Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สํยุตฺตนิกาย • Saṃyuttanikāya |
๑๐. เวรหจฺจานิสุตฺตํ
10. Verahaccānisuttaṃ
๑๓๓. เอกํ สมยํ อายสฺมา อุทายี กามณฺฑายํ วิหรติ โตเทยฺยสฺส พฺราหฺมณสฺส อมฺพวเนฯ อถ โข เวรหจฺจานิโคตฺตาย พฺราหฺมณิยา อเนฺตวาสี มาณวโก เยนายสฺมา อุทายี เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมตา อุทายินา สทฺธิํ สโมฺมทิฯ สโมฺมทนียํ กถํ สารณียํ วีติสาเรตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺนํ โข ตํ มาณวกํ อายสฺมา อุทายี ธมฺมิยา กถาย สนฺทเสฺสสิ สมาทเปสิ สมุเตฺตเชสิ สมฺปหํเสสิฯ อถ โข โส มาณวโก อายสฺมตา อุทายินา ธมฺมิยา กถาย สนฺทสฺสิโต สมาทปิโต สมุเตฺตชิโต สมฺปหํสิโต อุฎฺฐายาสนา เยน เวรหจฺจานิโคตฺตา พฺราหฺมณี เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา เวรหจฺจานิโคตฺตํ พฺราหฺมณิํ เอตทโวจ – ‘‘ยเคฺฆ, โภติ, ชาเนยฺยาสิ 1! สมโณ อุทายี ธมฺมํ เทเสติ อาทิกลฺยาณํ มเชฺฌกลฺยาณํ ปริโยสานกลฺยาณํ , สาตฺถํ สพฺยญฺชนํ เกวลปริปุณฺณํ ปริสุทฺธํ พฺรหฺมจริยํ ปกาเสตี’’ติฯ
133. Ekaṃ samayaṃ āyasmā udāyī kāmaṇḍāyaṃ viharati todeyyassa brāhmaṇassa ambavane. Atha kho verahaccānigottāya brāhmaṇiyā antevāsī māṇavako yenāyasmā udāyī tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā āyasmatā udāyinā saddhiṃ sammodi. Sammodanīyaṃ kathaṃ sāraṇīyaṃ vītisāretvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinnaṃ kho taṃ māṇavakaṃ āyasmā udāyī dhammiyā kathāya sandassesi samādapesi samuttejesi sampahaṃsesi. Atha kho so māṇavako āyasmatā udāyinā dhammiyā kathāya sandassito samādapito samuttejito sampahaṃsito uṭṭhāyāsanā yena verahaccānigottā brāhmaṇī tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā verahaccānigottaṃ brāhmaṇiṃ etadavoca – ‘‘yagghe, bhoti, jāneyyāsi 2! Samaṇo udāyī dhammaṃ deseti ādikalyāṇaṃ majjhekalyāṇaṃ pariyosānakalyāṇaṃ , sātthaṃ sabyañjanaṃ kevalaparipuṇṇaṃ parisuddhaṃ brahmacariyaṃ pakāsetī’’ti.
‘‘เตน หิ ตฺวํ, มาณวก, มม วจเนน สมณํ อุทายิํ นิมเนฺตหิ สฺวาตนาย ภเตฺตนา’’ติ ฯ ‘‘เอวํ โภตี’’ติ โข โส มาณวโก เวรหจฺจานิโคตฺตาย พฺราหฺมณิยา ปฎิสฺสุตฺวา เยนายสฺมา อุทายี เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมนฺตํ อุทายิํ เอตทโวจ – ‘‘อธิวาเสตุ กิร, ภวํ, อุทายิ, อมฺหากํ อาจริยภริยาย เวรหจฺจานิโคตฺตาย พฺราหฺมณิยา สฺวาตนาย ภตฺต’’นฺติฯ อธิวาเสสิ โข อายสฺมา อุทายี ตุณฺหีภาเวนฯ อถ โข อายสฺมา อุทายี ตสฺสา รตฺติยา อจฺจเยน ปุพฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย เยน เวรหจฺจานิโคตฺตาย พฺราหฺมณิยา นิเวสนํ เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ปญฺญเตฺต อาสเน นิสีทิฯ อถ โข เวรหจฺจานิโคตฺตา พฺราหฺมณี อายสฺมนฺตํ อุทายิํ ปณีเตน ขาทนีเยน โภชนีเยน สหตฺถา สนฺตเปฺปสิ สมฺปวาเรสิฯ อถ โข เวรหจฺจานิโคตฺตา พฺราหฺมณี อายสฺมนฺตํ อุทายิํ ภุตฺตาวิํ โอนีตปตฺตปาณิํ ปาทุกา อาโรหิตฺวา อุเจฺจ อาสเน นิสีทิตฺวา สีสํ โอคุณฺฐิตฺวา อายสฺมนฺตํ อุทายิํ เอตทโวจ – ‘‘ภณ, สมณ, ธมฺม’’นฺติฯ ‘‘ภวิสฺสติ, ภคินิ, สมโย’’ติ วตฺวา อุฎฺฐายาสนา ปกฺกมิ 3ฯ
‘‘Tena hi tvaṃ, māṇavaka, mama vacanena samaṇaṃ udāyiṃ nimantehi svātanāya bhattenā’’ti . ‘‘Evaṃ bhotī’’ti kho so māṇavako verahaccānigottāya brāhmaṇiyā paṭissutvā yenāyasmā udāyī tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā āyasmantaṃ udāyiṃ etadavoca – ‘‘adhivāsetu kira, bhavaṃ, udāyi, amhākaṃ ācariyabhariyāya verahaccānigottāya brāhmaṇiyā svātanāya bhatta’’nti. Adhivāsesi kho āyasmā udāyī tuṇhībhāvena. Atha kho āyasmā udāyī tassā rattiyā accayena pubbaṇhasamayaṃ nivāsetvā pattacīvaramādāya yena verahaccānigottāya brāhmaṇiyā nivesanaṃ tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā paññatte āsane nisīdi. Atha kho verahaccānigottā brāhmaṇī āyasmantaṃ udāyiṃ paṇītena khādanīyena bhojanīyena sahatthā santappesi sampavāresi. Atha kho verahaccānigottā brāhmaṇī āyasmantaṃ udāyiṃ bhuttāviṃ onītapattapāṇiṃ pādukā ārohitvā ucce āsane nisīditvā sīsaṃ oguṇṭhitvā āyasmantaṃ udāyiṃ etadavoca – ‘‘bhaṇa, samaṇa, dhamma’’nti. ‘‘Bhavissati, bhagini, samayo’’ti vatvā uṭṭhāyāsanā pakkami 4.
ทุติยมฺปิ โข โส มาณวโก เยนายสฺมา อุทายี เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมตา อุทายินา สทฺธิํ สโมฺมทิฯ สโมฺมทนียํ กถํ สารณียํ วีติสาเรตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺนํ โข ตํ มาณวกํ อายสฺมา อุทายี ธมฺมิยา กถาย สนฺทเสฺสสิ สมาทเปสิ สมุเตฺตเชสิ สมฺปหํเสสิฯ ทุติยมฺปิ โข โส มาณวโก อายสฺมตา อุทายินา ธมฺมิยา กถาย สนฺทสฺสิโต สมาทปิโต สมุเตฺตชิโต สมฺปหํสิโต อุฎฺฐายาสนา เยน เวรหจฺจานิโคตฺตา พฺราหฺมณี เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา เวรหจฺจานิโคตฺตํ พฺราหฺมณิํ เอตทโวจ – ‘‘ยเคฺฆ, โภติ, ชาเนยฺยาสิ! สมโณ อุทายี ธมฺมํ เทเสติ อาทิกลฺยาณํ มเชฺฌกลฺยาณํ ปริโยสานกลฺยาณํ , สาตฺถํ สพฺยญฺชนํ เกวลปริปุณฺณํ ปริสุทฺธํ พฺรหฺมจริยํ ปกาเสตี’’ติฯ
Dutiyampi kho so māṇavako yenāyasmā udāyī tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā āyasmatā udāyinā saddhiṃ sammodi. Sammodanīyaṃ kathaṃ sāraṇīyaṃ vītisāretvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinnaṃ kho taṃ māṇavakaṃ āyasmā udāyī dhammiyā kathāya sandassesi samādapesi samuttejesi sampahaṃsesi. Dutiyampi kho so māṇavako āyasmatā udāyinā dhammiyā kathāya sandassito samādapito samuttejito sampahaṃsito uṭṭhāyāsanā yena verahaccānigottā brāhmaṇī tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā verahaccānigottaṃ brāhmaṇiṃ etadavoca – ‘‘yagghe, bhoti, jāneyyāsi! Samaṇo udāyī dhammaṃ deseti ādikalyāṇaṃ majjhekalyāṇaṃ pariyosānakalyāṇaṃ , sātthaṃ sabyañjanaṃ kevalaparipuṇṇaṃ parisuddhaṃ brahmacariyaṃ pakāsetī’’ti.
‘‘เอวเมวํ ปน ตฺวํ, มาณวก, สมณสฺส อุทายิสฺส วณฺณํ ภาสสิฯ สมโณ ปนุทายี ‘ภณ, สมณ, ธมฺม’นฺติ วุโตฺต สมาโน ‘ภวิสฺสติ, ภคินิ, สมโย’ติ วตฺวา อุฎฺฐายาสนา ปกฺกโนฺต’’ติฯ ‘‘ตถา หิ ปน ตฺวํ, โภติ, ปาทุกา อาโรหิตฺวา อุเจฺจ อาสเน นิสีทิตฺวา สีสํ โอคุณฺฐิตฺวา เอตทโวจ – ‘ภณ, สมณ, ธมฺม’นฺติฯ ธมฺมครุโน หิ เต ภวโนฺต ธมฺมคารวา’’ติฯ ‘‘เตน หิ ตฺวํ, มาณวก, มม วจเนน สมณํ อุทายิํ นิมเนฺตหิ สฺวาตนาย ภเตฺตนา’’ติฯ ‘‘เอวํ, โภตี’’ติ โข โส มาณวโก เวรหจฺจานิโคตฺตาย พฺราหฺมณิยา ปฎิสฺสุตฺวา เยนายสฺมา อุทายี เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมนฺตํ อุทายิํ เอตทโวจ – ‘‘อธิวาเสตุ กิร ภวํ อุทายี อมฺหากํ อาจริยภริยาย เวรหจฺจานิโคตฺตาย พฺราหฺมณิยา สฺวาตนาย ภตฺต’’นฺติฯ อธิวาเสสิ โข อายสฺมา อุทายี ตุณฺหีภาเวนฯ
‘‘Evamevaṃ pana tvaṃ, māṇavaka, samaṇassa udāyissa vaṇṇaṃ bhāsasi. Samaṇo panudāyī ‘bhaṇa, samaṇa, dhamma’nti vutto samāno ‘bhavissati, bhagini, samayo’ti vatvā uṭṭhāyāsanā pakkanto’’ti. ‘‘Tathā hi pana tvaṃ, bhoti, pādukā ārohitvā ucce āsane nisīditvā sīsaṃ oguṇṭhitvā etadavoca – ‘bhaṇa, samaṇa, dhamma’nti. Dhammagaruno hi te bhavanto dhammagāravā’’ti. ‘‘Tena hi tvaṃ, māṇavaka, mama vacanena samaṇaṃ udāyiṃ nimantehi svātanāya bhattenā’’ti. ‘‘Evaṃ, bhotī’’ti kho so māṇavako verahaccānigottāya brāhmaṇiyā paṭissutvā yenāyasmā udāyī tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā āyasmantaṃ udāyiṃ etadavoca – ‘‘adhivāsetu kira bhavaṃ udāyī amhākaṃ ācariyabhariyāya verahaccānigottāya brāhmaṇiyā svātanāya bhatta’’nti. Adhivāsesi kho āyasmā udāyī tuṇhībhāvena.
อถ โข อายสฺมา อุทายี ตสฺสา รตฺติยา อจฺจเยน ปุพฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย เยน เวรหจฺจานิโคตฺตาย พฺราหฺมณิยา นิเวสนํ เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ปญฺญเตฺต อาสเน นิสีทิฯ อถ โข เวรหจฺจานิโคตฺตา พฺราหฺมณี อายสฺมนฺตํ อุทายิํ ปณีเตน ขาทนีเยน โภชนีเยน สหตฺถา สนฺตเปฺปสิ สมฺปวาเรสิฯ อถ โข เวรหจฺจานิโคตฺตา พฺราหฺมณี อายสฺมนฺตํ อุทายิํ ภุตฺตาวิํ โอนีตปตฺตปาณิํ ปาทุกา โอโรหิตฺวา นีเจ อาสเน นิสีทิตฺวา สีสํ วิวริตฺวา อายสฺมนฺตํ อุทายิํ เอตทโวจ – ‘‘กิสฺมิํ นุ โข, ภเนฺต, สติ อรหโนฺต สุขทุกฺขํ ปญฺญเปนฺติ, กิสฺมิํ อสติ อรหโนฺต สุขทุกฺขํ น ปญฺญเปนฺตี’’ติ?
Atha kho āyasmā udāyī tassā rattiyā accayena pubbaṇhasamayaṃ nivāsetvā pattacīvaramādāya yena verahaccānigottāya brāhmaṇiyā nivesanaṃ tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā paññatte āsane nisīdi. Atha kho verahaccānigottā brāhmaṇī āyasmantaṃ udāyiṃ paṇītena khādanīyena bhojanīyena sahatthā santappesi sampavāresi. Atha kho verahaccānigottā brāhmaṇī āyasmantaṃ udāyiṃ bhuttāviṃ onītapattapāṇiṃ pādukā orohitvā nīce āsane nisīditvā sīsaṃ vivaritvā āyasmantaṃ udāyiṃ etadavoca – ‘‘kismiṃ nu kho, bhante, sati arahanto sukhadukkhaṃ paññapenti, kismiṃ asati arahanto sukhadukkhaṃ na paññapentī’’ti?
‘‘จกฺขุสฺมิํ โข, ภคินิ, สติ อรหโนฺต สุขทุกฺขํ ปญฺญเปนฺติ, จกฺขุสฺมิํ อสติ อรหโนฺต สุขทุกฺขํ น ปญฺญเปนฺติ…เป.… ชิวฺหาย สติ อรหโนฺต สุขทุกฺขํ ปญฺญเปนฺติ, ชิวฺหาย อสติ อรหโนฺต สุขทุกฺขํ น ปญฺญเปนฺติ…เป.…ฯ มนสฺมิํ สติ อรหโนฺต สุขทุกฺขํ ปญฺญเปนฺติ, มนสฺมิํ อสติ อรหโนฺต สุขทุกฺขํ น ปญฺญเปนฺตี’’ติฯ
‘‘Cakkhusmiṃ kho, bhagini, sati arahanto sukhadukkhaṃ paññapenti, cakkhusmiṃ asati arahanto sukhadukkhaṃ na paññapenti…pe… jivhāya sati arahanto sukhadukkhaṃ paññapenti, jivhāya asati arahanto sukhadukkhaṃ na paññapenti…pe…. Manasmiṃ sati arahanto sukhadukkhaṃ paññapenti, manasmiṃ asati arahanto sukhadukkhaṃ na paññapentī’’ti.
เอวํ วุเตฺต, เวรหจฺจานิโคตฺตา พฺราหฺมณี อายสฺมนฺตํ อุทายิํ เอตทโวจ – ‘‘อภิกฺกนฺตํ, ภเนฺต; อภิกฺกนฺตํ, ภเนฺต! เสยฺยถาปิ, ภเนฺต, นิกฺกุชฺชิตํ วา อุกฺกุเชฺชยฺย , ปฎิจฺฉนฺนํ วา วิวเรยฺย, มูฬฺหสฺส วา มคฺคํ อาจิเกฺขยฺย, อนฺธกาเร วา เตลปโชฺชตํ ธาเรยฺย, จกฺขุมโนฺต รูปานิ ทกฺขนฺตีติ; เอวเมวํ อเยฺยน อุทายินา อเนกปริยาเยน ธโมฺม ปกาสิโตฯ เอสาหํ, อยฺย อุทายิ, ตํ ภควนฺตํ สรณํ คจฺฉามิ, ธมฺมญฺจ, ภิกฺขุสงฺฆญฺจฯ อุปาสิกํ มํ อโยฺย อุทายี ธาเรตุ อชฺชตเคฺค ปาณุเปตํ สรณํ คต’’นฺติฯ ทสมํฯ
Evaṃ vutte, verahaccānigottā brāhmaṇī āyasmantaṃ udāyiṃ etadavoca – ‘‘abhikkantaṃ, bhante; abhikkantaṃ, bhante! Seyyathāpi, bhante, nikkujjitaṃ vā ukkujjeyya , paṭicchannaṃ vā vivareyya, mūḷhassa vā maggaṃ ācikkheyya, andhakāre vā telapajjotaṃ dhāreyya, cakkhumanto rūpāni dakkhantīti; evamevaṃ ayyena udāyinā anekapariyāyena dhammo pakāsito. Esāhaṃ, ayya udāyi, taṃ bhagavantaṃ saraṇaṃ gacchāmi, dhammañca, bhikkhusaṅghañca. Upāsikaṃ maṃ ayyo udāyī dhāretu ajjatagge pāṇupetaṃ saraṇaṃ gata’’nti. Dasamaṃ.
คหปติวโคฺค เตรสโมฯ
Gahapativaggo terasamo.
ตสฺสุทฺทานํ –
Tassuddānaṃ –
เวสาลี วชฺชิ นาฬนฺทา, ภารทฺวาช โสโณ จ โฆสิโต;
Vesālī vajji nāḷandā, bhāradvāja soṇo ca ghosito;
หาลิทฺทิโก นกุลปิตา, โลหิโจฺจ เวรหจฺจานีติฯ
Hāliddiko nakulapitā, lohicco verahaccānīti.
Footnotes:
Related texts:
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / สํยุตฺตนิกาย (อฎฺฐกถา) • Saṃyuttanikāya (aṭṭhakathā) / ๑๐. เวรหจฺจานิสุตฺตวณฺณนา • 10. Verahaccānisuttavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / สํยุตฺตนิกาย (ฎีกา) • Saṃyuttanikāya (ṭīkā) / ๑๐. เวรหจฺจานิสุตฺตวณฺณนา • 10. Verahaccānisuttavaṇṇanā