Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วินยวินิจฺฉย-ฎีกา • Vinayavinicchaya-ṭīkā

    วสฺสูปนายิกกฺขนฺธกกถาวณฺณนา

    Vassūpanāyikakkhandhakakathāvaṇṇanā

    ๒๖๐๘. วสฺสูปนายิกา วุตฺตาติ เสโสฯ ปจฺฉิมา จาติ เอตฺถ อิติ-สโทฺท นิทสฺสเนฯ วสฺสูปนายิกาติ วสฺสูปคมนาฯ อาลโย, วจีเภโท วา กาตโพฺพ อุปคจฺฉตาติ อิมินา วสฺสูปคมนปฺปกาโร ทสฺสิโตฯ อุปคจฺฉตา อาลโย กตฺตโพฺพ, วจีเภโท วา กตฺตโพฺพติ สมฺพโนฺธฯ อุปคจฺฉเนฺตน จ เสนาสเน อสติ ‘‘อิธ วสฺสํ วสิสฺสามี’’ติ จิตฺตุปฺปาทมตฺตํ วา กาตพฺพํ, เสนาสเน สติ ‘‘อิมสฺมิํ วิหาเร อิมํ เตมาสํ วสฺสํ อุเปมี’’ติ จ ‘‘อิธ วสฺสํ อุเปมี’’ติ จ วจีเภโท วา กาตโพฺพติ อโตฺถฯ

    2608. Vassūpanāyikā vuttāti seso. Pacchimā cāti ettha iti-saddo nidassane. Vassūpanāyikāti vassūpagamanā. Ālayo, vacībhedo vā kātabbo upagacchatāti iminā vassūpagamanappakāro dassito. Upagacchatā ālayo kattabbo, vacībhedo vā kattabboti sambandho. Upagacchantena ca senāsane asati ‘‘idha vassaṃ vasissāmī’’ti cittuppādamattaṃ vā kātabbaṃ, senāsane sati ‘‘imasmiṃ vihāre imaṃ temāsaṃ vassaṃ upemī’’ti ca ‘‘idha vassaṃ upemī’’ti ca vacībhedo vā kātabboti attho.

    ๒๖๐๙. ชานํ วสฺสูปคมนํ อนุปคจฺฉโต วาปีติ โยชนาฯ เตมาสนฺติ เอตฺถ ‘‘ปุริมํ วา ปจฺฉิมํ วา’’ติ เสโสฯ จรนฺตสฺสาปีติ เอตฺถ ‘‘จาริก’’นฺติ เสโสฯ ปุริมํ วา เตมาสํ ปจฺฉิมํ วา เตมาสํ อวสิตฺวาว จาริกํ จรนฺตสฺสาปิ ทุกฺกฎนฺติ โยชนาฯ เตมาสนฺติ อจฺจนฺตสํโยเค อุปโยควจนํฯ ยถาห – ‘‘น, ภิกฺขเว, วสฺสํ อุปคนฺตฺวา ปุริมํ วา เตมาสํ ปจฺฉิมํ วา เตมาสํ อวสิตฺวา จาริกา ปกฺกมิตพฺพา, โย ปกฺกเมยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (มหาว. ๑๘๕)ฯ

    2609. Jānaṃ vassūpagamanaṃ anupagacchato vāpīti yojanā. Temāsanti ettha ‘‘purimaṃ vā pacchimaṃ vā’’ti seso. Carantassāpīti ettha ‘‘cārika’’nti seso. Purimaṃ vā temāsaṃ pacchimaṃ vā temāsaṃ avasitvāva cārikaṃ carantassāpi dukkaṭanti yojanā. Temāsanti accantasaṃyoge upayogavacanaṃ. Yathāha – ‘‘na, bhikkhave, vassaṃ upagantvā purimaṃ vā temāsaṃ pacchimaṃ vā temāsaṃ avasitvā cārikā pakkamitabbā, yo pakkameyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (mahāva. 185).

    ๒๖๑๐. รุกฺขสฺส สุสิเรติ เอตฺถ ‘‘สุเทฺธ’’ติ เสโสฯ ยถาห – ‘‘รุกฺขสุสิเรติ เอตฺถ สุเทฺธ รุกฺขสุสิเรเยว น วฎฺฎติ, มหนฺตสฺส ปน รุกฺขสุสิรสฺส อโนฺต ปทรจฺฉทนํ กุฎิกํ กตฺวา ปวิสนทฺวารํ โยเชตฺวา อุปคนฺตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ ‘‘รุกฺขสฺส สุสิเร’’ติ อิมินา รุเกฺขกเทโส วิฎโปปิ สงฺคหิโต, โสปิ สุโทฺธว น วฎฺฎติฯ ยถาห – ‘‘รุกฺขวิฎภิยาติ เอตฺถาปิ สุเทฺธ วิฎปมเตฺต น วฎฺฎติ, มหาวิฎเป ปน อฎฺฎกํ พนฺธิตฺวา ตตฺถ ปทรจฺฉทนํ กุฎิกํ กตฺวา อุปคนฺตุํ วฎฺฎตี’’ติ (มหาว. อฎฺฐ. ๒๐๓)ฯ

    2610.Rukkhassasusireti ettha ‘‘suddhe’’ti seso. Yathāha – ‘‘rukkhasusireti ettha suddhe rukkhasusireyeva na vaṭṭati, mahantassa pana rukkhasusirassa anto padaracchadanaṃ kuṭikaṃ katvā pavisanadvāraṃ yojetvā upagantuṃ vaṭṭatī’’ti. ‘‘Rukkhassa susire’’ti iminā rukkhekadeso viṭapopi saṅgahito, sopi suddhova na vaṭṭati. Yathāha – ‘‘rukkhaviṭabhiyāti etthāpi suddhe viṭapamatte na vaṭṭati, mahāviṭape pana aṭṭakaṃ bandhitvā tattha padaracchadanaṃ kuṭikaṃ katvā upagantuṃ vaṭṭatī’’ti (mahāva. aṭṭha. 203).

    ‘‘ฉเตฺตติ เอตฺถาปิ จตูสุ ถเมฺภสุ ฉตฺตํ ฐเปตฺวา อาวรณํ กตฺวา ทฺวารํ โยเชตฺวา อุปคนฺตุํ วฎฺฎติ, ฉตฺตกุฎิกา นาเมสา โหติฯ จาฎิยาติ เอตฺถาปิ มหเนฺตน กปเลฺลน ฉเตฺต วุตฺตนเยน กุฎิํ กตฺวาว อุปคนฺตุํ วฎฺฎตี’’ติ อฎฺฐกถาวจนโต เอวมกตาสุ สุทฺธฉตฺตจาฎีสุ นิวารณํ เวทิตพฺพํฯ ฉวกุฎีติ ฎงฺกิตมญฺจาทโย วุตฺตาฯ ยถาห – ‘‘ฉวกุฎิกา นาม ฎงฺกิตมญฺจาทิเภทา กุฎิ, ตตฺถ อุปคนฺตุํ วฎฺฎตี’’ติ (มหาว. อฎฺฐ. ๒๐๓)ฯ

    ‘‘Chatteti etthāpi catūsu thambhesu chattaṃ ṭhapetvā āvaraṇaṃ katvā dvāraṃ yojetvā upagantuṃ vaṭṭati, chattakuṭikā nāmesā hoti. Cāṭiyāti etthāpi mahantena kapallena chatte vuttanayena kuṭiṃ katvāva upagantuṃ vaṭṭatī’’ti aṭṭhakathāvacanato evamakatāsu suddhachattacāṭīsu nivāraṇaṃ veditabbaṃ. Chavakuṭīti ṭaṅkitamañcādayo vuttā. Yathāha – ‘‘chavakuṭikā nāma ṭaṅkitamañcādibhedā kuṭi, tattha upagantuṃ na vaṭṭatī’’ti (mahāva. aṭṭha. 203).

    สุสาเน ปน อญฺญํ กุฎิกํ กตฺวา อุปคนฺตุํ วฎฺฎติฯ ‘‘ฉวสรีรํ ฌาเปตฺวา ฉาริกาย, อฎฺฐิกานญฺจ อตฺถาย กุฎิกา กรียตี’’ติ อนฺธกฎฺฐกถายํ ฉวกุฎิ วุตฺตาฯ ‘‘ฎงฺกิตมโญฺจติ กสิกุฎิกาปาสาณฆรนฺติ ลิขิต’’นฺติ (วชิร. ฎี. มหาวคฺค ๒๐๓) วชิรพุทฺธิเตฺถโรฯ จตุนฺนํ ปาสาณานํ อุปริ ปาสาณํ อตฺถริตฺวา กโต เคโหปิ ‘‘ฎงฺกิตมโญฺจ’’ติ วุจฺจติฯ ทีเฆ มญฺจปาเท มเชฺฌ วิชฺฌิตฺวา อฎนิโย ปเวเสตฺวา มญฺจํ กโรนฺตีติ ตสฺส อิทํ อุปริ, อิทํ เหฎฺฐาติ นตฺถิ, ปริวเตฺตตฺวา อตฺถโตปิ ตาทิโสว โหติ, ตํ สุสาเน, เทวฎฺฐาเน จ ฐเปนฺติ, อยมฺปิ ฎงฺกิตมโญฺจ นามฯ

    Susāne pana aññaṃ kuṭikaṃ katvā upagantuṃ vaṭṭati. ‘‘Chavasarīraṃ jhāpetvā chārikāya, aṭṭhikānañca atthāya kuṭikā karīyatī’’ti andhakaṭṭhakathāyaṃ chavakuṭi vuttā. ‘‘Ṭaṅkitamañcoti kasikuṭikāpāsāṇagharanti likhita’’nti (vajira. ṭī. mahāvagga 203) vajirabuddhitthero. Catunnaṃ pāsāṇānaṃ upari pāsāṇaṃ attharitvā kato gehopi ‘‘ṭaṅkitamañco’’ti vuccati. Dīghe mañcapāde majjhe vijjhitvā aṭaniyo pavesetvā mañcaṃ karontīti tassa idaṃ upari, idaṃ heṭṭhāti natthi, parivattetvā atthatopi tādisova hoti, taṃ susāne, devaṭṭhāne ca ṭhapenti, ayampi ṭaṅkitamañco nāma.

    ๒๖๑๑. ‘‘สติ ปจฺจยเวกเลฺล, สรีราผาสุตาย วา’’ติ อวเสสนฺตรายานํ วกฺขมานตฺตา ‘‘อนฺตราโย’’ติ อิมินา ราชนฺตรายาทิ ทสวิโธ คเหตโพฺพฯ

    2611. ‘‘Sati paccayavekalle, sarīrāphāsutāya vā’’ti avasesantarāyānaṃ vakkhamānattā ‘‘antarāyo’’ti iminā rājantarāyādi dasavidho gahetabbo.

    ๒๖๑๒-๔. ‘‘อนุชานามิ , ภิกฺขเว, สตฺตนฺนํ สตฺตาหกรณีเยน อปฺปหิเตปิ คนฺตุํ, ปเคว ปหิเต ภิกฺขุสฺส ภิกฺขุนิยา สิกฺขมานาย สามเณรสฺส สามเณริยา มาตุยา จ ปิตุสฺส จา’’ติ (มหาว. ๑๙๘) วุตฺตนยํ ทเสฺสตุมาห ‘‘มาตาปิตูน’’นฺติอาทิฯ

    2612-4. ‘‘Anujānāmi , bhikkhave, sattannaṃ sattāhakaraṇīyena appahitepi gantuṃ, pageva pahite bhikkhussa bhikkhuniyā sikkhamānāya sāmaṇerassa sāmaṇeriyā mātuyā ca pitussa cā’’ti (mahāva. 198) vuttanayaṃ dassetumāha ‘‘mātāpitūna’’ntiādi.

    มาตาปิตูนํ ทสฺสนตฺถํ, ปญฺจนฺนํ สหธมฺมิกานํ ทสฺสนตฺถํ วา เนสํ อเตฺถ สติ วา เนสํ อนฺตเร คิลานํ ทฎฺฐุํ วา ตทุปฎฺฐากานํ ภตฺตาทิํ ปริเยสนตฺถํ วา เนสํ ภตฺตาทิํ ปริเยสนตฺถํ วา ตถา เนสํ ปญฺจนฺนํ สหธมฺมิกานํ อญฺญตรํ อนภิรตํ อุกฺกณฺฐิตํ อหํ คนฺตฺวา วูปกาเสสฺสํ วา วูปกาสาเปสฺสามิ วา ธมฺมกถมสฺส กริสฺสามีติ วา ตสฺส ปญฺจนฺนํ สหธมฺมิกานํ อญฺญตรสฺส อุฎฺฐิตํ อุปฺปนฺนํ ทิฎฺฐิํ วิเวเจสฺสามิ วา วิเวจาเปสฺสามิ วา ธมฺมกถมสฺส กริสฺสามีติ วา ตถา อุปฺปนฺนํ กุกฺกุจฺจํ วิโนเทสฺสามีติ วา วิโนทาเปสฺสามีติ วา ธมฺมกถมสฺส กริสฺสามีติ วา เอวํ วินยญฺญุนา ภิกฺขุนา สตฺตาหกิเจฺจน อเปสิเตปิ คนฺตพฺพํ, ปเคว ปหิเตติ โยชนาฯ

    Mātāpitūnaṃ dassanatthaṃ, pañcannaṃ sahadhammikānaṃ dassanatthaṃ vā nesaṃ atthe sati vā nesaṃ antare gilānaṃ daṭṭhuṃ vā tadupaṭṭhākānaṃ bhattādiṃ pariyesanatthaṃ vā nesaṃ bhattādiṃ pariyesanatthaṃ vā tathā nesaṃ pañcannaṃ sahadhammikānaṃ aññataraṃ anabhirataṃ ukkaṇṭhitaṃ ahaṃ gantvā vūpakāsessaṃ vā vūpakāsāpessāmi vā dhammakathamassa karissāmīti vā tassa pañcannaṃ sahadhammikānaṃ aññatarassa uṭṭhitaṃ uppannaṃ diṭṭhiṃ vivecessāmi vā vivecāpessāmi vā dhammakathamassa karissāmīti vā tathā uppannaṃ kukkuccaṃ vinodessāmīti vā vinodāpessāmīti vā dhammakathamassa karissāmīti vā evaṃ vinayaññunā bhikkhunā sattāhakiccena apesitepi gantabbaṃ, pageva pahiteti yojanā.

    ภตฺตาทีติ เอตฺถ อาทิ-สเทฺทน เภสชฺชปริเยสนาทิํ สงฺคณฺหาติฯ ยถาห – ‘‘คิลานภตฺตํ วา ปริเยสิสฺสามิ, คิลานุปฎฺฐากภตฺตํ วา ปริเยสิสฺสามิ, คิลานเภสชฺชํ วา ปริเยสิสฺสามิ, ปุจฺฉิสฺสามิ วา อุปฎฺฐหิสฺสามิ วา’’ติฯ วูปกาเสสฺสนฺติ ยตฺถ อนภิรติ อุปฺปนฺนา, ตโต อญฺญตฺถ คเหตฺวา คมิสฺสามีติ อโตฺถฯ

    Bhattādīti ettha ādi-saddena bhesajjapariyesanādiṃ saṅgaṇhāti. Yathāha – ‘‘gilānabhattaṃ vā pariyesissāmi, gilānupaṭṭhākabhattaṃ vā pariyesissāmi, gilānabhesajjaṃ vā pariyesissāmi, pucchissāmi vā upaṭṭhahissāmi vā’’ti. Vūpakāsessanti yattha anabhirati uppannā, tato aññattha gahetvā gamissāmīti attho.

    วิโนเทสฺสามหนฺติ วาติ เอตฺถ วา-สเทฺทน ‘‘อิธ ปน, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ ครุธมฺมํ อชฺฌาปโนฺน โหติ ปริวาสารโห, โส เจ ภิกฺขูนํ สนฺติเก ทูตํ ปหิเณยฺย ‘อหญฺหิ ครุธมฺมํ อชฺฌาปโนฺน ปริวาสารโห, อาคจฺฉนฺตุ ภิกฺขู, อิจฺฉามิ ภิกฺขูนํ อาคต’นฺติฯ คนฺตพฺพํ, ภิกฺขเว, สตฺตาหกรณีเยน อปฺปหิเตปิ, ปเคว ปหิเต ‘ปริวาสทานํ อุสฺสุกฺกํ กริสฺสามิ วา อนุสฺสาเวสฺสามิ วา คณปูรโก วา ภวิสฺสามี’’ติอาทินยํ (มหาว. ๑๙๓) สงฺคณฺหาติฯ เอวํ สตฺตาหกิเจฺจน คจฺฉเนฺตน อโนฺตอุปจารสีมาย ฐิเตเนว ‘‘อโนฺตสตฺตาเห อาคจฺฉิสฺสามี’’ติ อาโภคํ กตฺวา คนฺตพฺพํฯ สเจ อาโภคํ อกตฺวา อุปจารสีมํ อติกฺกมติ, ฉินฺนวโสฺส โหตีติ วทนฺติฯ

    Vinodessāmahanti vāti ettha -saddena ‘‘idha pana, bhikkhave, bhikkhu garudhammaṃ ajjhāpanno hoti parivāsāraho, so ce bhikkhūnaṃ santike dūtaṃ pahiṇeyya ‘ahañhi garudhammaṃ ajjhāpanno parivāsāraho, āgacchantu bhikkhū, icchāmi bhikkhūnaṃ āgata’nti. Gantabbaṃ, bhikkhave, sattāhakaraṇīyena appahitepi, pageva pahite ‘parivāsadānaṃ ussukkaṃ karissāmi vā anussāvessāmi vā gaṇapūrako vā bhavissāmī’’tiādinayaṃ (mahāva. 193) saṅgaṇhāti. Evaṃ sattāhakiccena gacchantena antoupacārasīmāya ṭhiteneva ‘‘antosattāhe āgacchissāmī’’ti ābhogaṃ katvā gantabbaṃ. Sace ābhogaṃ akatvā upacārasīmaṃ atikkamati, chinnavasso hotīti vadanti.

    ๒๖๑๕. ‘‘อยํ ปเนตฺถ ปาฬิมุตฺตกรตฺติเจฺฉทวินิจฺฉโย’’ติ อฎฺฐกถาคตํ รตฺติเจฺฉทวินิจฺฉยํ ทเสฺสตุมาห ‘‘วสฺสํ อุปคเตเนตฺถา’’ติอาทิฯ เอตฺถาติ อิมสฺมิํ สตฺตาหกิจฺจาธิกาเรฯ อยํ ปาฬิมุตฺตกวินิจฺฉโย ทฎฺฐโพฺพติ อโตฺถฯ

    2615. ‘‘Ayaṃ panettha pāḷimuttakaratticchedavinicchayo’’ti aṭṭhakathāgataṃ ratticchedavinicchayaṃ dassetumāha ‘‘vassaṃ upagatenetthā’’tiādi. Etthāti imasmiṃ sattāhakiccādhikāre. Ayaṃ pāḷimuttakavinicchayo daṭṭhabboti attho.

    ๒๖๑๖. ‘‘อสุกํ นาม ทิวส’’นฺติอาทินา นิมนฺตนาการํ วกฺขติฯ ปุพฺพนฺติ ปฐมํฯ วฎฺฎตีติ สตฺตาหกิเจฺจน คนฺตุํ วฎฺฎติฯ ยถาห – ‘‘สเจ เอกสฺมิํ มหาวาเส ปฐมํเยว กติกา กตา โหติ ‘อสุกทิวสํ นาม สนฺนิปติตพฺพ’นฺติ, นิมนฺติโตเยว นาม โหติ, คนฺตุํ วฎฺฎตี’’ติ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๙๙)ฯ ‘‘อุปาสเกหิ ‘อิมสฺมิํ นาม ทิวเส ทานาทีนิ กโรม, สเพฺพ เอว สนฺนิปตนฺตู’ติ กติกายปิ กตาย คนฺตุํ วฎฺฎติ, นิมนฺติโตเยว นาม โหตี’’ติ เกจิฯ

    2616.‘‘Asukaṃ nāma divasa’’ntiādinā nimantanākāraṃ vakkhati. Pubbanti paṭhamaṃ. Vaṭṭatīti sattāhakiccena gantuṃ vaṭṭati. Yathāha – ‘‘sace ekasmiṃ mahāvāse paṭhamaṃyeva katikā katā hoti ‘asukadivasaṃ nāma sannipatitabba’nti, nimantitoyeva nāma hoti, gantuṃ vaṭṭatī’’ti (mahāva. aṭṭha. 199). ‘‘Upāsakehi ‘imasmiṃ nāma divase dānādīni karoma, sabbe eva sannipatantū’ti katikāyapi katāya gantuṃ vaṭṭati, nimantitoyeva nāma hotī’’ti keci.

    ๒๖๑๗. ภณฺฑกนฺติ อตฺตโน จีวรภณฺฑํฯ น วฎฺฎตีติ สตฺตาหกิเจฺจน คนฺตุํ น วฎฺฎติฯ ปหิณนฺตีติ จีวรโธวนาทิกเมฺมน ปหิณนฺติฯ อาจริยุปชฺฌายานํ อาณตฺติเยน เกนจิ อนวชฺชกิเจฺจน สตฺตาหกรณีเยน คนฺตุํ วฎฺฎตีติ อิมินาว ทีปิตํ โหติฯ

    2617.Bhaṇḍakanti attano cīvarabhaṇḍaṃ. Na vaṭṭatīti sattāhakiccena gantuṃ na vaṭṭati. Pahiṇantīti cīvaradhovanādikammena pahiṇanti. Ācariyupajjhāyānaṃ āṇattiyena kenaci anavajjakiccena sattāhakaraṇīyena gantuṃ vaṭṭatīti imināva dīpitaṃ hoti.

    ๒๖๑๘. อุเทฺทสาทีนมตฺถายาติ ปาฬิวาจนานิ สนฺธายฯ อาทิ-สเทฺทน ปริปุจฺฉาทิํ สงฺคณฺหาติฯ ครูนนฺติ อคิลานานมฺปิ อาจริยุปชฺฌายานํฯ คนฺตุํ ลภตีติ สตฺตาหกรณีเยน คนฺตุํ ลภติฯ ปุคฺคโลติ ปกรณโต ภิกฺขุํเยว คณฺหาติฯ

    2618.Uddesādīnamatthāyāti pāḷivācanāni sandhāya. Ādi-saddena paripucchādiṃ saṅgaṇhāti. Garūnanti agilānānampi ācariyupajjhāyānaṃ. Gantuṃ labhatīti sattāhakaraṇīyena gantuṃ labhati. Puggaloti pakaraṇato bhikkhuṃyeva gaṇhāti.

    ๒๖๑๙. อาจริโยติ นิทสฺสนมตฺตํ, อุปชฺฌาเยน นิวาริเตปิ เอเสว นโยฯ ‘‘สเจ ปน นํ อาจริโย ‘อชฺช มา คจฺฉา’ติ วทติ, วฎฺฎตี’’ติ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๙๙) อฎฺฐกถานยํ ทเสฺสตุมาห ‘‘รตฺติเจฺฉเท อนาปตฺติ, โหตีติ ปริทีปิตา’’ติฯ รตฺติเจฺฉเทติ วสฺสเจฺฉทนิมิตฺตํฯ ‘‘รตฺติเจฺฉเท’’ติ สพฺพตฺถ วสฺสเจฺฉโทติ สนฺนิฎฺฐานํ กตฺวา วทนฺติ, เอวํ สตฺตาหกรณีเยน คตํ นํ อโนฺตสตฺตาเหเยว ปุน อาคจฺฉนฺตํ สเจ อาจริโย วา อุปชฺฌาโย วา ‘‘อชฺช มา คจฺฉา’’ติ วทติ, สตฺตาหาติกฺกเมปิ อนาปตฺตีติ อธิปฺปาโย, วสฺสเจฺฉโท ปน โหติเยวาติ ทฎฺฐพฺพํ สตฺตาหสฺส พหิทฺธา วีตินามิตตฺตาฯ

    2619.Ācariyoti nidassanamattaṃ, upajjhāyena nivāritepi eseva nayo. ‘‘Sace pana naṃ ācariyo ‘ajja mā gacchā’ti vadati, vaṭṭatī’’ti (mahāva. aṭṭha. 199) aṭṭhakathānayaṃ dassetumāha ‘‘ratticchede anāpatti, hotīti paridīpitā’’ti. Ratticchedeti vassacchedanimittaṃ. ‘‘Ratticchede’’ti sabbattha vassacchedoti sanniṭṭhānaṃ katvā vadanti, evaṃ sattāhakaraṇīyena gataṃ naṃ antosattāheyeva puna āgacchantaṃ sace ācariyo vā upajjhāyo vā ‘‘ajja mā gacchā’’ti vadati, sattāhātikkamepi anāpattīti adhippāyo, vassacchedo pana hotiyevāti daṭṭhabbaṃ sattāhassa bahiddhā vītināmitattā.

    ๒๖๒๐. ยสฺส กสฺสจิ ญาติสฺสาติ มาตาปิตูหิ อญฺญสฺส ญาติชนสฺสฯ ‘‘คจฺฉโต ทสฺสนตฺถายา’’ติ อิมินา เสสญาติเกหิ ‘‘มยํ คิลานา ภทนฺตานํ อาคมนํ อิจฺฉามา’’ติ จ ‘‘อุปฎฺฐากกุเลหิ ทานํ ทสฺสาม, ธมฺมํ โสสฺสาม, ภิกฺขูนํ ทสฺสนํ อิจฺฉามา’’ติ จ เอวํ กตฺตพฺพํ นิทฺทิสิตฺวา ทูเต วา เปสิเต สตฺตาหกรณีเยน คจฺฉโต รตฺติเจฺฉโท จ ทุกฺกฎญฺจ น โหตีติ วุตฺตํ โหติฯ ยถาห ‘‘อิธ ปน, ภิกฺขเว, ภิกฺขุสฺส ญาตโก คิลาโน โหติ…เป.… คนฺตพฺพํ, ภิกฺขเว, สตฺตาหกรณีเยน ปหิเต, น เตฺวว อปฺปหิเต’’ติ (มหาว. ๑๙๙) จ ‘‘อิธ ปน, ภิกฺขเว, อุปาสเกน สงฺฆํ อุทฺทิสฺส วิหาโร การาปิโต โหติ…เป.… อิจฺฉามิ ทานญฺจ ทาตุํ ธมฺมญฺจ โสตุํ ภิกฺขู จ ปสฺสิตุนฺติฯ คนฺตพฺพํ, ภิกฺขเว, สตฺตาหกรณีเยน ปหิเต, น เตฺวว อปฺปหิเต’’ติ (มหาว. ๑๘๘) จฯ

    2620.Yassa kassaci ñātissāti mātāpitūhi aññassa ñātijanassa. ‘‘Gacchato dassanatthāyā’’ti iminā sesañātikehi ‘‘mayaṃ gilānā bhadantānaṃ āgamanaṃ icchāmā’’ti ca ‘‘upaṭṭhākakulehi dānaṃ dassāma, dhammaṃ sossāma, bhikkhūnaṃ dassanaṃ icchāmā’’ti ca evaṃ kattabbaṃ niddisitvā dūte vā pesite sattāhakaraṇīyena gacchato ratticchedo ca dukkaṭañca na hotīti vuttaṃ hoti. Yathāha ‘‘idha pana, bhikkhave, bhikkhussa ñātako gilāno hoti…pe… gantabbaṃ, bhikkhave, sattāhakaraṇīyena pahite, na tveva appahite’’ti (mahāva. 199) ca ‘‘idha pana, bhikkhave, upāsakena saṅghaṃ uddissa vihāro kārāpito hoti…pe… icchāmi dānañca dātuṃ dhammañca sotuṃ bhikkhū ca passitunti. Gantabbaṃ, bhikkhave, sattāhakaraṇīyena pahite, na tveva appahite’’ti (mahāva. 188) ca.

    ๒๖๒๑. ‘‘อหํ คามกํ คนฺตฺวา อเชฺชว อาคมิสฺสามี’’ติ อาคจฺฉํ อาคจฺฉโนฺต สเจ ปาปุณิตุํ น สโกฺกเตว, วฎฺฎตีติ โยชนาฯ วฎฺฎตีติ เอตฺถ ‘‘อเชฺชว อาคมิสฺสามี’’ติ คนฺตฺวา อาคจฺฉนฺตสฺส อนฺตรามเคฺค สเจ อรุณุคฺคมนํ โหติ, วสฺสเจฺฉโทปิ น โหติ, รตฺติเจฺฉททุกฺกฎญฺจ นตฺถีติ อธิปฺปาโยฯ

    2621. ‘‘Ahaṃ gāmakaṃ gantvā ajjeva āgamissāmī’’ti āgacchaṃ āgacchanto sace pāpuṇituṃ na sakkoteva, vaṭṭatīti yojanā. Vaṭṭatīti ettha ‘‘ajjeva āgamissāmī’’ti gantvā āgacchantassa antarāmagge sace aruṇuggamanaṃ hoti, vassacchedopi na hoti, ratticchedadukkaṭañca natthīti adhippāyo.

    ๒๖๒๒. วเชติ (มหาว. อฎฺฐ. ๒๐๓) โคปาลกานํ นิวาสนฎฺฐาเนฯ สเตฺถติ ชงฺฆสตฺถสกฎสตฺถานํ สนฺนิวิโฎฺฐกาเสฯ ตีสุ ฐาเนสุ ภิกฺขุโน, วสฺสเจฺฉเท อนาปตฺตีติ เตหิ สทฺธิํ คจฺฉนฺตเสฺสว นตฺถิ อาปตฺติ, เตหิ วิยุญฺชิตฺวา คมเน ปน อาปตฺติเยว, ปวาเรตุญฺจ น ลภติฯ

    2622.Vajeti (mahāva. aṭṭha. 203) gopālakānaṃ nivāsanaṭṭhāne. Sattheti jaṅghasatthasakaṭasatthānaṃ sanniviṭṭhokāse. Tīsu ṭhānesu bhikkhuno, vassacchede anāpattīti tehi saddhiṃ gacchantasseva natthi āpatti, tehi viyuñjitvā gamane pana āpattiyeva, pavāretuñca na labhati.

    วชาทีสุ วสฺสํ อุปคจฺฉเนฺตน วสฺสูปนายิกทิวเส เตน ภิกฺขุนา อุปาสกา วตฺตพฺพา ‘‘กุฎิกา ลทฺธุํ วฎฺฎตี’’ติฯ สเจ กริตฺวา เทนฺติ, ตตฺถ ปวิสิตฺวา ‘‘อิธ วสฺสํ อุเปมี’’ติ ติกฺขตฺตุํ วตฺตพฺพํฯ โน เจ เทนฺติ, สาลาสเงฺขเปน ฐิตสกฎสฺส เหฎฺฐา อุปคนฺตพฺพํฯ ตมฺปิ อลภเนฺตน อาลโย กาตโพฺพฯ สเตฺถ ปน กุฎิกาทีนํ อภาเว ‘‘อิธ วสฺสํ อุเปมี’’ติ วจีเภทํ กตฺวา อุปคนฺตุํ น วฎฺฎติ, อาลยกรณมตฺตเมว วฎฺฎติฯ อาลโย นาม ‘‘อิธ วสฺสํ วสิสฺสามี’’ติ จิตฺตุปฺปาทมตฺตํฯ

    Vajādīsu vassaṃ upagacchantena vassūpanāyikadivase tena bhikkhunā upāsakā vattabbā ‘‘kuṭikā laddhuṃ vaṭṭatī’’ti. Sace karitvā denti, tattha pavisitvā ‘‘idha vassaṃ upemī’’ti tikkhattuṃ vattabbaṃ. No ce denti, sālāsaṅkhepena ṭhitasakaṭassa heṭṭhā upagantabbaṃ. Tampi alabhantena ālayo kātabbo. Satthe pana kuṭikādīnaṃ abhāve ‘‘idha vassaṃ upemī’’ti vacībhedaṃ katvā upagantuṃ na vaṭṭati, ālayakaraṇamattameva vaṭṭati. Ālayo nāma ‘‘idha vassaṃ vasissāmī’’ti cittuppādamattaṃ.

    สเจ มคฺคปฺปฎิปเนฺนเยว สเตฺถ ปวารณทิวโส โหติ, ตเตฺถว ปวาเรตพฺพํฯ อถ สโตฺถ อโนฺตวเสฺสเยว ภิกฺขุนา ปตฺถิตฎฺฐานํ ปตฺวา อติกฺกมติฯ ปตฺถิตฎฺฐาเน วสิตฺวา ตตฺถ ภิกฺขูหิ สทฺธิํ ปวาเรตพฺพํฯ อถาปิ สโตฺถ อโนฺตวเสฺสเยว อนฺตรา เอกสฺมิํ คาเม ติฎฺฐติ วา วิปฺปกิรติ วา, ตสฺมิํเยว คาเม ภิกฺขูหิ สทฺธิํ วสิตฺวา ปวาเรตพฺพํ, อปฺปวาเรตฺวา ตโต ปรํ คนฺตุํ น วฎฺฎติฯ

    Sace maggappaṭipanneyeva satthe pavāraṇadivaso hoti, tattheva pavāretabbaṃ. Atha sattho antovasseyeva bhikkhunā patthitaṭṭhānaṃ patvā atikkamati. Patthitaṭṭhāne vasitvā tattha bhikkhūhi saddhiṃ pavāretabbaṃ. Athāpi sattho antovasseyeva antarā ekasmiṃ gāme tiṭṭhati vā vippakirati vā, tasmiṃyeva gāme bhikkhūhi saddhiṃ vasitvā pavāretabbaṃ, appavāretvā tato paraṃ gantuṃ na vaṭṭati.

    นาวาย วสฺสํ อุปคจฺฉเนฺตนาปิ กุฎิยํเยว อุปคนฺตพฺพํฯ ปริเยสิตฺวา อลภเนฺต อาลโย กาตโพฺพ ฯ สเจ อโนฺตเตมาสํ นาวา สมุเทฺทเยว โหติ, ตเตฺถว ปวาเรตพฺพํฯ อถ นาวา กูลํ ลภติ, สยญฺจ ปรโต คนฺตุกาโม โหติ, คนฺตุํ น วฎฺฎติฯ นาวาย ลทฺธคาเมเยว วสิตฺวา ภิกฺขูหิ สทฺธิํ ปวาเรตพฺพํฯ สเจปิ นาวา อนุตีรเมว อญฺญตฺถ คจฺฉติ, ภิกฺขุ จ ปฐมํ ลทฺธคาเมเยว วสิตุกาโม, นาวา คจฺฉตุ, ภิกฺขุนา ตเตฺถว วสิตฺวา ภิกฺขูหิ สทฺธิํ ปวาเรตพฺพํฯ

    Nāvāya vassaṃ upagacchantenāpi kuṭiyaṃyeva upagantabbaṃ. Pariyesitvā alabhante ālayo kātabbo . Sace antotemāsaṃ nāvā samuddeyeva hoti, tattheva pavāretabbaṃ. Atha nāvā kūlaṃ labhati, sayañca parato gantukāmo hoti, gantuṃ na vaṭṭati. Nāvāya laddhagāmeyeva vasitvā bhikkhūhi saddhiṃ pavāretabbaṃ. Sacepi nāvā anutīrameva aññattha gacchati, bhikkhu ca paṭhamaṃ laddhagāmeyeva vasitukāmo, nāvā gacchatu, bhikkhunā tattheva vasitvā bhikkhūhi saddhiṃ pavāretabbaṃ.

    อิติ วเช, สเตฺถ, นาวายนฺติ ตีสุ ฐาเนสุ นตฺถิ วสฺสเจฺฉเท อาปตฺติ, ปวาเรตุญฺจ ลภติฯ

    Iti vaje, satthe, nāvāyanti tīsu ṭhānesu natthi vassacchede āpatti, pavāretuñca labhati.

    ๒๖๒๓. สติ ปจฺจยเวกเลฺลติ ปิณฺฑปาตาทีนํ ปจฺจยานํ อูนเตฺต สติฯ สรีราผาสุตาย วาติ สรีรสฺส อผาสุตาย อาพาเธ วา สติฯ วสฺสํ เฉตฺวาปิ ปกฺกเมติ วสฺสเจฺฉทํ กตฺวาปิ ยถาผาสุกฎฺฐานํ คเจฺฉยฺยฯ อปิ-สเทฺทน วสฺสํ อเฉตฺวา วสฺสเจฺฉทการเณ สติ สตฺตาหกรณีเยน คนฺตุมฺปิ วฎฺฎตีติ ทีเปติฯ

    2623.Sati paccayavekalleti piṇḍapātādīnaṃ paccayānaṃ ūnatte sati. Sarīrāphāsutāya vāti sarīrassa aphāsutāya ābādhe vā sati. Vassaṃ chetvāpi pakkameti vassacchedaṃ katvāpi yathāphāsukaṭṭhānaṃ gaccheyya. Api-saddena vassaṃ achetvā vassacchedakāraṇe sati sattāhakaraṇīyena gantumpi vaṭṭatīti dīpeti.

    ๒๖๒๔. เยน เกนนฺตราเยนาติ ราชนฺตรายาทีสุ เยน เกนจิ อนฺตราเยนฯ โย ภิกฺขุ วสฺสํ โนปคโต, เตนาปิ ฉินฺนวเสฺสน วาปิ ทุติยา วสฺสูปนายิกา อุปคนฺตพฺพาติ โยชนาฯ

    2624.Yena kenantarāyenāti rājantarāyādīsu yena kenaci antarāyena. Yo bhikkhu vassaṃ nopagato, tenāpi chinnavassena vāpi dutiyā vassūpanāyikā upagantabbāti yojanā.

    ๒๖๒๕-๖. สตฺตาหนฺติ อจฺจนฺตสํโยเค อุปโยควจนํฯ ‘‘วีตินาเมตี’’ติ อิมินา สมฺพโนฺธฯ อุปคนฺตฺวาปิ วา พหิทฺธา เอว สตฺตาหํ วีตินาเมติ เจฯ โย คจฺฉติ, โย จ วีตินาเมติ, ตสฺส ภิกฺขุสฺสฯ ปุริมาปิ น วิชฺชตีติ อนุปคตตฺตา, ฉินฺนวสฺสตฺตา จ ปุริมาปิ วสฺสูปนายิกา น วิชฺชติ น ลภติฯ อิเมสํ ทฺวินฺนํ ยถากฺกมํ อุปจาราติกฺกเม, สตฺตาหาติกฺกเม จ อาปตฺติ เวทิตพฺพาฯ

    2625-6.Sattāhanti accantasaṃyoge upayogavacanaṃ. ‘‘Vītināmetī’’ti iminā sambandho. Upagantvāpi vā bahiddhā eva sattāhaṃ vītināmeti ce. Yo gacchati, yo ca vītināmeti, tassa bhikkhussa. Purimāpi na vijjatīti anupagatattā, chinnavassattā ca purimāpi vassūpanāyikā na vijjati na labhati. Imesaṃ dvinnaṃ yathākkamaṃ upacārātikkame, sattāhātikkame ca āpatti veditabbā.

    ปฎิสฺสเว จ ภิกฺขุสฺส, โหติ อาปตฺติ ทุกฺกฎนฺติ ‘‘อิธ วสฺสํ วสถา’’ติ วุเตฺต ‘‘สาธู’’ติ ปฎิสฺสุณิตฺวา ตสฺส วิสํวาเท อสจฺจาปเน อาปตฺติ โหติฯ กตมาติ อาห ‘‘ทุกฺกฎ’’นฺติฯ น เกวลํ เอตเสฺสว วิสํวาเท อาปตฺติ โหติ, อถ โข อิตเรสมฺปิ ปฎิสฺสวานํ วิสํวาเท อาปตฺติ เวทิตพฺพาฯ ยถาห – ‘‘ปฎิสฺสเว จ อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสาติ เอตฺถ น เกวลํ ‘อิมํ เตมาสํ อิธ วสฺสํ วสถา’ติ เอตเสฺสว ปฎิสฺสวสฺส วิสํวาเท อาปตฺติ, ‘อิมํ เตมาสํ ภิกฺขํ คณฺหถ, อุโภปิ มยํ อิธ วสฺสํ วสิสฺสาม, เอกโตว อุทฺทิสาเปสฺสามา’ติ เอวมาทินาปิ ตสฺส ตสฺส ปฎิสฺสวสฺส วิสํวาเท ทุกฺกฎ’’นฺติ (มหาว. อฎฺฐ. ๒๐๗)ฯ ตญฺจ โข ปฎิสฺสวกาเล สุทฺธจิตฺตสฺส ปจฺฉา วิสํวาทนปจฺจยา โหติฯ ปฐมํ อสุทฺธจิตฺตสฺส ปน ปฎิสฺสเว ปาจิตฺติยํ, วิสํวาเทน ทุกฺกฎนฺติ ปาจิตฺติเยน สทฺธิํ ทุกฺกฎํ ยุชฺชติฯ

    Paṭissave ca bhikkhussa, hoti āpatti dukkaṭanti ‘‘idha vassaṃ vasathā’’ti vutte ‘‘sādhū’’ti paṭissuṇitvā tassa visaṃvāde asaccāpane āpatti hoti. Katamāti āha ‘‘dukkaṭa’’nti. Na kevalaṃ etasseva visaṃvāde āpatti hoti, atha kho itaresampi paṭissavānaṃ visaṃvāde āpatti veditabbā. Yathāha – ‘‘paṭissave ca āpatti dukkaṭassāti ettha na kevalaṃ ‘imaṃ temāsaṃ idha vassaṃ vasathā’ti etasseva paṭissavassa visaṃvāde āpatti, ‘imaṃ temāsaṃ bhikkhaṃ gaṇhatha, ubhopi mayaṃ idha vassaṃ vasissāma, ekatova uddisāpessāmā’ti evamādināpi tassa tassa paṭissavassa visaṃvāde dukkaṭa’’nti (mahāva. aṭṭha. 207). Tañca kho paṭissavakāle suddhacittassa pacchā visaṃvādanapaccayā hoti. Paṭhamaṃ asuddhacittassa pana paṭissave pācittiyaṃ, visaṃvādena dukkaṭanti pācittiyena saddhiṃ dukkaṭaṃ yujjati.

    ๒๖๒๗. ‘‘วสฺสํ อุปคนฺตฺวา ปน อรุณํ อนุฎฺฐาเปตฺวา ตทเหว สตฺตาหกรณีเยน ปกฺกมนฺตสฺสาปิ อโนฺตสตฺตาเห นิวตฺตนฺตสฺส อนาปตฺตี’’ติ (มหาว. อฎฺฐ. ๒๐๗) อฎฺฐกถาวจนโต, ‘‘โก วาโท วสิตฺวา พหิ คจฺฉโต’’ติ วกฺขมานตฺตา จ ‘‘นุฎฺฐาเปตฺวา ปนารุณ’’นฺติ ปาโฐ คเหตโพฺพฯ กตฺถจิ โปตฺถเกสุ ‘‘อุฎฺฐาเปตฺวา ปนารุณ’’นฺติ ปาโฐ ทิสฺสติ, โส น คเหตโพฺพฯ

    2627. ‘‘Vassaṃ upagantvā pana aruṇaṃ anuṭṭhāpetvā tadaheva sattāhakaraṇīyena pakkamantassāpi antosattāhe nivattantassa anāpattī’’ti (mahāva. aṭṭha. 207) aṭṭhakathāvacanato, ‘‘ko vādo vasitvā bahi gacchato’’ti vakkhamānattā ca ‘‘nuṭṭhāpetvā panāruṇa’’nti pāṭho gahetabbo. Katthaci potthakesu ‘‘uṭṭhāpetvā panāruṇa’’nti pāṭho dissati, so na gahetabbo.

    ๒๖๒๘. วสิตฺวาติ ทฺวีหตีหํ วสิตฺวาฯ ยถา วสฺสํ วสิตฺวา อรุณํ อนุฎฺฐาเปตฺวาว สตฺตาหกรณีเยน คจฺฉโต อนาปตฺติ, ตถา คตฎฺฐานโต อโนฺตสตฺตาเห อาคนฺตฺวา ปุนปิ อรุณํ อนุฎฺฐาเปตฺวาว สตฺตาหกรณีเยน คจฺฉโต อนาปตฺติฯ ‘‘สตฺตาหวาเรน อรุโณ อุฎฺฐาเปตโพฺพ’’ติ (มหาว. อฎฺฐ. ๒๐๑) อฎฺฐกถาวจนํ สตฺตมารุเณน ปฎิพทฺธทิวสํ สตฺตเมน อรุเณเนว สงฺคเหตฺวา สตฺตมอรุณพฺภนฺตเร อนาคนฺตฺวา อฎฺฐมํ อรุณํ พหิ อุฎฺฐาเปนฺตสฺส รตฺติเจฺฉททสฺสนปรํ, น สตฺตมอรุณเสฺสว ตตฺถ อุฎฺฐาเปตพฺพภาวทสฺสนปรนฺติ คเหตพฺพํ สิกฺขาภาชนอฎฺฐกถาย, สีหฬคณฺฐิปเทสุ จ ตถา วินิจฺฉิตตฺตาฯ

    2628.Vasitvāti dvīhatīhaṃ vasitvā. Yathā vassaṃ vasitvā aruṇaṃ anuṭṭhāpetvāva sattāhakaraṇīyena gacchato anāpatti, tathā gataṭṭhānato antosattāhe āgantvā punapi aruṇaṃ anuṭṭhāpetvāva sattāhakaraṇīyena gacchato anāpatti. ‘‘Sattāhavārena aruṇo uṭṭhāpetabbo’’ti (mahāva. aṭṭha. 201) aṭṭhakathāvacanaṃ sattamāruṇena paṭibaddhadivasaṃ sattamena aruṇeneva saṅgahetvā sattamaaruṇabbhantare anāgantvā aṭṭhamaṃ aruṇaṃ bahi uṭṭhāpentassa ratticchedadassanaparaṃ, na sattamaaruṇasseva tattha uṭṭhāpetabbabhāvadassanaparanti gahetabbaṃ sikkhābhājanaaṭṭhakathāya, sīhaḷagaṇṭhipadesu ca tathā vinicchitattā.

    ๒๖๒๙. ‘‘โนเปติ อสติยา’’ติ ปทเจฺฉโท, โนเปตีติ ‘‘อิมสฺมิํ วิหาเร อิมํ เตมาสํ วสฺสํ อุเปมี’’ติ วจีเภเทน น อุปคจฺฉติฯ

    2629. ‘‘Nopeti asatiyā’’ti padacchedo, nopetīti ‘‘imasmiṃ vihāre imaṃ temāsaṃ vassaṃ upemī’’ti vacībhedena na upagacchati.

    ๒๖๓๐. วุตฺตเมวตฺถํ สมเตฺถตุมาห ‘‘น โทโส โกจิ วิชฺชตี’’ติฯ

    2630. Vuttamevatthaṃ samatthetumāha ‘‘na doso koci vijjatī’’ti.

    ๒๖๓๑. ‘‘อิมสฺมิํ วิหาเร อิมํ เตมาสํ วสฺสํ อุเปมี’’ติ ติกฺขตฺตุํ วจเน นิจฺฉาริเต เอว วสฺสํ อุปคโต สิยาติ โยชนาฯ ‘‘นิจฺฉาริเตว ติกฺขตฺตุ’’นฺติ อิทํ อุกฺกํสวเสน วุตฺตํ, สกิํ, ทฺวิกฺขตฺตุํ วา นิจฺฉาริเตปิ วสฺสูปคโต นาม โหตีติฯ ยถาห – ‘‘อิมสฺมิํ วิหาเร อิมํ เตมาสํ วสฺสํ อุเปมีติ สกิํ วา ทฺวตฺติกฺขตฺตุํ วา วาจํ นิจฺฉาเรตฺวาว วสฺสํ อุปคนฺตพฺพ’’นฺติ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๘๔)ฯ

    2631. ‘‘Imasmiṃ vihāre imaṃ temāsaṃ vassaṃ upemī’’ti tikkhattuṃ vacane nicchārite eva vassaṃ upagato siyāti yojanā. ‘‘Nicchāriteva tikkhattu’’nti idaṃ ukkaṃsavasena vuttaṃ, sakiṃ, dvikkhattuṃ vā nicchāritepi vassūpagato nāma hotīti. Yathāha – ‘‘imasmiṃ vihāre imaṃ temāsaṃ vassaṃ upemīti sakiṃ vā dvattikkhattuṃ vā vācaṃ nicchāretvāva vassaṃ upagantabba’’nti (mahāva. aṭṭha. 184).

    ๒๖๓๒. นวมิโต ปฎฺฐาย คนฺตุํ วฎฺฎติ, อาคจฺฉตุ วา มา วา, อนาปตฺตี’’ติ (มหาว. อฎฺฐ. ๒๐๗) อฎฺฐกถานยํ ทเสฺสตุมาห ‘‘อาทิํ ตุ นวมิํ กตฺวา’’ติอาทิฯ นวมิํ ปภุติ อาทิํ กตฺวา, นวมิโต ปฎฺฐายาติ วุตฺตํ โหติฯ คนฺตุํ วฎฺฎตีติ สตฺตาหกรณีเยเนว คนฺตุํ วฎฺฎติ, ตสฺมา ปวารณทิวเสปิ ตทเหว อาคนฺตุํ อสกฺกุเณยฺยฎฺฐานํ ปวารณตฺถาย คจฺฉเนฺตน ลพฺภมาเนน สตฺตาหกรณีเยน คนฺตุํ วฎฺฎติฯ ‘‘ปวาเรตฺวา ปน คนฺตุํ วฎฺฎติ ปวารณาย ตํทิวสสนฺนิสฺสิตตฺตา’’ติ (วชิร. ฎี. มหาวคฺค ๒๐๗) หิ วชิรพุทฺธิเตฺถโรฯ โส ปจฺฉา อาคจฺฉตุ วา มา วา, โทโส น วิชฺชตีติ โยชนาฯ

    2632. Navamito paṭṭhāya gantuṃ vaṭṭati, āgacchatu vā mā vā, anāpattī’’ti (mahāva. aṭṭha. 207) aṭṭhakathānayaṃ dassetumāha ‘‘ādiṃ tu navamiṃ katvā’’tiādi. Navamiṃ pabhuti ādiṃ katvā, navamito paṭṭhāyāti vuttaṃ hoti. Gantuṃ vaṭṭatīti sattāhakaraṇīyeneva gantuṃ vaṭṭati, tasmā pavāraṇadivasepi tadaheva āgantuṃ asakkuṇeyyaṭṭhānaṃ pavāraṇatthāya gacchantena labbhamānena sattāhakaraṇīyena gantuṃ vaṭṭati. ‘‘Pavāretvā pana gantuṃ vaṭṭati pavāraṇāya taṃdivasasannissitattā’’ti (vajira. ṭī. mahāvagga 207) hi vajirabuddhitthero. So pacchā āgacchatu vā mā vā, doso na vijjatīti yojanā.

    วสฺสูปนายิกกฺขนฺธกกถาวณฺณนาฯ

    Vassūpanāyikakkhandhakakathāvaṇṇanā.





    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact