Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มหาวิภงฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvibhaṅga-aṭṭhakathā |
เวรญฺชกณฺฑวณฺณนา
Verañjakaṇḍavaṇṇanā
๑. อิทานิ
1. Idāni
‘‘เตนาติอาทิปาฐสฺส, อตฺถํ นานปฺปการโต;
‘‘Tenātiādipāṭhassa, atthaṃ nānappakārato;
ทสฺสยโนฺต กริสฺสามิ, วินยสฺสตฺถวณฺณน’’นฺติฯ
Dassayanto karissāmi, vinayassatthavaṇṇana’’nti.
วุตฺตตฺตา เตน สมเยน พุโทฺธ ภควาติอาทีนํ อตฺถวณฺณนํ กริสฺสามิฯ เสยฺยถิทํ – เตนาติ อนิยมนิเทฺทสวจนํฯ ตสฺส สรูเปน อวุเตฺตนปิ อปรภาเค อตฺถโต สิเทฺธน เยนาติ อิมินา วจเนน ปฎินิเทฺทโส กาตโพฺพฯ อปรภาเค หิ วินยปญฺญตฺติยาจนเหตุภูโต อายสฺมโต สาริปุตฺตสฺส ปริวิตโกฺก สิโทฺธฯ ตสฺมา เยน สมเยน โส ปริวิตโกฺก อุทปาทิ, เตน สมเยน พุโทฺธ ภควา เวรญฺชายํ วิหรตีติ เอวเมตฺถ สมฺพโนฺธ เวทิตโพฺพฯ อยญฺหิ สพฺพสฺมิมฺปิ วินเย ยุตฺติ, ยทิทํ ยตฺถ ยตฺถ ‘‘เตนา’’ติ วุจฺจติ ตตฺถ ตตฺถ ปุเพฺพ วา ปจฺฉา วา อตฺถโต สิเทฺธน ‘‘เยนา’’ติ อิมินา วจเนน ปฎินิเทฺทโส กาตโพฺพติฯ
Vuttattā tena samayena buddho bhagavātiādīnaṃ atthavaṇṇanaṃ karissāmi. Seyyathidaṃ – tenāti aniyamaniddesavacanaṃ. Tassa sarūpena avuttenapi aparabhāge atthato siddhena yenāti iminā vacanena paṭiniddeso kātabbo. Aparabhāge hi vinayapaññattiyācanahetubhūto āyasmato sāriputtassa parivitakko siddho. Tasmā yena samayena so parivitakko udapādi, tena samayena buddho bhagavā verañjāyaṃ viharatīti evamettha sambandho veditabbo. Ayañhi sabbasmimpi vinaye yutti, yadidaṃ yattha yattha ‘‘tenā’’ti vuccati tattha tattha pubbe vā pacchā vā atthato siddhena ‘‘yenā’’ti iminā vacanena paṭiniddeso kātabboti.
ตตฺริทํ มุขมตฺตนิทสฺสนํ – ‘‘เตน หิ, ภิกฺขเว, ภิกฺขูนํ สิกฺขาปทํ ปญฺญเปสฺสามิ, เยน สุทิโนฺน เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสวิ; ยสฺมา ปฎิเสวิ, ตสฺมา ปญฺญเปสฺสามี’’ติ วุตฺตํ โหติฯ เอวํ ตาว ปุเพฺพ อตฺถโต สิเทฺธน เยนาติ อิมินา วจเนน ปฎินิเทฺทโส ยุชฺชติฯ เตน สมเยน พุโทฺธ ภควา ราชคเห วิหรติ, เยน สมเยน ธนิโย กุมฺภการปุโตฺต รโญฺญ ทารูนิ อทินฺนํ อาทิยีติ เอวํ ปจฺฉา อตฺถโต สิเทฺธน เยนาติ อิมินา วจเนน ปฎินิเทฺทโส ยุชฺชตีติ วุโตฺต เตนาติ วจนสฺส อโตฺถฯ สมเยนาติ เอตฺถ ปน สมยสโทฺท ตาว –
Tatridaṃ mukhamattanidassanaṃ – ‘‘tena hi, bhikkhave, bhikkhūnaṃ sikkhāpadaṃ paññapessāmi, yena sudinno methunaṃ dhammaṃ paṭisevi; yasmā paṭisevi, tasmā paññapessāmī’’ti vuttaṃ hoti. Evaṃ tāva pubbe atthato siddhena yenāti iminā vacanena paṭiniddeso yujjati. Tena samayena buddho bhagavā rājagahe viharati, yena samayena dhaniyo kumbhakāraputto rañño dārūni adinnaṃ ādiyīti evaṃ pacchā atthato siddhena yenāti iminā vacanena paṭiniddeso yujjatīti vutto tenāti vacanassa attho. Samayenāti ettha pana samayasaddo tāva –
สมวาเย ขเณ กาเล, สมูเห เหตุ-ทิฎฺฐิสุ;
Samavāye khaṇe kāle, samūhe hetu-diṭṭhisu;
ปฎิลาเภ ปหาเน จ, ปฎิเวเธ จ ทิสฺสติฯ
Paṭilābhe pahāne ca, paṭivedhe ca dissati.
ตถา หิสฺส – ‘‘อเปฺปว นาม เสฺวปิ อุปสงฺกเมยฺยาม กาลญฺจ สมยญฺจ อุปาทายา’’ติ (ที. นิ. ๑.๔๔๗) เอวมาทีสุ สมวาโย อโตฺถฯ ‘‘เอโกว โข, ภิกฺขเว, ขโณ จ สมโย จ พฺรหฺมจริยวาสายา’’ติ (อ. นิ. ๘.๒๙) เอวมาทีสุ ขโณฯ ‘‘อุณฺหสมโย ปริฬาหสมโย’’ติ (ปาจิ. ๓๕๘) เอวมาทีสุ กาโลฯ ‘‘มหาสมโย ปวนสฺมิ’’นฺติ เอวมาทีสุ สมูโหฯ ‘‘สมโยปิ โข เต, ภทฺทาลิ, อปฺปฎิวิโทฺธ อโหสิ – ‘ภควา โข สาวตฺถิยํ วิหรติ, ภควาปิ มํ ชานิสฺสติ – ภทฺทาลิ นาม ภิกฺขุ สตฺถุสาสเน สิกฺขาย อปริปูรการี’ติ อยมฺปิ โข เต, ภทฺทาลิ, สมโย อปฺปฎิวิโทฺธ อโหสี’’ติ (ม. นิ. ๒.๑๓๕) เอวมาทีสุ เหตุฯ ‘‘เตน โข ปน สมเยน อุคฺคหมาโน ปริพฺพาชโก สมณมุณฺฑิกาปุโตฺต สมยปฺปวาทเก ตินฺทุกาจีเร เอกสาลเก มลฺลิกาย อาราเม ปฎิวสตี’’ติ (ม. นิ. ๒.๒๖๐) เอวมาทีสุ ทิฎฺฐิฯ
Tathā hissa – ‘‘appeva nāma svepi upasaṅkameyyāma kālañca samayañca upādāyā’’ti (dī. ni. 1.447) evamādīsu samavāyo attho. ‘‘Ekova kho, bhikkhave, khaṇo ca samayo ca brahmacariyavāsāyā’’ti (a. ni. 8.29) evamādīsu khaṇo. ‘‘Uṇhasamayo pariḷāhasamayo’’ti (pāci. 358) evamādīsu kālo. ‘‘Mahāsamayo pavanasmi’’nti evamādīsu samūho. ‘‘Samayopi kho te, bhaddāli, appaṭividdho ahosi – ‘bhagavā kho sāvatthiyaṃ viharati, bhagavāpi maṃ jānissati – bhaddāli nāma bhikkhu satthusāsane sikkhāya aparipūrakārī’ti ayampi kho te, bhaddāli, samayo appaṭividdho ahosī’’ti (ma. ni. 2.135) evamādīsu hetu. ‘‘Tena kho pana samayena uggahamāno paribbājako samaṇamuṇḍikāputto samayappavādake tindukācīre ekasālake mallikāya ārāme paṭivasatī’’ti (ma. ni. 2.260) evamādīsu diṭṭhi.
‘‘ทิเฎฺฐ ธเมฺม จ โย อโตฺถ, โย จโตฺถ สมฺปรายิโก;
‘‘Diṭṭhe dhamme ca yo attho, yo cattho samparāyiko;
อตฺถาภิสมยา ธีโร, ปณฺฑิโตติ ปวุจฺจตี’’ติฯ (สํ. นิ. ๑.๑๒๙);
Atthābhisamayā dhīro, paṇḍitoti pavuccatī’’ti. (saṃ. ni. 1.129);
เอวมาทีสุ ปฎิลาโภฯ ‘‘สมฺมา มานาภิสมยา อนฺตมกาสิ ทุกฺขสฺสา’’ติ (ม. นิ. ๑.๒๘) เอวมาทีสุ ปหานํฯ ‘‘ทุกฺขสฺส ปีฬนโฎฺฐ สงฺขตโฎฺฐ สนฺตาปโฎฺฐ วิปริณามโฎฺฐ อภิสมยโฎฺฐ’’ติ (ปฎิ. ม. ๒.๘) เอวมาทีสุ ปฎิเวโธ อโตฺถฯ อิธ ปนสฺส กาโล อโตฺถฯ ตสฺมา เยน กาเลน อายสฺมโต สาริปุตฺตสฺส วินยปญฺญตฺติยาจนเหตุภูโต ปริวิตโกฺก อุทปาทิ, เตน กาเลนาติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ
Evamādīsu paṭilābho. ‘‘Sammā mānābhisamayā antamakāsi dukkhassā’’ti (ma. ni. 1.28) evamādīsu pahānaṃ. ‘‘Dukkhassa pīḷanaṭṭho saṅkhataṭṭho santāpaṭṭho vipariṇāmaṭṭho abhisamayaṭṭho’’ti (paṭi. ma. 2.8) evamādīsu paṭivedho attho. Idha panassa kālo attho. Tasmā yena kālena āyasmato sāriputtassa vinayapaññattiyācanahetubhūto parivitakko udapādi, tena kālenāti evamettha attho daṭṭhabbo.
เอตฺถาห – ‘‘อถ กสฺมา ยถา สุตฺตเนฺต ‘เอกํ สมย’นฺติ อุปโยควจเนน นิเทฺทโส กโต, อภิธเมฺม จ ‘ยสฺมิํ สมเย กามาวจร’นฺติ ภุมฺมวจเนน, ตถา อกตฺวา อิธ ‘เตน สมเยนา’ติ กรณวจเนน นิเทฺทโส กโต’’ติ? ตตฺถ ตถา, อิธ จ อญฺญถา อตฺถสมฺภวโตฯ กถํ? สุตฺตเนฺต ตาว อจฺจนฺตสํโยคโตฺถ สมฺภวติฯ ยญฺหิ สมยํ ภควา พฺรหฺมชาลาทีนิ สุตฺตนฺตานิ เทเสสิ, อจฺจนฺตเมว ตํ สมยํ กรุณาวิหาเรน วิหาสิ; ตสฺมา ตทตฺถโชตนตฺถํ ตตฺถ อุปโยคนิเทฺทโส กโตฯ อภิธเมฺม จ อธิกรณโตฺถ ภาเวนภาวลกฺขณโตฺถ จ สมฺภวติฯ อธิกรณญฺหิ กาลโตฺถ สมูหโตฺถ จ สมโย, ตตฺถ วุตฺตานํ ผสฺสาทิธมฺมานํ ขณสมวายเหตุสงฺขาตสฺส จ สมยสฺส ภาเวน เตสํ ภาโว ลกฺขิยติฯ ตสฺมา ตทตฺถโชตนตฺถํ ตตฺถ ภุมฺมวจเนน นิเทฺทโส กโตฯ อิธ ปน เหตุอโตฺถ กรณโตฺถ จ สมฺภวติฯ โย หิ โส สิกฺขาปทปญฺญตฺติสมโย สาริปุตฺตาทีหิปิ ทุพฺพิเญฺญโยฺย, เตน สมเยน เหตุภูเตน กรณภูเตน จ สิกฺขาปทานิ ปญฺญาปยโนฺต สิกฺขาปทปญฺญตฺติเหตุญฺจ อเปกฺขมาโน ภควา ตตฺถ ตตฺถ วิหาสิ; ตสฺมา ตทตฺถโชตนตฺถํ อิธ กรณวจเนน นิเทฺทโส กโตติ เวทิตโพฺพฯ โหติ เจตฺถ –
Etthāha – ‘‘atha kasmā yathā suttante ‘ekaṃ samaya’nti upayogavacanena niddeso kato, abhidhamme ca ‘yasmiṃ samaye kāmāvacara’nti bhummavacanena, tathā akatvā idha ‘tena samayenā’ti karaṇavacanena niddeso kato’’ti? Tattha tathā, idha ca aññathā atthasambhavato. Kathaṃ? Suttante tāva accantasaṃyogattho sambhavati. Yañhi samayaṃ bhagavā brahmajālādīni suttantāni desesi, accantameva taṃ samayaṃ karuṇāvihārena vihāsi; tasmā tadatthajotanatthaṃ tattha upayoganiddeso kato. Abhidhamme ca adhikaraṇattho bhāvenabhāvalakkhaṇattho ca sambhavati. Adhikaraṇañhi kālattho samūhattho ca samayo, tattha vuttānaṃ phassādidhammānaṃ khaṇasamavāyahetusaṅkhātassa ca samayassa bhāvena tesaṃ bhāvo lakkhiyati. Tasmā tadatthajotanatthaṃ tattha bhummavacanena niddeso kato. Idha pana hetuattho karaṇattho ca sambhavati. Yo hi so sikkhāpadapaññattisamayo sāriputtādīhipi dubbiññeyyo, tena samayena hetubhūtena karaṇabhūtena ca sikkhāpadāni paññāpayanto sikkhāpadapaññattihetuñca apekkhamāno bhagavā tattha tattha vihāsi; tasmā tadatthajotanatthaṃ idha karaṇavacanena niddeso katoti veditabbo. Hoti cettha –
‘‘อุปโยเคน ภุเมฺมน, ตํ ตํ อตฺถมเปกฺขิย;
‘‘Upayogena bhummena, taṃ taṃ atthamapekkhiya;
อญฺญตฺร สมโย วุโตฺต, กรเณเนว โส อิธา’’ติฯ
Aññatra samayo vutto, karaṇeneva so idhā’’ti.
โปราณา ปน วณฺณยนฺติ – ‘เอกํ สมย’นฺติ วา ‘ยสฺมิํ สมเย’ติ วา ‘เตน สมเยนา’ติ วา อภิลาปมตฺตเภโท เอส, สพฺพตฺถ ภุมฺมเมว อโตฺถ’’ติฯ ตสฺมา เตสํ ลทฺธิยา ‘‘เตน สมเยนา’’ติ วุเตฺตปิ ‘‘ตสฺมิํ สมเย’’ติ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
Porāṇā pana vaṇṇayanti – ‘ekaṃ samaya’nti vā ‘yasmiṃ samaye’ti vā ‘tena samayenā’ti vā abhilāpamattabhedo esa, sabbattha bhummameva attho’’ti. Tasmā tesaṃ laddhiyā ‘‘tena samayenā’’ti vuttepi ‘‘tasmiṃ samaye’’ti attho veditabbo.
พุโทฺธ ภควาติ อิเมสํ ปทานํ ปรโต อตฺถํ วณฺณยิสฺสามฯ เวรญฺชายํ วิหรตีติ เอตฺถ ปน เวรญฺชาติ อญฺญตรสฺส นครเสฺสตํ อธิวจนํ, ตสฺสํ เวรญฺชายํ; สมีปเตฺถ ภุมฺมวจนํฯ วิหรตีติ อวิเสเสน อิริยาปถทิพฺพพฺรหฺมอริยวิหาเรสุ อญฺญตรวิหารสมงฺคีปริทีปนเมตํ, อิธ ปน ฐานคมนนิสชฺชาสยนปฺปเภเทสุออิริยาปเถสุ อญฺญตรอิริยาปถสมาโยคปริทีปนํ, เตน ฐิโตปิ คจฺฉโนฺตปิ นิสิโนฺนปิ สยาโนปิ ภควา วิหรติเจฺจว เวทิตโพฺพฯ โส หิ เอกํ อิริยาปถพาธนํ อเญฺญน อิริยาปเถน วิจฺฉินฺทิตฺวา อปริปตนฺตํ อตฺตภาวํ หรติ ปวเตฺตติ, ตสฺมา ‘‘วิหรตี’’ติ วุจฺจติฯ
Buddho bhagavāti imesaṃ padānaṃ parato atthaṃ vaṇṇayissāma. Verañjāyaṃ viharatīti ettha pana verañjāti aññatarassa nagarassetaṃ adhivacanaṃ, tassaṃ verañjāyaṃ; samīpatthe bhummavacanaṃ. Viharatīti avisesena iriyāpathadibbabrahmaariyavihāresu aññataravihārasamaṅgīparidīpanametaṃ, idha pana ṭhānagamananisajjāsayanappabhedesuairiyāpathesu aññatarairiyāpathasamāyogaparidīpanaṃ, tena ṭhitopi gacchantopi nisinnopi sayānopi bhagavā viharaticceva veditabbo. So hi ekaṃ iriyāpathabādhanaṃ aññena iriyāpathena vicchinditvā aparipatantaṃ attabhāvaṃ harati pavatteti, tasmā ‘‘viharatī’’ti vuccati.
นเฬรุปุจิมนฺทมูเลติ เอตฺถ นเฬรุ นาม ยโกฺข, ปุจิมโนฺทติ นิมฺพรุโกฺข, มูลนฺติ สมีปํฯ อยญฺหิ มูลสโทฺท ‘‘มูลานิ อุทฺธเรยฺย อนฺตมโส อุสีรนาฬิมตฺตานิปี’’ติ (อ. นิ. ๔.๑๙๕) -อาทีสุ มูลมูเล ทิสฺสติฯ ‘‘โลโภ อกุสลมูล’’นฺติ (ที. นิ. ๓.๓๐๕) -อาทีสุ อสาธารณเหตุมฺหิฯ ‘‘ยาว มชฺฌนฺหิเก กาเล ฉายา ผรติ, นิวาเต ปณฺณานิ ปตนฺติ, เอตฺตาวตา รุกฺขมูล’’นฺติอาทีสุ สมีเปฯ อิธ ปน สมีเป อธิเปฺปโต, ตสฺมา นเฬรุยเกฺขน อธิคฺคหิตสฺส ปุจิมนฺทสฺส สมีเปติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ โส กิร ปุจิมโนฺท รมณีโย ปาสาทิโก อเนเกสํ รุกฺขานํ อาธิปจฺจํ วิย กุรุมาโน ตสฺส นครสฺส อวิทูเร คมนาคมนสมฺปเนฺน ฐาเน อโหสิฯ อถ ภควา เวรญฺชํ คนฺตฺวา ปติรูเป ฐาเน วิหรโนฺต ตสฺส รุกฺขสฺส สมีเป เหฎฺฐาภาเค วิหาสิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘เวรญฺชายํ วิหรติ นเฬรุปุจิมนฺทมูเล’’ติฯ
Naḷerupucimandamūleti ettha naḷeru nāma yakkho, pucimandoti nimbarukkho, mūlanti samīpaṃ. Ayañhi mūlasaddo ‘‘mūlāni uddhareyya antamaso usīranāḷimattānipī’’ti (a. ni. 4.195) -ādīsu mūlamūle dissati. ‘‘Lobho akusalamūla’’nti (dī. ni. 3.305) -ādīsu asādhāraṇahetumhi. ‘‘Yāva majjhanhike kāle chāyā pharati, nivāte paṇṇāni patanti, ettāvatā rukkhamūla’’ntiādīsu samīpe. Idha pana samīpe adhippeto, tasmā naḷeruyakkhena adhiggahitassa pucimandassa samīpeti evamettha attho daṭṭhabbo. So kira pucimando ramaṇīyo pāsādiko anekesaṃ rukkhānaṃ ādhipaccaṃ viya kurumāno tassa nagarassa avidūre gamanāgamanasampanne ṭhāne ahosi. Atha bhagavā verañjaṃ gantvā patirūpe ṭhāne viharanto tassa rukkhassa samīpe heṭṭhābhāge vihāsi. Tena vuttaṃ – ‘‘verañjāyaṃ viharati naḷerupucimandamūle’’ti.
ตตฺถ สิยา ยทิ ตาว ภควา เวรญฺชายํ วิหรติ, ‘‘นเฬรุปุจิมนฺทมูเล’’ติ น วตฺตพฺพํ, อถ ตตฺถ วิหรติ, ‘‘เวรญฺชาย’’นฺติ น วตฺตพฺพํ, น หิ สกฺกา อุภยตฺถ เตเนว สมเยน อปุพฺพํ อจริมํ วิหริตุนฺติ? น โข ปเนตํ เอวํ ทฎฺฐพฺพํ, นนุ อโวจุมฺห ‘‘สมีปเตฺถ ภุมฺมวจน’’นฺติฯ ตสฺมา ยถา คงฺคายมุนาทีนํ สมีเป โคยูถานิ จรนฺตานิ ‘‘คงฺคาย จรนฺติ, ยมุนาย จรนฺตี’’ติ วุจฺจนฺติ; เอวมิธาปิ ยทิทํ เวรญฺชาย สมีเป นเฬรุปุจิมนฺทมูลํ ตตฺถ วิหรโนฺต วุจฺจติ ‘‘เวรญฺชายํ วิหรติ นเฬรุปุจิมนฺทมูเล’’ติฯ โคจรคามนิทสฺสนตฺถํ หิสฺส เวรญฺชาวจนํฯ ปพฺพชิตานุรูปนิวาสนฎฺฐานนิทสฺสนตฺถํ นเฬรุปุจิมนฺทมูลวจนํฯ
Tattha siyā yadi tāva bhagavā verañjāyaṃ viharati, ‘‘naḷerupucimandamūle’’ti na vattabbaṃ, atha tattha viharati, ‘‘verañjāya’’nti na vattabbaṃ, na hi sakkā ubhayattha teneva samayena apubbaṃ acarimaṃ viharitunti? Na kho panetaṃ evaṃ daṭṭhabbaṃ, nanu avocumha ‘‘samīpatthe bhummavacana’’nti. Tasmā yathā gaṅgāyamunādīnaṃ samīpe goyūthāni carantāni ‘‘gaṅgāya caranti, yamunāya carantī’’ti vuccanti; evamidhāpi yadidaṃ verañjāya samīpe naḷerupucimandamūlaṃ tattha viharanto vuccati ‘‘verañjāyaṃ viharati naḷerupucimandamūle’’ti. Gocaragāmanidassanatthaṃ hissa verañjāvacanaṃ. Pabbajitānurūpanivāsanaṭṭhānanidassanatthaṃ naḷerupucimandamūlavacanaṃ.
ตตฺถ เวรญฺชากิตฺตเนน อายสฺมา อุปาลิเตฺถโร ภควโต คหฎฺฐานุคฺคหกรณํ ทเสฺสติ, นเฬรุปุจิมนฺทมูลกิตฺตเนน ปพฺพชิตานุคฺคหกรณํ, ตถา ปุริเมน ปจฺจยคฺคหณโต อตฺตกิลมถานุโยควิวชฺชนํ, ปจฺฉิเมน วตฺถุกามปฺปหานโต กามสุขลฺลิกานุโยควิวชฺชนุปายทสฺสนํ; ปุริเมน จ ธมฺมเทสนาภิโยคํ, ปจฺฉิเมน วิเวกาธิมุตฺติํ; ปุริเมน กรุณาย อุปคมนํ , ปจฺฉิเมน ปญฺญาย อปคมนํ; ปุริเมน สตฺตานํ หิตสุขนิปฺผาทนาธิมุตฺตตํ, ปจฺฉิเมน ปรหิตสุขกรเณ นิรุปเลปนํ; ปุริเมน ธมฺมิกสุขาปริจฺจาคนิมิตฺตํ ผาสุวิหารํ, ปจฺฉิเมน อุตฺตริมนุสฺสธมฺมานุโยคนิมิตฺตํ; ปุริเมน มนุสฺสานํ อุปการพหุลตํ, ปจฺฉิเมน เทวตานํ; ปุริเมน โลเก ชาตสฺส โลเก สํวฑฺฒภาวํ, ปจฺฉิเมน โลเกน อนุปลิตฺตตํ; ปุริเมน ‘‘เอกปุคฺคโล, ภิกฺขเว, โลเก อุปฺปชฺชมาโน อุปฺปชฺชติ พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย อตฺถาย หิตาย สุขาย เทวมนุสฺสานํฯ กตโม เอกปุคฺคโล? ตถาคโต อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ’’ติ (อ. นิ. ๑.๑๗๐) วจนโต ยทตฺถํ ภควา อุปฺปโนฺน ตทตฺถปรินิปฺผาทนํ, ปจฺฉิเมน ยตฺถ อุปฺปโนฺน ตทนุรูปวิหารํฯ ภควา หิ ปฐมํ ลุมฺพินีวเน, ทุติยํ โพธิมเณฺฑติ โลกิยโลกุตฺตราย อุปฺปตฺติยา วเนเยว อุปฺปโนฺน, เตนสฺส วเนเยว วิหารํ ทเสฺสตีติ เอวมาทินา นเยเนตฺถ อตฺถโยชนา เวทิตพฺพาฯ
Tattha verañjākittanena āyasmā upālitthero bhagavato gahaṭṭhānuggahakaraṇaṃ dasseti, naḷerupucimandamūlakittanena pabbajitānuggahakaraṇaṃ, tathā purimena paccayaggahaṇato attakilamathānuyogavivajjanaṃ, pacchimena vatthukāmappahānato kāmasukhallikānuyogavivajjanupāyadassanaṃ; purimena ca dhammadesanābhiyogaṃ, pacchimena vivekādhimuttiṃ; purimena karuṇāya upagamanaṃ , pacchimena paññāya apagamanaṃ; purimena sattānaṃ hitasukhanipphādanādhimuttataṃ, pacchimena parahitasukhakaraṇe nirupalepanaṃ; purimena dhammikasukhāpariccāganimittaṃ phāsuvihāraṃ, pacchimena uttarimanussadhammānuyoganimittaṃ; purimena manussānaṃ upakārabahulataṃ, pacchimena devatānaṃ; purimena loke jātassa loke saṃvaḍḍhabhāvaṃ, pacchimena lokena anupalittataṃ; purimena ‘‘ekapuggalo, bhikkhave, loke uppajjamāno uppajjati bahujanahitāya bahujanasukhāya lokānukampāya atthāya hitāya sukhāya devamanussānaṃ. Katamo ekapuggalo? Tathāgato arahaṃ sammāsambuddho’’ti (a. ni. 1.170) vacanato yadatthaṃ bhagavā uppanno tadatthaparinipphādanaṃ, pacchimena yattha uppanno tadanurūpavihāraṃ. Bhagavā hi paṭhamaṃ lumbinīvane, dutiyaṃ bodhimaṇḍeti lokiyalokuttarāya uppattiyā vaneyeva uppanno, tenassa vaneyeva vihāraṃ dassetīti evamādinā nayenettha atthayojanā veditabbā.
มหตา ภิกฺขุสเงฺฆน สทฺธินฺติ เอตฺถ มหตาติ คุณมหเตฺตนปิ มหตา; สงฺขฺยามหเตฺตนปิ, โส หิ ภิกฺขุสโงฺฆ คุเณหิปิ มหา อโหสิ, ยสฺมา โย ตตฺถ ปจฺฉิมโก โส โสตาปโนฺน; สงฺขฺยายปิ มหา ปญฺจสตสงฺขฺยตฺตาฯ ภิกฺขูนํ สเงฺฆน ภิกฺขุสเงฺฆน; ทิฎฺฐิสีลสามญฺญสงฺขาตสงฺฆาเตน สมณคเณนาติ อโตฺถฯ สทฺธินฺติ เอกโตฯ ปญฺจมเตฺตหิ ภิกฺขุสเตหีติ ปญฺจ มตฺตา เอเตสนฺติ ปญฺจมตฺตานิฯ มตฺตาติ ปมาณํ วุจฺจติฯ ตสฺมา ยถา ‘‘โภชเน มตฺตญฺญู’’ติ วุเตฺต โภชเน มตฺตํ ชานาติ, ปมาณํ ชานาตีติ อโตฺถ โหติ; เอวมิธาปิ เตสํ ภิกฺขุสตานํ ปญฺจ มตฺตา ปญฺจปฺปมาณนฺติ เอวมโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ ภิกฺขูนํ สตานิ ภิกฺขุสตานิ, เตหิ ปญฺจมเตฺตหิ ภิกฺขุสเตหิฯ เอเตน ยํ วุตฺตํ – ‘‘มหตา ภิกฺขุสเงฺฆน สทฺธิ’’นฺติ, เอตฺถ ตสฺส มหโต ภิกฺขุสงฺฆสฺส สงฺขฺยามหตฺตํ ทสฺสิตํ โหติฯ ปรโต ปนสฺส ‘‘นิรพฺพุโท หิ, สาริปุตฺต ภิกฺขุสโงฺฆ นิราทีนโว อปคตกาฬโก สุโทฺธ สาเร ปติฎฺฐิโตฯ อิเมสญฺหิ, สาริปุตฺต, ปญฺจนฺนํ ภิกฺขุสตานํ โย ปจฺฉิมโก โส โสตาปโนฺน’’ติ วจเนน คุณมหตฺตํ อาวิภวิสฺสติฯ
Mahatābhikkhusaṅghena saddhinti ettha mahatāti guṇamahattenapi mahatā; saṅkhyāmahattenapi, so hi bhikkhusaṅgho guṇehipi mahā ahosi, yasmā yo tattha pacchimako so sotāpanno; saṅkhyāyapi mahā pañcasatasaṅkhyattā. Bhikkhūnaṃ saṅghena bhikkhusaṅghena; diṭṭhisīlasāmaññasaṅkhātasaṅghātena samaṇagaṇenāti attho. Saddhinti ekato. Pañcamattehi bhikkhusatehīti pañca mattā etesanti pañcamattāni. Mattāti pamāṇaṃ vuccati. Tasmā yathā ‘‘bhojane mattaññū’’ti vutte bhojane mattaṃ jānāti, pamāṇaṃ jānātīti attho hoti; evamidhāpi tesaṃ bhikkhusatānaṃ pañca mattā pañcappamāṇanti evamattho daṭṭhabbo. Bhikkhūnaṃ satāni bhikkhusatāni, tehi pañcamattehi bhikkhusatehi. Etena yaṃ vuttaṃ – ‘‘mahatā bhikkhusaṅghena saddhi’’nti, ettha tassa mahato bhikkhusaṅghassa saṅkhyāmahattaṃ dassitaṃ hoti. Parato panassa ‘‘nirabbudo hi, sāriputta bhikkhusaṅgho nirādīnavo apagatakāḷako suddho sāre patiṭṭhito. Imesañhi, sāriputta, pañcannaṃ bhikkhusatānaṃ yo pacchimako so sotāpanno’’ti vacanena guṇamahattaṃ āvibhavissati.
อโสฺสสิ โข เวรโญฺช พฺราหฺมโณติ อโสฺสสีติ สุณิ อุปลภิ, โสตทฺวารสมฺปตฺตวจนนิโคฺฆสานุสาเรน อญฺญาสิฯ โขติ ปทปูรณมเตฺต อวธารณเตฺถ วา นิปาโตฯ ตตฺถ อวธารณเตฺถน อโสฺสสิ เอว, นาสฺส โกจิ สวนนฺตราโย อโหสีติ อยมโตฺถ เวทิตโพฺพฯ ปทปูรเณน ปน พฺยญฺชนสิลิฎฺฐตามตฺตเมวฯ เวรญฺชายํ ชาโต, เวรญฺชายํ ภโว, เวรญฺชา วา อสฺส นิวาโสติ เวรโญฺชฯ มาตาปิตูหิ กตนามวเสน ปนายํ ‘‘อุทโย’’ติ วุจฺจติฯ พฺรหฺมํ อณตีติ พฺราหฺมโณ, มเนฺต สชฺฌายตีติ อโตฺถฯ อิทเมว หิ ชาติพฺราหฺมณานํ นิรุตฺติวจนํฯ อริยา ปน พาหิตปาปตฺตา ‘‘พฺราหฺมณา’’ติ วุจฺจนฺติฯ
Assosi kho verañjo brāhmaṇoti assosīti suṇi upalabhi, sotadvārasampattavacananigghosānusārena aññāsi. Khoti padapūraṇamatte avadhāraṇatthe vā nipāto. Tattha avadhāraṇatthena assosi eva, nāssa koci savanantarāyo ahosīti ayamattho veditabbo. Padapūraṇena pana byañjanasiliṭṭhatāmattameva. Verañjāyaṃ jāto, verañjāyaṃ bhavo, verañjā vā assa nivāsoti verañjo. Mātāpitūhi katanāmavasena panāyaṃ ‘‘udayo’’ti vuccati. Brahmaṃ aṇatīti brāhmaṇo, mante sajjhāyatīti attho. Idameva hi jātibrāhmaṇānaṃ niruttivacanaṃ. Ariyā pana bāhitapāpattā ‘‘brāhmaṇā’’ti vuccanti.
อิทานิ ยมตฺถํ เวรโญฺช พฺราหฺมโณ อโสฺสสิ, ตํ ปกาเสโนฺต สมโณ ขลุ โภ โคตโมติอาทิมาหฯ ตตฺถ สมิตปาปตฺตา สมโณติ เวทิตโพฺพฯ วุตฺตํ เหตํ – ‘‘พาหิตปาโปติ พฺราหฺมโณ (ธ. ป. ๓๘๘), สมิตปาปตฺตา สมโณติ วุจฺจตี’’ติ (ธ. ป. ๒๖๕)ฯ ภควา จ อนุตฺตเรน อริยมเคฺคน สมิตปาโป, เตนสฺส ยถาภุจฺจคุณาธิคตเมตํ นามํ ยทิทํ สมโณติฯ ขลูติ อนุสฺสวนเตฺถ นิปาโตฯ โภติ พฺราหฺมณชาติกานํ ชาติสมุทาคตํ อาลปนมตฺตํฯ วุตฺตมฺปิ เหตํ –
Idāni yamatthaṃ verañjo brāhmaṇo assosi, taṃ pakāsento samaṇo khalu bho gotamotiādimāha. Tattha samitapāpattā samaṇoti veditabbo. Vuttaṃ hetaṃ – ‘‘bāhitapāpoti brāhmaṇo (dha. pa. 388), samitapāpattā samaṇoti vuccatī’’ti (dha. pa. 265). Bhagavā ca anuttarena ariyamaggena samitapāpo, tenassa yathābhuccaguṇādhigatametaṃ nāmaṃ yadidaṃ samaṇoti. Khalūti anussavanatthe nipāto. Bhoti brāhmaṇajātikānaṃ jātisamudāgataṃ ālapanamattaṃ. Vuttampi hetaṃ –
‘‘โภวาที นามโส โหติ, สเจ โหติ สกิญฺจโน’’ติฯ (ธ. ป. ๓๙๖; สุ. นิ. ๖๒๕)ฯ โคตโมติ ภควนฺตํ โคตฺตวเสน ปริกิเตฺตติ, ตสฺมา ‘‘สมโณ ขลุ โภ โคตโม’’ติ เอตฺถ สมโณ กิร โภ โคตมโคโตฺตติ เอวมโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ สกฺยปุโตฺตติ อิทํ ปน ภควโต อุจฺจากุลปริทีปนํฯ สกฺยกุลา ปพฺพชิโตติ สทฺธาปพฺพชิตภาวปริทีปนํ, เกนจิ ปาริชุเญฺญน อนภิภูโต อปริกฺขีณํเยว, ตํ กุลํ ปหาย สทฺธาย ปพฺพชิโตติ วุตฺตํ โหติฯ ตโต ปรํ วุตฺตตฺถเมวฯ ตํ โข ปนาติ อิตฺถมฺภูตาขฺยานเตฺถ อุปโยควจนํ, ตสฺส โข ปน โภโต โคตมสฺสาติ อโตฺถฯ กลฺยาโณติ กลฺยาณคุณสมนฺนาคโต; เสโฎฺฐติ วุตฺตํ โหติฯ กิตฺติสโทฺทติ กิตฺติ เอว, ถุติโฆโส วาฯ
‘‘Bhovādī nāmaso hoti, sace hoti sakiñcano’’ti. (Dha. pa. 396; su. ni. 625). Gotamoti bhagavantaṃ gottavasena parikitteti, tasmā ‘‘samaṇo khalu bho gotamo’’ti ettha samaṇo kira bho gotamagottoti evamattho daṭṭhabbo. Sakyaputtoti idaṃ pana bhagavato uccākulaparidīpanaṃ. Sakyakulā pabbajitoti saddhāpabbajitabhāvaparidīpanaṃ, kenaci pārijuññena anabhibhūto aparikkhīṇaṃyeva, taṃ kulaṃ pahāya saddhāya pabbajitoti vuttaṃ hoti. Tato paraṃ vuttatthameva. Taṃ kho panāti itthambhūtākhyānatthe upayogavacanaṃ, tassa kho pana bhoto gotamassāti attho. Kalyāṇoti kalyāṇaguṇasamannāgato; seṭṭhoti vuttaṃ hoti. Kittisaddoti kitti eva, thutighoso vā.
อิติปิ โส ภควาติอาทีสุ ปน อยํ ตาว โยชนา – โส ภควา อิติปิ อรหํ, อิติปิ สมฺมาสมฺพุโทฺธ…เป.… อิติปิ ภควาติ อิมินา จ อิมินา จ การเณนาติ วุตฺตํ โหติฯ
Itipi so bhagavātiādīsu pana ayaṃ tāva yojanā – so bhagavā itipi arahaṃ, itipi sammāsambuddho…pe… itipi bhagavāti iminā ca iminā ca kāraṇenāti vuttaṃ hoti.
อิทานิ วินยธรานํ สุตฺตนฺตนยโกสลฺลตฺถํ วินยสํวณฺณนารเมฺภ พุทฺธคุณปฎิสํยุตฺตาย ธมฺมิยา กถาย จิตฺตสมฺปหํสนตฺถญฺจ เอเตสํ ปทานํ วิตฺถารนเยน วณฺณนํ กริสฺสามิฯ ตสฺมา ยํ วุตฺตํ – ‘‘โส ภควา อิติปิ อรห’’นฺติอาทิ; ตตฺถ อารกตฺตา, อรีนํ อรานญฺจ หตตฺตา, ปจฺจยาทีนํ อรหตฺตา, ปาปกรเณ รหาภาวาติ อิเมหิ ตาว การเณหิ โส ภควา อรหนฺติ เวทิตโพฺพฯ อารกา หิ โส สพฺพกิเลเสหิ สุวิทูรวิทูเร ฐิโต, มเคฺคน สวาสนานํ กิเลสานํ วิทฺธํสิตตฺตาติ อารกตฺตา อรหํ; เต จาเนน กิเลสารโย มเคฺคน หตาติ อรีนํ หตตฺตาปิ อรหํฯ ยเญฺจตํ อวิชฺชาภวตณฺหามยนาภิปุญฺญาทิอภิสงฺขารารํ ชรามรณเนมิ อาสวสมุทยมเยน อเกฺขน วิชฺฌิตฺวา ติภวรเถ สมาโยชิตํ อนาทิกาลปฺปวตฺตํ สํสารจกฺกํ, ตสฺสาเนน โพธิมเณฺฑ วีริยปาเทหิ สีลปถวิยํ ปติฎฺฐาย สทฺธาหเตฺถน กมฺมกฺขยกรํ ญาณผรสุํ คเหตฺวา สเพฺพ อรา หตาติ อรานํ หตตฺตาปิ อรหํฯ
Idāni vinayadharānaṃ suttantanayakosallatthaṃ vinayasaṃvaṇṇanārambhe buddhaguṇapaṭisaṃyuttāya dhammiyā kathāya cittasampahaṃsanatthañca etesaṃ padānaṃ vitthāranayena vaṇṇanaṃ karissāmi. Tasmā yaṃ vuttaṃ – ‘‘so bhagavā itipi araha’’ntiādi; tattha ārakattā, arīnaṃ arānañca hatattā, paccayādīnaṃ arahattā, pāpakaraṇe rahābhāvāti imehi tāva kāraṇehi so bhagavā arahanti veditabbo. Ārakā hi so sabbakilesehi suvidūravidūre ṭhito, maggena savāsanānaṃ kilesānaṃ viddhaṃsitattāti ārakattā arahaṃ; te cānena kilesārayo maggena hatāti arīnaṃ hatattāpi arahaṃ. Yañcetaṃ avijjābhavataṇhāmayanābhipuññādiabhisaṅkhārāraṃ jarāmaraṇanemi āsavasamudayamayena akkhena vijjhitvā tibhavarathe samāyojitaṃ anādikālappavattaṃ saṃsāracakkaṃ, tassānena bodhimaṇḍe vīriyapādehi sīlapathaviyaṃ patiṭṭhāya saddhāhatthena kammakkhayakaraṃ ñāṇapharasuṃ gahetvā sabbe arā hatāti arānaṃ hatattāpi arahaṃ.
อถ วา สํสารจกฺกนฺติ อนมตคฺคสํสารวฎฺฎํ วุจฺจติ, ตสฺส จ อวิชฺชา นาภิ, มูลตฺตา; ชรามรณํ เนมิ, ปริโยสานตฺตา; เสสา ทส ธมฺมา อรา, อวิชฺชามูลกตฺตา ชรามรณปริยนฺตตฺตา จฯ ตตฺถ ทุกฺขาทีสุ อญฺญาณํ อวิชฺชา, กามภเว จ อวิชฺชา กามภเว สงฺขารานํ ปจฺจโย โหติฯ รูปภเว อวิชฺชา รูปภเว สงฺขารานํ ปจฺจโย โหติฯ อรูปภเว อวิชฺชา อรูปภเว สงฺขารานํ ปจฺจโย โหติฯ กามภเว สงฺขารา กามภเว ปฎิสนฺธิวิญฺญาณสฺส ปจฺจยา โหนฺติฯ เอส นโย อิตเรสุฯ กามภเว ปฎิสนฺธิวิญฺญาณํ กามภเว นามรูปสฺส ปจฺจโย โหติ, ตถา รูปภเวฯ อรูปภเว นามเสฺสว ปจฺจโย โหติฯ กามภเว นามรูปํ กามภเว สฬายตนสฺส ปจฺจโย โหติฯ รูปภเว นามรูปํ รูปภเว ติณฺณํ อายตนานํ ปจฺจโย โหติฯ อรูปภเว นามํ อรูปภเว เอกสฺสายตนสฺส ปจฺจโย โหติฯ กามภเว สฬายตนํ กามภเว ฉพฺพิธสฺส ผสฺสสฺส ปจฺจโย โหติฯ รูปภเว ตีณิ อายตนานิ รูปภเว ติณฺณํ ผสฺสานํ; อรูปภเว เอกมายตนํ อรูปภเว เอกสฺส ผสฺสสฺส ปจฺจโย โหติฯ กามภเว ฉ ผสฺสา กามภเว ฉนฺนํ เวทนานํ ปจฺจยา โหนฺติฯ รูปภเว ตโย ตเตฺถว ติสฺสนฺนํ; อรูปภเว เอโก ตเตฺถว เอกิสฺสา เวทนาย ปจฺจโย โหติฯ กามภเว ฉ เวทนา กามภเว ฉนฺนํ ตณฺหากายานํ ปจฺจยา โหนฺติฯ รูปภเว ติโสฺส ตเตฺถว ติณฺณํ; อรูปภเว เอกา เวทนา อรูปภเว เอกสฺส ตณฺหากายสฺส ปจฺจโย โหติฯ ตตฺถ ตตฺถ สา สา ตณฺหา ตสฺส ตสฺส อุปาทานสฺส ปจฺจโย; อุปาทานาทโย ภวาทีนํฯ
Atha vā saṃsāracakkanti anamataggasaṃsāravaṭṭaṃ vuccati, tassa ca avijjā nābhi, mūlattā; jarāmaraṇaṃ nemi, pariyosānattā; sesā dasa dhammā arā, avijjāmūlakattā jarāmaraṇapariyantattā ca. Tattha dukkhādīsu aññāṇaṃ avijjā, kāmabhave ca avijjā kāmabhave saṅkhārānaṃ paccayo hoti. Rūpabhave avijjā rūpabhave saṅkhārānaṃ paccayo hoti. Arūpabhave avijjā arūpabhave saṅkhārānaṃ paccayo hoti. Kāmabhave saṅkhārā kāmabhave paṭisandhiviññāṇassa paccayā honti. Esa nayo itaresu. Kāmabhave paṭisandhiviññāṇaṃ kāmabhave nāmarūpassa paccayo hoti, tathā rūpabhave. Arūpabhave nāmasseva paccayo hoti. Kāmabhave nāmarūpaṃ kāmabhave saḷāyatanassa paccayo hoti. Rūpabhave nāmarūpaṃ rūpabhave tiṇṇaṃ āyatanānaṃ paccayo hoti. Arūpabhave nāmaṃ arūpabhave ekassāyatanassa paccayo hoti. Kāmabhave saḷāyatanaṃ kāmabhave chabbidhassa phassassa paccayo hoti. Rūpabhave tīṇi āyatanāni rūpabhave tiṇṇaṃ phassānaṃ; arūpabhave ekamāyatanaṃ arūpabhave ekassa phassassa paccayo hoti. Kāmabhave cha phassā kāmabhave channaṃ vedanānaṃ paccayā honti. Rūpabhave tayo tattheva tissannaṃ; arūpabhave eko tattheva ekissā vedanāya paccayo hoti. Kāmabhave cha vedanā kāmabhave channaṃ taṇhākāyānaṃ paccayā honti. Rūpabhave tisso tattheva tiṇṇaṃ; arūpabhave ekā vedanā arūpabhave ekassa taṇhākāyassa paccayo hoti. Tattha tattha sā sā taṇhā tassa tassa upādānassa paccayo; upādānādayo bhavādīnaṃ.
กถํ? อิเธกโจฺจ ‘‘กาเม ปริภุญฺชิสฺสามี’’ติ กามุปาทานปจฺจยา กาเยน ทุจฺจริตํ จรติ, วาจาย มนสา ทุจฺจริตํ จรติ; ทุจฺจริตปาริปูริยา อปาเย อุปปชฺชติฯ ตตฺถสฺส อุปปตฺติเหตุภูตํ กมฺมํ กมฺมภโว, กมฺมนิพฺพตฺตา ขนฺธา อุปปตฺติภโว, ขนฺธานํ นิพฺพตฺติ ชาติ, ปริปาโก ชรา, เภโท มรณํฯ
Kathaṃ? Idhekacco ‘‘kāme paribhuñjissāmī’’ti kāmupādānapaccayā kāyena duccaritaṃ carati, vācāya manasā duccaritaṃ carati; duccaritapāripūriyā apāye upapajjati. Tatthassa upapattihetubhūtaṃ kammaṃ kammabhavo, kammanibbattā khandhā upapattibhavo, khandhānaṃ nibbatti jāti, paripāko jarā, bhedo maraṇaṃ.
อปโร ‘‘สคฺคสมฺปตฺติํ อนุภวิสฺสามี’’ติ ตเถว สุจริตํ จรติ; สุจริตปาริปูริยา สเคฺค อุปปชฺชติฯ ตตฺถสฺส อุปปตฺติเหตุภูตํ กมฺมํ กมฺมภโวติ โส เอว นโยฯ
Aparo ‘‘saggasampattiṃ anubhavissāmī’’ti tatheva sucaritaṃ carati; sucaritapāripūriyā sagge upapajjati. Tatthassa upapattihetubhūtaṃ kammaṃ kammabhavoti so eva nayo.
อปโร ปน ‘‘พฺรหฺมโลกสมฺปตฺติํ อนุภวิสฺสามี’’ติ กามุปาทานปจฺจยา เอว เมตฺตํ ภาเวติ, กรุณํ… มุทิตํ… อุเปกฺขํ ภาเวติ, ภาวนาปาริปูริยา พฺรหฺมโลเก นิพฺพตฺตติฯ ตตฺถสฺส นิพฺพตฺติเหตุภูตํ กมฺมํ กมฺมภโวติ โสเยว นโยฯ
Aparo pana ‘‘brahmalokasampattiṃ anubhavissāmī’’ti kāmupādānapaccayā eva mettaṃ bhāveti, karuṇaṃ… muditaṃ… upekkhaṃ bhāveti, bhāvanāpāripūriyā brahmaloke nibbattati. Tatthassa nibbattihetubhūtaṃ kammaṃ kammabhavoti soyeva nayo.
อปโร ‘‘อรูปวภสมฺปตฺติํ อนุภวิสฺสามี’’ติ ตเถว อากาสานญฺจายตนาทิสมาปตฺติโย ภาเวติ, ภาวนาปาริปูริยา ตตฺถ นิพฺพตฺตติฯ ตตฺถสฺส นิพฺพตฺติเหตุภูตํ กมฺมํ กมฺมภโว, กมฺมนิพฺพตฺตา ขนฺธา อุปปตฺติภโว, ขนฺธานํ นิพฺพตฺติ ชาติ, ปริปาโก ชรา, เภโท มรณนฺติฯ เอส นโย เสสุปาทานมูลิกาสุปิ โยชนาสุฯ
Aparo ‘‘arūpavabhasampattiṃ anubhavissāmī’’ti tatheva ākāsānañcāyatanādisamāpattiyo bhāveti, bhāvanāpāripūriyā tattha nibbattati. Tatthassa nibbattihetubhūtaṃ kammaṃ kammabhavo, kammanibbattā khandhā upapattibhavo, khandhānaṃ nibbatti jāti, paripāko jarā, bhedo maraṇanti. Esa nayo sesupādānamūlikāsupi yojanāsu.
เอวํ ‘‘อยํ อวิชฺชา เหตุ, สงฺขารา เหตุสมุปฺปนฺนา, อุโภเปเต เหตุสมุปฺปนฺนาติ ปจฺจยปริคฺคเห ปญฺญา ธมฺมฎฺฐิติญาณํ; อตีตมฺปิ อทฺธานํ, อนาคตมฺปิ อทฺธานํ; อวิชฺชา เหตุ, สงฺขารา เหตุสมุปฺปนฺนา, อุโภเปเต เหตุสมุปฺปนฺนาติ ปจฺจยปริคฺคเห ปญฺญา ธมฺมฎฺฐิติญาณ’’นฺติ เอเตน นเยน สพฺพปทานิ วิตฺถาเรตพฺพานิฯ ตตฺถ อวิชฺชา สงฺขารา เอโก สเงฺขโป, วิญฺญาณ-นามรูป-สฬายตน-ผสฺส-เวทนา เอโก, ตณฺหุปาทานภวา เอโก, ชาติ-ชรา-มรณํ เอโกฯ ปุริมสเงฺขโป เจตฺถ อตีโต อทฺธา, เทฺว มชฺฌิมา ปจฺจุปฺปโนฺน, ชาติชรามรณํ อนาคโตฯ อวิชฺชาสงฺขารคฺคหเณน เจตฺถ ตณฺหุปาทานภวา คหิตาว โหนฺตีติ อิเม ปญฺจ ธมฺมา อตีเต กมฺมวฎฺฎํ; วิญฺญาณาทโย ปญฺจ ธมฺมา เอตรหิ วิปากวฎฺฎํฯ ตณฺหุปาทานภวคฺคหเณน อวิชฺชาสงฺขารา คหิตาว โหนฺตีติ อิเม ปญฺจ ธมฺมา เอตรหิ กมฺมวฎฺฎํ; ชาติชรามรณาปเทเสน วิญฺญาณาทีนํ นิทฺทิฎฺฐตฺตา อิเม ปญฺจ ธมฺมา อายติํ วิปากวฎฺฎํฯ เต อาการโต วีสติวิธา โหนฺติฯ สงฺขารวิญฺญาณานเญฺจตฺถ อนฺตรา เอโก สนฺธิ, เวทนาตณฺหานมนฺตรา เอโก, ภวชาตีนมนฺตรา เอโกฯ อิติ ภควา เอวํ จตุสเงฺขปํ, ติยทฺธํ, วีสตาการํ, ติสนฺธิํ ปฎิจฺจสมุปฺปาทํ สพฺพาการโต ชานาติ ปสฺสติ อญฺญาติ ปฎิวิชฺฌติฯ ตํ ญาตเฎฺฐน ญาณํ, ปชานนเฎฺฐน ปญฺญาฯ เตน วุจฺจติ – ‘‘ปจฺจยปริคฺคเห ปญฺญา ธมฺมฎฺฐิติญาณ’’นฺติฯ อิมินา ธมฺมฎฺฐิติญาเณน ภควา เต ธเมฺม ยถาภูตํ ญตฺวา เตสุ นิพฺพินฺทโนฺต วิรชฺชโนฺต วิมุจฺจโนฺต วุตฺตปฺปการสฺส อิมสฺส สํสารจกฺกสฺส อเร หนิ วิหนิ วิทฺธํเสสิฯ เอวมฺปิ อรานํ หตตฺตา อรหํฯ
Evaṃ ‘‘ayaṃ avijjā hetu, saṅkhārā hetusamuppannā, ubhopete hetusamuppannāti paccayapariggahe paññā dhammaṭṭhitiñāṇaṃ; atītampi addhānaṃ, anāgatampi addhānaṃ; avijjā hetu, saṅkhārā hetusamuppannā, ubhopete hetusamuppannāti paccayapariggahe paññā dhammaṭṭhitiñāṇa’’nti etena nayena sabbapadāni vitthāretabbāni. Tattha avijjā saṅkhārā eko saṅkhepo, viññāṇa-nāmarūpa-saḷāyatana-phassa-vedanā eko, taṇhupādānabhavā eko, jāti-jarā-maraṇaṃ eko. Purimasaṅkhepo cettha atīto addhā, dve majjhimā paccuppanno, jātijarāmaraṇaṃ anāgato. Avijjāsaṅkhāraggahaṇena cettha taṇhupādānabhavā gahitāva hontīti ime pañca dhammā atīte kammavaṭṭaṃ; viññāṇādayo pañca dhammā etarahi vipākavaṭṭaṃ. Taṇhupādānabhavaggahaṇena avijjāsaṅkhārā gahitāva hontīti ime pañca dhammā etarahi kammavaṭṭaṃ; jātijarāmaraṇāpadesena viññāṇādīnaṃ niddiṭṭhattā ime pañca dhammā āyatiṃ vipākavaṭṭaṃ. Te ākārato vīsatividhā honti. Saṅkhāraviññāṇānañcettha antarā eko sandhi, vedanātaṇhānamantarā eko, bhavajātīnamantarā eko. Iti bhagavā evaṃ catusaṅkhepaṃ, tiyaddhaṃ, vīsatākāraṃ, tisandhiṃ paṭiccasamuppādaṃ sabbākārato jānāti passati aññāti paṭivijjhati. Taṃ ñātaṭṭhena ñāṇaṃ, pajānanaṭṭhena paññā. Tena vuccati – ‘‘paccayapariggahe paññā dhammaṭṭhitiñāṇa’’nti. Iminā dhammaṭṭhitiñāṇena bhagavā te dhamme yathābhūtaṃ ñatvā tesu nibbindanto virajjanto vimuccanto vuttappakārassa imassa saṃsāracakkassa are hani vihani viddhaṃsesi. Evampi arānaṃ hatattā arahaṃ.
อคฺคทกฺขิเณยฺยตฺตา จ จีวราทิปจฺจเย อรหติ ปูชาวิเสสญฺจ; เตเนว จ อุปฺปเนฺน ตถาคเต เย เกจิ มเหสกฺขา เทวมนุสฺสา น เต อญฺญตฺถ ปูชํ กโรนฺติฯ ตถา หิ พฺรหฺมา สหมฺปติ สิเนรุมเตฺตน รตนทาเมน ตถาคตํ ปูเชสิ, ยถาพลญฺจ อเญฺญปิ เทวา มนุสฺสา จ พิมฺพิสารโกสลราชาทโยฯ ปรินิพฺพุตมฺปิ จ ภควนฺตํ อุทฺทิสฺส ฉนฺนวุติโกฎิธนํ วิสเชฺชตฺวา อโสกมหาราชา สกลชมฺพุทีเป จตุราสีติวิหารสหสฺสานิ ปติฎฺฐาเปสิฯ โก ปน วาโท อเญฺญสํ ปูชาวิเสสานนฺติ! เอวํ ปจฺจยาทีนํ อรหตฺตาปิ อรหํฯ ยถา จ โลเก เกจิ ปณฺฑิตมานิโน พาลา อสิโลกภเยน รโห ปาปํ กโรนฺติ; เอวเมส น กทาจิ กโรตีติ ปาปกรเณ รหาภาวโตปิ อรหํฯ โหติ เจตฺถ –
Aggadakkhiṇeyyattā ca cīvarādipaccaye arahati pūjāvisesañca; teneva ca uppanne tathāgate ye keci mahesakkhā devamanussā na te aññattha pūjaṃ karonti. Tathā hi brahmā sahampati sinerumattena ratanadāmena tathāgataṃ pūjesi, yathābalañca aññepi devā manussā ca bimbisārakosalarājādayo. Parinibbutampi ca bhagavantaṃ uddissa channavutikoṭidhanaṃ visajjetvā asokamahārājā sakalajambudīpe caturāsītivihārasahassāni patiṭṭhāpesi. Ko pana vādo aññesaṃ pūjāvisesānanti! Evaṃ paccayādīnaṃ arahattāpi arahaṃ. Yathā ca loke keci paṇḍitamānino bālā asilokabhayena raho pāpaṃ karonti; evamesa na kadāci karotīti pāpakaraṇe rahābhāvatopi arahaṃ. Hoti cettha –
‘‘อารกตฺตา หตตฺตา จ, กิเลสารีน โส มุนิ;
‘‘Ārakattā hatattā ca, kilesārīna so muni;
หตสํสารจกฺกาโร, ปจฺจยาทีน จารโห;
Hatasaṃsāracakkāro, paccayādīna cāraho;
น รโห กโรติ ปาปานิ, อรหํ เตน วุจฺจตี’’ติฯ
Na raho karoti pāpāni, arahaṃ tena vuccatī’’ti.
สมฺมา สามญฺจ สพฺพธมฺมานํ พุทฺธตฺตา ปน สมฺมาสมฺพุโทฺธฯ ตถา เหส สพฺพธเมฺม สมฺมา สามญฺจ พุโทฺธ, อภิเญฺญเยฺย ธเมฺม อภิเญฺญยฺยโต พุโทฺธ, ปริเญฺญเยฺย ธเมฺม ปริเญฺญยฺยโต, ปหาตเพฺพ ธเมฺม ปหาตพฺพโต, สจฺฉิกาตเพฺพ ธเมฺม สจฺฉิกาตพฺพโต, ภาเวตเพฺพ ธเมฺม ภาเวตพฺพโตฯ เตเนว จาห –
Sammā sāmañca sabbadhammānaṃ buddhattā pana sammāsambuddho. Tathā hesa sabbadhamme sammā sāmañca buddho, abhiññeyye dhamme abhiññeyyato buddho, pariññeyye dhamme pariññeyyato, pahātabbe dhamme pahātabbato, sacchikātabbe dhamme sacchikātabbato, bhāvetabbe dhamme bhāvetabbato. Teneva cāha –
‘‘อภิเญฺญยฺยํ อภิญฺญาตํ, ภาเวตพฺพญฺจ ภาวิตํ;
‘‘Abhiññeyyaṃ abhiññātaṃ, bhāvetabbañca bhāvitaṃ;
ปหาตพฺพํ ปหีนํ เม, ตสฺมา พุโทฺธสฺมิ พฺราหฺมณา’’ติฯ (ม. นิ. ๒.๓๙๙; สุ. นิ. ๕๖๓);
Pahātabbaṃ pahīnaṃ me, tasmā buddhosmi brāhmaṇā’’ti. (ma. ni. 2.399; su. ni. 563);
อปิจ จกฺขุ ทุกฺขสจฺจํ, ตสฺส มูลการณภาเวน ตํสมุฎฺฐาปิกา ปุริมตณฺหา สมุทยสจฺจํ, อุภินฺนมปฺปวตฺติ นิโรธสจฺจํ, นิโรธปฺปชานนา ปฎิปทา มคฺคสจฺจนฺติ เอวํ เอเกกปทุทฺธาเรนาปิ สพฺพธเมฺม สมฺมา สามญฺจ พุโทฺธฯ เอส นโย โสต-ฆาน-ชิวฺหา-กายมเนสุปิฯ เอเตเนว นเยน รูปาทีนิ ฉ อายตนานิ, จกฺขุวิญฺญาณาทโย ฉ วิญฺญาณกายา, จกฺขุสมฺผสฺสาทโย ฉ ผสฺสา, จกฺขุสมฺผสฺสชาทโย ฉ เวทนา, รูปสญฺญาทโย ฉ สญฺญา, รูปสเญฺจตนาทโย ฉ เจตนา, รูปตณฺหาทโย ฉ ตณฺหากายา, รูปวิตกฺกาทโย ฉ วิตกฺกา, รูปวิจาราทโย ฉ วิจารา , รูปกฺขนฺธาทโย ปญฺจกฺขนฺธา, ทส กสิณานิ, ทส อนุสฺสติโย, อุทฺธุมาตกสญฺญาทิวเสน ทส สญฺญา, เกสาทโย ทฺวตฺติํสาการา, ทฺวาทสายตนานิ, อฎฺฐารส ธาตุโย, กามภวาทโย นว ภวา, ปฐมาทีนิ จตฺตาริ ฌานานิ, เมตฺตาภาวนาทโย จตโสฺส อปฺปมญฺญา, จตโสฺส อรูปสมาปตฺติโย, ปฎิโลมโต ชรามรณาทีนิ, อนุโลมโต อวิชฺชาทีนิ ปฎิจฺจสมุปฺปาทงฺคานิ จ โยเชตพฺพานิฯ
Apica cakkhu dukkhasaccaṃ, tassa mūlakāraṇabhāvena taṃsamuṭṭhāpikā purimataṇhā samudayasaccaṃ, ubhinnamappavatti nirodhasaccaṃ, nirodhappajānanā paṭipadā maggasaccanti evaṃ ekekapaduddhārenāpi sabbadhamme sammā sāmañca buddho. Esa nayo sota-ghāna-jivhā-kāyamanesupi. Eteneva nayena rūpādīni cha āyatanāni, cakkhuviññāṇādayo cha viññāṇakāyā, cakkhusamphassādayo cha phassā, cakkhusamphassajādayo cha vedanā, rūpasaññādayo cha saññā, rūpasañcetanādayo cha cetanā, rūpataṇhādayo cha taṇhākāyā, rūpavitakkādayo cha vitakkā, rūpavicārādayo cha vicārā , rūpakkhandhādayo pañcakkhandhā, dasa kasiṇāni, dasa anussatiyo, uddhumātakasaññādivasena dasa saññā, kesādayo dvattiṃsākārā, dvādasāyatanāni, aṭṭhārasa dhātuyo, kāmabhavādayo nava bhavā, paṭhamādīni cattāri jhānāni, mettābhāvanādayo catasso appamaññā, catasso arūpasamāpattiyo, paṭilomato jarāmaraṇādīni, anulomato avijjādīni paṭiccasamuppādaṅgāni ca yojetabbāni.
ตตฺรายํ เอกปทโยชนา – ‘‘ชรามรณํ ทุกฺขสจฺจํ, ชาติ สมุทยสจฺจํ, อุภินฺนมฺปิ นิสฺสรณํ นิโรธสจฺจํ, นิโรธปฺปชานนา ปฎิปทา มคฺคสจฺจ’’นฺติฯ เอวํ เอเกกปทุทฺธาเรน สพฺพธเมฺม สมฺมา สามญฺจ พุโทฺธ อนุพุโทฺธ ปฎิวิโทฺธฯ เตน วุตฺตํ – สมฺมา สามญฺจ สพฺพธมฺมานํ พุทฺธตฺตา ปน สมฺมาสมฺพุโทฺธติฯ
Tatrāyaṃ ekapadayojanā – ‘‘jarāmaraṇaṃ dukkhasaccaṃ, jāti samudayasaccaṃ, ubhinnampi nissaraṇaṃ nirodhasaccaṃ, nirodhappajānanā paṭipadā maggasacca’’nti. Evaṃ ekekapaduddhārena sabbadhamme sammā sāmañca buddho anubuddho paṭividdho. Tena vuttaṃ – sammā sāmañca sabbadhammānaṃ buddhattā pana sammāsambuddhoti.
วิชฺชาหิ ปน จรเณน จ สมฺปนฺนตฺตา วิชฺชาจรณสมฺปโนฺน; ตตฺถ วิชฺชาติ ติโสฺสปิ วิชฺชา, อฎฺฐปิ วิชฺชาฯ ติโสฺส วิชฺชา ภยเภรวสุเตฺต (ม. นิ. ๑.๓๔ อาทโย) วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพา, อฎฺฐ วิชฺชา อมฺพฎฺฐสุเตฺต (ที. นิ. ๑.๒๗๘ อาทโย)ฯ ตตฺร หิ วิปสฺสนาญาเณน มโนมยิทฺธิยา จ สห ฉ อภิญฺญา ปริคฺคเหตฺวา อฎฺฐ วิชฺชา วุตฺตาฯ จรณนฺติ สีลสํวโร, อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวารตา, โภชเน มตฺตญฺญุตา, ชาคริยานุโยโค, สตฺต สทฺธมฺมา, จตฺตาริ รูปาวจรชฺฌานานีติ อิเม ปนฺนรส ธมฺมา เวทิตพฺพาฯ อิเมเยว หิ ปนฺนรส ธมฺมา, ยสฺมา เอเตหิ จรติ อริยสาวโก คจฺฉติ อมตํ ทิสํ ตสฺมา, จรณนฺติ วุตฺตาฯ ยถาห – ‘‘อิธ, มหานาม, อริยสาวโก สีลวา โหตี’’ติ (ม. นิ. ๒.๒๔) วิตฺถาโรฯ ภควา อิมาหิ วิชฺชาหิ อิมินา จ จรเณน สมนฺนาคโต, เตน วุจฺจติ วิชฺชาจรณสมฺปโนฺนติ ฯ ตตฺถ วิชฺชาสมฺปทา ภควโต สพฺพญฺญุตํ ปูเรตฺวา ฐิตา, จรณสมฺปทา มหาการุณิกตํฯ โส สพฺพญฺญุตาย สพฺพสตฺตานํ อตฺถานตฺถํ ญตฺวา มหาการุณิกตาย อนตฺถํ ปริวเชฺชตฺวา อเตฺถ นิโยเชติ, ยถา ตํ วิชฺชาจรณสมฺปโนฺนฯ เตนสฺส สาวกา สุปฺปฎิปนฺนา โหนฺติ โน ทุปฺปฎิปนฺนา, วิชฺชาจรณวิปนฺนานญฺหิ สาวกา อตฺตนฺตปาทโย วิยฯ
Vijjāhi pana caraṇena ca sampannattā vijjācaraṇasampanno; tattha vijjāti tissopi vijjā, aṭṭhapi vijjā. Tisso vijjā bhayabheravasutte (ma. ni. 1.34 ādayo) vuttanayeneva veditabbā, aṭṭha vijjā ambaṭṭhasutte (dī. ni. 1.278 ādayo). Tatra hi vipassanāñāṇena manomayiddhiyā ca saha cha abhiññā pariggahetvā aṭṭha vijjā vuttā. Caraṇanti sīlasaṃvaro, indriyesu guttadvāratā, bhojane mattaññutā, jāgariyānuyogo, satta saddhammā, cattāri rūpāvacarajjhānānīti ime pannarasa dhammā veditabbā. Imeyeva hi pannarasa dhammā, yasmā etehi carati ariyasāvako gacchati amataṃ disaṃ tasmā, caraṇanti vuttā. Yathāha – ‘‘idha, mahānāma, ariyasāvako sīlavā hotī’’ti (ma. ni. 2.24) vitthāro. Bhagavā imāhi vijjāhi iminā ca caraṇena samannāgato, tena vuccati vijjācaraṇasampannoti . Tattha vijjāsampadā bhagavato sabbaññutaṃ pūretvā ṭhitā, caraṇasampadā mahākāruṇikataṃ. So sabbaññutāya sabbasattānaṃ atthānatthaṃ ñatvā mahākāruṇikatāya anatthaṃ parivajjetvā atthe niyojeti, yathā taṃ vijjācaraṇasampanno. Tenassa sāvakā suppaṭipannā honti no duppaṭipannā, vijjācaraṇavipannānañhi sāvakā attantapādayo viya.
โสภนคมนตฺตา, สุนฺทรํ ฐานํ คตตฺตา, สมฺมาคตตฺตา, สมฺมา จ คทตฺตา สุคโตฯ คมนมฺปิ หิ คตนฺติ วุจฺจติ, ตญฺจ ภควโต โสภนํ ปริสุทฺธมนวชฺชํ ฯ กิํ ปน ตนฺติ? อริยมโคฺคฯ เตน เหส คมเนน เขมํ ทิสํ อสชฺชมาโน คโตติ โสภนคมนตฺตา สุคโตฯ สุนฺทรํ เจส ฐานํ คโต อมตํ นิพฺพานนฺติ สุนฺทรํ ฐานํ คตตฺตาปิ สุคโตฯ สมฺมา จ คโต เตน เตน มเคฺคน ปหีเน กิเลเส ปุน อปจฺจาคจฺฉโนฺตฯ วุตฺตเญฺจตํ – ‘‘โสตาปตฺติมเคฺคน เย กิเลสา ปหีนา, เต กิเลเส น ปุเนติ น ปเจฺจติ น ปจฺจาคจฺฉตีติ สุคโต…เป.… อรหตฺตมเคฺคน เย กิเลสา ปหีนา, เต กิเลเส น ปุเนติ น ปเจฺจติ น ปจฺจาคจฺฉตีติ สุคโต’’ติ (มหานิ. ๓๘)ฯ สมฺมา วา อาคโต ทีปงฺกรปาทมูลโต ปภุติ ยาว โพธิมโณฺฑ ตาว สมติํสปารมิปูริตาย สมฺมาปฎิปตฺติยา สพฺพโลกสฺส หิตสุขเมว กโรโนฺต สสฺสตํ อุเจฺฉทํ กามสุขํ อตฺตกิลมถนฺติ อิเม จ อเนฺต อนุปคจฺฉโนฺต อาคโตติ สมฺมาคตตฺตาปิ สุคโตฯ สมฺมา เจส คทติ, ยุตฺตฎฺฐาเน ยุตฺตเมว วาจํ ภาสตีติ สมฺมา คทตฺตาปิ สุคโตฯ
Sobhanagamanattā, sundaraṃ ṭhānaṃ gatattā, sammāgatattā, sammā ca gadattā sugato. Gamanampi hi gatanti vuccati, tañca bhagavato sobhanaṃ parisuddhamanavajjaṃ . Kiṃ pana tanti? Ariyamaggo. Tena hesa gamanena khemaṃ disaṃ asajjamāno gatoti sobhanagamanattā sugato. Sundaraṃ cesa ṭhānaṃ gato amataṃ nibbānanti sundaraṃ ṭhānaṃ gatattāpi sugato. Sammā ca gato tena tena maggena pahīne kilese puna apaccāgacchanto. Vuttañcetaṃ – ‘‘sotāpattimaggena ye kilesā pahīnā, te kilese na puneti na pacceti na paccāgacchatīti sugato…pe… arahattamaggena ye kilesā pahīnā, te kilese na puneti na pacceti na paccāgacchatīti sugato’’ti (mahāni. 38). Sammā vā āgato dīpaṅkarapādamūlato pabhuti yāva bodhimaṇḍo tāva samatiṃsapāramipūritāya sammāpaṭipattiyā sabbalokassa hitasukhameva karonto sassataṃ ucchedaṃ kāmasukhaṃ attakilamathanti ime ca ante anupagacchanto āgatoti sammāgatattāpi sugato. Sammā cesa gadati, yuttaṭṭhāne yuttameva vācaṃ bhāsatīti sammā gadattāpi sugato.
ตตฺริทํ สาธกสุตฺตํ – ‘‘ยํ ตถาคโต วาจํ ชานาติ อภูตํ อตจฺฉํ อนตฺถสํหิตํ, สา จ ปเรสํ อปฺปิยา อมนาปา, น ตํ ตถาคโต วาจํ ภาสติฯ ยมฺปิ ตถาคโต วาจํ ชานาติ ภูตํ ตจฺฉํ อนตฺถสํหิตํ, สา จ ปเรสํ อปฺปิยา อมนาปา, ตมฺปิ ตถาคโต วาจํ น ภาสติฯ ยญฺจ โข ตถาคโต วาจํ ชานาติ ภูตํ ตจฺฉํ อตฺถสํหิตํ, สา จ ปเรสํ อปฺปิยา อมนาปา, ตตฺร กาลญฺญู ตถาคโต โหติ ตสฺสา วาจาย เวยฺยากรณายฯ ยํ ตถาคโต วาจํ ชานาติ อภูตํ อตจฺฉํ อนตฺถสํหิตํ, สา จ ปเรสํ ปิยา มนาปา, น ตํ ตถาคโต วาจํ ภาสติฯ ยมฺปิ ตถาคโต วาจํ ชานาติ ภูตํ ตจฺฉํ อนตฺถสํหิตํ, สา จ ปเรสํ ปิยา มนาปา, ตมฺปิ ตถาคโต วาจํ น ภาสติฯ ยญฺจ โข ตถาคโต วาจํ ชานาติ ภูตํ ตจฺฉํ อตฺถสํหิตํ, สา จ ปเรสํ ปิยา มนาปา, ตตฺร กาลญฺญู ตถาคโต โหติ ตสฺสา วาจาย เวยฺยากรณายา’’ติ (ม. นิ. ๒.๘๖)ฯ เอวํ สมฺมา คทตฺตาปิ สุคโตติ เวทิตโพฺพฯ
Tatridaṃ sādhakasuttaṃ – ‘‘yaṃ tathāgato vācaṃ jānāti abhūtaṃ atacchaṃ anatthasaṃhitaṃ, sā ca paresaṃ appiyā amanāpā, na taṃ tathāgato vācaṃ bhāsati. Yampi tathāgato vācaṃ jānāti bhūtaṃ tacchaṃ anatthasaṃhitaṃ, sā ca paresaṃ appiyā amanāpā, tampi tathāgato vācaṃ na bhāsati. Yañca kho tathāgato vācaṃ jānāti bhūtaṃ tacchaṃ atthasaṃhitaṃ, sā ca paresaṃ appiyā amanāpā, tatra kālaññū tathāgato hoti tassā vācāya veyyākaraṇāya. Yaṃ tathāgato vācaṃ jānāti abhūtaṃ atacchaṃ anatthasaṃhitaṃ, sā ca paresaṃ piyā manāpā, na taṃ tathāgato vācaṃ bhāsati. Yampi tathāgato vācaṃ jānāti bhūtaṃ tacchaṃ anatthasaṃhitaṃ, sā ca paresaṃ piyā manāpā, tampi tathāgato vācaṃ na bhāsati. Yañca kho tathāgato vācaṃ jānāti bhūtaṃ tacchaṃ atthasaṃhitaṃ, sā ca paresaṃ piyā manāpā, tatra kālaññū tathāgato hoti tassā vācāya veyyākaraṇāyā’’ti (ma. ni. 2.86). Evaṃ sammā gadattāpi sugatoti veditabbo.
สพฺพถา วิทิตโลกตฺตา ปน โลกวิทูฯ โส หิ ภควา สภาวโต สมุทยโต นิโรธโต นิโรธูปายโตติ สพฺพถา โลกํ อเวทิ อญฺญาสิ ปฎิวิชฺฌิฯ ยถาห – ‘‘ยตฺถ โข, อาวุโส, น ชายติ น ชียติ น มียติ น จวติ น อุปปชฺชติ, นาหํ ตํ คมเนน โลกสฺส อนฺตํ ญาเตยฺยํ ทเฎฺฐยฺยํ ปเตฺตยฺยนฺติ วทามิ; น จาหํ, อาวุโส, อปฺปตฺวาว โลกสฺส อนฺตํ ทุกฺขสฺส อนฺตกิริยํ วทามิฯ อปิ จาหํ, อาวุโส, อิมสฺมิํเยว พฺยามมเตฺต กเฬวเร สสญฺญิมฺหิ สมนเก โลกญฺจ ปญฺญเปมิ โลกสมุทยญฺจ โลกนิโรธญฺจ โลกนิโรธคามินิญฺจ ปฎิปทํฯ
Sabbathā viditalokattā pana lokavidū. So hi bhagavā sabhāvato samudayato nirodhato nirodhūpāyatoti sabbathā lokaṃ avedi aññāsi paṭivijjhi. Yathāha – ‘‘yattha kho, āvuso, na jāyati na jīyati na mīyati na cavati na upapajjati, nāhaṃ taṃ gamanena lokassa antaṃ ñāteyyaṃ daṭṭheyyaṃ patteyyanti vadāmi; na cāhaṃ, āvuso, appatvāva lokassa antaṃ dukkhassa antakiriyaṃ vadāmi. Api cāhaṃ, āvuso, imasmiṃyeva byāmamatte kaḷevare sasaññimhi samanake lokañca paññapemi lokasamudayañca lokanirodhañca lokanirodhagāminiñca paṭipadaṃ.
‘‘คมเนน น ปตฺตโพฺพ, โลกสฺสโนฺต กุทาจนํ;
‘‘Gamanena na pattabbo, lokassanto kudācanaṃ;
น จ อปฺปตฺวา โลกนฺตํ, ทุกฺขา อตฺถิ ปโมจนํฯ
Na ca appatvā lokantaṃ, dukkhā atthi pamocanaṃ.
‘‘ตสฺมา หเว โลกวิทู สุเมโธ;
‘‘Tasmā have lokavidū sumedho;
โลกนฺตคู วุสิตพฺรหฺมจริโย;
Lokantagū vusitabrahmacariyo;
โลกสฺส อนฺตํ สมิตาวิ ญตฺวา;
Lokassa antaṃ samitāvi ñatvā;
นาสีสตี โลกมิมํ ปรญฺจา’’ติฯ (อ. นิ. ๔.๔๕; สํ. นิ. ๑.๑๐๗);
Nāsīsatī lokamimaṃ parañcā’’ti. (a. ni. 4.45; saṃ. ni. 1.107);
อปิจ ตโย โลกา – สงฺขารโลโก, สตฺตโลโก, โอกาสโลโกติ; ตตฺถ ‘‘เอโก โลโก – สเพฺพ สตฺตา อาหารฎฺฐิติกา’’ติ (ปฎิ. ม. ๑.๑๑๒) อาคตฎฺฐาเน สงฺขารโลโก เวทิตโพฺพฯ ‘‘สสฺสโต โลโกติ วา อสสฺสโต โลโกติ วา’’ติ (ที. นิ. ๑.๔๒๑) อาคตฎฺฐาเน สตฺตโลโกฯ
Apica tayo lokā – saṅkhāraloko, sattaloko, okāsalokoti; tattha ‘‘eko loko – sabbe sattā āhāraṭṭhitikā’’ti (paṭi. ma. 1.112) āgataṭṭhāne saṅkhāraloko veditabbo. ‘‘Sassato lokoti vā asassato lokoti vā’’ti (dī. ni. 1.421) āgataṭṭhāne sattaloko.
‘‘ยาวตา จนฺทิมสูริยา, ปริหรนฺติ ทิสา ภนฺติ วิโรจนา;
‘‘Yāvatā candimasūriyā, pariharanti disā bhanti virocanā;
ตาว สหสฺสธา โลโก, เอตฺถ เต วตฺตตี วโส’’ติฯ (ม. นิ. ๑.๕๐๓) –
Tāva sahassadhā loko, ettha te vattatī vaso’’ti. (ma. ni. 1.503) –
อาคตฎฺฐาเน โอกาสโลโก, ตมฺปิ ภควา สพฺพถา อเวทิฯ ตถา หิสฺส – ‘‘เอโก โลโก – สเพฺพ สตฺตา อาหารฎฺฐิติกาฯ เทฺว โลกา – นามญฺจ รูปญฺจฯ ตโย โลกา – ติโสฺส เวทนาฯ จตฺตาโร โลกา – จตฺตาโร อาหาราฯ ปญฺจ โลกา – ปญฺจุปาทานกฺขนฺธาฯ ฉ โลกา – ฉ อชฺฌตฺติกานิ อายตนานิฯ สตฺต โลกา สตฺต วิญฺญาณฎฺฐิติโยฯ อฎฺฐ โลกา – อฎฺฐ โลกธมฺมาฯ นว โลกา – นว สตฺตาวาสาฯ ทส โลกา – ทสายตนานิฯ ทฺวาทส โลกา – ทฺวาทสายตนานิ ฯ อฎฺฐารส โลกา – อฎฺฐารส ธาตุโย’’ติ (ปฎิ. ม. ๑.๑๑๒)ฯ อยํ สงฺขารโลโกปิ สพฺพถา วิทิโตฯ
Āgataṭṭhāne okāsaloko, tampi bhagavā sabbathā avedi. Tathā hissa – ‘‘eko loko – sabbe sattā āhāraṭṭhitikā. Dve lokā – nāmañca rūpañca. Tayo lokā – tisso vedanā. Cattāro lokā – cattāro āhārā. Pañca lokā – pañcupādānakkhandhā. Cha lokā – cha ajjhattikāni āyatanāni. Satta lokā satta viññāṇaṭṭhitiyo. Aṭṭha lokā – aṭṭha lokadhammā. Nava lokā – nava sattāvāsā. Dasa lokā – dasāyatanāni. Dvādasa lokā – dvādasāyatanāni . Aṭṭhārasa lokā – aṭṭhārasa dhātuyo’’ti (paṭi. ma. 1.112). Ayaṃ saṅkhāralokopi sabbathā vidito.
ยสฺมา ปเนส สเพฺพสมฺปิ สตฺตานํ อาสยํ ชานาติ, อนุสยํ ชานาติ, จริตํ ชานาติ, อธิมุตฺติํ ชานาติ, อปฺปรชเกฺข มหารชเกฺข ติกฺขินฺทฺริเย มุทินฺทฺริเย สฺวากาเร ทฺวากาเร สุวิญฺญาปเย ทุวิญฺญาปเย ภเพฺพ อภเพฺพ สเตฺต ชานาติ, ตสฺมาสฺส สตฺตโลโกปิ สพฺพถา วิทิโตฯ ยถา จ สตฺตโลโก เอวํ โอกาสโลโกปิฯ ตถา เหส เอกํ จกฺกวาฬํ อายามโต จ วิตฺถารโต จ โยชนานํ ทฺวาทส สตสหสฺสานิ ตีณิ สหสฺสานิ จตฺตาริ สตานิ ปญฺญาสญฺจ โยชนานิฯ ปริเกฺขปโต –
Yasmā panesa sabbesampi sattānaṃ āsayaṃ jānāti, anusayaṃ jānāti, caritaṃ jānāti, adhimuttiṃ jānāti, apparajakkhe mahārajakkhe tikkhindriye mudindriye svākāre dvākāre suviññāpaye duviññāpaye bhabbe abhabbe satte jānāti, tasmāssa sattalokopi sabbathā vidito. Yathā ca sattaloko evaṃ okāsalokopi. Tathā hesa ekaṃ cakkavāḷaṃ āyāmato ca vitthārato ca yojanānaṃ dvādasa satasahassāni tīṇi sahassāni cattāri satāni paññāsañca yojanāni. Parikkhepato –
สพฺพํ สตสหสฺสานิ, ฉตฺติํส ปริมณฺฑลํ;
Sabbaṃ satasahassāni, chattiṃsa parimaṇḍalaṃ;
ทสเญฺจว สหสฺสานิ, อฑฺฒุฑฺฒานิ สตานิ จฯ
Dasañceva sahassāni, aḍḍhuḍḍhāni satāni ca.
ตตฺถ –
Tattha –
ทุเว สตสหสฺสานิ, จตฺตาริ นหุตานิ จ;
Duve satasahassāni, cattāri nahutāni ca;
เอตฺตกํ พหลเตฺตน, สงฺขาตายํ วสุนฺธราฯ
Ettakaṃ bahalattena, saṅkhātāyaṃ vasundharā.
ตสฺสา เอว สนฺธารกํ –
Tassā eva sandhārakaṃ –
จตฺตาริ สตสหสฺสานิ, อเฎฺฐว นหุตานิ จ;
Cattāri satasahassāni, aṭṭheva nahutāni ca;
เอตฺตกํ พหลเตฺตน, ชลํ วาเต ปติฎฺฐิตํฯ
Ettakaṃ bahalattena, jalaṃ vāte patiṭṭhitaṃ.
ตสฺสาปิ สนฺธารโก –
Tassāpi sandhārako –
นวสตสหสฺสานิ, มาลุโต นภมุคฺคโต;
Navasatasahassāni, māluto nabhamuggato;
สฎฺฐิ เจว สหสฺสานิ, เอสา โลกสฺส สณฺฐิติฯ
Saṭṭhi ceva sahassāni, esā lokassa saṇṭhiti.
เอวํ สณฺฐิเต เจตฺถ โยชนานํ –
Evaṃ saṇṭhite cettha yojanānaṃ –
จตุราสีติ สหสฺสานิ, อโชฺฌคาโฬฺห มหณฺณเว;
Caturāsīti sahassāni, ajjhogāḷho mahaṇṇave;
อจฺจุคฺคโต ตาวเทว, สิเนรุปพฺพตุตฺตโมฯ
Accuggato tāvadeva, sinerupabbatuttamo.
ตโต อุปฑฺฒุปเฑฺฒน, ปมาเณน ยถากฺกมํ;
Tato upaḍḍhupaḍḍhena, pamāṇena yathākkamaṃ;
อโชฺฌคาฬฺหุคฺคตา ทิพฺพา, นานารตนจิตฺติตาฯ
Ajjhogāḷhuggatā dibbā, nānāratanacittitā.
ยุคนฺธโร อีสธโร, กรวีโก สุทสฺสโน;
Yugandharo īsadharo, karavīko sudassano;
เนมินฺธโร วินตโก, อสฺสกโณฺณ คิรี พฺรหาฯ
Nemindharo vinatako, assakaṇṇo girī brahā.
เอเต สตฺต มหาเสลา, สิเนรุสฺส สมนฺตโต;
Ete satta mahāselā, sinerussa samantato;
มหาราชานมาวาสา, เทวยกฺขนิเสวิตาฯ
Mahārājānamāvāsā, devayakkhanisevitā.
โยชนานํ สตานุโจฺจ, หิมวา ปญฺจ ปพฺพโต;
Yojanānaṃ satānucco, himavā pañca pabbato;
โยชนานํ สหสฺสานิ, ตีณิ อายตวิตฺถโต;
Yojanānaṃ sahassāni, tīṇi āyatavitthato;
จตุราสีติสหเสฺสหิ, กูเฎหิ ปฎิมณฺฑิโตฯ
Caturāsītisahassehi, kūṭehi paṭimaṇḍito.
ติปญฺจโยชนกฺขนฺธ, ปริเกฺขปา นควฺหยา;
Tipañcayojanakkhandha, parikkhepā nagavhayā;
ปญฺญาส โยชนกฺขนฺธ, สาขายามา สมนฺตโตฯ
Paññāsa yojanakkhandha, sākhāyāmā samantato.
สตโยชนวิตฺถิณฺณา, ตาวเทว จ อุคฺคตา;
Satayojanavitthiṇṇā, tāvadeva ca uggatā;
ชมฺพู ยสฺสานุภาเวน, ชมฺพุทีโป ปกาสิโตฯ
Jambū yassānubhāvena, jambudīpo pakāsito.
เทฺว อสีติ สหสฺสานิ, อโชฺฌคาโฬฺห มหณฺณเว;
Dve asīti sahassāni, ajjhogāḷho mahaṇṇave;
อจฺจุคฺคโต ตาวเทว, จกฺกวาฬสิลุจฺจโย;
Accuggato tāvadeva, cakkavāḷasiluccayo;
ปริกฺขิปิตฺวา ตํ สพฺพํ, โลกธาตุมยํ ฐิโตฯ
Parikkhipitvā taṃ sabbaṃ, lokadhātumayaṃ ṭhito.
ตตฺถ จนฺทมณฺฑลํ เอกูนปญฺญาสโยชนํ, สูริยมณฺฑลํ ปญฺญาสโยชนํ, ตาวติํสภวนํ ทสสหสฺสโยชนํ; ตถา อสุรภวนํ, อวีจิมหานิรโย, ชมฺพุทีโป จฯ อปรโคยานํ สตฺตสหสฺสโยชนํ; ตถา ปุพฺพวิเทโหฯ อุตฺตรกุรุ อฎฺฐสหสฺสโยชโน, เอกเมโก เจตฺถ มหาทีโป ปญฺจสตปญฺจสตปริตฺตทีปปริวาโร; ตํ สพฺพมฺปิ เอกํ จกฺกวาฬํ , เอกา โลกธาตุ, ตทนฺตเรสุ โลกนฺตริกนิรยาฯ เอวํ อนนฺตานิ จกฺกวาฬานิ อนนฺตา โลกธาตุโย ภควา อนเนฺตน พุทฺธญาเณน อเวทิ, อญฺญาสิ, ปฎิวิชฺฌิฯ เอวมสฺส โอกาสโลโกปิ สพฺพถา วิทิโตฯ เอวมฺปิ สพฺพถา วิทิตโลกตฺตา โลกวิทูฯ
Tattha candamaṇḍalaṃ ekūnapaññāsayojanaṃ, sūriyamaṇḍalaṃ paññāsayojanaṃ, tāvatiṃsabhavanaṃ dasasahassayojanaṃ; tathā asurabhavanaṃ, avīcimahānirayo, jambudīpo ca. Aparagoyānaṃ sattasahassayojanaṃ; tathā pubbavideho. Uttarakuru aṭṭhasahassayojano, ekameko cettha mahādīpo pañcasatapañcasataparittadīpaparivāro; taṃ sabbampi ekaṃ cakkavāḷaṃ , ekā lokadhātu, tadantaresu lokantarikanirayā. Evaṃ anantāni cakkavāḷāni anantā lokadhātuyo bhagavā anantena buddhañāṇena avedi, aññāsi, paṭivijjhi. Evamassa okāsalokopi sabbathā vidito. Evampi sabbathā viditalokattā lokavidū.
อตฺตโน ปน คุเณหิ วิสิฎฺฐตรสฺส กสฺสจิ อภาวา นตฺถิ เอตสฺส อุตฺตโรติ อนุตฺตโรฯ ตถา เหส สีลคุเณนาปิ สพฺพํ โลกมภิภวติ, สมาธิ…เป.… ปญฺญา… วิมุตฺติ… วิมุตฺติญาณทสฺสนคุเณนาปิ, สีลคุเณนาปิ อสโม อสมสโม อปฺปฎิโม อปฺปฎิภาโค อปฺปฎิปุคฺคโล…เป.… วิมุตฺติญาณทสฺสนคุเณนาปิฯ ยถาห – ‘‘น โข ปนาหํ, ภิกฺขเว, สมนุปสฺสามิ สเทวเก โลเก สมารเก…เป.… สเทวมนุสฺสาย อตฺตนา สีลสมฺปนฺนตร’’นฺติ วิตฺถาโรฯ
Attano pana guṇehi visiṭṭhatarassa kassaci abhāvā natthi etassa uttaroti anuttaro. Tathā hesa sīlaguṇenāpi sabbaṃ lokamabhibhavati, samādhi…pe… paññā… vimutti… vimuttiñāṇadassanaguṇenāpi, sīlaguṇenāpi asamo asamasamo appaṭimo appaṭibhāgo appaṭipuggalo…pe… vimuttiñāṇadassanaguṇenāpi. Yathāha – ‘‘na kho panāhaṃ, bhikkhave, samanupassāmi sadevake loke samārake…pe… sadevamanussāya attanā sīlasampannatara’’nti vitthāro.
เอวํ อคฺคปฺปสาทสุตฺตาทีนิ (อ. นิ. ๔.๓๔; อิติวุ. ๙๐) ‘‘น เม อาจริโย อตฺถี’’ติอาทิกา คาถาโย (ม. นิ. ๑.๒๘๕; มหาว. ๑๑) จ วิตฺถาเรตพฺพาฯ
Evaṃ aggappasādasuttādīni (a. ni. 4.34; itivu. 90) ‘‘na me ācariyo atthī’’tiādikā gāthāyo (ma. ni. 1.285; mahāva. 11) ca vitthāretabbā.
ปุริสทเมฺม สาเรตีติ ปุริสทมฺมสารถิ, ทเมติ วิเนตีติ วุตฺตํ โหติฯ ตตฺถ ปุริสทมฺมาติ อทนฺตา ทเมตุํ ยุตฺตา ติรจฺฉานปุริสาปิ มนุสฺสปุริสาปิ อมนุสฺสปุริสาปิฯ ตถา หิ ภควตา ติรจฺฉานปุริสาปิ อปลาโฬ นาคราชา, จูโฬทโร, มโหทโร, อคฺคิสิโข, ธูมสิโข, ธนปาลโก หตฺถีติ เอวมาทโย ทมิตา, นิพฺพิสา กตา, สรเณสุ จ สีเลสุ จ ปติฎฺฐาปิตาฯ มนุสฺสปุริสาปิ สจฺจกนิคณฺฐปุตฺต-อมฺพฎฺฐมาณว-โปกฺขรสาติ-โสณทณฺฑกูฎทนฺตาทโยฯ อมนุสฺสปุริสาปิ อาฬวก-สูจิโลม-ขรโลม-ยกฺข-สกฺกเทวราชาทโย ทมิตา วินีตา วิจิเตฺรหิ วินยนูปาเยหิฯ ‘‘อหํ โข, เกสิ, ปุริสทมฺมํ สเณฺหนปิ วิเนมิ, ผรุเสนปิ วิเนมิ, สณฺหผรุเสนปิ วิเนมี’’ติ (อ. นิ. ๔.๑๑๑) อิทเญฺจตฺถ สุตฺตํ วิตฺถาเรตพฺพํฯ อถ วา วิสุทฺธสีลาทีนํ ปฐมชฺฌานาทีนิ โสตาปนฺนาทีนญฺจ อุตฺตริมคฺคปฎิปทํ อาจิกฺขโนฺต ทเนฺตปิ ทเมติเยวฯ
Purisadamme sāretīti purisadammasārathi, dameti vinetīti vuttaṃ hoti. Tattha purisadammāti adantā dametuṃ yuttā tiracchānapurisāpi manussapurisāpi amanussapurisāpi. Tathā hi bhagavatā tiracchānapurisāpi apalāḷo nāgarājā, cūḷodaro, mahodaro, aggisikho, dhūmasikho, dhanapālako hatthīti evamādayo damitā, nibbisā katā, saraṇesu ca sīlesu ca patiṭṭhāpitā. Manussapurisāpi saccakanigaṇṭhaputta-ambaṭṭhamāṇava-pokkharasāti-soṇadaṇḍakūṭadantādayo. Amanussapurisāpi āḷavaka-sūciloma-kharaloma-yakkha-sakkadevarājādayo damitā vinītā vicitrehi vinayanūpāyehi. ‘‘Ahaṃ kho, kesi, purisadammaṃ saṇhenapi vinemi, pharusenapi vinemi, saṇhapharusenapi vinemī’’ti (a. ni. 4.111) idañcettha suttaṃ vitthāretabbaṃ. Atha vā visuddhasīlādīnaṃ paṭhamajjhānādīni sotāpannādīnañca uttarimaggapaṭipadaṃ ācikkhanto dantepi dametiyeva.
อถ วา อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถีติ เอกเมวิทํ อตฺถปทํ ฯ ภควา หิ ตถา ปุริสทเมฺม สาเรติ, ยถา เอกปลฺลเงฺกเนว นิสินฺนา อฎฺฐ ทิสา อสชฺชมานา ธาวนฺติฯ ตสฺมา ‘‘อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถี’’ติ วุจฺจติฯ ‘‘หตฺถิทมเกน, ภิกฺขเว, หตฺถิทโมฺม สาริโต เอกํเยว ทิสํ ธาวตี’’ติ อิทเญฺจตฺถ สุตฺตํ (ม. นิ. ๓.๓๑๒) วิตฺถาเรตพฺพํฯ
Atha vā anuttaro purisadammasārathīti ekamevidaṃ atthapadaṃ . Bhagavā hi tathā purisadamme sāreti, yathā ekapallaṅkeneva nisinnā aṭṭha disā asajjamānā dhāvanti. Tasmā ‘‘anuttaro purisadammasārathī’’ti vuccati. ‘‘Hatthidamakena, bhikkhave, hatthidammo sārito ekaṃyeva disaṃ dhāvatī’’ti idañcettha suttaṃ (ma. ni. 3.312) vitthāretabbaṃ.
ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกปรมเตฺถหิ ยถารหํ อนุสาสตีติ สตฺถาฯ อปิจ สตฺถา วิยาติ สตฺถา, ภควา สตฺถวาโหฯ ‘‘ยถา สตฺถวาโห สเตฺถ กนฺตารํ ตาเรติ, โจรกนฺตารํ ตาเรติ, วาฬกนฺตารํ ตาเรติ, ทุพฺภิกฺขกนฺตารํ ตาเรติ, นิรุทกกนฺตารํ ตาเรติ, อุตฺตาเรติ นิตฺตาเรติ ปตาเรติ เขมนฺตภูมิํ สมฺปาเปติ; เอวเมว ภควา สตฺถา สตฺถวาโห สเตฺต กนฺตารํ ตาเรติ ชาติกนฺตารํ ตาเรตี’’ติอาทินา (มหานิ. ๑๙๐) นิเทฺทสนเยนเปตฺถ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
Diṭṭhadhammikasamparāyikaparamatthehi yathārahaṃ anusāsatīti satthā. Apica satthā viyāti satthā, bhagavā satthavāho. ‘‘Yathā satthavāho satthe kantāraṃ tāreti, corakantāraṃ tāreti, vāḷakantāraṃ tāreti, dubbhikkhakantāraṃ tāreti, nirudakakantāraṃ tāreti, uttāreti nittāreti patāreti khemantabhūmiṃ sampāpeti; evameva bhagavā satthā satthavāho satte kantāraṃ tāreti jātikantāraṃ tāretī’’tiādinā (mahāni. 190) niddesanayenapettha attho veditabbo.
เทวมนุสฺสานนฺติ ทเอวานญฺจ มนุสฺสานญฺจ อุกฺกฎฺฐปริเจฺฉทวเสเนตํ วุตฺตํ, ภพฺพปุคฺคลปริเจฺฉทวเสน จฯ ภควา ปน ติรจฺฉานคตานมฺปิ อนุสาสนิปฺปทาเนน สตฺถาเยวฯ เตปิ หิ ภควโต ธมฺมสวเนน อุปนิสฺสยสมฺปตฺติํ ปตฺวา ตาย เอว อุปนิสฺสยสมฺปตฺติยา ทุติเย ตติเย วา อตฺตภาเว มคฺคผลภาคิโน โหนฺติฯ มณฺฑูกเทวปุตฺตาทโย เจตฺถ นิทสฺสนํฯ ภควติ กิร คคฺคราย โปกฺขรณิยา ตีเร จมฺปานครวาสีนํ ธมฺมํ เทสยมาเน เอโก มณฺฑูโก ภควโต สเร นิมิตฺตํ อคฺคเหสิฯ ตํ เอโก วจฺฉปาลโก ทณฺฑโมลุพฺภ ติฎฺฐโนฺต ตสฺส สีเส สนฺนิรุมฺภิตฺวา อฎฺฐาสิฯ โส ตาวเทว กาลํ กตฺวา ตาวติํสภวเน ทฺวาทสโยชนิเก กนกวิมาเน นิพฺพตฺติฯ สุตฺตปฺปพุโทฺธ วิย จ ตตฺถ อจฺฉราสงฺฆปริวุตํ อตฺตานํ ทิสฺวา ‘‘อเร, อหมฺปิ นาม อิธ นิพฺพโตฺตสฺมิ! กิํ นุ โข กมฺมํ อกาสิ’’นฺติ อาวเชฺชโนฺต นาญฺญํ กิญฺจิ อทฺทส, อญฺญตฺร ภควโต สเร นิมิตฺตคฺคาหาฯ โส ตอาวเทว สห วิมาเนน อาคนฺตฺวา ภควโต ปาเท สิรสา วนฺทิฯ ภควา ชานโนฺตว ปุจฺฉิ –
Devamanussānanti daevānañca manussānañca ukkaṭṭhaparicchedavasenetaṃ vuttaṃ, bhabbapuggalaparicchedavasena ca. Bhagavā pana tiracchānagatānampi anusāsanippadānena satthāyeva. Tepi hi bhagavato dhammasavanena upanissayasampattiṃ patvā tāya eva upanissayasampattiyā dutiye tatiye vā attabhāve maggaphalabhāgino honti. Maṇḍūkadevaputtādayo cettha nidassanaṃ. Bhagavati kira gaggarāya pokkharaṇiyā tīre campānagaravāsīnaṃ dhammaṃ desayamāne eko maṇḍūko bhagavato sare nimittaṃ aggahesi. Taṃ eko vacchapālako daṇḍamolubbha tiṭṭhanto tassa sīse sannirumbhitvā aṭṭhāsi. So tāvadeva kālaṃ katvā tāvatiṃsabhavane dvādasayojanike kanakavimāne nibbatti. Suttappabuddho viya ca tattha accharāsaṅghaparivutaṃ attānaṃ disvā ‘‘are, ahampi nāma idha nibbattosmi! Kiṃ nu kho kammaṃ akāsi’’nti āvajjento nāññaṃ kiñci addasa, aññatra bhagavato sare nimittaggāhā. So taāvadeva saha vimānena āgantvā bhagavato pāde sirasā vandi. Bhagavā jānantova pucchi –
‘‘โก เม วนฺทติ ปาทานิ, อิทฺธิยา ยสสา ชลํ;
‘‘Ko me vandati pādāni, iddhiyā yasasā jalaṃ;
อภิกฺกเนฺตน วเณฺณน, สพฺพา โอภาสยํ ทิสา’’ติฯ
Abhikkantena vaṇṇena, sabbā obhāsayaṃ disā’’ti.
‘‘มณฺฑูโกหํ ปุเร อาสิํ, อุทเก วาริโคจโร;
‘‘Maṇḍūkohaṃ pure āsiṃ, udake vārigocaro;
ตว ธมฺมํ สุณนฺตสฺส, อวธิ วจฺฉปาลโก’’ติฯ (วิ. ว. ๘๕๗-๘๕๘);
Tava dhammaṃ suṇantassa, avadhi vacchapālako’’ti. (vi. va. 857-858);
ภควา ตสฺส ธมฺมํ เทเสสิฯ เทสนาวสาเน จตุราสีติยา ปาณสหสฺสานํ ธมฺมาภิสมโย อโหสิฯ เทวปุโตฺตปิ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาย สิตํ กตฺวา ปกฺกามีติฯ
Bhagavā tassa dhammaṃ desesi. Desanāvasāne caturāsītiyā pāṇasahassānaṃ dhammābhisamayo ahosi. Devaputtopi sotāpattiphale patiṭṭhāya sitaṃ katvā pakkāmīti.
ยํ ปน กิญฺจิ อตฺถิ เญยฺยํ นาม, ตสฺส สพฺพสฺส พุทฺธตฺตา วิโมกฺขนฺติกญาณวเสน พุโทฺธฯ ยสฺมา วา จตฺตาริ สจฺจานิ อตฺตนาปิ พุชฺฌิ, อเญฺญปิ สเตฺต โพเธสิ; ตสฺมา เอวมาทีหิปิ การเณหิ พุโทฺธฯ อิมสฺส จตฺถสฺส วิญฺญาปนตฺถํ ‘‘พุชฺฌิตา สจฺจานีติ พุโทฺธ, โพเธตา ปชายาติ พุโทฺธ’’ติ เอวํ ปวโตฺต สโพฺพปิ นิเทฺทสนโย (มหานิ. ๑๙๒) ปฎิสมฺภิทานโย (ปฎิ. ม. ๑.๑๖๒) วา วิตฺถาเรตโพฺพฯ
Yaṃ pana kiñci atthi ñeyyaṃ nāma, tassa sabbassa buddhattā vimokkhantikañāṇavasena buddho. Yasmā vā cattāri saccāni attanāpi bujjhi, aññepi satte bodhesi; tasmā evamādīhipi kāraṇehi buddho. Imassa catthassa viññāpanatthaṃ ‘‘bujjhitā saccānīti buddho, bodhetā pajāyāti buddho’’ti evaṃ pavatto sabbopi niddesanayo (mahāni. 192) paṭisambhidānayo (paṭi. ma. 1.162) vā vitthāretabbo.
ภควาติ อิทํ ปนสฺส คุณวิสิฎฺฐสตฺตุตฺตมครุคารวาธิวจนํฯ เตนาหุ โปราณา –
Bhagavāti idaṃ panassa guṇavisiṭṭhasattuttamagarugāravādhivacanaṃ. Tenāhu porāṇā –
‘‘ภควาติ วจนํ เสฎฺฐํ, ภควาติ วจนมุตฺตมํ;
‘‘Bhagavāti vacanaṃ seṭṭhaṃ, bhagavāti vacanamuttamaṃ;
ครุ คารวยุโตฺต โส, ภควา เตน วุจฺจตี’’ติฯ
Garu gāravayutto so, bhagavā tena vuccatī’’ti.
จตุพฺพิธญฺหิ นามํ – อาวตฺถิกํ, ลิงฺคิกํ, เนมิตฺติกํ, อธิจฺจสมุปฺปนฺนนฺติฯ อธิจฺจสมุปฺปนฺนํ นาม โลกิยโวหาเรน ‘‘ยทิจฺฉก’’นฺติ วุตฺตํ โหติฯ ตตฺถ ‘‘วโจฺฉ ทโมฺม พลิพโทฺท’’ติ เอวมาทิ อาวตฺถิกํฯ ‘‘ทณฺฑี ฉตฺตี สิขี กรี’’ติ เอวมาทิ ลิงฺคิกํฯ ‘‘เตวิโชฺช ฉฬภิโญฺญ’’ติ เอวมาทิ เนมิตฺติกํฯ ‘‘สิริวฑฺฒโก ธนวฑฺฒโก’’ติ เอวมาทิ วจนตฺถมนเปกฺขิตฺวา ปวตฺตํ อธิจฺจสมุปฺปนฺนํฯ อิทํ ปน ภควาติ นามํ เนมิตฺติกํ, น มหามายาย น สุโทฺธทนมหาราเชน น อสีติยา ญาติสหเสฺสหิ กตํ, น สกฺกสนฺตุสิตาทีหิ เทวตาวิเสเสหิฯ วุตฺตเญฺหตํ ธมฺมเสนาปตินา – ‘‘ภควาติ เนตํ นามํ มาตรา กตํ…เป.… วิโมกฺขนฺติกเมตํ พุทฺธานํ ภควนฺตานํ โพธิยา มูเล สห สพฺพญฺญุตญฺญาณสฺส ปฎิลาภา สจฺฉิกาปญฺญตฺติ, ยทิทํ ภควา’’ติ (มหานิ. ๘๔)ฯ
Catubbidhañhi nāmaṃ – āvatthikaṃ, liṅgikaṃ, nemittikaṃ, adhiccasamuppannanti. Adhiccasamuppannaṃ nāma lokiyavohārena ‘‘yadicchaka’’nti vuttaṃ hoti. Tattha ‘‘vaccho dammo balibaddo’’ti evamādi āvatthikaṃ. ‘‘Daṇḍī chattī sikhī karī’’ti evamādi liṅgikaṃ. ‘‘Tevijjo chaḷabhiñño’’ti evamādi nemittikaṃ. ‘‘Sirivaḍḍhako dhanavaḍḍhako’’ti evamādi vacanatthamanapekkhitvā pavattaṃ adhiccasamuppannaṃ. Idaṃ pana bhagavāti nāmaṃ nemittikaṃ, na mahāmāyāya na suddhodanamahārājena na asītiyā ñātisahassehi kataṃ, na sakkasantusitādīhi devatāvisesehi. Vuttañhetaṃ dhammasenāpatinā – ‘‘bhagavāti netaṃ nāmaṃ mātarā kataṃ…pe… vimokkhantikametaṃ buddhānaṃ bhagavantānaṃ bodhiyā mūle saha sabbaññutaññāṇassa paṭilābhā sacchikāpaññatti, yadidaṃ bhagavā’’ti (mahāni. 84).
ยํคุณเนมิตฺติกเญฺจตํ นามํ, เตสํ คุณานํ ปกาสนตฺถํ อิมํ คาถํ วทนฺติ –
Yaṃguṇanemittikañcetaṃ nāmaṃ, tesaṃ guṇānaṃ pakāsanatthaṃ imaṃ gāthaṃ vadanti –
‘‘ภคี ภชี ภาคี วิภตฺตวา อิติ;
‘‘Bhagī bhajī bhāgī vibhattavā iti;
อกาสิ ภคฺคนฺติ ครูติ ภาคฺยวา;
Akāsi bhagganti garūti bhāgyavā;
พหูหิ ญาเยหิ สุภาวิตตฺตโน;
Bahūhi ñāyehi subhāvitattano;
ภวนฺตโค โส ภควาติ วุจฺจตี’’ติฯ
Bhavantago so bhagavāti vuccatī’’ti.
นิเทฺทเส วุตฺตนเยเนว เจตฺถ เตสํ เตสํ ปทานมโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ
Niddese vuttanayeneva cettha tesaṃ tesaṃ padānamattho daṭṭhabbo.
อยํ ปน อปโร นโย –
Ayaṃ pana aparo nayo –
‘‘ภาคฺยวา ภคฺควา ยุโตฺต, ภเคหิ จ วิภตฺตวา;
‘‘Bhāgyavā bhaggavā yutto, bhagehi ca vibhattavā;
ภตฺตวา วนฺตคมโน, ภเวสุ ภควา ตโต’’ติฯ
Bhattavā vantagamano, bhavesu bhagavā tato’’ti.
ตตฺถ วณฺณาคโม วณฺณวิปริยโยติ เอตํ นิรุตฺติลกฺขณํ คเหตฺวา สทฺทนเยน วา ปิโสทราทิปเกฺขปลกฺขณํ คเหตฺวา ยสฺมา โลกิยโลกุตฺตรสุขาภินิพฺพตฺตกํ ทานสีลาทิปารปฺปตฺตํ ภาคฺยมสฺส อตฺถิ, ตสฺมา ‘‘ภาคฺยวา’’ติ วตฺตเพฺพ ‘‘ภควา’’ติ วุจฺจตีติ ญาตพฺพํฯ ยสฺมา ปน โลภ-โทส-โมห-วิปรีตมนสิการ-อหิริกาโนตฺตปฺป-โกธูปนาห-มกฺข-ปฬาสอิสฺสา-มจฺฉริย-มายาสาเฐยฺย-ถมฺภ-สารมฺภ-มานาติมาน-มท-ปมาท-ตณฺหาวิชฺชา ติวิธากุสลมูล-ทุจฺจริต-สํกิเลส-มล-วิสมสญฺญา-วิตกฺก-ปปญฺจ-จตุพฺพิธวิปริเยสอาสว-คนฺถ-โอฆ-โยคาคติ-ตณฺหุปฺปาทุปาทาน-ปญฺจเจโตขีล-วินิพนฺธ-นีวรณาภินนฺทนฉวิวาทมูล-ตณฺหากาย-สตฺตานุสย-อฎฺฐมิจฺฉตฺต-นวตณฺหามูลก-ทสากุสลกม ทิฎฺฐิคต-อฎฺฐสตตณฺหาวิจริตปฺปเภท-สพฺพทรถ-ปริฬาห-กิเลสสตสหสฺสานิ, สเงฺขปโต วา ปญฺจ กิเลส-อภิสงฺขารขนฺธมจฺจุ-เทวปุตฺต-มาเร อภญฺชิ, ตสฺมา ภคฺคตฺตา เอเตสํ ปริสฺสยานํ ภคฺควาติ วตฺตเพฺพ ภควาติ วุจฺจติฯ อาห เจตฺถ –
Tattha vaṇṇāgamo vaṇṇavipariyayoti etaṃ niruttilakkhaṇaṃ gahetvā saddanayena vā pisodarādipakkhepalakkhaṇaṃ gahetvā yasmā lokiyalokuttarasukhābhinibbattakaṃ dānasīlādipārappattaṃ bhāgyamassa atthi, tasmā ‘‘bhāgyavā’’ti vattabbe ‘‘bhagavā’’ti vuccatīti ñātabbaṃ. Yasmā pana lobha-dosa-moha-viparītamanasikāra-ahirikānottappa-kodhūpanāha-makkha-paḷāsaissā-macchariya-māyāsāṭheyya-thambha-sārambha-mānātimāna-mada-pamāda-taṇhāvijjā tividhākusalamūla-duccarita-saṃkilesa-mala-visamasaññā-vitakka-papañca-catubbidhavipariyesaāsava-gantha-ogha-yogāgati-taṇhuppādupādāna-pañcacetokhīla-vinibandha-nīvaraṇābhinandanachavivādamūla-taṇhākāya-sattānusaya-aṭṭhamicchatta-navataṇhāmūlaka-dasākusalakama diṭṭhigata-aṭṭhasatataṇhāvicaritappabheda-sabbadaratha-pariḷāha-kilesasatasahassāni, saṅkhepato vā pañca kilesa-abhisaṅkhārakhandhamaccu-devaputta-māre abhañji, tasmā bhaggattā etesaṃ parissayānaṃ bhaggavāti vattabbe bhagavāti vuccati. Āha cettha –
‘‘ภคฺคราโค ภคฺคโทโส, ภคฺคโมโห อนาสโว;
‘‘Bhaggarāgo bhaggadoso, bhaggamoho anāsavo;
ภคฺคาสฺส ปาปกา ธมฺมา, ภควา เตน วุจฺจตี’’ติฯ
Bhaggāssa pāpakā dhammā, bhagavā tena vuccatī’’ti.
ภาคฺยวนฺตตาย จสฺส สตปุญฺญชลกฺขณธรสฺส รูปกายสมฺปตฺติทีปิตา โหติ, ภคฺคโทสตาย ธมฺมกายสมฺปตฺติฯ ตถา โลกิยปริกฺขกานํ พหุมตภาโว, คหฎฺฐปพฺพชิเตหิ อภิคมนียตา, อภิคตานญฺจ เนสํ กายจิตฺตทุกฺขาปนยเน ปฎิพลภาโว, อามิสทานธมฺมทาเนหิ อุปการิตา, โลกิยโลกุตฺตรสุเขหิ จ สมฺปโยชนสมตฺถตา ทีปิตา โหติฯ
Bhāgyavantatāya cassa satapuññajalakkhaṇadharassa rūpakāyasampattidīpitā hoti, bhaggadosatāya dhammakāyasampatti. Tathā lokiyaparikkhakānaṃ bahumatabhāvo, gahaṭṭhapabbajitehi abhigamanīyatā, abhigatānañca nesaṃ kāyacittadukkhāpanayane paṭibalabhāvo, āmisadānadhammadānehi upakāritā, lokiyalokuttarasukhehi ca sampayojanasamatthatā dīpitā hoti.
ยสฺมา จ โลเก อิสฺสริย-ธมฺม-ยส-สิรี-กาม-ปยเตฺตสุ ฉสุ ธเมฺมสุ ภคสโทฺท วตฺตติ, ปรมญฺจสฺส สกจิเตฺต อิสฺสริยํ, อณิมา ลฆิมาทิกํ วา โลกิยสมฺมตํ สพฺพาการปริปูรํ อตฺถิ ตถา โลกุตฺตโร ธโมฺม โลกตฺตยพฺยาปโก ยถาภุจฺจคุณาธิคโต อติวิย ปริสุโทฺธ ยโส, รูปกายทสฺสนพฺยาวฎชนนยนปฺปสาทชนนสมตฺถา สพฺพาการปริปูรา สพฺพงฺคปจฺจงฺคสิรี, ยํ ยํ เอเตน อิจฺฉิตํ ปตฺถิตํ อตฺตหิตํ ปรหิตํ วา, ตสฺส ตสฺส ตเถว อภินิปฺผนฺนตฺตา อิจฺฉิติจฺฉิ, ตตฺถ นิปฺผตฺติสญฺญิโต กาโม, สพฺพโลกครุภาวปฺปตฺติเหตุภูโต สมฺมาวายามสงฺขาโต ปยโตฺต จ อตฺถิ; ตสฺมา อิเมหิ ภเคหิ ยุตฺตตฺตาปิ ภคา อสฺส สนฺตีติ อิมินา อเตฺถน ภควาติ วุจฺจติฯ
Yasmā ca loke issariya-dhamma-yasa-sirī-kāma-payattesu chasu dhammesu bhagasaddo vattati, paramañcassa sakacitte issariyaṃ, aṇimā laghimādikaṃ vā lokiyasammataṃ sabbākāraparipūraṃ atthi tathā lokuttaro dhammo lokattayabyāpako yathābhuccaguṇādhigato ativiya parisuddho yaso, rūpakāyadassanabyāvaṭajananayanappasādajananasamatthā sabbākāraparipūrā sabbaṅgapaccaṅgasirī, yaṃ yaṃ etena icchitaṃ patthitaṃ attahitaṃ parahitaṃ vā, tassa tassa tatheva abhinipphannattā icchiticchi, tattha nipphattisaññito kāmo, sabbalokagarubhāvappattihetubhūto sammāvāyāmasaṅkhāto payatto ca atthi; tasmā imehi bhagehi yuttattāpi bhagā assa santīti iminā atthena bhagavāti vuccati.
ยสฺมา ปน กุสลาทีหิ เภเทหิ สพฺพธเมฺม, ขนฺธายตน-ธาตุสจฺจ-อินฺทฺริยปฎิจฺจสมุปฺปาทาทีหิ วา กุสลาทิธเมฺม, ปีฬน-สงฺขต-สนฺตาปวิปริณามเฎฺฐน วา ทุกฺขมริยสจฺจํ, อายูหน-นิทาน-สํโยค-ปลิโพธเฎฺฐน สมุทยํ, นิสฺสรณวิเวกาสงฺขต-อมตเฎฺฐน นิโรธํ, นิยฺยาน-เหตุ-ทสฺสนาธิปเตยฺยเฎฺฐน มคฺคํ วิภตฺตวา, วิภชิตฺวา วิวริตฺวา เทสิตวาติ วุตฺตํ โหติฯ ตสฺมา วิภตฺตวาติ วตฺตเพฺพ ภควาติ วุจฺจติ ฯ
Yasmā pana kusalādīhi bhedehi sabbadhamme, khandhāyatana-dhātusacca-indriyapaṭiccasamuppādādīhi vā kusalādidhamme, pīḷana-saṅkhata-santāpavipariṇāmaṭṭhena vā dukkhamariyasaccaṃ, āyūhana-nidāna-saṃyoga-palibodhaṭṭhena samudayaṃ, nissaraṇavivekāsaṅkhata-amataṭṭhena nirodhaṃ, niyyāna-hetu-dassanādhipateyyaṭṭhena maggaṃ vibhattavā, vibhajitvā vivaritvā desitavāti vuttaṃ hoti. Tasmā vibhattavāti vattabbe bhagavāti vuccati .
ยสฺมา จ เอส ทิพฺพพฺรหฺมอริยวิหาเร กายจิตฺตอุปธิวิเวเก สุญฺญตปฺปณิหิตานิมิตฺตวิโมเกฺข อเญฺญ จ โลกิยโลกุตฺตเร อุตฺตริมนุสฺสธเมฺม ภชิ เสวิ พหุลมกาสิ, ตสฺมา ภตฺตวาติ วตฺตเพฺพ ภควาติ วุจฺจติฯ
Yasmā ca esa dibbabrahmaariyavihāre kāyacittaupadhiviveke suññatappaṇihitānimittavimokkhe aññe ca lokiyalokuttare uttarimanussadhamme bhaji sevi bahulamakāsi, tasmā bhattavāti vattabbe bhagavāti vuccati.
ยสฺมา ปน ตีสุ ภเวสุ ตณฺหาสงฺขาตํ คมนมเนน วนฺตํ, ตสฺมา ภเวสุ วนฺตคมโนติ วตฺตเพฺพ ภวสทฺทโต ภการํ, คมนสทฺทโต คการํ, วนฺตสทฺทโต วการญฺจ ทีฆํ กตฺวา อาทาย ภควาติ วุจฺจติฯ ยถา โลเก ‘‘เมหนสฺส ขสฺส มาลา’’ติ วตฺตเพฺพ ‘‘เมขลา’’ติ วุจฺจติฯ
Yasmā pana tīsu bhavesu taṇhāsaṅkhātaṃ gamanamanena vantaṃ, tasmā bhavesu vantagamanoti vattabbe bhavasaddato bhakāraṃ, gamanasaddato gakāraṃ, vantasaddato vakārañca dīghaṃ katvā ādāya bhagavāti vuccati. Yathā loke ‘‘mehanassa khassa mālā’’ti vattabbe ‘‘mekhalā’’ti vuccati.
โส อิมํ โลกนฺติ โส ภควา อิมํ โลกํฯ อิทานิ วตฺตพฺพํ นิทเสฺสติฯ สเทวกนฺติ สห เทเวหิ สเทวกํ; เอวํ สห มาเรน สมารกํ; สห พฺรหฺมุนา สพฺรหฺมกํ; สห สมณพฺราหฺมเณหิ สสฺสมณพฺราหฺมณิํ; ปชาตตฺตา ปชา, ตํ ปชํ; สห เทวมนุเสฺสหิ สเทวมนุสฺสํฯ ตตฺถ สเทวกวจเนน ปญฺจกามาวจรเทวคฺคหณํ เวทิตพฺพํ, สมารกวจเนน ฉฎฺฐกามาวจรเทวคฺคหณํ, สพฺรหฺมกวจเนน พฺรหฺมกายิกาทิพฺรหฺมคฺคหณํ, สสฺสมณพฺราหฺมณีวจเนน สาสนสฺส ปจฺจตฺถิกปจฺจามิตฺตสมณพฺราหฺมณคฺคหณํ, สมิตปาป-พาหิตปาป-สมณพฺราหฺมณคฺคหณญฺจ, ปชาวจเนน สตฺตโลกคฺคหณํ, สเทวมนุสฺสวจเนน สมฺมุติเทวอวเสสมนุสฺสคฺคหณํฯ เอวเมตฺถ ตีหิ ปเทหิ โอกาสโลโก, ทฺวีหิ ปชาวเสน สตฺตโลโก คหิโตติ เวทิตโพฺพฯ
So imaṃ lokanti so bhagavā imaṃ lokaṃ. Idāni vattabbaṃ nidasseti. Sadevakanti saha devehi sadevakaṃ; evaṃ saha mārena samārakaṃ; saha brahmunā sabrahmakaṃ; saha samaṇabrāhmaṇehi sassamaṇabrāhmaṇiṃ; pajātattā pajā, taṃ pajaṃ; saha devamanussehi sadevamanussaṃ. Tattha sadevakavacanena pañcakāmāvacaradevaggahaṇaṃ veditabbaṃ, samārakavacanena chaṭṭhakāmāvacaradevaggahaṇaṃ, sabrahmakavacanena brahmakāyikādibrahmaggahaṇaṃ, sassamaṇabrāhmaṇīvacanena sāsanassa paccatthikapaccāmittasamaṇabrāhmaṇaggahaṇaṃ, samitapāpa-bāhitapāpa-samaṇabrāhmaṇaggahaṇañca, pajāvacanena sattalokaggahaṇaṃ, sadevamanussavacanena sammutidevaavasesamanussaggahaṇaṃ. Evamettha tīhi padehi okāsaloko, dvīhi pajāvasena sattaloko gahitoti veditabbo.
อปโร นโย – สเทวกคฺคหเณน อรูปาวจรเทวโลโก คหิโต, สมารกคฺคหเณน ฉกามาวจรเทวโลกา, สพฺรหฺมกคฺคหเณน รูปีพฺรหฺมโลโก, สสฺสมณพฺราหฺมณาทิคฺคหเณน จตุปริสวเสน สมฺมุติเทเวหิ วา สห มนุสฺสโลโก, อวเสสสพฺพสตฺตโลโก วาฯ
Aparo nayo – sadevakaggahaṇena arūpāvacaradevaloko gahito, samārakaggahaṇena chakāmāvacaradevalokā, sabrahmakaggahaṇena rūpībrahmaloko, sassamaṇabrāhmaṇādiggahaṇena catuparisavasena sammutidevehi vā saha manussaloko, avasesasabbasattaloko vā.
อปิเจตฺถ สเทวกวจเนน อุกฺกฎฺฐปริเจฺฉทโต สพฺพสฺสาปิ โลกสฺส สจฺฉิกตภาวํ สาเธโนฺต ตสฺส ภควโต กิตฺติสโทฺท อพฺภุคฺคโตฯ ตโต เยสํ สิยา – ‘‘มาโร มหานุภาโว ฉกามาวจริสฺสโร วสวตฺตี; กิํ โสปิ เอเตน สจฺฉิกโต’’ติ? เตสํ วิมติํ วิธมโนฺต สมารกนฺติ อพฺภุคฺคโตฯ เยสํ ปน สิยา – ‘‘พฺรหฺมา มหานุภาโว เอกงฺคุลิยา เอกสฺมิํ จกฺกวาฬสหเสฺส อาโลกํ ผรติ, ทฺวีหิ…เป.… ทสหิ องฺคุลีหิ ทสสุ จกฺกวาฬสหเสฺสสุ อาโลกํ ผรติ, อนุตฺตรญฺจ ฌานสมาปตฺติสุขํ ปฎิสํเวเทติ, กิํ โสปิ สจฺฉิกโต’’ติ? เตสํ วิมติํ วิธมโนฺต สพฺรหฺมกนฺติ อพฺภุคฺคโตฯ ตโต เยสํ สิยา – ‘‘ปุถูสมณพฺราหฺมณา สาสนปจฺจตฺถิกา, กิํ เตปิ สจฺฉิกตา’’ติ? เตสํ วิมติํ วิธมโนฺต สสฺสมณพฺราหฺมณิํ ปชนฺติ อพฺภุคฺคโตฯ เอวํ อุกฺกฎฺฐุกฺกฎฺฐานํ สจฺฉิกตภาวํ ปกาเสตฺวา อถ สมฺมุติเทเว อวเสสมนุเสฺส จ อุปาทาย อุกฺกฎฺฐปริเจฺฉทวเสน เสสสตฺตโลกสฺส สจฺฉิกตภาวํ ปกาเสโนฺต สเทวมนุสฺสนฺติ อพฺภุคฺคโตฯ อยเมตฺถานุสนฺธิกฺกโมฯ
Apicettha sadevakavacanena ukkaṭṭhaparicchedato sabbassāpi lokassa sacchikatabhāvaṃ sādhento tassa bhagavato kittisaddo abbhuggato. Tato yesaṃ siyā – ‘‘māro mahānubhāvo chakāmāvacarissaro vasavattī; kiṃ sopi etena sacchikato’’ti? Tesaṃ vimatiṃ vidhamanto samārakanti abbhuggato. Yesaṃ pana siyā – ‘‘brahmā mahānubhāvo ekaṅguliyā ekasmiṃ cakkavāḷasahasse ālokaṃ pharati, dvīhi…pe… dasahi aṅgulīhi dasasu cakkavāḷasahassesu ālokaṃ pharati, anuttarañca jhānasamāpattisukhaṃ paṭisaṃvedeti, kiṃ sopi sacchikato’’ti? Tesaṃ vimatiṃ vidhamanto sabrahmakanti abbhuggato. Tato yesaṃ siyā – ‘‘puthūsamaṇabrāhmaṇā sāsanapaccatthikā, kiṃ tepi sacchikatā’’ti? Tesaṃ vimatiṃ vidhamanto sassamaṇabrāhmaṇiṃ pajanti abbhuggato. Evaṃ ukkaṭṭhukkaṭṭhānaṃ sacchikatabhāvaṃ pakāsetvā atha sammutideve avasesamanusse ca upādāya ukkaṭṭhaparicchedavasena sesasattalokassa sacchikatabhāvaṃ pakāsento sadevamanussanti abbhuggato. Ayametthānusandhikkamo.
สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทตีติ เอตฺถ ปน สยนฺติ สามํ, อปรเนโยฺย หุตฺวา; อภิญฺญาติ อภิญฺญาย, อธิเกน ญาเณน ญตฺวาติ อโตฺถฯ สจฺฉิกตฺวาติ ปจฺจกฺขํ กตฺวา, เอเตน อนุมานาทิปฎิเกฺขโป กโต โหติฯ ปเวเทตีติ โพเธติ ญาเปติ ปกาเสติฯ โส ธมฺมํ เทเสติ อาทิกลฺยาณํ…เป.… ปริโยสานกลฺยาณนฺติ โส ภควา สเตฺตสุ การุญฺญตํ ปฎิจฺจ หิตฺวาปิ อนุตฺตรํ วิเวกสุขํ ธมฺมํ เทเสติฯ ตญฺจ โข อปฺปํ วา พหุํ วา เทเสโนฺต อาทิกลฺยาณาทิปฺปการเมว เทเสติฯ
Sayaṃ abhiññā sacchikatvā pavedetīti ettha pana sayanti sāmaṃ, aparaneyyo hutvā; abhiññāti abhiññāya, adhikena ñāṇena ñatvāti attho. Sacchikatvāti paccakkhaṃ katvā, etena anumānādipaṭikkhepo kato hoti. Pavedetīti bodheti ñāpeti pakāseti. So dhammaṃ deseti ādikalyāṇaṃ…pe… pariyosānakalyāṇanti so bhagavā sattesu kāruññataṃ paṭicca hitvāpi anuttaraṃ vivekasukhaṃ dhammaṃ deseti. Tañca kho appaṃ vā bahuṃ vā desento ādikalyāṇādippakārameva deseti.
กถํ? เอกคาถาปิ หิ สมนฺตภทฺรกตฺตา ธมฺมสฺส ปฐมปาเทน อาทิกลฺยาณา, ทุติยตติยปาเทหิ มเชฺฌกลฺยาณา, ปจฺฉิมปาเทน ปริโยสานกลฺยาณาฯ เอกานุสนฺธิกํ สุตฺตํ นิทาเนน อาทิกลฺยาณํ, นิคมเนน ปริโยสานกลฺยาณํ, เสเสน มเชฺฌกลฺยาณํฯ นานานุสนฺธิกํ สุตฺตํ ปฐมานุสนฺธินา อาทิกลฺยาณํ, ปจฺฉิเมน ปริโยสานกลฺยาณํ, เสเสหิ มเชฺฌกลฺยาณํฯ สกโลปิ สาสนธโมฺม อตฺตโน อตฺถภูเตน สีเลน อาทิกลฺยาโณ, สมถวิปสฺสนามคฺคผเลหิ มเชฺฌกลฺยาโณ, นิพฺพาเนน ปริโยสานกลฺยาโณฯ สีลสมาธีหิ วา อาทิกลฺยาโณ, วิปสฺสนามเคฺคหิ มเชฺฌกลฺยาโณ, ผลนิพฺพาเนหิ ปริโยสานกลฺยาโณ ฯ พุทฺธสุโพธิตาย วา อาทิกลฺยาโณ, ธมฺมสุธมฺมตาย มเชฺฌกลฺยาโณ, สงฺฆสุปฺปฎิปตฺติยา ปริโยสานกลฺยาโณฯ ตํ สุตฺวา ตถตฺตาย ปฎิปเนฺนน อธิคนฺตพฺพาย อภิสโมฺพธิยา วา อาทิกลฺยาโณ, ปเจฺจกโพธิยา มเชฺฌกลฺยาโณ, สาวกโพธิยา ปริโยสานกลฺยาโณฯ สุยฺยมาโน เจส นีวรณวิกฺขมฺภนโต สวเนนปิ กลฺยาณเมว อาวหตีติ อาทิกลฺยาโณ, ปฎิปชฺชิยมาโน สมถวิปสฺสนาสุขาวหนโต ปฎิปตฺติยาปิ กลฺยาณเมว อาวหตีติ มเชฺฌกลฺยาโณ, ตถา ปฎิปโนฺน จ ปฎิปตฺติผเล นิฎฺฐิเต ตาทิภาวาวหนโต ปฎิปตฺติผเลนปิ กลฺยาณเมว อาวหตีติ ปริโยสานกลฺยาโณฯ นาถปฺปภวตฺตา จ ปภวสุทฺธิยา อาทิกลฺยาโณ, อตฺถสุทฺธิยา มเชฺฌกลฺยาโณ , กิจฺจสุทฺธิยา ปริโยสานกลฺยาโณฯ ตสฺมา เอโส ภควา อปฺปํ วา พหุํ วา เทเสโนฺต อาทิกลฺยาณาทิปฺปการเมว เทเสตีติ เวทิตโพฺพฯ
Kathaṃ? Ekagāthāpi hi samantabhadrakattā dhammassa paṭhamapādena ādikalyāṇā, dutiyatatiyapādehi majjhekalyāṇā, pacchimapādena pariyosānakalyāṇā. Ekānusandhikaṃ suttaṃ nidānena ādikalyāṇaṃ, nigamanena pariyosānakalyāṇaṃ, sesena majjhekalyāṇaṃ. Nānānusandhikaṃ suttaṃ paṭhamānusandhinā ādikalyāṇaṃ, pacchimena pariyosānakalyāṇaṃ, sesehi majjhekalyāṇaṃ. Sakalopi sāsanadhammo attano atthabhūtena sīlena ādikalyāṇo, samathavipassanāmaggaphalehi majjhekalyāṇo, nibbānena pariyosānakalyāṇo. Sīlasamādhīhi vā ādikalyāṇo, vipassanāmaggehi majjhekalyāṇo, phalanibbānehi pariyosānakalyāṇo . Buddhasubodhitāya vā ādikalyāṇo, dhammasudhammatāya majjhekalyāṇo, saṅghasuppaṭipattiyā pariyosānakalyāṇo. Taṃ sutvā tathattāya paṭipannena adhigantabbāya abhisambodhiyā vā ādikalyāṇo, paccekabodhiyā majjhekalyāṇo, sāvakabodhiyā pariyosānakalyāṇo. Suyyamāno cesa nīvaraṇavikkhambhanato savanenapi kalyāṇameva āvahatīti ādikalyāṇo, paṭipajjiyamāno samathavipassanāsukhāvahanato paṭipattiyāpi kalyāṇameva āvahatīti majjhekalyāṇo, tathā paṭipanno ca paṭipattiphale niṭṭhite tādibhāvāvahanato paṭipattiphalenapi kalyāṇameva āvahatīti pariyosānakalyāṇo. Nāthappabhavattā ca pabhavasuddhiyā ādikalyāṇo, atthasuddhiyā majjhekalyāṇo , kiccasuddhiyā pariyosānakalyāṇo. Tasmā eso bhagavā appaṃ vā bahuṃ vā desento ādikalyāṇādippakārameva desetīti veditabbo.
สาตฺถํ สพฺยญฺชนนฺติ เอวมาทีสุ ปน ยสฺมา อิมํ ธมฺมํ เทเสโนฺต สาสนพฺรหฺมจริยํ มคฺคพฺรหฺมจริยญฺจ ปกาเสติ, นานานเยหิ ทีเปติ; ตญฺจ ยถานุรูปํ อตฺถสมฺปตฺติยา สาตฺถํ, พฺยญฺชนสมฺปตฺติยา สพฺยญฺชนํฯ สงฺกาสนปกาสน-วิวรณ-วิภชน-อุตฺตานีกรณ-ปญฺญตฺติ-อตฺถปทสมาโยคโต สาตฺถํ, อกฺขรปท-พฺยญฺชนาการนิรุตฺตินิเทฺทสสมฺปตฺติยา สพฺยญฺชนํฯ อตฺถคมฺภีรตา-ปฎิเวธคมฺภีรตาหิ สาตฺถํ, ธมฺมคมฺภีรตาเทสนาคมฺภีรตาหิ สพฺยญฺชนํฯ อตฺถปฎิภานปฎิสมฺภิทาวิสยโต สาตฺถํ, ธมฺมนิรุตฺติปฎิสมฺภิทาวิสยโต สพฺยญฺชนํฯ ปณฺฑิตเวทนียโต ปริกฺขกชนปฺปสาทกนฺติ สาตฺถํ, สเทฺธยฺยโต โลกิยชนปฺปสาทกนฺติ สพฺยญฺชนํฯ คมฺภีราธิปฺปายโต สาตฺถํ, อุตฺตานปทโต สพฺยญฺชนํฯ อุปเนตพฺพสฺส อภาวโต สกลปริปุณฺณภาเวน เกวลปริปุณฺณํ; อปเนตพฺพสฺส อภาวโต นิโทฺทสภาเวน ปริสุทฺธํ; สิกฺขตฺตยปริคฺคหิตตฺตา พฺรหฺมภูเตหิ เสเฎฺฐหิ จริตพฺพโต เตสญฺจ จริยภาวโต พฺรหฺมจริยํฯ ตสฺมา ‘‘สาตฺถํ สพฺยญฺชนํ…เป.… พฺรหฺมจริยํ ปกาเสตี’’ติ วุจฺจติฯ
Sātthaṃ sabyañjananti evamādīsu pana yasmā imaṃ dhammaṃ desento sāsanabrahmacariyaṃ maggabrahmacariyañca pakāseti, nānānayehi dīpeti; tañca yathānurūpaṃ atthasampattiyā sātthaṃ, byañjanasampattiyā sabyañjanaṃ. Saṅkāsanapakāsana-vivaraṇa-vibhajana-uttānīkaraṇa-paññatti-atthapadasamāyogato sātthaṃ, akkharapada-byañjanākāraniruttiniddesasampattiyā sabyañjanaṃ. Atthagambhīratā-paṭivedhagambhīratāhi sātthaṃ, dhammagambhīratādesanāgambhīratāhi sabyañjanaṃ. Atthapaṭibhānapaṭisambhidāvisayato sātthaṃ, dhammaniruttipaṭisambhidāvisayato sabyañjanaṃ. Paṇḍitavedanīyato parikkhakajanappasādakanti sātthaṃ, saddheyyato lokiyajanappasādakanti sabyañjanaṃ. Gambhīrādhippāyato sātthaṃ, uttānapadato sabyañjanaṃ. Upanetabbassa abhāvato sakalaparipuṇṇabhāvena kevalaparipuṇṇaṃ; apanetabbassa abhāvato niddosabhāvena parisuddhaṃ; sikkhattayapariggahitattā brahmabhūtehi seṭṭhehi caritabbato tesañca cariyabhāvato brahmacariyaṃ. Tasmā ‘‘sātthaṃ sabyañjanaṃ…pe… brahmacariyaṃ pakāsetī’’ti vuccati.
อปิจ ยสฺมา สนิทานํ สอุปฺปตฺติกญฺจ เทเสโนฺต อาทิกลฺยาณํ เทเสติ, เวเนยฺยานํ อนุรูปโต อตฺถสฺส อวิปรีตตาย จ เหตุทาหรณยุตฺตโต จ มเชฺฌกลฺยาณํ, โสตูนํ สทฺธาปฎิลาเภน นิคมเนน จ ปริโยสานกลฺยาณํ เทเสติฯ เอวํ เทเสโนฺต จ พฺรหฺมจริยํ ปกาเสติฯ ตญฺจ ปฎิปตฺติยา อธิคมพฺยตฺติโต สาตฺถํ, ปริยตฺติยา อาคมพฺยตฺติโต สพฺยญฺชนํ, สีลาทิปญฺจธมฺมกฺขนฺธยุตฺตโต เกวลปริปุณฺณํ, นิรุปกฺกิเลสโต นิตฺถรณตฺถาย ปวตฺติโต โลกามิสนิรเปกฺขโต จ ปริสุทฺธํ, เสฎฺฐเฎฺฐน พฺรหฺมภูตานํ พุทฺธ-ปเจฺจกพุทฺธ-พุทฺธสาวกานํ จริยโต ‘‘พฺรหฺมจริย’’นฺติ วุจฺจติฯ ตสฺมาปิ ‘‘โส ธมฺมํ เทเสติ อาทิกลฺยาณํ…เป.… พฺรหฺมจริยํ ปกาเสตี’’ติ วุจฺจติฯ
Apica yasmā sanidānaṃ sauppattikañca desento ādikalyāṇaṃ deseti, veneyyānaṃ anurūpato atthassa aviparītatāya ca hetudāharaṇayuttato ca majjhekalyāṇaṃ, sotūnaṃ saddhāpaṭilābhena nigamanena ca pariyosānakalyāṇaṃ deseti. Evaṃ desento ca brahmacariyaṃ pakāseti. Tañca paṭipattiyā adhigamabyattito sātthaṃ, pariyattiyā āgamabyattito sabyañjanaṃ, sīlādipañcadhammakkhandhayuttato kevalaparipuṇṇaṃ, nirupakkilesato nittharaṇatthāya pavattito lokāmisanirapekkhato ca parisuddhaṃ, seṭṭhaṭṭhena brahmabhūtānaṃ buddha-paccekabuddha-buddhasāvakānaṃ cariyato ‘‘brahmacariya’’nti vuccati. Tasmāpi ‘‘so dhammaṃ deseti ādikalyāṇaṃ…pe… brahmacariyaṃ pakāsetī’’ti vuccati.
สาธุ โข ปนาติ สุนฺทรํ โข ปน อตฺถาวหํ สุขาวหนฺติ วุตฺตํ โหติฯ ตถารูปานํ อรหตนฺติ ยถารูโป โส ภว โคตโม, เอวรูปานํ ยถาภุจฺจคุณาธิคเมน โลเก อรหโนฺตติ ลทฺธสทฺทานํ อรหตํฯ ทสฺสนํ โหตีติ ปสาทโสมฺมานิ อกฺขีนิ อุมฺมีลิตฺวา ‘‘ทสฺสนมตฺตมฺปิ สาธุ โหตี’’ติ เอวํ อชฺฌาสยํ กตฺวา อถ โข เวรโญฺช พฺราหฺมโณ เยน ภควา เตนุปสงฺกมีติฯ
Sādhu kho panāti sundaraṃ kho pana atthāvahaṃ sukhāvahanti vuttaṃ hoti. Tathārūpānaṃ arahatanti yathārūpo so bhava gotamo, evarūpānaṃ yathābhuccaguṇādhigamena loke arahantoti laddhasaddānaṃ arahataṃ. Dassanaṃ hotīti pasādasommāni akkhīni ummīlitvā ‘‘dassanamattampi sādhu hotī’’ti evaṃ ajjhāsayaṃ katvā atha kho verañjo brāhmaṇo yena bhagavā tenupasaṅkamīti.
๒. เยนาติ ภุมฺมเตฺถ กรณวจนํฯ ตสฺมา ยตฺถ ภควา ตตฺถ อุปสงฺกมีติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพ ฯ เยน วา การเณน ภควา เทวมนุเสฺสหิ อุปสงฺกมิตโพฺพ, เตน การเณน อุปสงฺกมีติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ เกน จ การเณน ภควา อุปสงฺกมิตโพฺพ? นานปฺปการคุณวิเสสาธิคมาธิปฺปาเยน, สาทุผลูปโภคาธิปฺปาเยน ทิชคเณหิ นิจฺจผลิตมหารุโกฺข วิยฯ อุปสงฺกมีติ จ คโตติ วุตฺตํ โหติฯ อุปสงฺกมิตฺวาติ อุปสงฺกมนปริโยสานทีปนํฯ อถ วา เอวํ คโต ตโต อาสนฺนตรํ ฐานํ ภควโต สมีปสงฺขาตํ คนฺตฺวาติปิ วุตฺตํ โหติฯ
2.Yenāti bhummatthe karaṇavacanaṃ. Tasmā yattha bhagavā tattha upasaṅkamīti evamettha attho daṭṭhabbo . Yena vā kāraṇena bhagavā devamanussehi upasaṅkamitabbo, tena kāraṇena upasaṅkamīti evamettha attho daṭṭhabbo. Kena ca kāraṇena bhagavā upasaṅkamitabbo? Nānappakāraguṇavisesādhigamādhippāyena, sāduphalūpabhogādhippāyena dijagaṇehi niccaphalitamahārukkho viya. Upasaṅkamīti ca gatoti vuttaṃ hoti. Upasaṅkamitvāti upasaṅkamanapariyosānadīpanaṃ. Atha vā evaṃ gato tato āsannataraṃ ṭhānaṃ bhagavato samīpasaṅkhātaṃ gantvātipi vuttaṃ hoti.
ภควตา สทฺธิํ สโมฺมทีติ ยถา ขมนียาทีนิ ปุจฺฉโนฺต ภควา เตน, เอวํ โสปิ ภควตา สทฺธิํ สมปฺปวตฺตโมโท อโหสิ, สีโตทกํ วิย อุโณฺหทเกน สโมฺมทิตํ เอกีภาวํ อคมาสิฯ ยาย จ ‘‘กจฺจิ, โภ, โคตม, ขมนียํ; กจฺจิ ยาปนียํ, กจฺจิ โภโต โคตมสฺส, จ สาวกานญฺจ อปฺปาพาธํ อปฺปาตงฺกํ ลหุฎฺฐานํ พลํ ผาสุวิหาโร’’ติอาทิกาย กถาย สโมฺมทิ, ตํ ปีติปาโมชฺชสงฺขาตํ สโมฺมทํ ชนนโต สโมฺมทิตุํ ยุตฺตภาวโต จ สโมฺมทนียํฯ อตฺถพฺยญฺชนมธุรตาย สุจิรมฺปิ กาลํ สาเรตุํ นิรนฺตรํ ปวเตฺตตุํ อรหรูปโต สริตพฺพภาวโต จ สารณียํ, สุยฺยมานสุขโต วา สโมฺมทนียํ, อนุสฺสริยมานสุขโต สารณียํฯ ตถา พฺยญฺชนปริสุทฺธตาย สโมฺมทนียํ, อตฺถปริสุทฺธตาย สารณียนฺติฯ เอวํ อเนเกหิ ปริยาเยหิ สโมฺมทนียํ สารณียํ กถํ วีติสาเรตฺวา ปริโยสาเปตฺวา นิฎฺฐาเปตฺวา เยนเตฺถน อาคโต ตํ ปุจฺฉิตุกาโม เอกมนฺตํ นิสีทิฯ
Bhagavatā saddhiṃ sammodīti yathā khamanīyādīni pucchanto bhagavā tena, evaṃ sopi bhagavatā saddhiṃ samappavattamodo ahosi, sītodakaṃ viya uṇhodakena sammoditaṃ ekībhāvaṃ agamāsi. Yāya ca ‘‘kacci, bho, gotama, khamanīyaṃ; kacci yāpanīyaṃ, kacci bhoto gotamassa, ca sāvakānañca appābādhaṃ appātaṅkaṃ lahuṭṭhānaṃ balaṃ phāsuvihāro’’tiādikāya kathāya sammodi, taṃ pītipāmojjasaṅkhātaṃ sammodaṃ jananato sammodituṃ yuttabhāvato ca sammodanīyaṃ. Atthabyañjanamadhuratāya sucirampi kālaṃ sāretuṃ nirantaraṃ pavattetuṃ araharūpato saritabbabhāvato ca sāraṇīyaṃ, suyyamānasukhato vā sammodanīyaṃ, anussariyamānasukhato sāraṇīyaṃ. Tathā byañjanaparisuddhatāya sammodanīyaṃ, atthaparisuddhatāya sāraṇīyanti. Evaṃ anekehi pariyāyehi sammodanīyaṃ sāraṇīyaṃ kathaṃ vītisāretvā pariyosāpetvā niṭṭhāpetvā yenatthena āgato taṃ pucchitukāmo ekamantaṃ nisīdi.
เอกมนฺตนฺติ ภาวนปุํสกนิเทฺทโส ‘‘วิสมํ จนฺทิมสูริยา ปริวตฺตนฺตี’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๔.๗๐) วิยฯ ตสฺมา ยถา นิสิโนฺน เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โหติ ตถา นิสีทีติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ ภุมฺมเตฺถ วา เอตํ อุปโยควจนํฯ นิสีทีติ อุปาวิสิฯ ปณฺฑิตา หิ ปุริสา ครุฎฺฐานิยํ อุปสงฺกมิตฺวา อาสนกุสลตาย เอกมนฺตํ นิสีทนฺติฯ อยญฺจ เตสํ อญฺญตโร, ตสฺมา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ
Ekamantanti bhāvanapuṃsakaniddeso ‘‘visamaṃ candimasūriyā parivattantī’’tiādīsu (a. ni. 4.70) viya. Tasmā yathā nisinno ekamantaṃ nisinno hoti tathā nisīdīti evamettha attho daṭṭhabbo. Bhummatthe vā etaṃ upayogavacanaṃ. Nisīdīti upāvisi. Paṇḍitā hi purisā garuṭṭhāniyaṃ upasaṅkamitvā āsanakusalatāya ekamantaṃ nisīdanti. Ayañca tesaṃ aññataro, tasmā ekamantaṃ nisīdi.
กถํ นิสิโนฺน ปน เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โหตีติ? ฉ นิสชฺชโทเส วเชฺชตฺวาฯ เสยฺยถิทํ – อติทูรํ, อจฺจาสนฺนํ, อุปริวาตํ, อุนฺนตปฺปเทสํ, อติสมฺมุขํ, อติปจฺฉาติฯ อติทูเร นิสิโนฺน หิ สเจ กเถตุกาโม โหติ อุจฺจาสเทฺทน กเถตพฺพํ โหติฯ อจฺจาสเนฺน นิสิโนฺน สงฺฆฎฺฎนํ กโรติฯ อุปริวาเต นิสิโนฺน สรีรคเนฺธน พาธติฯ อุนฺนตปฺปเทเส นิสิโนฺน อคารวํ ปกาเสติฯ อติสมฺมุขา นิสิโนฺน สเจ ทฎฺฐุกาโม โหติ, จกฺขุนา จกฺขุํ อาหจฺจ ทฎฺฐพฺพํ โหติฯ อติปจฺฉา นิสิโนฺน สเจ ทฎฺฐุกาโม โหติ คีวํ ปสาเรตฺวา ทฎฺฐพฺพํ โหติฯ ตสฺมา อยมฺปิ เอเต ฉ นิสชฺชโทเส วเชฺชตฺวา นิสีทิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘เอกมนฺตํ นิสีที’’ติฯ
Kathaṃ nisinno pana ekamantaṃ nisinno hotīti? Cha nisajjadose vajjetvā. Seyyathidaṃ – atidūraṃ, accāsannaṃ, uparivātaṃ, unnatappadesaṃ, atisammukhaṃ, atipacchāti. Atidūre nisinno hi sace kathetukāmo hoti uccāsaddena kathetabbaṃ hoti. Accāsanne nisinno saṅghaṭṭanaṃ karoti. Uparivāte nisinno sarīragandhena bādhati. Unnatappadese nisinno agāravaṃ pakāseti. Atisammukhā nisinno sace daṭṭhukāmo hoti, cakkhunā cakkhuṃ āhacca daṭṭhabbaṃ hoti. Atipacchā nisinno sace daṭṭhukāmo hoti gīvaṃ pasāretvā daṭṭhabbaṃ hoti. Tasmā ayampi ete cha nisajjadose vajjetvā nisīdi. Tena vuttaṃ – ‘‘ekamantaṃ nisīdī’’ti.
เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โข เวรโญฺช พฺราหฺมโณ ภควนฺตํ เอตทโวจาติ เอตนฺติ อิทานิ วตฺตพฺพมตฺถํ ทเสฺสติฯ ทกาโร ปทสนฺธิกโรฯ อโวจาติ อภาสิฯ สุตํ เมตนฺติ สุตํ เม เอตํ, เอตํ มยา สุตนฺติ อิทานิ วตฺตพฺพมตฺถํ ทเสฺสติฯ โภ โคตมาติ ภควนฺตํ โคเตฺตน อาลปติฯ
Ekamantaṃ nisinno kho verañjo brāhmaṇo bhagavantaṃ etadavocāti etanti idāni vattabbamatthaṃ dasseti. Dakāro padasandhikaro. Avocāti abhāsi. Sutaṃ metanti sutaṃ me etaṃ, etaṃ mayā sutanti idāni vattabbamatthaṃ dasseti. Bho gotamāti bhagavantaṃ gottena ālapati.
อิทานิ ยํ เตน สุตํ – ตํ ทเสฺสโนฺต น สมโณ โคตโมติ เอวมาทิมาหฯ ตตฺรายํ อนุตฺตานปทวณฺณนา – พฺราหฺมเณติ ชาติพฺราหฺมเณฯ ชิเณฺณติ ชชฺชรีภูเต ชราย ขณฺฑิจฺจาทิภาวํ อาปาทิเตฯ วุเฑฺฒติ องฺคปจฺจงฺคานํ วุฑฺฒิมริยาทปฺปเตฺตฯ มหลฺลเกติ ชาติมหลฺลกตาย สมนฺนาคเต, จิรกาลปฺปสุเตติ วุตฺตํ โหติฯ อทฺธคเตติ อทฺธานํ คเต , เทฺว ตโย ราชปริวเฎฺฎ อตีเตติ อธิปฺปาโยฯ วโย อนุปฺปเตฺตติ ปจฺฉิมวยํ สมฺปเตฺต, ปจฺฉิมวโย นาม วสฺสสตสฺส ปจฺฉิโม ตติยภาโคฯ
Idāni yaṃ tena sutaṃ – taṃ dassento na samaṇo gotamoti evamādimāha. Tatrāyaṃ anuttānapadavaṇṇanā – brāhmaṇeti jātibrāhmaṇe. Jiṇṇeti jajjarībhūte jarāya khaṇḍiccādibhāvaṃ āpādite. Vuḍḍheti aṅgapaccaṅgānaṃ vuḍḍhimariyādappatte. Mahallaketi jātimahallakatāya samannāgate, cirakālappasuteti vuttaṃ hoti. Addhagateti addhānaṃ gate , dve tayo rājaparivaṭṭe atīteti adhippāyo. Vayo anuppatteti pacchimavayaṃ sampatte, pacchimavayo nāma vassasatassa pacchimo tatiyabhāgo.
อปิจ – ชิเณฺณติ โปราเณ, จิรกาลปฺปวตฺตกุลนฺวเยติ วุตฺตํ โหติฯ วุเฑฺฒติ สีลาจาราทิคุณวุฑฺฒิยุเตฺตฯ มหลฺลเกติ วิภวมหตฺตตาย สมนฺนาคเต มหทฺธเน มหาโภเคฯ อทฺธคเตติ มคฺคปฺปฎิปเนฺน, พฺราหฺมณานํ วตจริยาทิมริยาทํ อวีติกฺกมฺม จรมาเนฯ วโยอนุปฺปเตฺตติ ชาติวุฑฺฒภาวํ อนฺติมวยํ อนุปฺปเตฺตติ เอวเมตฺถ โยชนา เวทิตพฺพาฯ
Apica – jiṇṇeti porāṇe, cirakālappavattakulanvayeti vuttaṃ hoti. Vuḍḍheti sīlācārādiguṇavuḍḍhiyutte. Mahallaketi vibhavamahattatāya samannāgate mahaddhane mahābhoge. Addhagateti maggappaṭipanne, brāhmaṇānaṃ vatacariyādimariyādaṃ avītikkamma caramāne. Vayoanuppatteti jātivuḍḍhabhāvaṃ antimavayaṃ anuppatteti evamettha yojanā veditabbā.
อิทานิ อภิวาเทตีติ เอวมาทีนิ ‘‘น สมโณ โคตโม’’ติ เอตฺถ วุตฺตนกาเรน โยเชตฺวา เอวมตฺถโต เวทิตพฺพานิ – ‘‘น วนฺทติ วา, นาสนา วุฎฺฐหติ วา, นาปิ ‘อิธ โภโนฺต นิสีทนฺตู’ติ เอวํ อาสเนน วา อุปนิมเนฺตตี’’ติฯ เอตฺถ หิ วา สโทฺท วิภาวเน นาม อเตฺถ, ‘‘รูปํ นิจฺจํ วา อนิจฺจํ วา’’ติอาทีสุ วิยฯ เอวํ วตฺวา อถ อตฺตโน อภิวาทนาทีนิ อกโรนฺตํ ภควนฺตํ ทิสฺวา อาห – ‘‘ตยิทํ โภ โคตม ตเถวา’’ติฯ ยํ ตํ มยา สุตํ – ตํ ตเถว, ตํ สวนญฺจ เม ทสฺสนญฺจ สํสนฺทติ สเมติ, อตฺถโต เอกีภาวํ คจฺฉติฯ ‘‘น หิ ภวํ โคตโม…เป.… อาสเนน วา นิมเนฺตตี’’ติ เอวํ อตฺตนา สุตํ ทิเฎฺฐน นิคเมตฺวา นินฺทโนฺต อาห – ‘‘ตยิทํ โภ โคตม น สมฺปนฺนเมวา’’ติ ตํ อภิวาทนาทีนํ อกรณํ น ยุตฺตเมวฯ
Idāni abhivādetīti evamādīni ‘‘na samaṇo gotamo’’ti ettha vuttanakārena yojetvā evamatthato veditabbāni – ‘‘na vandati vā, nāsanā vuṭṭhahati vā, nāpi ‘idha bhonto nisīdantū’ti evaṃ āsanena vā upanimantetī’’ti. Ettha hi vā saddo vibhāvane nāma atthe, ‘‘rūpaṃ niccaṃ vā aniccaṃ vā’’tiādīsu viya. Evaṃ vatvā atha attano abhivādanādīni akarontaṃ bhagavantaṃ disvā āha – ‘‘tayidaṃ bho gotama tathevā’’ti. Yaṃ taṃ mayā sutaṃ – taṃ tatheva, taṃ savanañca me dassanañca saṃsandati sameti, atthato ekībhāvaṃ gacchati. ‘‘Na hi bhavaṃ gotamo…pe… āsanena vā nimantetī’’ti evaṃ attanā sutaṃ diṭṭhena nigametvā nindanto āha – ‘‘tayidaṃ bho gotama na sampannamevā’’ti taṃ abhivādanādīnaṃ akaraṇaṃ na yuttameva.
อถสฺส ภควา อตฺตุกฺกํสนปรวมฺภนโทสํ อนุปคมฺม กรุณาสีตลหทเยน ตํ อญฺญาณํ วิธมิตฺวา ยุตฺตภาวํ ทเสฺสตุกาโม อาห – ‘‘นาหํ ตํ พฺราหฺมณ …เป.… มุทฺธาปิ ตสฺส วิปเตยฺยา’’ติฯ ตตฺรายํ สเงฺขปโตฺถ – ‘‘อหํ, พฺราหฺมณ, อปฺปฎิหเตน สพฺพญฺญุตญฺญาณจกฺขุนา โอโลเกโนฺตปิ ตํ ปุคฺคลํ เอตสฺมิํ สเทวกาทิเภเท โลเก น ปสฺสามิ, ยมหํ อภิวาเทยฺยํ วา ปจฺจุเฎฺฐยฺยํ วา อาสเนน วา นิมเนฺตยฺยํฯ อนจฺฉริยํ วา เอตํ, ยฺวาหํ อชฺช สพฺพญฺญุตํ ปโตฺต เอวรูปํ นิปจฺจการารหํ ปุคฺคลํ น ปสฺสามิฯ อปิจ โข ยทาปาหํ สมฺปติชาโตว อุตฺตราภิมุโข สตฺตปทวีติหาเรน คนฺตฺวา สกลํ ทสสหสฺสิโลกธาตุํ โอโลเกสิํ; ตทาปิ เอตสฺมิํ สเทวกาทิเภเท โลเก ตํ ปุคฺคลํ น ปสฺสามิ, ยมหํ อภิวาเทยฺยํ วา ปจฺจุเฎฺฐยฺยํ วา อาสเนน วา นิมเนฺตยฺยํฯ อถ โข มํ โสฬสกปฺปสหสฺสายุโก ขีณาสวมหาพฺรหฺมาปิ อญฺชลิํ ปคฺคเหตฺวา ‘‘ตฺวํ โลเก มหาปุริโส, ตฺวํ สเทวกสฺส โลกสฺส อโคฺค จ เชโฎฺฐ จ เสโฎฺฐ จ, นตฺถิ ตยา อุตฺตริตโร’’ติ สญฺชาตโสมนโสฺส ปตินาเมสิ; ตทาปิ จาหํ อตฺตนา อุตฺตริตรํ อปสฺสโนฺต อาสภิํ วาจํ นิจฺฉาเรสิํ – ‘‘อโคฺคหมสฺมิ โลกสฺส, เชโฎฺฐหมสฺมิ โลกสฺส, เสโฎฺฐหมสฺมิ โลกสฺสา’’ติฯ เอวํ สมฺปติชาตสฺสปิ มยฺหํ อภิวาทนาทิรโห ปุคฺคโล นตฺถิ, สฺวาหํ อิทานิ สพฺพญฺญุตํ ปโตฺต กํ อภิวาเทยฺยํ วา…เป.… อาสเนน วา นิมเนฺตยฺยํฯ ตสฺมา ตฺวํ, พฺราหฺมณ, มา ตถาคเต เอวรูปํ นิปจฺจการํ ปตฺถยิตฺถฯ ยญฺหิ, พฺราหฺมณ, ตถาคโต อภิวาเทยฺย วา…เป.… อาสเนน วา นิมเนฺตยฺย, มุทฺธาปิ ตสฺส ปุคฺคลสฺส รตฺติปริโยสาเน ปริปากสิถิลพนฺธนํ วณฺฎา ปวุตฺตตาลผลมิว คีวโต ปจฺฉิชฺชิตฺวา สหสาว ภูมิยํ วิปเตยฺยาติฯ
Athassa bhagavā attukkaṃsanaparavambhanadosaṃ anupagamma karuṇāsītalahadayena taṃ aññāṇaṃ vidhamitvā yuttabhāvaṃ dassetukāmo āha – ‘‘nāhaṃ taṃ brāhmaṇa…pe… muddhāpi tassa vipateyyā’’ti. Tatrāyaṃ saṅkhepattho – ‘‘ahaṃ, brāhmaṇa, appaṭihatena sabbaññutaññāṇacakkhunā olokentopi taṃ puggalaṃ etasmiṃ sadevakādibhede loke na passāmi, yamahaṃ abhivādeyyaṃ vā paccuṭṭheyyaṃ vā āsanena vā nimanteyyaṃ. Anacchariyaṃ vā etaṃ, yvāhaṃ ajja sabbaññutaṃ patto evarūpaṃ nipaccakārārahaṃ puggalaṃ na passāmi. Apica kho yadāpāhaṃ sampatijātova uttarābhimukho sattapadavītihārena gantvā sakalaṃ dasasahassilokadhātuṃ olokesiṃ; tadāpi etasmiṃ sadevakādibhede loke taṃ puggalaṃ na passāmi, yamahaṃ abhivādeyyaṃ vā paccuṭṭheyyaṃ vā āsanena vā nimanteyyaṃ. Atha kho maṃ soḷasakappasahassāyuko khīṇāsavamahābrahmāpi añjaliṃ paggahetvā ‘‘tvaṃ loke mahāpuriso, tvaṃ sadevakassa lokassa aggo ca jeṭṭho ca seṭṭho ca, natthi tayā uttaritaro’’ti sañjātasomanasso patināmesi; tadāpi cāhaṃ attanā uttaritaraṃ apassanto āsabhiṃ vācaṃ nicchāresiṃ – ‘‘aggohamasmi lokassa, jeṭṭhohamasmi lokassa, seṭṭhohamasmi lokassā’’ti. Evaṃ sampatijātassapi mayhaṃ abhivādanādiraho puggalo natthi, svāhaṃ idāni sabbaññutaṃ patto kaṃ abhivādeyyaṃ vā…pe… āsanena vā nimanteyyaṃ. Tasmā tvaṃ, brāhmaṇa, mā tathāgate evarūpaṃ nipaccakāraṃ patthayittha. Yañhi, brāhmaṇa, tathāgato abhivādeyya vā…pe… āsanena vā nimanteyya, muddhāpi tassa puggalassa rattipariyosāne paripākasithilabandhanaṃ vaṇṭā pavuttatālaphalamiva gīvato pacchijjitvā sahasāva bhūmiyaṃ vipateyyāti.
๓. เอวํ วุเตฺตปิ พฺราหฺมโณ ทุปฺปญฺญตาย ตถาคตสฺส โลเก เชฎฺฐภาวํ อสลฺลเกฺขโนฺต เกวลํ ตํ วจนํ อสหมาโน อาห – ‘‘อรสรูโป ภวํ โคตโม’’ติฯ อยํ กิรสฺส อธิปฺปาโย – ยํ โลเก อภิวาทนปจฺจุฎฺฐานอญฺชลิกมฺมสามีจิกมฺมํ ‘‘สามคฺคิรโส’’ติ วุจฺจติ, ตํ โภโต โคตมสฺส นตฺถิ , ตสฺมา อรสรูโป ภวํ โคตโม, อรสชาติโก อรสสภาโวติฯ อถสฺส ภควา จิตฺตมุทุภาวชนนตฺถํ อุชุวิปจฺจนีกภาวํ ปริหรโนฺต อญฺญถา ตสฺส วจนสฺสตฺถํ อตฺตนิ สนฺทเสฺสโนฺต ‘‘อตฺถิ เขฺวส พฺราหฺมณ ปริยาโย’’ติอาทิมาหฯ
3. Evaṃ vuttepi brāhmaṇo duppaññatāya tathāgatassa loke jeṭṭhabhāvaṃ asallakkhento kevalaṃ taṃ vacanaṃ asahamāno āha – ‘‘arasarūpo bhavaṃ gotamo’’ti. Ayaṃ kirassa adhippāyo – yaṃ loke abhivādanapaccuṭṭhānaañjalikammasāmīcikammaṃ ‘‘sāmaggiraso’’ti vuccati, taṃ bhoto gotamassa natthi , tasmā arasarūpo bhavaṃ gotamo, arasajātiko arasasabhāvoti. Athassa bhagavā cittamudubhāvajananatthaṃ ujuvipaccanīkabhāvaṃ pariharanto aññathā tassa vacanassatthaṃ attani sandassento ‘‘atthi khvesa brāhmaṇa pariyāyo’’tiādimāha.
ตตฺถ ปริยาโยติ การณํ; อยญฺหิ ปริยายสโทฺท เทสนา-วาร-การเณสุ วตฺตติฯ ‘‘มธุปิณฺฑิกปริยาโยเตฺวว นํ ธาเรหี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๒๐๕) หิ เอส เทสนายํ วตฺตติฯ ‘‘กสฺส นุ โข, อานนฺท, อชฺช ปริยาโย ภิกฺขุนิโย โอวทิตุ’’นฺติอาทีสุ (ม. นิ. ๓.๓๙๘) วาเรฯ ‘‘สาธุ, ภเนฺต, ภควา อญฺญํ ปริยายํ อาจิกฺขตุ, ยถายํ ภิกฺขุสโงฺฆ อญฺญาย สณฺฐเหยฺยา’’ติอาทีสุ (ปารา. ๑๖๔) การเณฯ สฺวายมิธ การเณ วตฺตติ ฯ ตสฺมา เอตฺถ เอวมโตฺถ ทฎฺฐโพฺพ – อตฺถิ โข, พฺราหฺมณ, เอตํ การณํ; เยน การเณน มํ ‘‘อรสรูโป ภวํ โคตโม’’ติ วทมาโน ปุคฺคโล สมฺมา วเทยฺย, อวิตถวาทีติ สงฺขฺยํ คเจฺฉยฺยฯ กตโม ปน โสติ? เย เต พฺราหฺมณ รูปรสา…เป.… โผฎฺฐพฺพรสา เต ตถาคตสฺส ปหีนาติฯ กิํ วุตฺตํ โหติ? เย เต ชาติวเสน วา อุปปตฺติวเสน วา เสฎฺฐสมฺมตานมฺปิ ปุถุชฺชนานํ รูปารมฺมณาทีนิ อสฺสาเทนฺตานํ อภินนฺทนฺตานํ รชฺชนฺตานํ อุปฺปชฺชนฺติ กามสุขสฺสาทสงฺขาตา รูปรสสทฺทคนฺธรสโผฎฺฐพฺพรสา, เย อิมํ โลกํ คีวาย พนฺธิตฺวา วิย อาวิญฺฉนฺติ, วตฺถารมฺมณาทิสามคฺคิยญฺจ อุปฺปนฺนตฺตา สามคฺคิรสาติ วุจฺจนฺติ, เต สเพฺพปิ ตถาคตสฺส ปหีนาติฯ มยฺหํ ปหีนาติ วตฺตเพฺพปิ มมากาเรน อตฺตานํ อนุกฺขิปโนฺต ธมฺมํ เทเสติฯ เทสนาวิลาโส วา เอส ภควโตฯ
Tattha pariyāyoti kāraṇaṃ; ayañhi pariyāyasaddo desanā-vāra-kāraṇesu vattati. ‘‘Madhupiṇḍikapariyāyotveva naṃ dhārehī’’tiādīsu (ma. ni. 1.205) hi esa desanāyaṃ vattati. ‘‘Kassa nu kho, ānanda, ajja pariyāyo bhikkhuniyo ovaditu’’ntiādīsu (ma. ni. 3.398) vāre. ‘‘Sādhu, bhante, bhagavā aññaṃ pariyāyaṃ ācikkhatu, yathāyaṃ bhikkhusaṅgho aññāya saṇṭhaheyyā’’tiādīsu (pārā. 164) kāraṇe. Svāyamidha kāraṇe vattati . Tasmā ettha evamattho daṭṭhabbo – atthi kho, brāhmaṇa, etaṃ kāraṇaṃ; yena kāraṇena maṃ ‘‘arasarūpo bhavaṃ gotamo’’ti vadamāno puggalo sammā vadeyya, avitathavādīti saṅkhyaṃ gaccheyya. Katamo pana soti? Ye te brāhmaṇa rūparasā…pe… phoṭṭhabbarasā te tathāgatassa pahīnāti. Kiṃ vuttaṃ hoti? Ye te jātivasena vā upapattivasena vā seṭṭhasammatānampi puthujjanānaṃ rūpārammaṇādīni assādentānaṃ abhinandantānaṃ rajjantānaṃ uppajjanti kāmasukhassādasaṅkhātā rūparasasaddagandharasaphoṭṭhabbarasā, ye imaṃ lokaṃ gīvāya bandhitvā viya āviñchanti, vatthārammaṇādisāmaggiyañca uppannattā sāmaggirasāti vuccanti, te sabbepi tathāgatassa pahīnāti. Mayhaṃ pahīnāti vattabbepi mamākārena attānaṃ anukkhipanto dhammaṃ deseti. Desanāvilāso vā esa bhagavato.
ตตฺถ ปหีนาติ จิตฺตสนฺตานโต วิคตา ชหิตา วาฯ เอตสฺมิํ ปนเตฺถ กรเณ สามิวจนํ ทฎฺฐพฺพํฯ อริยมคฺคสเตฺถน อุจฺฉินฺนํ ตณฺหาวิชฺชามยํ มูลเมเตสนฺติ อุจฺฉินฺนมูลาฯ ตาลวตฺถุ วิย เนสํ วตฺถุ กตนฺติ ตาลาวตฺถุกตาฯ ยถา หิ ตาลรุกฺขํ สมูลํ อุทฺธริตฺวา ตสฺส วตฺถุมเตฺต ตสฺมิํ ปเทเส กเต น ปุน ตสฺส ตาลสฺส อุปฺปตฺติ ปญฺญายติ; เอวํ อริยมคฺคสเตฺถน สมูเล รูปาทิรเส อุทฺธริตฺวา เตสํ ปุเพฺพ อุปฺปนฺนปุพฺพภาเวน วตฺถุมเตฺต จิตฺตสนฺตาเน กเต สเพฺพปิ เต ‘‘ตาลาวตฺถุกตา’’ติ วุจฺจนฺติฯ อวิรูฬฺหิธมฺมตฺตา วา มตฺถกจฺฉินฺนตาโล วิย กตาติ ตาลาวตฺถุกตาฯ ยสฺมา ปน เอวํ ตาลาวตฺถุกตา อนภาวํกตา โหนฺติ, ยถา เนสํ ปจฺฉาภาโว น โหติ, ตถา กตา โหนฺติ; ตสฺมา อาห – ‘‘อนภาวํกตา’’ติฯ อยเญฺหตฺถ ปทเจฺฉโท – อนุอภาวํ กตา อนภาวํกตาติฯ ‘‘อนภาวํ คตา’’ติปิ ปาโฐ, ตสฺส อนุอภาวํ คตาติ อโตฺถฯ ตตฺถ ปทเจฺฉโท อนุอภาวํ คตา อนภาวํ คตาติ, ยถา อนุอจฺฉริยา อนจฺฉริยาติฯ อายติํ อนุปฺปาทธมฺมาติ อนาคเต อนุปฺปชฺชนกสภาวาฯ เย หิ อภาวํ คตา, เต ปุน กถํ อุปฺปชฺชิสฺสนฺติ? เตนาห – ‘‘อนภาวํ คตา อายติํ อนุปฺปาทธมฺมา’’ติฯ
Tattha pahīnāti cittasantānato vigatā jahitā vā. Etasmiṃ panatthe karaṇe sāmivacanaṃ daṭṭhabbaṃ. Ariyamaggasatthena ucchinnaṃ taṇhāvijjāmayaṃ mūlametesanti ucchinnamūlā. Tālavatthu viya nesaṃ vatthu katanti tālāvatthukatā. Yathā hi tālarukkhaṃ samūlaṃ uddharitvā tassa vatthumatte tasmiṃ padese kate na puna tassa tālassa uppatti paññāyati; evaṃ ariyamaggasatthena samūle rūpādirase uddharitvā tesaṃ pubbe uppannapubbabhāvena vatthumatte cittasantāne kate sabbepi te ‘‘tālāvatthukatā’’ti vuccanti. Avirūḷhidhammattā vā matthakacchinnatālo viya katāti tālāvatthukatā. Yasmā pana evaṃ tālāvatthukatā anabhāvaṃkatā honti, yathā nesaṃ pacchābhāvo na hoti, tathā katā honti; tasmā āha – ‘‘anabhāvaṃkatā’’ti. Ayañhettha padacchedo – anuabhāvaṃ katā anabhāvaṃkatāti. ‘‘Anabhāvaṃ gatā’’tipi pāṭho, tassa anuabhāvaṃ gatāti attho. Tattha padacchedo anuabhāvaṃ gatā anabhāvaṃ gatāti, yathā anuacchariyā anacchariyāti. Āyatiṃ anuppādadhammāti anāgate anuppajjanakasabhāvā. Ye hi abhāvaṃ gatā, te puna kathaṃ uppajjissanti? Tenāha – ‘‘anabhāvaṃ gatā āyatiṃ anuppādadhammā’’ti.
อยํ โข พฺราหฺมณ ปริยาโยติ อิทํ โข, พฺราหฺมณ, การณํ เยน มํ สมฺมา วทมาโน วเทยฺย ‘‘อรสรูโป สมโณ โคตโม’’ติฯ โน จ โข ยํ ตฺวํ สนฺธาย วเทสีติ ยญฺจ โข ตฺวํ สนฺธาย วเทสิ, โส ปริยาโย น โหติฯ กสฺมา ปน ภควา เอวมาห? นนุ เอวํ วุเตฺต โย พฺราหฺมเณน วุโตฺต สามคฺคิรโส ตสฺส อตฺตนิ วิชฺชมานตา อนุญฺญาตา โหตีติฯ วุจฺจเต, น โหติฯ โย หิ ตํ สามคฺคิรสํ กาตุํ ภโพฺพ หุตฺวา น กโรติ, โส ตทภาเวน อรสรูโปติ วตฺตโพฺพ ภเวยฺยฯ ภควา ปน อภโพฺพว เอตํ กาตุํ, เตนสฺส กรเณ อภพฺพตํ ปกาเสโนฺต อาห – ‘‘โน จ โข ยํ ตฺวํ สนฺธาย วเทสี’’ติฯ ยํ ปริยายํ สนฺธาย ตฺวํ มํ ‘‘อรสรูโป’’ติ วเทสิ, โส อเมฺหสุ เนว วตฺตโพฺพติฯ
Ayaṃ kho brāhmaṇa pariyāyoti idaṃ kho, brāhmaṇa, kāraṇaṃ yena maṃ sammā vadamāno vadeyya ‘‘arasarūpo samaṇo gotamo’’ti. No ca kho yaṃ tvaṃ sandhāya vadesīti yañca kho tvaṃ sandhāya vadesi, so pariyāyo na hoti. Kasmā pana bhagavā evamāha? Nanu evaṃ vutte yo brāhmaṇena vutto sāmaggiraso tassa attani vijjamānatā anuññātā hotīti. Vuccate, na hoti. Yo hi taṃ sāmaggirasaṃ kātuṃ bhabbo hutvā na karoti, so tadabhāvena arasarūpoti vattabbo bhaveyya. Bhagavā pana abhabbova etaṃ kātuṃ, tenassa karaṇe abhabbataṃ pakāsento āha – ‘‘no ca kho yaṃ tvaṃ sandhāya vadesī’’ti. Yaṃ pariyāyaṃ sandhāya tvaṃ maṃ ‘‘arasarūpo’’ti vadesi, so amhesu neva vattabboti.
๔. เอวํ พฺราหฺมโณ อตฺตนา อธิเปฺปตํ อรสรูปตํ อาโรเปตุํ อสโกฺกโนฺต อถาปรํ นิโพฺภโค ภวํ โคตโมติอาทิมาหฯ สพฺพปริยาเยสุ เจตฺถ วุตฺตนเยเนว โยชนกฺกมํ วิทิตฺวา สนฺธาย ภาสิตมตฺตํ เอวํ เวทิตพฺพํฯ พฺราหฺมโณ ตเมว วโยวุฑฺฒานํ อภิวาทนกมฺมาทิํ โลเก สามคฺคิปริโภโคติ มญฺญมาโน ตทภาเวน ภควนฺตํ นิโพฺภโคติ อาหฯ ภควา ปน ยฺวายํ รูปาทีสุ สตฺตานํ ฉนฺทราคปริโภโค ตทภาวํ อตฺตนิ สมฺปสฺสมาโน อปรมฺปิ ปริยายํ อนุชานาติฯ
4. Evaṃ brāhmaṇo attanā adhippetaṃ arasarūpataṃ āropetuṃ asakkonto athāparaṃ nibbhogo bhavaṃ gotamotiādimāha. Sabbapariyāyesu cettha vuttanayeneva yojanakkamaṃ viditvā sandhāya bhāsitamattaṃ evaṃ veditabbaṃ. Brāhmaṇo tameva vayovuḍḍhānaṃ abhivādanakammādiṃ loke sāmaggiparibhogoti maññamāno tadabhāvena bhagavantaṃ nibbhogoti āha. Bhagavā pana yvāyaṃ rūpādīsu sattānaṃ chandarāgaparibhogo tadabhāvaṃ attani sampassamāno aparampi pariyāyaṃ anujānāti.
๕. ปุน พฺราหฺมโณ ยํ โลเก วโยวุฑฺฒานํ อภิวาทนาทิกุลสมุทาจารกมฺมํ โลกิยา กโรนฺติ ตสฺส อกิริยํ สมฺปสฺสมาโน ภควนฺตํ อกิริยวาโทติ อาหฯ ภควา ปน, ยสฺมา กายทุจฺจริตาทีนํ อกิริยํ วทติ ตสฺมา, ตํ อกิริยวาทํ อตฺตนิ สมฺปสฺสมาโน อปรมฺปิ ปริยายํ อนุชานาติฯ ตตฺถ จ กายทุจฺจริตนฺติ ปาณาติปาต-อทินฺนาทาน-มิจฺฉาจารเจตนา เวทิตพฺพาฯ วจีทุจฺจริตนฺติ มุสาวาท-ปิสุณวาจา-ผรุสวาจา-สมฺผปฺปลาปเจตนา เวทิตพฺพาฯ มโนทุจฺจริตนฺติ อภิชฺฌาพฺยาปาทมิจฺฉาทิฎฺฐิโย เวทิตพฺพาฯ ฐเปตฺวา เต ธเมฺม, อวเสสา อกุสลา ธมฺมา ‘‘อเนกวิหิตา ปาปกา อกุสลา ธมฺมา’’ติ เวทิตพฺพาฯ
5. Puna brāhmaṇo yaṃ loke vayovuḍḍhānaṃ abhivādanādikulasamudācārakammaṃ lokiyā karonti tassa akiriyaṃ sampassamāno bhagavantaṃ akiriyavādoti āha. Bhagavā pana, yasmā kāyaduccaritādīnaṃ akiriyaṃ vadati tasmā, taṃ akiriyavādaṃ attani sampassamāno aparampi pariyāyaṃ anujānāti. Tattha ca kāyaduccaritanti pāṇātipāta-adinnādāna-micchācāracetanā veditabbā. Vacīduccaritanti musāvāda-pisuṇavācā-pharusavācā-samphappalāpacetanā veditabbā. Manoduccaritanti abhijjhābyāpādamicchādiṭṭhiyo veditabbā. Ṭhapetvā te dhamme, avasesā akusalā dhammā ‘‘anekavihitā pāpakā akusalā dhammā’’ti veditabbā.
๖. ปุน พฺราหฺมโณ ตเมว อภิวาทนาทิกมฺมํ ภควติ อปสฺสโนฺต อิมํ ‘‘อาคมฺม อยํ โลกตนฺติ โลกปเวณี อุจฺฉิชฺชตี’’ติ มญฺญมาโน ภควนฺตํ อุเจฺฉทวาโทติ อาหฯ ภควา ปน ยสฺมา อฎฺฐสุ โลภสหคตจิเตฺตสุ ปญฺจกามคุณิกราคสฺส ทฺวีสุ อกุสลจิเตฺตสุ อุปฺปชฺชมานกโทสสฺส จ อนาคามิมเคฺคน อุเจฺฉทํ วทติฯ สพฺพากุสลสมฺภวสฺส ปน นิรวเสสสฺส โมหสฺส อรหตฺตมเคฺคน อุเจฺฉทํ วทติฯ ฐเปตฺวา เต ตโย, อวเสสานํ ปาปกานํ อกุสลานํ ธมฺมานํ ยถานุรูปํ จตูหิ มเคฺคหิ อุเจฺฉทํ วทติ; ตสฺมา ตํ อุเจฺฉทวาทํ อตฺตนิ สมฺปสฺสมาโน อปรมฺปิ ปริยายํ อนุชานาติฯ
6. Puna brāhmaṇo tameva abhivādanādikammaṃ bhagavati apassanto imaṃ ‘‘āgamma ayaṃ lokatanti lokapaveṇī ucchijjatī’’ti maññamāno bhagavantaṃ ucchedavādoti āha. Bhagavā pana yasmā aṭṭhasu lobhasahagatacittesu pañcakāmaguṇikarāgassa dvīsu akusalacittesu uppajjamānakadosassa ca anāgāmimaggena ucchedaṃ vadati. Sabbākusalasambhavassa pana niravasesassa mohassa arahattamaggena ucchedaṃ vadati. Ṭhapetvā te tayo, avasesānaṃ pāpakānaṃ akusalānaṃ dhammānaṃ yathānurūpaṃ catūhi maggehi ucchedaṃ vadati; tasmā taṃ ucchedavādaṃ attani sampassamāno aparampi pariyāyaṃ anujānāti.
๗. ปุน พฺราหฺมโณ ‘‘ชิคุจฺฉติ มเญฺญ สมโณ โคตโม อิทํ วโยวุฑฺฒานํ อภิวาทนาทิกุลสมุทาจารกมฺมํ, เตน ตํ น กโรตี’’ติ มญฺญมาโน ภควนฺตํ เชคุจฺฉีติ อาหฯ ภควา ปน ยสฺมา ชิคุจฺฉติ กายทุจฺจริตาทีหิ; กิํ วุตฺตํ โหติ ? ยญฺจ ติวิธํ กายทุจฺจริตํ, ยญฺจ จตุพฺพิธํ วจีทุจฺจริตํ, ยญฺจ ติวิธํ มโนทุจฺจริตํ, ยา จ ฐเปตฺวา ตานิ ทุจฺจริตานิ อวเสสานํ ลามกเฎฺฐน ปาปกานํ อโกสลฺลสมฺภูตเฎฺฐน อกุสลานํ ธมฺมานํ สมาปตฺติ สมาปชฺชนา สมงฺคิภาโว, ตํ สพฺพมฺปิ คูถํ วิย มณฺฑนกชาติโย ปุริโส ชิคุจฺฉติ หิรียติ, ตสฺมา ตํ เชคุจฺฉิตํ อตฺตนิ สมฺปสฺสมาโน อปรมฺปิ ปริยายํ อนุชานาติฯ ตตฺถ ‘‘กายทุจฺจริเตนา’’ติ อุปโยคเตฺถ กรณวจนํ ทฎฺฐพฺพํฯ
7. Puna brāhmaṇo ‘‘jigucchati maññe samaṇo gotamo idaṃ vayovuḍḍhānaṃ abhivādanādikulasamudācārakammaṃ, tena taṃ na karotī’’ti maññamāno bhagavantaṃ jegucchīti āha. Bhagavā pana yasmā jigucchati kāyaduccaritādīhi; kiṃ vuttaṃ hoti ? Yañca tividhaṃ kāyaduccaritaṃ, yañca catubbidhaṃ vacīduccaritaṃ, yañca tividhaṃ manoduccaritaṃ, yā ca ṭhapetvā tāni duccaritāni avasesānaṃ lāmakaṭṭhena pāpakānaṃ akosallasambhūtaṭṭhena akusalānaṃ dhammānaṃ samāpatti samāpajjanā samaṅgibhāvo, taṃ sabbampi gūthaṃ viya maṇḍanakajātiyo puriso jigucchati hirīyati, tasmā taṃ jegucchitaṃ attani sampassamāno aparampi pariyāyaṃ anujānāti. Tattha ‘‘kāyaduccaritenā’’ti upayogatthe karaṇavacanaṃ daṭṭhabbaṃ.
๘. ปุน พฺราหฺมโณ ตเมว อภิวาทนาทิกมฺมํ ภควติ อปสฺสโนฺต ‘‘อยํ อิมํ โลกเชฎฺฐกกมฺมํ วิเนติ วินาเสติ, อถ วา ยสฺมา เอตํ สามีจิกมฺมํ น กโรติ ตสฺมา อยํ วิเนตโพฺพ นิคฺคณฺหิตโพฺพ’’ติ มญฺญมาโน ภควนฺตํ เวนยิโกติ อาหฯ ตตฺรายํ ปทโตฺถ – วินยตีติ วินโย, วินาเสตีติ วุตฺตํ โหติฯ วินโย เอว เวนยิโก, วินยํ วา อรหตีติ เวนยิโก, นิคฺคหํ อรหตีติ วุตฺตํ โหติฯ ภควา ปน, ยสฺมา ราคาทีนํ วินยาย วูปสมาย ธมฺมํ เทเสติ, ตสฺมา เวนยิโก โหติฯ อยเมว เจตฺถ ปทโตฺถ – วินยาย ธมฺมํ เทเสตีติ เวนยิโกฯ วิจิตฺรา หิ ตทฺธิตวุตฺติ! สฺวายํ ตํ เวนยิกภาวํ อตฺตนิ สมฺปสฺสมาโน อปรมฺปิ ปริยายํ อนุชานาติฯ
8. Puna brāhmaṇo tameva abhivādanādikammaṃ bhagavati apassanto ‘‘ayaṃ imaṃ lokajeṭṭhakakammaṃ vineti vināseti, atha vā yasmā etaṃ sāmīcikammaṃ na karoti tasmā ayaṃ vinetabbo niggaṇhitabbo’’ti maññamāno bhagavantaṃ venayikoti āha. Tatrāyaṃ padattho – vinayatīti vinayo, vināsetīti vuttaṃ hoti. Vinayo eva venayiko, vinayaṃ vā arahatīti venayiko, niggahaṃ arahatīti vuttaṃ hoti. Bhagavā pana, yasmā rāgādīnaṃ vinayāya vūpasamāya dhammaṃ deseti, tasmā venayiko hoti. Ayameva cettha padattho – vinayāya dhammaṃ desetīti venayiko. Vicitrā hi taddhitavutti! Svāyaṃ taṃ venayikabhāvaṃ attani sampassamāno aparampi pariyāyaṃ anujānāti.
๙. ปุน พฺราหฺมโณ ยสฺมา อภิวาทนาทีนิ สามีจิกมฺมานิ กโรนฺตา วโยวุเฑฺฒ โตเสนฺติ หาเสนฺติ, อกโรนฺตา ปน ตาเปนฺติ วิเหเสนฺติ โทมนสฺสํ เนสํ อุปฺปาเทนฺติ, ภควา จ ตานิ น กโรติ; ตสฺมา ‘‘อยํ วโยวุเฑฺฒ ตปตี’’ติ มญฺญมาโน สปฺปุริสาจารวิรหิตตฺตา วา ‘‘กปณปุริโส อย’’นฺติ มญฺญมาโน ภควนฺตํ ตปสฺสีติ อาหฯ ตตฺรายํ ปทโตฺถ – ตปตีติ ตโป, โรเสติ วิเหเสตีติ วุตฺตํ โหติ, สามีจิกมฺมากรณเสฺสตํ นามํฯ ตโป อสฺส อตฺถีติ ตปสฺสีฯ ทุติเย อตฺถวิกเปฺป พฺยญฺชนานิ อวิจาเรตฺวา โลเก กปณปุริโส ‘‘ตปสฺสี’’ติ วุจฺจติฯ ภควา ปน เย อกุสลา ธมฺมา โลกํ ตปนโต ตปนียาติ วุจฺจนฺติ, เตสํ ปหีนตฺตา ยสฺมา ตปสฺสีติ สงฺขฺยํ คโต, ตสฺมา ตํ ตปสฺสิตํ อตฺตนิ สมฺปสฺสมาโน อปรมฺปิ ปริยายํ อนุชานาติฯ ตตฺรายํ ปทโตฺถ – ตปนฺตีติ ตปา, อกุสลธมฺมานเมตํ อธิวจนํฯ วุตฺตมฺปิ เหตํ – ‘‘อิธ ตปฺปติ เปจฺจ ตปฺปตี’’ติฯ ตถา เต ตเป อสฺสิ นิรสฺสิ ปหาสิ วิทฺธํเสสีติ ตปสฺสีฯ
9. Puna brāhmaṇo yasmā abhivādanādīni sāmīcikammāni karontā vayovuḍḍhe tosenti hāsenti, akarontā pana tāpenti vihesenti domanassaṃ nesaṃ uppādenti, bhagavā ca tāni na karoti; tasmā ‘‘ayaṃ vayovuḍḍhe tapatī’’ti maññamāno sappurisācāravirahitattā vā ‘‘kapaṇapuriso aya’’nti maññamāno bhagavantaṃ tapassīti āha. Tatrāyaṃ padattho – tapatīti tapo, roseti vihesetīti vuttaṃ hoti, sāmīcikammākaraṇassetaṃ nāmaṃ. Tapo assa atthīti tapassī. Dutiye atthavikappe byañjanāni avicāretvā loke kapaṇapuriso ‘‘tapassī’’ti vuccati. Bhagavā pana ye akusalā dhammā lokaṃ tapanato tapanīyāti vuccanti, tesaṃ pahīnattā yasmā tapassīti saṅkhyaṃ gato, tasmā taṃ tapassitaṃ attani sampassamāno aparampi pariyāyaṃ anujānāti. Tatrāyaṃ padattho – tapantīti tapā, akusaladhammānametaṃ adhivacanaṃ. Vuttampi hetaṃ – ‘‘idha tappati pecca tappatī’’ti. Tathā te tape assi nirassi pahāsi viddhaṃsesīti tapassī.
๑๐. ปุน พฺราหฺมโณ ตํ อภิวาทนาทิกมฺมํ เทวโลกคพฺภสมฺปตฺติยา เทวโลกปฎิสนฺธิปฎิลาภาย สํวตฺตตีติ มญฺญมาโน ภควติ จสฺส อภาวํ ทิสฺวา ภควนฺตํ อปคโพฺภติ อาหฯ โกธวเสน วา ภควโต มาตุกุจฺฉิสฺมิํ ปฎิสนฺธิคฺคหเณ โทสํ ทเสฺสโนฺตปิ เอวมาหฯ ตตฺรายํ ปทโตฺถ – คพฺภโต อปคโตติ อปคโพฺภ, อภโพฺพ เทวโลกูปปตฺติํ ปาปุณิตุนฺติ อธิปฺปาโยฯ หีโน วา คโพฺภ อสฺสาติ อปคโพฺภ, เทวโลกคพฺภปริพาหิรตฺตา อายติํ หีนคพฺภปฎิลาภภาคีติ, หีโน วาสฺส มาตุกุจฺฉิมฺหิ คพฺภวาโส อโหสีติ อธิปฺปาโยฯ ภควโต ปน ยสฺมา อายติํ คพฺภเสยฺยา อปคตา, ตสฺมา โส ตํ อปคพฺภตํ อตฺตนิ สมฺปสฺสมาโน อปรมฺปิ ปริยายํ อนุชานาติฯ ตตฺร จ ยสฺส โข พฺราหฺมณ อายติํ คพฺภเสยฺยา ปุนพฺภวาภินิพฺพตฺติ ปหีนาติ เอเตสํ ปทานํ เอวมโตฺถ ทฎฺฐโพฺพ – พฺราหฺมณ, ยสฺส ปุคฺคลสฺส อนาคเต คพฺภเสยฺยา, ปุนพฺภเว จ อภินิพฺพตฺติ อนุตฺตเรน มเคฺคน วิหตการณตฺตา ปหีนาติฯ คพฺภเสยฺยคฺคหเณน เจตฺถ ชลาพุชโยนิ คหิตาฯ ปุนพฺภวาภินิพฺพตฺติคฺคหเณน อิตรา ติโสฺสปิฯ
10. Puna brāhmaṇo taṃ abhivādanādikammaṃ devalokagabbhasampattiyā devalokapaṭisandhipaṭilābhāya saṃvattatīti maññamāno bhagavati cassa abhāvaṃ disvā bhagavantaṃ apagabbhoti āha. Kodhavasena vā bhagavato mātukucchismiṃ paṭisandhiggahaṇe dosaṃ dassentopi evamāha. Tatrāyaṃ padattho – gabbhato apagatoti apagabbho, abhabbo devalokūpapattiṃ pāpuṇitunti adhippāyo. Hīno vā gabbho assāti apagabbho, devalokagabbhaparibāhirattā āyatiṃ hīnagabbhapaṭilābhabhāgīti, hīno vāssa mātukucchimhi gabbhavāso ahosīti adhippāyo. Bhagavato pana yasmā āyatiṃ gabbhaseyyā apagatā, tasmā so taṃ apagabbhataṃ attani sampassamāno aparampi pariyāyaṃ anujānāti. Tatra ca yassa kho brāhmaṇa āyatiṃ gabbhaseyyā punabbhavābhinibbatti pahīnāti etesaṃ padānaṃ evamattho daṭṭhabbo – brāhmaṇa, yassa puggalassa anāgate gabbhaseyyā, punabbhave ca abhinibbatti anuttarena maggena vihatakāraṇattā pahīnāti. Gabbhaseyyaggahaṇena cettha jalābujayoni gahitā. Punabbhavābhinibbattiggahaṇena itarā tissopi.
อปิจ คพฺภสฺส เสยฺยา คพฺภเสยฺยา, ปุนพฺภโว เอว อภินิพฺพตฺติ ปุนพฺภวาภินิพฺพตฺตีติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ ยถา จ วิญฺญาณฎฺฐิตีติ วุเตฺตปิ น วิญฺญาณโต อญฺญา ฐิติ อตฺถิ, เอวมิธาปิ น คพฺภโต อญฺญา เสยฺยาติ เวทิตพฺพาฯ อภินิพฺพตฺติ จ นาม ยสฺมา ปุนพฺภวภูตาปิ อปุนพฺภวภูตาปิ อตฺถิ, อิธ จ ปุนพฺภวภูตา อธิเปฺปตาฯ ตสฺมา วุตฺตํ – ‘‘ปุนพฺภโว เอว อภินิพฺพตฺติ ปุนพฺภวาภินิพฺพตฺตี’’ติฯ
Apica gabbhassa seyyā gabbhaseyyā, punabbhavo eva abhinibbatti punabbhavābhinibbattīti evamettha attho daṭṭhabbo. Yathā ca viññāṇaṭṭhitīti vuttepi na viññāṇato aññā ṭhiti atthi, evamidhāpi na gabbhato aññā seyyāti veditabbā. Abhinibbatti ca nāma yasmā punabbhavabhūtāpi apunabbhavabhūtāpi atthi, idha ca punabbhavabhūtā adhippetā. Tasmā vuttaṃ – ‘‘punabbhavo eva abhinibbatti punabbhavābhinibbattī’’ti.
๑๑. เอวํ อาคตกาลโต ปฎฺฐาย อรสรูปตาทีหิ อฎฺฐหิ อโกฺกสวตฺถูหิ อโกฺกสนฺตมฺปิ พฺราหฺมณํ ภควา ธมฺมิสฺสโร ธมฺมราชา ธมฺมสฺสามี ตถาคโต อนุกมฺปาย สีตเลเนว จกฺขุนา โอโลเกโนฺต ยํ ธมฺมธาตุํ ปฎิวิชฺฌิตฺวา เทสนาวิลาสปฺปโตฺต โหติ, ตสฺสา ธมฺมธาตุยา สุปฺปฎิวิทฺธตฺตา วิคตวลาหเก อนฺตลิเกฺข สมพฺภุคฺคโต ปุณฺณจโนฺท วิย สรทกาเล สูริโย วิย จ พฺราหฺมณสฺส หทยนฺธการํ วิธมโนฺต ตานิเยว อโกฺกสวตฺถูนิ เตน เตน ปริยาเยน อญฺญถา ทเสฺสตฺวา, ปุนปิ อตฺตโน กรุณาวิปฺผารํ อฎฺฐหิ โลกธเมฺมหิ อกมฺปิยภาเวน ปฎิลทฺธํ, ตาทิคุณลกฺขณํ ปถวีสมจิตฺตตํ อกุปฺปธมฺมตญฺจ ปกาเสโนฺต ‘‘อยํ พฺราหฺมโณ เกวลํ ปลิตสิรขณฺฑทนฺตวลิตฺตจตาทีหิ อตฺตโน วุฑฺฒภาวํ สญฺชานาติ, โน จ โข ชานาติ อตฺตานํ ชาติยา อนุคตํ ชราย อนุสฎํ พฺยาธินา อภิภูตํ มรเณน อพฺภาหตํ วฎฺฎขาณุภูตํ อชฺช มริตฺวา ปุน เสฺวว อุตฺตานสยนทารกภาวคมนียํฯ มหเนฺตน โข ปน อุสฺสาเหน มม สนฺติกํ อาคโต, ตทสฺส อาคมนํ สาตฺถกํ โหตู’’ติ จิเนฺตตฺวา อิมสฺมิํ โลเก อตฺตโน อปฺปฎิสมํ ปุเรชาตภาวํ ทเสฺสโนฺต เสยฺยถาปิ พฺราหฺมณาติอาทินา นเยน พฺราหฺมณสฺส ธมฺมเทสนํ วเฑฺฒสิฯ
11. Evaṃ āgatakālato paṭṭhāya arasarūpatādīhi aṭṭhahi akkosavatthūhi akkosantampi brāhmaṇaṃ bhagavā dhammissaro dhammarājā dhammassāmī tathāgato anukampāya sītaleneva cakkhunā olokento yaṃ dhammadhātuṃ paṭivijjhitvā desanāvilāsappatto hoti, tassā dhammadhātuyā suppaṭividdhattā vigatavalāhake antalikkhe samabbhuggato puṇṇacando viya saradakāle sūriyo viya ca brāhmaṇassa hadayandhakāraṃ vidhamanto tāniyeva akkosavatthūni tena tena pariyāyena aññathā dassetvā, punapi attano karuṇāvipphāraṃ aṭṭhahi lokadhammehi akampiyabhāvena paṭiladdhaṃ, tādiguṇalakkhaṇaṃ pathavīsamacittataṃ akuppadhammatañca pakāsento ‘‘ayaṃ brāhmaṇo kevalaṃ palitasirakhaṇḍadantavalittacatādīhi attano vuḍḍhabhāvaṃ sañjānāti, no ca kho jānāti attānaṃ jātiyā anugataṃ jarāya anusaṭaṃ byādhinā abhibhūtaṃ maraṇena abbhāhataṃ vaṭṭakhāṇubhūtaṃ ajja maritvā puna sveva uttānasayanadārakabhāvagamanīyaṃ. Mahantena kho pana ussāhena mama santikaṃ āgato, tadassa āgamanaṃ sātthakaṃ hotū’’ti cintetvā imasmiṃ loke attano appaṭisamaṃ purejātabhāvaṃ dassento seyyathāpi brāhmaṇātiādinā nayena brāhmaṇassa dhammadesanaṃ vaḍḍhesi.
ตตฺถ เสยฺยถาติ โอปมฺมเตฺถ นิปาโต; ปีติ สมฺภาวนเตฺถ; อุภเยนาปิ ยถา นาม พฺราหฺมณาติ ทเสฺสติฯ กุกฺกุฎิยา อณฺฑานิ อฎฺฐ วา ทส วา ทฺวาทส วาติ เอตฺถ ปน กิญฺจาปิ กุกฺกุฎิยา วุตฺตปฺปการโต อูนาธิกานิปิ อณฺฑานิ โหนฺติ, อถ โข วจนสิลิฎฺฐตาย เอวํ วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ เอวญฺหิ โลเก สิลิฎฺฐวจนํ โหติฯ ตานสฺสูติ ตานิ อสฺสุ, ภเวยฺยุนฺติ วุตฺตํ โหติฯ กุกฺกุฎิยา สมฺมา อธิสยิตานีติ ตาย ชเนตฺติยา กุกฺกุฎิยา ปเกฺข ปสาเรตฺวา เตสํ อุปริ สยนฺติยา สมฺมา อธิสยิตานิฯ สมฺมา ปริเสทิตานีติ กาเลน กาลํ อุตุํ คณฺหาเปนฺติยา สุฎฺฐุ สมนฺตโต เสทิตานิ, อุสฺมีกตานีติ วุตฺตํ โหติฯ สมฺมา ปริภาวิตานีติ กาเลน กาลํ สุฎฺฐุ สมนฺตโต ภาวิตานิ, กุกฺกุฎคนฺธํ คาหาปิตานีติ วุตฺตํ โหติฯ
Tattha seyyathāti opammatthe nipāto; pīti sambhāvanatthe; ubhayenāpi yathā nāma brāhmaṇāti dasseti. Kukkuṭiyā aṇḍāni aṭṭha vā dasa vā dvādasa vāti ettha pana kiñcāpi kukkuṭiyā vuttappakārato ūnādhikānipi aṇḍāni honti, atha kho vacanasiliṭṭhatāya evaṃ vuttanti veditabbaṃ. Evañhi loke siliṭṭhavacanaṃ hoti. Tānassūti tāni assu, bhaveyyunti vuttaṃ hoti. Kukkuṭiyā sammā adhisayitānīti tāya janettiyā kukkuṭiyā pakkhe pasāretvā tesaṃ upari sayantiyā sammā adhisayitāni. Sammā pariseditānīti kālena kālaṃ utuṃ gaṇhāpentiyā suṭṭhu samantato seditāni, usmīkatānīti vuttaṃ hoti. Sammā paribhāvitānīti kālena kālaṃ suṭṭhu samantato bhāvitāni, kukkuṭagandhaṃ gāhāpitānīti vuttaṃ hoti.
อิทานิ ยสฺมา ตาย กุกฺกุฎิยา เอวํ ตีหิ ปกาเรหิ ตานิ อณฺฑานิ ปริปาลิยมานานิ น ปูตีนิ โหนฺติฯ โยปิ เนสํ อลฺลสิเนโห โส ปริยาทานํ คจฺฉติฯ กปาลํ ตนุกํ โหติ, ปาทนขสิขา จ มุขตุณฺฑกญฺจ ขรํ โหติ, กุกฺกุฎโปตกา ปริปากํ คจฺฉนฺติ, กปาลสฺส ตนุกตฺตา พหิทฺธา อาโลโก อโนฺต ปญฺญายติฯ อถ เต กุกฺกุฎโปตกา ‘‘จิรํ วต มยํ สงฺกุฎิตหตฺถปาทา สมฺพาเธ สยิมฺห, อยญฺจ พหิ อาโลโก ทิสฺสติ, เอตฺถ ทานิ โน สุขวิหาโร ภวิสฺสตี’’ติ นิกฺขมิตุกามา หุตฺวา กปาลํ ปาเทน ปหรนฺติ, คีวํ ปสาเรนฺติฯ ตโต ตํ กปาลํ เทฺวธา ภิชฺชติ, กุกฺกุฎโปตกา ปเกฺข วิธุนนฺตา ตงฺขณานุรูปํ วิรวนฺตา นิกฺขมนฺติฯ เอวํ นิกฺขมนฺตานญฺจ เนสํ โย ปฐมตรํ นิกฺขมติ โส ‘เชโฎฺฐ’ติ วุจฺจติฯ ตสฺมา ภควา ตาย อุปมาย อตฺตโน เชฎฺฐกภาวํ สาเธตุกาโม พฺราหฺมณํ ปุจฺฉิ – ‘‘โย นุ โข เตสํ กุกฺกุฎจฺฉาปกานํ…เป.… กินฺติ สฺวสฺส วจนีโย’’ติฯ ตตฺถ กุกฺกุฎจฺฉาปกานนฺติ กุกฺกุฎโปตกานํฯ กินฺติ สฺวสฺส วจนีโยติ โส กินฺติ วจนีโย อสฺส, กินฺติ วตฺตโพฺพ ภเวยฺย เชโฎฺฐ วา กนิโฎฺฐ วาติฯ เสสํ อุตฺตานตฺถเมวฯ
Idāni yasmā tāya kukkuṭiyā evaṃ tīhi pakārehi tāni aṇḍāni paripāliyamānāni na pūtīni honti. Yopi nesaṃ allasineho so pariyādānaṃ gacchati. Kapālaṃ tanukaṃ hoti, pādanakhasikhā ca mukhatuṇḍakañca kharaṃ hoti, kukkuṭapotakā paripākaṃ gacchanti, kapālassa tanukattā bahiddhā āloko anto paññāyati. Atha te kukkuṭapotakā ‘‘ciraṃ vata mayaṃ saṅkuṭitahatthapādā sambādhe sayimha, ayañca bahi āloko dissati, ettha dāni no sukhavihāro bhavissatī’’ti nikkhamitukāmā hutvā kapālaṃ pādena paharanti, gīvaṃ pasārenti. Tato taṃ kapālaṃ dvedhā bhijjati, kukkuṭapotakā pakkhe vidhunantā taṅkhaṇānurūpaṃ viravantā nikkhamanti. Evaṃ nikkhamantānañca nesaṃ yo paṭhamataraṃ nikkhamati so ‘jeṭṭho’ti vuccati. Tasmā bhagavā tāya upamāya attano jeṭṭhakabhāvaṃ sādhetukāmo brāhmaṇaṃ pucchi – ‘‘yo nu kho tesaṃ kukkuṭacchāpakānaṃ…pe… kinti svassa vacanīyo’’ti. Tattha kukkuṭacchāpakānanti kukkuṭapotakānaṃ. Kinti svassa vacanīyoti so kinti vacanīyo assa, kinti vattabbo bhaveyya jeṭṭho vā kaniṭṭho vāti. Sesaṃ uttānatthameva.
ตโต พฺราหฺมโณ อาห – ‘‘เชโฎฺฐติสฺส โภ โคตม วจนีโย’’ติฯ โภ, โคตม, โส เชโฎฺฐ อิติ อสฺส วจนีโยฯ กสฺมาติ เจ? โส หิ เนสํ เชโฎฺฐ, ตสฺมา โส เนสํ วุฑฺฒตโรติ อโตฺถฯ อถสฺส ภควา โอปมฺมํ สมฺปฎิปาเทโนฺต อาห – ‘‘เอวเมว โข อหํ พฺราหฺมณา’’ติอาทิฯ ยถา โส กุกฺกุฎจฺฉาปโก เชโฎฺฐติ สงฺขฺยํ คจฺฉติ; เอวํ อหมฺปิ อวิชฺชาคตาย ปชายฯ อวิชฺชาคตายาติ อวิชฺชา วุจฺจติ อญฺญาณํ, ตตฺถ คตายฯ ปชายาติ สตฺตาธิวจนเมตํฯ ตสฺมา เอตฺถ อวิชฺชณฺฑโกสสฺส อโนฺต ปวิเฎฺฐสุ สเตฺตสูติ เอวํ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ อณฺฑภูตายาติ อเณฺฑ ภูตาย ชาตาย สญฺชาตายฯ ยถา หิ อเณฺฑ นิพฺพตฺตา เอกเจฺจ สตฺตา อณฺฑภูตาติ วุจฺจนฺติ; เอวมยํ สพฺพาปิ ปชา อวิชฺชณฺฑโกเส นิพฺพตฺตตฺตา อณฺฑภูตาติ วุจฺจติฯ ปริโยนทฺธายาติ เตน อวิชฺชณฺฑโกเสน สมนฺตโต โอนทฺธาย พทฺธาย เวฐิตาย ฯ อวิชฺชณฺฑโกสํ ปทาเลตฺวาติ ตํ อวิชฺชามยํ อณฺฑโกสํ ภินฺทิตฺวา ฯ เอโกว โลเกติ สกเลปิ โลกสนฺนิวาเส อหเมว เอโก อทุติโยฯ อนุตฺตรํ สมฺมาสโมฺพธิํ อภิสมฺพุโทฺธติ อนุตฺตรนฺติ อุตฺตรวิรหิตํ สพฺพเสฎฺฐํฯ สมฺมาสโมฺพธินฺติ สมฺมา สามญฺจ โพธิํ; อถ วา ปสตฺถํ สุนฺทรญฺจ โพธิํ; โพธีติ รุโกฺขปิ มโคฺคปิ สพฺพญฺญุตญฺญาณมฺปิ นิพฺพานมฺปิ วุจฺจติฯ ‘‘โพธิรุกฺขมูเล ปฐมาภิสมฺพุโทฺธ’’ติ (มหาว. ๑; อุทา. ๑) จ ‘‘อนฺตรา จ คยํ อนฺตรา จ โพธิ’’นฺติ (มหาว. ๑๑; ม. นิ. ๑.๒๘๕) จ อาคตฎฺฐาเนสุ หิ รุโกฺข โพธีติ วุจฺจติฯ ‘‘โพธิ วุจฺจติ จตูสุ มเคฺคสุ ญาณ’’นฺติ (จูฬนิ. ขคฺควิสาณสุตฺตนิเทฺทส ๑๒๑) อาคตฎฺฐาเน มโคฺคฯ ‘‘ปโปฺปติ โพธิํ วรภูริเมธโส’’ติ (ที. นิ. ๓.๒๑๗) อาคตฎฺฐาเน สพฺพญฺญุตญฺญาณํฯ ‘‘ปตฺวาน โพธิํ อมตํ อสงฺขต’’นฺติ อาคตฎฺฐาเน นิพฺพานํฯ อิธ ปน ภควโต อรหตฺตมคฺคญาณํ อธิเปฺปตํฯ สพฺพญฺญุตญฺญาณนฺติปิ วทนฺติฯ อเญฺญสํ อรหตฺตมโคฺค อนุตฺตรา โพธิ โหติ, น โหตีติ? น โหติฯ กสฺมา? อสพฺพคุณทายกตฺตาฯ เตสญฺหิ กสฺสจิ อรหตฺตมโคฺค อรหตฺตผลเมว เทติ, กสฺสจิ ติโสฺส วิชฺชา, กสฺสจิ ฉ อภิญฺญา, กสฺสจิ จตโสฺส ปฎิสมฺภิทา, กสฺสจิ สาวกปารมิญาณํฯ ปเจฺจกพุทฺธานมฺปิ ปเจฺจกโพธิญาณเมว เทติฯ พุทฺธานํ ปน สพฺพคุณสมฺปตฺติํ เทติ, อภิเสโก วิย รโญฺญ สพฺพโลกิสฺสริยภาวํฯ ตสฺมา อญฺญสฺส กสฺสจิปิ อนุตฺตรา โพธิ น โหตีติฯ อภิสมฺพุโทฺธติ อพฺภญฺญาสิํ ปฎิวิชฺฌิํ; ปโตฺตมฺหิ อธิคโตมฺหีติ วุตฺตํ โหติฯ
Tato brāhmaṇo āha – ‘‘jeṭṭhotissa bho gotama vacanīyo’’ti. Bho, gotama, so jeṭṭho iti assa vacanīyo. Kasmāti ce? So hi nesaṃ jeṭṭho, tasmā so nesaṃ vuḍḍhataroti attho. Athassa bhagavā opammaṃ sampaṭipādento āha – ‘‘evameva kho ahaṃ brāhmaṇā’’tiādi. Yathā so kukkuṭacchāpako jeṭṭhoti saṅkhyaṃ gacchati; evaṃ ahampi avijjāgatāya pajāya. Avijjāgatāyāti avijjā vuccati aññāṇaṃ, tattha gatāya. Pajāyāti sattādhivacanametaṃ. Tasmā ettha avijjaṇḍakosassa anto paviṭṭhesu sattesūti evaṃ attho daṭṭhabbo. Aṇḍabhūtāyāti aṇḍe bhūtāya jātāya sañjātāya. Yathā hi aṇḍe nibbattā ekacce sattā aṇḍabhūtāti vuccanti; evamayaṃ sabbāpi pajā avijjaṇḍakose nibbattattā aṇḍabhūtāti vuccati. Pariyonaddhāyāti tena avijjaṇḍakosena samantato onaddhāya baddhāya veṭhitāya . Avijjaṇḍakosaṃ padāletvāti taṃ avijjāmayaṃ aṇḍakosaṃ bhinditvā . Ekova loketi sakalepi lokasannivāse ahameva eko adutiyo. Anuttaraṃ sammāsambodhiṃ abhisambuddhoti anuttaranti uttaravirahitaṃ sabbaseṭṭhaṃ. Sammāsambodhinti sammā sāmañca bodhiṃ; atha vā pasatthaṃ sundarañca bodhiṃ; bodhīti rukkhopi maggopi sabbaññutaññāṇampi nibbānampi vuccati. ‘‘Bodhirukkhamūle paṭhamābhisambuddho’’ti (mahāva. 1; udā. 1) ca ‘‘antarā ca gayaṃ antarā ca bodhi’’nti (mahāva. 11; ma. ni. 1.285) ca āgataṭṭhānesu hi rukkho bodhīti vuccati. ‘‘Bodhi vuccati catūsu maggesu ñāṇa’’nti (cūḷani. khaggavisāṇasuttaniddesa 121) āgataṭṭhāne maggo. ‘‘Pappoti bodhiṃ varabhūrimedhaso’’ti (dī. ni. 3.217) āgataṭṭhāne sabbaññutaññāṇaṃ. ‘‘Patvāna bodhiṃ amataṃ asaṅkhata’’nti āgataṭṭhāne nibbānaṃ. Idha pana bhagavato arahattamaggañāṇaṃ adhippetaṃ. Sabbaññutaññāṇantipi vadanti. Aññesaṃ arahattamaggo anuttarā bodhi hoti, na hotīti? Na hoti. Kasmā? Asabbaguṇadāyakattā. Tesañhi kassaci arahattamaggo arahattaphalameva deti, kassaci tisso vijjā, kassaci cha abhiññā, kassaci catasso paṭisambhidā, kassaci sāvakapāramiñāṇaṃ. Paccekabuddhānampi paccekabodhiñāṇameva deti. Buddhānaṃ pana sabbaguṇasampattiṃ deti, abhiseko viya rañño sabbalokissariyabhāvaṃ. Tasmā aññassa kassacipi anuttarā bodhi na hotīti. Abhisambuddhoti abbhaññāsiṃ paṭivijjhiṃ; pattomhi adhigatomhīti vuttaṃ hoti.
อิทานิ ยเทตํ ภควตา ‘‘เอวเมว โข อหํ พฺราหฺมณา’’ติ อาทินา นเยน วุตฺตํ โอปมฺมสมฺปฎิปาทนํ, ตํ เอวมเตฺถน สทฺธิํ สํสนฺทิตฺวา เวทิตพฺพํฯ ยถา หิ ตสฺสา กุกฺกุฎิยา อตฺตโน อเณฺฑสุ อธิสยนาทิติวิธกิริยากรณํ; เอวํ โพธิปลฺลเงฺก นิสินฺนสฺส โพธิสตฺตภูตสฺส ภควโต อตฺตโน จิตฺตสนฺตาเน อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตาติ ติวิธานุปสฺสนากรณํฯ กุกฺกุฎิยา ติวิธกิริยาสมฺปาทเนน อณฺฑานํ อปูติภาโว วิย โพธิสตฺตภูตสฺส ภควโต ติวิธานุปสฺสนาสมฺปาทเนน วิปสฺสนาญาณสฺส อปริหานิฯ กุกฺกุฎิยา ติวิธกิริยากรเณน อณฺฑานํ อลฺลสิเนหปริยาทานํ วิย โพธิสตฺตภูตสฺส ภควโต ติวิธานุปสฺสนาสมฺปาทเนน ภวตฺตยานุคตนิกนฺติสิเนหปริยาทานํฯ กุกฺกุฎิยา ติวิธกิริยากรเณน อณฺฑกปาลานํ ตนุภาโว วิย โพธิสตฺตภูตสฺส ภควโต ติวิธานุปสฺสนาสมฺปาทเนน อวิชฺชณฺฑโกสสฺส ตนุภาโวฯ กุกฺกุฎิยา ติวิธกิริยากรเณน กุกฺกุฎจฺฉาปกสฺส ปาทนขสิขาตุณฺฑกานํ ถทฺธขรภาโว วิย โพธิสตฺตภูตสฺส ภควโต ติวิธานุปสฺสนาสมฺปาทเนน วิปสฺสนาญาณสฺส ติกฺขขรวิปฺปสนฺนสูรภาโวฯ กุกฺกุฎิยา ติวิธกิริยากรเณน กุกฺกุฎจฺฉาปกสฺส ปริปากกาโล วิย โพธิสตฺตภูตสฺส ภควโต ติวิธานุปสฺสนาสมฺปาทเนน วิปสฺสนาญาณสฺส ปริปากกาโล วฑฺฒิตกาโล คพฺภคฺคหณกาโล เวทิตโพฺพฯ
Idāni yadetaṃ bhagavatā ‘‘evameva kho ahaṃ brāhmaṇā’’ti ādinā nayena vuttaṃ opammasampaṭipādanaṃ, taṃ evamatthena saddhiṃ saṃsanditvā veditabbaṃ. Yathā hi tassā kukkuṭiyā attano aṇḍesu adhisayanāditividhakiriyākaraṇaṃ; evaṃ bodhipallaṅke nisinnassa bodhisattabhūtassa bhagavato attano cittasantāne aniccaṃ dukkhaṃ anattāti tividhānupassanākaraṇaṃ. Kukkuṭiyā tividhakiriyāsampādanena aṇḍānaṃ apūtibhāvo viya bodhisattabhūtassa bhagavato tividhānupassanāsampādanena vipassanāñāṇassa aparihāni. Kukkuṭiyā tividhakiriyākaraṇena aṇḍānaṃ allasinehapariyādānaṃ viya bodhisattabhūtassa bhagavato tividhānupassanāsampādanena bhavattayānugatanikantisinehapariyādānaṃ. Kukkuṭiyā tividhakiriyākaraṇena aṇḍakapālānaṃ tanubhāvo viya bodhisattabhūtassa bhagavato tividhānupassanāsampādanena avijjaṇḍakosassa tanubhāvo. Kukkuṭiyā tividhakiriyākaraṇena kukkuṭacchāpakassa pādanakhasikhātuṇḍakānaṃ thaddhakharabhāvo viya bodhisattabhūtassa bhagavato tividhānupassanāsampādanena vipassanāñāṇassa tikkhakharavippasannasūrabhāvo. Kukkuṭiyā tividhakiriyākaraṇena kukkuṭacchāpakassa paripākakālo viya bodhisattabhūtassa bhagavato tividhānupassanāsampādanena vipassanāñāṇassa paripākakālo vaḍḍhitakālo gabbhaggahaṇakālo veditabbo.
ตโต กุกฺกุฎิยา ติวิธกิริยากรเณน กุกฺกุฎจฺฉาปกสฺส ปาทนขสิขาย วา มุขตุณฺฑเกน วา อณฺฑโกสํ ปทาเลตฺวา ปเกฺข ปโปฺผเฎตฺวา โสตฺถินา อภินิพฺภิทากาโล วิย โพธิสตฺตภูตสฺส ภควโต ติวิธานุปสฺสนาสมฺปาทเนน วิปสฺสนาญาณํ คพฺภํ คณฺหาเปตฺวา อนุปุพฺพาธิคเตน อรหตฺตมเคฺคน อวิชฺชณฺฑโกสํ ปทาเลตฺวา อภิญฺญาปเกฺข ปโปฺผเฎตฺวา โสตฺถินา สกลพุทฺธคุณสจฺฉิกตกาโล เวทิตโพฺพติฯ
Tato kukkuṭiyā tividhakiriyākaraṇena kukkuṭacchāpakassa pādanakhasikhāya vā mukhatuṇḍakena vā aṇḍakosaṃ padāletvā pakkhe papphoṭetvā sotthinā abhinibbhidākālo viya bodhisattabhūtassa bhagavato tividhānupassanāsampādanena vipassanāñāṇaṃ gabbhaṃ gaṇhāpetvā anupubbādhigatena arahattamaggena avijjaṇḍakosaṃ padāletvā abhiññāpakkhe papphoṭetvā sotthinā sakalabuddhaguṇasacchikatakālo veditabboti.
สฺวาหํ พฺราหฺมณ เชโฎฺฐ เสโฎฺฐ โลกสฺสาติ โส อหํ พฺราหฺมณ ยถา เตสํ กุกฺกุฎโปตกานํ ปฐมตรํ อณฺฑโกสํ ปทาเลตฺวา อภินิพฺภิโท กุกฺกุฎโปตโก เชโฎฺฐ โหติ; เอวํ อวิชฺชาคตาย ปชาย ตํ อวิชฺชณฺฑโกสํ ปทาเลตฺวา ปฐมตรํ อริยาย ชาติยา ชาตตฺตา เชโฎฺฐ วุฑฺฒตโรติ สงฺขฺยํ คโตฯ สพฺพคุเณหิ ปน อปฺปฎิสมตฺตา เสโฎฺฐติฯ
Svāhaṃ brāhmaṇa jeṭṭho seṭṭho lokassāti so ahaṃ brāhmaṇa yathā tesaṃ kukkuṭapotakānaṃ paṭhamataraṃ aṇḍakosaṃ padāletvā abhinibbhido kukkuṭapotako jeṭṭho hoti; evaṃ avijjāgatāya pajāya taṃ avijjaṇḍakosaṃ padāletvā paṭhamataraṃ ariyāya jātiyā jātattā jeṭṭho vuḍḍhataroti saṅkhyaṃ gato. Sabbaguṇehi pana appaṭisamattā seṭṭhoti.
เอวํ ภควา อตฺตโน อนุตฺตรํ เชฎฺฐเสฎฺฐภาวํ พฺราหฺมณสฺส ปกาเสตฺวา อิทานิ ยาย ปฎิปทาย ตํ อธิคโต ตํ ปฎิปทํ ปุพฺพภาคโต ปภุติ ทเสฺสตุํ ‘‘อารทฺธํ โข ปน เม พฺราหฺมณา’’ติอาทิมาหฯ อิมํ วา ภควโต อนุตฺตรํ เชฎฺฐเสฎฺฐภาวํ สุตฺวา พฺราหฺมณสฺส จิตฺตเมวมุปฺปนฺนํ – ‘‘กาย นุ โข ปฎิปทาย อิมํ ปโตฺต’’ติฯ ตสฺส จิตฺตมญฺญาย ‘‘อิมายาหํ ปฎิปทาย อิมํ อนุตฺตรํ เชฎฺฐเสฎฺฐภาวํ ปโตฺต’’ติ ทเสฺสโนฺต เอวมาหฯ ตตฺถ อารทฺธํ โข ปน เม พฺราหฺมณ วีริยํ อโหสีติ พฺราหฺมณ, น มยา อยํ อนุตฺตโร เชฎฺฐเสฎฺฐภาโว กุสีเตน มุฎฺฐสฺสตินา สารทฺธกาเยน วิกฺขิตฺตจิเตฺตน อธิคโต, อปิจ โข ตทธิคมาย อารทฺธํ โข ปน เม วีริยํ อโหสิ, โพธิมเณฺฑ นิสิเนฺนน มยา จตุรงฺคสมนฺนาคตํ วีริยํ อารทฺธํ อโหสิ, ปคฺคหิตํ อสิถิลปฺปวตฺติตนฺติ วุตฺตํ โหติฯ อารทฺธตฺตาเยว จ เม ตํ อสลฺลีนํ อโหสิฯ น เกวลญฺจ วีริยเมว, สติปิ เม อารมฺมณาภิมุขีภาเวน อุปฎฺฐิตา อโหสิฯ อุปฎฺฐิตตฺตาเยว จ อสมฺมุฎฺฐาฯ ปสฺสโทฺธ กาโย อสารโทฺธติ กายจิตฺตปสฺสทฺธิวเสน กาโยปิ เม ปสฺสโทฺธ อโหสิ ฯ ตตฺถ ยสฺมา นามกาเย ปสฺสเทฺธ รูปกาโยปิ ปสฺสโทฺธเยว โหติ, ตสฺมา นามกาโย รูปกาโยติ อวิเสเสตฺวาว ปสฺสโทฺธ กาโยติ วุตฺตํฯ อสารโทฺธติ โส จ โข ปสฺสทฺธตฺตาเยว อสารโทฺธ, วิคตทรโถติ วุตฺตํ โหติฯ สมาหิตํ จิตฺตํ เอกคฺคนฺติ จิตฺตมฺปิ เม สมฺมา อาหิตํ สุฎฺฐุ ฐปิตํ อปฺปิตํ วิย อโหสิ; สมาหิตตฺตา เอว จ เอกคฺคํ อจลํ นิปฺผนฺทนนฺติฯ เอตฺตาวตา ฌานสฺส ปุพฺพภาคปฎิปทา กถิตา โหติฯ
Evaṃ bhagavā attano anuttaraṃ jeṭṭhaseṭṭhabhāvaṃ brāhmaṇassa pakāsetvā idāni yāya paṭipadāya taṃ adhigato taṃ paṭipadaṃ pubbabhāgato pabhuti dassetuṃ ‘‘āraddhaṃ kho pana me brāhmaṇā’’tiādimāha. Imaṃ vā bhagavato anuttaraṃ jeṭṭhaseṭṭhabhāvaṃ sutvā brāhmaṇassa cittamevamuppannaṃ – ‘‘kāya nu kho paṭipadāya imaṃ patto’’ti. Tassa cittamaññāya ‘‘imāyāhaṃ paṭipadāya imaṃ anuttaraṃ jeṭṭhaseṭṭhabhāvaṃ patto’’ti dassento evamāha. Tattha āraddhaṃ kho pana me brāhmaṇa vīriyaṃ ahosīti brāhmaṇa, na mayā ayaṃ anuttaro jeṭṭhaseṭṭhabhāvo kusītena muṭṭhassatinā sāraddhakāyena vikkhittacittena adhigato, apica kho tadadhigamāya āraddhaṃ kho pana me vīriyaṃ ahosi, bodhimaṇḍe nisinnena mayā caturaṅgasamannāgataṃ vīriyaṃ āraddhaṃ ahosi, paggahitaṃ asithilappavattitanti vuttaṃ hoti. Āraddhattāyeva ca me taṃ asallīnaṃ ahosi. Na kevalañca vīriyameva, satipi me ārammaṇābhimukhībhāvena upaṭṭhitā ahosi. Upaṭṭhitattāyeva ca asammuṭṭhā. Passaddho kāyo asāraddhoti kāyacittapassaddhivasena kāyopi me passaddho ahosi . Tattha yasmā nāmakāye passaddhe rūpakāyopi passaddhoyeva hoti, tasmā nāmakāyo rūpakāyoti avisesetvāva passaddho kāyoti vuttaṃ. Asāraddhoti so ca kho passaddhattāyeva asāraddho, vigatadarathoti vuttaṃ hoti. Samāhitaṃ cittaṃ ekagganti cittampi me sammā āhitaṃ suṭṭhu ṭhapitaṃ appitaṃ viya ahosi; samāhitattā eva ca ekaggaṃ acalaṃ nipphandananti. Ettāvatā jhānassa pubbabhāgapaṭipadā kathitā hoti.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวิภงฺค • Mahāvibhaṅga / เวรญฺชกณฺฑํ • Verañjakaṇḍaṃ
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā / เวรญฺชกณฺฑวณฺณนา • Verañjakaṇḍavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / ปฐมชฺฌานกถาวณฺณนา • Paṭhamajjhānakathāvaṇṇanā