Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๓๕] ๕. วฎฺฎกชาตกวณฺณนา

    [35] 5. Vaṭṭakajātakavaṇṇanā

    สนฺติ ปกฺขา อปตนาติ อิทํ สตฺถา มคเธสุ จาริกํ จรมาโน ทาวคฺคินิพฺพานํ อารพฺภ กเถสิฯ เอกสฺมิญฺหิ สมเย สตฺถา มคเธสุ จาริกํ จรมาโน อญฺญตรสฺมิํ มคธคามเก ปิณฺฑาย จริตฺวา ปจฺฉาภตฺตํ ปิณฺฑปาตปฎิกฺกโนฺต ภิกฺขุคณปริวุโต มคฺคํ ปฎิปชฺชิฯ ตสฺมิํ สมเย มหาฑาโห อุฎฺฐหิ, ปุรโต จ ปจฺฉโต จ พหู ภิกฺขู ทิสฺสนฺติ, โสปิ โข อคฺคิ เอกธูโม เอกชาโล หุตฺวา อวตฺถรมาโน อาคจฺฉเตวฯ ตเตฺถเก ปุถุชฺชนภิกฺขู มรณภยภีตา ‘‘ปฎคฺคิํ ทสฺสาม, เตน ทฑฺฒฎฺฐานํ อิตโร อคฺคิ น โอตฺถริสฺสตี’’ติ อรณิสหิตํ นีหริตฺวา อคฺคิํ กโรนฺติฯ อปเร อาหํสุ ‘‘อาวุโส, ตุเมฺห กิํ นาม กโรถ, คคนมเชฺฌ ฐิตํ จนฺทมณฺฑลํ, ปาจีนโลกธาตุโต อุคฺคจฺฉนฺตํ สหสฺสรํสิปฎิมณฺฑิตํ สูริยมณฺฑลํ, เวลาย ตีเร ฐิตา สมุทฺทํ, สิเนรุํ นิสฺสาย ฐิตา สิเนรุํ อปสฺสนฺตา วิย สเทวเก โลเก อคฺคปุคฺคลํ อตฺตนา สทฺธิํ คจฺฉนฺตเมว สมฺมาสมฺพุทฺธํ อโนโลเกตฺวา ‘ปฎคฺคิํ เทมา’ติ วทถ, พุทฺธพลํ นาม น ชานาถ, เอถ สตฺถุ สนฺติกํ คมิสฺสามา’’ติฯ เต ปุรโต จ ปจฺฉโต จ คจฺฉนฺตา สเพฺพปิ เอกโต หุตฺวา ทสพลสฺส สนฺติกํ อคมํสุฯ สตฺถา มหาภิกฺขุสงฺฆปริวาโร อญฺญตรสฺมิํ ปเทเส อฎฺฐาสิฯ ทาวคฺคิ อภิภวโนฺต วิย วิรวโนฺต อาคจฺฉติฯ อาคนฺตฺวา ตถาคตสฺส ฐิตฎฺฐานํ ปตฺวา ตสฺส ปเทสสฺส สมนฺตา โสฬสกรีสมตฺตฎฺฐานํ ปโตฺต อุทเก โอปิลาปิตติณุกฺกา วิย นิพฺพายิ, วินิเพฺพธโต ทฺวตฺติํสกรีสมตฺตฎฺฐานํ อวตฺถริตุํ นาสกฺขิฯ

    Santi pakkhā apatanāti idaṃ satthā magadhesu cārikaṃ caramāno dāvagginibbānaṃ ārabbha kathesi. Ekasmiñhi samaye satthā magadhesu cārikaṃ caramāno aññatarasmiṃ magadhagāmake piṇḍāya caritvā pacchābhattaṃ piṇḍapātapaṭikkanto bhikkhugaṇaparivuto maggaṃ paṭipajji. Tasmiṃ samaye mahāḍāho uṭṭhahi, purato ca pacchato ca bahū bhikkhū dissanti, sopi kho aggi ekadhūmo ekajālo hutvā avattharamāno āgacchateva. Tattheke puthujjanabhikkhū maraṇabhayabhītā ‘‘paṭaggiṃ dassāma, tena daḍḍhaṭṭhānaṃ itaro aggi na ottharissatī’’ti araṇisahitaṃ nīharitvā aggiṃ karonti. Apare āhaṃsu ‘‘āvuso, tumhe kiṃ nāma karotha, gaganamajjhe ṭhitaṃ candamaṇḍalaṃ, pācīnalokadhātuto uggacchantaṃ sahassaraṃsipaṭimaṇḍitaṃ sūriyamaṇḍalaṃ, velāya tīre ṭhitā samuddaṃ, sineruṃ nissāya ṭhitā sineruṃ apassantā viya sadevake loke aggapuggalaṃ attanā saddhiṃ gacchantameva sammāsambuddhaṃ anoloketvā ‘paṭaggiṃ demā’ti vadatha, buddhabalaṃ nāma na jānātha, etha satthu santikaṃ gamissāmā’’ti. Te purato ca pacchato ca gacchantā sabbepi ekato hutvā dasabalassa santikaṃ agamaṃsu. Satthā mahābhikkhusaṅghaparivāro aññatarasmiṃ padese aṭṭhāsi. Dāvaggi abhibhavanto viya viravanto āgacchati. Āgantvā tathāgatassa ṭhitaṭṭhānaṃ patvā tassa padesassa samantā soḷasakarīsamattaṭṭhānaṃ patto udake opilāpitatiṇukkā viya nibbāyi, vinibbedhato dvattiṃsakarīsamattaṭṭhānaṃ avattharituṃ nāsakkhi.

    ภิกฺขู สตฺถุ คุณกถํ อารภิํสุ – ‘‘อโห พุทฺธานํ คุณา นาม, อยญฺหิ นาม อเจตโน อคฺคิ พุทฺธานํ ฐิตฎฺฐานํ อวตฺถริตุํ น สโกฺกติ, อุทเก ติณุกฺกา วิย นิพฺพายติ, อโห พุทฺธานํ อานุภาโว นามา’’ติฯ สตฺถา เตสํ กถํ สุตฺวา ‘‘น, ภิกฺขเว, เอตํ เอตรหิ มยฺหํ พลํ, ยํ อิมํ ภูมิปฺปเทสํ ปตฺวา เอส อคฺคิ นิพฺพายติฯ อิทํ ปน มยฺหํ โปราณกสจฺจพลํฯ อิมสฺมิญฺหิ ปเทเส สกลมฺปิ อิมํ กปฺปํ อคฺคิ น ชลิสฺสติ, กปฺปฎฺฐิยปาฎิหาริยํ นาเมต’’นฺติ อาหฯ อถายสฺมา อานโนฺท สตฺถุ นิสีทนตฺถาย จตุคฺคุณํ สงฺฆาฎิํ ปญฺญเปสิ, นิสีทิ สตฺถา ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวาฯ ภิกฺขุสโงฺฆปิ ตถาคตํ วนฺทิตฺวา ปริวาเรตฺวา นิสีทิฯ อถ สตฺถา ‘‘อิทํ ตาว, ภเนฺต, อมฺหากํ ปากฎํ, อตีตํ ปฎิจฺฉนฺนํ, ตํ โน ปากฎํ กโรถา’’ติ ภิกฺขูหิ อายาจิโต อตีตํ อาหริฯ

    Bhikkhū satthu guṇakathaṃ ārabhiṃsu – ‘‘aho buddhānaṃ guṇā nāma, ayañhi nāma acetano aggi buddhānaṃ ṭhitaṭṭhānaṃ avattharituṃ na sakkoti, udake tiṇukkā viya nibbāyati, aho buddhānaṃ ānubhāvo nāmā’’ti. Satthā tesaṃ kathaṃ sutvā ‘‘na, bhikkhave, etaṃ etarahi mayhaṃ balaṃ, yaṃ imaṃ bhūmippadesaṃ patvā esa aggi nibbāyati. Idaṃ pana mayhaṃ porāṇakasaccabalaṃ. Imasmiñhi padese sakalampi imaṃ kappaṃ aggi na jalissati, kappaṭṭhiyapāṭihāriyaṃ nāmeta’’nti āha. Athāyasmā ānando satthu nisīdanatthāya catugguṇaṃ saṅghāṭiṃ paññapesi, nisīdi satthā pallaṅkaṃ ābhujitvā. Bhikkhusaṅghopi tathāgataṃ vanditvā parivāretvā nisīdi. Atha satthā ‘‘idaṃ tāva, bhante, amhākaṃ pākaṭaṃ, atītaṃ paṭicchannaṃ, taṃ no pākaṭaṃ karothā’’ti bhikkhūhi āyācito atītaṃ āhari.

    อตีเต มคธรเฎฺฐ ตสฺมิํเยว ปเทเส โพธิสโตฺต วฎฺฎกโยนิยํ ปฎิสนฺธิํ คเหตฺวา มาตุกุจฺฉิโต ชาโต อณฺฑโกสํ ปทาเลตฺวา นิกฺขนฺตกาเล มหาเคณฺฑุกปฺปมาโณ วฎฺฎกโปตโก อโหสิฯ อถ นํ มาตาปิตโร กุลาวเก นิปชฺชาเปตฺวา มุขตุณฺฑเกน โคจรํ อาหริตฺวา โปเสนฺติฯ ตสฺส ปเกฺข ปสาเรตฺวา อากาเส คมนพลํ วา ปาเท อุกฺขิปิตฺวา ถเล คมนพลํ วา นตฺถิฯ ตญฺจ ปเทสํ สํวจฺฉเร สํวจฺฉเร ทาวคฺคิ คณฺหาติ, โส ตสฺมิมฺปิ สมเย มหารวํ รวโนฺต ตํ ปเทสํ คณฺหิ, สกุณสงฺฆา อตฺตโน อตฺตโน กุลาวเกหิ นิกฺขมิตฺวา มรณภยภีตา วิรวนฺตา ปลายนฺติ, โพธิสตฺตสฺสปิ มาตาปิตโร มรณภยภีตา โพธิสตฺตํ ฉเฑฺฑตฺวา ปลายิํสุฯ โพธิสโตฺต กุลาวเก นิปนฺนโกว คีวํ อุกฺขิปิตฺวา อวตฺถริตฺวา อาคจฺฉนฺตํ อคฺคิํ ทิสฺวา จิเนฺตสิ ‘‘สเจ มยฺหํ ปเกฺข ปสาเรตฺวา อากาเสน คมนพลํ ภเวยฺย, อุปฺปติตฺวา อญฺญตฺถ คเจฺฉยฺยํฯ สเจ ปาเท อุกฺขิปิตฺวา คมนพลํ ภเวยฺย, ปทวาเรน อญฺญตฺถ คเจฺฉยฺยํฯ มาตาปิตโรปิ โข เม มรณภยภีตา มํ เอกกํ ปหาย อตฺตานํ ปริตฺตายนฺตา ปลาตาฯ อิทานิ เม อญฺญํ ปฎิสรณํ นตฺถิ, อตาโณมฺหิ อสรโณ, กิํ นุ โข อชฺช มยา กาตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ

    Atīte magadharaṭṭhe tasmiṃyeva padese bodhisatto vaṭṭakayoniyaṃ paṭisandhiṃ gahetvā mātukucchito jāto aṇḍakosaṃ padāletvā nikkhantakāle mahāgeṇḍukappamāṇo vaṭṭakapotako ahosi. Atha naṃ mātāpitaro kulāvake nipajjāpetvā mukhatuṇḍakena gocaraṃ āharitvā posenti. Tassa pakkhe pasāretvā ākāse gamanabalaṃ vā pāde ukkhipitvā thale gamanabalaṃ vā natthi. Tañca padesaṃ saṃvacchare saṃvacchare dāvaggi gaṇhāti, so tasmimpi samaye mahāravaṃ ravanto taṃ padesaṃ gaṇhi, sakuṇasaṅghā attano attano kulāvakehi nikkhamitvā maraṇabhayabhītā viravantā palāyanti, bodhisattassapi mātāpitaro maraṇabhayabhītā bodhisattaṃ chaḍḍetvā palāyiṃsu. Bodhisatto kulāvake nipannakova gīvaṃ ukkhipitvā avattharitvā āgacchantaṃ aggiṃ disvā cintesi ‘‘sace mayhaṃ pakkhe pasāretvā ākāsena gamanabalaṃ bhaveyya, uppatitvā aññattha gaccheyyaṃ. Sace pāde ukkhipitvā gamanabalaṃ bhaveyya, padavārena aññattha gaccheyyaṃ. Mātāpitaropi kho me maraṇabhayabhītā maṃ ekakaṃ pahāya attānaṃ parittāyantā palātā. Idāni me aññaṃ paṭisaraṇaṃ natthi, atāṇomhi asaraṇo, kiṃ nu kho ajja mayā kātuṃ vaṭṭatī’’ti.

    อถสฺส เอตทโหสิ ‘‘อิมสฺมิํ โลเก สีลคุโณ นาม อตฺถิ, สจฺจคุโณ นาม อตฺถิ, อตีเต ปารมิโย ปูเรตฺวา โพธิมูเล นิสีทิตฺวา อภิสมฺพุทฺธา สีลสมาธิปญฺญาวิมุตฺติวิมุตฺติญาณทสฺสนสมฺปนฺนา สจฺจานุทฺทยการุญฺญขนฺติสมนฺนาคตา สพฺพสเตฺตสุ สมปฺปวตฺตเมตฺตาภาวนา สพฺพญฺญุพุทฺธา นาม อตฺถิ, เตหิ จ ปฎิวิทฺธา ธมฺมคุณา นาม อตฺถิ, มยิ จาปิ เอกํ สจฺจํ อตฺถิ, สํวิชฺชมาโน เอโก สภาวธโมฺม ปญฺญายติ, ตสฺมา อตีเต พุเทฺธ เจว เตหิ ปฎิวิทฺธคุเณ จ อาวเชฺชตฺวา มยิ วิชฺชมานํ สจฺจสภาวธมฺมํ คเหตฺวา สจฺจกิริยํ กตฺวา อคฺคิํ ปฎิกฺกมาเปตฺวา อชฺช มยา อตฺตโน เจว เสสสกุณานญฺจ โสตฺถิภาวํ กาตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ เตน วุตฺตํ –

    Athassa etadahosi ‘‘imasmiṃ loke sīlaguṇo nāma atthi, saccaguṇo nāma atthi, atīte pāramiyo pūretvā bodhimūle nisīditvā abhisambuddhā sīlasamādhipaññāvimuttivimuttiñāṇadassanasampannā saccānuddayakāruññakhantisamannāgatā sabbasattesu samappavattamettābhāvanā sabbaññubuddhā nāma atthi, tehi ca paṭividdhā dhammaguṇā nāma atthi, mayi cāpi ekaṃ saccaṃ atthi, saṃvijjamāno eko sabhāvadhammo paññāyati, tasmā atīte buddhe ceva tehi paṭividdhaguṇe ca āvajjetvā mayi vijjamānaṃ saccasabhāvadhammaṃ gahetvā saccakiriyaṃ katvā aggiṃ paṭikkamāpetvā ajja mayā attano ceva sesasakuṇānañca sotthibhāvaṃ kātuṃ vaṭṭatī’’ti. Tena vuttaṃ –

    ‘‘อตฺถิ โลเก สีลคุโณ, สจฺจํ โสเจยฺยนุทฺทยา;

    ‘‘Atthi loke sīlaguṇo, saccaṃ soceyyanuddayā;

    เตน สเจฺจน กาหามิ, สจฺจกิริยมนุตฺตรํฯ

    Tena saccena kāhāmi, saccakiriyamanuttaraṃ.

    ‘‘อาวเชฺชตฺวา ธมฺมพลํ, สริตฺวา ปุพฺพเก ชิเน;

    ‘‘Āvajjetvā dhammabalaṃ, saritvā pubbake jine;

    สจฺจพลมวสฺสาย, สจฺจกิริยมกาสห’’นฺติฯ (จริยา. ๓.๗๙-๘๐);

    Saccabalamavassāya, saccakiriyamakāsaha’’nti. (cariyā. 3.79-80);

    อถ โพธิสโตฺต อตีเต ปรินิพฺพุตานํ พุทฺธานํ คุเณ อาวเชฺชตฺวา อตฺตนิ วิชฺชมานํ สจฺจสภาวํ อารพฺภ สจฺจกิริยํ กโรโนฺต อิมํ คาถมาห –

    Atha bodhisatto atīte parinibbutānaṃ buddhānaṃ guṇe āvajjetvā attani vijjamānaṃ saccasabhāvaṃ ārabbha saccakiriyaṃ karonto imaṃ gāthamāha –

    ๓๕.

    35.

    ‘‘สนฺติ ปกฺขา อปตนา, สนฺติ ปาทา อวญฺจนา;

    ‘‘Santi pakkhā apatanā, santi pādā avañcanā;

    มาตาปิตา จ นิกฺขนฺตา, ชาตเวท ปฎิกฺกมา’’ติฯ

    Mātāpitā ca nikkhantā, jātaveda paṭikkamā’’ti.

    ตตฺถ สนฺติ ปกฺขา อปตนาติ มยฺหํ ปกฺขา นาม อตฺถิ อุปลพฺภนฺติ, โน จ โข สกฺกา เอเตหิ อุปฺปติตุํ อากาเสน คนฺตุนฺติ อปตนาฯ สนฺติ ปาทา อวญฺจนาติ ปาทาปิ เม อตฺถิ, เตหิ ปน วญฺจิตุํ ปทวารคมเนน คนฺตุํ น สกฺกาติ อวญฺจนาฯ มาตาปิตา จ นิกฺขนฺตาติ เย จ มํ อญฺญตฺถ เนยฺยุํ, เตปิ มรณภเยน มาตาปิตโร นิกฺขนฺตาฯ ชาตเวทาติ อคฺคิํ อาลปติฯ โส หิ ชาโตว เวทยติ ปญฺญายติ, ตสฺมา ‘‘ชาตเวโท’’ติ วุจฺจติฯ ปฎิกฺกมาติ ปฎิคจฺฉ นิวตฺตาติ ชาตเวทํ อาณาเปติฯ

    Tattha santi pakkhā apatanāti mayhaṃ pakkhā nāma atthi upalabbhanti, no ca kho sakkā etehi uppatituṃ ākāsena gantunti apatanā. Santi pādā avañcanāti pādāpi me atthi, tehi pana vañcituṃ padavāragamanena gantuṃ na sakkāti avañcanā. Mātāpitā ca nikkhantāti ye ca maṃ aññattha neyyuṃ, tepi maraṇabhayena mātāpitaro nikkhantā. Jātavedāti aggiṃ ālapati. So hi jātova vedayati paññāyati, tasmā ‘‘jātavedo’’ti vuccati. Paṭikkamāti paṭigaccha nivattāti jātavedaṃ āṇāpeti.

    อิติ มหาสโตฺต ‘‘สเจ มยฺหํ ปกฺขานํ อตฺถิภาโว, เต จ ปสาเรตฺวา อากาเส อปตนภาโว, ปาทานํ อตฺถิภาโว, เต จ อุกฺขิปิตฺวา อวญฺจนภาโว, มาตาปิตูนํ มํ กุลาวเกเยว ฉเฑฺฑตฺวา ปลาตภาโว จ สโจฺจ สภาวภูโตเยว, ชาตเวท, เอเตน สเจฺจน ตฺวํ อิโต ปฎิกฺกมา’’ติ กุลาวเก นิปนฺนโกว สจฺจกิริยํ อกาสิฯ ตสฺส สห สจฺจกิริยาย โสฬสกรีสมเตฺต ฐาเน ชาตเวโท ปฎิกฺกมิฯ ปฎิกฺกมโนฺต จ น ฌายมาโนว อญฺญํ คโต, อุทเก ปน โอปิลาปิตา อุกฺกา วิย ตเตฺถว นิพฺพายิฯ เตน วุตฺตํ –

    Iti mahāsatto ‘‘sace mayhaṃ pakkhānaṃ atthibhāvo, te ca pasāretvā ākāse apatanabhāvo, pādānaṃ atthibhāvo, te ca ukkhipitvā avañcanabhāvo, mātāpitūnaṃ maṃ kulāvakeyeva chaḍḍetvā palātabhāvo ca sacco sabhāvabhūtoyeva, jātaveda, etena saccena tvaṃ ito paṭikkamā’’ti kulāvake nipannakova saccakiriyaṃ akāsi. Tassa saha saccakiriyāya soḷasakarīsamatte ṭhāne jātavedo paṭikkami. Paṭikkamanto ca na jhāyamānova aññaṃ gato, udake pana opilāpitā ukkā viya tattheva nibbāyi. Tena vuttaṃ –

    ‘‘สห สเจฺจ กเต มยฺหํ, มหาปชฺชลิโต สิขี;

    ‘‘Saha sacce kate mayhaṃ, mahāpajjalito sikhī;

    วเชฺชสิ โสฬส กรีสานิ, อุทกํ ปตฺวา ยถา สิขี’’ติฯ (จริยา. ๓.๘๒);

    Vajjesi soḷasa karīsāni, udakaṃ patvā yathā sikhī’’ti. (cariyā. 3.82);

    ตํ ปน ฐานํ สกเลปิ อิมสฺมิํ กเปฺป อคฺคินา อนภิภวนียตฺตา กปฺปฎฺฐิยปาฎิหาริยํ นาม ชาตํฯ เอวํ โพธิสโตฺต สจฺจกิริยํ กตฺวา ชีวิตปริโยสาเน ยถากมฺมํ คโตฯ

    Taṃ pana ṭhānaṃ sakalepi imasmiṃ kappe agginā anabhibhavanīyattā kappaṭṭhiyapāṭihāriyaṃ nāma jātaṃ. Evaṃ bodhisatto saccakiriyaṃ katvā jīvitapariyosāne yathākammaṃ gato.

    สตฺถา ‘‘น, ภิกฺขเว, อิมสฺส วนสฺส อคฺคินา อนโชฺฌตฺถรณํ เอตรหิ มยฺหํ พลํ, โปราณํ ปเนตํ วฎฺฎโปตกกาเล มยฺหเมว สจฺจพล’’นฺติ อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สจฺจานิ ปกาเสสิฯ สจฺจปริโยสาเน เกจิ โสตาปนฺนา อเหสุํ, เกจิ สกทาคามิโน, เกจิ อนาคามิโน, เกจิ อรหตฺตํ ปตฺตาติฯ สตฺถาปิ อนุสนฺธิํ ฆเฎตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา มาตาปิตโร เอตรหิ มาตาปิตโรว อเหสุํ, วฎฺฎกราชา ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ

    Satthā ‘‘na, bhikkhave, imassa vanassa agginā anajjhottharaṇaṃ etarahi mayhaṃ balaṃ, porāṇaṃ panetaṃ vaṭṭapotakakāle mayhameva saccabala’’nti imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā saccāni pakāsesi. Saccapariyosāne keci sotāpannā ahesuṃ, keci sakadāgāmino, keci anāgāmino, keci arahattaṃ pattāti. Satthāpi anusandhiṃ ghaṭetvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā mātāpitaro etarahi mātāpitarova ahesuṃ, vaṭṭakarājā pana ahameva ahosi’’nti.

    วฎฺฎกชาตกวณฺณนา ปญฺจมาฯ

    Vaṭṭakajātakavaṇṇanā pañcamā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๓๕. วฎฺฎกชาตกํ • 35. Vaṭṭakajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact