhā. Te upayogabahuvacanena dassento āha – ‘‘tiṇarukkhepi jānāthā’’ti. Na cāpi paṭijānareti ‘‘mayaṃ tiṇā, mayaṃ rukkhā’’ti evampi na paṭijānanti. Liṅgaṃ jātimayanti apaṭijānantānampi ca tesaṃ jātimayameva saṇṭhānaṃ attano mūlabhūtatiṇādisadisameva hoti. Kiṃ kāraṇaṃ? Aññamaññā hi jātiyo, yasmā aññā tiṇajāti, aññā rukkhajāti; tiṇesupi aññā tālajāti, aññā nāḷikerajātīti evaṃ vitthāretabbaṃ.

    เตน กิํ ทีเปติ? ยํ ชาติวเสน นานา โหติ, ตํ อตฺตโน ปฎิญฺญํ ปเรสํ วา อุปเทสํ วินาปิ อญฺญชาติโต วิเสเสน คยฺหติฯ ยทิ จ ชาติยา พฺราหฺมโณ ภเวยฺย, โสปิ อตฺตโน ปฎิญฺญํ ปเรสํ วา อุปเทสํ วินา ขตฺติยโต เวสฺสสุทฺทโต วา วิเสเสน คเยฺหยฺย, น จ คยฺหติ, ตสฺมา น ชาติยา พฺราหฺมโณติฯ ปรโต ปน ‘‘ยถา เอตาสุ ชาตีสู’’ติ อิมาย คาถาย เอตมตฺถํ วจีเภเทเนว อาวิกริสฺสติฯ

    Tena kiṃ dīpeti? Yaṃ jātivasena nānā hoti, taṃ attano paṭiññaṃ paresaṃ vā upadesaṃ vināpi aññajātito visesena gayhati. Yadi ca jātiyā brāhmaṇo bhaveyya, sopi attano paṭiññaṃ paresaṃ vā upadesaṃ vinā khattiyato vessasuddato vā visesena gayheyya, na ca gayhati, tasmā na jātiyā brāhmaṇoti. Parato pana ‘‘yathā etāsu jātīsū’’ti imāya gāthāya etamatthaṃ vacībhedeneva āvikarissati.

    ๖๐๘. เอวํ อนุปาทิเนฺนสุ ชาติเภทํ ทเสฺสตฺวา อุปาทิเนฺนสุ ตํ ทเสฺสโนฺต ‘‘ตโต กีเฎ’’ติ เอวมาทิมาหฯ ตตฺถ กีฎาติ กิมโยฯ ปฎงฺคาติ ปฎงฺคาเยวฯ ยาว กุนฺถกิปิลฺลิเกติ กุนฺถกิปิลฺลิกํ ปริยนฺตํ กตฺวาติ อโตฺถฯ

    608. Evaṃ anupādinnesu jātibhedaṃ dassetvā upādinnesu taṃ dassento ‘‘tato kīṭe’’ti evamādimāha. Tattha kīṭāti kimayo. Paṭaṅgāti paṭaṅgāyeva. Yāva kunthakipilliketi kunthakipillikaṃ pariyantaṃ katvāti attho.

    ๖๐๙. ขุทฺทเกติ กาฬกกณฺฑกาทโยฯ มหลฺลเกติ สสพิฬาราทโยฯ สเพฺพ หิ เต อเนกวณฺณาฯ

    609.Khuddaketi kāḷakakaṇḍakādayo. Mahallaketi sasabiḷārādayo. Sabbe hi te anekavaṇṇā.

    ๖๑๐. ปาทูทเรติ อุทรปาเท, อุทรํเยว เยสํ ปาทาติ วุตฺตํ โหติฯ ทีฆปิฎฺฐิเกติ สปฺปานญฺหิ สีสโต ยาว นงฺคุฎฺฐา ปิฎฺฐิ เอว โหติ, เตน เต ‘‘ทีฆปิฎฺฐิกา’’ติ วุจฺจนฺติฯ เตปิ อเนกปฺปการา อาสีวิสาทิเภเทนฯ

    610.Pādūdareti udarapāde, udaraṃyeva yesaṃ pādāti vuttaṃ hoti. Dīghapiṭṭhiketi sappānañhi sīsato yāva naṅguṭṭhā piṭṭhi eva hoti, tena te ‘‘dīghapiṭṭhikā’’ti vuccanti. Tepi anekappakārā āsīvisādibhedena.

    ๖๑๑. โอทเกติ อุทกมฺหิ ชาเตฯ มจฺฉาปิ อเนกปฺปการา โรหิตมจฺฉาทิเภเทนฯ

    611.Odaketi udakamhi jāte. Macchāpi anekappakārā rohitamacchādibhedena.

    ๖๑๒. ปกฺขีติ สกุเณฯ เต หิ ปกฺขานํ อตฺถิตาย ‘‘ปกฺขี’’ติ วุจฺจนฺติฯ ปเตฺตหิ ยนฺตีติ ปตฺตยานาฯ เวหาเส คจฺฉนฺตีติ วิหงฺคมาฯ เตปิ อเนกปฺปการา กากาทิเภเทนฯ

    612.Pakkhīti sakuṇe. Te hi pakkhānaṃ atthitāya ‘‘pakkhī’’ti vuccanti. Pattehi yantīti pattayānā. Vehāse gacchantīti vihaṅgamā. Tepi anekappakārā kākādibhedena.

    ๖๑๓. เอวํ ถลชลากาสโคจรานํ ปาณานํ ชาติเภทํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ เยนาธิปฺปาเยน ตํ ทเสฺสสิ, ตํ อาวิกโรโนฺต ‘‘ยถา เอตาสู’’ติ คาถมาหฯ ตสฺสโตฺถ สเงฺขปโต ปุเพฺพ วุตฺตาธิปฺปายวณฺณนาวเสเนว เวทิตโพฺพฯ

    613. Evaṃ thalajalākāsagocarānaṃ pāṇānaṃ jātibhedaṃ dassetvā idāni yenādhippāyena taṃ dassesi, taṃ āvikaronto ‘‘yathā etāsū’’ti gāthamāha. Tassattho saṅkhepato pubbe vuttādhippāyavaṇṇanāvaseneva veditabbo.

    ๖๑๔-๖. วิตฺถารโต ปเนตฺถ ยํ วตฺตพฺพํ, ตํ สยเมว ทเสฺสโนฺต ‘‘น เกเสหี’’ติอาทิมาหฯ ตตฺรายํ โยชนา – ยํ วุตฺตํ ‘‘นตฺถิ มนุเสฺสสุ ลิงฺคํ ชาติมยํ ปุถู’’ติ, ตํ เอวํ นตฺถีติ เวทิตพฺพํฯ เสยฺยถิทํ, น เกเสหีติฯ น หิ ‘‘พฺราหฺมณานํ อีทิสา เกสา โหนฺติ, ขตฺติยานํ อีทิสา’’ติ นิยโม อตฺถิ ยถา หตฺถิอสฺสมิคาทีนนฺติ อิมินา นเยน สพฺพํ โยเชตพฺพํฯ ลิงฺคํ ชาติมยํ เนว, ยถา อญฺญาสุ ชาติสูติ อิทํ ปน วุตฺตเสฺสวตฺถสฺส นิคมนนฺติ เวทิตพฺพํฯ ตสฺส โยชนา – ตเทว ยสฺมา อิเมหิ เกสาทีหิ นตฺถิ มนุเสฺสสุ ลิงฺคํ ชาติมยํ ปุถุ, ตสฺมา เวทิตพฺพเมตํ ‘‘พฺราหฺมณาทิเภเทสุ มนุเสฺสสุ ลิงฺคํ ชาติมยํ เนว ยถา อญฺญาสุ ชาตีสู’’ติฯ

    614-6. Vitthārato panettha yaṃ vattabbaṃ, taṃ sayameva dassento ‘‘na kesehī’’tiādimāha. Tatrāyaṃ yojanā – yaṃ vuttaṃ ‘‘natthi manussesu liṅgaṃ jātimayaṃ puthū’’ti, taṃ evaṃ natthīti veditabbaṃ. Seyyathidaṃ, na kesehīti. Na hi ‘‘brāhmaṇānaṃ īdisā kesā honti, khattiyānaṃ īdisā’’ti niyamo atthi yathā hatthiassamigādīnanti iminā nayena sabbaṃ yojetabbaṃ. Liṅgaṃ jātimayaṃ neva, yathā aññāsu jātisūti idaṃ pana vuttassevatthassa nigamananti veditabbaṃ. Tassa yojanā – tadeva yasmā imehi kesādīhi natthi manussesu liṅgaṃ jātimayaṃ puthu, tasmā veditabbametaṃ ‘‘brāhmaṇādibhedesu manussesu liṅgaṃ jātimayaṃ neva yathā aññāsu jātīsū’’ti.

    ๖๑๗. อิทานิ เอวํ ชาติเภเท อสเนฺตปิ พฺราหฺมโณ ขตฺติโยติ อิทํ นานตฺตํ ยถา ชาตํ, ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘ปจฺจตฺต’’นฺติ คาถมาหฯ ตสฺสโตฺถ – เอตํ ติรจฺฉานานํ วิย โยนิสิทฺธเมว เกสาทิสณฺฐานานตฺตํ มนุเสฺสสุ พฺราหฺมณาทีนํ อตฺตโน อตฺตโน สรีเรสุ น วิชฺชติฯ อวิชฺชมาเนปิ ปน เอตสฺมิํ ยเทตํ พฺราหฺมโณ ขตฺติโยติ นานตฺตวิธานปริยายํ โวการํ, ตํ โวการญฺจ มนุเสฺสสุ สมญฺญาย ปวุจฺจติ, โวหารมเตฺตน วุจฺจตีติฯ

    617. Idāni evaṃ jātibhede asantepi brāhmaṇo khattiyoti idaṃ nānattaṃ yathā jātaṃ, taṃ dassetuṃ ‘‘paccatta’’nti gāthamāha. Tassattho – etaṃ tiracchānānaṃ viya yonisiddhameva kesādisaṇṭhānānattaṃ manussesu brāhmaṇādīnaṃ attano attano sarīresu na vijjati. Avijjamānepi pana etasmiṃ yadetaṃ brāhmaṇo khattiyoti nānattavidhānapariyāyaṃ vokāraṃ, taṃ vokārañca manussesu samaññāya pavuccati, vohāramattena vuccatīti.

    ๖๑๙-๖๒๕. เอตฺตาวตา ภควา ภารทฺวาชสฺส วาทํ นิคฺคเหตฺวา อิทานิ ยทิ ชาติยา พฺราหฺมโณ ภเวยฺย, อาชีวสีลาจารวิปโนฺนปิ พฺราหฺมโณ ภเวยฺยฯ ยสฺมา ปน โปราณา พฺราหฺมณา ตสฺส พฺราหฺมณภาวํ น อิจฺฉนฺติ โลเก จ อเญฺญปิ ปณฺฑิตมนุสฺสา, ตสฺมา วาเสฎฺฐสฺส วาทปคฺคหณตฺถํ ตํ ทเสฺสโนฺต ‘‘โย หิ โกจิ มนุเสฺสสู’’ติอาทิกา อฎฺฐ คาถาโย อาหฯ ตตฺถ โครกฺขนฺติ เขตฺตรกฺขํ, กสิกมฺมนฺติ วุตฺตํ โหติฯ ปถวี หิ ‘‘โค’’ติ วุจฺจติ, ตปฺปเภโท จ เขตฺตํฯ ปุถุสิเปฺปนาติ ตนฺตวายกมฺมาทินานาสิเปฺปนฯ โวหารนฺติ วณิชฺชํฯ ปรเปเสฺสนาติ ปเรสํ เวยฺยาวเจฺจนฯ อิสฺสตฺถนฺติ อาวุธชีวิกํ, อุสุญฺจ สตฺติญฺจาติ วุตฺตํ โหติฯ โปโรหิเจฺจนาติ ปุโรหิตกเมฺมนฯ

    619-625. Ettāvatā bhagavā bhāradvājassa vādaṃ niggahetvā idāni yadi jātiyā brāhmaṇo bhaveyya, ājīvasīlācāravipannopi brāhmaṇo bhaveyya. Yasmā pana porāṇā brāhmaṇā tassa brāhmaṇabhāvaṃ na icchanti loke ca aññepi paṇḍitamanussā, tasmā vāseṭṭhassa vādapaggahaṇatthaṃ taṃ dassento ‘‘yo hi koci manussesū’’tiādikā aṭṭha gāthāyo āha. Tattha gorakkhanti khettarakkhaṃ, kasikammanti vuttaṃ hoti. Pathavī hi ‘‘go’’ti vuccati, tappabhedo ca khettaṃ. Puthusippenāti tantavāyakammādinānāsippena. Vohāranti vaṇijjaṃ. Parapessenāti paresaṃ veyyāvaccena. Issatthanti āvudhajīvikaṃ, usuñca sattiñcāti vuttaṃ hoti. Porohiccenāti purohitakammena.

    ๖๒๖. เอวํ พฺราหฺมณสมเยน จ โลกโวหาเรน จ อาชีวสีลาจารวิปนฺนสฺส อพฺราหฺมณภาวํ สาเธตฺวา เอวํ สเนฺต น ชาติยา พฺราหฺมโณ, คุเณหิ ปน พฺราหฺมโณ โหติฯ ตสฺมา ยตฺถ ยตฺถ กุเล ชาโต โย คุณวา, โส พฺราหฺมโณ, อยเมตฺถ ญาโยติ เอวเมตํ ญายํ อตฺถโต อาปาเทตฺวา ปุน ตเทว ญายํ วจีเภเทน ปกาเสโนฺต อาห ‘‘น จาหํ พฺราหฺมณํ พฺรูมี’’ติฯ

    626. Evaṃ brāhmaṇasamayena ca lokavohārena ca ājīvasīlācāravipannassa abrāhmaṇabhāvaṃ sādhetvā evaṃ sante na jātiyā brāhmaṇo, guṇehi pana brāhmaṇo hoti. Tasmā yattha yattha kule jāto yo guṇavā, so brāhmaṇo, ayamettha ñāyoti evametaṃ ñāyaṃ atthato āpādetvā puna tadeva ñāyaṃ vacībhedena pakāsento āha ‘‘na cāhaṃ brāhmaṇaṃ brūmī’’ti.

    ตสฺสโตฺถ – อหํ ปน ยฺวายํ จตูสุ โยนีสุ ยตฺถ กตฺถจิ ชาโต, ตตฺราปิ วา วิเสเสน โย พฺราหฺมณสมญฺญิตาย มาตริ สมฺภูโต, ตํ โยนิชํ มตฺติสมฺภวํ ยา จายํ ‘‘อุภโต สุชาโต’’ติอาทินา (ที. นิ. ๑.๓๐๓; ม. นิ. ๒.๔๒๔) นเยน พฺราหฺมเณหิ พฺราหฺมณสฺส ปริสุทฺธอุปฺปตฺติมคฺคสงฺขาตา โยนิ กถียติ, ‘‘สํสุทฺธคหณิโก’’ติ อิมินา จ มาตุสมฺปตฺติ, ตโตปิ ชาตสมฺภูตตฺตา ‘‘โยนิโช มตฺติสมฺภโว’’ติ จ วุจฺจติ, ตมฺปิ โยนิชํ มตฺติสมฺภวํ อิมินา จ โยนิชมตฺติสมฺภวมเตฺตน พฺราหฺมณํ น พฺรูมิ ฯ กสฺมา? ยสฺมา ‘‘โภ โภ’’ติ วจนมเตฺตน อเญฺญหิ สกิญฺจเนหิ วิสิฎฺฐตฺตา โภวาที นาม โส โหติ, สเจ โหติ สกิญฺจโนฯ โย ปนายํ ยตฺถ กตฺถจิ กุเล ชาโตปิ ราคาทิกิญฺจนาภาเวน อกิญฺจโน, สพฺพคหณปฎินิสฺสเคฺคน จ อนาทาโน, อกิญฺจนํ อนาทานํ ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํฯ กสฺมา? ยสฺมา พาหิตปาโปติฯ

    Tassattho – ahaṃ pana yvāyaṃ catūsu yonīsu yattha katthaci jāto, tatrāpi vā visesena yo brāhmaṇasamaññitāya mātari sambhūto, taṃ yonijaṃ mattisambhavaṃ yā cāyaṃ ‘‘ubhato sujāto’’tiādinā (dī. ni. 1.303; ma. ni. 2.424) nayena brāhmaṇehi brāhmaṇassa parisuddhauppattimaggasaṅkhātā yoni kathīyati, ‘‘saṃsuddhagahaṇiko’’ti iminā ca mātusampatti, tatopi jātasambhūtattā ‘‘yonijo mattisambhavo’’ti ca vuccati, tampi yonijaṃ mattisambhavaṃ iminā ca yonijamattisambhavamattena brāhmaṇaṃ na brūmi. Kasmā? Yasmā ‘‘bho bho’’ti vacanamattena aññehi sakiñcanehi visiṭṭhattā bhovādī nāma so hoti, sace hoti sakiñcano. Yo panāyaṃ yattha katthaci kule jātopi rāgādikiñcanābhāvena akiñcano, sabbagahaṇapaṭinissaggena ca anādāno, akiñcanaṃ anādānaṃ tamahaṃ brūmi brāhmaṇaṃ. Kasmā? Yasmā bāhitapāpoti.

    ๖๒๗. กิญฺจ ภิโยฺย – ‘‘สพฺพสํโยชนํ เฉตฺวา’’ติอาทิกา สตฺตวีสติ คาถาฯ ตตฺถ สพฺพสํโยชนนฺติ ทสวิธํ สํโยชนํฯ น ปริตสฺสตีติ ตณฺหาย น ตสฺสติฯ ตมหนฺติ ตํ อหํ ราคาทีนํ สงฺคานํ อติกฺกนฺตตฺตา สงฺคาติคํ, จตุนฺนมฺปิ โยคานํ อภาเวน วิสํยุตฺตํ พฺราหฺมณํ วทามีติ อโตฺถฯ

    627. Kiñca bhiyyo – ‘‘sabbasaṃyojanaṃ chetvā’’tiādikā sattavīsati gāthā. Tattha sabbasaṃyojananti dasavidhaṃ saṃyojanaṃ. Na paritassatīti taṇhāya na tassati. Tamahanti taṃ ahaṃ rāgādīnaṃ saṅgānaṃ atikkantattā saṅgātigaṃ, catunnampi yogānaṃ abhāvena visaṃyuttaṃ brāhmaṇaṃ vadāmīti attho.

    ๖๒๘. นทฺธินฺติ นยฺหนภาเวน ปวตฺตํ โกธํฯ วรตฺตนฺติ พนฺธนภาเวน ปวตฺตํ ตณฺหํฯ สนฺทานํ สหนุกฺกมนฺติ อนุสยานุกฺกมสหิตํ ทฺวาสฎฺฐิทิฎฺฐิสนฺทานํ, อิทํ สพฺพมฺปิ ฉินฺทิตฺวา ฐิตํ อวิชฺชาปลิฆสฺส อุกฺขิตฺตตฺตา อุกฺขิตฺตปลิฆํ จตุนฺนํ สจฺจานฺนํ พุทฺธตฺตา พุทฺธํ อหํ พฺราหฺมณํ วทามีติ อโตฺถฯ

    628.Naddhinti nayhanabhāvena pavattaṃ kodhaṃ. Varattanti bandhanabhāvena pavattaṃ taṇhaṃ. Sandānaṃ sahanukkamanti anusayānukkamasahitaṃ dvāsaṭṭhidiṭṭhisandānaṃ, idaṃ sabbampi chinditvā ṭhitaṃ avijjāpalighassa ukkhittattā ukkhittapalighaṃ catunnaṃ saccānnaṃ buddhattā buddhaṃ ahaṃ brāhmaṇaṃ vadāmīti attho.

    ๖๒๙. อทุโฎฺฐติ เอวํ ทสหิ อโกฺกสวตฺถูหิ อโกฺกสญฺจ ปาณิอาทีหิ โปถนญฺจ อนฺทุพนฺธนาทีหิ พนฺธนญฺจ โย อกุทฺธมานโส หุตฺวา อธิวาเสสิ, ขนฺติพเลน สมนฺนาคตตฺตา ขนฺตีพลํ, ปุนปฺปุนํ อุปฺปตฺติยา อนีกภูเตน เตเนว ขนฺตีพลานีเกน สมนฺนาคตตฺตา พลานีกํ ตํ เอวรูปํ อหํ พฺราหฺมณํ วทามีติ อโตฺถฯ

    629.Aduṭṭhoti evaṃ dasahi akkosavatthūhi akkosañca pāṇiādīhi pothanañca andubandhanādīhi bandhanañca yo akuddhamānaso hutvā adhivāsesi, khantibalena samannāgatattā khantībalaṃ, punappunaṃ uppattiyā anīkabhūtena teneva khantībalānīkena samannāgatattā balānīkaṃ taṃ evarūpaṃ ahaṃ brāhmaṇaṃ vadāmīti attho.

    ๖๓๐. วตนฺตนฺติ ธุตวเตน สมนฺนาคตํ, จตุปาริสุทฺธิสีเลน สีลวนฺตํ, ตณฺหาอุสฺสทาภาเวน อนุสฺสทํ, ฉฬินฺทฺริยทมเนน ทนฺตํ, โกฎิยํ ฐิเตน อตฺตภาเวน อนฺติมสารีรํ ตมหํ พฺราหฺมณํ วทามีติ อโตฺถฯ

    630.Vatantanti dhutavatena samannāgataṃ, catupārisuddhisīlena sīlavantaṃ, taṇhāussadābhāvena anussadaṃ, chaḷindriyadamanena dantaṃ, koṭiyaṃ ṭhitena attabhāvena antimasārīraṃ tamahaṃ brāhmaṇaṃ vadāmīti attho.

    ๖๓๑. โย น ลิมฺปตีติ เอวเมว โย อพฺภนฺตเร ทุวิเธปิ กาเม น ลิมฺปติ, ตสฺมิํ กาเม น สณฺฐาติ, ตมหํ พฺราหฺมณํ วทามีติ อโตฺถฯ

    631.Yona limpatīti evameva yo abbhantare duvidhepi kāme na limpati, tasmiṃ kāme na saṇṭhāti, tamahaṃ brāhmaṇaṃ vadāmīti attho.

    ๖๓๒. ทุกฺขสฺสาติ ขนฺธทุกฺขสฺสฯ ปนฺนภารนฺติ โอหิตกฺขนฺธภารํ จตูหิ โยเคหิ สพฺพกิเลเสหิ วา วิสํยุตฺตํ ตมหํ พฺราหฺมณํ วทามีติ อโตฺถฯ

    632.Dukkhassāti khandhadukkhassa. Pannabhāranti ohitakkhandhabhāraṃ catūhi yogehi sabbakilesehi vā visaṃyuttaṃ tamahaṃ brāhmaṇaṃ vadāmīti attho.

    ๖๓๓. คมฺภีรปญฺญนฺติ คมฺภีเรสุ ขนฺธาทีสุ ปวตฺตาย ปญฺญาย สมนฺนาคตํ, ธโมฺมชปญฺญาย เมธาวิํ, ‘‘อยํ ทุคฺคติยา, อยํ สุคติยา, อยํ นิพฺพานสฺส มโคฺค, อยํ อมโคฺค’’ติ เอวํ มเคฺค อมเคฺค จ เฉกตาย มคฺคามคฺคสฺส โกวิทํ, อรหตฺตสงฺขาตํ อุตฺตมตฺถมนุปฺปตฺตํ ตมหํ พฺราหฺมณํ วทามีติ อโตฺถฯ

    633.Gambhīrapaññanti gambhīresu khandhādīsu pavattāya paññāya samannāgataṃ, dhammojapaññāya medhāviṃ, ‘‘ayaṃ duggatiyā, ayaṃ sugatiyā, ayaṃ nibbānassa maggo, ayaṃ amaggo’’ti evaṃ magge amagge ca chekatāya maggāmaggassakovidaṃ, arahattasaṅkhātaṃ uttamatthamanuppattaṃ tamahaṃ brāhmaṇaṃ vadāmīti attho.

    ๖๓๔. อสํสฎฺฐนฺติ ทสฺสนสวนสมุลฺลาปปริโภคกายสํสคฺคานํ อภาเวน อสํสฎฺฐํฯ อุภยนฺติ คิหีหิ จ อนคาเรหิ จาติ อุภเยหิปิ อสํสฎฺฐํฯ อโนกสารินฺติ อนาลยจาริํ, ตํ เอวรูปํ อหํ พฺราหฺมณํ วทามีติ อโตฺถฯ

    634.Asaṃsaṭṭhanti dassanasavanasamullāpaparibhogakāyasaṃsaggānaṃ abhāvena asaṃsaṭṭhaṃ. Ubhayanti gihīhi ca anagārehi cāti ubhayehipi asaṃsaṭṭhaṃ. Anokasārinti anālayacāriṃ, taṃ evarūpaṃ ahaṃ brāhmaṇaṃ vadāmīti attho.

    ๖๓๕. นิธายาติ นิกฺขิปิตฺวา โอโรเปตฺวาฯ ตเสสุ ถาวเรสุ จาติ ตณฺหาตาเสน ตเสสุ ตณฺหาภาเวน ถิรตาย ถาวเรสุฯ โย น หนฺตีติ โย เอวํ สพฺพสเตฺตสุ วิคตปฎิฆตาย นิกฺขิตฺตทโณฺฑ เนว กญฺจิ สยํ หนติ, น อเญฺญน ฆาเตติ, ตมหํ พฺราหฺมณํ วทามีติ อโตฺถฯ

    635.Nidhāyāti nikkhipitvā oropetvā. Tasesu thāvaresu cāti taṇhātāsena tasesu taṇhābhāvena thiratāya thāvaresu. Yo na hantīti yo evaṃ sabbasattesu vigatapaṭighatāya nikkhittadaṇḍo neva kañci sayaṃ hanati, na aññena ghāteti, tamahaṃ brāhmaṇaṃ vadāmīti attho.

    ๖๓๖. อวิรุทฺธนฺติ อาฆาตวเสน วิรุเทฺธสุปิ โลกิยมหาชเนสุ อาฆาตาภาเวน อวิรุทฺธํ, หตฺถคเต ทเณฺฑ วา สเตฺถ วา อวิชฺชมาเนปิ ปเรสํ ปหารทานโต อวิรตตฺตา อตฺตทเณฺฑสุ ชเนสุ นิพฺพุตํ นิกฺขิตฺตทณฺฑํ, ปญฺจนฺนํ ขนฺธานํ ‘‘อหํ มม’’นฺติ คหิตตฺตา สาทาเนสุ, ตสฺส คหณสฺส อภาเวน อนาทานํ ตํ เอวรูปํ อหํ พฺราหฺมณํ วทามีติ อโตฺถฯ

    636.Aviruddhanti āghātavasena viruddhesupi lokiyamahājanesu āghātābhāvena aviruddhaṃ, hatthagate daṇḍe vā satthe vā avijjamānepi paresaṃ pahāradānato aviratattā attadaṇḍesu janesu nibbutaṃ nikkhittadaṇḍaṃ, pañcannaṃ khandhānaṃ ‘‘ahaṃ mama’’nti gahitattā sādānesu, tassa gahaṇassa abhāvena anādānaṃ taṃ evarūpaṃ ahaṃ brāhmaṇaṃ vadāmīti attho.

    ๖๓๗. อารคฺคาติ ยเสฺสเต ราคาทโย อยญฺจ ปรคุณมกฺขณลกฺขโณ มโกฺข อารคฺคา สาสโป วิย ปปติโต, ยถา สาสโป อารเคฺค น สนฺติฎฺฐติ, เอวํ จิเตฺต น ติฎฺฐติ, ตมหํ พฺราหฺมณํ วทามีติ อโตฺถฯ

    637.Āraggāti yassete rāgādayo ayañca paraguṇamakkhaṇalakkhaṇo makkho āraggā sāsapo viya papatito, yathā sāsapo āragge na santiṭṭhati, evaṃ citte na tiṭṭhati, tamahaṃ brāhmaṇaṃ vadāmīti attho.

    ๖๓๘. อกกฺกสนฺติ อผรุสํฯ วิญฺญาปนินฺติ อตฺถวิญฺญาปนิํฯ สจฺจนฺติ ภูตํฯ นาภิสเชติ ยาย คิราย อญฺญํ กุชฺฌาปนวเสน น ลคฺคาเปยฺยฯ ขีณาสโว นาม เอวรูปเมว คิรํ ภาเสยฺยฯ ตสฺมา ตมหํ พฺราหฺมณํ วทามีติ อโตฺถฯ

    638.Akakkasanti apharusaṃ. Viññāpaninti atthaviññāpaniṃ. Saccanti bhūtaṃ. Nābhisajeti yāya girāya aññaṃ kujjhāpanavasena na laggāpeyya. Khīṇāsavo nāma evarūpameva giraṃ bhāseyya. Tasmā tamahaṃ brāhmaṇaṃ vadāmīti attho.

    ๖๓๙. สาฎกาภรณาทีสุ ทีฆํ วา รสฺสํ วา, มณิมุตฺตาทีสุ อณุํ วา ถูลํ วา มหคฺฆอปฺปคฺฆวเสน สุภํ วา อสุภํ วา โย ปุคฺคโล อิมสฺมิํ โลเก ปรปริคฺคหิตํ นาทิยติ, ตมหํ พฺราหฺมณํ วทามีติ อโตฺถฯ

    639. Sāṭakābharaṇādīsu dīghaṃ vā rassaṃ vā, maṇimuttādīsu aṇuṃthūlaṃ vā mahagghaappagghavasena subhaṃasubhaṃ vā yo puggalo imasmiṃ loke parapariggahitaṃ nādiyati, tamahaṃ brāhmaṇaṃ vadāmīti attho.

    ๖๔๐. นิราสาสนฺติ นิตฺตณฺหํฯ วิสํยุตฺตนฺติ สพฺพกิเลเสหิ วิยุตฺตํ ตมหํ พฺราหฺมณํ วทามีติ อโตฺถฯ

    640.Nirāsāsanti nittaṇhaṃ. Visaṃyuttanti sabbakilesehi viyuttaṃ tamahaṃ brāhmaṇaṃ vadāmīti attho.

    ๖๔๑. อาลยาติ ตณฺหาฯ อญฺญาย อกถํกถีติ อฎฺฐ วตฺถูนิ ยถาภูตํ ชานิตฺวา อฎฺฐวตฺถุกาย วิจิกิจฺฉาย นิพฺพิจิกิโจฺฉฯ อมโตคธมนุปฺปตฺตนฺติ อมตํ นิพฺพานํ โอคเหตฺวา อนุปฺปตฺตํ ตมหํ พฺราหฺมณํ วทามีติ อโตฺถฯ

    641.Ālayāti taṇhā. Aññāya akathaṃkathīti aṭṭha vatthūni yathābhūtaṃ jānitvā aṭṭhavatthukāya vicikicchāya nibbicikiccho. Amatogadhamanuppattanti amataṃ nibbānaṃ ogahetvā anuppattaṃ tamahaṃ brāhmaṇaṃ vadāmīti attho.

    ๖๔๒. อุโภติ เทฺวปิ ปุญฺญานิ ปาปานิ จ ฉเฑฺฑตฺวาติ อโตฺถฯ สงฺคนฺติ ราคาทิเภทํ สงฺคํฯ อุปจฺจคาติ อติกฺกโนฺตฯ ตมหํ วฎฺฎมูลโสเกน อโสกํ, อพฺภนฺตเร ราครชาทีนํ อภาเวน วิรชํ, นิรุปกฺกิเลสตาย สุทฺธํ พฺราหฺมณํ วทามีติ อโตฺถฯ

    642.Ubhoti dvepi puññāni pāpāni ca chaḍḍetvāti attho. Saṅganti rāgādibhedaṃ saṅgaṃ. Upaccagāti atikkanto. Tamahaṃ vaṭṭamūlasokena asokaṃ, abbhantare rāgarajādīnaṃ abhāvena virajaṃ, nirupakkilesatāya suddhaṃ brāhmaṇaṃ vadāmīti attho.

    ๖๔๓. วิมลนฺติ อพฺภาทิมลวิรหิตํฯ สุทฺธนฺติ นิรุปกฺกิเลสํฯ วิปฺปสนฺนนฺติ ปสนฺนจิตฺตํฯ อนาวิลนฺติ กิเลสาวิลตฺตวิรหิตํฯ นนฺทีภวปริกฺขีณนฺติ ตีสุ ภเวสุ ปริกฺขีณตณฺหํ ตมหํ พฺราหฺมณํ วทามีติ อโตฺถฯ

    643.Vimalanti abbhādimalavirahitaṃ. Suddhanti nirupakkilesaṃ. Vippasannanti pasannacittaṃ. Anāvilanti kilesāvilattavirahitaṃ. Nandībhavaparikkhīṇanti tīsu bhavesu parikkhīṇataṇhaṃ tamahaṃ brāhmaṇaṃ vadāmīti attho.

    ๖๔๔. โย ภิกฺขุ อิมํ ราคปลิปถเญฺจว กิเลสทุคฺคญฺจ สํสารวฎฺฎญฺจ จตุนฺนํ สจฺจานํ อปฺปฎิวิชฺฌนกโมหญฺจ อตีโต, จตฺตาโร โอเฆ ติโณฺณ หุตฺวา ปารํ อนุปฺปโตฺต, ทุวิเธน ฌาเนน ฌายี, ตณฺหาย อภาเวน อเนโช, กถํกถาย อภาเวน อกถํกถี, อุปาทานานํ อภาเวน อนุปาทิยิตฺวา กิเลสนิพฺพาเนน นิพฺพุโต, ตมหํ พฺราหฺมณํ วทามีติ อโตฺถฯ

    644.Yo bhikkhu imaṃrāgapalipathañceva kilesaduggañca saṃsāravaṭṭañca catunnaṃ saccānaṃ appaṭivijjhanakamohañca atīto, cattāro oghe tiṇṇo hutvā pāraṃ anuppatto, duvidhena jhānena jhāyī, taṇhāya abhāvena anejo, kathaṃkathāya abhāvena akathaṃkathī, upādānānaṃ abhāvena anupādiyitvā kilesanibbānena nibbuto, tamahaṃ brāhmaṇaṃ vadāmīti attho.

    ๖๔๕. โย ปุคฺคโล, อิธ โลเก, อุโภปิ กาเม หิตฺวา อนาคาโร หุตฺวา ปริพฺพชติ, ตํ ปริกฺขีณกามเญฺจว ปริกฺขีณภวญฺจ อหํ พฺราหฺมณํ วทามีติ อโตฺถฯ

    645.Yo puggalo, idha loke, ubhopi kāme hitvā anāgāro hutvā paribbajati, taṃ parikkhīṇakāmañceva parikkhīṇabhavañca ahaṃ brāhmaṇaṃ vadāmīti attho.

    ๖๔๖. โย อิธ โลเก ฉทฺวาริกํ ตณฺหํ ชหิตฺวา ฆราวาเสน อนตฺถิโก อนาคาโร หุตฺวา ปริพฺพชติ, ตณฺหาย เจว ภวสฺส จ ปริกฺขีณตฺตา ตณฺหาภวปริกฺขีณํ ตมหํ พฺราหฺมณํ วทามีติ อโตฺถฯ

    646.Yoidha loke chadvārikaṃ taṇhaṃ jahitvā gharāvāsena anatthiko anāgāro hutvā paribbajati, taṇhāya ceva bhavassa ca parikkhīṇattā taṇhābhavaparikkhīṇaṃ tamahaṃ brāhmaṇaṃ vadāmīti attho.

    ๖๔๗. มานุสกํ โยคนฺติ มานุสกํ อายุเญฺจว ปญฺจวิธกามคุเณ จฯ ทิพฺพโยเคปิ เอเสว นโยฯ อุปจฺจคาติ โย มานุสกํ โยคํ หิตฺวา ทิพฺพํ อติกฺกโนฺต, ตํ สเพฺพหิ จตูหิ โยเคหิ วิสํยุตฺตํ อหํ พฺราหฺมณํ วทามีติ อโตฺถฯ

    647.Mānusakaṃ yoganti mānusakaṃ āyuñceva pañcavidhakāmaguṇe ca. Dibbayogepi eseva nayo. Upaccagāti yo mānusakaṃ yogaṃ hitvā dibbaṃ atikkanto, taṃ sabbehi catūhi yogehi visaṃyuttaṃ ahaṃ brāhmaṇaṃ vadāmīti attho.

    ๖๔๘. รตินฺติ ปญฺจกามคุณรติํฯ อรตินฺติ อรญฺญวาเส อุกฺกณฺฐิตตฺตํฯ สีติภูตนฺติ นิพฺพุตํ, นิรุปธินฺติ นิรุปกฺกิเลสํ, วีรนฺติ ตํ เอวรูปํ สพฺพํ ขนฺธโลกํ อภิภวิตฺวา ฐิตํ วีริยวนฺตํ อหํ พฺราหฺมณํ วทามีติ อโตฺถฯ

    648.Ratinti pañcakāmaguṇaratiṃ. Aratinti araññavāse ukkaṇṭhitattaṃ. Sītibhūtanti nibbutaṃ, nirupadhinti nirupakkilesaṃ, vīranti taṃ evarūpaṃ sabbaṃ khandhalokaṃ abhibhavitvā ṭhitaṃ vīriyavantaṃ ahaṃ brāhmaṇaṃ vadāmīti attho.

    ๖๔๙. โย เวทีติ โย สตฺตานํ สพฺพากาเรน จุติญฺจ ปฎิสนฺธิญฺจ ปากฎํ กตฺวา ชานาติ, ตมหํ อลคฺคตาย อสตฺตํ, ปฎิปตฺติยา สุฎฺฐุ คตตฺตา สุคตํ, จตุนฺนํ สจฺจานํ พุทฺธตาย พุทฺธํ พฺราหฺมณํ วทามีติ อโตฺถฯ

    649.Yo vedīti yo sattānaṃ sabbākārena cutiñca paṭisandhiñca pākaṭaṃ katvā jānāti, tamahaṃ alaggatāya asattaṃ, paṭipattiyā suṭṭhu gatattā sugataṃ, catunnaṃ saccānaṃ buddhatāya buddhaṃ brāhmaṇaṃ vadāmīti attho.

    ๖๕๐. ยสฺสาติ ยเสฺสเต เทวาทโย คติํ น ชานนฺติ, ตมหํ อาสวานํ ขีณตาย ขีณาสวํ, กิเลเสหิ อารกตฺตา อรหนฺตํ พฺราหฺมณํ วทามีติ อโตฺถฯ

    650.Yassāti yassete devādayo gatiṃ na jānanti, tamahaṃ āsavānaṃ khīṇatāya khīṇāsavaṃ, kilesehi ārakattā arahantaṃ brāhmaṇaṃ vadāmīti attho.

    ๖๕๑. ปุเรติ อตีตกฺขเนฺธสุฯ ปจฺฉาติ อนาคเตสุฯ มเชฺฌติ ปจฺจุปฺปเนฺนสุฯ กิญฺจนนฺติ ยเสฺสเตสุ ฐาเนสุ ตณฺหาคาหสงฺขาตํ กิญฺจนํ นตฺถิฯ ตมหํ ราคกิญฺจนาทีหิ อกิญฺจนํฯ กสฺสจิ คหณสฺส อภาเวน อนาทานํ พฺราหฺมณํ วทามีติ อโตฺถฯ

    651.Pureti atītakkhandhesu. Pacchāti anāgatesu. Majjheti paccuppannesu. Kiñcananti yassetesu ṭhānesu taṇhāgāhasaṅkhātaṃ kiñcanaṃ natthi. Tamahaṃ rāgakiñcanādīhi akiñcanaṃ. Kassaci gahaṇassa abhāvena anādānaṃ brāhmaṇaṃ vadāmīti attho.

    ๖๕๒. อจฺฉมฺภิตเตฺตน อุสภสทิสตาย อุสภํ, อุตฺตมเฎฺฐน ปวรํ, วีริยสมฺปตฺติยา วีรํ, มหนฺตานํ สีลกฺขนฺธาทีนํ เอสิตตฺตา มเหสิํ, ติณฺณํ มารานํ วิชิตตฺตา วิชิตาวินํ, นินฺหาตกิเลสตาย นฺหาตกํ, จตุสจฺจพุทฺธตาย พุทฺธํ ตํ เอวรูปํ พฺราหฺมณํ วทามีติ อโตฺถฯ

    652. Acchambhitattena usabhasadisatāya usabhaṃ, uttamaṭṭhena pavaraṃ, vīriyasampattiyā vīraṃ, mahantānaṃ sīlakkhandhādīnaṃ esitattā mahesiṃ, tiṇṇaṃ mārānaṃ vijitattā vijitāvinaṃ, ninhātakilesatāya nhātakaṃ, catusaccabuddhatāya buddhaṃ taṃ evarūpaṃ brāhmaṇaṃ vadāmīti attho.

    ๖๕๓. โย ปุเพฺพนิวาสํ ปากฎํ กตฺวา ชานาติ, ฉพฺพีสติเทวโลกเภทํ สคฺคํ, จตุพฺพิธํ อปายญฺจ ทิพฺพจกฺขุนา ปสฺสติ, อโถ ชาติกฺขยสงฺขาตํ อรหตฺตํ ปโตฺต, ตมหํ พฺราหฺมณํ วทามีติ อโตฺถฯ

    653.Yo pubbenivāsaṃ pākaṭaṃ katvā jānāti, chabbīsatidevalokabhedaṃ saggaṃ, catubbidhaṃ apāyañca dibbacakkhunā passati, atho jātikkhayasaṅkhātaṃ arahattaṃ patto, tamahaṃ brāhmaṇaṃ vadāmīti attho.

    ๖๕๔. เอวํ ภควา คุณโต พฺราหฺมณํ วตฺวา ‘‘เย ‘ชาติโต พฺราหฺมโณ’ติ อภินิเวสํ กโรนฺติ, เต อิทํ โวหารมตฺตํ อชานนฺตา, สา จ เนสํ ทิฎฺฐิ ทุทฺทิฎฺฐี’’ติ ทเสฺสโนฺต ‘‘สมญฺญา เหสา’’ติ คาถาทฺวยมาหฯ ตสฺสโตฺถ – ‘‘ยทิทํ พฺราหฺมโณ ขตฺติโย ภารทฺวาโช วาเสโฎฺฐ’’ติ นามโคตฺตํ ปกปฺปิตํ, สมญฺญา เหสา โลกสฺมิํ, ปญฺญตฺติโวหารมตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ กสฺมา? ยสฺมา สมฺมุจฺจา สมุทาคตํ สมนุญฺญาย อาคตํฯ ตญฺหิ ตตฺถ ตตฺถ ชาตกาเลเยวสฺส ญาติสาโลหิเตหิ ปกปฺปิตํ กตํฯ โน เจตํ เอวํ ปกเปฺปยฺยุํ, น โกจิ กญฺจิ ทิสฺวา ‘‘อยํ พฺราหฺมโณ’’ติ วา ‘‘ภารทฺวาโช’’ติ วา ชาเนยฺยฯ

    654. Evaṃ bhagavā guṇato brāhmaṇaṃ vatvā ‘‘ye ‘jātito brāhmaṇo’ti abhinivesaṃ karonti, te idaṃ vohāramattaṃ ajānantā, sā ca nesaṃ diṭṭhi duddiṭṭhī’’ti dassento ‘‘samaññā hesā’’ti gāthādvayamāha. Tassattho – ‘‘yadidaṃ brāhmaṇo khattiyo bhāradvājo vāseṭṭho’’ti nāmagottaṃ pakappitaṃ, samaññā hesā lokasmiṃ, paññattivohāramattanti veditabbaṃ. Kasmā? Yasmā sammuccā samudāgataṃ samanuññāya āgataṃ. Tañhi tattha tattha jātakāleyevassa ñātisālohitehi pakappitaṃ kataṃ. No cetaṃ evaṃ pakappeyyuṃ, na koci kañci disvā ‘‘ayaṃ brāhmaṇo’’ti vā ‘‘bhāradvājo’’ti vā jāneyya.

    ๖๕๕. เอวํ ปกปฺปิตเญฺจตํ ทีฆรตฺตมนุสยิตํ ทิฎฺฐิคตมชานตํ, ‘‘ปกปฺปิตํ นามโคตฺตํ, นามโคตฺตมตฺตเมตํ สํโวหารตฺถํ ปกปฺปิต’’นฺติ อชานนฺตานํ สตฺตานํ หทเย ทีฆรตฺตํ ทิฎฺฐิคตมนุสยิตํ, ตสฺส อนุสยิตตฺตา ตํ นามโคตฺตํ อชานนฺตา เต ปพฺรุวนฺติ ‘‘ชาติยา โหติ พฺราหฺมโณ’’ติ, อชานนฺตาเยว เอวํ วทนฺตีติ วุตฺตํ โหติฯ

    655. Evaṃ pakappitañcetaṃ dīgharattamanusayitaṃ diṭṭhigatamajānataṃ, ‘‘pakappitaṃ nāmagottaṃ, nāmagottamattametaṃ saṃvohāratthaṃ pakappita’’nti ajānantānaṃ sattānaṃ hadaye dīgharattaṃ diṭṭhigatamanusayitaṃ, tassa anusayitattā taṃ nāmagottaṃ ajānantā te pabruvanti ‘‘jātiyā hoti brāhmaṇo’’ti, ajānantāyeva evaṃ vadantīti vuttaṃ hoti.

    ๖๕๖-๗. เอวํ ‘‘เย ‘ชาติโต พฺราหฺมโณ’ติ อภินิเวสํ กโรนฺติ, เต อิทํ โวหารมตฺตมชานนฺตา, สา จ เนสํ ทิฎฺฐิ ทุทฺทิฎฺฐี’’ติ ทเสฺสตฺวา อิทานิ นิปฺปริยายเมว ชาติวาทํ ปฎิกฺขิปโนฺต กมฺมวาทญฺจ นิโรเปโนฺต ‘‘น ชจฺจา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ‘‘กมฺมุนา พฺราหฺมโณ โหติ, กมฺมุนา โหติ อพฺราหฺมโณ’’ติ อิมิสฺสา อุปฑฺฒคาถาย อตฺถวิตฺถารณตฺถํ ‘‘กสฺสโก กมฺมุนา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ กมฺมุนาติ ปจฺจุปฺปเนฺนน กสิกมฺมาทินิพฺพตฺตกเจตนากมฺมุนาฯ

    656-7. Evaṃ ‘‘ye ‘jātito brāhmaṇo’ti abhinivesaṃ karonti, te idaṃ vohāramattamajānantā, sā ca nesaṃ diṭṭhi duddiṭṭhī’’ti dassetvā idāni nippariyāyameva jātivādaṃ paṭikkhipanto kammavādañca niropento ‘‘na jaccā’’tiādimāha. Tattha ‘‘kammunā brāhmaṇo hoti, kammunā hoti abrāhmaṇo’’ti imissā upaḍḍhagāthāya atthavitthāraṇatthaṃ ‘‘kassako kammunā’’tiādi vuttaṃ. Tattha kammunāti paccuppannena kasikammādinibbattakacetanākammunā.

    ๖๕๙. ปฎิจฺจสมุปฺปาททสฺสาติ ‘‘อิมินา ปจฺจเยน เอวํ โหตี’’ติ เอวํ ปฎิจฺจสมุปฺปาททสฺสาวิโนฯ กมฺมวิปากโกวิทาติ สมฺมานาวมานารเห กุเล กมฺมวเสน อุปฺปตฺติ โหติ, อญฺญาปิ หีนปณีตตา หีนปณีเต กเมฺม วิปจฺจมาเน โหตีติ เอวํ กมฺมวิปากกุสลาฯ

    659.Paṭiccasamuppādadassāti ‘‘iminā paccayena evaṃ hotī’’ti evaṃ paṭiccasamuppādadassāvino. Kammavipākakovidāti sammānāvamānārahe kule kammavasena uppatti hoti, aññāpi hīnapaṇītatā hīnapaṇīte kamme vipaccamāne hotīti evaṃ kammavipākakusalā.

    ๖๖๐. ‘‘กมฺมุนาวตฺตตี’’ติ คาถาย ปน ‘‘โลโก’’ติ วา ‘‘ปชา’’ติ วา ‘‘สตฺตา’’ติ วา เอโกเยว อโตฺถ, วจนมตฺตเมว นานํฯ ปุริมปเทน เจตฺถ ‘‘อตฺถิ พฺรหฺมา มหาพฺรหฺมา…เป.… เสโฎฺฐ สชิตา วสี ปิตา ภูตภพฺยาน’’นฺติ (ที. นิ. ๑.๔๒) อิมิสฺสา ทิฎฺฐิยา นิเสโธ เวทิตโพฺพฯ กมฺมุนา หิ วตฺตติ ตาสุ ตาสุ คตีสุ อุปฺปชฺชติ โลโก, ตสฺส โก สชิตาติ? ทุติเยน ‘‘เอวํ กมฺมุนา อุปฺปโนฺนปิ จ ปวตฺติยมฺปิ อตีตปจฺจุปฺปนฺนเภเทน กมฺมุนา เอว ปวตฺตติ, สุขทุกฺขานิ ปจฺจนุโภโนฺต หีนปณีตาทิภาวํ อาปชฺชโนฺต ปวตฺตตี’’ติ ทเสฺสติฯ ตติเยน ตเมวตฺถํ นิคเมติ ‘‘เอวํ สพฺพถาปิ กมฺมนิพนฺธนา สตฺตา กเมฺมเนว พทฺธา หุตฺวา ปวตฺตนฺติ, น อญฺญถา’’ติฯ จตุเตฺถน ตมตฺถํ อุปมาย วิภาเวติ รถสฺสาณีว ยายโตติฯ ยถา รถสฺส ยายโต อาณิ นิพนฺธนํ โหติ, น ตาย อนิพโทฺธ ยาติ, เอวํ โลกสฺส อุปฺปชฺชโต จ ปวตฺตโต จ กมฺมํ นิพนฺธนํ, น เตน อนิพโทฺธ อุปฺปชฺชติ นปฺปวตฺตติฯ

    660.‘‘Kammunāvattatī’’ti gāthāya pana ‘‘loko’’ti vā ‘‘pajā’’ti vā ‘‘sattā’’ti vā ekoyeva attho, vacanamattameva nānaṃ. Purimapadena cettha ‘‘atthi brahmā mahābrahmā…pe… seṭṭho sajitā vasī pitā bhūtabhabyāna’’nti (dī. ni. 1.42) imissā diṭṭhiyā nisedho veditabbo. Kammunā hi vattati tāsu tāsu gatīsu uppajjati loko, tassa ko sajitāti? Dutiyena ‘‘evaṃ kammunā uppannopi ca pavattiyampi atītapaccuppannabhedena kammunā eva pavattati, sukhadukkhāni paccanubhonto hīnapaṇītādibhāvaṃ āpajjanto pavattatī’’ti dasseti. Tatiyena tamevatthaṃ nigameti ‘‘evaṃ sabbathāpi kammanibandhanā sattā kammeneva baddhā hutvā pavattanti, na aññathā’’ti. Catutthena tamatthaṃ upamāya vibhāveti rathassāṇīva yāyatoti. Yathā rathassa yāyato āṇi nibandhanaṃ hoti, na tāya anibaddho yāti, evaṃ lokassa uppajjato ca pavattato ca kammaṃ nibandhanaṃ, na tena anibaddho uppajjati nappavattati.

    ๖๖๑. อิทานิ ยสฺมา เอวํ กมฺมนิพนฺธโน โลโก, ตสฺมา เสเฎฺฐน กมฺมุนา เสฎฺฐภาวํ ทเสฺสโนฺต ‘‘ตเปนา’’ติ คาถาทฺวยมาหฯ ตตฺถ ตเปนาติ อินฺทฺริยสํวเรนฯ พฺรหฺมจริเยนาติ สิกฺขานิสฺสิเตน วุตฺตาวเสสเสฎฺฐจริเยนฯ สํยเมนาติ สีเลนฯ ทเมนาติ ปญฺญายฯ เอเตน เสฎฺฐเฎฺฐน พฺรหฺมภูเตน กมฺมุนา พฺราหฺมโณ โหติฯ กสฺมา? ยสฺมา เอตํ พฺราหฺมณมุตฺตมํ, ยสฺมา เอตํ กมฺมํ อุตฺตโม พฺราหฺมณภาโวติ วุตฺตํ โหติฯ ‘‘พฺรหฺมาน’’นฺติปิ ปาโฐ, ตสฺสโตฺถ – พฺรหฺมํ อาเนตีติ พฺรหฺมานํ, พฺรหฺมภาวํ อาเนติ อาวหติ เทตีติ วุตฺตํ โหติฯ

    661. Idāni yasmā evaṃ kammanibandhano loko, tasmā seṭṭhena kammunā seṭṭhabhāvaṃ dassento ‘‘tapenā’’ti gāthādvayamāha. Tattha tapenāti indriyasaṃvarena. Brahmacariyenāti sikkhānissitena vuttāvasesaseṭṭhacariyena. Saṃyamenāti sīlena. Damenāti paññāya. Etena seṭṭhaṭṭhena brahmabhūtena kammunā brāhmaṇo hoti. Kasmā? Yasmā etaṃ brāhmaṇamuttamaṃ, yasmā etaṃ kammaṃ uttamo brāhmaṇabhāvoti vuttaṃ hoti. ‘‘Brahmāna’’ntipi pāṭho, tassattho – brahmaṃ ānetīti brahmānaṃ, brahmabhāvaṃ āneti āvahati detīti vuttaṃ hoti.

    ๖๖๒. ทุติยคาถาย สโนฺตติ สนฺตกิเลโสฯ พฺรหฺมา สโกฺกติ พฺรหฺมา จ สโกฺก จฯ โย เอวรูโป, โส น เกวลํ พฺราหฺมโณ, อปิจ โข พฺรหฺมา จ สโกฺก จ โส วิชานตํ ปณฺฑิตานํ, เอวํ วาเสฎฺฐ ชานาหีติ วุตฺตํ โหติฯ เสสํ วุตฺตนยเมวาติฯ

    662. Dutiyagāthāya santoti santakileso. Brahmā sakkoti brahmā ca sakko ca. Yo evarūpo, so na kevalaṃ brāhmaṇo, apica kho brahmā ca sakko ca so vijānataṃ paṇḍitānaṃ, evaṃ vāseṭṭha jānāhīti vuttaṃ hoti. Sesaṃ vuttanayamevāti.

    ปรมตฺถโชติกาย ขุทฺทก-อฎฺฐกถาย

    Paramatthajotikāya khuddaka-aṭṭhakathāya

    สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถาย วาเสฎฺฐสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Suttanipāta-aṭṭhakathāya vāseṭṭhasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / สุตฺตนิปาตปาฬิ • Suttanipātapāḷi / ๙. วาเสฎฺฐสุตฺตํ • 9. Vāseṭṭhasuttaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact