Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๓๕๓] ๓. เวนสาขชาตกวณฺณนา
[353] 3. Venasākhajātakavaṇṇanā
นยิทํ นิจฺจํ ภวิตพฺพนฺติ อิทํ สตฺถา ภเคฺคสุ สํสุมารคิรํ นิสฺสาย เภสกฬาวเน วิหรโนฺต โพธิราชกุมารํ อารพฺภ กเถสิฯ โพธิราชกุมาโร นาม อุเทนสฺส รโญฺญ ปุโตฺต ตสฺมิํ กาเล สํสุมารคิเร วสโนฺต เอกํ ปริโยทาตสิปฺปํ วฑฺฒกิํ ปโกฺกสาเปตฺวา อเญฺญหิ ราชูหิ อสทิสํ กตฺวา โกกนทํ นาม ปาสาทํ การาเปสิฯ การาเปตฺวา จ ปน ‘‘อยํ วฑฺฒกี อญฺญสฺสปิ รโญฺญ เอวรูปํ ปาสาทํ กเรยฺยา’’ติ มจฺฉรายโนฺต ตสฺส อกฺขีนิ อุปฺปาฎาเปสิฯ เตนสฺส อกฺขีนํ อุปฺปาฎิตภาโว ภิกฺขุสเงฺฆ ปากโฎ ชาโตฯ ตสฺมา ภิกฺขู ธมฺมสภายํ กถํ สมุฎฺฐาเปสุํ ‘‘อาวุโส, โพธิราชกุมาโร กิร ตถารูปสฺส วฑฺฒกิโน อกฺขีนิ อุปฺปาฎาเปสิ, อโห กกฺขโฬ ผรุโส สาหสิโก’’ติฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว, ปุเพฺพเปส กกฺขโฬ ผรุโส สาหสิโกวฯ น เกวลญฺจ อิทาเนว, ปุเพฺพเปส ขตฺติยสหสฺสานํ อกฺขีนิ อุปฺปาฎาเปตฺวา มาเรตฺวา เตสํ มํเสน พลิกมฺมํ กาเรสี’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Nayidaṃ niccaṃ bhavitabbanti idaṃ satthā bhaggesu saṃsumāragiraṃ nissāya bhesakaḷāvane viharanto bodhirājakumāraṃ ārabbha kathesi. Bodhirājakumāro nāma udenassa rañño putto tasmiṃ kāle saṃsumāragire vasanto ekaṃ pariyodātasippaṃ vaḍḍhakiṃ pakkosāpetvā aññehi rājūhi asadisaṃ katvā kokanadaṃ nāma pāsādaṃ kārāpesi. Kārāpetvā ca pana ‘‘ayaṃ vaḍḍhakī aññassapi rañño evarūpaṃ pāsādaṃ kareyyā’’ti maccharāyanto tassa akkhīni uppāṭāpesi. Tenassa akkhīnaṃ uppāṭitabhāvo bhikkhusaṅghe pākaṭo jāto. Tasmā bhikkhū dhammasabhāyaṃ kathaṃ samuṭṭhāpesuṃ ‘‘āvuso, bodhirājakumāro kira tathārūpassa vaḍḍhakino akkhīni uppāṭāpesi, aho kakkhaḷo pharuso sāhasiko’’ti. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘na, bhikkhave, idāneva, pubbepesa kakkhaḷo pharuso sāhasikova. Na kevalañca idāneva, pubbepesa khattiyasahassānaṃ akkhīni uppāṭāpetvā māretvā tesaṃ maṃsena balikammaṃ kāresī’’ti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต ตกฺกสิลายํ ทิสาปาโมโกฺข อาจริโย อโหสิฯ ชมฺพุทีปตเล ขตฺติยมาณวา พฺราหฺมณมาณวา จ ตเสฺสว สนฺติเก สิปฺปํ อุคฺคณฺหิํสุฯ พาราณสิรโญฺญ ปุโตฺต พฺรหฺมทตฺตกุมาโร นาม ตสฺส สนฺติเก ตโย เวเท อุคฺคณฺหิฯ โส ปน ปกติยาปิ กกฺขโฬ ผรุโส สาหสิโก อโหสิฯ โพธิสโตฺต องฺควิชฺชาวเสน ตสฺส กกฺขฬผรุสสาหสิกภาวํ ญตฺวา ‘‘ตาต, ตฺวํ กกฺขโฬ ผรุโส สาหสิโก, ผรุเสน นาม ลทฺธํ อิสฺสริยํ อจิรฎฺฐิติกํ โหติ, โส อิสฺสริเย วินเฎฺฐ ภินฺนนาโว วิย สมุเทฺท ปติฎฺฐํ น ลภติ, ตสฺมา มา เอวรูโป อโหสี’’ติ ตํ โอวทโนฺต เทฺว คาถา อภาสิ –
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto takkasilāyaṃ disāpāmokkho ācariyo ahosi. Jambudīpatale khattiyamāṇavā brāhmaṇamāṇavā ca tasseva santike sippaṃ uggaṇhiṃsu. Bārāṇasirañño putto brahmadattakumāro nāma tassa santike tayo vede uggaṇhi. So pana pakatiyāpi kakkhaḷo pharuso sāhasiko ahosi. Bodhisatto aṅgavijjāvasena tassa kakkhaḷapharusasāhasikabhāvaṃ ñatvā ‘‘tāta, tvaṃ kakkhaḷo pharuso sāhasiko, pharusena nāma laddhaṃ issariyaṃ aciraṭṭhitikaṃ hoti, so issariye vinaṭṭhe bhinnanāvo viya samudde patiṭṭhaṃ na labhati, tasmā mā evarūpo ahosī’’ti taṃ ovadanto dve gāthā abhāsi –
๑๔.
14.
‘‘นยิทํ นิจฺจํ ภวิตพฺพํ พฺรหฺมทตฺต, เขมํ สุภิกฺขํ สุขตา จ กาเย;
‘‘Nayidaṃ niccaṃ bhavitabbaṃ brahmadatta, khemaṃ subhikkhaṃ sukhatā ca kāye;
อตฺถจฺจเย มา อหุ สมฺปมูโฬฺห, ภินฺนปฺลโว สาครเสฺสว มเชฺฌฯ
Atthaccaye mā ahu sampamūḷho, bhinnaplavo sāgarasseva majjhe.
๑๕.
15.
‘‘ยานิ กโรติ ปุริโส, ตานิ อตฺตนิ ปสฺสติ;
‘‘Yāni karoti puriso, tāni attani passati;
กลฺยาณการี กลฺยาณํ, ปาปการี จ ปาปกํ;
Kalyāṇakārī kalyāṇaṃ, pāpakārī ca pāpakaṃ;
ยาทิสํ วปเต พีชํ, ตาทิสํ หรเต ผล’’นฺติฯ
Yādisaṃ vapate bījaṃ, tādisaṃ harate phala’’nti.
ตตฺถ สุขตา จ กาเยติ ตาต พฺรหฺมทตฺต, ยเทตํ เขมํ วา สุภิกฺขํ วา ยา วา เอสา สุขตา กาเย, อิทํ สพฺพํ อิเมสํ สตฺตานํ นิจฺจํ สพฺพกาลเมว น ภวติ, อิทํ ปน อนิจฺจํ หุตฺวา อภาวธมฺมํฯ อตฺถจฺจเยติ โส ตฺวํ อนิจฺจตาวเสน อิสฺสริเย วิคเต อตฺตโน อตฺถสฺส อจฺจเย ยถา นาม ภินฺนปฺลโว ภินฺนนาโว มนุโสฺส สาครมเชฺฌ ปติฎฺฐํ อลภโนฺต สมฺปมูโฬฺห โหติ, เอวํ มา อหุ สมฺปมูโฬฺหฯ ตานิ อตฺตนิ ปสฺสตีติ เตสํ กมฺมานํ วิปากํ วินฺทโนฺต ตานิ อตฺตนิ ปสฺสติ นามฯ
Tattha sukhatā ca kāyeti tāta brahmadatta, yadetaṃ khemaṃ vā subhikkhaṃ vā yā vā esā sukhatā kāye, idaṃ sabbaṃ imesaṃ sattānaṃ niccaṃ sabbakālameva na bhavati, idaṃ pana aniccaṃ hutvā abhāvadhammaṃ. Atthaccayeti so tvaṃ aniccatāvasena issariye vigate attano atthassa accaye yathā nāma bhinnaplavo bhinnanāvo manusso sāgaramajjhe patiṭṭhaṃ alabhanto sampamūḷho hoti, evaṃ mā ahu sampamūḷho. Tāni attani passatīti tesaṃ kammānaṃ vipākaṃ vindanto tāni attani passati nāma.
โส อาจริยํ วนฺทิตฺวา พาราณสิํ คนฺตฺวา ปิตุ สิปฺปํ ทเสฺสตฺวา โอปรเชฺช ปติฎฺฐาย ปิตุ อจฺจเยน รชฺชํ ปาปุณิฯ ตสฺส ปิงฺคิโย นาม ปุโรหิโต อโหสิ กกฺขโฬ ผรุโส สาหสิโกฯ โส ยสโลเภน จิเนฺตสิ ‘‘ยํนูนาหํ อิมินา รญฺญา สกลชมฺพุทีเป สเพฺพ ราชาโน คาหาเปยฺยํ, เอวเมส เอกราชา ภวิสฺสติ, อหมฺปิ เอกปุโรหิโต ภวิสฺสามี’’ติฯ โส ตํ ราชานํ อตฺตโน กถํ คาหาเปสิฯ ราชา มหติยา เสนาย นครา นิกฺขมิตฺวา เอกสฺส รโญฺญ นครํ รุนฺธิตฺวา ตํ ราชานํ คณฺหิฯ เอเตนุปาเยน สกลชมฺพุทีเป รชฺชํ คเหตฺวา ราชสหสฺสปริวุโต ‘‘ตกฺกสิลายํ รชฺชํ คณฺหิสฺสามี’’ติ อคมาสิฯ โพธิสโตฺต นครํ ปฎิสงฺขริตฺวา ปเรหิ อปฺปธํสิยํ อกาสิฯ
So ācariyaṃ vanditvā bārāṇasiṃ gantvā pitu sippaṃ dassetvā oparajje patiṭṭhāya pitu accayena rajjaṃ pāpuṇi. Tassa piṅgiyo nāma purohito ahosi kakkhaḷo pharuso sāhasiko. So yasalobhena cintesi ‘‘yaṃnūnāhaṃ iminā raññā sakalajambudīpe sabbe rājāno gāhāpeyyaṃ, evamesa ekarājā bhavissati, ahampi ekapurohito bhavissāmī’’ti. So taṃ rājānaṃ attano kathaṃ gāhāpesi. Rājā mahatiyā senāya nagarā nikkhamitvā ekassa rañño nagaraṃ rundhitvā taṃ rājānaṃ gaṇhi. Etenupāyena sakalajambudīpe rajjaṃ gahetvā rājasahassaparivuto ‘‘takkasilāyaṃ rajjaṃ gaṇhissāmī’’ti agamāsi. Bodhisatto nagaraṃ paṭisaṅkharitvā parehi appadhaṃsiyaṃ akāsi.
พาราณสิราชา คงฺคานทีตีเร มหโต นิโคฺรธรุกฺขสฺสฺส มูเล สาณิํ ปริกฺขิปาเปตฺวา อุปริ วิตานํ การาเปตฺวา สยนํ ปญฺญเปตฺวา นิวาสํ คณฺหิฯ โส ชมฺพุทีปตเล สหสฺสราชาโน คเหตฺวา ยุชฺฌมาโนปิ ตกฺกสิลํ คเหตุํ อสโกฺกโนฺต อตฺตโน ปุโรหิตํ ปุจฺฉิ ‘‘อาจริย, มยํ เอตฺตเกหิ ราชูหิ สทฺธิํ อาคนฺตฺวาปิ ตกฺกสิลํ คเหตุํ น สโกฺกม, กิํ นุ โข กาตพฺพ’’นฺติฯ ‘‘มหาราช, สหสฺสราชูนํ อกฺขีนิ อุปฺปาเฎตฺวา มาเรตฺวา กุจฺฉิํ ผาเลตฺวา ปญฺจมธุรมํสํ อาทาย อิมสฺมิํ นิโคฺรเธ อธิวตฺถาย เทวตาย พลิกมฺมํ กตฺวา อนฺตวฎฺฎีหิ รุกฺขํ ปริกฺขิปิตฺวา โลหิตปญฺจงฺคุลิกานิ กโรม, เอวํ โน ขิปฺปเมว ชโย ภวิสฺสตี’’ติฯ ราชา ‘‘สาธู’’ติ ปฎิสฺสุณิตฺวา อโนฺตสาณิยํ มหาพเล มเลฺล ฐเปตฺวา เอกเมกํ ราชานํ ปโกฺกสาเปตฺวา นิปฺปีฬเนน วิสญฺญํ กาเรตฺวา อกฺขีนิ อุปฺปาเฎตฺวา มาเรตฺวา มํสํ อาทาย กเฬวรานิ คงฺคายํ ปวาเหตฺวา วุตฺตปฺปการํ พลิกมฺมํ กาเรตฺวา พลิเภริํ อาโกฎาเปตฺวา ยุทฺธาย คโตฯ
Bārāṇasirājā gaṅgānadītīre mahato nigrodharukkhasssa mūle sāṇiṃ parikkhipāpetvā upari vitānaṃ kārāpetvā sayanaṃ paññapetvā nivāsaṃ gaṇhi. So jambudīpatale sahassarājāno gahetvā yujjhamānopi takkasilaṃ gahetuṃ asakkonto attano purohitaṃ pucchi ‘‘ācariya, mayaṃ ettakehi rājūhi saddhiṃ āgantvāpi takkasilaṃ gahetuṃ na sakkoma, kiṃ nu kho kātabba’’nti. ‘‘Mahārāja, sahassarājūnaṃ akkhīni uppāṭetvā māretvā kucchiṃ phāletvā pañcamadhuramaṃsaṃ ādāya imasmiṃ nigrodhe adhivatthāya devatāya balikammaṃ katvā antavaṭṭīhi rukkhaṃ parikkhipitvā lohitapañcaṅgulikāni karoma, evaṃ no khippameva jayo bhavissatī’’ti. Rājā ‘‘sādhū’’ti paṭissuṇitvā antosāṇiyaṃ mahābale malle ṭhapetvā ekamekaṃ rājānaṃ pakkosāpetvā nippīḷanena visaññaṃ kāretvā akkhīni uppāṭetvā māretvā maṃsaṃ ādāya kaḷevarāni gaṅgāyaṃ pavāhetvā vuttappakāraṃ balikammaṃ kāretvā balibheriṃ ākoṭāpetvā yuddhāya gato.
อถสฺส อฎฺฎาลกโต เอโก ยโกฺข อาคนฺตฺวา ทกฺขิณกฺขิํ อุปฺปาเฎตฺวา อคมาสิ, อถสฺส มหตี เวทนา อุปฺปชฺชิฯ โส เวทนาปฺปโตฺต อาคนฺตฺวา นิโคฺรธรุกฺขมูเล ปญฺญตฺตาสเน อุตฺตานโก นิปชฺชิฯ ตสฺมิํ ขเณ เอโก คิโชฺฌ เอกํ ติขิณโกฎิกํ อฎฺฐิํ คเหตฺวา รุกฺขเคฺค นิสิโนฺน มํสํ ขาทิตฺวา อฎฺฐิํ วิสฺสเชฺชสิ, อฎฺฐิโกฎิ อาคนฺตฺวา รโญฺญ วามกฺขิมฺหิ อยสูลํ วิย ปติตฺวา อกฺขิํ ภินฺทิฯ ตสฺมิํ ขเณ โพธิสตฺตสฺส วจนํ สลฺลเกฺขสิฯ โส ‘‘อมฺหากํ อาจริโย ‘อิเม สตฺตา พีชานุรูปํ ผลํ วิย กมฺมานุรูปํ วิปากํ อนุโภนฺตี’ติ กเถโนฺต อิทํ ทิสฺวา กเถสิ มเญฺญ’’ติ วตฺวา วิลปโนฺต เทฺว คาถา อภาสิ –
Athassa aṭṭālakato eko yakkho āgantvā dakkhiṇakkhiṃ uppāṭetvā agamāsi, athassa mahatī vedanā uppajji. So vedanāppatto āgantvā nigrodharukkhamūle paññattāsane uttānako nipajji. Tasmiṃ khaṇe eko gijjho ekaṃ tikhiṇakoṭikaṃ aṭṭhiṃ gahetvā rukkhagge nisinno maṃsaṃ khāditvā aṭṭhiṃ vissajjesi, aṭṭhikoṭi āgantvā rañño vāmakkhimhi ayasūlaṃ viya patitvā akkhiṃ bhindi. Tasmiṃ khaṇe bodhisattassa vacanaṃ sallakkhesi. So ‘‘amhākaṃ ācariyo ‘ime sattā bījānurūpaṃ phalaṃ viya kammānurūpaṃ vipākaṃ anubhontī’ti kathento idaṃ disvā kathesi maññe’’ti vatvā vilapanto dve gāthā abhāsi –
๑๖.
16.
‘‘อิทํ ตทาจริยวโจ, ปาราสริโย ยทพฺรวิ;
‘‘Idaṃ tadācariyavaco, pārāsariyo yadabravi;
‘มา สุ ตฺวํ อกริ ปาปํ, ยํ ตฺวํ ปจฺฉา กตํ ตเป’ฯ
‘Mā su tvaṃ akari pāpaṃ, yaṃ tvaṃ pacchā kataṃ tape’.
๑๗.
17.
‘‘อยเมว โส ปิงฺคิย เวนสาโข, ยมฺหิ ฆาตยิํ ขตฺติยานํ สหสฺสฺสํ;
‘‘Ayameva so piṅgiya venasākho, yamhi ghātayiṃ khattiyānaṃ sahasssaṃ;
อลงฺกเต จนฺทนสารานุลิเตฺต, ตเมว ทุกฺขํ ปจฺจาคตํ มม’’นฺติฯ
Alaṅkate candanasārānulitte, tameva dukkhaṃ paccāgataṃ mama’’nti.
ตตฺถ อิทํ ตทาจริยวโจติ อิทํ ตํ อาจริยสฺส วจนํฯ ปาราสริโยติ ตํ โคเตฺตน กิเตฺตติฯ ปจฺฉา กตนฺติ ยํ ปาปํ ตยา กตํ, ปจฺฉา ตํ ตเปยฺย กิลเมยฺย, ตํ มา กรีติ โอวาทํ อทาสิ, อหํ ปนสฺส วจนํ น กรินฺติฯ อยเมวาติ นิโคฺรธรุกฺขํ ทเสฺสโนฺต วิลปติฯ เวนสาโขติ ปตฺถฎสาโขฯ ยมฺหิ ฆาตยินฺติ ยมฺหิ รุเกฺข ขตฺติยสหสฺสํ มาเรสิํฯ อลงฺกเต จนฺทนสารานุลิเตฺตติ ราชาลงฺกาเรหิ อลงฺกเต โลหิตจนฺทนสารานุลิเตฺต เต ขตฺติเย ยตฺถาหํ ฆาเตสิํ , อยเมว โส รุโกฺข อิทานิ มยฺหํ กิญฺจิ ปริตฺตาณํ กาตุํ น สโกฺกตีติ ทีเปติฯ ตเมว ทุกฺขนฺติ ยํ มยา ปเรสํ อกฺขิอุปฺปาฎนทุกฺขํ กตํ, อิทํ เม ตเถว ปฎิอาคตํ, อิทานิ โน อาจริยสฺส วจนํ มตฺถกํ ปตฺตนฺติ ปริเทวติฯ
Tattha idaṃ tadācariyavacoti idaṃ taṃ ācariyassa vacanaṃ. Pārāsariyoti taṃ gottena kitteti. Pacchā katanti yaṃ pāpaṃ tayā kataṃ, pacchā taṃ tapeyya kilameyya, taṃ mā karīti ovādaṃ adāsi, ahaṃ panassa vacanaṃ na karinti. Ayamevāti nigrodharukkhaṃ dassento vilapati. Venasākhoti patthaṭasākho. Yamhi ghātayinti yamhi rukkhe khattiyasahassaṃ māresiṃ. Alaṅkate candanasārānulitteti rājālaṅkārehi alaṅkate lohitacandanasārānulitte te khattiye yatthāhaṃ ghātesiṃ , ayameva so rukkho idāni mayhaṃ kiñci parittāṇaṃ kātuṃ na sakkotīti dīpeti. Tameva dukkhanti yaṃ mayā paresaṃ akkhiuppāṭanadukkhaṃ kataṃ, idaṃ me tatheva paṭiāgataṃ, idāni no ācariyassa vacanaṃ matthakaṃ pattanti paridevati.
โส เอวํ ปริเทวมาโน อคฺคมเหสิํ อนุสฺสริตฺวา –
So evaṃ paridevamāno aggamahesiṃ anussaritvā –
๑๘.
18.
‘‘สามา จ โข จนฺทนลิตฺตคตฺตา, ลฎฺฐีว โสภญฺชนกสฺส อุคฺคตา;
‘‘Sāmā ca kho candanalittagattā, laṭṭhīva sobhañjanakassa uggatā;
อทิสฺวา กาลํ กริสฺสามิ อุพฺพริํ, ตํ เม อิโต ทุกฺขตรํ ภวิสฺสตี’’ติฯ –
Adisvā kālaṃ karissāmi ubbariṃ, taṃ me ito dukkhataraṃ bhavissatī’’ti. –
คาถมาห –
Gāthamāha –
ตสฺสโตฺถ – มม ภริยา สุวณฺณสามา อุพฺพรี ยถา นาม สิคฺคุรุกฺขสฺส อุชุ อุคฺคตา สาขา มนฺทมาลุเตริตา กมฺปมานา โสภติ, เอวํ อิตฺถิวิลาสํ กุรุมานา โสภติ, ตมหํ อิทานิ อกฺขีนํ ภินฺนตฺตา อุพฺพริํ อทิสฺวาว กาลํ กริสฺสามิ, ตํ เม ตสฺสา อทสฺสนํ อิโต มรณทุกฺขโตปิ ทุกฺขตรํ ภวิสฺสตีติฯ
Tassattho – mama bhariyā suvaṇṇasāmā ubbarī yathā nāma siggurukkhassa uju uggatā sākhā mandamāluteritā kampamānā sobhati, evaṃ itthivilāsaṃ kurumānā sobhati, tamahaṃ idāni akkhīnaṃ bhinnattā ubbariṃ adisvāva kālaṃ karissāmi, taṃ me tassā adassanaṃ ito maraṇadukkhatopi dukkhataraṃ bhavissatīti.
โส เอวํ วิลปโนฺตว มริตฺวา นิรเย นิพฺพตฺติฯ น นํ อิสฺสริยลุโทฺธ ปุโรหิโต ปริตฺตาณํ กาตุํ สกฺขิ, น อตฺตโน อิสฺสริยํฯ ตสฺมิํ มตมเตฺตเยว พลกาโย ภิชฺชิตฺวา ปลายิฯ
So evaṃ vilapantova maritvā niraye nibbatti. Na naṃ issariyaluddho purohito parittāṇaṃ kātuṃ sakkhi, na attano issariyaṃ. Tasmiṃ matamatteyeva balakāyo bhijjitvā palāyi.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา พาราณสิราชา โพธิราชกุมาโร อโหสิ, ปิงฺคิโย เทวทโตฺต, ทิสาปาโมกฺขาจริโย ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā bārāṇasirājā bodhirājakumāro ahosi, piṅgiyo devadatto, disāpāmokkhācariyo pana ahameva ahosi’’nti.
เวนสาขชาตกวณฺณนา ตติยาฯ
Venasākhajātakavaṇṇanā tatiyā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๓๕๓. เวนสาขชาตกํ • 353. Venasākhajātakaṃ