Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถา • Suttanipāta-aṭṭhakathā |
๕. ปารายนวโคฺค
5. Pārāyanavaggo
วตฺถุคาถาวณฺณนา
Vatthugāthāvaṇṇanā
๙๘๓. โกสลานํ ปุรา รมฺมาติ ปารายนวคฺคสฺส วตฺถุคาถาฯ ตาสํ อุปฺปตฺติ – อตีเต กิร พาราณสิวาสี เอโก รุกฺขวฑฺฒกี สเก อาจริยเก อทุติโย, ตสฺส โสฬส สิสฺสา, เอกเมกสฺส สหสฺสํ อเนฺตวาสิกาฯ เอวํ เต สตฺตรสาธิกโสฬสสหสฺสา อาจริยเนฺตวาสิโน สเพฺพปิ พาราณสิํ อุปนิสฺสาย ชีวิกํ กเปฺปนฺตา ปพฺพตสมีปํ คนฺตฺวา รุเกฺข คเหตฺวา ตเตฺถว นานาปาสาทวิกติโย นิฎฺฐาเปตฺวา กุลฺลํ พนฺธิตฺวา คงฺคาย พาราณสิํ อาเนตฺวา สเจ ราชา อตฺถิโก โหติ, รโญฺญ, เอกภูมิกํ วา…เป.… สตฺตภูมิกํ วา ปาสาทํ โยเชตฺวา เทนฺติฯ โน เจ, อเญฺญสมฺปิ วิกิณิตฺวา ปุตฺตทารํ โปเสนฺติฯ อถ เนสํ เอกทิวสํ อาจริโย ‘‘น สกฺกา วฑฺฒกิกเมฺมน นิจฺจํ ชีวิกํ กเปฺปตุํ, ทุกฺกรญฺหิ ชรากาเล เอตํ กมฺม’’นฺติ จิเนฺตตฺวา อเนฺตวาสิเก อามเนฺตสิ – ‘‘ตาตา, อุทุมฺพราทโย, อปฺปสารรุเกฺข อาเนถา’’ติฯ เต ‘‘สาธู’’ติ ปฎิสฺสุณิตฺวา อานยิํสุฯ โส เตหิ กฎฺฐสกุณํ กตฺวา ตสฺส อพฺภนฺตรํ ปวิสิตฺวา ยนฺตํ ปูเรสิฯ กฎฺฐสกุโณ สุปณฺณราชา วิย อากาสํ ลงฺฆิตฺวา วนสฺส อุปริ จริตฺวา อเนฺตวาสีนํ ปุรโต โอรุหิฯ อถ อาจริโย สิเสฺส อาห – ‘‘ตาตา, อีทิสานิ กฎฺฐวาหนานิ กตฺวา สกฺกา สกลชมฺพุทีเป รชฺชํ คเหตุํ, ตุเมฺหปิ, ตาตา, เอตานิ กโรถ, รชฺชํ คเหตฺวา ชีวิสฺสาม, ทุกฺขํ วฑฺฒกิสิเปฺปน ชีวิตุ’’นฺติฯ เต ตถา กตฺวา อาจริยสฺส ปฎิเวเทสุํฯ ตโต เน อาจริโย อาห – ‘‘กตมํ, ตาตา, รชฺชํ คณฺหามา’’ติ? ‘‘พาราณสิรชฺชํ อาจริยา’’ติฯ ‘‘อลํ, ตาตา, มา เอตํ รุจฺจิ, มยญฺหิ ตํ คเหตฺวาปิ ‘วฑฺฒกิราชา วฑฺฒกิยุวราชา’ติ วฑฺฒกิวาทา น มุจฺจิสฺสาม, มหโนฺต ชมฺพุทีโป, อญฺญตฺถ คจฺฉามา’’ติฯ
983.Kosalānaṃpurā rammāti pārāyanavaggassa vatthugāthā. Tāsaṃ uppatti – atīte kira bārāṇasivāsī eko rukkhavaḍḍhakī sake ācariyake adutiyo, tassa soḷasa sissā, ekamekassa sahassaṃ antevāsikā. Evaṃ te sattarasādhikasoḷasasahassā ācariyantevāsino sabbepi bārāṇasiṃ upanissāya jīvikaṃ kappentā pabbatasamīpaṃ gantvā rukkhe gahetvā tattheva nānāpāsādavikatiyo niṭṭhāpetvā kullaṃ bandhitvā gaṅgāya bārāṇasiṃ ānetvā sace rājā atthiko hoti, rañño, ekabhūmikaṃ vā…pe… sattabhūmikaṃ vā pāsādaṃ yojetvā denti. No ce, aññesampi vikiṇitvā puttadāraṃ posenti. Atha nesaṃ ekadivasaṃ ācariyo ‘‘na sakkā vaḍḍhakikammena niccaṃ jīvikaṃ kappetuṃ, dukkarañhi jarākāle etaṃ kamma’’nti cintetvā antevāsike āmantesi – ‘‘tātā, udumbarādayo, appasārarukkhe ānethā’’ti. Te ‘‘sādhū’’ti paṭissuṇitvā ānayiṃsu. So tehi kaṭṭhasakuṇaṃ katvā tassa abbhantaraṃ pavisitvā yantaṃ pūresi. Kaṭṭhasakuṇo supaṇṇarājā viya ākāsaṃ laṅghitvā vanassa upari caritvā antevāsīnaṃ purato oruhi. Atha ācariyo sisse āha – ‘‘tātā, īdisāni kaṭṭhavāhanāni katvā sakkā sakalajambudīpe rajjaṃ gahetuṃ, tumhepi, tātā, etāni karotha, rajjaṃ gahetvā jīvissāma, dukkhaṃ vaḍḍhakisippena jīvitu’’nti. Te tathā katvā ācariyassa paṭivedesuṃ. Tato ne ācariyo āha – ‘‘katamaṃ, tātā, rajjaṃ gaṇhāmā’’ti? ‘‘Bārāṇasirajjaṃ ācariyā’’ti. ‘‘Alaṃ, tātā, mā etaṃ rucci, mayañhi taṃ gahetvāpi ‘vaḍḍhakirājā vaḍḍhakiyuvarājā’ti vaḍḍhakivādā na muccissāma, mahanto jambudīpo, aññattha gacchāmā’’ti.
ตโต สปุตฺตทารา กฎฺฐวาหนานิ , อภิรุหิตฺวา สชฺชาวุธา หุตฺวา หิมวนฺตาภิมุขา คนฺตฺวา หิมวติ อญฺญตรํ นครํ ปวิสิตฺวา รโญฺญ นิเวสเนเยว ปจฺจุฎฺฐหํสุฯ เต ตตฺถ รชฺชํ คเหตฺวา อาจริยํ รเชฺช อภิสิญฺจิํสุฯ โส ‘‘กฎฺฐวาหโน ราชา’’ติ ปากโฎ อโหสิฯ ตมฺปิ นครํ เตน คหิตตฺตา ‘‘กฎฺฐวาหนนคร’’เนฺตฺวว นามํ ลภิ, ตถา สกลรฎฺฐมฺปิ ฯ กฎฺฐวาหโน ราชา ธมฺมิโก อโหสิ, ตถา ยุวราชา อมจฺจฎฺฐาเนสุ จ ฐปิตา โสฬส สิสฺสาฯ ตํ รฎฺฐํ รญฺญา จตูหิ สงฺคหวตฺถูหิ สงฺคยฺหมานํ อติวิย อิทฺธํ ผีตํ นิรุปทฺทวญฺจ อโหสิฯ นาครา ชานปทา ราชานญฺจ ราชปริสญฺจ อติวิย มมายิํสุ ‘‘ภทฺทโก โน ราชา ลโทฺธ, ภทฺทิกา ราชปริสา’’ติฯ
Tato saputtadārā kaṭṭhavāhanāni , abhiruhitvā sajjāvudhā hutvā himavantābhimukhā gantvā himavati aññataraṃ nagaraṃ pavisitvā rañño nivesaneyeva paccuṭṭhahaṃsu. Te tattha rajjaṃ gahetvā ācariyaṃ rajje abhisiñciṃsu. So ‘‘kaṭṭhavāhano rājā’’ti pākaṭo ahosi. Tampi nagaraṃ tena gahitattā ‘‘kaṭṭhavāhananagara’’ntveva nāmaṃ labhi, tathā sakalaraṭṭhampi . Kaṭṭhavāhano rājā dhammiko ahosi, tathā yuvarājā amaccaṭṭhānesu ca ṭhapitā soḷasa sissā. Taṃ raṭṭhaṃ raññā catūhi saṅgahavatthūhi saṅgayhamānaṃ ativiya iddhaṃ phītaṃ nirupaddavañca ahosi. Nāgarā jānapadā rājānañca rājaparisañca ativiya mamāyiṃsu ‘‘bhaddako no rājā laddho, bhaddikā rājaparisā’’ti.
อเถกทิวสํ มชฺฌิมเทสโต วาณิชา ภณฺฑํ คเหตฺวา กฎฺฐวาหนนครํ อาคมํสุ ปณฺณาการญฺจ คเหตฺวา ราชานํ ปสฺสิํสุฯ ราชา ‘‘กุโต อาคตตฺถา’’ติ สพฺพํ ปุจฺฉิฯ ‘‘พาราณสิโต เทวา’’ติฯ โส ตตฺถ สพฺพํ ปวตฺติํ ปุจฺฉิตฺวา – ‘‘ตุมฺหากํ รญฺญา สทฺธิํ มม มิตฺตภาวํ กโรถา’’ติ อาหฯ เต ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิํสุฯ โส เตสํ ปริพฺพยํ ทตฺวา คมนกาเล สมฺปเตฺต ปุน อาทเรน วตฺวา วิสฺสเชฺชสิฯ เต พาราณสิํ คนฺตฺวา ตสฺส รโญฺญ อาโรเจสุํฯ ราชา ‘‘กฎฺฐวาหนรฎฺฐา อาคตานํ วาณิชกานํ อชฺชตเคฺค สุงฺกํ มุญฺจามี’’ติ เภริํ จราเปตฺวา ‘‘อตฺถุ เม กฎฺฐวาหโน มิโตฺต’’ติ เทฺวปิ อทิฎฺฐมิตฺตา อเหสุํฯ กฎฺฐวาหโนปิ จ สกนคเร เภริํ จราเปสิ – ‘‘อชฺชตเคฺค พาราณสิโต อาคตานํ วาณิชกานํ สุงฺกํ มุญฺจามิ, ปริพฺพโย จ เนสํ ทาตโพฺพ’’ติฯ ตโต พาราณสิราชา กฎฺฐวาหนสฺส เลขํ เปเสสิ ‘‘สเจ ตสฺมิํ ชนปเท ทฎฺฐุํ วา โสตุํ วา อรหรูปํ กิญฺจิ อจฺฉริยํ อุปฺปชฺชติ, อเมฺหปิ ทกฺขาเปตุ จ สาเวตุ จา’’ติฯ โสปิสฺส ตเถว ปฎิเลขํ เปเสสิฯ เอวํ เตสํ กติกํ กตฺวา วสนฺตานํ กทาจิ กฎฺฐวาหนสฺส อติมหคฺฆา อจฺจนฺตสุขุมา กมฺพลา อุปฺปชฺชิํสุ พาลสูริยรสฺมิสทิสา วเณฺณนฯ เต ทิสฺวา ราชา ‘‘มม สหายสฺส เปเสมี’’ติ ทนฺตกาเรหิ อฎฺฐ ทนฺตกรณฺฑเก ลิขาเปตฺวา เตสุ กรณฺฑเกสุ เต กมฺพเล ปกฺขิปิตฺวา ลาขาจริเยหิ พหิ ลาขาโคฬกสทิเส การาเปตฺวา อฎฺฐปิ ลาขาโคฬเก สมุเคฺค ปกฺขิปิตฺวา วเตฺถน เวเฐตฺวา ราชมุทฺทิกาย ลเญฺฉตฺวา ‘‘พาราณสิรโญฺญ เทถา’’ติ อมเจฺจ เปเสสิฯ เลขญฺจ อทาสิ ‘‘อยํ ปณฺณากาโร นครมเชฺฌ อมจฺจปริวุเตน เปกฺขิตโพฺพ’’ติฯ
Athekadivasaṃ majjhimadesato vāṇijā bhaṇḍaṃ gahetvā kaṭṭhavāhananagaraṃ āgamaṃsu paṇṇākārañca gahetvā rājānaṃ passiṃsu. Rājā ‘‘kuto āgatatthā’’ti sabbaṃ pucchi. ‘‘Bārāṇasito devā’’ti. So tattha sabbaṃ pavattiṃ pucchitvā – ‘‘tumhākaṃ raññā saddhiṃ mama mittabhāvaṃ karothā’’ti āha. Te ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchiṃsu. So tesaṃ paribbayaṃ datvā gamanakāle sampatte puna ādarena vatvā vissajjesi. Te bārāṇasiṃ gantvā tassa rañño ārocesuṃ. Rājā ‘‘kaṭṭhavāhanaraṭṭhā āgatānaṃ vāṇijakānaṃ ajjatagge suṅkaṃ muñcāmī’’ti bheriṃ carāpetvā ‘‘atthu me kaṭṭhavāhano mitto’’ti dvepi adiṭṭhamittā ahesuṃ. Kaṭṭhavāhanopi ca sakanagare bheriṃ carāpesi – ‘‘ajjatagge bārāṇasito āgatānaṃ vāṇijakānaṃ suṅkaṃ muñcāmi, paribbayo ca nesaṃ dātabbo’’ti. Tato bārāṇasirājā kaṭṭhavāhanassa lekhaṃ pesesi ‘‘sace tasmiṃ janapade daṭṭhuṃ vā sotuṃ vā araharūpaṃ kiñci acchariyaṃ uppajjati, amhepi dakkhāpetu ca sāvetu cā’’ti. Sopissa tatheva paṭilekhaṃ pesesi. Evaṃ tesaṃ katikaṃ katvā vasantānaṃ kadāci kaṭṭhavāhanassa atimahagghā accantasukhumā kambalā uppajjiṃsu bālasūriyarasmisadisā vaṇṇena. Te disvā rājā ‘‘mama sahāyassa pesemī’’ti dantakārehi aṭṭha dantakaraṇḍake likhāpetvā tesu karaṇḍakesu te kambale pakkhipitvā lākhācariyehi bahi lākhāgoḷakasadise kārāpetvā aṭṭhapi lākhāgoḷake samugge pakkhipitvā vatthena veṭhetvā rājamuddikāya lañchetvā ‘‘bārāṇasirañño dethā’’ti amacce pesesi. Lekhañca adāsi ‘‘ayaṃ paṇṇākāro nagaramajjhe amaccaparivutena pekkhitabbo’’ti.
เต คนฺตฺวา พาราณสิรโญฺญ อทํสุฯ โส เลขํ วาเจตฺวา อมเจฺจ สนฺนิปาเตตฺวา นครมเชฺฌ ราชงฺคเณ ลญฺฉนํ ภินฺทิตฺวา ปลิเวฐนํ อปเนตฺวา สมุคฺคํ วิวริตฺวา อฎฺฐ ลาขาโคฬเก ทิสฺวา ‘‘มม สหาโย ลาขาโคฬเกหิ กีฬนกพาลกานํ วิย มยฺหํ ลาขาโคฬเก เปเสสี’’ติ มงฺกุ หุตฺวา เอกํ ลาขาโคฬกํ อตฺตโน นิสินฺนาสเน ปหริฯ ตาวเทว ลาขา ปริปติ, ทนฺตกรณฺฑโก วิวรํ ทตฺวา เทฺวภาโค อโหสิฯ โส อพฺภนฺตเร กมฺพลํ ทิสฺวา อิตเรปิ วิวริ สพฺพตฺถ ตเถว อโหสิฯ เอกเมโก กมฺพโล ทีฆโต โสฬสหโตฺถ วิตฺถารโต อฎฺฐหโตฺถฯ ปสาริเต กมฺพเล ราชงฺคณํ สูริยปฺปภาย โอภาสิตมิว อโหสิฯ ตํ ทิสฺวา มหาชโน องฺคุลิโย วิธุนิ, เจลุเกฺขปญฺจ อกาสิ, ‘‘อมฺหากํ รโญฺญ อทิฎฺฐสหาโย กฎฺฐวาหนราชา เอวรูปํ ปณฺณาการํ เปเสสิ, ยุตฺตํ เอวรูปํ มิตฺตํ กาตุ’’นฺติ อตฺตมโน อโหสิฯ ราชา โวหาริเก ปโกฺกสาเปตฺวา เอกเมกํ กมฺพลํ อคฺฆาเปสิ, สเพฺพปิ อนคฺฆา อเหสุํฯ ตโต จิเนฺตสิ – ‘‘ปจฺฉา เปเสเนฺตน ปฐมํ เปสิตปณฺณาการโต อติเรกํ เปเสตุํ วฎฺฎติ, สหาเยน จ เม อนโคฺฆ ปณฺณากาโร เปสิโต, กิํ นุ, โข, อหํ สหายสฺส เปเสยฺย’’นฺติ? เตน จ สมเยน กสฺสโป ภควา อุปฺปชฺชิตฺวา พาราณสิยํ วิหรติฯ อถ รโญฺญ เอตทโหสิ – ‘‘วตฺถุตฺตยรตนโต อญฺญํ อุตฺตมรตนํ นตฺถิ, หนฺทาหํ วตฺถุตฺตยรตนสฺส อุปฺปนฺนภาวํ สหายสฺส เปเสมี’’ติฯ โส –
Te gantvā bārāṇasirañño adaṃsu. So lekhaṃ vācetvā amacce sannipātetvā nagaramajjhe rājaṅgaṇe lañchanaṃ bhinditvā paliveṭhanaṃ apanetvā samuggaṃ vivaritvā aṭṭha lākhāgoḷake disvā ‘‘mama sahāyo lākhāgoḷakehi kīḷanakabālakānaṃ viya mayhaṃ lākhāgoḷake pesesī’’ti maṅku hutvā ekaṃ lākhāgoḷakaṃ attano nisinnāsane pahari. Tāvadeva lākhā paripati, dantakaraṇḍako vivaraṃ datvā dvebhāgo ahosi. So abbhantare kambalaṃ disvā itarepi vivari sabbattha tatheva ahosi. Ekameko kambalo dīghato soḷasahattho vitthārato aṭṭhahattho. Pasārite kambale rājaṅgaṇaṃ sūriyappabhāya obhāsitamiva ahosi. Taṃ disvā mahājano aṅguliyo vidhuni, celukkhepañca akāsi, ‘‘amhākaṃ rañño adiṭṭhasahāyo kaṭṭhavāhanarājā evarūpaṃ paṇṇākāraṃ pesesi, yuttaṃ evarūpaṃ mittaṃ kātu’’nti attamano ahosi. Rājā vohārike pakkosāpetvā ekamekaṃ kambalaṃ agghāpesi, sabbepi anagghā ahesuṃ. Tato cintesi – ‘‘pacchā pesentena paṭhamaṃ pesitapaṇṇākārato atirekaṃ pesetuṃ vaṭṭati, sahāyena ca me anaggho paṇṇākāro pesito, kiṃ nu, kho, ahaṃ sahāyassa peseyya’’nti? Tena ca samayena kassapo bhagavā uppajjitvā bārāṇasiyaṃ viharati. Atha rañño etadahosi – ‘‘vatthuttayaratanato aññaṃ uttamaratanaṃ natthi, handāhaṃ vatthuttayaratanassa uppannabhāvaṃ sahāyassa pesemī’’ti. So –
‘‘พุโทฺธ โลเก สมุปฺปโนฺน, หิตาย สพฺพปาณินํ;
‘‘Buddho loke samuppanno, hitāya sabbapāṇinaṃ;
ธโมฺม โลเก สมุปฺปโนฺน, สุขาย สพฺพปาณินํ;
Dhammo loke samuppanno, sukhāya sabbapāṇinaṃ;
สโงฺฆ โลเก สมุปฺปโนฺน, ปุญฺญเกฺขตฺตํ อนุตฺตร’’นฺติฯ –
Saṅgho loke samuppanno, puññakkhettaṃ anuttara’’nti. –
อิมํ คาถํ, ยาว อรหตฺตํ, ตาว เอกภิกฺขุสฺส ปฎิปตฺติญฺจ สุวณฺณปเฎฺฎ ชาติหิงฺคุลเกน ลิขาเปตฺวา สตฺตรตนมเย สมุเคฺค ปกฺขิปิตฺวา ตํ สมุคฺคํ มณิมเย สมุเคฺค, มณิมยํ มสารคลฺลมเย, มสารคลฺลมยํ โลหิตงฺคมเย, โลหิตงฺคมยํ, สุวณฺณมเย, สุวณฺณมยํ รชตมเย, รชตมยํ ทนฺตมเย, ทนฺตมยํ สารมเย, สารมยํ สมุคฺคํ เปฬาย ปกฺขิปิตฺวา เปฬํ ทุเสฺสน เวเฐตฺวา ลเญฺฉตฺวา มตฺตวรวารณํ โสวณฺณทฺธชํ โสวณฺณาลงฺการ เหมชาลสญฺฉนฺนํ กาเรตฺวา ตสฺสุปริ ปลฺลงฺกํ ปญฺญาเปตฺวา ปลฺลเงฺก เปฬํ อาโรเปตฺวา เสตจฺฉเตฺตน ธาริยมาเนน สพฺพคนฺธปุปฺผาทีหิ ปูชาย กริยมานาย สพฺพตาฬาวจเรหิ ถุติสตานิ คายมาเนหิ ยาว อตฺตโน รชฺชสีมา, ตาว มคฺคํ อลงฺการาเปตฺวา สยเมว เนสิฯ ตตฺร จ ฐตฺวา สามนฺตราชูนํ ปณฺณาการํ เปเสสิ – ‘‘เอวํ สกฺกโรเนฺตหิ อยํ ปณฺณากาโร เปเสตโพฺพ’’ติ ฯ ตํ สุตฺวา เต เต ราชาโน ปฎิมคฺคํ อาคนฺตฺวา ยาว กฎฺฐวาหนสฺส รชฺชสีมา, ตาว นยิํสุฯ
Imaṃ gāthaṃ, yāva arahattaṃ, tāva ekabhikkhussa paṭipattiñca suvaṇṇapaṭṭe jātihiṅgulakena likhāpetvā sattaratanamaye samugge pakkhipitvā taṃ samuggaṃ maṇimaye samugge, maṇimayaṃ masāragallamaye, masāragallamayaṃ lohitaṅgamaye, lohitaṅgamayaṃ, suvaṇṇamaye, suvaṇṇamayaṃ rajatamaye, rajatamayaṃ dantamaye, dantamayaṃ sāramaye, sāramayaṃ samuggaṃ peḷāya pakkhipitvā peḷaṃ dussena veṭhetvā lañchetvā mattavaravāraṇaṃ sovaṇṇaddhajaṃ sovaṇṇālaṅkāra hemajālasañchannaṃ kāretvā tassupari pallaṅkaṃ paññāpetvā pallaṅke peḷaṃ āropetvā setacchattena dhāriyamānena sabbagandhapupphādīhi pūjāya kariyamānāya sabbatāḷāvacarehi thutisatāni gāyamānehi yāva attano rajjasīmā, tāva maggaṃ alaṅkārāpetvā sayameva nesi. Tatra ca ṭhatvā sāmantarājūnaṃ paṇṇākāraṃ pesesi – ‘‘evaṃ sakkarontehi ayaṃ paṇṇākāro pesetabbo’’ti . Taṃ sutvā te te rājāno paṭimaggaṃ āgantvā yāva kaṭṭhavāhanassa rajjasīmā, tāva nayiṃsu.
กฎฺฐวาหโนปิ สุตฺวา ปฎิมคฺคํ อาคนฺตฺวา ตเถว ปูเชโนฺต นครํ ปเวเสตฺวา อมเจฺจ จ นาคเร จ สนฺนิปาตาเปตฺวา ราชงฺคเณ ปลิเวฐนทุสฺสํ อปเนตฺวา เปฬํ วิวริตฺวา เปฬาย สมุคฺคํ ปสฺสิตฺวา อนุปุเพฺพน สพฺพสมุเคฺค วิวริตฺวา สุวณฺณปเฎฺฎ เลขํ ปสฺสิตฺวา ‘‘กปฺปสตสหเสฺสหิ อติทุลฺลภํ มม สหาโย ปณฺณาการรตนํ เปเสสี’’ติ อตฺตมโน หุตฺวา ‘‘อสุตปุพฺพํ วต สุณิมฺหา ‘พุโทฺธ โลเก อุปฺปโนฺน’ติ, ยํนูนาหํ คนฺตฺวา พุทฺธญฺจ ปเสฺสยฺยํ ธมฺมญฺจ สุเณยฺย’’นฺติ จิเนฺตตฺวา อมเจฺจ อามเนฺตสิ – ‘‘พุทฺธธมฺมสงฺฆรตนานิ กิร โลเก อุปฺปนฺนานิ, กิํ กาตพฺพํ มญฺญถา’’ติ ฯ เต อาหํสุ – ‘‘อิเธว ตุเมฺห, มหาราช, โหถ, มยํ คนฺตฺวา ปวตฺติํ ชานิสฺสามา’’ติฯ
Kaṭṭhavāhanopi sutvā paṭimaggaṃ āgantvā tatheva pūjento nagaraṃ pavesetvā amacce ca nāgare ca sannipātāpetvā rājaṅgaṇe paliveṭhanadussaṃ apanetvā peḷaṃ vivaritvā peḷāya samuggaṃ passitvā anupubbena sabbasamugge vivaritvā suvaṇṇapaṭṭe lekhaṃ passitvā ‘‘kappasatasahassehi atidullabhaṃ mama sahāyo paṇṇākāraratanaṃ pesesī’’ti attamano hutvā ‘‘asutapubbaṃ vata suṇimhā ‘buddho loke uppanno’ti, yaṃnūnāhaṃ gantvā buddhañca passeyyaṃ dhammañca suṇeyya’’nti cintetvā amacce āmantesi – ‘‘buddhadhammasaṅgharatanāni kira loke uppannāni, kiṃ kātabbaṃ maññathā’’ti . Te āhaṃsu – ‘‘idheva tumhe, mahārāja, hotha, mayaṃ gantvā pavattiṃ jānissāmā’’ti.
ตโต โสฬสสหสฺสปริวารา โสฬส อมจฺจา ราชานํ อภิวาเทตฺวา ‘‘ยทิ พุโทฺธ โลเก อุปฺปโนฺน ปุน ทสฺสนํ นตฺถิ, ยทิ น อุปฺปโนฺน, อาคมิสฺสามา’’ติ นิคฺคตาฯ รโญฺญ ปน ภาคิเนโยฺย ปจฺฉา ราชานํ วนฺทิตฺวา ‘‘อหมฺปิ คจฺฉามี’’ติ อาหฯ ตาต, ตฺวํ ตตฺถ พุทฺธุปฺปาทํ ญตฺวา ปุน อาคนฺตฺวา มม อาโรเจหีติฯ โส ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา อคมาสิฯ เต สเพฺพปิ สพฺพตฺถ เอกรตฺติวาเสน คนฺตฺวา พาราณสิํ ปตฺตาฯ อสมฺปเตฺตเสฺวว จ เตสุ ภควา ปรินิพฺพายิฯ เต ‘‘โก พุโทฺธ, กุหิํ พุโทฺธ’’ติ สกลวิหารํ อาหิณฺฑนฺตา สมฺมุขสาวเก ทิสฺวา ปุจฺฉิํสุฯ เต เนสํ ‘‘พุโทฺธ ปรินิพฺพุโต’’ติ อาจิกฺขิํสุฯ เต ‘‘อโห ทูรทฺธานํ อาคนฺตฺวา ทสฺสนมตฺตมฺปิ น ลภิมฺหา’’ติ ปริเทวมานา ‘‘กิํ, ภเนฺต, โกจิ ภควตา ทินฺนโอวาโท อตฺถี’’ติ ปุจฺฉิํสุฯ อาม, อุปาสกา อตฺถิ, สรณตฺตเย ปติฎฺฐาตพฺพํ, ปญฺจสีลานิ สมาทาตพฺพานิ, อฎฺฐงฺคสมนฺนาคโต อุโปสโถ อุปวสิตโพฺพ, ทานํ ทาตพฺพํ, ปพฺพชิตพฺพนฺติฯ เต สุตฺวา ตํ ภาคิเนยฺยํ อมจฺจํ ฐเปตฺวา สเพฺพ ปพฺพชิํสุฯ ภาคิเนโยฺย ปริโภคธาตุํ คเหตฺวา กฎฺฐวาหนรฎฺฐาภิมุโข ปกฺกามิฯ ปริโภคธาตุ นาม โพธิรุกฺขปตฺตจีวราทีนิฯ อยํ ปน ภควโต ธมฺมกรณํ ธมฺมธรํ วินยธรเมกํ เถรญฺจ คเหตฺวา ปกฺกามิ, อนุปุเพฺพน จ นครํ คนฺตฺวา ‘‘พุโทฺธ โลเก อุปฺปโนฺน จ ปรินิพฺพุโตฺต จา’’ติ รโญฺญ อาโรเจตฺวา ภควตา ทิโนฺนวาทํ อาจิกฺขิฯ ราชา เถรํ อุปสงฺกมิตฺวา ธมฺมํ สุตฺวา วิหารํ การาเปตฺวา เจติยํ ปติฎฺฐาเปตฺวา โพธิรุกฺขํ โรเปตฺวา สรณตฺตเย ปญฺจสุ จ นิจฺจสีเลสุ ปติฎฺฐาย อฎฺฐงฺคุเปตํ อุโปสถํ อุปวสโนฺต ทานาทีนิ เทโนฺต ยาวตายุกํ ฐตฺวา กามาวจรเทวโลเก นิพฺพตฺติฯ เตปิ โสฬสสหสฺสา ปพฺพชิตฺวา ปุถุชฺชนกาลกิริยํ กตฺวา ตเสฺสว รโญฺญ ปริวารา สมฺปชฺชิํสุฯ
Tato soḷasasahassaparivārā soḷasa amaccā rājānaṃ abhivādetvā ‘‘yadi buddho loke uppanno puna dassanaṃ natthi, yadi na uppanno, āgamissāmā’’ti niggatā. Rañño pana bhāgineyyo pacchā rājānaṃ vanditvā ‘‘ahampi gacchāmī’’ti āha. Tāta, tvaṃ tattha buddhuppādaṃ ñatvā puna āgantvā mama ārocehīti. So ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā agamāsi. Te sabbepi sabbattha ekarattivāsena gantvā bārāṇasiṃ pattā. Asampattesveva ca tesu bhagavā parinibbāyi. Te ‘‘ko buddho, kuhiṃ buddho’’ti sakalavihāraṃ āhiṇḍantā sammukhasāvake disvā pucchiṃsu. Te nesaṃ ‘‘buddho parinibbuto’’ti ācikkhiṃsu. Te ‘‘aho dūraddhānaṃ āgantvā dassanamattampi na labhimhā’’ti paridevamānā ‘‘kiṃ, bhante, koci bhagavatā dinnaovādo atthī’’ti pucchiṃsu. Āma, upāsakā atthi, saraṇattaye patiṭṭhātabbaṃ, pañcasīlāni samādātabbāni, aṭṭhaṅgasamannāgato uposatho upavasitabbo, dānaṃ dātabbaṃ, pabbajitabbanti. Te sutvā taṃ bhāgineyyaṃ amaccaṃ ṭhapetvā sabbe pabbajiṃsu. Bhāgineyyo paribhogadhātuṃ gahetvā kaṭṭhavāhanaraṭṭhābhimukho pakkāmi. Paribhogadhātu nāma bodhirukkhapattacīvarādīni. Ayaṃ pana bhagavato dhammakaraṇaṃ dhammadharaṃ vinayadharamekaṃ therañca gahetvā pakkāmi, anupubbena ca nagaraṃ gantvā ‘‘buddho loke uppanno ca parinibbutto cā’’ti rañño ārocetvā bhagavatā dinnovādaṃ ācikkhi. Rājā theraṃ upasaṅkamitvā dhammaṃ sutvā vihāraṃ kārāpetvā cetiyaṃ patiṭṭhāpetvā bodhirukkhaṃ ropetvā saraṇattaye pañcasu ca niccasīlesu patiṭṭhāya aṭṭhaṅgupetaṃ uposathaṃ upavasanto dānādīni dento yāvatāyukaṃ ṭhatvā kāmāvacaradevaloke nibbatti. Tepi soḷasasahassā pabbajitvā puthujjanakālakiriyaṃ katvā tasseva rañño parivārā sampajjiṃsu.
เต เอกํ พุทฺธนฺตรํ เทวโลเก เขเปตฺวา อมฺหากํ ภควติ อนุปฺปเนฺนเยว เทวโลกโต จวิตฺวา อาจริโย ปเสนทิรโญฺญ ปิตุ ปุโรหิตสฺส ปุโตฺต ชาโต นาเมน ‘‘พาวรี’’ติ, ตีหิ มหาปุริสลกฺขเณหิ สมนฺนาคโต ติณฺณํ เวทานํ ปารคู, ปิตุโน จ อจฺจเยน ปุโรหิตฎฺฐาเน อฎฺฐาสิฯ อวเสสาปิ โสฬสาธิกโสฬสสหสฺสา ตเตฺถว สาวตฺถิยา พฺราหฺมณกุเล นิพฺพตฺตาฯ เตสุ โสฬส เชฎฺฐเนฺตวาสิโน พาวริสฺส สนฺติเก สิปฺปํ อุคฺคเหสุํ, อิตเร โสฬสสหสฺสา เตสํเยว สนฺติเกติ เอวํ เต ปุนปิ สเพฺพ สมาคจฺฉิํสุฯ มหาโกสลราชาปิ กาลมกาสิ, ตโต ปเสนทิํ รเชฺช อภิสิญฺจิํสุฯ พาวรี ตสฺสาปิ ปุโรหิโต อโหสิฯ ราชา ปิตรา ทินฺนญฺจ อญฺญญฺจ โภคํ พาวริสฺส อทาสิฯ โส หิ ทหรกาเล ตเสฺสว สนฺติเก สิปฺปํ อุคฺคเหสิฯ ตโต พาวรี รโญฺญ อาโรเจสิ – ‘‘ปพฺพชิสฺสามหํ, มหาราชา’’ติฯ ‘‘อาจริย, ตุเมฺหสุ ฐิเตสุ มม ปิตา ฐิโต วิย โหติ, มา ปพฺพชิตฺถา’’ติฯ ‘‘อลํ, มหาราช, ปพฺพชิสฺสามี’’ติฯ ราชา วาเรตุํ อสโกฺกโนฺต ‘‘สายํ ปาตํ มม ทสฺสนฎฺฐาเน ราชุยฺยาเน ปพฺพชถา’’ติ ยาจิฯ อาจริโย โสฬสสหสฺสปริวาเรหิ โสฬสหิ สิเสฺสหิ สทฺธิํ ตาปสปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา ราชุยฺยาเน วสิ, ราชา จตูหิ ปจฺจเยหิ อุปฎฺฐหติฯ สายํ ปาตญฺจสฺส อุปฎฺฐานํ คจฺฉติฯ
Te ekaṃ buddhantaraṃ devaloke khepetvā amhākaṃ bhagavati anuppanneyeva devalokato cavitvā ācariyo pasenadirañño pitu purohitassa putto jāto nāmena ‘‘bāvarī’’ti, tīhi mahāpurisalakkhaṇehi samannāgato tiṇṇaṃ vedānaṃ pāragū, pituno ca accayena purohitaṭṭhāne aṭṭhāsi. Avasesāpi soḷasādhikasoḷasasahassā tattheva sāvatthiyā brāhmaṇakule nibbattā. Tesu soḷasa jeṭṭhantevāsino bāvarissa santike sippaṃ uggahesuṃ, itare soḷasasahassā tesaṃyeva santiketi evaṃ te punapi sabbe samāgacchiṃsu. Mahākosalarājāpi kālamakāsi, tato pasenadiṃ rajje abhisiñciṃsu. Bāvarī tassāpi purohito ahosi. Rājā pitarā dinnañca aññañca bhogaṃ bāvarissa adāsi. So hi daharakāle tasseva santike sippaṃ uggahesi. Tato bāvarī rañño ārocesi – ‘‘pabbajissāmahaṃ, mahārājā’’ti. ‘‘Ācariya, tumhesu ṭhitesu mama pitā ṭhito viya hoti, mā pabbajitthā’’ti. ‘‘Alaṃ, mahārāja, pabbajissāmī’’ti. Rājā vāretuṃ asakkonto ‘‘sāyaṃ pātaṃ mama dassanaṭṭhāne rājuyyāne pabbajathā’’ti yāci. Ācariyo soḷasasahassaparivārehi soḷasahi sissehi saddhiṃ tāpasapabbajjaṃ pabbajitvā rājuyyāne vasi, rājā catūhi paccayehi upaṭṭhahati. Sāyaṃ pātañcassa upaṭṭhānaṃ gacchati.
อเถกทิวสํ อเนฺตวาสิโน อาจริยํ อาหํสุ – ‘‘นครสมีเป วาโส นาม มหาปลิโพโธ, วิชนสมฺปาตํ อาจริย โอกาสํ คจฺฉาม, ปนฺตเสนาสนวาโส นาม พหูปกาโร ปพฺพชิตาน’’นฺติฯ อาจริโย ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา รโญฺญ อาโรเจสิฯ ราชา ติกฺขตฺตุํ วาเรตฺวา วาเรตุํ อสโกฺกโนฺต เทฺวสตสหสฺสานิ กหาปณานิ ทตฺวา เทฺว อมเจฺจ อาณาเปสิ ‘‘ยตฺถ อิสิคโณ วาสํ อิจฺฉติ, ตตฺถ อสฺสมํ กตฺวา เทถา’’ติฯ ตโต อาจริโย โสฬสาธิกโสฬสสหสฺสชฎิลปริวุโต อมเจฺจหิ อนุคฺคหมาโน อุตฺตรชนปทา ทกฺขิณชนปทาภิมุโข อคมาสิฯ ตมตฺถํ คเหตฺวา อายสฺมา อานโนฺท สงฺคีติกาเล ปารายนวคฺคสฺส นิทานํ อาโรเปโนฺต อิมา คาถาโย อภาสิฯ
Athekadivasaṃ antevāsino ācariyaṃ āhaṃsu – ‘‘nagarasamīpe vāso nāma mahāpalibodho, vijanasampātaṃ ācariya okāsaṃ gacchāma, pantasenāsanavāso nāma bahūpakāro pabbajitāna’’nti. Ācariyo ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā rañño ārocesi. Rājā tikkhattuṃ vāretvā vāretuṃ asakkonto dvesatasahassāni kahāpaṇāni datvā dve amacce āṇāpesi ‘‘yattha isigaṇo vāsaṃ icchati, tattha assamaṃ katvā dethā’’ti. Tato ācariyo soḷasādhikasoḷasasahassajaṭilaparivuto amaccehi anuggahamāno uttarajanapadā dakkhiṇajanapadābhimukho agamāsi. Tamatthaṃ gahetvā āyasmā ānando saṅgītikāle pārāyanavaggassa nidānaṃ āropento imā gāthāyo abhāsi.
ตตฺถ โกสลานํ ปุราติ โกสลรฎฺฐสฺส นครา, สาวตฺถิโตติ วุตฺตํ โหติฯ อากิญฺจญฺญนฺติ อกิญฺจนภาวํ, ปริคฺคหูปกรณวิเวกนฺติ วุตฺตํ โหติฯ
Tattha kosalānaṃ purāti kosalaraṭṭhassa nagarā, sāvatthitoti vuttaṃ hoti. Ākiñcaññanti akiñcanabhāvaṃ, pariggahūpakaraṇavivekanti vuttaṃ hoti.
๙๘๔. โส อสฺสกสฺส วิสเย , อฬกสฺส สมาสเนติ โส พฺราหฺมโณ อสฺสกสฺส จ อฬกสฺส จาติ ทฺวินฺนมฺปิ ราชูนํ สมาสเนฺน วิสเย อาสเนฺน รเฎฺฐ, ทฺวินฺนมฺปิ รฎฺฐานํ มเชฺฌติ อธิปฺปาโยฯ โคธาวรี กูเลติ โคธาวริยา นทิยา กูเลฯ ยตฺถ โคธาวรี ทฺวิธา ภิชฺชิตฺวา ติโยชนปฺปมาณํ อนฺตรทีปมกาสิ สพฺพํ กปิฎฺฐวนสญฺฉนฺนํ, ยตฺถ ปุเพฺพสรภงฺคาทโย วสิํสุ, ตสฺมิํ เทเสติ อธิปฺปาโยฯ โส กิร ตํ ปเทสํ ทิสฺวา ‘‘อยํ ปุพฺพสมณาลโย ปพฺพชิตสารุปฺป’’นฺติ อมจฺจานํ นิเวเทสิฯ อมจฺจา ภูมิคฺคหณตฺถํ อสฺสกรโญฺญ สตสหสฺสํ, อฬกรโญฺญ สตสหสฺสํ อทํสุฯ เต ตญฺจ ปเทสํ อญฺญญฺจ ทฺวิโยชนมตฺตนฺติ สพฺพมฺปิ ปญฺจโยชนมตฺตํ ปเทสํ อทํสุฯ เตสํ กิร รชฺชสีมนฺตเร โส ปเทโส โหติฯ อมจฺจา ตตฺถ อสฺสมํ กาเรตฺวา สาวตฺถิโต จ อญฺญมฺปิ ธนํ อาหราเปตฺวา โคจรคามํ นิเวเสตฺวา อคมํสุฯ อุเญฺฉ น จ ผเลน จาติ อุญฺฉาจริยาย จ วนมูลผเลน จฯ ตสฺมา วุตฺตํ ‘‘ตเสฺสว อุปนิสฺสาย, คาโม จ วิปุโล อหู’’ติฯ
984.So assakassa visaye, aḷakassa samāsaneti so brāhmaṇo assakassa ca aḷakassa cāti dvinnampi rājūnaṃ samāsanne visaye āsanne raṭṭhe, dvinnampi raṭṭhānaṃ majjheti adhippāyo. Godhāvarī kūleti godhāvariyā nadiyā kūle. Yattha godhāvarī dvidhā bhijjitvā tiyojanappamāṇaṃ antaradīpamakāsi sabbaṃ kapiṭṭhavanasañchannaṃ, yattha pubbesarabhaṅgādayo vasiṃsu, tasmiṃ deseti adhippāyo. So kira taṃ padesaṃ disvā ‘‘ayaṃ pubbasamaṇālayo pabbajitasāruppa’’nti amaccānaṃ nivedesi. Amaccā bhūmiggahaṇatthaṃ assakarañño satasahassaṃ, aḷakarañño satasahassaṃ adaṃsu. Te tañca padesaṃ aññañca dviyojanamattanti sabbampi pañcayojanamattaṃ padesaṃ adaṃsu. Tesaṃ kira rajjasīmantare so padeso hoti. Amaccā tattha assamaṃ kāretvā sāvatthito ca aññampi dhanaṃ āharāpetvā gocaragāmaṃ nivesetvā agamaṃsu. Uñchena ca phalena cāti uñchācariyāya ca vanamūlaphalena ca. Tasmā vuttaṃ ‘‘tasseva upanissāya, gāmo ca vipulo ahū’’ti.
๙๘๕. ตตฺถ ตสฺสาติ ตสฺส โคธาวรีกูลสฺส, ตสฺส วา พฺราหฺมณสฺส อุปโยคเตฺถ เจตํ สามิวจนํ, ตํ อุปนิสฺสายาติ อโตฺถฯ ตโต ชาเตน อาเยน, มหายญฺญมกปฺปยีติ ตสฺมิํ คาเม กสิกมฺมาทินา สตสหสฺสํ อาโย อุปฺปชฺชิ, ตํ คเหตฺวา กุฎุมฺพิกา รโญฺญ อสฺสกสฺส สนฺติกํ อคมํสุ ‘‘สาทิยตุ เทโว อาย’’นฺติฯ โส ‘‘นาหํ สาทิยามิ, อาจริยเสฺสว อุปเนถา’’ติ อาหฯ อาจริโยปิ ตํ อตฺตโน อคฺคเหตฺวา ทานยญฺญํ อกปฺปยิฯ เอวํ โส สํวจฺฉเร สํวจฺฉเร ทานมทาสิฯ
985. Tattha tassāti tassa godhāvarīkūlassa, tassa vā brāhmaṇassa upayogatthe cetaṃ sāmivacanaṃ, taṃ upanissāyāti attho. Tato jātena āyena, mahāyaññamakappayīti tasmiṃ gāme kasikammādinā satasahassaṃ āyo uppajji, taṃ gahetvā kuṭumbikā rañño assakassa santikaṃ agamaṃsu ‘‘sādiyatu devo āya’’nti. So ‘‘nāhaṃ sādiyāmi, ācariyasseva upanethā’’ti āha. Ācariyopi taṃ attano aggahetvā dānayaññaṃ akappayi. Evaṃ so saṃvacchare saṃvacchare dānamadāsi.
๙๘๖. มหายญฺญนฺติ คาถายโตฺถ – โส เอวํ สํวจฺฉเร สํวจฺฉเร ทานยญฺญํ ยชโนฺต เอกสฺมิํ สํวจฺฉเร ตํ มหายญฺญํ ยชิตฺวา ตโต คามา นิกฺขมฺม ปุน ปาวิสิ อสฺสมํฯ ปวิโฎฺฐ จ ปณฺณสาลํ ปวิสิตฺวา ‘‘สุฎฺฐุ ทินฺน’’นฺติ ทานํ อนุมชฺชโนฺต นิสีทิฯ เอวํ ตสฺมิํ ปฎิปวิฎฺฐมฺหิ ตรุณาย พฺราหฺมณิยา ฆเร กมฺมํ อกาตุกามาย ‘‘เอโส, พฺราหฺมณ, พาวรี โคธาวรีตีเร อนุสํวจฺฉรํ สตสหสฺสํ วิสฺสเชฺชติ, คจฺฉ ตโต ปญฺจสตานิ ยาจิตฺวา ทาสิํ เม อาเนหี’’ติ เปสิโต อโญฺญ อาคญฺฉิ พฺราหฺมโณติฯ
986.Mahāyaññanti gāthāyattho – so evaṃ saṃvacchare saṃvacchare dānayaññaṃ yajanto ekasmiṃ saṃvacchare taṃ mahāyaññaṃ yajitvā tato gāmā nikkhamma puna pāvisi assamaṃ. Paviṭṭho ca paṇṇasālaṃ pavisitvā ‘‘suṭṭhu dinna’’nti dānaṃ anumajjanto nisīdi. Evaṃ tasmiṃ paṭipaviṭṭhamhi taruṇāya brāhmaṇiyā ghare kammaṃ akātukāmāya ‘‘eso, brāhmaṇa, bāvarī godhāvarītīre anusaṃvaccharaṃ satasahassaṃ vissajjeti, gaccha tato pañcasatāni yācitvā dāsiṃ me ānehī’’ti pesito añño āgañchi brāhmaṇoti.
๙๘๗-๘. อุคฺฆฎฺฎปาโทติ มคฺคคมเนน ฆฎฺฎปาทตโล, ปณฺหิกาย วา ปณฺหิกํ, โคปฺผเกน วา โคปฺผกํ, ชณฺณุเกน วา ชณฺณุกํ อาหจฺจ ฆฎฺฎปาโทฯ สุขญฺจ กุสลํ ปุจฺฉีติ สุขญฺจ กุสลญฺจ ปุจฺฉิ ‘‘กจฺจิ เต, พฺราหฺมณ, สุขํ, กจฺจิ กุสล’’นฺติฯ
987-8.Ugghaṭṭapādoti maggagamanena ghaṭṭapādatalo, paṇhikāya vā paṇhikaṃ, gopphakena vā gopphakaṃ, jaṇṇukena vā jaṇṇukaṃ āhacca ghaṭṭapādo. Sukhañca kusalaṃ pucchīti sukhañca kusalañca pucchi ‘‘kacci te, brāhmaṇa, sukhaṃ, kacci kusala’’nti.
๙๘๙-๙๑. อนุชานาหีติ อนุมญฺญาหิ สทฺทหาหิฯ สตฺตธาติ สตฺตวิเธนฯ อภิสงฺขริตฺวาติ โคมยวนปุปฺผกุสติณาทีนิ อาทาย สีฆํ สีฆํ พาวริสฺส อสฺสมทฺวารํ คนฺตฺวา โคมเยน ภูมิํ อุปลิมฺปิตฺวา ปุปฺผานิ วิกิริตฺวา ติณานิ สนฺถริตฺวา วามปาทํ กมณฺฑลูทเกน โธวิตฺวา สตฺตปาทมตฺตํ คนฺตฺวา อตฺตโน ปาทตเล ปรามสโนฺต เอวรูปํ กุหนํ กตฺวาติ วุตฺตํ โหติฯ เภรวํ โส อกิตฺตยีติ ภยชนกํ วจนํ อกิตฺตยิ, ‘‘สเจ เม ยาจมานสฺสา’’ติ อิมํ คาถมภาสีติ อธิปฺปาโยฯ ทุกฺขิโตติ โทมนสฺสชาโตฯ
989-91.Anujānāhīti anumaññāhi saddahāhi. Sattadhāti sattavidhena. Abhisaṅkharitvāti gomayavanapupphakusatiṇādīni ādāya sīghaṃ sīghaṃ bāvarissa assamadvāraṃ gantvā gomayena bhūmiṃ upalimpitvā pupphāni vikiritvā tiṇāni santharitvā vāmapādaṃ kamaṇḍalūdakena dhovitvā sattapādamattaṃ gantvā attano pādatale parāmasanto evarūpaṃ kuhanaṃ katvāti vuttaṃ hoti. Bheravaṃ so akittayīti bhayajanakaṃ vacanaṃ akittayi, ‘‘sace me yācamānassā’’ti imaṃ gāthamabhāsīti adhippāyo. Dukkhitoti domanassajāto.
๙๙๒-๔. อุสฺสุสฺสตีติ ตสฺส ตํ วจนํ กทาจิ สจฺจํ ภเวยฺยาติ มญฺญมาโน สุสฺสติ ฯ เทวตาติ อสฺสเม อธิวตฺถา เทวตา เอวฯ มุทฺธนิ มุทฺธปาเต วาติ มุเทฺธ วา มุทฺธปาเต วาฯ
992-4.Ussussatīti tassa taṃ vacanaṃ kadāci saccaṃ bhaveyyāti maññamāno sussati . Devatāti assame adhivatthā devatā eva. Muddhani muddhapāte vāti muddhe vā muddhapāte vā.
๙๙๕-๖. โภตี จรหิ ชานาตีติ โภตี เจ ชานาติฯ มุทฺธาธิปาตญฺจาติ มุทฺธปาตญฺจฯ ญาณเมตฺถาติ ญาณํ เม เอตฺถฯ
995-6.Bhotī carahi jānātīti bhotī ce jānāti. Muddhādhipātañcāti muddhapātañca. Ñāṇametthāti ñāṇaṃ me ettha.
๙๙๘. ปุราติ เอกูนติํสวสฺสวยกาเลฯ พาวริพฺราหฺมเณ ปน โคธาวรีตีเร วสมาเน อฎฺฐนฺนํ วสฺสานํ อจฺจเยน พุโทฺธ โลเก อุทปาทิฯ อปโจฺจติ อนุวํโสฯ
998.Purāti ekūnatiṃsavassavayakāle. Bāvaribrāhmaṇe pana godhāvarītīre vasamāne aṭṭhannaṃ vassānaṃ accayena buddho loke udapādi. Apaccoti anuvaṃso.
๙๙๙. สพฺพาภิญฺญาพลปฺปโตฺตติ สพฺพาภิญฺญาย พลปฺปโตฺต, สพฺพา วา อภิญฺญาโย จ พลานิ จ ปโตฺตฯ วิมุโตฺตติ อารมฺมณํ กตฺวา ปวตฺติยา วิมุตฺตจิโตฺตฯ
999.Sabbābhiññābalappattoti sabbābhiññāya balappatto, sabbā vā abhiññāyo ca balāni ca patto. Vimuttoti ārammaṇaṃ katvā pavattiyā vimuttacitto.
๑๐๐๑-๓. โสกสฺสาติ โสโก อสฺสฯ ปหูตปโญฺญติ มหาปโญฺญฯ วรภูริเมธโสติ อุตฺตมวิปุลปโญฺญ ภูเต อภิรตวรปโญฺญ วาฯ วิธุโรติ วิคตธุโร, อปฺปฎิโมติ วุตฺตํ โหติฯ
1001-3.Sokassāti soko assa. Pahūtapaññoti mahāpañño. Varabhūrimedhasoti uttamavipulapañño bhūte abhiratavarapañño vā. Vidhuroti vigatadhuro, appaṭimoti vuttaṃ hoti.
๑๐๐๔-๙. มนฺตปารเคติ เวทปารเคฯ ปสฺสโวฺหติ ปสฺสถ อชานตนฺติ อชานนฺตานํฯ ลกฺขณาติ ลกฺขณานิฯ พฺยากฺขาตาติ กถิตานิ, วิตฺถาริตานีติ วุตฺตํ โหติฯ สมตฺตาติ สมตฺตานิ, ปริปุณฺณานีติ วุตฺตํ โหติฯ ธเมฺมน มนุสาสตีติ ธเมฺมน อนุสาสติฯ
1004-9.Mantapārageti vedapārage. Passavhoti passatha ajānatanti ajānantānaṃ. Lakkhaṇāti lakkhaṇāni. Byākkhātāti kathitāni, vitthāritānīti vuttaṃ hoti. Samattāti samattāni, paripuṇṇānīti vuttaṃ hoti. Dhammena manusāsatīti dhammena anusāsati.
๑๐๑๑. ชาติํ โคตฺตญฺจ ลกฺขณนฺติ ‘‘กีว จิรํ ชาโต’’ติ มม ชาติญฺจ โคตฺตญฺจ ลกฺขณญฺจฯ มเนฺต สิเสฺสติ มยา ปริจิตเวเท จ มม สิเสฺส จฯ มนสาเยว ปุจฺฉถาติ อิเม สตฺต ปเญฺห จิเตฺตเนว ปุจฺฉถฯ
1011.Jātiṃ gottañca lakkhaṇanti ‘‘kīva ciraṃ jāto’’ti mama jātiñca gottañca lakkhaṇañca. Mante sisseti mayā paricitavede ca mama sisse ca. Manasāyeva pucchathāti ime satta pañhe citteneva pucchatha.
๑๐๑๓-๘. ติสฺสเมเตฺตโยฺยติ เอโกเยว เอส นามโคตฺตวเสน วุโตฺตฯ ทุภโยติ อุโภฯ ปเจฺจกคณิโนติ วิสุํ วิสุํ คณวโนฺตฯ ปุพฺพวาสนวาสิตาติ ปุเพฺพ กสฺสปสฺส ภควโต สาสเน ปพฺพชิตฺวาฯ คตปจฺจาคตวตฺตปุญฺญวาสนาย วาสิตจิตฺตาฯ ปุรมาหิสฺสตินฺติ มาหิสฺสตินามิกํ ปุรํ, นครนฺติ วุตฺตํ โหติฯ ตญฺจ นครํ ปวิฎฺฐาติ อธิปฺปาโย, เอวํ สพฺพตฺถฯ โคนทฺธนฺติ โคธปุรสฺส นามํฯ วนสวฺหยนฺติ ปวนนครํ วุจฺจติ, ‘‘วนสาวตฺถิ’’นฺติ เอเกฯ เอวํ วนสาวตฺถิโต โกสมฺพิํ, โกสมฺพิโต จ สาเกตํ อนุปฺปตฺตานํ กิร เตสํ โสฬสนฺนํ ชฎิลานํ ฉโยชนมตฺตา ปริสา อโหสิฯ
1013-8.Tissametteyyoti ekoyeva esa nāmagottavasena vutto. Dubhayoti ubho. Paccekagaṇinoti visuṃ visuṃ gaṇavanto. Pubbavāsanavāsitāti pubbe kassapassa bhagavato sāsane pabbajitvā. Gatapaccāgatavattapuññavāsanāya vāsitacittā. Puramāhissatinti māhissatināmikaṃ puraṃ, nagaranti vuttaṃ hoti. Tañca nagaraṃ paviṭṭhāti adhippāyo, evaṃ sabbattha. Gonaddhanti godhapurassa nāmaṃ. Vanasavhayanti pavananagaraṃ vuccati, ‘‘vanasāvatthi’’nti eke. Evaṃ vanasāvatthito kosambiṃ, kosambito ca sāketaṃ anuppattānaṃ kira tesaṃ soḷasannaṃ jaṭilānaṃ chayojanamattā parisā ahosi.
๑๐๑๙. อถ ภควา ‘‘พาวริสฺส ชฎิลา มหาชนํ สํวเฑฺฒนฺตา อาคจฺฉนฺติ, น จ ตาว เนสํ อินฺทฺริยานิ ปริปากํ คจฺฉนฺติ, นาปิ อยํ เทโส สปฺปาโย, มคธเขเตฺต ปน เตสํ ปาสาณกเจติยํ สปฺปายํฯ ตตฺร หิ มยิ ธมฺมํ เทเสเนฺต มหาชนสฺส ธมฺมาภิสมโย ภวิสฺสติ, สพฺพนครานิ จ ปวิสิตฺวา อาคจฺฉนฺตา พหุตเรน ชเนน อาคมิสฺสนฺตี’’ติ ภิกฺขุสงฺฆปริวุโต สาวตฺถิโต ราชคหาภิมุโข อคมาสิฯ เตปิ ชฎิลา สาวตฺถิํ อาคนฺตฺวา วิหารํ ปวิสิตฺวา ‘‘โก พุโทฺธ, กุหิํ พุโทฺธ’’ติ วิจินนฺตา คนฺธกุฎิมูลํ คนฺตฺวา ภควโต ปทนิเกฺขปํ ทิสฺวา ‘‘รตฺตสฺส หิ อุกฺกุฎิกํ ปทํ ภเว…เป.… วิวฎฺฎจฺฉทสฺส อิทมีทิสํ ปท’’นฺติ (อ. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑.๒๖๐-๒๖๑; ธ. ป. อฎฺฐ. ๑.๒๐ สามาวตีวตฺถุ; วิสุทฺธิ. ๑.๔๕) ‘‘สพฺพญฺญุ พุโทฺธ’’ติ นิฎฺฐํ คตาฯ ภควาปิ อนุปุเพฺพน เสตพฺยกปิลวตฺถุอาทีนิ นครานิ ปวิสิตฺวา มหาชนํ สํวเฑฺฒโนฺต ปาสาณกเจติยํ คโตฯ ชฎิลาปิ ตาวเทว สาวตฺถิโต นิกฺขมิตฺวา สพฺพานิ ตานิ นครานิ ปวิสิตฺวา ปาสาณกเจติยเมว อคมํสุฯ เตน วุตฺตํ ‘‘โกสมฺพิญฺจาปิ สาเกตํ, สาวตฺถิญฺจ ปุรุตฺตมํฯ เสตพฺยํ กปิลวตฺถุ’’นฺติอาทิฯ
1019. Atha bhagavā ‘‘bāvarissa jaṭilā mahājanaṃ saṃvaḍḍhentā āgacchanti, na ca tāva nesaṃ indriyāni paripākaṃ gacchanti, nāpi ayaṃ deso sappāyo, magadhakhette pana tesaṃ pāsāṇakacetiyaṃ sappāyaṃ. Tatra hi mayi dhammaṃ desente mahājanassa dhammābhisamayo bhavissati, sabbanagarāni ca pavisitvā āgacchantā bahutarena janena āgamissantī’’ti bhikkhusaṅghaparivuto sāvatthito rājagahābhimukho agamāsi. Tepi jaṭilā sāvatthiṃ āgantvā vihāraṃ pavisitvā ‘‘ko buddho, kuhiṃ buddho’’ti vicinantā gandhakuṭimūlaṃ gantvā bhagavato padanikkhepaṃ disvā ‘‘rattassa hi ukkuṭikaṃ padaṃ bhave…pe… vivaṭṭacchadassa idamīdisaṃ pada’’nti (a. ni. aṭṭha. 1.1.260-261; dha. pa. aṭṭha. 1.20 sāmāvatīvatthu; visuddhi. 1.45) ‘‘sabbaññu buddho’’ti niṭṭhaṃ gatā. Bhagavāpi anupubbena setabyakapilavatthuādīni nagarāni pavisitvā mahājanaṃ saṃvaḍḍhento pāsāṇakacetiyaṃ gato. Jaṭilāpi tāvadeva sāvatthito nikkhamitvā sabbāni tāni nagarāni pavisitvā pāsāṇakacetiyameva agamaṃsu. Tena vuttaṃ ‘‘kosambiñcāpi sāketaṃ, sāvatthiñca puruttamaṃ. Setabyaṃ kapilavatthu’’ntiādi.
๑๐๒๐. ตตฺถ มาคธํ ปุรนฺติ มคธปุรํ ราชคหนฺติ อธิปฺปาโยฯ ปาสาณกํ เจติยนฺติ มหโต ปาสาณสฺส อุปริ ปุเพฺพ เทวฎฺฐานํ อโหสิฯ อุปฺปเนฺน ปน ภควติ วิหาโร ชาโตฯ โส เตเนว ปุริมโวหาเรน ‘‘ปาสาณกํ เจติย’’นฺติ วุจฺจติฯ
1020. Tattha māgadhaṃ puranti magadhapuraṃ rājagahanti adhippāyo. Pāsāṇakaṃ cetiyanti mahato pāsāṇassa upari pubbe devaṭṭhānaṃ ahosi. Uppanne pana bhagavati vihāro jāto. So teneva purimavohārena ‘‘pāsāṇakaṃ cetiya’’nti vuccati.
๑๐๒๑. ตสิโตวุทกนฺติ เต หิ ชฎิลา เวคสา ภควนฺตํ อนุพนฺธมานา สายํ คตมคฺคํ ปาโต, ปาโต คตมคฺคญฺจ สายํ คจฺฉนฺตา ‘‘เอตฺถ ภควา’’ติ สุตฺวา อติวิย ปีติปาโมชฺชชาตา ตํ เจติยํ อภิรุหิํสุฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ตุริตา ปพฺพตมารุหุ’’นฺติฯ
1021.Tasitovudakanti te hi jaṭilā vegasā bhagavantaṃ anubandhamānā sāyaṃ gatamaggaṃ pāto, pāto gatamaggañca sāyaṃ gacchantā ‘‘ettha bhagavā’’ti sutvā ativiya pītipāmojjajātā taṃ cetiyaṃ abhiruhiṃsu. Tena vuttaṃ ‘‘turitā pabbatamāruhu’’nti.
๑๐๒๔. เอกมนฺตํ ฐิโต หโฎฺฐติ ตสฺมิํ ปาสาณเก เจติเย สเกฺกน มาปิตมหามณฺฑเป นิสินฺนํ ภควนฺตํ ทิสฺวา ‘‘กจฺจิ อิสโย ขมนีย’’นฺติอาทินา นเยน ภควตา ปฎิสโมฺมทนีเย กเต ‘‘ขมนียํ โภ โคตมา’’ติอาทีหิ สยมฺปิ ปฎิสนฺถารํ กตฺวา อชิโต เชฎฺฐเนฺตวาสี เอกมนฺตํ ฐิโต หฎฺฐจิโตฺต หุตฺวา มโนปเญฺห ปุจฺฉิฯ
1024.Ekamantaṃ ṭhito haṭṭhoti tasmiṃ pāsāṇake cetiye sakkena māpitamahāmaṇḍape nisinnaṃ bhagavantaṃ disvā ‘‘kacci isayo khamanīya’’ntiādinā nayena bhagavatā paṭisammodanīye kate ‘‘khamanīyaṃ bho gotamā’’tiādīhi sayampi paṭisanthāraṃ katvā ajito jeṭṭhantevāsī ekamantaṃ ṭhito haṭṭhacitto hutvā manopañhe pucchi.
๑๐๒๕. ตตฺถ อาทิสฺสาติ ‘‘กติวโสฺส’’ติ เอวํ อุทฺทิสฺสฯ ชมฺมนนฺติ ‘‘อมฺหากํ อาจริยสฺส ชาติํ พฺรูหี’’ติ ปุจฺฉติฯ ปารมินฺติ นิฎฺฐาคมนํฯ
1025. Tattha ādissāti ‘‘kativasso’’ti evaṃ uddissa. Jammananti ‘‘amhākaṃ ācariyassa jātiṃ brūhī’’ti pucchati. Pāraminti niṭṭhāgamanaṃ.
๑๐๒๖-๗. วีสํ วสฺสสตนฺติ วีสติวสฺสาธิกํ วสฺสสตํฯ ลกฺขเณติ มหาปุริสลกฺขเณฯ เอตสฺมิํ อิโต ปเรสุ จ อิติหาสาทีสุ อนวโยติ อธิปฺปาโย ปรปทํ วา อาเนตฺวา เตสุ ปารมิํ คโตติ โยเชตพฺพํฯ ปญฺจสตานิ วาเจตีติ ปกติอลสทุเมฺมธมาณวกานํ ปญฺจสตานิ สยํ มเนฺต วาเจติฯ สธเมฺมติ เอเก พฺราหฺมณธเมฺม, เตวิชฺชเก ปาวจเนติ วุตฺตํ โหติฯ
1026-7.Vīsaṃvassasatanti vīsativassādhikaṃ vassasataṃ. Lakkhaṇeti mahāpurisalakkhaṇe. Etasmiṃ ito paresu ca itihāsādīsu anavayoti adhippāyo parapadaṃ vā ānetvā tesu pāramiṃ gatoti yojetabbaṃ. Pañcasatāni vācetīti pakatialasadummedhamāṇavakānaṃ pañcasatāni sayaṃ mante vāceti. Sadhammeti eke brāhmaṇadhamme, tevijjake pāvacaneti vuttaṃ hoti.
๑๐๒๘. ลกฺขณานํ ปวิจยนฺติ ลกฺขณานํ วิตฺถารํ, ‘‘กตมานิ ตานิสฺส คเตฺต ตีณิ ลกฺขณานี’’ติ ปุจฺฉติฯ
1028.Lakkhaṇānaṃ pavicayanti lakkhaṇānaṃ vitthāraṃ, ‘‘katamāni tānissa gatte tīṇi lakkhaṇānī’’ti pucchati.
๑๐๓๐-๓๑. ปุจฺฉญฺหีติ ปุจฺฉมานํ กเมตํ ปฎิภาสตีติ เทวาทีสุ กํ ปุคฺคลํ เอตํ ปญฺหวจนํ ปฎิภาสตีติฯ
1030-31.Pucchañhīti pucchamānaṃ kametaṃ paṭibhāsatīti devādīsu kaṃ puggalaṃ etaṃ pañhavacanaṃ paṭibhāsatīti.
๑๐๓๒-๓๓. เอวํ พฺราหฺมโณ ปญฺจนฺนํ ปญฺหานํ เวยฺยากรณํ สุตฺวา อวเสเส เทฺว ปุจฺฉโนฺต ‘‘มุทฺธํ มุทฺธาธิปาตญฺจา’’ติ อาหฯ อถสฺส ภควา เต พฺยากโรโนฺต ‘‘อวิชฺชา มุทฺธา’’ติ คาถมาหฯ ตตฺถ ยสฺมา จตูสุ สเจฺจสุ อญฺญาณภูตา อวิชฺชา สํสารสฺส สีสํ, ตสฺมา ‘‘อวิชฺชา มุทฺธา’’ติ อาหฯ ยสฺมา จ อรหตฺตมคฺควิชฺชา อตฺตนา สหชาเตหิ สทฺธาสติสมาธิกตฺตุกมฺยตาฉนฺทวีริเยหิ สมนฺนาคตา อินฺทฺริยานํ เอกรสฎฺฐภาวมุปคตตฺตา ตํ มุทฺธํ อธิปาเตติ, ตสฺมา ‘‘ธิชฺชา มุทฺธาธิปาตินี’’ติอาทิมาหฯ
1032-33. Evaṃ brāhmaṇo pañcannaṃ pañhānaṃ veyyākaraṇaṃ sutvā avasese dve pucchanto ‘‘muddhaṃ muddhādhipātañcā’’ti āha. Athassa bhagavā te byākaronto ‘‘avijjā muddhā’’ti gāthamāha. Tattha yasmā catūsu saccesu aññāṇabhūtā avijjā saṃsārassa sīsaṃ, tasmā ‘‘avijjā muddhā’’ti āha. Yasmā ca arahattamaggavijjā attanā sahajātehi saddhāsatisamādhikattukamyatāchandavīriyehi samannāgatā indriyānaṃ ekarasaṭṭhabhāvamupagatattā taṃ muddhaṃ adhipāteti, tasmā ‘‘dhijjā muddhādhipātinī’’tiādimāha.
๑๐๓๔-๘. ตโต เวเทน มหตาติ อถ อิมํ ปญฺหเวยฺยากรณํ สุตฺวา อุปฺปนฺนาย มหาปีติยา สนฺถมฺภิตฺวา อลีนภาวํ, กายจิตฺตานํ อุทคฺคํ ปตฺวาติ อโตฺถฯ ปติตฺวา จ ‘‘พาวรี’’ติ อิมํ คาถมาหฯ อถ นํ อนุกมฺปมาโน ภควา ‘‘สุขิโต’’ติ คาถมาหฯ วตฺวา จ ‘‘พาวริสฺส จา’’ติ สพฺพญฺญุปวารณํ ปวาเรสิฯ ตตฺถ สเพฺพสนฺติ อนวเสสานํ โสฬสสหสฺสานํฯ ตตฺถ ปุจฺฉิ ตถาคตนฺติ ตตฺถ ปาสาณเก เจติเย, ตตฺถ วา ปริสาย, เตสุ วา ปวาริเตสุ อชิโต ปฐมํ ปญฺหํ ปุจฺฉีติฯ เสสํ สพฺพคาถาสุ ปากฎเมวาติฯ
1034-8.Tato vedena mahatāti atha imaṃ pañhaveyyākaraṇaṃ sutvā uppannāya mahāpītiyā santhambhitvā alīnabhāvaṃ, kāyacittānaṃ udaggaṃ patvāti attho. Patitvā ca ‘‘bāvarī’’ti imaṃ gāthamāha. Atha naṃ anukampamāno bhagavā ‘‘sukhito’’ti gāthamāha. Vatvā ca ‘‘bāvarissa cā’’ti sabbaññupavāraṇaṃ pavāresi. Tattha sabbesanti anavasesānaṃ soḷasasahassānaṃ. Tattha pucchi tathāgatanti tattha pāsāṇake cetiye, tattha vā parisāya, tesu vā pavāritesu ajito paṭhamaṃ pañhaṃ pucchīti. Sesaṃ sabbagāthāsu pākaṭamevāti.
ปรมตฺถโชติกาย ขุทฺทก-อฎฺฐกถาย
Paramatthajotikāya khuddaka-aṭṭhakathāya
สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถาย วตฺถุคาถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Suttanipāta-aṭṭhakathāya vatthugāthāvaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / สุตฺตนิปาตปาฬิ • Suttanipātapāḷi / วตฺถุคาถา • Vatthugāthā