Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā |
เวรญฺชกณฺฑวณฺณนา
Verañjakaṇḍavaṇṇanā
๑
1
. เสยฺยถิทนฺติ ตํ กตมํ, ตํ กถนฺติ วา อโตฺถฯ อนิยมนิเทฺทสวจนนฺติ นตฺถิ เอตสฺส นิยโมติ อนิยโม, นิทฺทิสียติ อโตฺถ เอเตนาติ นิเทฺทโส, วุจฺจติ เอเตนาติ วจนํ, นิเทฺทโสเยว วจนํ นิเทฺทสวจนํ, อนิยมสฺส นิเทฺทสวจนํ อนิยมนิเทฺทสวจนํ, ปฐมํ อนิยมิตสฺส สมยสฺส นิเทฺทสวจนนฺติ อโตฺถฯ ‘‘เยนาติ อวตฺวา เตนาติ วุตฺตตฺตา อนิยมํ กตฺวา นิทฺทิฎฺฐวจนํ อนิยมนิเทฺทสวจน’’นฺติปิ วทนฺติฯ ยํตํสทฺทานํ นิจฺจสมฺพนฺธภาวโต อาห ‘‘ตสฺส สรูเปน อวุเตฺตนปี’’ติอาทิฯ ตตฺถ ตสฺสาติ ‘‘เตนา’’ติ เอตสฺสฯ สรูเปน อวุเตฺตนปีติ ‘‘เยนา’’ติ เอวํ สรูปโต ปาฬิยํ อวุเตฺตนปิฯ อตฺถโต สิเทฺธนาติ ปรภาเค สาริปุตฺตเตฺถรสฺส อุปฺปชฺชนกปริวิตกฺกสงฺขาตอตฺถโต สิเทฺธนฯ ปริวิตเกฺก หิ สิเทฺธ เยน สมเยน ปริวิตโกฺก อุทปาทีติ อิทํ อตฺถโต สิทฺธเมว โหติฯ เตเนวาห ‘‘อปรภาเค หิ วินยปญฺญตฺติยาจนเหตุภูโต อายสฺมโต สาริปุตฺตสฺส ปริวิตโกฺก สิโทฺธ’’ติอาทิฯ ‘‘เตนา’’ติ วตฺวา ตโต ตทตฺถเมว ‘‘เยนา’’ติ อตฺถโต วุจฺจมานตฺตา ‘‘เยนา’’ติ อยํ ‘‘เตนา’’ติ เอตสฺส ปฎินิเทฺทโส นาม ชาโตฯ ปฎินิเทฺทโสติ จ วิตฺถารนิเทฺทโสติ อโตฺถฯ
.Seyyathidanti taṃ katamaṃ, taṃ kathanti vā attho. Aniyamaniddesavacananti natthi etassa niyamoti aniyamo, niddisīyati attho etenāti niddeso, vuccati etenāti vacanaṃ, niddesoyeva vacanaṃ niddesavacanaṃ, aniyamassa niddesavacanaṃ aniyamaniddesavacanaṃ, paṭhamaṃ aniyamitassa samayassa niddesavacananti attho. ‘‘Yenāti avatvā tenāti vuttattā aniyamaṃ katvā niddiṭṭhavacanaṃ aniyamaniddesavacana’’ntipi vadanti. Yaṃtaṃsaddānaṃ niccasambandhabhāvato āha ‘‘tassa sarūpena avuttenapī’’tiādi. Tattha tassāti ‘‘tenā’’ti etassa. Sarūpena avuttenapīti ‘‘yenā’’ti evaṃ sarūpato pāḷiyaṃ avuttenapi. Atthato siddhenāti parabhāge sāriputtattherassa uppajjanakaparivitakkasaṅkhātaatthato siddhena. Parivitakke hi siddhe yena samayena parivitakko udapādīti idaṃ atthato siddhameva hoti. Tenevāha ‘‘aparabhāge hi vinayapaññattiyācanahetubhūto āyasmato sāriputtassa parivitakko siddho’’tiādi. ‘‘Tenā’’ti vatvā tato tadatthameva ‘‘yenā’’ti atthato vuccamānattā ‘‘yenā’’ti ayaṃ ‘‘tenā’’ti etassa paṭiniddeso nāma jāto. Paṭiniddesoti ca vitthāraniddesoti attho.
อปรภาเค หีติ เอตฺถ หิ-สโทฺท เหตุมฺหิ, ยสฺมาติ อโตฺถฯ วินยปญฺญตฺติยาจนเหตุภูโตติ ‘‘เอตสฺส ภควา กาโล, เอตสฺส สุคต กาโล, ยํ ภควา สาวกานํ สิกฺขาปทํ ปญฺญเปยฺย, อุทฺทิเสยฺย ปาติโมกฺขํฯ ยถยิทํ พฺรหฺมจริยํ อทฺธนิยํ อสฺส จิรฎฺฐิติก’’นฺติ เอวํ ปวตฺตสฺส วินยปญฺญตฺติยาจนสฺส การณภูโตติ อโตฺถฯ ปริวิตโกฺกติ ‘‘กตเมสานํ โข พุทฺธานํ ภควนฺตานํ พฺรหฺมจริยํ น จิรฎฺฐิติกํ อโหสิ, กตเมสานํ พุทฺธานํ ภควนฺตานํ พฺรหฺมจริยํ จิรฎฺฐิติกํ อโหสี’’ติ เอวํ ปวโตฺต ปริวิตโกฺกฯ ยํตํสทฺทานํ นิจฺจสมฺพโนฺธติ อาห ‘‘ตสฺมา เยน สมเยนา’’ติอาทิฯ ปุเพฺพ วา ปจฺฉา วา อตฺถโต สิเทฺธนาติ ปุเพฺพ วา ปจฺฉา วา อุปฺปนฺนอตฺถโต สิเทฺธนฯ ปฎินิเทฺทโส กตฺตโพฺพติ เอตสฺส ‘‘ยทิท’’นฺติ อิมินา สมฺพโนฺธฯ ‘‘ปฎินิเทฺทโส กตฺตโพฺพ’’ติ ยทิทํ ยํ อิทํ วิธานํ, อยํ สพฺพสฺมิํ วินเย ยุตฺตีติ อโตฺถฯ อถ วา ‘‘ปฎินิเทฺทโส กตฺตโพฺพ’’ติ ยทิทํ ยา อยํ ยุตฺติ, อยํ สพฺพสฺมิํ วินเย ยุตฺตีติ อโตฺถฯ
Aparabhāge hīti ettha hi-saddo hetumhi, yasmāti attho. Vinayapaññattiyācanahetubhūtoti ‘‘etassa bhagavā kālo, etassa sugata kālo, yaṃ bhagavā sāvakānaṃ sikkhāpadaṃ paññapeyya, uddiseyya pātimokkhaṃ. Yathayidaṃ brahmacariyaṃ addhaniyaṃ assa ciraṭṭhitika’’nti evaṃ pavattassa vinayapaññattiyācanassa kāraṇabhūtoti attho. Parivitakkoti ‘‘katamesānaṃ kho buddhānaṃ bhagavantānaṃ brahmacariyaṃ na ciraṭṭhitikaṃ ahosi, katamesānaṃ buddhānaṃ bhagavantānaṃ brahmacariyaṃ ciraṭṭhitikaṃ ahosī’’ti evaṃ pavatto parivitakko. Yaṃtaṃsaddānaṃ niccasambandhoti āha ‘‘tasmā yena samayenā’’tiādi. Pubbe vā pacchā vā atthato siddhenāti pubbe vā pacchā vā uppannaatthato siddhena. Paṭiniddeso kattabboti etassa ‘‘yadida’’nti iminā sambandho. ‘‘Paṭiniddeso kattabbo’’ti yadidaṃ yaṃ idaṃ vidhānaṃ, ayaṃ sabbasmiṃ vinaye yuttīti attho. Atha vā ‘‘paṭiniddeso kattabbo’’ti yadidaṃ yā ayaṃ yutti, ayaṃ sabbasmiṃ vinaye yuttīti attho.
ตตฺริทํ มุขมตฺตนิทสฺสนนฺติ ตสฺสา ยถาวุตฺตยุตฺติยา ปริทีปเน อิทํ มุขมตฺตนิทสฺสนํ, อุปายมตฺตนิทสฺสนนฺติ อโตฺถฯ มุขํ ทฺวารํ อุปาโยติ หิ อตฺถโต เอกํฯ ‘‘เตน หิ ภิกฺขเว ภิกฺขูนํ สิกฺขาปทํ ปญฺญเปสฺสามี’’ติ ปาฬิํ ทเสฺสตฺวา ตตฺถ ปฎินิเทฺทสมาห ‘‘เยน สุทิโนฺน’’ติอาทินาฯ เตนาติ เหตุอเตฺถ กรณวจนตฺตา ตสฺส ปฎินิเทฺทโสปิ ตาทิโสเยวาติ อาห ‘‘ยสฺมา ปฎิเสวี’’ติฯ ปุเพฺพ อตฺถโต สิเทฺธนาติ ปุเพฺพ อุปฺปนฺนเมถุนธมฺมปฎิเสวนสงฺขาตอตฺถโต สิเทฺธนฯ ปจฺฉา อตฺถโต สิเทฺธนาติ รญฺญา อทินฺนํ ทารูนํ อาทิยนสงฺขาตปจฺฉาอุปฺปนฺนอตฺถโต สิเทฺธนฯ สมยสโทฺทติ เอตสฺส ‘‘ทิสฺสตี’’ติ อิมินา สมฺพโนฺธฯ
Tatridaṃmukhamattanidassananti tassā yathāvuttayuttiyā paridīpane idaṃ mukhamattanidassanaṃ, upāyamattanidassananti attho. Mukhaṃ dvāraṃ upāyoti hi atthato ekaṃ. ‘‘Tena hi bhikkhave bhikkhūnaṃ sikkhāpadaṃ paññapessāmī’’ti pāḷiṃ dassetvā tattha paṭiniddesamāha ‘‘yena sudinno’’tiādinā. Tenāti hetuatthe karaṇavacanattā tassa paṭiniddesopi tādisoyevāti āha ‘‘yasmā paṭisevī’’ti. Pubbe atthato siddhenāti pubbe uppannamethunadhammapaṭisevanasaṅkhātaatthato siddhena. Pacchā atthato siddhenāti raññā adinnaṃ dārūnaṃ ādiyanasaṅkhātapacchāuppannaatthato siddhena. Samayasaddoti etassa ‘‘dissatī’’ti iminā sambandho.
สมวาเยติ ปจฺจยสามคฺคิยํ, การณสมวาเยติ อโตฺถฯ ขเณติ โอกาเสฯ อสฺสาติ อสฺส สมยสทฺทสฺส สมวาโย อโตฺถติ สมฺพโนฺธฯ อเปฺปว นาม เสฺวปิ อุปสงฺกเมยฺยาม กาลญฺจ สมยญฺจ อุปาทายาติ เอตฺถ กาโล นาม อุปสงฺกมนสฺส ยุตฺตปยุตฺตกาโลฯ สมโย นาม ตเสฺสว ปจฺจยสามคฺคี, อตฺถโต ตทนุรูปํ สรีรพลเญฺจว ตปฺปจฺจยปริสฺสยาภาโว จฯ อุปาทานํ นาม ญาเณน เตสํ คหณํ สลฺลกฺขณํ, ตสฺมา กาลญฺจ สมยญฺจ ปญฺญาย คเหตฺวา อุปธาเรตฺวาติ อโตฺถฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – สเจ อมฺหากํ เสฺว คมนสฺส ยุตฺตกาโล ภวิสฺสติ, กาเย พลมตฺตา เจว ผริสฺสติ, คมนปจฺจยา จ อโญฺญ อผาสุวิหาโร น ภวิสฺสติ, อเถตํ กาลญฺจ คมนการณสมวายสงฺขาตํ สมยญฺจ อุปธาเรตฺวา อปิ เอว นาม เสฺว อาคเจฺฉยฺยามาติฯ
Samavāyeti paccayasāmaggiyaṃ, kāraṇasamavāyeti attho. Khaṇeti okāse. Assāti assa samayasaddassa samavāyo atthoti sambandho. Appeva nāma svepi upasaṅkameyyāma kālañca samayañca upādāyāti ettha kālo nāma upasaṅkamanassa yuttapayuttakālo. Samayo nāma tasseva paccayasāmaggī, atthato tadanurūpaṃ sarīrabalañceva tappaccayaparissayābhāvo ca. Upādānaṃ nāma ñāṇena tesaṃ gahaṇaṃ sallakkhaṇaṃ, tasmā kālañca samayañca paññāya gahetvā upadhāretvāti attho. Idaṃ vuttaṃ hoti – sace amhākaṃ sve gamanassa yuttakālo bhavissati, kāye balamattā ceva pharissati, gamanapaccayā ca añño aphāsuvihāro na bhavissati, athetaṃ kālañca gamanakāraṇasamavāyasaṅkhātaṃ samayañca upadhāretvā api eva nāma sve āgaccheyyāmāti.
ขโณติ โอกาโสฯ ตถาคตุปฺปาทาทิโก หิ มคฺคพฺรหฺมจริยสฺส โอกาโส ตปฺปจฺจยปฎิลาภเหตุตฺตา, ขโณ เอว จ สมโยฯ โย ขโณติ จ สมโยติ จ วุจฺจติ, โส เอโกวาติ หิ อโตฺถฯ มหาสมโยติ มหาสมูโหฯ ปวุทฺธํ วนํ ปวนํ, ตสฺมิํ ปวนสฺมิํ, วนสเณฺฑติ อโตฺถฯ สมโยปิ โข เต ภทฺทาลิ อปฺปฎิวิโทฺธ อโหสีติ เอตฺถ สมโยติ สิกฺขาปทปูรณสฺส เหตุฯ ภทฺทาลีติ ตสฺส ภิกฺขุโน นามํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ภทฺทาลิ ตยา ปฎิวิชฺฌิตพฺพยุตฺตกํ เอตํ การณํ อตฺถิ, ตมฺปิ เต น ปฎิวิทฺธํ น สลฺลกฺขิตนฺติฯ กิํ ตํ การณนฺติ อาห ‘‘ภควา โข’’ติอาทิฯ
Khaṇoti okāso. Tathāgatuppādādiko hi maggabrahmacariyassa okāso tappaccayapaṭilābhahetuttā, khaṇo eva ca samayo. Yo khaṇoti ca samayoti ca vuccati, so ekovāti hi attho. Mahāsamayoti mahāsamūho. Pavuddhaṃ vanaṃ pavanaṃ, tasmiṃ pavanasmiṃ, vanasaṇḍeti attho. Samayopi kho te bhaddāli appaṭividdho ahosīti ettha samayoti sikkhāpadapūraṇassa hetu. Bhaddālīti tassa bhikkhuno nāmaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – bhaddāli tayā paṭivijjhitabbayuttakaṃ etaṃ kāraṇaṃ atthi, tampi te na paṭividdhaṃ na sallakkhitanti. Kiṃ taṃ kāraṇanti āha ‘‘bhagavā kho’’tiādi.
อุคฺคาหมาโน ติอาทีสุ มาโนติ ตสฺส ปริพฺพาชกสฺส ปกตินามํ, กิญฺจิ กิญฺจิ ปน อุคฺคเหตุํ สมตฺถตาย ‘‘อุคฺคาหมาโน’’ติ นํ สญฺชานนฺติ, ตสฺมา ‘‘อุคฺคาหมาโน’’ติ วุจฺจติ ฯ สมณมุณฺฑิกาย ปุโตฺต สมณมุณฺฑิกาปุโตฺตฯ โส กิร เทวทตฺตสฺส อุปฎฺฐาโกฯ สมยํ ทิฎฺฐิํ ปวทนฺติ เอตฺถาติ สมยปฺปวาทโก, ตสฺมิํ สมยปฺปวาทเก, ทิฎฺฐิปฺปวาทเกติ อโตฺถฯ ตสฺมิํ กิร ฐาเน จงฺกีตารุกฺขโปกฺขรสาติปภุตโย พฺราหฺมณา นิคณฺฐาเจลกปริพฺพาชกาทโย จ ปริพฺพาชกา สนฺนิปติตฺวา อตฺตโน อตฺตโน สมยํ ทิฎฺฐิํ ปวทนฺติ กเถนฺติ ทีเปนฺติ, ตสฺมา โส อาราโม ‘‘สมยปฺปวาทโก’’ติ วุจฺจติ, เสฺวว ตินฺทุกาจีรสงฺขาตาย ติมฺพรุรุกฺขปนฺติยา ปริกฺขิตฺตตฺตา ‘‘ตินฺทุกาจีร’’นฺติ วุจฺจติฯ เอกา สาลา เอตฺถาติ เอกสาลโกฯ ยสฺมา ปเนตฺถ ปฐมํ เอกา สาลา กตา อโหสิ, ปจฺฉา มหาปุญฺญํ โปฎฺฐปาทปริพฺพาชกํ นิสฺสาย พหู สาลา กตา, ตสฺมา ตเมว เอกํ สาลมุปาทาย ลทฺธนามวเสน ‘‘เอกสาลโก’’ติ วุจฺจติฯ มลฺลิกาย ปน ปเสนทิรโญฺญ เทวิยา อุยฺยานภูโต โส ปุปฺผผลสญฺฉโนฺน อาราโมติ กตฺวา ‘‘มลฺลิกาย อาราโม’’ติ สงฺขฺยํ คโตฯ ตสฺมิํ สมยปฺปวาทเก ตินฺทุกาจีเร เอกสาลเก มลฺลิกาย อาราเมฯ ปฎิวสตีติ ตสฺมิํ วาสผาสุตาย วสติฯ
Uggāhamāno tiādīsu mānoti tassa paribbājakassa pakatināmaṃ, kiñci kiñci pana uggahetuṃ samatthatāya ‘‘uggāhamāno’’ti naṃ sañjānanti, tasmā ‘‘uggāhamāno’’ti vuccati . Samaṇamuṇḍikāya putto samaṇamuṇḍikāputto. So kira devadattassa upaṭṭhāko. Samayaṃ diṭṭhiṃ pavadanti etthāti samayappavādako, tasmiṃ samayappavādake, diṭṭhippavādaketi attho. Tasmiṃ kira ṭhāne caṅkītārukkhapokkharasātipabhutayo brāhmaṇā nigaṇṭhācelakaparibbājakādayo ca paribbājakā sannipatitvā attano attano samayaṃ diṭṭhiṃ pavadanti kathenti dīpenti, tasmā so ārāmo ‘‘samayappavādako’’ti vuccati, sveva tindukācīrasaṅkhātāya timbarurukkhapantiyā parikkhittattā ‘‘tindukācīra’’nti vuccati. Ekā sālā etthāti ekasālako. Yasmā panettha paṭhamaṃ ekā sālā katā ahosi, pacchā mahāpuññaṃ poṭṭhapādaparibbājakaṃ nissāya bahū sālā katā, tasmā tameva ekaṃ sālamupādāya laddhanāmavasena ‘‘ekasālako’’ti vuccati. Mallikāya pana pasenadirañño deviyā uyyānabhūto so pupphaphalasañchanno ārāmoti katvā ‘‘mallikāya ārāmo’’ti saṅkhyaṃ gato. Tasmiṃ samayappavādake tindukācīre ekasālake mallikāya ārāme. Paṭivasatīti tasmiṃ vāsaphāsutāya vasati.
ทิเฎฺฐ ธเมฺมติ ปจฺจเกฺข อตฺตภาเวฯ อโตฺถติ วุฑฺฒิฯ สมฺปรายิโกติ กมฺมกิเลสวเสน สมฺปเรตพฺพโต สมฺปาปุณิตพฺพโต สมฺปราโย, ปรโลโกฯ ตตฺถ นิยุโตฺต สมฺปรายิโก, ปรโลกโตฺถฯ อตฺถาภิสมยาติ ยถาวุตฺตอุภยตฺถสงฺขาตหิตปฎิลาภาฯ สมฺปรายิโกปิ หิ อโตฺถ การณสฺส นิปฺผนฺนตฺตา ปฎิลโทฺธ นาม โหตีติ ตมตฺถทฺวยํ เอกโต กตฺวา ‘‘อตฺถาภิสมยา’’ติ วุตฺตํฯ ธิยา ปญฺญาย ราติ คณฺหาตีติ ธีโรฯ อถ วา ธี ปญฺญา เอตสฺส อตฺถีติ ธีโรฯ
Diṭṭhe dhammeti paccakkhe attabhāve. Atthoti vuḍḍhi. Samparāyikoti kammakilesavasena samparetabbato sampāpuṇitabbato samparāyo, paraloko. Tattha niyutto samparāyiko, paralokattho. Atthābhisamayāti yathāvuttaubhayatthasaṅkhātahitapaṭilābhā. Samparāyikopi hi attho kāraṇassa nipphannattā paṭiladdho nāma hotīti tamatthadvayaṃ ekato katvā ‘‘atthābhisamayā’’ti vuttaṃ. Dhiyā paññāya rāti gaṇhātīti dhīro. Atha vā dhī paññā etassa atthīti dhīro.
สมฺมา มานาภิสมยาติ มานสฺส สมฺมา ปหาเนนฯ สมฺมาติ อิมินา มานสฺส อคฺคมคฺคญาเณน สมุเจฺฉทปฺปหานํ วุตฺตํฯ ทุกฺขสฺส ปีฬนโฎฺฐติอาทีสุ ทุกฺขสจฺจสฺส ปีฬนํ ตํสมงฺคิโน หิํสนํ อวิปฺผาริกตากรณํ, ปีฬนเมว อโตฺถ ปีฬนโฎฺฐ, ตฺถการสฺส ฎฺฐการํ กตฺวา วุตฺตํฯ เอวํ เสเสสุปิฯ สเมจฺจ ปจฺจเยหิ กตภาโว สงฺขตโฎฺฐฯ สนฺตาโป ทุกฺขทุกฺขตาทิวเสน สนฺตาปนํ ปริทหนํฯ วิปริณาโม ชราย มรเณน จาติ ทฺวิธา วิปริณาเมตพฺพตาฯ อภิสเมตโพฺพ ปฎิวิชฺฌิตโพฺพติ อภิสมโย, อภิสมโยว อโตฺถ อภิสมยโฎฺฐ, ปีฬนาทีนิฯ ตานิ หิ อภิสเมตพฺพภาเวน เอกีภาวํ อุปเนตฺวา ‘‘อภิสมยโฎฺฐ’’ติ วุตฺตานิ, อภิสมยสฺส วา ปฎิเวธสฺส วิสยภูโต อโตฺถ อภิสมยโฎฺฐติ ตาเนว ปีฬนาทีนิ อภิสมยสฺส วิสยภาวูปคมนสามญฺญโต เอกเตฺตน วุตฺตานิฯ
Sammā mānābhisamayāti mānassa sammā pahānena. Sammāti iminā mānassa aggamaggañāṇena samucchedappahānaṃ vuttaṃ. Dukkhassa pīḷanaṭṭhotiādīsu dukkhasaccassa pīḷanaṃ taṃsamaṅgino hiṃsanaṃ avipphārikatākaraṇaṃ, pīḷanameva attho pīḷanaṭṭho, tthakārassa ṭṭhakāraṃ katvā vuttaṃ. Evaṃ sesesupi. Samecca paccayehi katabhāvo saṅkhataṭṭho. Santāpo dukkhadukkhatādivasena santāpanaṃ paridahanaṃ. Vipariṇāmo jarāya maraṇena cāti dvidhā vipariṇāmetabbatā. Abhisametabbo paṭivijjhitabboti abhisamayo, abhisamayova attho abhisamayaṭṭho, pīḷanādīni. Tāni hi abhisametabbabhāvena ekībhāvaṃ upanetvā ‘‘abhisamayaṭṭho’’ti vuttāni, abhisamayassa vā paṭivedhassa visayabhūto attho abhisamayaṭṭhoti tāneva pīḷanādīni abhisamayassa visayabhāvūpagamanasāmaññato ekattena vuttāni.
เอตฺถ จ อุปสคฺคานํ โชตกมตฺตตฺตา ตสฺส ตสฺส อตฺถสฺส วาจโก สมยสโทฺท เอวาติ สมยสทฺทสฺส อตฺถุทฺธาเรปิ สอุปสโคฺค อภิสมยสโทฺท วุโตฺตฯ ตตฺถ สหการีการณสนฺนิชฺฌํ สเมติ สมเวตีติ สมโย, สมวาโยฯ สเมติ สมาคจฺฉติ มคฺคพฺรหฺมจริยํ เอตฺถ ตทาธารปุคฺคเลหีติ สมโย, ขโณฯ สเมนฺติ เอตฺถ, เอเตน วา สํคจฺฉนฺติ ธมฺมา สหชาตธเมฺมหิ อุปฺปาทาทีหิ วาติ สมโย, กาโลฯ ธมฺมปฺปวตฺติมตฺตตาย อตฺถโต อภูโตปิ หิ กาโล ธมฺมปฺปวตฺติยา อธิกรณํ การณํ วิย จ ปริกปฺปนามตฺตสิเทฺธน รูเปน โวหรียติฯ สมํ, สห วา อวยวานํ อยนํ ปวตฺติ อวฎฺฐานนฺติ สมโย, สมูโห ยถา ‘‘สมุทาโย’’ติฯ อวยเวน สหาวฎฺฐานเมว หิ สมูโหฯ ปจฺจยนฺตรสมาคเม เอติ ผลํ เอตสฺมา อุปฺปชฺชติ ปวตฺตติ จาติ สมโย, เหตุ ยถา ‘‘สมุทโย’’ติฯ สเมติ สํโยชนภาวโต สมฺพโนฺธ เอติ อตฺตโน วิสเย ปวตฺตติ, ทฬฺหคฺคหณภาวโต วา ตํสํยุตฺตา อยนฺติ ปวตฺตนฺติ สตฺตา ยถาภินิเวสํ เอเตนาติ สมโย, ทิฎฺฐิฯ ทิฎฺฐิสํโยชเนน หิ สตฺตา อติวิย พชฺฌนฺติฯ สมิติ สงฺคติ สโมธานนฺติ สมโย, ปฎิลาโภฯ สมสฺส นิโรธสฺส ยานํ, สมฺมา วา ยานํ อปคโม อปฺปวตฺตีติ สมโย, ปหานํฯ ญาเณน อภิมุขํ สมฺมา เอตโพฺพ อธิคนฺตโพฺพติ อภิสมโย, ธมฺมานํ อวิปรีโต สภาโวฯ อภิมุขภาเวน สมฺมา เอติ คจฺฉติ พุชฺฌตีติ อภิสมโย, ธมฺมานํ ยถาภูตสภาวาวโพโธฯ เอวํ ตสฺมิํ ตสฺมิํ อเตฺถ สมยสทฺทสฺส ปวตฺติ เวทิตพฺพาฯ
Ettha ca upasaggānaṃ jotakamattattā tassa tassa atthassa vācako samayasaddo evāti samayasaddassa atthuddhārepi saupasaggo abhisamayasaddo vutto. Tattha sahakārīkāraṇasannijjhaṃ sameti samavetīti samayo, samavāyo. Sameti samāgacchati maggabrahmacariyaṃ ettha tadādhārapuggalehīti samayo, khaṇo. Samenti ettha, etena vā saṃgacchanti dhammā sahajātadhammehi uppādādīhi vāti samayo, kālo. Dhammappavattimattatāya atthato abhūtopi hi kālo dhammappavattiyā adhikaraṇaṃ kāraṇaṃ viya ca parikappanāmattasiddhena rūpena voharīyati. Samaṃ, saha vā avayavānaṃ ayanaṃ pavatti avaṭṭhānanti samayo, samūho yathā ‘‘samudāyo’’ti. Avayavena sahāvaṭṭhānameva hi samūho. Paccayantarasamāgame eti phalaṃ etasmā uppajjati pavattati cāti samayo, hetu yathā ‘‘samudayo’’ti. Sameti saṃyojanabhāvato sambandho eti attano visaye pavattati, daḷhaggahaṇabhāvato vā taṃsaṃyuttā ayanti pavattanti sattā yathābhinivesaṃ etenāti samayo, diṭṭhi. Diṭṭhisaṃyojanena hi sattā ativiya bajjhanti. Samiti saṅgati samodhānanti samayo, paṭilābho. Samassa nirodhassa yānaṃ, sammā vā yānaṃ apagamo appavattīti samayo, pahānaṃ. Ñāṇena abhimukhaṃ sammā etabbo adhigantabboti abhisamayo, dhammānaṃ aviparīto sabhāvo. Abhimukhabhāvena sammā eti gacchati bujjhatīti abhisamayo, dhammānaṃ yathābhūtasabhāvāvabodho. Evaṃ tasmiṃ tasmiṃ atthe samayasaddassa pavatti veditabbā.
นนุ จ อตฺถมตฺตํ ปฎิจฺจ สทฺทา อภินิวิสนฺติ, น เอเกน สเทฺทน อเนเก อตฺถา อภิธียนฺตีติ? สจฺจเมตํ สทฺทวิเสเส อเปกฺขิเตฯ สทฺทวิเสเส หิ อเปกฺขิยมาเน เอเกน สเทฺทน อเนกตฺถาภิธานํ น สมฺภวติฯ น หิ โย กาลโตฺถ สมยสโทฺท, โสเยว สมูหาทิอตฺถํ วทติฯ เอตฺถ ปน เตสํ เตสํ อตฺถานํ สมยสทฺทวจนียตาสามญฺญมุปาทาย อเนกตฺถตา สมยสทฺทสฺส วุตฺตาฯ เอวํ สพฺพตฺถ อตฺถุทฺธาเร อธิปฺปาโย เวทิตโพฺพฯ อิธ ปนสฺส กาโล อโตฺถติ อสฺส สมยสทฺทสฺส อิธ กาโล อโตฺถ สมวายาทีนํ อตฺถานํ อิธ อสมฺภวโต เทสเทสกาทีนํ วิย นิทานภาเวน กาลสฺส อปทิสิตพฺพโต จฯ
Nanu ca atthamattaṃ paṭicca saddā abhinivisanti, na ekena saddena aneke atthā abhidhīyantīti? Saccametaṃ saddavisese apekkhite. Saddavisese hi apekkhiyamāne ekena saddena anekatthābhidhānaṃ na sambhavati. Na hi yo kālattho samayasaddo, soyeva samūhādiatthaṃ vadati. Ettha pana tesaṃ tesaṃ atthānaṃ samayasaddavacanīyatāsāmaññamupādāya anekatthatā samayasaddassa vuttā. Evaṃ sabbattha atthuddhāre adhippāyo veditabbo. Idha panassa kālo atthoti assa samayasaddassa idha kālo attho samavāyādīnaṃ atthānaṃ idha asambhavato desadesakādīnaṃ viya nidānabhāvena kālassa apadisitabbato ca.
อุปโยควจเนน ภุมฺมวจเนน จ นิเทฺทสมกตฺวา อิธ กรณวจเนน นิเทฺทเส ปโยชนํ นิทฺธาเรตุกาโม ปรมฺมุเขน โจทนํ สมุฎฺฐาเปติ ‘‘เอตฺถาหา’’ติอาทิฯ เอตฺถ ‘‘เตน สมเยนา’’ติ อิมสฺมิํ ฐาเน วิตณฺฑวาที อาหาติ อโตฺถฯ อถาติ โจทนาย กตฺตุกามตํ ทีเปติ, นนูติ อิมินา สมานโตฺถฯ กสฺมา กรณวจเนน นิเทฺทโส กโตติ สมฺพโนฺธฯ ภุมฺมวจเนน นิเทฺทโส กโตติ โยเชตพฺพํฯ เอตฺถาปิ ‘‘ยถา’’ติ อิทํ อาเนตฺวา สมฺพนฺธิตพฺพํฯ ตตฺถาติ เตสุ สุตฺตาภิธเมฺมสุฯ ตถาติ อุปโยคภุมฺมวจเนหิฯ อิธาติ อิมสฺมิํ วินเยฯ อญฺญถาติ กรณวจเนนฯ อจฺจนฺตเมวาติ อารมฺภโต ปฎฺฐาย ยาว เทสนานิฎฺฐานํ, ตาว อจฺจนฺตเมว, นิรนฺตรเมวาติ อโตฺถฯ กรุณาวิหาเรนาติ ปรหิตปฎิปตฺติสงฺขาเตน กรุณาวิหาเรนฯ ตถา หิ กรุณานิทานตฺตา เทสนาย อิธ ปรหิตปฎิปตฺติ ‘‘กรุณาวิหาโร’’ติ วุตฺตา, น ปน กรุณาสมอาปตฺติวิหาโรฯ น หิ เทสนากาเล เทเสตพฺพธมฺมวิสยสฺส เทสนาญาณสฺส สตฺตวิสยาย มหากรุณาย สหุปฺปตฺติ สมฺภวติ ภินฺนวิสยตฺตา, ตสฺมา กรุณาวเสน ปวโตฺต ปรหิตปอปตฺติสงฺขาโต วิหาโร อิธ กรุณาวิหาโรติ เวทิตโพฺพฯ ตทตฺถโชตนตฺถนฺติ อจฺจนฺตสํโยคตฺถทีปนตฺถํ อุปโยคนิเทฺทโส กโต ยถา ‘‘มาสํ อเชฺฌตี’’ติฯ
Upayogavacanena bhummavacanena ca niddesamakatvā idha karaṇavacanena niddese payojanaṃ niddhāretukāmo parammukhena codanaṃ samuṭṭhāpeti ‘‘etthāhā’’tiādi. Ettha ‘‘tena samayenā’’ti imasmiṃ ṭhāne vitaṇḍavādī āhāti attho. Athāti codanāya kattukāmataṃ dīpeti, nanūti iminā samānattho. Kasmā karaṇavacanena niddeso katoti sambandho. Bhummavacanena niddeso katoti yojetabbaṃ. Etthāpi ‘‘yathā’’ti idaṃ ānetvā sambandhitabbaṃ. Tatthāti tesu suttābhidhammesu. Tathāti upayogabhummavacanehi. Idhāti imasmiṃ vinaye. Aññathāti karaṇavacanena. Accantamevāti ārambhato paṭṭhāya yāva desanāniṭṭhānaṃ, tāva accantameva, nirantaramevāti attho. Karuṇāvihārenāti parahitapaṭipattisaṅkhātena karuṇāvihārena. Tathā hi karuṇānidānattā desanāya idha parahitapaṭipatti ‘‘karuṇāvihāro’’ti vuttā, na pana karuṇāsamaāpattivihāro. Na hi desanākāle desetabbadhammavisayassa desanāñāṇassa sattavisayāya mahākaruṇāya sahuppatti sambhavati bhinnavisayattā, tasmā karuṇāvasena pavatto parahitapaapattisaṅkhāto vihāro idha karuṇāvihāroti veditabbo. Tadatthajotanatthanti accantasaṃyogatthadīpanatthaṃ upayoganiddeso kato yathā ‘‘māsaṃ ajjhetī’’ti.
อธิกรณโตฺถติ อาธารโตฺถฯ ภาโว นาม กิริยา, กิริยาย กิริยนฺตรลกฺขณํ ภาเวนภาวลกฺขณํ, โสเยวโตฺถ ภาเวนภาวลกฺขณโตฺถฯ กถํ ปน อภิธเมฺม ยถาวุตฺตอตฺถทฺวยสมฺภโวติ อาห ‘‘อธิกรณญฺหี’’ติอาทิฯ ตตฺถ กาลสงฺขาโต อโตฺถ กาลโตฺถ, สมูหสงฺขาโต อโตฺถ สมูหโตฺถฯ อถ วา กาลสทฺทสฺส อโตฺถ กาลโตฺถ, สมูหสทฺทสฺส อโตฺถ สมูหโตฺถฯ โก โส? สมโยฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – กาลโตฺถ สมูหโตฺถ จ สมโย ตตฺถ อภิธเมฺม วุตฺตานํ ผสฺสาทิธมฺมานํ อธิกรณํ อาธาโรติ ยสฺมิํ กาเล ธมฺมปุเญฺช วา กามาวจรํ กุสลํ จิตฺตํ อุปฺปนฺนํ โหติ, ตสฺมิํเยว กาเล ปุเญฺช จ ผสฺสาทโยปิ โหนฺตีติ อยญฺหิ ตตฺถ อโตฺถฯ
Adhikaraṇatthoti ādhārattho. Bhāvo nāma kiriyā, kiriyāya kiriyantaralakkhaṇaṃ bhāvenabhāvalakkhaṇaṃ, soyevattho bhāvenabhāvalakkhaṇattho. Kathaṃ pana abhidhamme yathāvuttaatthadvayasambhavoti āha ‘‘adhikaraṇañhī’’tiādi. Tattha kālasaṅkhāto attho kālattho, samūhasaṅkhāto attho samūhattho. Atha vā kālasaddassa attho kālattho, samūhasaddassa attho samūhattho. Ko so? Samayo. Idaṃ vuttaṃ hoti – kālattho samūhattho ca samayo tattha abhidhamme vuttānaṃ phassādidhammānaṃ adhikaraṇaṃ ādhāroti yasmiṃ kāle dhammapuñje vā kāmāvacaraṃ kusalaṃ cittaṃ uppannaṃ hoti, tasmiṃyeva kāle puñje ca phassādayopi hontīti ayañhi tattha attho.
นนุ จายํ อุปาทาย ปญฺญโตฺต กาโล สมูโห จ โวหารมตฺตโก, โส กถํ อาธาโร ตตฺถ วุตฺตธมฺมานนฺติ? นายํ โทโสฯ ยถา หิ กาโล สภาวธมฺมปริจฺฉิโนฺน สยํ ปรมตฺถโต อวิชฺชมาโนปิ อาธารภาเวน ปญฺญโตฺต ตงฺขณปฺปวตฺตานํ ตโต ปุเพฺพ ปรโต จ อภาวโต ‘‘ปุพฺพเณฺห ชาโต สายเนฺห คจฺฉตี’’ติอาทีสุ, สมูโห จ อวยววินิมุโตฺต อวิชฺชมาโนปิ กปฺปนามตฺตสิโทฺธ อวยวานํ อาธารภาเวน ปญฺญปียติ ‘‘รุเกฺข สาขา, ยวราสิมฺหิ สมฺภูโต’’ติอาทีสุ, เอวมิธาปีติ ทฎฺฐพฺพํฯ
Nanu cāyaṃ upādāya paññatto kālo samūho ca vohāramattako, so kathaṃ ādhāro tattha vuttadhammānanti? Nāyaṃ doso. Yathā hi kālo sabhāvadhammaparicchinno sayaṃ paramatthato avijjamānopi ādhārabhāvena paññatto taṅkhaṇappavattānaṃ tato pubbe parato ca abhāvato ‘‘pubbaṇhe jāto sāyanhe gacchatī’’tiādīsu, samūho ca avayavavinimutto avijjamānopi kappanāmattasiddho avayavānaṃ ādhārabhāvena paññapīyati ‘‘rukkhe sākhā, yavarāsimhi sambhūto’’tiādīsu, evamidhāpīti daṭṭhabbaṃ.
อภิธเมฺม อาธารตฺถสมฺภวํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ภาเวนภาวลกฺขณตฺถสมฺภวํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘ขณสมวายเหตุสงฺขาตสฺสา’’ติอาทิฯ ตตฺถ ขโณ นาม อฎฺฐกฺขณวินิมุโตฺต นวโม พุทฺธุปฺปาทสงฺขาโต ขโณ, ยานิ วา ปเนตานิ ‘‘จตฺตาริมานิ, ภิกฺขเว, จกฺกานิ เยหิ สมนฺนาคตานํ เทวมนุสฺสานํ จตุจกฺกํ ปวตฺตตี’’ติ (อ. นิ. ๔.๓๑) เอตฺถ ปติรูปเทสวาโส, สปฺปุริสูปนิสฺสโย, อตฺตสมฺมาปณิธิ, ปุเพฺพ จ กตปุญฺญตาติ จตฺตาริ จกฺกานิ วุตฺตานิ, ตานิ เอกชฺฌํ กตฺวา โอกาสเฎฺฐน ขโณติ เวทิตโพฺพฯ ตานิ หิ กุสลุปฺปตฺติยา โอกาสภูตานิฯ สมวาโย นาม ‘‘จกฺขุญฺจ ปฎิจฺจ รูเป จ อุปฺปชฺชติ จกฺขุวิญฺญาณ’’นฺติ (ม. นิ. ๑.๒๐๔; ๓.๔๒๑; สํ. นิ. ๔.๖๐) เอวมาทินา นิทฺทิฎฺฐา จกฺขุวิญฺญาณาทิสงฺขาตสาธารณผลนิปฺผาทกเตฺตน สณฺฐิตา จกฺขุรูปาทิปจฺจยสามคฺคีฯ จกฺขุรูปาทีนญฺหิ จกฺขุวิญฺญาณาทิสาธารณผลํฯ เหตูติ ชนกเหตุฯ ยถาวุตฺตขณสงฺขอาตสฺส สมวายสงฺขาตสฺส เหตุสงฺขาตสฺส จ สมยสฺส ภาเวน สตฺตาย เตสํ ผสฺสาทิธมฺมานํ ภาโว สตฺตา ลกฺขียติ วิญฺญายตีติ อโตฺถฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยถา ‘‘คาวีสุ ทุยฺหมานาสุ คโต, ทุทฺธาสุ อาคโต’’ติ โทหนกิริยาย คมนกิริยา ลกฺขียติ, เอวมิธาปิ ‘‘ยสฺมิํ สมเย, ตสฺมิํ สมเย’’ติ จ วุเตฺต ‘‘สตี’’ติ อยมโตฺถ วิญฺญายมาโน เอว โหติ อญฺญกิริยาย สมฺพนฺธาภาเว ปทตฺถสฺส สตฺตาวิรหาภาวโตติ สมยสฺส สตฺตากิริยาย จิตฺตสฺส อุปฺปาทกิริยา ผสฺสาทิภวนกิริยา จ ลกฺขียตีติฯ อยญฺหิ ตตฺถ อโตฺถ ยสฺมิํ ยถาวุเตฺต ขเณ ปจฺจยสมวาเย เหตุมฺหิ จ สติ กามาวจรํ กุสลํ จิตฺตํ อุปฺปนฺนํ โหติ, ตสฺมิํเยว ขเณ ปจฺจยสมวาเย เหตุมฺหิ จ สติ ผสฺสาทโยปิ โหนฺตีติ ฯ ตทตฺถโชตนตฺถนฺติ อธิกรณตฺถสฺส ภาเวนภาวลกฺขณตฺถสฺส จ ทีปนตฺถํฯ
Abhidhamme ādhāratthasambhavaṃ dassetvā idāni bhāvenabhāvalakkhaṇatthasambhavaṃ dassento āha ‘‘khaṇasamavāyahetusaṅkhātassā’’tiādi. Tattha khaṇo nāma aṭṭhakkhaṇavinimutto navamo buddhuppādasaṅkhāto khaṇo, yāni vā panetāni ‘‘cattārimāni, bhikkhave, cakkāni yehi samannāgatānaṃ devamanussānaṃ catucakkaṃ pavattatī’’ti (a. ni. 4.31) ettha patirūpadesavāso, sappurisūpanissayo, attasammāpaṇidhi, pubbe ca katapuññatāti cattāri cakkāni vuttāni, tāni ekajjhaṃ katvā okāsaṭṭhena khaṇoti veditabbo. Tāni hi kusaluppattiyā okāsabhūtāni. Samavāyo nāma ‘‘cakkhuñca paṭicca rūpe ca uppajjati cakkhuviññāṇa’’nti (ma. ni. 1.204; 3.421; saṃ. ni. 4.60) evamādinā niddiṭṭhā cakkhuviññāṇādisaṅkhātasādhāraṇaphalanipphādakattena saṇṭhitā cakkhurūpādipaccayasāmaggī. Cakkhurūpādīnañhi cakkhuviññāṇādisādhāraṇaphalaṃ. Hetūti janakahetu. Yathāvuttakhaṇasaṅkhaātassa samavāyasaṅkhātassa hetusaṅkhātassa ca samayassa bhāvena sattāya tesaṃ phassādidhammānaṃ bhāvo sattā lakkhīyati viññāyatīti attho. Idaṃ vuttaṃ hoti – yathā ‘‘gāvīsu duyhamānāsu gato, duddhāsu āgato’’ti dohanakiriyāya gamanakiriyā lakkhīyati, evamidhāpi ‘‘yasmiṃ samaye, tasmiṃ samaye’’ti ca vutte ‘‘satī’’ti ayamattho viññāyamāno eva hoti aññakiriyāya sambandhābhāve padatthassa sattāvirahābhāvatoti samayassa sattākiriyāya cittassa uppādakiriyā phassādibhavanakiriyā ca lakkhīyatīti. Ayañhi tattha attho yasmiṃ yathāvutte khaṇe paccayasamavāye hetumhi ca sati kāmāvacaraṃ kusalaṃ cittaṃ uppannaṃ hoti, tasmiṃyeva khaṇe paccayasamavāye hetumhi ca sati phassādayopi hontīti . Tadatthajotanatthanti adhikaraṇatthassa bhāvenabhāvalakkhaṇatthassa ca dīpanatthaṃ.
อิธ ปนาติ อิมสฺมิํ วินเยฯ เหตุอโตฺถ กรณโตฺถ จ สมฺภวตีติ ‘‘อเนฺนน วสติ, วิชฺชาย วสตี’’ติอาทีสุ วิย เหตุอโตฺถ ‘‘ผรสุนา ฉินฺทติ, กุทาเลน ขณตี’’ติอาทีสุ วิย กรณโตฺถ จ สมฺภวติฯ กถํ สมฺภวตีติ อาห ‘‘โย หิ โส’’ติอาทิฯ เตน สมเยน เหตุภูเตน กรณภูเตนาติ เอตฺถ ปน ตํตํวตฺถุวีติกฺกโมว สิกฺขาปทปญฺญตฺติยา เหตุ เจว กรณญฺจฯ ตถา หิ ยทา ภควา สิกฺขาปทปญฺญตฺติยา ปฐมเมว เตสํ เตสํ ตตฺถ ตตฺถ ตํตํสิกฺขาปทปญฺญตฺติเหตุภูตํ วีติกฺกมํ อเปกฺขมาโน วิหรติ, ตทา ตํ ตํ วีติกฺกมํ อเปกฺขิตฺวา ตทตฺถํ วสตีติ สิโทฺธ วตฺถุวีติกฺกมสฺส เหตุภาโว ‘‘อเนฺนน วสติ, อนฺนํ อเปกฺขิตฺวา ตทตฺถาย วสตี’’ติอาทีสุ วิยฯ สิกฺขาปทปญฺญตฺติกาเล ปน เตเนว ปุพฺพสิเทฺธน วีติกฺกเมน สิกฺขาปทํ ปญฺญเปตีติ สิกฺขาปทปญฺญตฺติยา สาธกตมตฺตา กรณภาโวปิ วีติกฺกมเสฺสว สิโทฺธ ‘‘อสินา ฉินฺทตี’’ติอาทีสุ วิยฯ วีติกฺกมํ ปน อเปกฺขมาโน เตเนว สทฺธิํ ตนฺนิสฺสยกาลมฺปิ อเปกฺขิตฺวา วิหรตีติ กาลสฺสปิ อิธ เหตุภาโว วุโตฺต, สิกฺขาปทํ ปญฺญเปโนฺต จ ตํ ตํ วีติกฺกมกาลํ อนติกฺกมิตฺวา เตเนว กาเลน สิกฺขาปทํ ปญฺญเปตีติ วีติกฺกมนิสฺสยสฺส กาลสฺสปิ กรณภาโว วุโตฺต, ตสฺมา อิมินา ปริยาเยน กาลสฺสปิ เหตุภาโว กรณภาโว จ ลพฺภตีติ วุตฺตํ ‘‘เตน สมเยน เหตุภูเตน กรณภูเตนา’’ติฯ นิปฺปริยายโต ปน วีติกฺกโมเยว เหตุภูโต กรณภูโต จฯ โส หิ วีติกฺกมกฺขเณ เหตุ หุตฺวา ปจฺฉา สิกฺขาปทปญฺญาปเน กรณมฺปิ โหตีติฯ
Idha panāti imasmiṃ vinaye. Hetuattho karaṇattho ca sambhavatīti ‘‘annena vasati, vijjāya vasatī’’tiādīsu viya hetuattho ‘‘pharasunā chindati, kudālena khaṇatī’’tiādīsu viya karaṇattho ca sambhavati. Kathaṃ sambhavatīti āha ‘‘yo hi so’’tiādi. Tena samayena hetubhūtena karaṇabhūtenāti ettha pana taṃtaṃvatthuvītikkamova sikkhāpadapaññattiyā hetu ceva karaṇañca. Tathā hi yadā bhagavā sikkhāpadapaññattiyā paṭhamameva tesaṃ tesaṃ tattha tattha taṃtaṃsikkhāpadapaññattihetubhūtaṃ vītikkamaṃ apekkhamāno viharati, tadā taṃ taṃ vītikkamaṃ apekkhitvā tadatthaṃ vasatīti siddho vatthuvītikkamassa hetubhāvo ‘‘annena vasati, annaṃ apekkhitvā tadatthāya vasatī’’tiādīsu viya. Sikkhāpadapaññattikāle pana teneva pubbasiddhena vītikkamena sikkhāpadaṃ paññapetīti sikkhāpadapaññattiyā sādhakatamattā karaṇabhāvopi vītikkamasseva siddho ‘‘asinā chindatī’’tiādīsu viya. Vītikkamaṃ pana apekkhamāno teneva saddhiṃ tannissayakālampi apekkhitvā viharatīti kālassapi idha hetubhāvo vutto, sikkhāpadaṃ paññapento ca taṃ taṃ vītikkamakālaṃ anatikkamitvā teneva kālena sikkhāpadaṃ paññapetīti vītikkamanissayassa kālassapi karaṇabhāvo vutto, tasmā iminā pariyāyena kālassapi hetubhāvo karaṇabhāvo ca labbhatīti vuttaṃ ‘‘tena samayena hetubhūtena karaṇabhūtenā’’ti. Nippariyāyato pana vītikkamoyeva hetubhūto karaṇabhūto ca. So hi vītikkamakkhaṇe hetu hutvā pacchā sikkhāpadapaññāpane karaṇampi hotīti.
สิกฺขาปทานิ ปญฺญาปยโนฺตติ วีติกฺกมํ ปุจฺฉิตฺวา ภิกฺขุสงฺฆํ สนฺนิปาตาเปตฺวา โอติณฺณวตฺถุกํ ปุคฺคลํ ปฎิปุจฺฉิตฺวา วิครหิตฺวา จ ตํ ตํ วตฺถุํ โอติณฺณกาลํ อนติกฺกมิตฺวา เตเนว กาเลน กรณภูเตน สิกฺขาปทานิ ปญฺญาปยโนฺตฯ สิกฺขาปทปญฺญตฺติเหตุญฺจ อเปกฺขมาโนติ ตติยปาราชิกาทีสุ วิย สิกฺขาปทปญฺญตฺติยา เหตุภูตํ ตํ ตํ วตฺถุํ วีติกฺกมสมยํ อเปกฺขมาโน เตน สมเยน เหตุภูเตน ภควา ตตฺถ ตตฺถ วิหาสีติ อโตฺถฯ ‘‘สิกฺขาปทานิ ปญฺญาปยโนฺต สิกฺขาปทปญฺญตฺติเหตุญฺจ อเปกฺขมาโน’’ติ วจนโต ‘‘เตน สมเยน กรณภูเตน เหตุภูเตนา’’ติ เอวํ วตฺตเพฺพปิ ปฐมํ ‘‘เหตุภูเตนา’’ติ วจนํ อิธ เหตุอตฺถสฺส อธิเปฺปตตฺตา วุตฺตํฯ ภควา หิ เวรญฺชายํ วิหรโนฺต เถรสฺส สิกฺขาปทปญฺญตฺติยาจนเหตุภูตํ ปริวิตกฺกสมยํ อเปกฺขมาโน เตน สมเยน เหตุภูเตน วิหาสีติ ตีสุปิ คณฺฐิปเทสุ วุตฺตํฯ กิํ ปเนตฺถ ยุตฺติจินฺตาย, อาจริยสฺส อิธ กมวจนิจฺฉา นตฺถีติ เอวเมตํ คเหตพฺพํฯ เตเนว ทีฆนิกายฎฺฐกถายมฺปิ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.ปริพฺพาชกกถาวณฺณนา) ‘‘เตน สมเยน เหตุภูเตน กรณภูเตนา’’ติอาทินา อยเมว อนุกฺกโม วุโตฺตฯ น หิ ตตฺถ ปฐมํ ‘‘เหตุภูเตนา’’ติ วจนํ อิธ ‘‘เตน สมเยน เวรญฺชายํ วิหรตี’’ติ เอตฺถ เหตุอตฺถสฺส อธิเปฺปตภาวทีปนตฺถํ วุตฺตํฯ ‘‘สิกฺขาปทานิ ปญฺญาปยโนฺต เหตุภูเตน กรณภูเตน สมเยน วิหาสิ, สิกฺขาปทปญฺญตฺติเหตุญฺจ อเปกฺขมาโน เหตุภูเตน สมเยน วิหาสีติ เอวเมตฺถ สมฺพโนฺธ กาตโพฺพ’’ติปิ วทนฺติฯ ตทตฺถโชตนตฺถนฺติ เหตุอตฺถสฺส กรณตฺถสฺส วา ทีปนตฺถํฯ อิธาติ อิมสฺมิํ วินเยฯ โหติ เจตฺถาติ เอตฺถ อิมสฺมิํ ปเทเส ยถาวุตฺตตฺถสงฺคหวเสน อยํ คาถา โหติฯ อญฺญตฺราติ สุตฺตาภิธเมฺมสุฯ
Sikkhāpadānipaññāpayantoti vītikkamaṃ pucchitvā bhikkhusaṅghaṃ sannipātāpetvā otiṇṇavatthukaṃ puggalaṃ paṭipucchitvā vigarahitvā ca taṃ taṃ vatthuṃ otiṇṇakālaṃ anatikkamitvā teneva kālena karaṇabhūtena sikkhāpadāni paññāpayanto. Sikkhāpadapaññattihetuñca apekkhamānoti tatiyapārājikādīsu viya sikkhāpadapaññattiyā hetubhūtaṃ taṃ taṃ vatthuṃ vītikkamasamayaṃ apekkhamāno tena samayena hetubhūtena bhagavā tattha tattha vihāsīti attho. ‘‘Sikkhāpadāni paññāpayanto sikkhāpadapaññattihetuñca apekkhamāno’’ti vacanato ‘‘tena samayena karaṇabhūtena hetubhūtenā’’ti evaṃ vattabbepi paṭhamaṃ ‘‘hetubhūtenā’’ti vacanaṃ idha hetuatthassa adhippetattā vuttaṃ. Bhagavā hi verañjāyaṃ viharanto therassa sikkhāpadapaññattiyācanahetubhūtaṃ parivitakkasamayaṃ apekkhamāno tena samayena hetubhūtena vihāsīti tīsupi gaṇṭhipadesu vuttaṃ. Kiṃ panettha yutticintāya, ācariyassa idha kamavacanicchā natthīti evametaṃ gahetabbaṃ. Teneva dīghanikāyaṭṭhakathāyampi (dī. ni. aṭṭha. 1.paribbājakakathāvaṇṇanā) ‘‘tena samayena hetubhūtena karaṇabhūtenā’’tiādinā ayameva anukkamo vutto. Na hi tattha paṭhamaṃ ‘‘hetubhūtenā’’ti vacanaṃ idha ‘‘tena samayena verañjāyaṃ viharatī’’ti ettha hetuatthassa adhippetabhāvadīpanatthaṃ vuttaṃ. ‘‘Sikkhāpadāni paññāpayanto hetubhūtena karaṇabhūtena samayena vihāsi, sikkhāpadapaññattihetuñca apekkhamāno hetubhūtena samayena vihāsīti evamettha sambandho kātabbo’’tipi vadanti. Tadatthajotanatthanti hetuatthassa karaṇatthassa vā dīpanatthaṃ. Idhāti imasmiṃ vinaye. Hoti cetthāti ettha imasmiṃ padese yathāvuttatthasaṅgahavasena ayaṃ gāthā hoti. Aññatrāti suttābhidhammesu.
โปราณาติ อฎฺฐกถาจริยาฯ อภิลาปมตฺตเภโทติ วจนมเตฺตน วิเสโสฯ เตน สุตฺตวินเยสุ วิภตฺติวิปริณาโม กโตติ ทเสฺสติฯ ปรโต อตฺถํ วณฺณยิสฺสามาติ ปรโต ‘‘อิติปิ โส ภควา’’ติอาทินา อาคตฎฺฐาเน วณฺณยิสฺสามฯ เวรญฺชายนฺติ เอตฺถ ‘‘พลิกรคฺคหเณน ชนสฺส ปีฬาภาวโต นิโทฺทสตฺตา วิคโต รโช อสฺสาติ เวรญฺชา, เสริวาณิชชาตเก เทวทตฺตสฺส เวรุปฺปนฺนปเทเส กตตฺตา เวรํ เอตฺถ ชาตนฺติ เวรญฺชา, ปวิฎฺฐปวิเฎฺฐ นฎสมชฺชาทีหิ ขาทนียโภชนียาลงฺการาทีหิ จ วิวิเธหิ อุปกรเณหิ รญฺชนโต วิวิเธหิ รญฺชยตีติ เวรญฺชา, ปฎิปเกฺข อภิภวิตฺวา กตภาวโต เวรํ อภิภวิตฺวา ชาตาติ เวรญฺชา, เวรญฺชสฺส นาม อิสิโน อสฺสมฎฺฐาเน กตตฺตา เวรญฺชา’’ติ เอวมาทินา เกจิ วณฺณยนฺติฯ กิํ อิมินา, นามมตฺตเมตํ ตสฺส นครสฺสาติ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘เวรญฺชาติ อญฺญตรสฺส นครเสฺสตํ อธิวจน’’นฺติฯ สมีปเตฺถ ภุมฺมวจนนฺติ ‘‘คงฺคายํ คาโว จรนฺติ, กูเป คคฺคกุล’’นฺติอาทีสุ วิยฯ อวิเสเสนาติ ‘‘ปาติโมกฺขสํวรสํวุโต วิหรติฯ ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ เมตฺตาสหคเตน เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหรติฯ สพฺพนิมิตฺตานํ อมนสิการา อนิมิตฺตํ เจโตสมาธิํ สมาปชฺชิตฺวา วิหรตี’’ติอาทีสุ วิย สทฺทนฺตรสนฺนิธานสิเทฺธน วิเสสปรามสเนน วินาฯ อถ วา อวิเสเสนาติ น วิเสเสน, วิหารภาวสามเญฺญนาติ อโตฺถฯ
Porāṇāti aṭṭhakathācariyā. Abhilāpamattabhedoti vacanamattena viseso. Tena suttavinayesu vibhattivipariṇāmo katoti dasseti. Parato atthaṃ vaṇṇayissāmāti parato ‘‘itipi so bhagavā’’tiādinā āgataṭṭhāne vaṇṇayissāma. Verañjāyanti ettha ‘‘balikaraggahaṇena janassa pīḷābhāvato niddosattā vigato rajo assāti verañjā, serivāṇijajātake devadattassa veruppannapadese katattā veraṃ ettha jātanti verañjā, paviṭṭhapaviṭṭhe naṭasamajjādīhi khādanīyabhojanīyālaṅkārādīhi ca vividhehi upakaraṇehi rañjanato vividhehi rañjayatīti verañjā, paṭipakkhe abhibhavitvā katabhāvato veraṃ abhibhavitvā jātāti verañjā, verañjassa nāma isino assamaṭṭhāne katattā verañjā’’ti evamādinā keci vaṇṇayanti. Kiṃ iminā, nāmamattametaṃ tassa nagarassāti dassento āha ‘‘verañjāti aññatarassa nagarassetaṃ adhivacana’’nti. Samīpatthe bhummavacananti ‘‘gaṅgāyaṃ gāvo caranti, kūpe gaggakula’’ntiādīsu viya. Avisesenāti ‘‘pātimokkhasaṃvarasaṃvuto viharati. Paṭhamaṃ jhānaṃ upasampajja viharati. Mettāsahagatena cetasā ekaṃ disaṃ pharitvā viharati. Sabbanimittānaṃ amanasikārā animittaṃ cetosamādhiṃ samāpajjitvā viharatī’’tiādīsu viya saddantarasannidhānasiddhena visesaparāmasanena vinā. Atha vā avisesenāti na visesena, vihārabhāvasāmaññenāti attho.
อิริยาปถ…เป.… วิหาเรสูติ อิริยาปถวิหาโร ทิพฺพวิหาโร พฺรหฺมวิหาโร อริยวิหาโรติ เอเตสุ จตูสุ วิหาเรสุฯ ตตฺถ อิริยนํ ปวตฺตนํ อิริยา, กายปฺปโยโค กายิกกิริยาฯ ตสฺสา ปวตฺตนุปายภาวโต อิริยาย ปโถติ อิริยาปโถ, ฐานนิสชฺชาทิฯ น หิ ฐานนิสชฺชาทีหิ อวตฺถาหิ วินา กญฺจิ กายิกกิริยํ ปวเตฺตตุํ สกฺกาฯ ฐานสมงฺคี วา หิ กาเยน กิญฺจิ กเรยฺย คมนาทีสุ อญฺญตรสมงฺคี วาติฯ วิหรณํ, วิหรติ เอเตนาติ วา วิหาโร, อิริยาปโถว วิหาโร อิริยาปถวิหาโร, โส จ อตฺถโต ฐานนิสชฺชาทิอาการปฺปวโตฺต จตุสนฺตติรูปปฺปพโนฺธวฯ ทิวิ ภโว ทิโพฺพ, ตตฺถ พหุลปฺปวตฺติยา พฺรหฺมปาริสชฺชาทิเทวโลกภโวติ อโตฺถฯ ตตฺถ โย ทิพฺพานุภาโว ตทตฺถาย สํวตฺตตีติ วา ทิโพฺพ, อภิญฺญาภินีหารวเสน มหาคติกตฺตา วา ทิโพฺพ, ทิโพฺพ จ โส วิหาโร จาติ ทิพฺพวิหาโร, ทิพฺพภาวาวโห วา วิหาโร ทิพฺพวิหาโร, มหคฺคตชฺฌานานิฯ อารุปฺปสมาปตฺติโยปิ หิ เอเตฺถว สงฺคหํ คจฺฉนฺติฯ เนตฺติยํ ปน ‘‘จตโสฺส อารุปฺปสมาปตฺติโย อาเนญฺชวิหาโร’’ติ วุตฺตํ, ตํ เมตฺตาฌานาทีนํ พฺรหฺมวิหารตา วิย ตาสํ ภาวนาวิเสสภาวํ สนฺธาย วุตฺตํฯ อฎฺฐกถาสุ ปน ทิพฺพภาวาวหสามญฺญโต ตาปิ ‘‘ทิพฺพวิหารา’’เตฺวว วุตฺตาฯ พฺรหฺมานํ วิหารา พฺรหฺมวิหารา, พฺรหฺมาโน วา วิหารา พฺรหฺมวิหารา, หิตูปสํหราทิวเสน ปวตฺติยา พฺรหฺมภูตา เสฎฺฐภูตา วิหาราติ อโตฺถ, เมตฺตาฌานาทิกา จตโสฺส อปฺปมญฺญาโยฯ อริยา อุตฺตมา วิหาราติ อริยวิหารา, อนญฺญสาธารณตฺตา อริยานํ วา วิหารา อริยวิหารา, จตโสฺส ผลสมาปตฺติโยฯ วิเสสโต ปน รูปาวจรจตุตฺถชฺฌานํ จตโสฺส อปฺปมญฺญาโย จตุตฺถชฺฌานิกผลสมาปตฺติ จ ภควโต ทิพฺพพฺรหฺมอริยวิหาราฯ
Iriyāpatha…pe… vihāresūti iriyāpathavihāro dibbavihāro brahmavihāro ariyavihāroti etesu catūsu vihāresu. Tattha iriyanaṃ pavattanaṃ iriyā, kāyappayogo kāyikakiriyā. Tassā pavattanupāyabhāvato iriyāya pathoti iriyāpatho, ṭhānanisajjādi. Na hi ṭhānanisajjādīhi avatthāhi vinā kañci kāyikakiriyaṃ pavattetuṃ sakkā. Ṭhānasamaṅgī vā hi kāyena kiñci kareyya gamanādīsu aññatarasamaṅgī vāti. Viharaṇaṃ, viharati etenāti vā vihāro, iriyāpathova vihāro iriyāpathavihāro, so ca atthato ṭhānanisajjādiākārappavatto catusantatirūpappabandhova. Divi bhavo dibbo, tattha bahulappavattiyā brahmapārisajjādidevalokabhavoti attho. Tattha yo dibbānubhāvo tadatthāya saṃvattatīti vā dibbo, abhiññābhinīhāravasena mahāgatikattā vā dibbo, dibbo ca so vihāro cāti dibbavihāro, dibbabhāvāvaho vā vihāro dibbavihāro, mahaggatajjhānāni. Āruppasamāpattiyopi hi ettheva saṅgahaṃ gacchanti. Nettiyaṃ pana ‘‘catasso āruppasamāpattiyo āneñjavihāro’’ti vuttaṃ, taṃ mettājhānādīnaṃ brahmavihāratā viya tāsaṃ bhāvanāvisesabhāvaṃ sandhāya vuttaṃ. Aṭṭhakathāsu pana dibbabhāvāvahasāmaññato tāpi ‘‘dibbavihārā’’tveva vuttā. Brahmānaṃ vihārā brahmavihārā, brahmāno vā vihārā brahmavihārā, hitūpasaṃharādivasena pavattiyā brahmabhūtā seṭṭhabhūtā vihārāti attho, mettājhānādikā catasso appamaññāyo. Ariyā uttamā vihārāti ariyavihārā, anaññasādhāraṇattā ariyānaṃ vā vihārā ariyavihārā, catasso phalasamāpattiyo. Visesato pana rūpāvacaracatutthajjhānaṃ catasso appamaññāyo catutthajjhānikaphalasamāpatti ca bhagavato dibbabrahmaariyavihārā.
อญฺญตรวิหารสมงฺคีปริทีปนนฺติ ยถาวุตฺตวิหาเรสุ อญฺญตรวิหารสมงฺคีภาวปริทีปนํฯ ภควา หิ โลภโทสโมหุสฺสนฺนกาเล โลเก ตสฺส สกาย ปฎิปตฺติยา วินยนตฺถํ ทิพฺพพฺรหฺมออยวิหาเร อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ ตถา หิ ยทา สตฺตา กาเมสุ วิปฺปฎิปชฺชนฺติ, ตทา กิร ภควา ทิเพฺพน วิหาเรน วิหรติ เตสํ อโลภกุสลมูลุปฺปาทนตฺถํ ‘‘อเปฺปว นาม อิมํ ปฎิปตฺติํ ทิสฺวา เอตฺถ รุจิํ อุปฺปาเทนฺตา กาเมสุ วิรเชฺชยฺยุ’’นฺติฯ ยทา ปน อิสฺสริยตฺถํ สเตฺตสุ วิปฺปฎิปชฺชนฺติ, ตทา ปน พฺรหฺมวิหาเรน วิหรติ เตสํ อโทสกุสลมูลุปฺปาทนตฺถํ ‘‘อเปฺปว นาม อิมํ ปฎิปตฺติํ ทิสฺวา เอตฺถ รุจิํ อุปฺปาเทตฺวา อโทเสน โทสํ วูปสเมยฺยุ’’นฺติฯ ยทา ปน ปพฺพชิตา ธมฺมาธิกรณํ วิวทนฺติ, ตทา อริยวิหาเรน วิหรติ เตสํ อโมหกุสลมูลุปฺปาทนตฺถํ ‘‘อเปฺปว นาม อิมํ ปฎิปตฺติํ ทิสฺวา ตตฺถ รุจิํ อุปฺปาเทตฺวา อโมเหน โมหํ วูปสเมยฺยุ’’นฺติฯ เอวญฺจ กตฺวา อิเมหิ ทิพฺพพฺรหฺมอริยวิหาเรหิ สตฺตานํ วิวิธํ หิตสุขํ หรติ อุปหรติ อุปเนติ ชเนติ อุปฺปาเทตีติ ‘‘วิหรตี’’ติ วุจฺจติฯ
Aññataravihārasamaṅgīparidīpananti yathāvuttavihāresu aññataravihārasamaṅgībhāvaparidīpanaṃ. Bhagavā hi lobhadosamohussannakāle loke tassa sakāya paṭipattiyā vinayanatthaṃ dibbabrahmaaayavihāre upasampajja viharati. Tathā hi yadā sattā kāmesu vippaṭipajjanti, tadā kira bhagavā dibbena vihārena viharati tesaṃ alobhakusalamūluppādanatthaṃ ‘‘appeva nāma imaṃ paṭipattiṃ disvā ettha ruciṃ uppādentā kāmesu virajjeyyu’’nti. Yadā pana issariyatthaṃ sattesu vippaṭipajjanti, tadā pana brahmavihārena viharati tesaṃ adosakusalamūluppādanatthaṃ ‘‘appeva nāma imaṃ paṭipattiṃ disvā ettha ruciṃ uppādetvā adosena dosaṃ vūpasameyyu’’nti. Yadā pana pabbajitā dhammādhikaraṇaṃ vivadanti, tadā ariyavihārena viharati tesaṃ amohakusalamūluppādanatthaṃ ‘‘appeva nāma imaṃ paṭipattiṃ disvā tattha ruciṃ uppādetvā amohena mohaṃ vūpasameyyu’’nti. Evañca katvā imehi dibbabrahmaariyavihārehi sattānaṃ vividhaṃ hitasukhaṃ harati upaharati upaneti janeti uppādetīti ‘‘viharatī’’ti vuccati.
อิริยาปถวิหาเรน ปน น กทาจิ น วิหรติ ตํ วินา อตฺตภาวปริหรณาภาวโต, ตโตเยว จ ทิพฺพวิหาราทีนมฺปิ สาธารโณ อิริยาปถวิหาโรติ อาห ‘‘อิธ ปนา’’ติอาทิฯ อิริยาปถสมาโยคปริทีปนนฺติ อิตรวิหารสมาโยคปริทีปนสฺส วิเสสวจนสฺส อภาวโต อิริยาปถสมาโยคปริทีปนสฺส จ อตฺถสิทฺธตฺตา วุตฺตํฯ อสฺมิํ ปน ปเกฺข วิหรตีติ เอตฺถ วิ-สโทฺท วิเจฺฉทตฺถโชตโน, หรตีติ เนติ ปวเตฺตตีติ อโตฺถ, วิจฺฉินฺทิตฺวา หรตีติ วุตฺตํ โหติฯ ตตฺถ กสฺส เกน วิจฺฉินฺทนํ, กถํ กสฺส ปวตฺตนนฺติ อโนฺตลีนโจทนํ สนฺธายาห ‘‘โส หี’’ติอาทิฯ โสติ ภควาฯ ยทิปิ ภควา เอเกนปิ อิริยาปเถน จิรตรํ กาลํ อตฺตภาวํ ปวเตฺตตุํ สโกฺกติ, ตถาปิ อุปาทินฺนกสรีรสฺส นาม อยํ สภาโวติ ทเสฺสตุํ ‘‘เอกํ อิริยาปถพาธน’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ อปริปตนฺตนฺติ อปตนฺตํฯ ยสฺมา ปน ภควา ยตฺถ กตฺถจิ วสโนฺต วิเนยฺยานํ ธมฺมํ เทเสโนฺต นานาสมาปตฺตีหิ จ กาลํ วีตินาเมโนฺต วสตีติ สตฺตานํ อตฺตโน จ วิวิธํ หิตสุขํ หรติ อุปเนติ, ตสฺมา วิวิธํ หรตีติ วิหรตีติ เอวเมฺปตฺถ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
Iriyāpathavihārena pana na kadāci na viharati taṃ vinā attabhāvapariharaṇābhāvato, tatoyeva ca dibbavihārādīnampi sādhāraṇo iriyāpathavihāroti āha ‘‘idha panā’’tiādi. Iriyāpathasamāyogaparidīpananti itaravihārasamāyogaparidīpanassa visesavacanassa abhāvato iriyāpathasamāyogaparidīpanassa ca atthasiddhattā vuttaṃ. Asmiṃ pana pakkhe viharatīti ettha vi-saddo vicchedatthajotano, haratīti neti pavattetīti attho, vicchinditvā haratīti vuttaṃ hoti. Tattha kassa kena vicchindanaṃ, kathaṃ kassa pavattananti antolīnacodanaṃ sandhāyāha ‘‘so hī’’tiādi. Soti bhagavā. Yadipi bhagavā ekenapi iriyāpathena cirataraṃ kālaṃ attabhāvaṃ pavattetuṃ sakkoti, tathāpi upādinnakasarīrassa nāma ayaṃ sabhāvoti dassetuṃ ‘‘ekaṃ iriyāpathabādhana’’ntiādi vuttaṃ. Aparipatantanti apatantaṃ. Yasmā pana bhagavā yattha katthaci vasanto vineyyānaṃ dhammaṃ desento nānāsamāpattīhi ca kālaṃ vītināmento vasatīti sattānaṃ attano ca vividhaṃ hitasukhaṃ harati upaneti, tasmā vividhaṃ haratīti viharatīti evampettha attho veditabbo.
นเฬรุปุจิมนฺทมูเลติ เอตฺถ วณฺณยนฺติ – นเฬรูติ ตสฺมิํ รุเกฺข อธิวตฺถยกฺขเสฺสตํ อธิวจนํ, ตสฺมา เตน อธิวโตฺถ ปุจิมโนฺท ‘‘นเฬรุสฺส ปุจิมโนฺท นเฬรุปุจิมโนฺท’’ติ วุจฺจติฯ อถ วา นเฬ รุหตฺตา ชาตตฺตา นเฬรุฯ สุสิรเมตฺถ นฬสเทฺทน วุจฺจติ, ตสฺมา รุกฺขสุสิเร ชาตตฺตา นเฬรุ จ โส ปุจิมโนฺท จาติ นเฬรุปุจิมโนฺทติ วุจฺจติฯ นฬวเน รุหตฺตา ชาตตฺตา วา นเฬรุฯ นฬวเน กิร โส ปุจิมนฺทรุโกฺข ชาโตฯ อุรุนโฬ ปุจิมโนฺท นเฬรุปุจิมโนฺทฯ อุรุสโทฺท เจตฺถ มหนฺตปริยาโย, นฬสโทฺท สุสิรปริยาโย, ตสฺมา มหเนฺตน สุสิเรน สมนฺนาคโต ปุจิมโนฺท นเฬรุปุจิมโนฺทติ วุจฺจตีติฯ อาจริโย ปน กิเมตฺถ พหุภาสิเตนาติ เอกเมวตฺถํ ทเสฺสโนฺต ‘‘นเฬรุ นาม ยโกฺข’’ติอาทิมาหฯ
Naḷerupucimandamūleti ettha vaṇṇayanti – naḷerūti tasmiṃ rukkhe adhivatthayakkhassetaṃ adhivacanaṃ, tasmā tena adhivattho pucimando ‘‘naḷerussa pucimando naḷerupucimando’’ti vuccati. Atha vā naḷe ruhattā jātattā naḷeru. Susiramettha naḷasaddena vuccati, tasmā rukkhasusire jātattā naḷeru ca so pucimando cāti naḷerupucimandoti vuccati. Naḷavane ruhattā jātattā vā naḷeru. Naḷavane kira so pucimandarukkho jāto. Urunaḷo pucimando naḷerupucimando. Urusaddo cettha mahantapariyāyo, naḷasaddo susirapariyāyo, tasmā mahantena susirena samannāgato pucimando naḷerupucimandoti vuccatīti. Ācariyo pana kimettha bahubhāsitenāti ekamevatthaṃ dassento ‘‘naḷeru nāma yakkho’’tiādimāha.
มูล-สโทฺท เอตฺถ สมีปวจโน อธิเปฺปโต, น มูลมูลาทีสุ วตฺตมาโนติ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘มูลนฺติ สมีป’’นฺติอาทิฯ นิปฺปริยาเยน สาขาทิมโต สงฺฆาตสฺส สุปฺปติฎฺฐิตภาวสาธเน อวยววิเสเส ปวตฺตมาโน มูลสโทฺท ยสฺมา ตํสทิเสสุ ตนฺนิสฺสเย ปเทเส จ รุฬฺหีวเสน ปริยายโต ปวตฺตติ, ตสฺมา ‘‘มูลานิ อุทฺธเรยฺยา’’ติ เอตฺถ นิปฺปริยายโต มูลํ อธิเปฺปตนฺติ เอเกน มูลสเทฺทน วิเสเสตฺวา อาห ‘‘มูลมูเล ทิสฺสตี’’ติ ยถา ‘‘ทุกฺขทุกฺขํ, รูปรูป’’นฺติ จฯ อสาธารณเหตุมฺหีติ อสาธารณการเณฯ โลโภ หิ โลภสหคตอกุสลจิตฺตุปฺปาทเสฺสว เหตุตฺตา อสาธารโณ, ตสฺมา โลภสหคตจิตฺตุปฺปาทานเมว อาเวณิเก เนสํ สุปฺปติฎฺฐิตภาวสาธนโต มูลเฎฺฐน อุปการเก ปจฺจยธมฺมวิเสเสติ อโตฺถฯ อถ วา ยถา อโลภาทโย กุสลาพฺยากตสาธารณา, โลภาทโย ปน ตถา น โหนฺติ อกุสลเสฺสว สาธารณตฺตาติ อสาธารณการณํฯ อถ วา อาทีสูติ เอตฺถ อาทิ-สเทฺทน อโลภาทีนมฺปิ กุสลาพฺยากตมูลานํ สงฺคโห ทฎฺฐโพฺพฯ เตสุปิ หิ อโลภาทิกุสลมูลํ อกุสลาพฺยากเตหิ อสาธารณตฺตา อสาธารณการณํ, ตถา อโลภาทิอพฺยากตมูลมฺปิ อิตรทฺวเยหิ อสาธารณตฺตาติฯ นิวาเตติ วาตรหิเต ปเทเส, วาตสฺส อภาเว วาฯ ปตนฺตีติ นิปตนฺติ, อยเมว วา ปาโฐฯ รมณีโยติ มนุโญฺญฯ ปาสาทิโกติ ปสาทาวโห, ปสาทชนโกติ อโตฺถฯ อาธิปจฺจํ กุรุมาโน วิยาติ สมฺพโนฺธฯ
Mūla-saddo ettha samīpavacano adhippeto, na mūlamūlādīsu vattamānoti dassento āha ‘‘mūlanti samīpa’’ntiādi. Nippariyāyena sākhādimato saṅghātassa suppatiṭṭhitabhāvasādhane avayavavisese pavattamāno mūlasaddo yasmā taṃsadisesu tannissaye padese ca ruḷhīvasena pariyāyato pavattati, tasmā ‘‘mūlāni uddhareyyā’’ti ettha nippariyāyato mūlaṃ adhippetanti ekena mūlasaddena visesetvā āha ‘‘mūlamūle dissatī’’ti yathā ‘‘dukkhadukkhaṃ, rūparūpa’’nti ca. Asādhāraṇahetumhīti asādhāraṇakāraṇe. Lobho hi lobhasahagataakusalacittuppādasseva hetuttā asādhāraṇo, tasmā lobhasahagatacittuppādānameva āveṇike nesaṃ suppatiṭṭhitabhāvasādhanato mūlaṭṭhena upakārake paccayadhammaviseseti attho. Atha vā yathā alobhādayo kusalābyākatasādhāraṇā, lobhādayo pana tathā na honti akusalasseva sādhāraṇattāti asādhāraṇakāraṇaṃ. Atha vā ādīsūti ettha ādi-saddena alobhādīnampi kusalābyākatamūlānaṃ saṅgaho daṭṭhabbo. Tesupi hi alobhādikusalamūlaṃ akusalābyākatehi asādhāraṇattā asādhāraṇakāraṇaṃ, tathā alobhādiabyākatamūlampi itaradvayehi asādhāraṇattāti. Nivāteti vātarahite padese, vātassa abhāve vā. Patantīti nipatanti, ayameva vā pāṭho. Ramaṇīyoti manuñño. Pāsādikoti pasādāvaho, pasādajanakoti attho. Ādhipaccaṃ kurumāno viyāti sambandho.
ตตฺถาติ ‘‘เตน สมเยน พุโทฺธ ภควา เวรญฺชายํ วิหรติ นเฬรุปุจิมนฺทมูเล’’ติ ยํ วุตฺตํ, ตตฺถฯ สิยาติ กสฺสจิ เอวํ ปริวิตโกฺก สิยา, วกฺขมานากาเรน กทาจิ โจเทยฺย วาติ อโตฺถฯ ยทิ ตาว ภควาติอาทีสุ โจทกสฺสายมธิปฺปาโย – ‘‘ปาฎลิปุเตฺต ปาสาเท วสตี’’ติอาทีสุ วิย อธิกรณาธิกรณํ ยทิ ภเวยฺย, ตทา ‘‘เวรญฺชายํ วิหรติ นเฬรุปุจิมนฺทมูเล’’ติ อธิกรณทฺวยนิเทฺทโส ยุโตฺต สิยา, อิเมสํ ปน ภินฺนเทสตฺตา น ยุโตฺต อุภยนิเทฺทโสติฯ อถ ตตฺถ วิหรตีติ ยทิ นเฬรุปุจิมนฺทมูเล วิหรติฯ น วตฺตพฺพนฺติ นานาฐานภูตตฺตา เวรญฺชานเฬรุปุจิมนฺทมูลานํ ‘‘เตน สมเยนา’’ติ จ วุตฺตตฺตาติ อธิปฺปาโยฯ อิทานิ โจทโก ตเมว อตฺตโน อธิปฺปายํ ‘‘น หิ สกฺกา’’ติอาทินา วิวรติฯ เวรญฺชานเฬรุปุจิมนฺทมูลานํ ภูมิภาควเสน ภินฺนตฺตาเยว หิ น สกฺกา อุภยตฺถ เตเนว สมเยน วิหริตุํ, ‘‘อุภยตฺถ เตเนว สมเยนา’’ติ จ วุตฺตตฺตา นานาสมเย วิหาโร อวาริโตติ เวทิตโพฺพฯ
Tatthāti ‘‘tena samayena buddho bhagavā verañjāyaṃ viharati naḷerupucimandamūle’’ti yaṃ vuttaṃ, tattha. Siyāti kassaci evaṃ parivitakko siyā, vakkhamānākārena kadāci codeyya vāti attho. Yadi tāva bhagavātiādīsu codakassāyamadhippāyo – ‘‘pāṭaliputte pāsāde vasatī’’tiādīsu viya adhikaraṇādhikaraṇaṃ yadi bhaveyya, tadā ‘‘verañjāyaṃ viharati naḷerupucimandamūle’’ti adhikaraṇadvayaniddeso yutto siyā, imesaṃ pana bhinnadesattā na yutto ubhayaniddesoti. Atha tattha viharatīti yadi naḷerupucimandamūle viharati. Na vattabbanti nānāṭhānabhūtattā verañjānaḷerupucimandamūlānaṃ ‘‘tena samayenā’’ti ca vuttattāti adhippāyo. Idāni codako tameva attano adhippāyaṃ ‘‘na hi sakkā’’tiādinā vivarati. Verañjānaḷerupucimandamūlānaṃ bhūmibhāgavasena bhinnattāyeva hi na sakkā ubhayattha teneva samayena viharituṃ, ‘‘ubhayattha teneva samayenā’’ti ca vuttattā nānāsamaye vihāro avāritoti veditabbo.
อิตโร สพฺพเมตํ อวิปรีตมตฺถํ อชานเนฺตน ตยา วุตฺตนฺติ ทเสฺสโนฺต ‘‘น โข ปเนตํ เอวํ ทฎฺฐพฺพ’’นฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ เอตนฺติ ‘‘เวรญฺชายํ วิหรติ นเฬรุปุจิมนฺทมูเล’’ติ เอตํ วจนํฯ เอวนฺติ ‘‘ยทิ ตาว ภควา’’ติอาทินา ยํ ตํ ภวตา โจทิตํ, ตํ อตฺถโต เอวํ น โข ปน ทฎฺฐพฺพํ, น อุภยตฺถ อปุพฺพํ อจริมํ วิหารทสฺสนตฺถนฺติ อโตฺถฯ อิทานิ อตฺตนา ยถาธิเปฺปตํ อวิปรีตมตฺถํ ตสฺส จ ปฎิกเจฺจว วุตฺตภาวํ เตน จ อปฺปฎิวิทฺธตํ ปกาเสโนฺต ‘‘นนุ อโวจุมฺห สมีปเตฺถ ภุมฺมวจน’’นฺติอาทิมาหฯ โคยูถานีติ โคมณฺฑลานิฯ เอวมฺปิ นเฬรุปุจิมนฺทมูเล วิหรติเจฺจว วตฺตพฺพํ, น เวรญฺชายนฺติ, ตสฺมา สมีปาธิกรณตฺถวเสน อุภยถา นิทานกิตฺตเน กิํ ปโยชนนฺติ โจทนํ มนสิ นิธายาห ‘‘โคจรคามนิทสฺสนตฺถ’’นฺติอาทิฯ อสฺสาติ ภควโตฯ
Itaro sabbametaṃ aviparītamatthaṃ ajānantena tayā vuttanti dassento ‘‘na kho panetaṃ evaṃ daṭṭhabba’’ntiādimāha. Tattha etanti ‘‘verañjāyaṃ viharati naḷerupucimandamūle’’ti etaṃ vacanaṃ. Evanti ‘‘yadi tāva bhagavā’’tiādinā yaṃ taṃ bhavatā coditaṃ, taṃ atthato evaṃ na kho pana daṭṭhabbaṃ, na ubhayattha apubbaṃ acarimaṃ vihāradassanatthanti attho. Idāni attanā yathādhippetaṃ aviparītamatthaṃ tassa ca paṭikacceva vuttabhāvaṃ tena ca appaṭividdhataṃ pakāsento ‘‘nanu avocumha samīpatthe bhummavacana’’ntiādimāha. Goyūthānīti gomaṇḍalāni. Evampi naḷerupucimandamūle viharaticceva vattabbaṃ, na verañjāyanti, tasmā samīpādhikaraṇatthavasena ubhayathā nidānakittane kiṃ payojananti codanaṃ manasi nidhāyāha ‘‘gocaragāmanidassanattha’’ntiādi. Assāti bhagavato.
อวสฺสเญฺจตฺถ โคจรคามกิตฺตนํ กตฺตพฺพํฯ ยถา หิ นเฬรุปุจิมนฺทมูลกิตฺตนํ ปพฺพชิตานุคฺคหกรณาทิอเนกปฺปโยชนํ, เอวํ โคจรคามกิตฺตนมฺปิ คหฎฺฐานุคฺคหกรณาทิวิวิธปฺปโยชนนฺติ ทเสฺสโนฺต ‘‘เวรญฺชากิตฺตเนนา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ คหฎฺฐานุคฺคหกรณนฺติ เตสํ ตตฺถ ปจฺจยคฺคหเณน อุปสงฺกมนปยิรุปาสนาทีนํ โอกาสทาเนน ธมฺมเทสนาย สรเณสุ สีเลสุ จ ปติฎฺฐาปเนน ยถูปนิสฺสยํ อุปริวิเสสาธิคมาวหเนน จ คหฎฺฐานํ อนุคฺคหกรณํฯ ปพฺพชิตานุคฺคหกรณนฺติ อุคฺคหปริปุจฺฉานํ กมฺมฎฺฐานานุโยคสฺส จ อนุรูปวสนฎฺฐานปริคฺคเหเนตฺถ ปพฺพชิตานํ อนุคฺคหกรณํฯ
Avassañcettha gocaragāmakittanaṃ kattabbaṃ. Yathā hi naḷerupucimandamūlakittanaṃ pabbajitānuggahakaraṇādianekappayojanaṃ, evaṃ gocaragāmakittanampi gahaṭṭhānuggahakaraṇādivividhappayojananti dassento ‘‘verañjākittanenā’’tiādimāha. Tattha gahaṭṭhānuggahakaraṇanti tesaṃ tattha paccayaggahaṇena upasaṅkamanapayirupāsanādīnaṃ okāsadānena dhammadesanāya saraṇesu sīlesu ca patiṭṭhāpanena yathūpanissayaṃ uparivisesādhigamāvahanena ca gahaṭṭhānaṃ anuggahakaraṇaṃ. Pabbajitānuggahakaraṇanti uggahaparipucchānaṃ kammaṭṭhānānuyogassa ca anurūpavasanaṭṭhānapariggahenettha pabbajitānaṃ anuggahakaraṇaṃ.
ปจฺจยคฺคหเณเนว ปจฺจยปริโภคสิทฺธิโต อาห ‘‘ตถา ปุริเมน…เป.… วิวชฺชนนฺติฯ ตตฺถ ปุริเมนาติ เวรญฺชาวจเนนฯ อาหิโต อหํมาโน เอตฺถาติ อตฺตา, อตฺตภาโวฯ ตสฺส กิลมโถ กิลนฺตภาโว อตฺตกิลมโถ, อตฺตปีฬา อตฺตทุกฺขนฺติ วุตฺตํ โหติ, ตสฺส อนุโยโค กรณํ อตฺตกิลมถานุโยโค, อุปวาสกณฺฎกาปสฺสยเสยฺยาทินา อตฺตโน ทุกฺขุปฺปาทนนฺติ วุตฺตํ โหติฯ ตสฺส วิวชฺชนํ อตฺตกิลมถานุโยควิวชฺชนํฯ อโนฺตคาเม วสนฺตานํ อนิจฺฉนฺตานมฺปิ วิสภาครูปาทิอารมฺมณทสฺสนาทิสมฺภวโต พหิคาเม ปติรูปฎฺฐาเน วสนฺตานํ ตทภาวโต อาห ‘‘ปจฺฉิเมน วตฺถุกามปฺปหานโต’’ติอาทิฯ ตตฺถ ปจฺฉิเมนาติ นเฬรุปุจิมนฺทมูลวจเนนฯ กิเลสกามสฺส วตฺถุภูตตฺตา รูปาทโย ปญฺจ กามคุณา วตฺถุกาโม, ตสฺส ปหานํ วตฺถุกามปฺปหานํฯ กามสุขลฺลิกานุโยควิวชฺชนุปายทสฺสนนฺติ วตฺถุกาเมสุ กิเลสกามสํยุตฺตสฺส สุขสฺส โยโค อนุโยโค อนุภโว, ตสฺส ปริวชฺชเน อุปายทสฺสนํฯ
Paccayaggahaṇeneva paccayaparibhogasiddhito āha ‘‘tathā purimena…pe… vivajjananti. Tattha purimenāti verañjāvacanena. Āhito ahaṃmāno etthāti attā, attabhāvo. Tassa kilamatho kilantabhāvo attakilamatho, attapīḷā attadukkhanti vuttaṃ hoti, tassa anuyogo karaṇaṃ attakilamathānuyogo, upavāsakaṇṭakāpassayaseyyādinā attano dukkhuppādananti vuttaṃ hoti. Tassa vivajjanaṃ attakilamathānuyogavivajjanaṃ. Antogāme vasantānaṃ anicchantānampi visabhāgarūpādiārammaṇadassanādisambhavato bahigāme patirūpaṭṭhāne vasantānaṃ tadabhāvato āha ‘‘pacchimena vatthukāmappahānato’’tiādi. Tattha pacchimenāti naḷerupucimandamūlavacanena. Kilesakāmassa vatthubhūtattā rūpādayo pañca kāmaguṇā vatthukāmo, tassa pahānaṃ vatthukāmappahānaṃ. Kāmasukhallikānuyogavivajjanupāyadassananti vatthukāmesu kilesakāmasaṃyuttassa sukhassa yogo anuyogo anubhavo, tassa parivajjane upāyadassanaṃ.
สยเมว โคจรคามํ อุปสงฺกมิตฺวา อตฺตโน ธมฺมสฺสวนานุรูปภพฺพปุคฺคลานํ ทสฺสนโต ธมฺมเทสนาย กาโล สมฺปโตฺต นาม โหตีติ ธมฺมเทสนาย อภิโยโค วิญฺญายตีติ อาห ‘‘ปุริเมน จ ธมฺมเทสนาภิโยค’’นฺติฯ ธมฺมเทสนาย สอุสฺสาหภาโว ธมฺมเทสนาภิโยโคฯ พหิคาเม วิวิโตฺตกาเส วสนฺตสฺส อากิณฺณวิหาราภาวโต กายวิเวกาทีสุ อธิมุตฺติ ตโปฺปณตา วิญฺญายตีติ อาห ‘‘ปจฺฉิเมน วิเวกาธิมุตฺติ’’นฺติฯ
Sayameva gocaragāmaṃ upasaṅkamitvā attano dhammassavanānurūpabhabbapuggalānaṃ dassanato dhammadesanāya kālo sampatto nāma hotīti dhammadesanāya abhiyogo viññāyatīti āha ‘‘purimena ca dhammadesanābhiyoga’’nti. Dhammadesanāya saussāhabhāvo dhammadesanābhiyogo. Bahigāme vivittokāse vasantassa ākiṇṇavihārābhāvato kāyavivekādīsu adhimutti tappoṇatā viññāyatīti āha ‘‘pacchimena vivekādhimutti’’nti.
ธมฺมเทสนาภิโยควิเวกาธิมุตฺตีนํ เหตุภูตา เอว กรุณาปญฺญา ธมฺมเทสนาย อุปคมนสฺส ตโต อปคมนสฺส การณภูตา โหนฺตีติ อาห ‘‘ปุริเมน กรุณาย อุปคมน’’นฺติอาทิฯ กรุณาปญฺญาเยว หิ อนนฺตรทุกสฺส เหตู โหนฺติฯ เอเตน จ กรุณาย อุปคมนํ น ลาภาทินิมิตฺตํ , ปญฺญาย อปคมนํ น วิโรธาทินิมิตฺตนฺติ อุปคมนาปคมนานํ นิรุปกฺกิเลสตํ วิภาวิภนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ อธิมุตฺตตนฺติ ตนฺนินฺนภาวํฯ นิรุปเลปนนฺติ อนุปเลปนํ อนลฺลียนํฯ
Dhammadesanābhiyogavivekādhimuttīnaṃ hetubhūtā eva karuṇāpaññā dhammadesanāya upagamanassa tato apagamanassa kāraṇabhūtā hontīti āha ‘‘purimena karuṇāya upagamana’’ntiādi. Karuṇāpaññāyeva hi anantaradukassa hetū honti. Etena ca karuṇāya upagamanaṃ na lābhādinimittaṃ , paññāya apagamanaṃ na virodhādinimittanti upagamanāpagamanānaṃ nirupakkilesataṃ vibhāvibhanti daṭṭhabbaṃ. Adhimuttatanti tanninnabhāvaṃ. Nirupalepananti anupalepanaṃ anallīyanaṃ.
ธมฺมิกสุขาปริจฺจาคนิมิตฺตนฺติ เอตฺถ ธมฺมิกสุขํ นาม อนวชฺชสุขํฯ ตญฺหิ ธมฺมิกํ ลาภํ ปฎิจฺจ อุปฺปนฺนตฺตา ‘‘ธมฺมิกสุข’’นฺติ วุจฺจติฯ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมาภิโยคนิมิตฺตํ ผาสุวิหารนฺติ สมฺพโนฺธฯ มนุสฺสานํ อุปการพหุลตนฺติ ปจฺจยปฎิคฺคหณธมฺมเทสนาทิวเสน อุปการพหุลตํฯ เทวตานํ อุปการพหุลตํ ชนวิวิตฺตตายฯ ปจุรชนวิวิตฺตญฺหิ ฐานํ เทวา อุปสงฺกมิตพฺพํ มญฺญนฺติฯ โลเก สํวฑฺฒภาวนฺติ อามิโสปโภเคน สํวฑฺฒิตภาวํฯ
Dhammikasukhāpariccāganimittanti ettha dhammikasukhaṃ nāma anavajjasukhaṃ. Tañhi dhammikaṃ lābhaṃ paṭicca uppannattā ‘‘dhammikasukha’’nti vuccati. Uttarimanussadhammābhiyoganimittaṃ phāsuvihāranti sambandho. Manussānaṃ upakārabahulatanti paccayapaṭiggahaṇadhammadesanādivasena upakārabahulataṃ. Devatānaṃ upakārabahulataṃ janavivittatāya. Pacurajanavivittañhi ṭhānaṃ devā upasaṅkamitabbaṃ maññanti. Loke saṃvaḍḍhabhāvanti āmisopabhogena saṃvaḍḍhitabhāvaṃ.
เอกปุคฺคโลติ เอตฺถ (อ. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑.๑๗๐) เอโกติ ทุติยาทิปฎิเกฺขปโตฺถ คณนปริเจฺฉโทฯ ปุคฺคโลติ สมฺมุติกถา, น ปรมตฺถกถาฯ พุทฺธสฺส หิ ภควโต ทุวิธา เทสนา สมฺมุติเทสนา ปรมตฺถเทสนา จาติฯ อยมโตฺถ ปน เหฎฺฐา วิตฺถาริโตวาติ อิธ น วุจฺจติฯ เอโก จ โส ปุคฺคโล จาติ เอกปุคฺคโลฯ เกนเฎฺฐน เอกปุคฺคโล? อสทิสเฎฺฐน คุณวิสิฎฺฐเฎฺฐน อสมสมเฎฺฐนฯ โส หิ ทสนฺนํ ปารมีนํ ปฎิปาฎิยา อาวชฺชนํ อาทิํ กตฺวา โพธิสมฺภารคุเณหิ เจว พุทฺธคุเณหิ จ เสสมหาชเนน อสทิโสติ อสทิสเฎฺฐนปิ เอกปุคฺคโลฯ เย จสฺส เต คุณา, เตปิ อญฺญสตฺตานํ คุเณหิ วิสิฎฺฐาติ คุณวิสิฎฺฐเฎฺฐนปิ เอกปุคฺคโลฯ ปุริมกา สมฺมาสมฺพุทฺธา สพฺพสเตฺตหิ อสมา, เตหิ สทฺธิํ อยเมว เอโก รูปกายคุเณหิ เจว นามกายคุเณหิ จ สโมติ อสมสมเฎฺฐนปิ เอกปุคฺคโลฯ โลเกติ สตฺตโลเกฯ
Ekapuggaloti ettha (a. ni. aṭṭha. 1.1.170) ekoti dutiyādipaṭikkhepattho gaṇanaparicchedo. Puggaloti sammutikathā, na paramatthakathā. Buddhassa hi bhagavato duvidhā desanā sammutidesanā paramatthadesanā cāti. Ayamattho pana heṭṭhā vitthāritovāti idha na vuccati. Eko ca so puggalo cāti ekapuggalo. Kenaṭṭhena ekapuggalo? Asadisaṭṭhena guṇavisiṭṭhaṭṭhena asamasamaṭṭhena. So hi dasannaṃ pāramīnaṃ paṭipāṭiyā āvajjanaṃ ādiṃ katvā bodhisambhāraguṇehi ceva buddhaguṇehi ca sesamahājanena asadisoti asadisaṭṭhenapi ekapuggalo. Ye cassa te guṇā, tepi aññasattānaṃ guṇehi visiṭṭhāti guṇavisiṭṭhaṭṭhenapi ekapuggalo. Purimakā sammāsambuddhā sabbasattehi asamā, tehi saddhiṃ ayameva eko rūpakāyaguṇehi ceva nāmakāyaguṇehi ca samoti asamasamaṭṭhenapi ekapuggalo. Loketi sattaloke.
อุปฺปชฺชมาโน อุปฺปชฺชตีติ อิทํ ปน อุภยมฺปิ วิปฺปกตวจนเมวฯ อุปฺปชฺชโนฺต พหุชนหิตตฺถาย อุปฺปชฺชติ, น อเญฺญน การเณนาติ เอวํ ปเนตฺถ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ เอวรูปเญฺจตฺถ ลกฺขณํ น สกฺกา เอตํ อเญฺญน สทฺทลกฺขเณน ปฎิพาหิตุํฯ อปิจ อุปฺปชฺชมาโน นาม, อุปฺปชฺชติ นาม, อุปฺปโนฺน นามาติ อยเมตฺถ เภโท เวทิตโพฺพฯ เอส หิ ทีปงฺกรปาทมูลโต ลทฺธพฺยากรโณ พุทฺธการกธเมฺม ปริเยสโนฺต ทส ปารมิโย ทิสฺวา ‘‘อิเม ธมฺมา มยา ปูเรตพฺพา’’ติ กตสนฺนิฎฺฐาโน ทานปารมิํ ปูเรโนฺตปิ อุปฺปชฺชมาโน นามฯ สีลปารมิํ…เป.… อุเปกฺขาปารมินฺติ อิมา ทส ปารมิโย ปูเรโนฺตปิ, ทส อุปปารมิโย ปูเรโนฺตปิ อุปฺปชฺชมาโน นามฯ ทส ปรมตฺถปารมิโย ปูเรโนฺตปิ อุปฺปชฺชมาโน นามฯ ปญฺจ มหาปริจฺจาเค ปริจฺจชโนฺตปิ อุปฺปชฺชมาโน นามฯ ญาตตฺถจริยํ โลกตฺถจริยํ พุทฺธตฺถจริยํ ปูรยมาโนปิ อุปฺปชฺชมาโน นามฯ กปฺปสตสหสฺสาธิกานิ จตฺตาริ อสเงฺขฺยยฺยานิ พุทฺธการเก ธเมฺม มตฺถกํ ปาเปโนฺตปิ อุปฺปชฺชมาโน นามฯ เวสฺสนฺตรตฺตภาวํ ปหาย ตุสิตปุเร ปฎิสนฺธิํ คเหตฺวา สฎฺฐิวสฺสสตสหสฺสาธิกา สตฺตปณฺณาส วสฺสโกฎิโย ติฎฺฐโนฺตปิ อุปฺปชฺชมาโน นามฯ เทวตาหิ ยาจิโต ปญฺจ มหาวิโลกนานิ วิโลเกตฺวา มายาเทวิยา กุจฺฉิสฺมิํ ปฎิสนฺธิํ คณฺหโนฺตปิ, อนูนาธิเก ทส มาเส คพฺภวาสํ วสโนฺตปิ อุปฺปชฺชมาโน นามฯ เอกูนติํส วสฺสานิ อคารมเชฺฌ ติฎฺฐโนฺตปิ อุปฺปชฺชมาโน นามฯ กาเมสุ อาทีนวํ เนกฺขเมฺม จ อานิสํสํ ทิสฺวา ราหุลภทฺทสฺส ชาตทิวเส ฉนฺนสหาโย กณฺฑกํ อสฺสวรมารุยฺห นิกฺขมโนฺตปิ อุปฺปชฺชมาโน นามฯ ตีณิ รชฺชานิ อติกฺกมโนฺต อโนมนทิตีเร ปพฺพชโนฺตปิ อุปฺปชฺชมาโน นามฯ ฉพฺพสฺสานิ มหาปธานํ กโรโนฺตปิ อุปฺปชฺชมาโน นามฯ ปริปากคเต ญาเณ โอฬาริกํ อาหารํ อาหรโนฺตปิ อุปฺปชฺชมาโน นามฯ สายนฺหสมเย วิสาขปุณฺณมายํ มหาโพธิมณฺฑํ อารุยฺห มารพลํ วิธเมตฺวา ปฐมยาเม ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสริตฺวา มชฺฌิมยาเม ทิพฺพจกฺขุํ ปริโสเธตฺวา ปจฺฉิมยามสมนนฺตเร ทฺวาทสงฺคํ ปฎิจฺจสมุปฺปาทํ อนุโลมปฎิโลมโต สมฺมสิตฺวา โสตาปตฺติมคฺคํ ปฎิวิชฺฌโนฺตปิ อุปฺปชฺชมาโน นามฯ โสตาปตฺติผลกฺขเณปิ สกทาคามิผลกฺขเณปิ อนาคามิผลกฺขเณปิ อุปฺปชฺชมาโน นามฯ อรหตฺตมคฺคกฺขเณ ปน อุปฺปชฺชติ นามฯ อรหตฺตผลกฺขเณ อุปฺปโนฺน นามฯ พุทฺธานญฺหิ สาวกานํ วิย น ปฎิปาฎิยา อิทฺธิวิธญาณาทีนิ อุปฺปชฺชนฺติ, สเหว ปน อรหตฺตมเคฺคน สกโลปิ สพฺพญฺญุตญฺญาณาทิ คุณราสิ อาคโตว นาม โหติ, ตสฺมา นิพฺพตฺตสพฺพกิจฺจตฺตา อรหตฺตผลกฺขเณ อุปฺปโนฺน นาม โหติฯ อิมสฺมิมฺปิ สุเตฺต อรหตฺตผลกฺขณํเยว สนฺธาย ‘‘อุปฺปชฺชตี’’ติ วุตฺตํฯ อุปฺปโนฺน โหตีติ อยเญฺหตฺถ อโตฺถฯ
Uppajjamāno uppajjatīti idaṃ pana ubhayampi vippakatavacanameva. Uppajjanto bahujanahitatthāya uppajjati, na aññena kāraṇenāti evaṃ panettha attho veditabbo. Evarūpañcettha lakkhaṇaṃ na sakkā etaṃ aññena saddalakkhaṇena paṭibāhituṃ. Apica uppajjamāno nāma, uppajjati nāma, uppanno nāmāti ayamettha bhedo veditabbo. Esa hi dīpaṅkarapādamūlato laddhabyākaraṇo buddhakārakadhamme pariyesanto dasa pāramiyo disvā ‘‘ime dhammā mayā pūretabbā’’ti katasanniṭṭhāno dānapāramiṃ pūrentopi uppajjamāno nāma. Sīlapāramiṃ…pe… upekkhāpāraminti imā dasa pāramiyo pūrentopi, dasa upapāramiyo pūrentopi uppajjamāno nāma. Dasa paramatthapāramiyo pūrentopi uppajjamāno nāma. Pañca mahāpariccāge pariccajantopi uppajjamāno nāma. Ñātatthacariyaṃ lokatthacariyaṃ buddhatthacariyaṃ pūrayamānopi uppajjamāno nāma. Kappasatasahassādhikāni cattāri asaṅkhyeyyāni buddhakārake dhamme matthakaṃ pāpentopi uppajjamāno nāma. Vessantarattabhāvaṃ pahāya tusitapure paṭisandhiṃ gahetvā saṭṭhivassasatasahassādhikā sattapaṇṇāsa vassakoṭiyo tiṭṭhantopi uppajjamāno nāma. Devatāhi yācito pañca mahāvilokanāni viloketvā māyādeviyā kucchismiṃ paṭisandhiṃ gaṇhantopi, anūnādhike dasa māse gabbhavāsaṃ vasantopi uppajjamāno nāma. Ekūnatiṃsa vassāni agāramajjhe tiṭṭhantopi uppajjamāno nāma. Kāmesu ādīnavaṃ nekkhamme ca ānisaṃsaṃ disvā rāhulabhaddassa jātadivase channasahāyo kaṇḍakaṃ assavaramāruyha nikkhamantopi uppajjamāno nāma. Tīṇi rajjāni atikkamanto anomanaditīre pabbajantopi uppajjamāno nāma. Chabbassāni mahāpadhānaṃ karontopi uppajjamāno nāma. Paripākagate ñāṇe oḷārikaṃ āhāraṃ āharantopi uppajjamāno nāma. Sāyanhasamaye visākhapuṇṇamāyaṃ mahābodhimaṇḍaṃ āruyha mārabalaṃ vidhametvā paṭhamayāme pubbenivāsaṃ anussaritvā majjhimayāme dibbacakkhuṃ parisodhetvā pacchimayāmasamanantare dvādasaṅgaṃ paṭiccasamuppādaṃ anulomapaṭilomato sammasitvā sotāpattimaggaṃ paṭivijjhantopi uppajjamāno nāma. Sotāpattiphalakkhaṇepi sakadāgāmiphalakkhaṇepi anāgāmiphalakkhaṇepi uppajjamāno nāma. Arahattamaggakkhaṇe pana uppajjati nāma. Arahattaphalakkhaṇe uppanno nāma. Buddhānañhi sāvakānaṃ viya na paṭipāṭiyā iddhividhañāṇādīni uppajjanti, saheva pana arahattamaggena sakalopi sabbaññutaññāṇādi guṇarāsi āgatova nāma hoti, tasmā nibbattasabbakiccattā arahattaphalakkhaṇe uppanno nāma hoti. Imasmimpi sutte arahattaphalakkhaṇaṃyeva sandhāya ‘‘uppajjatī’’ti vuttaṃ. Uppanno hotīti ayañhettha attho.
พหุชนหิตายาติ มหาชนสฺส หิตตฺถาย อุปฺปชฺชติฯ พหุชนสุขายาติ มหาชนสฺส สุขตฺถาย อุปฺปชฺชติฯ โลกานุกมฺปายาติ สตฺตโลกสฺส อนุกมฺปํ ปฎิจฺจ อุปฺปชฺชติฯ กตรสตฺตโลกสฺสาติ? โย ตถาคตสฺส ธมฺมเทสนํ สุตฺวา อมตปานํ ปิวิ, ธมฺมํ ปฎิวิชฺฌิ, ตสฺสฯ ภควตา หิ มหาโพธิมเณฺฑ สตฺตสตฺตาหํ วีตินาเมตฺวา โพธิมณฺฑา อิสิปตนํ อาคมฺม ‘‘เทฺวเม, ภิกฺขเว, อนฺตา ปพฺพชิเตน น เสวิตพฺพา’’ติ ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตนสุตฺตเนฺต (สํ. นิ. ๓.๕; มหาว. ๑๓) เทสิเต อายสฺมตา อญฺญาสิโกณฺฑญฺญเตฺถเรน สทฺธิํ อฎฺฐารสโกฎิสงฺขา พฺรหฺมาโน อมตปานํ ปิวิํสุ, เอตสฺส สตฺตโลกสฺส อนุกมฺปาย อุปฺปโนฺนฯ ปญฺจมทิวเส อนตฺตลกฺขณสุตฺตนฺตปริโยสาเน ปญฺจวคฺคิยเตฺถรา อรหเตฺต ปติฎฺฐหิํสุ, เอตสฺสปิ สตฺตโลกสฺส อนุกมฺปาย อุปฺปโนฺนฯ ตโต ยสทารกปฺปมุเข ปญฺจปณฺณาส ปุริเส อรหเตฺต ปติฎฺฐาเปสิ, ตโต กปฺปาสิกวนสเณฺฑ ติํส ภทฺทวคฺคิเย ตโย มเคฺค จ ผลานิ จ สมฺปาเปสิ, เอตสฺสปิ สตฺตโลกสฺส อนุกมฺปาย อุปฺปโนฺนฯ คยาสีเส อาทิตฺตปริยายปริโยสาเน (สํ. นิ. ๔.๒๘; มหาว. ๕๔) ชฎิลสหสฺสํ อรหเตฺต ปติฎฺฐาเปสิ, ตโต ลฎฺฐิวเน พิมฺพิสารปฺปมุขา เอกาทส นหุตา พฺราหฺมณคหปติกา สตฺถุ ธมฺมเทสนํ สุตฺวา โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิํสุ, เอกํ นหุตํ สรเณสุ ปติฎฺฐิตํฯ ติโรกุฎฺฎอนุโมทนาวสาเน (ขุ. ปา. ๗. ๑ อาทโย) จตุราสีติยา ปาณสหเสฺสหิ อมตปานํ ปีตํฯ สุมนมาลาการสมาคเม จตุราสีติยา, ธนปาลสมาคเม ทสหิ ปาณสหเสฺสหิ, ขทิรงฺคารชาตกสมาคเม จตุราสีติยา ปาณสหเสฺสหิ, ชมฺพุกอาชีวกสมาคเม จตุราสีติยาว, อานนฺทเสฎฺฐิสมาคเม จตุราสีติยาว ปาณสหเสฺสหิ อมตปานํ ปีตํฯ ปาสาณกเจติเย ปารายนสุตฺตกถาทิวเส (สุ. นิ. ๙๘๒ อาทโย) จุทฺทส โกฎิโย อมตปานํ ปิวิํสุฯ ยมกปาฎิหาริยทิวเส วีสติ ปาณโกฎิโย, ตาวติํสภวเน ปณฺฑุกมฺพลสิลายํ นิสีทิตฺวา มาตรํ กายสกฺขิํ กตฺวา สตฺตปฺปกรณํ อภิธมฺมํ เทเสนฺตสฺส อสีติ ปาณโกฎิโย, เทโวโรหเณ ติํส ปาณโกฎิโย, สกฺกปญฺหสุตฺตเนฺต (ที. นิ. ๒.๓๔๔ อาทโย) อสีติ เทวสหสฺสานิ อมตปานํ ปิวิํสุฯ มหาสมยสุตฺตเนฺต (ที. นิ. ๒.๓๓๑ อาทโย) มงฺคลสุเตฺต (ขุ. ปา. ๕.๑ อาทโย; สุ. นิ. มงฺคลสุตฺต) จูฬราหุโลวาเท (ม. นิ. ๓.๔๑๖ อาทโย) สมจิตฺตปฎิปทายาติ (อ. นิ. ๒.๓๓) อิเมสุ จตูสุ ฐาเนสุ อภิสมยปฺปตฺตสตฺตานํ ปริเจฺฉโท นตฺถิ, เอตสฺสปิ สตฺตโลกสฺส อนุกมฺปาย อุปฺปโนฺนติฯ ยาวชฺชทิวสา อิโต ปรมฺปิ อนาคเต อิมํ สาสนํ นิสฺสาย สคฺคโมกฺขมเคฺค ปติฎฺฐหนฺตานํ วเสนปิ อยมโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
Bahujanahitāyāti mahājanassa hitatthāya uppajjati. Bahujanasukhāyāti mahājanassa sukhatthāya uppajjati. Lokānukampāyāti sattalokassa anukampaṃ paṭicca uppajjati. Katarasattalokassāti? Yo tathāgatassa dhammadesanaṃ sutvā amatapānaṃ pivi, dhammaṃ paṭivijjhi, tassa. Bhagavatā hi mahābodhimaṇḍe sattasattāhaṃ vītināmetvā bodhimaṇḍā isipatanaṃ āgamma ‘‘dveme, bhikkhave, antā pabbajitena na sevitabbā’’ti dhammacakkappavattanasuttante (saṃ. ni. 3.5; mahāva. 13) desite āyasmatā aññāsikoṇḍaññattherena saddhiṃ aṭṭhārasakoṭisaṅkhā brahmāno amatapānaṃ piviṃsu, etassa sattalokassa anukampāya uppanno. Pañcamadivase anattalakkhaṇasuttantapariyosāne pañcavaggiyattherā arahatte patiṭṭhahiṃsu, etassapi sattalokassa anukampāya uppanno. Tato yasadārakappamukhe pañcapaṇṇāsa purise arahatte patiṭṭhāpesi, tato kappāsikavanasaṇḍe tiṃsa bhaddavaggiye tayo magge ca phalāni ca sampāpesi, etassapi sattalokassa anukampāya uppanno. Gayāsīse ādittapariyāyapariyosāne (saṃ. ni. 4.28; mahāva. 54) jaṭilasahassaṃ arahatte patiṭṭhāpesi, tato laṭṭhivane bimbisārappamukhā ekādasa nahutā brāhmaṇagahapatikā satthu dhammadesanaṃ sutvā sotāpattiphale patiṭṭhahiṃsu, ekaṃ nahutaṃ saraṇesu patiṭṭhitaṃ. Tirokuṭṭaanumodanāvasāne (khu. pā. 7. 1 ādayo) caturāsītiyā pāṇasahassehi amatapānaṃ pītaṃ. Sumanamālākārasamāgame caturāsītiyā, dhanapālasamāgame dasahi pāṇasahassehi, khadiraṅgārajātakasamāgame caturāsītiyā pāṇasahassehi, jambukaājīvakasamāgame caturāsītiyāva, ānandaseṭṭhisamāgame caturāsītiyāva pāṇasahassehi amatapānaṃ pītaṃ. Pāsāṇakacetiye pārāyanasuttakathādivase (su. ni. 982 ādayo) cuddasa koṭiyo amatapānaṃ piviṃsu. Yamakapāṭihāriyadivase vīsati pāṇakoṭiyo, tāvatiṃsabhavane paṇḍukambalasilāyaṃ nisīditvā mātaraṃ kāyasakkhiṃ katvā sattappakaraṇaṃ abhidhammaṃ desentassa asīti pāṇakoṭiyo, devorohaṇe tiṃsa pāṇakoṭiyo, sakkapañhasuttante (dī. ni. 2.344 ādayo) asīti devasahassāni amatapānaṃ piviṃsu. Mahāsamayasuttante (dī. ni. 2.331 ādayo) maṅgalasutte (khu. pā. 5.1 ādayo; su. ni. maṅgalasutta) cūḷarāhulovāde (ma. ni. 3.416 ādayo) samacittapaṭipadāyāti (a. ni. 2.33) imesu catūsu ṭhānesu abhisamayappattasattānaṃ paricchedo natthi, etassapi sattalokassa anukampāya uppannoti. Yāvajjadivasā ito parampi anāgate imaṃ sāsanaṃ nissāya saggamokkhamagge patiṭṭhahantānaṃ vasenapi ayamattho veditabbo.
เทวมนุสฺสานนฺติ น เกวลํ เทวมนุสฺสานํเยว, อวเสสานํ นาคสุปณฺณาทีนมฺปิ อตฺถาย หิตาย สุขาเยว อุปฺปโนฺนฯ สเหตุกปฎิสนฺธิเก ปน มคฺคผลสจฺฉิกิริยาย ภเพฺพ ปุคฺคเล ทเสฺสตุํ เอวํ วุตฺตํฯ ตสฺมา เอเตสมฺปิ อตฺถตฺถาย หิตตฺถาย สุขตฺถาเยว อุปฺปโนฺนติ เวทิตโพฺพฯ
Devamanussānanti na kevalaṃ devamanussānaṃyeva, avasesānaṃ nāgasupaṇṇādīnampi atthāya hitāya sukhāyeva uppanno. Sahetukapaṭisandhike pana maggaphalasacchikiriyāya bhabbe puggale dassetuṃ evaṃ vuttaṃ. Tasmā etesampi atthatthāya hitatthāya sukhatthāyeva uppannoti veditabbo.
กตโม เอกปุคฺคโลติ กเถตุกมฺยตาปุจฺฉาฯ อิทานิ ตาย ปุจฺฉาย ปุฎฺฐํ เอกปุคฺคลํ วิภาเวโนฺต ‘‘ตถาคโต อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ’’ติ อาหฯ ตทตฺถปรินิปฺผาทนนฺติ โลกตฺถนิปฺผาทนํ, พุทฺธกิจฺจสมฺปาทนนฺติ อโตฺถฯ ปฐมํ ลุมฺพินีวเน ทุติยํ โพธิมเณฺฑติ ลุมฺพินีวเน รูปกาเยน ชาโต, โพธิมเณฺฑ ธมฺมกาเยนฯ เอวมาทินาติ อาทิ-สเทฺทน เวรญฺชากิตฺตนโต รูปกายสฺส อนุคฺคณฺหนํ ทเสฺสติ, นเฬรุปุจิมนฺทมูลกิตฺตนโต ธมฺมกายสฺสฯ ตถา ปุริเมน ปราธีนกิริยากรณํ, ทุติเยน อตฺตาธีนกิริยากรณํฯ ปุริเมน วา กรุณากิจฺจํ, อิตเรน ปญฺญากิจฺจํ , ปุริเมน จสฺส ปรมาย อนุกมฺปาย สมนฺนาคมํ, ปจฺฉิเมน ปรมาย อุเปกฺขาย สมนฺนาคมนฺติ เอวมาทิํ สงฺคณฺหาติฯ
Katamo ekapuggaloti kathetukamyatāpucchā. Idāni tāya pucchāya puṭṭhaṃ ekapuggalaṃ vibhāvento ‘‘tathāgato arahaṃ sammāsambuddho’’ti āha. Tadatthaparinipphādananti lokatthanipphādanaṃ, buddhakiccasampādananti attho. Paṭhamaṃ lumbinīvane dutiyaṃ bodhimaṇḍeti lumbinīvane rūpakāyena jāto, bodhimaṇḍe dhammakāyena. Evamādināti ādi-saddena verañjākittanato rūpakāyassa anuggaṇhanaṃ dasseti, naḷerupucimandamūlakittanato dhammakāyassa. Tathā purimena parādhīnakiriyākaraṇaṃ, dutiyena attādhīnakiriyākaraṇaṃ. Purimena vā karuṇākiccaṃ, itarena paññākiccaṃ , purimena cassa paramāya anukampāya samannāgamaṃ, pacchimena paramāya upekkhāya samannāgamanti evamādiṃ saṅgaṇhāti.
ปจฺฉิมโกติ คุเณน ปจฺฉิมโกฯ อานนฺทเตฺถรํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ สงฺขฺยายปีติ คณนโตปิฯ ทิฎฺฐิสีลสามเญฺญน สํหตตฺตา สโงฺฆติ อิมมตฺถํ วิภาเวโนฺต อาห ‘‘ทิฎฺฐิสีลสามญฺญสงฺขาตสงฺฆาเตน สมณคเณนา’’ติฯ เอตฺถ ปน ‘‘ยายํ ทิฎฺฐิ อริยา นิยฺยานิกา นิยฺยาติ ตกฺกรสฺส สมฺมา ทุกฺขกฺขยาย, ตถารูปาย ทิฎฺฐิยา ทิฎฺฐิสามญฺญคโต วิหรตี’’ติ (ที. นิ. ๓.๓๒๔, ๓๕๖, ม. นิ. ๑.๔๙๒; ๓.๕๔) เอวํ วุตฺตาย ทิฎฺฐิยา, ‘‘ยานิ ตานิ สีลานิ อขณฺฑานิ อจฺฉิทฺทานิ อสพลานิ อกมฺมาสานิ ภุชิสฺสานิ วิญฺญุปฺปสตฺถานิ อปรามฎฺฐานิ สมาธิสํวตฺตนิกานิ, ตถารูเปสุ สีเลสุ สีลสามญฺญคโต วิหรตี’’ติ (ที. นิ. ๓.๓๒๔; ๓๕๖; ม. นิ. ๑.๔๙๒; ๓.๕๔) เอวํ วุตฺตานญฺจ สีลานํ สามญฺญสงฺขาเตน สงฺฆโต สงฺฆฎิโต สเมโตติ ทิฎฺฐิสีลสามญฺญสงฺขาตสงฺฆาโต, สมณคโณฯ ทิฎฺฐิสีลสามเญฺญน สํหโตติ วุตฺตํ โหติฯ ตถา หิ ‘‘อฎฺฐานเมตํ, ภิกฺขเว, อนวกาโส, ยํ ทิฎฺฐิสมฺปโนฺน ปุคฺคโล สญฺจิจฺจ ปาณํ ชีวิตา โวโรเปยฺย, เนตํ ฐานํ วิชฺชตี’’ติ อาทิวจนโต ทิฎฺฐิสีลานํ นิยตสภาวตฺตา โสตาปนฺนาปิ อญฺญมญฺญํ ทิฎฺฐิสีลสามเญฺญน สํหตา, ปเคว สกทาคามิอาทโยฯ อริยปุคฺคลา หิ ยตฺถ กตฺถจิ ทูเร ฐิตาปิ อตฺตโน คุณสามคฺคิยา สํหตาเยวฯ ‘‘ตถารูปาย ทิฎฺฐิยา ทิฎฺฐิสามญฺญคโต วิหรติ (ที. นิ. ๓.๓๒๔, ๓๕๖; ม. นิ. ๑.๔๙๒; ๓.๕๔), ตถารูเปสุ สีเลสุ สีลสามญฺญคโต วิหรตี’’ติ (ที. นิ. ๓.๓๒๔, ๓๕๖; ม. นิ. ๑.๔๙๒; ๓.๕๔) วจนโต ปุถุชฺชนานมฺปิ ทิฎฺฐิสีลสามเญฺญน สํหตภาโว ลพฺภติเยว, อิธ ปน อริยสโงฺฆเยว อธิเปฺปโต ‘‘โย ตตฺถ ปจฺฉิมโก, โส โสตาปโนฺน’’ติ วจนโตฯ เอเตนาติ ‘‘ปญฺจมเตฺตหิ ภิกฺขุสเตหี’’ติ เอเตน วจเนนฯ อสฺสาติ ปญฺจมตฺตสฺส ภิกฺขุสตสฺสฯ นิรพฺพุโทติอาทีนํ วจนโตฺถ ปรโต เอว อาวิ ภวิสฺสติฯ
Pacchimakoti guṇena pacchimako. Ānandattheraṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ. Saṅkhyāyapīti gaṇanatopi. Diṭṭhisīlasāmaññena saṃhatattā saṅghoti imamatthaṃ vibhāvento āha ‘‘diṭṭhisīlasāmaññasaṅkhātasaṅghātena samaṇagaṇenā’’ti. Ettha pana ‘‘yāyaṃ diṭṭhi ariyā niyyānikā niyyāti takkarassa sammā dukkhakkhayāya, tathārūpāya diṭṭhiyā diṭṭhisāmaññagato viharatī’’ti (dī. ni. 3.324, 356, ma. ni. 1.492; 3.54) evaṃ vuttāya diṭṭhiyā, ‘‘yāni tāni sīlāni akhaṇḍāni acchiddāni asabalāni akammāsāni bhujissāni viññuppasatthāni aparāmaṭṭhāni samādhisaṃvattanikāni, tathārūpesu sīlesu sīlasāmaññagato viharatī’’ti (dī. ni. 3.324; 356; ma. ni. 1.492; 3.54) evaṃ vuttānañca sīlānaṃ sāmaññasaṅkhātena saṅghato saṅghaṭito sametoti diṭṭhisīlasāmaññasaṅkhātasaṅghāto, samaṇagaṇo. Diṭṭhisīlasāmaññena saṃhatoti vuttaṃ hoti. Tathā hi ‘‘aṭṭhānametaṃ, bhikkhave, anavakāso, yaṃ diṭṭhisampanno puggalo sañcicca pāṇaṃ jīvitā voropeyya, netaṃ ṭhānaṃ vijjatī’’ti ādivacanato diṭṭhisīlānaṃ niyatasabhāvattā sotāpannāpi aññamaññaṃ diṭṭhisīlasāmaññena saṃhatā, pageva sakadāgāmiādayo. Ariyapuggalā hi yattha katthaci dūre ṭhitāpi attano guṇasāmaggiyā saṃhatāyeva. ‘‘Tathārūpāya diṭṭhiyā diṭṭhisāmaññagato viharati (dī. ni. 3.324, 356; ma. ni. 1.492; 3.54), tathārūpesu sīlesu sīlasāmaññagato viharatī’’ti (dī. ni. 3.324, 356; ma. ni. 1.492; 3.54) vacanato puthujjanānampi diṭṭhisīlasāmaññena saṃhatabhāvo labbhatiyeva, idha pana ariyasaṅghoyeva adhippeto ‘‘yo tattha pacchimako, so sotāpanno’’ti vacanato. Etenāti ‘‘pañcamattehi bhikkhusatehī’’ti etena vacanena. Assāti pañcamattassa bhikkhusatassa. Nirabbudotiādīnaṃ vacanattho parato eva āvi bhavissati.
อโสฺสสีติ เอตฺถ สวนมุปลโพฺภติ อาห ‘‘อโสฺสสีติ สุณิ อุปลภี’’ติ, อญฺญาสีติ อโตฺถฯ โส จายมุปลโพฺภ สวนวเสเนวาติ อิมมตฺถํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘โสตทฺวารสมฺปตฺตวจนนิโคฺฆสานุสาเรน อญฺญาสี’’ติฯ อวธารณผลตฺตา สทฺทปฺปโยคสฺส สพฺพมฺปิ วากฺยํ อโนฺตคธาวธารณนฺติ อาห ‘‘โขติ ปทปูรณมเตฺต นิปาโต’’ติฯ อวธารณเตฺถติ ปน อิมินา อโนฺตคธาวธารเณปิ สพฺพสฺมิํ วาเกฺย อิฎฺฐโตวธารณตฺถํ โขสทฺทคฺคหณนฺติ ทเสฺสติฯ ตเมว อิฎฺฐโตวธารณํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘ตตฺถ อวธารณเตฺถนา’’ติอาทิฯ อถ ปทปูรณเตฺถน โขสเทฺทน กิํปโยชนนฺติ อาห ‘‘ปทปูรเณน ปน พฺยญฺชนสิลิฎฺฐตามตฺตเมวา’’ติฯ ‘‘อโสฺสสี’’ติ หิ ปทํ โขสเทฺท คหิเต เตน ผุลฺลิตมณฺฑิตวิภูสิตํ วิย โหนฺตํ ปูริตํ นาม โหติ, เตน จ ปุริมปจฺฉิมปทานิ สิลิฎฺฐานิ โหนฺติ, น ตสฺมิํ อคฺคหิเต, ตสฺมา ปทปูรเณน พฺยญฺชนสิลิฎฺฐตามตฺตเมว ปโยชนํฯ มตฺต-สโทฺท เจตฺถ วิเสสนิวตฺติอโตฺถ, เตนสฺส อนตฺถนฺตรทีปนตํ ทเสฺสติ, เอว-สเทฺทน ปน พฺยญฺชนสิลิฎฺฐตาย เอกนฺติกตํฯ
Assosīti ettha savanamupalabbhoti āha ‘‘assosīti suṇi upalabhī’’ti, aññāsīti attho. So cāyamupalabbho savanavasenevāti imamatthaṃ dassento āha ‘‘sotadvārasampattavacananigghosānusārena aññāsī’’ti. Avadhāraṇaphalattā saddappayogassa sabbampi vākyaṃ antogadhāvadhāraṇanti āha ‘‘khoti padapūraṇamatte nipāto’’ti. Avadhāraṇattheti pana iminā antogadhāvadhāraṇepi sabbasmiṃ vākye iṭṭhatovadhāraṇatthaṃ khosaddaggahaṇanti dasseti. Tameva iṭṭhatovadhāraṇaṃ dassento āha ‘‘tattha avadhāraṇatthenā’’tiādi. Atha padapūraṇatthena khosaddena kiṃpayojananti āha ‘‘padapūraṇena pana byañjanasiliṭṭhatāmattamevā’’ti. ‘‘Assosī’’ti hi padaṃ khosadde gahite tena phullitamaṇḍitavibhūsitaṃ viya hontaṃ pūritaṃ nāma hoti, tena ca purimapacchimapadāni siliṭṭhāni honti, na tasmiṃ aggahite, tasmā padapūraṇena byañjanasiliṭṭhatāmattameva payojanaṃ. Matta-saddo cettha visesanivattiattho, tenassa anatthantaradīpanataṃ dasseti, eva-saddena pana byañjanasiliṭṭhatāya ekantikataṃ.
เวรโญฺชติ เอตฺถ สทฺทลกฺขณานุสาเรน อตฺถํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘เวรญฺชายํ ชาโต’’ติอาทิฯ พฺรหฺมํ อณตีติ เอตฺถ พฺรหฺมนฺติ เวโท วุจฺจติ, โส ปน มนฺตพฺรหฺมกปฺปวเสน ติวิโธฯ ตตฺถ มนฺตา ปธานมูลภาวโตเยว อฎฺฐกาทีหิ ปวุตฺตา, อิตเร ปน ตนฺนิสฺสเยน ชาตา, เตน ปธานเสฺสว คหณํฯ มเนฺต สชฺฌายตีติ อิรุเวทาทิเก มนฺตสเตฺถ สชฺฌายตีติ อโตฺถฯ อิรุเวทาทโย หิ คุตฺตภาสิตพฺพตาย ‘‘มนฺตา’’ติ วุจฺจนฺติฯ อิทเมว หีติ อวธารเณน พฺรหฺมโต ชาโตติอาทิกํ นิรุตฺติํ ปฎิกฺขิปติฯ ชาติพฺราหฺมณานนฺติ อิมินา อเญฺญปิ พฺราหฺมณา อตฺถีติ ทเสฺสติฯ ทุวิธา หิ พฺราหฺมณา ชาติพฺราหฺมณา วิสุทฺธิพฺราหฺมณา จาติฯ อิทานิ ตตฺถ วิสุทฺธิพฺราหฺมณานํ นิรุตฺติํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘อริยา ปนา’’ติอาทิฯ
Verañjoti ettha saddalakkhaṇānusārena atthaṃ dassento āha ‘‘verañjāyaṃ jāto’’tiādi. Brahmaṃ aṇatīti ettha brahmanti vedo vuccati, so pana mantabrahmakappavasena tividho. Tattha mantā padhānamūlabhāvatoyeva aṭṭhakādīhi pavuttā, itare pana tannissayena jātā, tena padhānasseva gahaṇaṃ. Mante sajjhāyatīti iruvedādike mantasatthe sajjhāyatīti attho. Iruvedādayo hi guttabhāsitabbatāya ‘‘mantā’’ti vuccanti. Idameva hīti avadhāraṇena brahmato jātotiādikaṃ niruttiṃ paṭikkhipati. Jātibrāhmaṇānanti iminā aññepi brāhmaṇā atthīti dasseti. Duvidhā hi brāhmaṇā jātibrāhmaṇā visuddhibrāhmaṇā cāti. Idāni tattha visuddhibrāhmaṇānaṃ niruttiṃ dassento āha ‘‘ariyā panā’’tiādi.
สมิตปาปตฺตาติ อจฺจนฺตํ อนวเสสโต สวาสนํ สมิตปาปตฺตาฯ เอวญฺหิ พาหิรกอวีตราคเสกฺขาเสกฺขปาปสมณโต ภควโต ปาปสมณํ วิเสสิตํ โหติฯ วุตฺตเมวตฺถํ อุทาหรเณน วิภาเวโนฺต อาห ‘‘วุตฺตเญฺหต’’นฺติอาทิฯ เอตฺถ ปน ‘‘พาหิตปาโปติ พฺราหฺมโณ, สมิตปาปตฺตา สมโณติ วุจฺจตีติ อิทํ ภินฺนคาถาสนฺนิสฺสิตปททฺวยํ เอกโต คเหตฺวา วุตฺต’’นฺติ วทนฺติฯ วุตฺตเญฺหตํ ตีสุปิ คณฺฐิปเทสุ ‘‘สมิตตฺตา หิ ปาปานํ, สมโณติ ปวุจฺจตีติ อิทํ วจนํ คเหตฺวา ‘สมิตตฺตา สมโณติ วุจฺจตี’ติ วุตฺตํฯ พาหิตปาโปติ พฺราหฺมโณติ อิทํ ปน อญฺญสฺมิํ คาถาพเนฺธ วุตฺตวจน’’นฺติฯ อเนกตฺถตฺตา นิปาตานํ อิธ อนุสฺสวนเตฺถ อธิเปฺปโตติ อาห ‘‘ขลูติ อนุสฺสวนเตฺถ นิปาโต’’ติฯ ชาติสมุทาคตนฺติ ชาติยา อาคตํ, ชาติสิทฺธนฺติ วุตฺตํ โหติฯ อาลปนมตฺตนฺติ ปิยาลาปวจนมตฺตํฯ ปิยสมุทาหารา เหเต โภติ วา อาวุโสติ วา เทวานมฺปิยาติ วาฯ โภวาที นาม โส โหตีติ โย อามนฺตนาทีสุ ‘‘โภ โภ’’ติ วทโนฺต วิจรติ, โส โภวาที นาม โหตีติ อโตฺถฯ สกิญฺจโนติ ราคาทีหิ กิญฺจเนหิ สกิญฺจโนฯ ราคาทโย หิ สเตฺต กิเญฺจนฺติ มทฺทนฺติ ปลิพุนฺธนฺตีติ ‘‘กิญฺจนานี’’ติ วุจฺจนฺติฯ มนุสฺสา กิร โคเณหิ ขลํ มทฺทาเปนฺตา ‘‘กิเญฺจหิ กปิล, กิเญฺจหิ กาฬกา’’ติ วทนฺติ, ตสฺมา มทฺทนโฎฺฐ กิญฺจนโฎฺฐติ เวทิตโพฺพฯ
Samitapāpattāti accantaṃ anavasesato savāsanaṃ samitapāpattā. Evañhi bāhirakaavītarāgasekkhāsekkhapāpasamaṇato bhagavato pāpasamaṇaṃ visesitaṃ hoti. Vuttamevatthaṃ udāharaṇena vibhāvento āha ‘‘vuttañheta’’ntiādi. Ettha pana ‘‘bāhitapāpoti brāhmaṇo, samitapāpattā samaṇoti vuccatīti idaṃ bhinnagāthāsannissitapadadvayaṃ ekato gahetvā vutta’’nti vadanti. Vuttañhetaṃ tīsupi gaṇṭhipadesu ‘‘samitattā hi pāpānaṃ, samaṇoti pavuccatīti idaṃ vacanaṃ gahetvā ‘samitattā samaṇoti vuccatī’ti vuttaṃ. Bāhitapāpoti brāhmaṇoti idaṃ pana aññasmiṃ gāthābandhe vuttavacana’’nti. Anekatthattā nipātānaṃ idha anussavanatthe adhippetoti āha ‘‘khalūti anussavanatthe nipāto’’ti. Jātisamudāgatanti jātiyā āgataṃ, jātisiddhanti vuttaṃ hoti. Ālapanamattanti piyālāpavacanamattaṃ. Piyasamudāhārā hete bhoti vā āvusoti vā devānampiyāti vā. Bhovādī nāma so hotīti yo āmantanādīsu ‘‘bho bho’’ti vadanto vicarati, so bhovādī nāma hotīti attho. Sakiñcanoti rāgādīhi kiñcanehi sakiñcano. Rāgādayo hi satte kiñcenti maddanti palibundhantīti ‘‘kiñcanānī’’ti vuccanti. Manussā kira goṇehi khalaṃ maddāpentā ‘‘kiñcehi kapila, kiñcehi kāḷakā’’ti vadanti, tasmā maddanaṭṭho kiñcanaṭṭhoti veditabbo.
โคตฺตวเสนาติ เอตฺถ คํ ตายตีติ โคตฺตํฯ โคสเทฺทน เจตฺถ อภิธานํ พุทฺธิ จ วุจฺจติ, ตสฺมา เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ โคตโมติ ปวตฺตมานํ อภิธานํ พุทฺธิญฺจ เอกํสิกวิสยตาย ตายติ รกฺขตีติ โคตฺตํฯ ยถา หิ พุทฺธิ อารมฺมณภูเตน อเตฺถน วินา น วตฺตติ, เอวํ อภิธานํ อภิเธยฺยภูเตน, ตสฺมา โส โคตฺตสงฺขาโต อโตฺถ ตานิ พุทฺธิอภิธานานิ ตายติ รกฺขตีติ วุจฺจติฯ โส ปน อญฺญกุลปรมฺปราย อสาธารณํ ตสฺส กุลสฺส อาทิปุริสสมุทาคตํ ตํกุลปริยาปนฺนสาธารณํ สามญฺญรูปนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ เอตฺถ จ สมโณติ อิมินา สริกฺขกชเนหิ ภควโต พหุมตภาโว ทสฺสิโต สมิตปาปตากิตฺตนโต, โคตโมติ อิมินา โลกิยชเนหิ อุฬารกุลสมฺภูตตาทีปนโตฯ สกฺยสฺส สุโทฺธทนมหาราชสฺส ปุโตฺต สกฺยปุโตฺตฯ อิมินา จ อุทิโตทิตวิปุลขตฺติยกุลวิภาวนโต วุตฺตํ ‘‘อิทํ ปน ภควโต อุจฺจากุลปอทีปน’’นฺติฯ สพฺพขตฺติยานญฺหิ อาทิภูตมหาสมฺมตมหาราชโต ปฎฺฐาย อสมฺภินฺนํ อุฬารตมํ สกฺยราชกุลํฯ เกนจิ ปาริชุเญฺญน อนภิภูโตติ ญาติปาริชุญฺญโภคปาริชุญฺญาทินา เกนจิ ปาริชุเญฺญน ปริหานิยา อนภิภูโต อนโชฺฌตฺถโฎฯ ตถา หิ โลกนาถสฺส อภิชาติยํ ตสฺส กุลสฺส น กิญฺจิ ปาริชุญฺญํ, อถ โข วฑฺฒิเยวฯ อภินิกฺขมเน จ ตโต สมิทฺธตมภาโว โลเก ปากโฎ ปญฺญาโตฯ เตน ‘‘สกฺยกุลา ปพฺพชิโต’’ติ อิทํ วจนํ ภควโต สทฺธาปพฺพชิตภาวปริทีปนตฺถํ วุตฺตํ มหนฺตํ ญาติปริวฎฺฎํ มหนฺตญฺจ โภคกฺขนฺธํ ปหาย ปพฺพชิตภาวสิทฺธิโตฯ ตโต ปรนฺติ ‘‘เวรญฺชายํ วิหรตี’’ติอาทิฯ
Gottavasenāti ettha gaṃ tāyatīti gottaṃ. Gosaddena cettha abhidhānaṃ buddhi ca vuccati, tasmā evamettha attho daṭṭhabbo. Gotamoti pavattamānaṃ abhidhānaṃ buddhiñca ekaṃsikavisayatāya tāyati rakkhatīti gottaṃ. Yathā hi buddhi ārammaṇabhūtena atthena vinā na vattati, evaṃ abhidhānaṃ abhidheyyabhūtena, tasmā so gottasaṅkhāto attho tāni buddhiabhidhānāni tāyati rakkhatīti vuccati. So pana aññakulaparamparāya asādhāraṇaṃ tassa kulassa ādipurisasamudāgataṃ taṃkulapariyāpannasādhāraṇaṃ sāmaññarūpanti daṭṭhabbaṃ. Ettha ca samaṇoti iminā sarikkhakajanehi bhagavato bahumatabhāvo dassito samitapāpatākittanato, gotamoti iminā lokiyajanehi uḷārakulasambhūtatādīpanato. Sakyassa suddhodanamahārājassa putto sakyaputto. Iminā ca uditoditavipulakhattiyakulavibhāvanato vuttaṃ ‘‘idaṃ pana bhagavato uccākulapaadīpana’’nti. Sabbakhattiyānañhi ādibhūtamahāsammatamahārājato paṭṭhāya asambhinnaṃ uḷāratamaṃ sakyarājakulaṃ. Kenaci pārijuññena anabhibhūtoti ñātipārijuññabhogapārijuññādinā kenaci pārijuññena parihāniyā anabhibhūto anajjhotthaṭo. Tathā hi lokanāthassa abhijātiyaṃ tassa kulassa na kiñci pārijuññaṃ, atha kho vaḍḍhiyeva. Abhinikkhamane ca tato samiddhatamabhāvo loke pākaṭo paññāto. Tena ‘‘sakyakulā pabbajito’’ti idaṃ vacanaṃ bhagavato saddhāpabbajitabhāvaparidīpanatthaṃ vuttaṃ mahantaṃ ñātiparivaṭṭaṃ mahantañca bhogakkhandhaṃ pahāya pabbajitabhāvasiddhito. Tato paranti ‘‘verañjāyaṃ viharatī’’tiādi.
อิตฺถมฺภูตาขฺยานเตฺถ อุปโยควจนนฺติ อิตฺถํ อิมํ ปการํ ภูโต อาปโนฺนติ อิตฺตมฺภูโต, ตสฺส อาขฺยานํ อิตฺถมฺภูตาขฺยานํ, โสเยว อโตฺถ อิตฺถมฺภูตาขฺยานโตฺถฯ อถ วา อิตฺถํ เอวํ ปกาโร ภูโต ชาโตติ เอวํ กถนโตฺถ อิตฺถมฺภูตาขฺยานโตฺถ, ตสฺมิํ อุปโยควจนนฺติ อโตฺถฯ เอตฺถ จ อพฺภุคฺคโตติ เอตฺถ อภิ-สโทฺท อิตฺถมฺภูตาขฺยานตฺถโชตโก อภิภวิตฺวา อุคฺคมนปฺปการสฺส ทีปนโตฯ เตน โยคโต ‘‘ตํ โข ปน ภวนฺตํ โคตม’’นฺติ อิทํ อุปโยควจนํ สามิอเตฺถปิ สมานํ อิตฺถมฺภูตาขฺยานทีปนโต ‘‘อิตฺถมฺภูตาขฺยานเตฺถ’’ติ วุตฺตํฯ เตเนวาห ‘‘ตสฺส โข ปน โภโต โคตมสฺสาติ อโตฺถ’’ติฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยถา ‘‘สาธุ เทวทโตฺต มาตรมภี’’ติ เอตฺถ อภิสทฺทโยคโต อิตฺถมฺภูตาขฺยาเน อุปโยควจนํ กตํ, เอวมิธาปิ ตํ โข ปน ภวนฺตํ โคตมํ อภิ เอวํ กลฺยาโณ กิตฺติสโทฺท อุคฺคโตติ อภิสทฺทโยคโต อิตฺถมฺภูตาขฺยาเน อุปโยควจนนฺติฯ ‘‘สาธุ เทวทโตฺต มาตรมภี’’ติ เอตฺถ หิ ‘‘เทวทโตฺต มาตรมภิ มาตริ วิสเย มาตุยา วา สาธู’’ติ เอวํ อธิกรณเตฺถ สามิอเตฺถ วา ภุมฺมวจนสฺส วา สามิวจนสฺส วา ปสเงฺค อิตฺถมฺภูตาขฺยานตฺถโชตเกน อภิสเทฺทน โยเค อุปโยควจนํ กตํฯ ยถา เจตฺถ ‘‘เทวทโตฺต มาตุ วิสเย มาตุสมฺพนฺธี วา สาธุตฺตปฺปการปฺปโตฺต’’ติ อยมโตฺถ วิญฺญายติ , เอวมิธาปิ ‘‘โภโต โคตมสฺส สมฺพนฺธี กิตฺติสโทฺท อพฺภุคฺคโต อภิภวิตฺวา อุคฺคมนปฺปการปฺปโตฺต’’ติ อยมโตฺถ วิญฺญายติฯ ตตฺถ หิ เทวทตฺตคฺคหณํ วิย อิธ กิตฺติสทฺทคฺคหณํ, ตถา ตตฺถ ‘‘มาตร’’นฺติ วจนํ วิย อิธ ‘‘ตํ โข ปน ภวนฺตํ โคตม’’นฺติ วจนํ, ตตฺถ สาธุสทฺทคฺคหณํ วิย อิธ อุคฺคตสทฺทคฺคหณํ เวทิตพฺพํฯ
Itthambhūtākhyānatthe upayogavacananti itthaṃ imaṃ pakāraṃ bhūto āpannoti ittambhūto, tassa ākhyānaṃ itthambhūtākhyānaṃ, soyeva attho itthambhūtākhyānattho. Atha vā itthaṃ evaṃ pakāro bhūto jātoti evaṃ kathanattho itthambhūtākhyānattho, tasmiṃ upayogavacananti attho. Ettha ca abbhuggatoti ettha abhi-saddo itthambhūtākhyānatthajotako abhibhavitvā uggamanappakārassa dīpanato. Tena yogato ‘‘taṃ kho pana bhavantaṃ gotama’’nti idaṃ upayogavacanaṃ sāmiatthepi samānaṃ itthambhūtākhyānadīpanato ‘‘itthambhūtākhyānatthe’’ti vuttaṃ. Tenevāha ‘‘tassa kho pana bhoto gotamassāti attho’’ti. Idaṃ vuttaṃ hoti – yathā ‘‘sādhu devadatto mātaramabhī’’ti ettha abhisaddayogato itthambhūtākhyāne upayogavacanaṃ kataṃ, evamidhāpi taṃ kho pana bhavantaṃ gotamaṃ abhi evaṃ kalyāṇo kittisaddo uggatoti abhisaddayogato itthambhūtākhyāne upayogavacananti. ‘‘Sādhu devadatto mātaramabhī’’ti ettha hi ‘‘devadatto mātaramabhi mātari visaye mātuyā vā sādhū’’ti evaṃ adhikaraṇatthe sāmiatthe vā bhummavacanassa vā sāmivacanassa vā pasaṅge itthambhūtākhyānatthajotakena abhisaddena yoge upayogavacanaṃ kataṃ. Yathā cettha ‘‘devadatto mātu visaye mātusambandhī vā sādhuttappakārappatto’’ti ayamattho viññāyati , evamidhāpi ‘‘bhoto gotamassa sambandhī kittisaddo abbhuggato abhibhavitvā uggamanappakārappatto’’ti ayamattho viññāyati. Tattha hi devadattaggahaṇaṃ viya idha kittisaddaggahaṇaṃ, tathā tattha ‘‘mātara’’nti vacanaṃ viya idha ‘‘taṃ kho pana bhavantaṃ gotama’’nti vacanaṃ, tattha sādhusaddaggahaṇaṃ viya idha uggatasaddaggahaṇaṃ veditabbaṃ.
กลฺยาโณติ ภทฺทโกฯ กลฺยาณภาโว จสฺส กลฺยาณคุณวิสยตายาติ อาห ‘‘กลฺยาณคุณสมนฺนาคโต’’ติ, กลฺยาเณหิ คุเณหิ สมนฺนาคโต ตํวิสยตาย ยุโตฺตติ อโตฺถฯ ตํวิสยตา เหตฺถ สมนฺนาคโม กลฺยาณคุณวิสยตาย ตนฺนิสฺสิโตติ อธิปฺปาโยฯ เสโฎฺฐติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ เสฎฺฐคุณวิสยตาย เอว หิ กิตฺติสทฺทสฺส เสฎฺฐตา ‘‘ภควาติ วจนํ เสฎฺฐ’’นฺติอาทีสุ วิยฯ ‘‘ภควา อรห’’นฺติอาทินา คุณานํ สํกิตฺตนโต สทฺทนียโต จ กิตฺติสโทฺท วโณฺณติ อาห ‘‘กิตฺติสโทฺทติ กิตฺติ เอวา’’ติฯ วโณฺณเยว หิ กิเตฺตตพฺพโต กิตฺติสทฺทนียโต สโทฺทติ จ วุจฺจติฯ กิตฺติปริยาโย หิ สทฺทสโทฺท ยถา ‘‘อุฬารสทฺทา อิสโย, คุณวโนฺต ตปสฺสิโน’’ติฯ อภิตฺถวนวเสน ปวโตฺต สโทฺท ถุติโฆโส, อภิตฺถวุทาหาโรฯ
Kalyāṇoti bhaddako. Kalyāṇabhāvo cassa kalyāṇaguṇavisayatāyāti āha ‘‘kalyāṇaguṇasamannāgato’’ti, kalyāṇehi guṇehi samannāgato taṃvisayatāya yuttoti attho. Taṃvisayatā hettha samannāgamo kalyāṇaguṇavisayatāya tannissitoti adhippāyo. Seṭṭhoti etthāpi eseva nayo. Seṭṭhaguṇavisayatāya eva hi kittisaddassa seṭṭhatā ‘‘bhagavāti vacanaṃ seṭṭha’’ntiādīsu viya. ‘‘Bhagavā araha’’ntiādinā guṇānaṃ saṃkittanato saddanīyato ca kittisaddo vaṇṇoti āha ‘‘kittisaddoti kitti evā’’ti. Vaṇṇoyeva hi kittetabbato kittisaddanīyato saddoti ca vuccati. Kittipariyāyo hi saddasaddo yathā ‘‘uḷārasaddā isayo, guṇavanto tapassino’’ti. Abhitthavanavasena pavatto saddo thutighoso, abhitthavudāhāro.
‘‘อพฺภุคฺคโต’’ติ ปน เอตสฺส อโตฺถ อฎฺฐกถายํ น ทสฺสิโต, ตสฺมา ตสฺสโตฺถ เอวํ เวทิตโพฺพ – อพฺภุคฺคโตติ อภิภวิตฺวา อุคฺคโต, อนญฺญสาธารณคุเณ อารพฺภ ปวตฺตตฺตา สเทวกํ โลกํ อโชฺฌตฺถริตฺวา ปวโตฺตติ วุตฺตํ โหติฯ กินฺติ สโทฺท อพฺภุคฺคโตติ อาห ‘‘อิติปิ โส ภควา’’ติอาทิฯ อิโต ปรํ ปน อีทิเสสุ ฐาเนสุ ยตฺถ ยตฺถ ปาฬิปาฐสฺส อโตฺถ วตฺตโพฺพ สิยา, ตตฺถ ตตฺถ ‘‘ปาฬิยํ ปนา’’ติ วตฺวา อตฺถํ ทสฺสยิสฺสาม, อิทานิ ตตฺถ ปทโยชนาปุพฺพกํ อตฺถํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘อิติปิ โส ภควาติอาทีสุ ปน อยํ ตาว โยชนา’’ติอาทิฯ โส ภควาติ โย โส สมติํส ปารมิโย ปูเรตฺวา สพฺพกิเลเส ภญฺชิตฺวา อนุตฺตรํ สมฺมาสโมฺพธิํ อภิสมฺพุโทฺธ เทวานํ อติเทโว สกฺกานํ อติสโกฺก พฺรหฺมานํ อติพฺรหฺมา โลกนาโถ ภาคฺยวนฺตตาทีหิ การเณหิ ภควาติ ลทฺธนาโม, โส ภควาฯ ภควาติ หิ อิทํ สตฺถุ นามกิตฺตนํฯ เตนาห อายสฺมา ธมฺมเสนาปติ ‘‘ภควาติ เนตํ นามํ มาตรา กต’’นฺติอาทิ (มหานิ. ๘๔)ฯ ปรโต ปน ภควาติ คุณกิตฺตนเมวฯ ยถา กมฺมฎฺฐานิเกน ‘‘อรห’’นฺติอาทีสุ นวสุ ฐาเนสุ ปเจฺจกํ อิติปิสทฺทํ โยเชตฺวา พุทฺธคุณา อนุสฺสรียนฺติ, เอวํ พุทฺธคุณสํกิตฺตเกนปีติ ทเสฺสโนฺต ‘‘อิติปิ อรหํ อิติปิ สมฺมาสมฺพุโทฺธ…เป.… อิติปิ ภควา’’ติ อาหฯ เอวญฺหิ สติ ‘‘อรห’’นฺติอาทีหิ นวหิ ปเทหิ เย สเทวเก โลเก อติวิย ปากฎา ปญฺญาตา พุทฺธคุณา, เต นานปฺปการโต วิภาวิตา โหนฺติฯ ‘‘อิติเปตํ ภูตํ, อิติเปตํ ตจฺฉ’’นฺติอาทีสุ (ที. นิ. ๑.๖) วิย หิ อิธ อิติ-สโทฺท อาสนฺนปจฺจกฺขการณโตฺถ , ปิ-สโทฺท สมฺปิณฺฑนโตฺถ, เตน จ เตสํ คุณานํ พหุภาโว ทีปิโต, ตานิ จ คุณสลฺลกฺขณการณานิ สทฺธาสมฺปนฺนานํ วิญฺญุชาติกานํ ปจฺจกฺขานิ โหนฺตีติ ตานิ สํกิเตฺตเนฺตน วิญฺญุนา จิตฺตสฺส สมฺมุขีภูตาเนว กตฺวา สํกิเตฺตตพฺพานีติ ทเสฺสโนฺต ‘‘อิมินา จ อิมินา จ การเณนาติ วุตฺตํ โหตี’’ติ อาหฯ
‘‘Abbhuggato’’ti pana etassa attho aṭṭhakathāyaṃ na dassito, tasmā tassattho evaṃ veditabbo – abbhuggatoti abhibhavitvā uggato, anaññasādhāraṇaguṇe ārabbha pavattattā sadevakaṃ lokaṃ ajjhottharitvā pavattoti vuttaṃ hoti. Kinti saddo abbhuggatoti āha ‘‘itipi so bhagavā’’tiādi. Ito paraṃ pana īdisesu ṭhānesu yattha yattha pāḷipāṭhassa attho vattabbo siyā, tattha tattha ‘‘pāḷiyaṃ panā’’ti vatvā atthaṃ dassayissāma, idāni tattha padayojanāpubbakaṃ atthaṃ dassento āha ‘‘itipi so bhagavātiādīsu panaayaṃ tāva yojanā’’tiādi. So bhagavāti yo so samatiṃsa pāramiyo pūretvā sabbakilese bhañjitvā anuttaraṃ sammāsambodhiṃ abhisambuddho devānaṃ atidevo sakkānaṃ atisakko brahmānaṃ atibrahmā lokanātho bhāgyavantatādīhi kāraṇehi bhagavāti laddhanāmo, so bhagavā. Bhagavāti hi idaṃ satthu nāmakittanaṃ. Tenāha āyasmā dhammasenāpati ‘‘bhagavāti netaṃ nāmaṃ mātarā kata’’ntiādi (mahāni. 84). Parato pana bhagavāti guṇakittanameva. Yathā kammaṭṭhānikena ‘‘araha’’ntiādīsu navasu ṭhānesu paccekaṃ itipisaddaṃ yojetvā buddhaguṇā anussarīyanti, evaṃ buddhaguṇasaṃkittakenapīti dassento ‘‘itipi arahaṃ itipi sammāsambuddho…pe… itipi bhagavā’’ti āha. Evañhi sati ‘‘araha’’ntiādīhi navahi padehi ye sadevake loke ativiya pākaṭā paññātā buddhaguṇā, te nānappakārato vibhāvitā honti. ‘‘Itipetaṃ bhūtaṃ, itipetaṃ taccha’’ntiādīsu (dī. ni. 1.6) viya hi idha iti-saddo āsannapaccakkhakāraṇattho , pi-saddo sampiṇḍanattho, tena ca tesaṃ guṇānaṃ bahubhāvo dīpito, tāni ca guṇasallakkhaṇakāraṇāni saddhāsampannānaṃ viññujātikānaṃ paccakkhāni hontīti tāni saṃkittentena viññunā cittassa sammukhībhūtāneva katvā saṃkittetabbānīti dassento ‘‘iminā ca iminā ca kāraṇenāti vuttaṃ hotī’’ti āha.
‘‘สุตฺตนฺติกานํ วจนานมตฺถํ, สุตฺตานุรูปํ ปริทีปยนฺตี’’ติ เหฎฺฐา วุตฺตตฺตา วิสุทฺธิมเคฺค (วิสุทฺธิ. ๑.๑๒๕-๑๒๘) สพฺพาการโต สํวณฺณิตมฺปิ อตฺถํ อิธาปิ วิตฺถาเรตฺวา ทเสฺสตุกาโม ตตฺถ ปโยชนมาห ‘‘อิทานิ วินยธราน’’นฺติอาทิฯ ตตฺถ จิตฺตสมฺปหํสนตฺถนฺติ จิตฺตสโนฺตสนตฺถํ, จิตฺตปฺปสาทชนนตฺถนฺติ วุตฺตํ โหติฯ ‘‘อารกตฺตา’’ติอาทีสุ อารกตฺตาติ สุวิทูรตฺตาฯ อรีนนฺติ กิเลสารีนํฯ อรานนฺติ สํสารจกฺกสฺส อรานํฯ หตตฺตาติ วิทฺธํสิตตฺตาฯ ปจฺจยาทีนนฺติ จีวราทิปจฺจยานเญฺจว ปูชาวิเสสานญฺจฯ
‘‘Suttantikānaṃ vacanānamatthaṃ, suttānurūpaṃ paridīpayantī’’ti heṭṭhā vuttattā visuddhimagge (visuddhi. 1.125-128) sabbākārato saṃvaṇṇitampi atthaṃ idhāpi vitthāretvā dassetukāmo tattha payojanamāha ‘‘idāni vinayadharāna’’ntiādi. Tattha cittasampahaṃsanatthanti cittasantosanatthaṃ, cittappasādajananatthanti vuttaṃ hoti. ‘‘Ārakattā’’tiādīsu ārakattāti suvidūrattā. Arīnanti kilesārīnaṃ. Arānanti saṃsāracakkassa arānaṃ. Hatattāti viddhaṃsitattā. Paccayādīnanti cīvarādipaccayānañceva pūjāvisesānañca.
อิทานิ ยถาวุตฺตเมวตฺถํ วิภาเวโนฺต อาห ‘‘อารกา หิ โส’’ติอาทิฯ ทูรตา นาม อาสนฺนตา วิย อุปาทายุปาทาย วุจฺจตีติ ปรมุกฺกํสคตํ ทูรภาวํ ทเสฺสโนฺต ‘‘สุวิทูรวิทูเร ฐิโต’’ติ อาห, สุฎฺฐุ วิทูรภาเวเนว วิทูเร ฐิโตติ อโตฺถฯ โส ปนสฺส กิเลเสหิ ทูเร ฐิตภาโว, น ปเทสวเสน, อถ โข เตสํ สพฺพโส ปหีนตฺตาติ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘มเคฺคน กิเลสานํ วิทฺธํสิตตฺตา’’ติฯ นนุ อเญฺญสมฺปิ ขีณาสวานํ เต ปหีนา เอวาติ อนุโยคํ มนสิ กตฺวา วุตฺตํ ‘‘สวาสนาน’’นฺติฯ น หิ ฐเปตฺวา ภควนฺตํ อเญฺญ สห วาสนาย กิเลเส ปหาตุํ สโกฺกนฺติฯ เอเตน อเญฺญหิ อสาธารณํ ภควโต อรหตฺตนฺติ ทสฺสิตํ โหติฯ กา ปนายํ วาสนา นาม? ปหีนกิเลสสฺสปิ อปฺปหีนกิเลสสฺส ปโยคสทิสปโยคเหตุภูโต กิเลสนิสฺสิโต สามตฺถิยวิเสโส อายสฺมโต ปิลินฺทวจฺฉสฺส วสลสมุทาจารนิมิตฺตํ วิยฯ กถํ ปน ‘‘อารกา’’ติ วุเตฺต ‘‘กิเลเสหี’’ติ อยมโตฺถ ลพฺภตีติ สามญฺญโจทนาย วิเสเส อวฎฺฐานโต วิเสสตฺถินา จ วิเสสสฺส อนุปยุชฺชิตพฺพโต ‘‘อารกาสฺส โหนฺติ ปาปกา อกุสลา ธมฺมา’’ติอาทีนิ (ม. นิ. ๑.๔๓๔) สุตฺตปทาเนตฺถ อุทาหริตพฺพานิฯ อารกาติ เจตฺถ อา-การสฺส รสฺสตฺตํ, ก-การสฺส จ หการํ สานุสารํ กตฺวา นิรุตฺตินเยน ‘‘อรห’’นฺติ ปทสิทฺธิ เวทิตพฺพาฯ ยถาวุตฺตเสฺสวตฺถสฺส สุขคฺคหณตฺถํ อิทเมตฺถ วุจฺจติ –
Idāni yathāvuttamevatthaṃ vibhāvento āha ‘‘ārakā hi so’’tiādi. Dūratā nāma āsannatā viya upādāyupādāya vuccatīti paramukkaṃsagataṃ dūrabhāvaṃ dassento ‘‘suvidūravidūre ṭhito’’ti āha, suṭṭhu vidūrabhāveneva vidūre ṭhitoti attho. So panassa kilesehi dūre ṭhitabhāvo, na padesavasena, atha kho tesaṃ sabbaso pahīnattāti dassento āha ‘‘maggena kilesānaṃ viddhaṃsitattā’’ti. Nanu aññesampi khīṇāsavānaṃ te pahīnā evāti anuyogaṃ manasi katvā vuttaṃ ‘‘savāsanāna’’nti. Na hi ṭhapetvā bhagavantaṃ aññe saha vāsanāya kilese pahātuṃ sakkonti. Etena aññehi asādhāraṇaṃ bhagavato arahattanti dassitaṃ hoti. Kā panāyaṃ vāsanā nāma? Pahīnakilesassapi appahīnakilesassa payogasadisapayogahetubhūto kilesanissito sāmatthiyaviseso āyasmato pilindavacchassa vasalasamudācāranimittaṃ viya. Kathaṃ pana ‘‘ārakā’’ti vutte ‘‘kilesehī’’ti ayamattho labbhatīti sāmaññacodanāya visese avaṭṭhānato visesatthinā ca visesassa anupayujjitabbato ‘‘ārakāssa honti pāpakā akusalā dhammā’’tiādīni (ma. ni. 1.434) suttapadānettha udāharitabbāni. Ārakāti cettha ā-kārassa rassattaṃ, ka-kārassa ca hakāraṃ sānusāraṃ katvā niruttinayena ‘‘araha’’nti padasiddhi veditabbā. Yathāvuttassevatthassa sukhaggahaṇatthaṃ idamettha vuccati –
‘‘โส ตโต อารกา นาม, ยสฺส เยนาสมงฺคิตา;
‘‘So tato ārakā nāma, yassa yenāsamaṅgitā;
อสมงฺคี จ โทเสหิ, นาโถ เตนารหํ มโต’’ติฯ (วิสุทฺธิ. ๑.๑๒๕);
Asamaṅgī ca dosehi, nātho tenārahaṃ mato’’ti. (visuddhi. 1.125);
อนตฺถจรเณน กิเลสา เอว อรโยติ กิเลสารโยฯ อรีนํ หตตฺตา อริหาติ วตฺตเพฺพ นิรุตฺตินเยน ‘‘อรห’’นฺติ วุตฺตํฯ เอตฺถาปิ ยถาวุตฺตสฺสตฺถสฺส สุขคฺคหณตฺถํ อิทํ เวทิตพฺพํ –
Anatthacaraṇena kilesā eva arayoti kilesārayo. Arīnaṃ hatattā arihāti vattabbe niruttinayena ‘‘araha’’nti vuttaṃ. Etthāpi yathāvuttassatthassa sukhaggahaṇatthaṃ idaṃ veditabbaṃ –
‘‘ยสฺมา ราคาทิสงฺขาตา, สเพฺพปิ อรโย หตา;
‘‘Yasmā rāgādisaṅkhātā, sabbepi arayo hatā;
ปญฺญาสเตฺถน นาเถน, ตสฺมาปิ อรหํ มโต’’ติฯ (วิสุทฺธิ. ๑.๑๒๖);
Paññāsatthena nāthena, tasmāpi arahaṃ mato’’ti. (visuddhi. 1.126);
ยเญฺจตํ สํสารจกฺกนฺติ สมฺพโนฺธฯ รถจกฺกสฺส นาภิ วิย มูลาวยวภูตํ อโนฺต พหิ จ สมวฎฺฐิตํ อวิชฺชาภวตณฺหาทฺวยนฺติ วุตฺตํ ‘‘อวิชฺชาภวตณฺหามยนาภี’’ติฯ นาภิยา เนมิยา จ สมฺพทฺธอรสทิสา ปจฺจยผลภูเตหิ อวิชฺชาตณฺหาชรามรเณหิ สมฺพทฺธา ปุญฺญาภิสงฺขารอปุญฺญาภิสงฺขารอาเนญฺชาภิสงฺขาราติ วุตฺตํ ‘‘ปุญฺญาทิอภิสงฺขาราร’’นฺติฯ ตตฺถ ตตฺถ ภเว ปริยนฺตภาเวน ปากฎํ ชรามรณนฺติ ตํ เนมิฎฺฐานิยํ กตฺวา อาห ‘‘ชรามรณเนมี’’ติฯ ยถา รถจกฺกปฺปวตฺติยา ปธานการณํ อโกฺข, เอวํ สํสารจกฺกปฺปวตฺติยา อาสวสมุทโยติ อาห ‘‘อาสวสมุทยมเยน อเกฺขน วิชฺฌิตฺวา’’ติฯ อาสวา เอว อวิชฺชาทีนํ การณตฺตา อาสวสมุทโยฯ ยถาห ‘‘อาสวสมุทยา อวิชฺชาสมุทโย’’ติ (ม. นิ. ๑.๑๐๓)ฯ วิปากกฎตฺตารูปปฺปเภโท กามภวาทิโก ติภโว เอว รโถ, ตสฺมิํ ติภวรเถฯ อตฺตโน ปจฺจเยหิ สมํ, สพฺพโส วา อาทิโต ปฎฺฐาย โยชิตนฺติ สมาโยชิตํฯ อาทิรหิตํ กาลํ ปวตฺตตีติ กตฺวา อนาทิกาลปฺปวตฺตํฯ
Yañcetaṃ saṃsāracakkanti sambandho. Rathacakkassa nābhi viya mūlāvayavabhūtaṃ anto bahi ca samavaṭṭhitaṃ avijjābhavataṇhādvayanti vuttaṃ ‘‘avijjābhavataṇhāmayanābhī’’ti. Nābhiyā nemiyā ca sambaddhaarasadisā paccayaphalabhūtehi avijjātaṇhājarāmaraṇehi sambaddhā puññābhisaṅkhāraapuññābhisaṅkhāraāneñjābhisaṅkhārāti vuttaṃ ‘‘puññādiabhisaṅkhārāra’’nti. Tattha tattha bhave pariyantabhāvena pākaṭaṃ jarāmaraṇanti taṃ nemiṭṭhāniyaṃ katvā āha ‘‘jarāmaraṇanemī’’ti. Yathā rathacakkappavattiyā padhānakāraṇaṃ akkho, evaṃ saṃsāracakkappavattiyā āsavasamudayoti āha ‘‘āsavasamudayamayena akkhena vijjhitvā’’ti. Āsavā eva avijjādīnaṃ kāraṇattā āsavasamudayo. Yathāha ‘‘āsavasamudayā avijjāsamudayo’’ti (ma. ni. 1.103). Vipākakaṭattārūpappabhedo kāmabhavādiko tibhavo eva ratho, tasmiṃ tibhavarathe. Attano paccayehi samaṃ, sabbaso vā ādito paṭṭhāya yojitanti samāyojitaṃ. Ādirahitaṃ kālaṃ pavattatīti katvā anādikālappavattaṃ.
‘‘ขนฺธานญฺจ ปฎิปาฎิ, ธาตุอายตนาน จ;
‘‘Khandhānañca paṭipāṭi, dhātuāyatanāna ca;
อโพฺพจฺฉินฺนํ วตฺตมานา, สํสาโรติ ปวุจฺจตี’’ติฯ (วิสุทฺธิ. ๒.๖๑๙; ที. นิ. อฎฺฐ. ๒.๙๕ อปสาทนาวณฺณนา; สํ. นิ. อฎฺฐ. ๒.๒.๖๐; อ. นิ. อฎฺฐ. ๒.๔.๑๙๙) –
Abbocchinnaṃ vattamānā, saṃsāroti pavuccatī’’ti. (visuddhi. 2.619; dī. ni. aṭṭha. 2.95 apasādanāvaṇṇanā; saṃ. ni. aṭṭha. 2.2.60; a. ni. aṭṭha. 2.4.199) –
เอวํ วุตฺตสํสาโรว สํสารจกฺกํฯ อเนนาติ ภควตาฯ โพธิมเณฺฑติ โพธิสงฺขาตสฺส ญาณสฺส มณฺฑภาวปฺปเตฺต ฐาเน กาเล วาฯ โพธีติ ปญฺญา, สา เอตฺถ มณฺฑา ปสนฺนา ชาตาติ โพธิมโณฺฑฯ วีริยปาเทหีติ สํกิเลสโวทานปกฺขิเยสุ สนฺนิรุมฺภนสนฺนิกฺขิปนกิจฺจตาย ทฺวิธา ปวเตฺตติ อตฺตโน วีริยสงฺขาเตหิ ปาเทหิฯ สีลปถวิยนฺติ ปติฎฺฐานเฎฺฐน สีลเมว ปถวี, ตสฺสํฯ ปติฎฺฐายาติ สมฺปาทนวเสน ปติฎฺฐหิตฺวาฯ สทฺธาหเตฺถนาติ อนวชฺชธมฺมาทานสาธนโต สทฺธาว หโตฺถ, เตนฯ กมฺมกฺขยกรนฺติ กายกมฺมาทิเภทสฺส สพฺพสฺสปิ กมฺมสฺส ขยกรณโต กมฺมกฺขยกรํฯ ญาณผรสุนฺติ สมาธิสิลายํ สุนิสิตํ มคฺคญาณผรสุํ คเหตฺวาฯ
Evaṃ vuttasaṃsārova saṃsāracakkaṃ. Anenāti bhagavatā. Bodhimaṇḍeti bodhisaṅkhātassa ñāṇassa maṇḍabhāvappatte ṭhāne kāle vā. Bodhīti paññā, sā ettha maṇḍā pasannā jātāti bodhimaṇḍo. Vīriyapādehīti saṃkilesavodānapakkhiyesu sannirumbhanasannikkhipanakiccatāya dvidhā pavatteti attano vīriyasaṅkhātehi pādehi. Sīlapathaviyanti patiṭṭhānaṭṭhena sīlameva pathavī, tassaṃ. Patiṭṭhāyāti sampādanavasena patiṭṭhahitvā. Saddhāhatthenāti anavajjadhammādānasādhanato saddhāva hattho, tena. Kammakkhayakaranti kāyakammādibhedassa sabbassapi kammassa khayakaraṇato kammakkhayakaraṃ. Ñāṇapharasunti samādhisilāyaṃ sunisitaṃ maggañāṇapharasuṃ gahetvā.
เอวํ ‘‘อรานํ หตตฺตา’’ติ เอตฺถ วุตฺตํ อรสงฺขาตํ สํสารํ จกฺกํ วิย จกฺกนฺติ คเหตฺวา อตฺถโยชนํ กตฺวา อิทานิ ปฎิจฺจสมุปฺปาทเทสนากฺกเมนปิ ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘อถ วา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ อนมตคฺคสํสารวฎฺฎนฺติ อนุ อนุ อมตคฺคํ อวิญฺญาตปุพฺพโกฎิกํ สํสารมณฺฑลํฯ เสสา ทส ธมฺมาติ สงฺขาราทโย ชาติปริโยสานา ทส ธมฺมาฯ กถํ เตสํ สงฺขาราทีนํ อรภาโวติ อาห ‘‘อวิชฺชามูลกตฺตา ชรามรณปริยนฺตตฺตา จา’’ติฯ ตตฺถ อวิชฺชา มูลํ ปธานการณํ เยสํ สงฺขาราทีนํ เต อวิชฺชามูลกา, เตสํ ภาโว อวิชฺชามูลกตฺตํฯ ชรามรณํ ปริยนฺตํ ปริโยสานภูตํ เอเตสนฺติ ชรามรณปริยนฺตา, สงฺขาราทโย ทส ธมฺมาฯ เตสํ ภาโว ชรามรณปริยนฺตตฺตํฯ สงฺขาราทิชาติปริโยสานานํ ทสธมฺมานํ อวิชฺชามูลกตฺตา ชรามรณปริโยสานตฺตา จาติ อโตฺถ, นาภิภูตาย อวิชฺชาย มูลโต เนมิภูเตน ชรามรเณน อนฺตโต สงฺขาราทีนํ สมฺพนฺธตฺตาติ อธิปฺปาโยฯ
Evaṃ ‘‘arānaṃ hatattā’’ti ettha vuttaṃ arasaṅkhātaṃ saṃsāraṃ cakkaṃ viya cakkanti gahetvā atthayojanaṃ katvā idāni paṭiccasamuppādadesanākkamenapi taṃ dassetuṃ ‘‘atha vā’’tiādi vuttaṃ. Tattha anamataggasaṃsāravaṭṭanti anu anu amataggaṃ aviññātapubbakoṭikaṃ saṃsāramaṇḍalaṃ. Sesā dasa dhammāti saṅkhārādayo jātipariyosānā dasa dhammā. Kathaṃ tesaṃ saṅkhārādīnaṃ arabhāvoti āha ‘‘avijjāmūlakattā jarāmaraṇapariyantattā cā’’ti. Tattha avijjā mūlaṃ padhānakāraṇaṃ yesaṃ saṅkhārādīnaṃ te avijjāmūlakā, tesaṃ bhāvo avijjāmūlakattaṃ. Jarāmaraṇaṃ pariyantaṃ pariyosānabhūtaṃ etesanti jarāmaraṇapariyantā, saṅkhārādayo dasa dhammā. Tesaṃ bhāvo jarāmaraṇapariyantattaṃ. Saṅkhārādijātipariyosānānaṃ dasadhammānaṃ avijjāmūlakattā jarāmaraṇapariyosānattā cāti attho, nābhibhūtāya avijjāya mūlato nemibhūtena jarāmaraṇena antato saṅkhārādīnaṃ sambandhattāti adhippāyo.
ทุกฺขาทีสูติ ทุกฺขสมุทยนิโรธมเคฺคสุฯ อญฺญาณนฺติ ญาณปฺปฎิปกฺขตฺตา โมโห อญฺญาณํ, น ปน ญาณโต อญฺญํ, นปิ ญาณสฺส อภาวมตฺตํฯ ตตฺถ ทุกฺขาทีสุ อญฺญาณํ ยถาสภาวปฺปฎิเวธาปฺปทานโต ตปฺปฎิจฺฉาทนวเสเนวฯ เอตฺถ หิ กิญฺจาปิ ฐเปตฺวา โลกุตฺตรสจฺจทฺวยํ เสสฎฺฐาเนสุ อารมฺมณวเสนปิ อวิชฺชา อุปฺปชฺชติ, เอวํ สเนฺตปิ ปฎิจฺฉาทนวเสเนว อิธ อธิเปฺปตาฯ สา หิ อุปฺปนฺนา ทุกฺขสจฺจํ ปฎิจฺฉาเทตฺวา ติฎฺฐติ, ยาถาวสรสลกฺขณํ ปฎิวิชฺฌิตุํ น เทติ, ตถา สมุทยํ นิโรธํ มคฺคนฺติฯ
Dukkhādīsūti dukkhasamudayanirodhamaggesu. Aññāṇanti ñāṇappaṭipakkhattā moho aññāṇaṃ, na pana ñāṇato aññaṃ, napi ñāṇassa abhāvamattaṃ. Tattha dukkhādīsu aññāṇaṃ yathāsabhāvappaṭivedhāppadānato tappaṭicchādanavaseneva. Ettha hi kiñcāpi ṭhapetvā lokuttarasaccadvayaṃ sesaṭṭhānesu ārammaṇavasenapi avijjā uppajjati, evaṃ santepi paṭicchādanavaseneva idha adhippetā. Sā hi uppannā dukkhasaccaṃ paṭicchādetvā tiṭṭhati, yāthāvasarasalakkhaṇaṃ paṭivijjhituṃ na deti, tathā samudayaṃ nirodhaṃ magganti.
ทุกฺขนฺติ เจตฺถ ทุกฺขํ อริยสจฺจํ อธิเปฺปตนฺติ ตํ กามภวาทิวเสน ติธา ภินฺทิตฺวา ตถา ตปฺปฎิจฺฉาทิกญฺจ อวิชฺชํ ติธา กตฺวา อวิชฺชาทิปจฺจเย ตีสุ ภเวสุ สงฺขาราทิเก ปฎิปาฎิยา ทเสฺสโนฺต ‘‘กามภเว จ อวิชฺชา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ กามภเว จ อวิชฺชาติ กามภเว อาทีนวปฎิจฺฉาทิกา อวิชฺชาฯ รูปภเว อวิชฺชา อรูปภเว อวิชฺชาติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ กามภเว สงฺขารานนฺติ กามภูมิปริยาปนฺนานํ ปุญฺญาปุญฺญสงฺขารานํ, กามภเว วา นิปฺผาเทตพฺพา เย ปุญฺญาปุญฺญสงฺขารา, เตสํ กามภวูปปตฺตินิพฺพตฺตกสงฺขารานนฺติ อโตฺถฯ สงฺขาราติ เจตฺถ โลกิยกุสลากุสลเจตนา เวทิตพฺพาฯ ปจฺจโย โหตีติ ปุญฺญาภิสงฺขารานํ ตาว อารมฺมณปจฺจเยน เจว อุปนิสฺสยปจฺจเยน จาติ ทฺวิธา ปจฺจโย โหติ, อปุญฺญาภิสงฺขาเรสุ สหชาตสฺส สหชาตาทิวเสน, อสหชาตสฺส อนนฺตรสมนนฺตราทิวเสน, อนานนฺตรสฺส ปน อารมฺมณวเสน เจว อุปนิสฺสยวเสน จ ปจฺจโย โหติฯ อรูปภเว สงฺขารานนฺติ อาเนญฺชาภิสงฺขารานํฯ ปจฺจโย โหตีติ อุปนิสฺสยปจฺจยวเสเนวฯ อิมสฺมิญฺจ ปนเตฺถ เอตฺถ วิตฺถาริยมาเน อติปฺปปโญฺจ โหติ, ตสฺมา ตํ นยิธ วิตฺถารยิสฺสามฯ อิตเรสูติ รูปารูปภเวสุฯ
Dukkhanti cettha dukkhaṃ ariyasaccaṃ adhippetanti taṃ kāmabhavādivasena tidhā bhinditvā tathā tappaṭicchādikañca avijjaṃ tidhā katvā avijjādipaccaye tīsu bhavesu saṅkhārādike paṭipāṭiyā dassento ‘‘kāmabhave ca avijjā’’tiādimāha. Tattha kāmabhave ca avijjāti kāmabhave ādīnavapaṭicchādikā avijjā. Rūpabhave avijjā arūpabhave avijjāti etthāpi eseva nayo. Kāmabhave saṅkhārānanti kāmabhūmipariyāpannānaṃ puññāpuññasaṅkhārānaṃ, kāmabhave vā nipphādetabbā ye puññāpuññasaṅkhārā, tesaṃ kāmabhavūpapattinibbattakasaṅkhārānanti attho. Saṅkhārāti cettha lokiyakusalākusalacetanā veditabbā. Paccayo hotīti puññābhisaṅkhārānaṃ tāva ārammaṇapaccayena ceva upanissayapaccayena cāti dvidhā paccayo hoti, apuññābhisaṅkhāresu sahajātassa sahajātādivasena, asahajātassa anantarasamanantarādivasena, anānantarassa pana ārammaṇavasena ceva upanissayavasena ca paccayo hoti. Arūpabhave saṅkhārānanti āneñjābhisaṅkhārānaṃ. Paccayo hotīti upanissayapaccayavaseneva. Imasmiñca panatthe ettha vitthāriyamāne atippapañco hoti, tasmā taṃ nayidha vitthārayissāma. Itaresūti rūpārūpabhavesu.
ติณฺณํ อายตนานนฺติ จกฺขุโสตมนายตนานํ ฆานาทิตฺตยสฺส ตตฺถ อสมฺภวโตฯ เอกสฺสาติ มนายตนสฺส อิตเรสํ ตตฺถ อสมฺภวโตฯ อิมินา นเยน ติณฺณํ ผสฺสานนฺติอาทีสุปิ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ ฉพฺพิธสฺส ผสฺสสฺสาติ จกฺขุสมฺผสฺสโสตสมฺผสฺสฆานสมฺผสฺสชิวฺหาสมฺผสฺสกายสมฺผสฺสมโนสมฺผสฺสานํ วเสน ฉพฺพิธสฺส ผสฺสสฺสฯ ฉนฺนํ เวทนานนฺติ จกฺขุสมฺผสฺสชา เวทนา, ตถา โสตสมฺผสฺสชา ฆานสมฺผสฺสชา ชิวฺหาสมฺผสฺสชา กายสมฺผสฺสชา มโนสมฺผสฺสชา เวทนาติ อิมาสํ ฉนฺนํ เวทนานํฯ ฉนฺนํ ตณฺหากายานนฺติ รูปตณฺหา สทฺทตณฺหา คนฺธตณฺหา รสตณฺหา โผฎฺฐพฺพตณฺหา ธมฺมตณฺหาติ อิเมสํ ฉนฺนํ ตณฺหากายานํฯ ตตฺถ ตตฺถ สา สา ตณฺหาติ รูปตณฺหาทิเภทา ตตฺถ ตตฺถ กามภวาทีสุ อุปฺปชฺชนกตณฺหาฯ
Tiṇṇaṃāyatanānanti cakkhusotamanāyatanānaṃ ghānādittayassa tattha asambhavato. Ekassāti manāyatanassa itaresaṃ tattha asambhavato. Iminā nayena tiṇṇaṃ phassānantiādīsupi attho veditabbo. Chabbidhassa phassassāti cakkhusamphassasotasamphassaghānasamphassajivhāsamphassakāyasamphassamanosamphassānaṃ vasena chabbidhassa phassassa. Channaṃ vedanānanti cakkhusamphassajā vedanā, tathā sotasamphassajā ghānasamphassajā jivhāsamphassajā kāyasamphassajā manosamphassajā vedanāti imāsaṃ channaṃ vedanānaṃ. Channaṃ taṇhākāyānanti rūpataṇhā saddataṇhā gandhataṇhā rasataṇhā phoṭṭhabbataṇhā dhammataṇhāti imesaṃ channaṃ taṇhākāyānaṃ. Tattha tattha sā sā taṇhāti rūpataṇhādibhedā tattha tattha kāmabhavādīsu uppajjanakataṇhā.
สา ตณฺหาทิมูลิกา กถา อติสํขิตฺตาติ ตํ อุปาทานภเว จ วิภชิตฺวา วิตฺถาเรตฺวา ทเสฺสตุํ ‘‘กถ’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ กาเม ปริภุญฺชิสฺสามีติ อิมินา กามตณฺหาปวตฺติมาห, ตถา สคฺคสมฺปตฺติํ อนุภวิสฺสามีติอาทีหิฯ สา ปน ตณฺหา ยสฺมา ภุสมาทานวเสน ปวตฺตมานา กามุปาทานํ นาม โหติ, ตสฺมา วุตฺตํ ‘‘กามุปาทานปจฺจยา’’ติฯ ตเถวาติ กามุปาทานปจฺจยา เอวฯ พฺรหฺมโลกสมฺปตฺตินฺติ รูปีพฺรหฺมโลเก สมฺปตฺติํฯ ‘‘สเพฺพปิ เตภูมกา ธมฺมา กามนียเฎฺฐน กามา’’ติ วจนโต ภวราโคปิ กามุปาทานเมวาติ กตฺวา ‘‘กามุปาทานปจฺจยา เอว เมตฺตํ ภาเวตี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ เมตฺตํ ภาเวตีติ มิชฺชติ สินิยฺหตีติ เมตฺตา, ตํ ภาเวติ วเฑฺฒตีติ อโตฺถฯ อถ วา เมตฺตา เอตสฺส อตฺถีติ เมตฺตํ, จิตฺตํ, ตํสมฺปยุตฺตํ ฌานํ วา, ตํ ภาเวติ วเฑฺฒติ อุปฺปาเทติ วาติ อโตฺถฯ กรุณํ ภาเวตีติอาทีสุปิ อิมินาว นเยน อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
Sā taṇhādimūlikā kathā atisaṃkhittāti taṃ upādānabhave ca vibhajitvā vitthāretvā dassetuṃ ‘‘katha’’ntiādi vuttaṃ. Tattha kāme paribhuñjissāmīti iminā kāmataṇhāpavattimāha, tathā saggasampattiṃ anubhavissāmītiādīhi. Sā pana taṇhā yasmā bhusamādānavasena pavattamānā kāmupādānaṃ nāma hoti, tasmā vuttaṃ ‘‘kāmupādānapaccayā’’ti. Tathevāti kāmupādānapaccayā eva. Brahmalokasampattinti rūpībrahmaloke sampattiṃ. ‘‘Sabbepi tebhūmakā dhammā kāmanīyaṭṭhena kāmā’’ti vacanato bhavarāgopi kāmupādānamevāti katvā ‘‘kāmupādānapaccayā eva mettaṃ bhāvetī’’tiādi vuttaṃ. Tattha mettaṃ bhāvetīti mijjati siniyhatīti mettā, taṃ bhāveti vaḍḍhetīti attho. Atha vā mettā etassa atthīti mettaṃ, cittaṃ, taṃsampayuttaṃ jhānaṃ vā, taṃ bhāveti vaḍḍheti uppādeti vāti attho. Karuṇaṃ bhāvetītiādīsupi imināva nayena attho veditabbo.
เสสุปาทานมูลิกาสุปีติ ทิฎฺฐุปาทานสีลพฺพตุปาทานอตฺตวาทุปาทานมูลิกาสุปิ โยชนาสุ เอเสว นโยติ อโตฺถฯ ตตฺถายํ โยชนา – อิเธกโจฺจ ‘‘นตฺถิ ปรโลโก’’ติ นตฺถิกทิฎฺฐิํ คณฺหาติ, โส ทิฎฺฐุปาทานปจฺจยา กาเยน ทุจฺจริตํ จรตีติอาทิ วุตฺตนเยน โยเชตพฺพํฯ อปโร ‘‘อสุกสฺมิํ สมฺปตฺติภเว อตฺตา อุจฺฉิชฺชตี’’ติ อุเจฺฉททิฎฺฐิํ คณฺหาติ, โส ตตฺรูปปตฺติยา กาเยน สุจริตํ จรตีติอาทิ วุตฺตนเยเนว โยเชตพฺพํฯ อปโร ‘‘รูปี มโนมโย หุตฺวา อตฺตา อุจฺฉิชฺชตี’’ติ รูปูปปตฺติยา มคฺคํ ภาเวติ ภาวนาปาริปูริยาติ สพฺพํ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ อปโรปิ ‘‘อรูปภเว อุปฺปชฺชิตฺวา อตฺตา อุจฺฉิชฺชตี’’ติ อรูปูปปตฺติยา มคฺคํ ภาเวติ ภาวนาปาริปูริยาติ สพฺพํ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ เอตาหิเยว อตฺตวาทุปาทานมูลิกาปิ โยชนา สํวณฺณิตาติ ทฎฺฐพฺพํฯ เอวํ ทิฎฺฐธมฺมนิพฺพานวาทวเสนปิ โยชนา เวทิตพฺพาฯ อปโร ‘‘สีเลน สุทฺธิ, วเตน สุทฺธี’’ติ อสุทฺธิมคฺคํ ‘‘สุทฺธิมโคฺค’’ติ ปรามสโนฺต สีลพฺพตุปาทานปจฺจยา กาเยน ทุจฺจริตํ จรตีติอาทิ สพฺพํ วุตฺตนเยเนว โยเชตพฺพํฯ
Sesupādānamūlikāsupīti diṭṭhupādānasīlabbatupādānaattavādupādānamūlikāsupi yojanāsu eseva nayoti attho. Tatthāyaṃ yojanā – idhekacco ‘‘natthi paraloko’’ti natthikadiṭṭhiṃ gaṇhāti, so diṭṭhupādānapaccayā kāyena duccaritaṃ caratītiādi vuttanayena yojetabbaṃ. Aparo ‘‘asukasmiṃ sampattibhave attā ucchijjatī’’ti ucchedadiṭṭhiṃ gaṇhāti, so tatrūpapattiyā kāyena sucaritaṃ caratītiādi vuttanayeneva yojetabbaṃ. Aparo ‘‘rūpī manomayo hutvā attā ucchijjatī’’ti rūpūpapattiyā maggaṃ bhāveti bhāvanāpāripūriyāti sabbaṃ vuttanayeneva veditabbaṃ. Aparopi ‘‘arūpabhave uppajjitvā attā ucchijjatī’’ti arūpūpapattiyā maggaṃ bhāveti bhāvanāpāripūriyāti sabbaṃ vuttanayeneva veditabbaṃ. Etāhiyeva attavādupādānamūlikāpi yojanā saṃvaṇṇitāti daṭṭhabbaṃ. Evaṃ diṭṭhadhammanibbānavādavasenapi yojanā veditabbā. Aparo ‘‘sīlena suddhi, vatena suddhī’’ti asuddhimaggaṃ ‘‘suddhimaggo’’ti parāmasanto sīlabbatupādānapaccayā kāyena duccaritaṃ caratītiādi sabbaṃ vuttanayeneva yojetabbaṃ.
อิทานิ ยฺวายํ สํสารจกฺกํ ทเสฺสเนฺตน ‘‘กามภเว อวิชฺชา กามภเว สงฺขารานํ ปจฺจโย โหตี’’ติอาทินา อวิชฺชาทีนํ ปจฺจยภาโว สงฺขาราทีนํ ปจฺจยุปฺปนฺนภาโว จ ทสฺสิโต, ตเมว ปฎิสมฺภิทามคฺคปาฬิํ อาเนตฺวา นิคมนวเสน ทเสฺสโนฺต ‘‘เอวมย’’นฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ ยถา สงฺขารา เหตุนิพฺพตฺตา, เอวํ อวิชฺชาปิ กามาสวาทินา สเหตุกา เอวาติ อาห ‘‘อุโภเปเต เหตุสมุปฺปนฺนา’’ติฯ ปจฺจยปริคฺคเหติ นามรูปสฺส ปจฺจยานํ อวิชฺชาทีนํ ปริจฺฉิชฺช คหเณฯ นิปฺผาเทตเพฺพ ภุมฺมํฯ ปญฺญาติ กงฺขาวิตรณวิสุทฺธิสงฺขาตา ปการโต ชานนาฯ ธมฺมฎฺฐิติญาณนฺติ ติฎฺฐนฺติ เอตฺถ ผลธมฺมา ตทายตฺตวุตฺติตายาติ ฐิติ, การณํ, ธมฺมานํ ฐิติ ธมฺมฎฺฐิติ, ธมฺมฎฺฐิติยา ญาณํ ธมฺมฎฺฐิติญาณํ, ปจฺจยญาณนฺติ อโตฺถ, ปฎิจฺจสมุปฺปาทาวโพโธติ วุตฺตํ โหติฯ กามเญฺจตฺถ ปจฺจยปริคฺคเห ปญฺญาเยว ธมฺมฎฺฐิติญาณํ, สงฺขาเรสุ ปน อทิเฎฺฐสุ อวิชฺชาย สงฺขารานํ ปจฺจยภาโว น สกฺกา ทฎฺฐุนฺติ ‘‘สงฺขารา เหตุสมุปฺปนฺนา’’ติ ปจฺจยุปฺปนฺนธมฺมานมฺปิ คหณํ กตนฺติ เวทิตพฺพํฯ อุโภเปเต เหตุสมุปฺปนฺนาติ อิทํ ปน อุภินฺนมฺปิ ปจฺจยุปฺปนฺนภาวํ ทเสฺสตุกามตาย วุตฺตํฯ อิทญฺจ ธมฺมฎฺฐิติญาณํ ยสฺมา อทฺธตฺตเย กงฺขามลวิตรณวเสน ปวตฺตติ, ตสฺมา ‘‘อตีตมฺปิ อทฺธาน’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ เอเตน นเยน สพฺพปทานิ วิตฺถาเรตพฺพานีติ เอเตน นเยน ‘‘อวิชฺชา เหตู’’ติอาทินา อวิชฺชายํ วุตฺตนเยน ‘‘สงฺขารา เหตุ, วิญฺญาณํ เหตุสมุปฺปนฺน’’นฺติอาทินา สพฺพปทานิ วิตฺถาเรตพฺพานิฯ
Idāni yvāyaṃ saṃsāracakkaṃ dassentena ‘‘kāmabhave avijjā kāmabhave saṅkhārānaṃ paccayo hotī’’tiādinā avijjādīnaṃ paccayabhāvo saṅkhārādīnaṃ paccayuppannabhāvo ca dassito, tameva paṭisambhidāmaggapāḷiṃ ānetvā nigamanavasena dassento ‘‘evamaya’’ntiādimāha. Tattha yathā saṅkhārā hetunibbattā, evaṃ avijjāpi kāmāsavādinā sahetukā evāti āha ‘‘ubhopete hetusamuppannā’’ti. Paccayapariggaheti nāmarūpassa paccayānaṃ avijjādīnaṃ paricchijja gahaṇe. Nipphādetabbe bhummaṃ. Paññāti kaṅkhāvitaraṇavisuddhisaṅkhātā pakārato jānanā. Dhammaṭṭhitiñāṇanti tiṭṭhanti ettha phaladhammā tadāyattavuttitāyāti ṭhiti, kāraṇaṃ, dhammānaṃ ṭhiti dhammaṭṭhiti, dhammaṭṭhitiyā ñāṇaṃ dhammaṭṭhitiñāṇaṃ, paccayañāṇanti attho, paṭiccasamuppādāvabodhoti vuttaṃ hoti. Kāmañcettha paccayapariggahe paññāyeva dhammaṭṭhitiñāṇaṃ, saṅkhāresu pana adiṭṭhesu avijjāya saṅkhārānaṃ paccayabhāvo na sakkā daṭṭhunti ‘‘saṅkhārā hetusamuppannā’’ti paccayuppannadhammānampi gahaṇaṃ katanti veditabbaṃ. Ubhopete hetusamuppannāti idaṃ pana ubhinnampi paccayuppannabhāvaṃ dassetukāmatāya vuttaṃ. Idañca dhammaṭṭhitiñāṇaṃ yasmā addhattaye kaṅkhāmalavitaraṇavasena pavattati, tasmā ‘‘atītampi addhāna’’ntiādi vuttaṃ. Etena nayena sabbapadāni vitthāretabbānīti etena nayena ‘‘avijjā hetū’’tiādinā avijjāyaṃ vuttanayena ‘‘saṅkhārā hetu, viññāṇaṃ hetusamuppanna’’ntiādinā sabbapadāni vitthāretabbāni.
สํขิปฺปนฺติ เอตฺถ อวิชฺชาทโย วิญฺญาณาทโย จาติ สเงฺขโป, เหตุ วิปาโก จฯ อถ วา เหตุวิปาโกติ สํขิปฺปตีติ สเงฺขโป, อวิชฺชาทโย วิญฺญาณาทโย จฯ สเงฺขปภาวสามเญฺญน ปน เอกวจนํ กตนฺติ ทฎฺฐพฺพํ ฯ เต ปน สเงฺขปา อตีเต เหตุ, เอตรหิ วิปาโก, เอตรหิ เหตุ, อายติํ วิปาโกติ เอวํ กาลวิภาเคน จตฺตาโร ชาตา, เตนาห ‘‘ปุริมสเงฺขโป เจตฺถ อตีโต อทฺธา’’ติอาทิฯ ปจฺจุปฺปโนฺน อทฺธาติ สมฺพโนฺธฯ ตณฺหุปาทานภวา คหิตาว โหนฺตีติ เอตฺถ อวิชฺชาคหเณน กิเลสภาวสามญฺญโต ตณฺหุปาทานา คหิตา, สงฺขารคฺคหเณน กมฺมภาวสามญฺญโต ภโว คหิโต, อวิชฺชาสงฺขารานํ เตหิ วินา สกิจฺจากรณโต จ ตณฺหุปาทานภวา คหิตาว โหนฺติฯ อถ วา อวิทฺวา ปริตสฺสติ, ปริตสิโต อุปาทิยติ, ตสฺสุปาทานปจฺจยา ภโว, ตสฺมา ตณฺหุปาทานภวาปิ คหิตา โหนฺติฯ ตถา จ วุตฺตํ –
Saṃkhippanti ettha avijjādayo viññāṇādayo cāti saṅkhepo, hetu vipāko ca. Atha vā hetuvipākoti saṃkhippatīti saṅkhepo, avijjādayo viññāṇādayo ca. Saṅkhepabhāvasāmaññena pana ekavacanaṃ katanti daṭṭhabbaṃ . Te pana saṅkhepā atīte hetu, etarahi vipāko, etarahi hetu, āyatiṃ vipākoti evaṃ kālavibhāgena cattāro jātā, tenāha ‘‘purimasaṅkhepo cettha atīto addhā’’tiādi. Paccuppanno addhāti sambandho. Taṇhupādānabhavā gahitāva hontīti ettha avijjāgahaṇena kilesabhāvasāmaññato taṇhupādānā gahitā, saṅkhāraggahaṇena kammabhāvasāmaññato bhavo gahito, avijjāsaṅkhārānaṃ tehi vinā sakiccākaraṇato ca taṇhupādānabhavā gahitāva honti. Atha vā avidvā paritassati, paritasito upādiyati, tassupādānapaccayā bhavo, tasmā taṇhupādānabhavāpi gahitā honti. Tathā ca vuttaṃ –
‘‘ปุริมกมฺมภวสฺมิํ โมโห อวิชฺชา, อายูหนา สงฺขาราฯ นิกนฺติ ตณฺหา, อุปคมนํ อุปาทานํ, เจตนา ภโว, อิติ อิเม ปญฺจ ธมฺมา ปุริมกมฺมภวสฺมิํ อิธ ปฎิสนฺธิยา ปจฺจยา’’ติ (ปฎิ. ม. ๑.๔๗)ฯ
‘‘Purimakammabhavasmiṃ moho avijjā, āyūhanā saṅkhārā. Nikanti taṇhā, upagamanaṃ upādānaṃ, cetanā bhavo, iti ime pañca dhammā purimakammabhavasmiṃ idha paṭisandhiyā paccayā’’ti (paṭi. ma. 1.47).
ตตฺถ (วิภ. อฎฺฐ. ๒๔๒; ปฎิ. ม. อฎฺฐ. ๑.๑.๔๗) ปุริมกมฺมภวสฺมินฺติ ปุริเม กมฺมภเว, อตีตชาติยํ กมฺมภเว กริยมาเนติ อโตฺถฯ โมโห อวิชฺชาติ โย ตทา ทุกฺขาทีสุ โมโห เยน มูโฬฺห กมฺมํ กโรติ, สา อวิชฺชาฯ อายูหนา สงฺขาราติ ตํ กมฺมํ กโรโต ยา ปุริมเจตนาโย, ยถา ‘‘ทานํ ทสฺสามี’’ติ จิตฺตํ อุปฺปาเทตฺวา มาสมฺปิ สํวจฺฉรมฺปิ ทานูปกรณานิ สเชฺชนฺตสฺส อุปฺปนฺนา ปุริมเจตนาโย, ปฎิคฺคาหกานํ ปน หเตฺถ ทกฺขิณํ ปติฎฺฐาปยโต เจตนา ภโวติ วุจฺจติฯ เอกาวชฺชเนสุ วา ฉสุ ชวเนสุ เจตนา อายูหนสงฺขารา นาม, สตฺตมา ภโวฯ ยา กาจิ วา ปน เจตนา ภโว, สมฺปยุตฺตา อายูหนสงฺขารา นามฯ นิกนฺติ ตณฺหาติ ยา กมฺมํ กโรนฺตสฺส ตสฺส ผเล อุปปตฺติภเว นิกามนา ปตฺถนา, สา ตณฺหา นามฯ อุปคมนํ อุปาทานนฺติ ยํ กมฺมภวสฺส ปจฺจยภูตํ ‘‘อิทํ กตฺวา อสุกสฺมิํ นาม ฐาเน กาเม เสวิสฺสามิ อุจฺฉิชฺชิสฺสามี’’ติอาทินา นเยน ปวตฺตํ อุปคมนํ คหณํ ปรามสนํ, อิทํ อุปาทานํ นามฯ เจตนา ภโวติ ‘‘ตํ กมฺมํ กโรโต ยา ปุริมา เจตนาโย’’ติอาทินา เหฎฺฐา วุเตฺตสุ ตีสุ อตฺถวิกเปฺปสุ ยา เจตนา ภโวติ วุตฺตา, สา เจตนา ภโวติ เอวมโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
Tattha (vibha. aṭṭha. 242; paṭi. ma. aṭṭha. 1.1.47) purimakammabhavasminti purime kammabhave, atītajātiyaṃ kammabhave kariyamāneti attho. Moho avijjāti yo tadā dukkhādīsu moho yena mūḷho kammaṃ karoti, sā avijjā. Āyūhanā saṅkhārāti taṃ kammaṃ karoto yā purimacetanāyo, yathā ‘‘dānaṃ dassāmī’’ti cittaṃ uppādetvā māsampi saṃvaccharampi dānūpakaraṇāni sajjentassa uppannā purimacetanāyo, paṭiggāhakānaṃ pana hatthe dakkhiṇaṃ patiṭṭhāpayato cetanā bhavoti vuccati. Ekāvajjanesu vā chasu javanesu cetanā āyūhanasaṅkhārā nāma, sattamā bhavo. Yā kāci vā pana cetanā bhavo, sampayuttā āyūhanasaṅkhārā nāma. Nikanti taṇhāti yā kammaṃ karontassa tassa phale upapattibhave nikāmanā patthanā, sā taṇhā nāma. Upagamanaṃ upādānanti yaṃ kammabhavassa paccayabhūtaṃ ‘‘idaṃ katvā asukasmiṃ nāma ṭhāne kāme sevissāmi ucchijjissāmī’’tiādinā nayena pavattaṃ upagamanaṃ gahaṇaṃ parāmasanaṃ, idaṃ upādānaṃ nāma. Cetanā bhavoti ‘‘taṃ kammaṃ karoto yā purimā cetanāyo’’tiādinā heṭṭhā vuttesu tīsu atthavikappesu yā cetanā bhavoti vuttā, sā cetanā bhavoti evamattho veditabbo.
อิทานิ สเพฺพเปเต อวิชฺชาทโย ธเมฺม ทฺวีหิ วเฎฺฎหิ สงฺคเหตฺวา ทเสฺสตุกาโม อาห ‘‘อิเม ปญฺจ ธมฺมา อตีเต กมฺมวฎฺฎ’’นฺติฯ เอตฺถ จ นิปฺปริยายโต สงฺขารา ภโว จ กมฺมํ, อวิชฺชาทโย ปน กมฺมสหายตาย กมฺมสริกฺขกา ตทุปการกา จาติ กมฺมนฺติ วุตฺตาฯ อวิชฺชาทโย หิ วิปากธมฺมธมฺมตาย กมฺมสริกฺขกา สหชาตโกฎิยา อุปนิสฺสยโกฎิยา จ กมฺมสฺส จ อุปการกาฯ กมฺมเมว จ อญฺญมญฺญสมฺพนฺธํ หุตฺวา ปุนปฺปุนํ ปริวตฺตนเฎฺฐน กมฺมวฎฺฎํฯ วิญฺญาณาทโย ปญฺจาติ วิญฺญาณาทโย เวทนาปริยนฺตา ปญฺจ เอตรหิ อิทานิ อิมสฺมิํ อตฺตภาเวติ วุตฺตํ โหติฯ อวิชฺชาสงฺขารา คหิตาว โหนฺตีติ เอตฺถาปิ ปุเพฺพ วิย กิเลสกมฺมภาวสามญฺญโต ตณฺหุปาทานคฺคหเณน อวิชฺชา คหิตา, ภวคฺคหเณน สงฺขารา คหิตาติ ทฎฺฐพฺพํฯ อถ วา ภเว คหิเต ตสฺส ปุพฺพภาคา ตํสมฺปยุตฺตา วา สงฺขารา คหิตาว โหนฺติ , ตณฺหุปาทานคฺคหเณน จ ตํสมฺปยุตฺตา ยาย วา มูโฬฺห กมฺมํ กโรติ, สา อวิชฺชาว โหตีติ ตณฺหุปาทานภวคฺคหเณน อวิชฺชาสงฺขารา คหิตาว โหนฺติฯ เตเนว วุตฺตํ –
Idāni sabbepete avijjādayo dhamme dvīhi vaṭṭehi saṅgahetvā dassetukāmo āha ‘‘ime pañca dhammā atīte kammavaṭṭa’’nti. Ettha ca nippariyāyato saṅkhārā bhavo ca kammaṃ, avijjādayo pana kammasahāyatāya kammasarikkhakā tadupakārakā cāti kammanti vuttā. Avijjādayo hi vipākadhammadhammatāya kammasarikkhakā sahajātakoṭiyā upanissayakoṭiyā ca kammassa ca upakārakā. Kammameva ca aññamaññasambandhaṃ hutvā punappunaṃ parivattanaṭṭhena kammavaṭṭaṃ. Viññāṇādayo pañcāti viññāṇādayo vedanāpariyantā pañca etarahi idāni imasmiṃ attabhāveti vuttaṃ hoti. Avijjāsaṅkhārā gahitāva hontīti etthāpi pubbe viya kilesakammabhāvasāmaññato taṇhupādānaggahaṇena avijjā gahitā, bhavaggahaṇena saṅkhārā gahitāti daṭṭhabbaṃ. Atha vā bhave gahite tassa pubbabhāgā taṃsampayuttā vā saṅkhārā gahitāva honti , taṇhupādānaggahaṇena ca taṃsampayuttā yāya vā mūḷho kammaṃ karoti, sā avijjāva hotīti taṇhupādānabhavaggahaṇena avijjāsaṅkhārā gahitāva honti. Teneva vuttaṃ –
‘‘อิธ ปริปกฺกตฺตา อายตนานํ โมโห อวิชฺชา, อายูหนา สงฺขารา, นิกนฺติ ตณฺหา, อุปคมนํ อุปาทานํ, เจตนา ภโว, อิติ อิเม ปญฺจ ธมฺมา อิธ กมฺมภวสฺมิํ อายติํ ปฎิสนฺธิยา ปจฺจยา’’ติ (ปฎิ. ม. ๑.๔๗)ฯ
‘‘Idha paripakkattā āyatanānaṃ moho avijjā, āyūhanā saṅkhārā, nikanti taṇhā, upagamanaṃ upādānaṃ, cetanā bhavo, iti ime pañca dhammā idha kammabhavasmiṃ āyatiṃ paṭisandhiyā paccayā’’ti (paṭi. ma. 1.47).
ตตฺถ อิธ ปริปกฺกตฺตา อายตนานนฺติ ปริปกฺกายตนสฺส กมฺมกรณกาเล สโมฺมโห ทสฺสิโตฯ เสสํ เหฎฺฐา วุตฺตนยเมวฯ
Tattha idha paripakkattā āyatanānanti paripakkāyatanassa kammakaraṇakāle sammoho dassito. Sesaṃ heṭṭhā vuttanayameva.
วิญฺญาณนามรูปสฬายตนผสฺสเวทนานํ ชาติชราภงฺคาวตฺถา ชาติชรามรณนฺติ วุตฺตาติ อวตฺถานํ คหเณน อวตฺถาวนฺตา คหิตาว โหนฺติ ตทวินาภาวโตติ อาห ‘‘ชาติชรามรณาปเทเสน วิญฺญาณาทีนํ นิทฺทิฎฺฐตฺตา’’ติฯ อปเทเสนาติ ชาติชรามรณานํ กถเนนฯ อิเมติ วิญฺญาณาทโยฯ อายติํ วิปากวฎฺฎนฺติ ปจฺจุปฺปนฺนเหตุโต ภาวีนํ อนาคตานํ คหิตตฺตาฯ เตติ อวิชฺชาทโยฯ อาการโตติ สรูปโต อวุตฺตาปิ ตสฺมิํ ตสฺมิํ สงฺคเห อากิรียนฺติ อวิชฺชาสงฺขาราทิคฺคหเณหิ ปกาสียนฺตีติ อาการา, อตีตเหตุอาทีนํ วา ปการา อาการา ฯ ตโต อาการโตฯ วีสติวิธา โหนฺตีติ อตีเต เหตุปญฺจกาทิเภทโต วีสติวิธา โหนฺติฯ
Viññāṇanāmarūpasaḷāyatanaphassavedanānaṃ jātijarābhaṅgāvatthā jātijarāmaraṇanti vuttāti avatthānaṃ gahaṇena avatthāvantā gahitāva honti tadavinābhāvatoti āha ‘‘jātijarāmaraṇāpadesena viññāṇādīnaṃ niddiṭṭhattā’’ti. Apadesenāti jātijarāmaraṇānaṃ kathanena. Imeti viññāṇādayo. Āyatiṃ vipākavaṭṭanti paccuppannahetuto bhāvīnaṃ anāgatānaṃ gahitattā. Teti avijjādayo. Ākāratoti sarūpato avuttāpi tasmiṃ tasmiṃ saṅgahe ākirīyanti avijjāsaṅkhārādiggahaṇehi pakāsīyantīti ākārā, atītahetuādīnaṃ vā pakārā ākārā . Tato ākārato. Vīsatividhā hontīti atīte hetupañcakādibhedato vīsatividhā honti.
สงฺขารวิญฺญาณานเญฺจตฺถ อนฺตรา เอโก สนฺธีติ เหตุโต ผลสฺส อวิเจฺฉทปฺปวตฺติภาวโต เหตุผลสฺส สมฺพนฺธภูโต เอโก สนฺธิ, ตถา ภวชาตีนมนฺตราฯ เวทนาตณฺหานมนฺตรา ปน ผลโต เหตุโน อวิเจฺฉทปฺปวตฺติภาวโต ผลเหตุสมฺพนฺธภูโต เอโก สนฺธิฯ ผลภูโตปิ หิ ธโมฺม อญฺญสฺส เหตุสภาวสฺส ธมฺมสฺส ปจฺจโย โหตีติฯ
Saṅkhāraviññāṇānañcettha antarā eko sandhīti hetuto phalassa avicchedappavattibhāvato hetuphalassa sambandhabhūto eko sandhi, tathā bhavajātīnamantarā. Vedanātaṇhānamantarā pana phalato hetuno avicchedappavattibhāvato phalahetusambandhabhūto eko sandhi. Phalabhūtopi hi dhammo aññassa hetusabhāvassa dhammassa paccayo hotīti.
อิตีติ วุตฺตปฺปการปรามสนํฯ เตนาห ‘‘จตุสเงฺขป’’นฺติอาทิฯ สพฺพาการโตติ อิธ วุเตฺตหิ จ อวุเตฺตหิ จ ปฎิจฺจสมุปฺปาทวิภเงฺค อนนฺตนยสมนฺตปฎฺฐานาทีสุ จ อาคเตหิ สเพฺพหิ อากาเรหิฯ ชานาตีติ อวพุชฺฌติฯ ปสฺสตีติ ทสฺสนภูเตน ญาณจกฺขุนา ปจฺจกฺขโต ปสฺสติฯ อญฺญาติ ปฎิวิชฺฌตีติ เตสํเยว เววจนํฯ ตนฺติ ตํ ชานนํฯ ญาตเฎฺฐนาติ ยถาสภาวโต ชานนเฎฺฐนฯ ปชานนเฎฺฐนาติ อนิจฺจาทีหิ ปกาเรหิ ปฎิวิชฺฌนเฎฺฐนฯ
Itīti vuttappakāraparāmasanaṃ. Tenāha ‘‘catusaṅkhepa’’ntiādi. Sabbākāratoti idha vuttehi ca avuttehi ca paṭiccasamuppādavibhaṅge anantanayasamantapaṭṭhānādīsu ca āgatehi sabbehi ākārehi. Jānātīti avabujjhati. Passatīti dassanabhūtena ñāṇacakkhunā paccakkhato passati. Aññāti paṭivijjhatīti tesaṃyeva vevacanaṃ. Tanti taṃ jānanaṃ. Ñātaṭṭhenāti yathāsabhāvato jānanaṭṭhena. Pajānanaṭṭhenāti aniccādīhi pakārehi paṭivijjhanaṭṭhena.
อิทานิ ยทตฺถมิทํ ภวจกฺกํ อิธานีตํ, ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘อิมินา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ เต ธเมฺมติ เต อวิชฺชาทิเก ธเมฺมฯ ยถาภูตํ ญตฺวาติ มหาวชิรญาเณน ยาถาวโต ชานิตฺวาฯ นิพฺพินฺทโนฺตติ พลววิปสฺสนาย นิพฺพินฺทโนฺตฯ วิรชฺชโนฺต วิมุจฺจโนฺตติ อริยมเคฺคหิ วิรชฺชโนฺต วิมุจฺจโนฺตฯ อเร หนีติ สมฺพโนฺธฯ ตตฺถ ยทา ภควา วิรชฺชติ วิมุจฺจติ, ตทา อเร หนติ นามฯ ตโต ปรํ ปน อภิสมฺพุทฺธกฺขณํ คเหตฺวา วุตฺตํ ‘‘หนิ วิหนิ วิทฺธํเสสี’’ติฯ เอวมฺปิ อรานํ หตตฺตา อรหนฺติ เอวํ อิมินาปิ ปกาเรน ยถาวุตฺตสํสารจกฺกสฺส สงฺขาราทิอรานํ หตตฺตา อรหํฯ เอเตฺถทํ วุจฺจติ –
Idāni yadatthamidaṃ bhavacakkaṃ idhānītaṃ, taṃ dassetuṃ ‘‘iminā’’tiādi vuttaṃ. Tattha te dhammeti te avijjādike dhamme. Yathābhūtaṃ ñatvāti mahāvajirañāṇena yāthāvato jānitvā. Nibbindantoti balavavipassanāya nibbindanto. Virajjanto vimuccantoti ariyamaggehi virajjanto vimuccanto. Are hanīti sambandho. Tattha yadā bhagavā virajjati vimuccati, tadā are hanati nāma. Tato paraṃ pana abhisambuddhakkhaṇaṃ gahetvā vuttaṃ ‘‘hani vihani viddhaṃsesī’’ti. Evampi arānaṃ hatattā arahanti evaṃ imināpi pakārena yathāvuttasaṃsāracakkassa saṅkhārādiarānaṃ hatattā arahaṃ. Etthedaṃ vuccati –
‘‘อรา สํสารจกฺกสฺส, หตา ญาณาสินา ยโต;
‘‘Arā saṃsāracakkassa, hatā ñāṇāsinā yato;
โลกนาเถน เตเนส, อรหนฺติ ปวุจฺจตี’’ติฯ (วิสุทฺธิ. ๑.๑๒๘);
Lokanāthena tenesa, arahanti pavuccatī’’ti. (visuddhi. 1.128);
อคฺคทกฺขิเณยฺยตฺตาติ อุตฺตมทกฺขิเณยฺยภาวโตฯ จกฺกวตฺติโน อเจตเน จกฺกรตเน อุปฺปเนฺน ตเตฺถว โลโก ปูชํ กโรติ, อญฺญตฺถ ปูชาวิเสสา ปจฺฉิชฺชนฺติ, กิมงฺคํ ปน สมฺมาสมฺพุเทฺธ อุปฺปเนฺนติ ทเสฺสโนฺต ‘‘อุปฺปเนฺน ตถาคเต’’ติอาทิมาหฯ ‘‘เอเกกํ ธมฺมกฺขนฺธํ เอเกกวิหาเรน ปูเชสฺสามี’’ติ วุเตฺตปิ สตฺถารํเยว อุทฺทิสฺส กตตฺตา ‘‘ภควนฺตํ อุทฺทิสฺสา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ โก ปน วาโท อเญฺญสํ ปูชาวิเสสานนฺติ ยถาวุตฺตโต อเญฺญสํ อมเหสเกฺขหิ เทวมนุเสฺสหิ กริยมานานํ นาติอุฬารานํ ปูชาวิเสสานํ อรหภาเว กา นาม กถาฯ ปจฺจยาทีนํ อรหตฺตาปิ อรหนฺติ ยถาวุตฺตจีวราทิปจฺจยานํ ปูชาวิเสสสฺส จ อคฺคทกฺขิเณยฺยภาเวน อนุจฺฉวิกตฺตาปิ อรหํฯ อิมสฺสปิ อตฺถสฺส สุขคฺคหณตฺถํ อิทํ วุจฺจติ –
Aggadakkhiṇeyyattāti uttamadakkhiṇeyyabhāvato. Cakkavattino acetane cakkaratane uppanne tattheva loko pūjaṃ karoti, aññattha pūjāvisesā pacchijjanti, kimaṅgaṃ pana sammāsambuddhe uppanneti dassento ‘‘uppannetathāgate’’tiādimāha. ‘‘Ekekaṃ dhammakkhandhaṃ ekekavihārena pūjessāmī’’ti vuttepi satthāraṃyeva uddissa katattā ‘‘bhagavantaṃ uddissā’’tiādi vuttaṃ. Ko pana vādo aññesaṃ pūjāvisesānanti yathāvuttato aññesaṃ amahesakkhehi devamanussehi kariyamānānaṃ nātiuḷārānaṃ pūjāvisesānaṃ arahabhāve kā nāma kathā. Paccayādīnaṃ arahattāpi arahanti yathāvuttacīvarādipaccayānaṃ pūjāvisesassa ca aggadakkhiṇeyyabhāvena anucchavikattāpi arahaṃ. Imassapi atthassa sukhaggahaṇatthaṃ idaṃ vuccati –
‘‘ปูชาวิเสสํ สห ปจฺจเยหิ,
‘‘Pūjāvisesaṃ saha paccayehi,
ยสฺมา อยํ อรหติ โลกนาโถ;
Yasmā ayaṃ arahati lokanātho;
อตฺถานุรูปํ อรหนฺติ โลเก,
Atthānurūpaṃ arahanti loke,
ตสฺมา ชิโน อรหติ นามเมต’’นฺติฯ (วิสุทฺธิ. ๑.๑๒๙);
Tasmā jino arahati nāmameta’’nti. (visuddhi. 1.129);
อสิโลกภเยนาติ อกิตฺติภเยน, อยสภเยน ครหาภเยนาติ วุตฺตํ โหติฯ รโห ปาปํ กโรนฺตีติ ‘‘มา นํ โกจิ ชญฺญา’’ติ รหสิ ปาปํ กโรนฺติฯ เอวเมส น กทาจิ กโรตีติ เอส ภควา ปาปเหตูนํ โพธิมเณฺฑเยว สุปฺปหีนตฺตา กทาจิปิ เอวํ น กโรติฯ โหติ เจตฺถ –
Asilokabhayenāti akittibhayena, ayasabhayena garahābhayenāti vuttaṃ hoti. Raho pāpaṃ karontīti ‘‘mā naṃ koci jaññā’’ti rahasi pāpaṃ karonti. Evamesa na kadāci karotīti esa bhagavā pāpahetūnaṃ bodhimaṇḍeyeva suppahīnattā kadācipi evaṃ na karoti. Hoti cettha –
‘‘ยสฺมา นตฺถิ รโห นาม, ปาปกเมฺมสุ ตาทิโน;
‘‘Yasmā natthi raho nāma, pāpakammesu tādino;
รหาภาเวน เตเนส, อรหํ อิติ วิสฺสุโต’’ติฯ (วิสุทฺธิ. ๑.๑๓๐);
Rahābhāvena tenesa, arahaṃ iti vissuto’’ti. (visuddhi. 1.130);
อิทานิ สุขคฺคหณตฺถํ ยถาวุตฺตมตฺถํ สพฺพมฺปิ สงฺคเหตฺวา ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘โหติ เจตฺถา’’ติอาทิฯ กิเลสารีน โส มุนีติ เอตฺถ คาถาพนฺธสุขตฺถํ นิคฺคหีตโลโป ทฎฺฐโพฺพ, กิเลสารีนํ หตตฺตาติ อโตฺถฯ ปจฺจยาทีน จารโหติ เอตฺถาปิ นิคฺคหีตโลโป วุตฺตนเยเนว ทฎฺฐโพฺพฯ
Idāni sukhaggahaṇatthaṃ yathāvuttamatthaṃ sabbampi saṅgahetvā dassento āha ‘‘hoti cetthā’’tiādi. Kilesārīna so munīti ettha gāthābandhasukhatthaṃ niggahītalopo daṭṭhabbo, kilesārīnaṃ hatattāti attho. Paccayādīna cārahoti etthāpi niggahītalopo vuttanayeneva daṭṭhabbo.
อรหนฺติ เอตฺถ อยมปโรปิ นโย ทฎฺฐโพฺพ – อารกาติ อรหํ, สุวิทูรภาวโต อิเจฺจว อโตฺถฯ กุโต ปน สุวิทูรภาวโตติ? เย อภาวิตกายา อภาวิตสีลา อภาวิตจิตฺตา อภาวิตปญฺญา, ตโต เอว อปฺปหีนราคโทสโมหา อริยธมฺมสฺส อโกวิทา อริยธเมฺม อวินีตา อริยธมฺมสฺส อทสฺสาวิโน อปฺปฎิปนฺนา มิจฺฉาปฎิปนฺนา จ, ตโต สุวิทูรภาวโตฯ วุตฺตเญฺหตํ ภควตา –
Arahanti ettha ayamaparopi nayo daṭṭhabbo – ārakāti arahaṃ, suvidūrabhāvato icceva attho. Kuto pana suvidūrabhāvatoti? Ye abhāvitakāyā abhāvitasīlā abhāvitacittā abhāvitapaññā, tato eva appahīnarāgadosamohā ariyadhammassa akovidā ariyadhamme avinītā ariyadhammassa adassāvino appaṭipannā micchāpaṭipannā ca, tato suvidūrabhāvato. Vuttañhetaṃ bhagavatā –
‘‘สงฺฆาฎิกเณฺณ เจปิ เม, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ คเหตฺวา ปิฎฺฐิโต ปิฎฺฐิโต อนุพโนฺธ อสฺส ปาเท ปาทํ นิกฺขิปโนฺต, โส จ โหติ อภิชฺฌาลุ กาเมสุ ติพฺพสาราโค พฺยาปนฺนจิโตฺต ปทุฎฺฐมนสงฺกโปฺป มุฎฺฐสฺสติ อสมฺปชาโน อสมาหิโต วิพฺภนฺตจิโตฺต ปากตินฺทฺริโย, อถ โข โส อารกาว มยฺหํ, อหญฺจ ตสฺสฯ ตํ กิสฺส เหตุ? ธมฺมญฺหิ โส, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ น ปสฺสติ, ธมฺมํ อปสฺสโนฺต น มํ ปสฺสตี’’ติ (อิติวุ. ๙๒)ฯ
‘‘Saṅghāṭikaṇṇe cepi me, bhikkhave, bhikkhu gahetvā piṭṭhito piṭṭhito anubandho assa pāde pādaṃ nikkhipanto, so ca hoti abhijjhālu kāmesu tibbasārāgo byāpannacitto paduṭṭhamanasaṅkappo muṭṭhassati asampajāno asamāhito vibbhantacitto pākatindriyo, atha kho so ārakāva mayhaṃ, ahañca tassa. Taṃ kissa hetu? Dhammañhi so, bhikkhave, bhikkhu na passati, dhammaṃ apassanto na maṃ passatī’’ti (itivu. 92).
ยถาวุตฺตปุคฺคลา หิ สเจปิ สายํปาตํ สตฺถุ สนฺติกาวจราว สิยุํ, น เต ตาวตา ‘‘สตฺถุ สนฺติกา’’ติ วตฺตพฺพา, ตถา สตฺถาปิ เนสํฯ อิติ อสปฺปุริสานํ อารกา ทูเรติ อรหํฯ เตเนทํ วุจฺจติ –
Yathāvuttapuggalā hi sacepi sāyaṃpātaṃ satthu santikāvacarāva siyuṃ, na te tāvatā ‘‘satthu santikā’’ti vattabbā, tathā satthāpi nesaṃ. Iti asappurisānaṃ ārakā dūreti arahaṃ. Tenedaṃ vuccati –
‘‘สมฺมา น ปฎิปชฺชนฺติ, เย นิหีนาสยา นรา;
‘‘Sammā na paṭipajjanti, ye nihīnāsayā narā;
อารกา เตหิ ภควา, ทูเร เตนารหํ มโต’’ติฯ
Ārakā tehi bhagavā, dūre tenārahaṃ mato’’ti.
ตถา อารกาติ อรหํ, อาสนฺนภาวโตติ อโตฺถฯ กุโต ปน อาสนฺนภาวโตติ? เย ภาวิตกายา ภาวิตสีลา ภาวิตจิตฺตา ภาวิตปญฺญา, ตโต เอว ปหีนราคโทสโมหา อริยธมฺมสฺส โกวิทา อริยธเมฺม สุวินีตา อริยธมฺมสฺส ทสฺสาวิโน สมฺมาปฎิปนฺนา, ตโต อาสนฺนภาวโตฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ ภควตา –
Tathā ārakāti arahaṃ, āsannabhāvatoti attho. Kuto pana āsannabhāvatoti? Ye bhāvitakāyā bhāvitasīlā bhāvitacittā bhāvitapaññā, tato eva pahīnarāgadosamohā ariyadhammassa kovidā ariyadhamme suvinītā ariyadhammassa dassāvino sammāpaṭipannā, tato āsannabhāvato. Vuttampi cetaṃ bhagavatā –
‘‘โยชนสเต เจปิ เม, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ วิหเรยฺย, โส จ โหติ อนภิชฺฌาลุ กาเมสุ น ติพฺพสาราโค อพฺยาปนฺนจิโตฺต อปทุฎฺฐมนสงฺกโปฺป อุปฎฺฐิตสฺสติ สมฺปชาโน สมาหิโต เอกคฺคจิโตฺต สํวุตินฺทฺริโย, อถ โข โส สนฺติเกว มยฺหํ, อหญฺจ ตสฺสฯ ตํ กิสฺส เหตุ? ธมฺมญฺหิ โส, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ ปสฺสติ, ธมฺมํ ปสฺสโนฺต มํ ปสฺสตี’’ติ (อิติวุ. ๙๒)ฯ
‘‘Yojanasate cepi me, bhikkhave, bhikkhu vihareyya, so ca hoti anabhijjhālu kāmesu na tibbasārāgo abyāpannacitto apaduṭṭhamanasaṅkappo upaṭṭhitassati sampajāno samāhito ekaggacitto saṃvutindriyo, atha kho so santikeva mayhaṃ, ahañca tassa. Taṃ kissa hetu? Dhammañhi so, bhikkhave, bhikkhu passati, dhammaṃ passanto maṃ passatī’’ti (itivu. 92).
ตถารูปา หิ ปุคฺคลา สตฺถุ โยชนสตนฺตริกาปิ โหนฺติ, น ตาวตา เต ‘‘สตฺถุ ทูรจาริโน’’ติ วตฺตพฺพา, ตถา สตฺถาปิ เนสํฯ อิติ สปฺปุริสานํ อารกา อาสเนฺนติ อรหํฯ เตเนทํ วุจฺจติ –
Tathārūpā hi puggalā satthu yojanasatantarikāpi honti, na tāvatā te ‘‘satthu dūracārino’’ti vattabbā, tathā satthāpi nesaṃ. Iti sappurisānaṃ ārakā āsanneti arahaṃ. Tenedaṃ vuccati –
‘‘เย สมฺมา ปฎิปชฺชนฺติ, สุปฺปณีตาธิมุตฺติกา;
‘‘Ye sammā paṭipajjanti, suppaṇītādhimuttikā;
อารกา เตหิ อาสเนฺน, เตนาปิ อรหํ ชิโน’’ติฯ
Ārakā tehi āsanne, tenāpi arahaṃ jino’’ti.
เย อิเม ราคาทโย ปาปธมฺมา ยสฺมิํ สนฺตาเน อุปฺปชฺชนฺติ, ตสฺส ทิฎฺฐธมฺมิกมฺปิ สมฺปรายิกมฺปิ อนตฺถํ อาวหนฺติ, นิพฺพานคามินิยา ปฎิปทาย เอกํเสเนว อุชุวิปจฺจนีกภูตา จ, เต อตฺตหิตํ ปรหิตญฺจ ปริปูเรตุํ สมฺมา ปฎิปชฺชเนฺตหิ สาธูหิ ทูรโต รหิตพฺพา ปริจฺจชิตพฺพา ปหาตพฺพาติ รหา นาม, เต จ ยสฺมา ภควโต โพธิมูเลเยว อริยมเคฺคน สพฺพโส ปหีนา สุสมุจฺฉินฺนาฯ ยถาห –
Ye ime rāgādayo pāpadhammā yasmiṃ santāne uppajjanti, tassa diṭṭhadhammikampi samparāyikampi anatthaṃ āvahanti, nibbānagāminiyā paṭipadāya ekaṃseneva ujuvipaccanīkabhūtā ca, te attahitaṃ parahitañca paripūretuṃ sammā paṭipajjantehi sādhūhi dūrato rahitabbā pariccajitabbā pahātabbāti rahā nāma, te ca yasmā bhagavato bodhimūleyeva ariyamaggena sabbaso pahīnā susamucchinnā. Yathāha –
‘‘ตถาคตสฺส โข, พฺราหฺมณ, ราโค ปหีโน โทโส โมโห, สเพฺพปิ ปาปกา อกุสลา ธมฺมา ปหีนา อุจฺฉินฺนมูลา ตาลาวตฺถุกตา อนภาวํกตา อายติํ อนุปฺปาทธมฺมา’’ติ (ปารา. ๙)ฯ
‘‘Tathāgatassa kho, brāhmaṇa, rāgo pahīno doso moho, sabbepi pāpakā akusalā dhammā pahīnā ucchinnamūlā tālāvatthukatā anabhāvaṃkatā āyatiṃ anuppādadhammā’’ti (pārā. 9).
ตสฺมา สพฺพโส น สนฺติ เอตสฺส รหาติ อรโหติ วตฺตเพฺพ โอการสฺส สานุสารํ อการาเทสํ กตฺวา ‘‘อรห’’นฺติ วุตฺตํฯ เตเนทํ วุจฺจติ –
Tasmā sabbaso na santi etassa rahāti arahoti vattabbe okārassa sānusāraṃ akārādesaṃ katvā ‘‘araha’’nti vuttaṃ. Tenedaṃ vuccati –
‘‘ปาปธมฺมา รหา นาม, สาธูหิ รหิตพฺพโต;
‘‘Pāpadhammā rahā nāma, sādhūhi rahitabbato;
เตสํ สุฎฺฐุ ปหีนตฺตา, ภควา อรหํ มโต’’ติฯ
Tesaṃ suṭṭhu pahīnattā, bhagavā arahaṃ mato’’ti.
เย เต สพฺพโส ปริญฺญาตกฺขนฺธา ปหีนกิเลสา ภาวิตมคฺคา สจฺฉิกตนิโรธา อรหโนฺต ขีณาสวา, เย จ เสขา อปฺปตฺตมานสา อนุตฺตรํ โยคเกฺขมํ ปตฺถยมานา วิหรนฺติ, เย จ ปริสุทฺธปฺปโยคา กลฺยาณชฺฌาสยา สทฺธาสีลสุตาทิคุณสมฺปนฺนา ปุคฺคลา, เตหิ น รหิตโพฺพ น ปริจฺจชิตโพฺพ, เต จ ภควตาติ อรหํฯ ตถา หิ อริยปุคฺคลา สตฺถารา ทิฎฺฐธมฺมสฺส ปจฺจกฺขกรณโต สตฺถุ ธมฺมสรีเรน อวิรหิตาว โหนฺติฯ ยถาห อายสฺมา ปิงฺคิโย –
Ye te sabbaso pariññātakkhandhā pahīnakilesā bhāvitamaggā sacchikatanirodhā arahanto khīṇāsavā, ye ca sekhā appattamānasā anuttaraṃ yogakkhemaṃ patthayamānā viharanti, ye ca parisuddhappayogā kalyāṇajjhāsayā saddhāsīlasutādiguṇasampannā puggalā, tehi na rahitabbo na pariccajitabbo, te ca bhagavatāti arahaṃ. Tathā hi ariyapuggalā satthārā diṭṭhadhammassa paccakkhakaraṇato satthu dhammasarīrena avirahitāva honti. Yathāha āyasmā piṅgiyo –
‘‘ปสฺสามิ นํ มนสา จกฺขุนาว,
‘‘Passāmi naṃ manasā cakkhunāva,
รตฺตินฺทิวํ พฺราหฺมณ อปฺปมโตฺต;
Rattindivaṃ brāhmaṇa appamatto;
นมสฺสมาโน วิวเสมิ รตฺติํ,
Namassamāno vivasemi rattiṃ,
เตเนว มญฺญามิ อวิปฺปวาสํฯ
Teneva maññāmi avippavāsaṃ.
‘‘สทฺธา จ ปีติ จ มโน สติ จ,
‘‘Saddhā ca pīti ca mano sati ca,
นาเปนฺติเม โคตมสาสนมฺหา;
Nāpentime gotamasāsanamhā;
ยํ ยํ ทิสํ วชติ ภูริปโญฺญ,
Yaṃ yaṃ disaṃ vajati bhūripañño,
ส เตน เตเนว นโตหมสฺมี’’ติฯ (สุ. นิ. ๑๑๔๘-๑๑๔๙);
Sa tena teneva natohamasmī’’ti. (su. ni. 1148-1149);
เตเนว จ เต อญฺญํ สตฺถารํ น อุทฺทิสนฺติฯ ยถาห –
Teneva ca te aññaṃ satthāraṃ na uddisanti. Yathāha –
‘‘อฎฺฐานเมตํ, ภิกฺขเว, อนวกาโส, ยํ ทิฎฺฐิสมฺปโนฺน ปุคฺคโล อญฺญํ สตฺถารํ อุทฺทิเสยฺย, เนตํ ฐานํ วิชฺชตี’’ติ (ม. นิ. ๓.๑๒๘; อ. นิ. ๑.๒๗๖)ฯ
‘‘Aṭṭhānametaṃ, bhikkhave, anavakāso, yaṃ diṭṭhisampanno puggalo aññaṃ satthāraṃ uddiseyya, netaṃ ṭhānaṃ vijjatī’’ti (ma. ni. 3.128; a. ni. 1.276).
กลฺยาณปุถุชฺชนาปิ เยภุเยฺยน สตฺถริ นิจฺจลสทฺธา เอว โหนฺติฯ อิติ สุปฺปฎิปเนฺนหิ ปุริสวิเสเสหิ อวิรหิตพฺพโต เตสญฺจ อวิรหนโต น สนฺติ เอตสฺส รหา ปริจฺจชนกา, นตฺถิ วา เอตสฺส รหา สาธูหิ ปริจฺจชิตพฺพตาติ อรหํฯ เตเนทํ วุจฺจติ –
Kalyāṇaputhujjanāpi yebhuyyena satthari niccalasaddhā eva honti. Iti suppaṭipannehi purisavisesehi avirahitabbato tesañca avirahanato na santi etassa rahā pariccajanakā, natthi vā etassa rahā sādhūhi pariccajitabbatāti arahaṃ. Tenedaṃ vuccati –
‘‘เย สจฺฉิกตสทฺธมฺมา, อริยา สุทฺธโคจรา;
‘‘Ye sacchikatasaddhammā, ariyā suddhagocarā;
น เตหิ รหิโต โหติ, นาโถ เตนารหํ มโต’’ติฯ
Na tehi rahito hoti, nātho tenārahaṃ mato’’ti.
รโหติ จ คมนํ วุจฺจติ, ภควโต จ นานาคตีสุ ปริพฺภมนสงฺขาตํ สํสาเร คมนํ นตฺถิ กมฺมกฺขยกเรน อริยมเคฺคน โพธิมูเลเยว สพฺพโส สสมฺภารสฺส กมฺมวฎฺฎสฺส วิทฺธํสิตตฺตาฯ ยถาห –
Rahoti ca gamanaṃ vuccati, bhagavato ca nānāgatīsu paribbhamanasaṅkhātaṃ saṃsāre gamanaṃ natthi kammakkhayakarena ariyamaggena bodhimūleyeva sabbaso sasambhārassa kammavaṭṭassa viddhaṃsitattā. Yathāha –
‘‘เยน เทวูปปตฺยสฺส, คนฺธโพฺพ วา วิหงฺคโม;
‘‘Yena devūpapatyassa, gandhabbo vā vihaṅgamo;
ยกฺขตฺตํ เยน คเจฺฉยฺยํ, มนุสฺสตฺตญฺจ อพฺพเช;
Yakkhattaṃ yena gaccheyyaṃ, manussattañca abbaje;
เต มยฺหํ อาสวา ขีณา, วิทฺธสฺตา วินฬีกตา’’ติฯ (อ. นิ. ๔.๓๖);
Te mayhaṃ āsavā khīṇā, viddhastā vinaḷīkatā’’ti. (a. ni. 4.36);
เอวํ นตฺถิ เอตสฺส รโห คมนํ คตีสุ ปจฺจาชาตีติปิ อรหํฯ เตเนทํ วุจฺจติ –
Evaṃ natthi etassa raho gamanaṃ gatīsu paccājātītipi arahaṃ. Tenedaṃ vuccati –
‘‘รโห วา คมนํ ยสฺส, สํสาเร นตฺถิ สพฺพโส;
‘‘Raho vā gamanaṃ yassa, saṃsāre natthi sabbaso;
ปหีนชาติมรโณ, อรหํ สุคโต มโต’’ติฯ
Pahīnajātimaraṇo, arahaṃ sugato mato’’ti.
ปาสํสตฺตา วา ภควา อรหํฯ อกฺขรจินฺตกา หิ ปสํสายํ อรหสทฺทํ วเณฺณนฺติฯ ปาสํสภาโว จ ภควโต อนญฺญสาธารณโต ยถาภุจฺจคุณาธิคโต สเทวเก โลเก สุปฺปติฎฺฐิโตฯ ตถา เหส อนุตฺตเรน สีเลน อนุตฺตเรน สมาธินา อนุตฺตราย ปญฺญาย อนุตฺตราย วิมุตฺติยา อสโม อสมสโม อปฺปฎิโม อปฺปฎิภาโค อปฺปฎิปุคฺคโลติ เอวํ ตสฺมิํ ตสฺมิํ คุเณ วิภชิตฺวา วุจฺจมาเน ปณฺฑิตปุริเสหิ เทเวหิ พฺรเหฺมหิ ภควตา วา ปน ปริโยสาเปตุํ อสกฺกุเณยฺยรูโปฯ อิติ ปาสํสตฺตาปิ ภควา อรหํฯ เตเนทํ วุจฺจติ –
Pāsaṃsattā vā bhagavā arahaṃ. Akkharacintakā hi pasaṃsāyaṃ arahasaddaṃ vaṇṇenti. Pāsaṃsabhāvo ca bhagavato anaññasādhāraṇato yathābhuccaguṇādhigato sadevake loke suppatiṭṭhito. Tathā hesa anuttarena sīlena anuttarena samādhinā anuttarāya paññāya anuttarāya vimuttiyā asamo asamasamo appaṭimo appaṭibhāgo appaṭipuggaloti evaṃ tasmiṃ tasmiṃ guṇe vibhajitvā vuccamāne paṇḍitapurisehi devehi brahmehi bhagavatā vā pana pariyosāpetuṃ asakkuṇeyyarūpo. Iti pāsaṃsattāpi bhagavā arahaṃ. Tenedaṃ vuccati –
‘‘คุเณหิ สทิโส นตฺถิ, ยสฺมา โลเก สเทวเก;
‘‘Guṇehi sadiso natthi, yasmā loke sadevake;
ตสฺมา ปาสํสิยตฺตาปิ, อรหํ ทฺวิปทุตฺตโม’’ติฯ
Tasmā pāsaṃsiyattāpi, arahaṃ dvipaduttamo’’ti.
สพฺพสงฺคหวเสน ปน –
Sabbasaṅgahavasena pana –
อารกา มนฺทพุทฺธีนํ, อารกา จ วิชานตํ;
Ārakā mandabuddhīnaṃ, ārakā ca vijānataṃ;
รหานํ สุปฺปหีนตฺตา, วิทูนมรเหยฺยโต;
Rahānaṃ suppahīnattā, vidūnamaraheyyato;
ภเวสุ จ รหาภาวา, ปาสํสา อรหํ ชิโนติฯ
Bhavesu ca rahābhāvā, pāsaṃsā arahaṃ jinoti.
เอตฺตาวตา จ ‘‘อรห’’นฺติ ปทสฺส สพฺพโส อโตฺถ วิภโตฺต โหติฯ
Ettāvatā ca ‘‘araha’’nti padassa sabbaso attho vibhatto hoti.
อิทานิ สมฺมาสมฺพุโทฺธติ อิมสฺส อตฺถํ วิภชิตฺวา ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘สมฺมา สามญฺจา’’ติอาทิฯ ตตฺถ สมฺมาติ อวิปรีตํฯ สามนฺติ สยเมว, อปรเนโยฺย หุตฺวาติ อโตฺถฯ สมฺพุโทฺธติ หิ เอตฺถ สํ-สโทฺท สยนฺติ เอตสฺส อตฺถสฺส โพธโกติ ทฎฺฐโพฺพฯ สพฺพธมฺมานนฺติ อนวเสสานํ เนยฺยธมฺมานํฯ กถํ ปเนตฺถ สพฺพธมฺมานนฺติ อยํ วิเสโส ลพฺภตีติ? เอกเทสสฺส อคฺคหณโตฯ ปเทสคฺคหเณ หิ อสติ คเหตพฺพสฺส นิปฺปเทสตาว วิญฺญายติ ยถา ‘‘ทิกฺขิโต น ททาตี’’ติฯ เอวญฺจ กตฺวา อตฺถวิเสสนเปกฺขา กตฺตริ เอว พุทฺธสทฺทสิทฺธิ เวทิตพฺพา กมฺมวจนิจฺฉาย อภาวโตฯ ‘‘สมฺมา สามญฺจ พุทฺธตฺตา สมฺมาสมฺพุโทฺธ’’ติ เอตฺตกเมว หิ อิธ สทฺทโต ลพฺภติ, ‘‘สพฺพธมฺมาน’’นฺติ อิทํ ปน อตฺถโต ลพฺภมานํ คเหตฺวา วุตฺตํฯ น หิ พุชฺฌนกิริยา อวิสยา ยุชฺชติฯ
Idāni sammāsambuddhoti imassa atthaṃ vibhajitvā dassento āha ‘‘sammā sāmañcā’’tiādi. Tattha sammāti aviparītaṃ. Sāmanti sayameva, aparaneyyo hutvāti attho. Sambuddhoti hi ettha saṃ-saddo sayanti etassa atthassa bodhakoti daṭṭhabbo. Sabbadhammānanti anavasesānaṃ neyyadhammānaṃ. Kathaṃ panettha sabbadhammānanti ayaṃ viseso labbhatīti? Ekadesassa aggahaṇato. Padesaggahaṇe hi asati gahetabbassa nippadesatāva viññāyati yathā ‘‘dikkhito na dadātī’’ti. Evañca katvā atthavisesanapekkhā kattari eva buddhasaddasiddhi veditabbā kammavacanicchāya abhāvato. ‘‘Sammā sāmañca buddhattā sammāsambuddho’’ti ettakameva hi idha saddato labbhati, ‘‘sabbadhammāna’’nti idaṃ pana atthato labbhamānaṃ gahetvā vuttaṃ. Na hi bujjhanakiriyā avisayā yujjati.
อิทานิ ตสฺสา วิสยํ ‘‘สพฺพธเมฺม’’ติ สามญฺญโต วุตฺตํ วิภชิตฺวา ทเสฺสตุํ ‘‘อภิเญฺญเยฺย ธเมฺม’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ อภิเญฺญเยฺยติ อนิจฺจาทิโต ลกฺขณรสาทิโต จ อภิวิสิเฎฺฐน ญาเณน ชานิตเพฺพ จตุสจฺจธเมฺมฯ อภิเญฺญยฺยโต พุโทฺธติ อภิเญฺญยฺยภาวโต พุชฺฌิ, ปุพฺพภาเค วิปสฺสนาปญฺญาทีหิ อธิคมกฺขเณ มคฺคปญฺญาย อปรภาเค สพฺพญฺญุตญฺญาณาทีหิ อญฺญาสีติ อโตฺถฯ อิโต ปเรสุปิ เอเสว นโย ฯ ปริเญฺญเยฺย ธเมฺมติ อนิจฺจาทิวเสน ปริชานิตพฺพํ ทุกฺขํ อริยสจฺจมาหฯ ปหาตเพฺพติ สมุทยปกฺขิเยฯ สจฺฉิกาตเพฺพติ นิพฺพานํ สนฺธายาหฯ พหุวจนนิเทฺทโส ปเนตฺถ โสปาทิเสสาทิกํ ปริยายสิทฺธํ เภทมเปกฺขิตฺวา กโต, อุเทฺทโส วา อยํ จตุสจฺจธมฺมานมฺปิฯ ตถา หิ วกฺขติ ‘‘จกฺขุ ทุกฺขสจฺจ’’นฺติอาทิฯ อุเทฺทโส จ อวินิจฺฉิตตฺถปริเจฺฉทสฺส ธมฺมสฺส วเสน กรียติฯ อุเทฺทเสน หิ อุทฺทิสิยมานานํ อตฺถิตามตฺตํ วุจฺจติ, น ปริเจฺฉโทติ อปริเจฺฉเทน พหุวจเนน วุตฺตํ ยถา ‘‘อปฺปจฺจยา ธมฺมา, อสงฺขตา ธมฺมา’’ติฯ สจฺฉิกาตเพฺพติ วา ผลวิมุตฺตีนมฺปิ คหณํ, น นิพฺพานเสฺสวาติ พหุวจนนิเทฺทโส กโตฯ เอวญฺจ ภาเวตเพฺพติ เอตฺถ ฌานานมฺปิ คหณํ ทฎฺฐพฺพํฯ เตเนว จาหาติ เสลพฺราหฺมณสฺส อตฺตโน พุทฺธภาวํ สาเธโนฺต เอวมาหฯ
Idāni tassā visayaṃ ‘‘sabbadhamme’’ti sāmaññato vuttaṃ vibhajitvā dassetuṃ ‘‘abhiññeyye dhamme’’tiādi vuttaṃ. Tattha abhiññeyyeti aniccādito lakkhaṇarasādito ca abhivisiṭṭhena ñāṇena jānitabbe catusaccadhamme. Abhiññeyyato buddhoti abhiññeyyabhāvato bujjhi, pubbabhāge vipassanāpaññādīhi adhigamakkhaṇe maggapaññāya aparabhāge sabbaññutaññāṇādīhi aññāsīti attho. Ito paresupi eseva nayo . Pariññeyye dhammeti aniccādivasena parijānitabbaṃ dukkhaṃ ariyasaccamāha. Pahātabbeti samudayapakkhiye. Sacchikātabbeti nibbānaṃ sandhāyāha. Bahuvacananiddeso panettha sopādisesādikaṃ pariyāyasiddhaṃ bhedamapekkhitvā kato, uddeso vā ayaṃ catusaccadhammānampi. Tathā hi vakkhati ‘‘cakkhu dukkhasacca’’ntiādi. Uddeso ca avinicchitatthaparicchedassa dhammassa vasena karīyati. Uddesena hi uddisiyamānānaṃ atthitāmattaṃ vuccati, na paricchedoti aparicchedena bahuvacanena vuttaṃ yathā ‘‘appaccayā dhammā, asaṅkhatā dhammā’’ti. Sacchikātabbeti vā phalavimuttīnampi gahaṇaṃ, na nibbānassevāti bahuvacananiddeso kato. Evañca bhāvetabbeti ettha jhānānampi gahaṇaṃ daṭṭhabbaṃ. Teneva cāhāti selabrāhmaṇassa attano buddhabhāvaṃ sādhento evamāha.
กิํ ปน ภควา สยเมว อตฺตโน สมฺมาสมฺพุทฺธภาวํ สาเธตีติ? สาเธติ มหากรุณาย อเญฺญสํ อวิสยโตฯ ตตฺถ ‘‘เอโกมฺหิ สมฺมาสมฺพุโทฺธ, สพฺพาภิภู สพฺพวิทูหมสฺมี’’ติอาทีนิ (ม. นิ. ๒.๓๔๑; มหาว. ๑๑) สุตฺตปทานิ, อิทเมว จ ‘‘อภิเญฺญยฺย’’นฺติอาทิ สุตฺตปทํ เอตสฺส อตฺถสฺส สาธกํฯ ตตฺถ อภิเญฺญยฺยนฺติ อิมินา ทุกฺขสจฺจมาห, ภาเวตพฺพนฺติ มคฺคสจฺจํฯ จ-สโทฺท ปเนตฺถ อวุตฺตสมุจฺจยโตฺถ, เตน สจฺฉิกาตพฺพสฺส คหณํ เวทิตพฺพํฯ อถ วา อภิเญฺญยฺยนฺติ อิมินาว ปาริเสสญาเยน ปริเญฺญยฺยธเมฺม สจฺฉิกาตพฺพธเมฺม จ ทเสฺสติฯ ตสฺมา พุโทฺธสฺมีติ ยสฺมา จตฺตาริ สจฺจานิ มยา พุทฺธานิ, สจฺจวินิมุตฺตญฺจ กิญฺจิ เญยฺยํ นตฺถิ, ตสฺมา สพฺพมฺปิ เญยฺยํ พุโทฺธสฺมิ, อพฺภญฺญาสินฺติ อโตฺถฯ เสลสุตฺตฎฺฐกถายํ ปน อิทํ วุตฺตํ –
Kiṃ pana bhagavā sayameva attano sammāsambuddhabhāvaṃ sādhetīti? Sādheti mahākaruṇāya aññesaṃ avisayato. Tattha ‘‘ekomhi sammāsambuddho, sabbābhibhū sabbavidūhamasmī’’tiādīni (ma. ni. 2.341; mahāva. 11) suttapadāni, idameva ca ‘‘abhiññeyya’’ntiādi suttapadaṃ etassa atthassa sādhakaṃ. Tattha abhiññeyyanti iminā dukkhasaccamāha, bhāvetabbanti maggasaccaṃ. Ca-saddo panettha avuttasamuccayattho, tena sacchikātabbassa gahaṇaṃ veditabbaṃ. Atha vā abhiññeyyanti imināva pārisesañāyena pariññeyyadhamme sacchikātabbadhamme ca dasseti. Tasmā buddhosmīti yasmā cattāri saccāni mayā buddhāni, saccavinimuttañca kiñci ñeyyaṃ natthi, tasmā sabbampi ñeyyaṃ buddhosmi, abbhaññāsinti attho. Selasuttaṭṭhakathāyaṃ pana idaṃ vuttaṃ –
‘‘อภิเญฺญยฺยนฺติ วิชฺชา จ วิมุตฺติ จฯ ภาเวตพฺพํ มคฺคสจฺจํฯ ปหาตพฺพํ สมุทยสจฺจํฯ เหตุวจเนน ปน ผลสิทฺธิโต เตสํ ผลานิ นิโรธสจฺจทุกฺขสจฺจานิปิ วุตฺตาเนว โหนฺติฯ เอวํ สจฺฉิกาตพฺพํ สจฺฉิกตํ, ปริญฺญาตพฺพํ ปริญฺญาตนฺติ อิทเมฺปตฺถ สงฺคหิตเมวาติ จตุสจฺจภาวนํ จตุสจฺจภาวนาผลญฺจ วิมุตฺติํ ทเสฺสโนฺต ‘พุชฺฌิตพฺพํ พุชฺฌิตฺวา พุโทฺธ ชาโตสฺมี’ติ ยุตฺตเหตุนา พุทฺธภาวํ สาเธตี’’ติ (ม. นิ. อฎฺฐ. ๒.๓๙๙)ฯ
‘‘Abhiññeyyanti vijjā ca vimutti ca. Bhāvetabbaṃ maggasaccaṃ. Pahātabbaṃ samudayasaccaṃ. Hetuvacanena pana phalasiddhito tesaṃ phalāni nirodhasaccadukkhasaccānipi vuttāneva honti. Evaṃ sacchikātabbaṃ sacchikataṃ, pariññātabbaṃ pariññātanti idampettha saṅgahitamevāti catusaccabhāvanaṃ catusaccabhāvanāphalañca vimuttiṃ dassento ‘bujjhitabbaṃ bujjhitvā buddho jātosmī’ti yuttahetunā buddhabhāvaṃ sādhetī’’ti (ma. ni. aṭṭha. 2.399).
ตตฺถ วิชฺชาติ มคฺควิชฺชา วุตฺตา อุกฺกฎฺฐนิเทฺทเสนฯ วิมุตฺตีติ ผลวิมุตฺติฯ กามเญฺจตฺถ มคฺควิชฺชาปิ ภาเวตพฺพภาเวน คหิตา, สเพฺพปิ ปน สภาวธมฺมา อภิเญฺญยฺยาติ วิชฺชาย อภิเญฺญยฺยภาโว วุโตฺตฯ อิมินาว นเยน สเพฺพสมฺปิ อภิเญฺญยฺยภาโว วุโตฺต เอวาติ ทฎฺฐพฺพํฯ ผเลน วินา เหตุภาวเสฺสว อภาวโต เหตุวจเนน ผลสิทฺธิ วุตฺตาติ เวทิตพฺพํฯ นิโรธสฺส หิ สมฺปาปเนน มคฺคสฺส เหตุภาโว, ทุกฺขสฺส นิพฺพตฺตเนน ตณฺหาย สมุทยภาโวติฯ
Tattha vijjāti maggavijjā vuttā ukkaṭṭhaniddesena. Vimuttīti phalavimutti. Kāmañcettha maggavijjāpi bhāvetabbabhāvena gahitā, sabbepi pana sabhāvadhammā abhiññeyyāti vijjāya abhiññeyyabhāvo vutto. Imināva nayena sabbesampi abhiññeyyabhāvo vutto evāti daṭṭhabbaṃ. Phalena vinā hetubhāvasseva abhāvato hetuvacanena phalasiddhi vuttāti veditabbaṃ. Nirodhassa hi sampāpanena maggassa hetubhāvo, dukkhassa nibbattanena taṇhāya samudayabhāvoti.
เอวํ สจฺจวเสน สามญฺญโต วุตฺตมตฺถํ ทฺวารารมฺมเณหิ สทฺธิํ ทฺวารปฺปวตฺตธเมฺมหิ เจว ขนฺธาทีหิ จ สจฺจวเสเนว วิภชิตฺวา ทเสฺสตุํ ‘‘อปิจา’’ติอาทิ อารทฺธํฯ มูลการณภาเวนาติ สเนฺตสุปิ อวิชฺชาทีสุ อเญฺญสุ การเณสุ เตสมฺปิ มูลภูตการณภาเวนฯ ตณฺหา หิ กมฺมสฺส วิจิตฺตภาวเหตุโต สหายภาวูปคมนโต จ ทุกฺขวิจิตฺตตาย ปธานการณํฯ สมุฎฺฐาปิกาติ อุปฺปาทิกาฯ ปุริมตณฺหาติ ปุริมภวสิทฺธา ตณฺหาฯ อุภินฺนนฺติ จกฺขุสฺส ตํสมุทยสฺส จฯ อปฺปวตฺตีติ อปฺปวตฺตินิมิตฺตํฯ นิโรธปฺปชานนาติ สจฺฉิกิริยาภิสมยวเสน นิโรธสฺส ปฎิวิชฺฌนาฯ เอเกกปทุทฺธาเรนาติ ‘‘จกฺขุํ จกฺขุสมุทโย จกฺขุนิโรโธ’’ติอาทินา เอเกกโกฎฺฐาสนิทฺธารเณนฯ ตณฺหายปิ ปริเญฺญยฺยภาวสพฺภาวโต อุปาทานกฺขโนฺธคธตฺตา สงฺขารทุกฺขภาวโต จ ทุกฺขสจฺจสงฺคหํ ทเสฺสตุํ ‘‘รูปตณฺหาทโย ฉ ตณฺหากายา’’ติ วุตฺตํ, ตสฺมา วตฺตมานภเว ตณฺหา ขนฺธปริยาปนฺนตฺตา สงฺขารทุกฺขภาวโต จ ทุกฺขสจฺจํฯ ยสฺมิํ ปน อตฺตภาเว สา อุปฺปชฺชติ, ตสฺส อตฺตภาวสฺส มูลการณภาเวน สมุฎฺฐาปิกา ปุริมภวสิทฺธา ตณฺหา สมุทยสจฺจนฺติ คเหตพฺพาฯ
Evaṃ saccavasena sāmaññato vuttamatthaṃ dvārārammaṇehi saddhiṃ dvārappavattadhammehi ceva khandhādīhi ca saccavaseneva vibhajitvā dassetuṃ ‘‘apicā’’tiādi āraddhaṃ. Mūlakāraṇabhāvenāti santesupi avijjādīsu aññesu kāraṇesu tesampi mūlabhūtakāraṇabhāvena. Taṇhā hi kammassa vicittabhāvahetuto sahāyabhāvūpagamanato ca dukkhavicittatāya padhānakāraṇaṃ. Samuṭṭhāpikāti uppādikā. Purimataṇhāti purimabhavasiddhā taṇhā. Ubhinnanti cakkhussa taṃsamudayassa ca. Appavattīti appavattinimittaṃ. Nirodhappajānanāti sacchikiriyābhisamayavasena nirodhassa paṭivijjhanā. Ekekapaduddhārenāti ‘‘cakkhuṃ cakkhusamudayo cakkhunirodho’’tiādinā ekekakoṭṭhāsaniddhāraṇena. Taṇhāyapi pariññeyyabhāvasabbhāvato upādānakkhandhogadhattā saṅkhāradukkhabhāvato ca dukkhasaccasaṅgahaṃ dassetuṃ ‘‘rūpataṇhādayo cha taṇhākāyā’’ti vuttaṃ, tasmā vattamānabhave taṇhā khandhapariyāpannattā saṅkhāradukkhabhāvato ca dukkhasaccaṃ. Yasmiṃ pana attabhāve sā uppajjati, tassa attabhāvassa mūlakāraṇabhāvena samuṭṭhāpikā purimabhavasiddhā taṇhā samudayasaccanti gahetabbā.
กสิณานีติ กสิณารมฺมณิกชฺฌานานิฯ ทฺวตฺติํสาการาติ ทฺวตฺติํส โกฎฺฐาสา ตทารมฺมณชฺฌานานิ จฯ นว ภวาติ กามภโว รูปภโว อรูปภโว สญฺญีภโว อสญฺญีภโว เนวสญฺญีนาสญฺญีภโว เอกโวการภโว จตุโวการภโว ปญฺจโวการภโวติ นว ภวาฯ ตตฺถ ภวตีติ ภโว, กามราคสงฺขาเตน กาเมน ยุโตฺต ภโว, กามสงฺขาโต วา ภโว กามภโว, เอกาทส กามาวจรภูมิโยฯ กาเม ปหาย รูปราคสงฺขาเตน รูเปน ยุโตฺต ภโว, รูปสงฺขาโต วา ภโว รูปภโว, โสฬส รูปาวจรภูมิโยฯ กามญฺจ รูปญฺจ ปหาย อรูปราคสงฺขาเตน อรูเปน ยุโตฺต ภโว, อรูปสงฺขาโต วา ภโว อรูปภโว, จตโสฺส อารุปฺปภูมิโยฯ สญฺญาวตํ ภโว สญฺญีภโว, สญฺญา วา เอตฺถ ภเว อตฺถีติ สญฺญีภโว, โส กามภโว จ อสญฺญีภวมุโตฺต รูปภโว จ เนวสญฺญีนาสญฺญีภวมุโตฺต อรูปภโว จ โหติฯ น สญฺญีภโว อสญฺญีภโว, โส รูปภเวกเทโสฯ โอฬาริกตฺตาภาวโต เนวสญฺญา, สุขุมตฺตสฺส สพฺภาวโต นาสญฺญาติ เนวสญฺญานาสญฺญา, ตาย ยุโตฺต ภโว เนวสญฺญานาสญฺญาภโวฯ อถ วา โอฬาริกาย สญฺญาย อภาวา สุขุมาย จ ภาวา เนวสญฺญา นาสญฺญา อสฺมิํ ภเวติ เนวสญฺญานาสญฺญาภโว, โส อรูปภเวกเทโสฯ เอเกน รูปกฺขเนฺธน โวกิโณฺณ ภโว, เอเกน วา โวกาโร อสฺส ภวสฺสาติ เอกโวการภโว, โส อสญฺญีภโวฯ จตูหิ อรูปกฺขเนฺธหิ โวกิโณฺณ ภโว, จตูหิ วา โวกาโร อสฺส ภวสฺสาติ จตุโวการภโว, โส อรูปภโว เอวฯ ปญฺจหิ ขเนฺธหิ โวกิโณฺณ ภโว, ปญฺจหิ วา โวกาโร อสฺส ภวสฺสาติ ปญฺจโวการภโว, โส กามภโว จ รูปภเวกเทโส จ โหติฯ โวกาโรติ วา ขนฺธานเมตมธิวจนํ, ตสฺมา เอโก โวกาโร อสฺส ภวสฺสาติ เอกโวการภโวติ เอวมาทินาเปตฺถ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ จตฺตาริ ฌานานีติ อคฺคหิตารมฺมณวิเสสานิ จตฺตาริ รูปาวจรชฺฌานานิฯ วิปากชฺฌานานํ วา เอตํ คหณํฯ เอตฺถ จ กุสลธมฺมานํ อุปนิสฺสยภูตา ตณฺหาสมุฎฺฐาปิกา ปุริมตณฺหาติ เวทิตพฺพาฯ กิริยธมฺมานํ ปน ยตฺถ เต กิริยธมฺมา อุปฺปชฺชนฺติ, ตสฺส อตฺตภาวสฺส การณภูตา ตณฺหาฯ อนุโลมโตติ เอตฺถ ‘‘สงฺขารา ทุกฺขสจฺจํ, อวิชฺชา สมุทยสจฺจ’’นฺติ อิมินา อนุกฺกเมน โยเชตพฺพํฯ
Kasiṇānīti kasiṇārammaṇikajjhānāni. Dvattiṃsākārāti dvattiṃsa koṭṭhāsā tadārammaṇajjhānāni ca. Nava bhavāti kāmabhavo rūpabhavo arūpabhavo saññībhavo asaññībhavo nevasaññīnāsaññībhavo ekavokārabhavo catuvokārabhavo pañcavokārabhavoti nava bhavā. Tattha bhavatīti bhavo, kāmarāgasaṅkhātena kāmena yutto bhavo, kāmasaṅkhāto vā bhavo kāmabhavo, ekādasa kāmāvacarabhūmiyo. Kāme pahāya rūparāgasaṅkhātena rūpena yutto bhavo, rūpasaṅkhāto vā bhavo rūpabhavo, soḷasa rūpāvacarabhūmiyo. Kāmañca rūpañca pahāya arūparāgasaṅkhātena arūpena yutto bhavo, arūpasaṅkhāto vā bhavo arūpabhavo, catasso āruppabhūmiyo. Saññāvataṃ bhavo saññībhavo, saññā vā ettha bhave atthīti saññībhavo, so kāmabhavo ca asaññībhavamutto rūpabhavo ca nevasaññīnāsaññībhavamutto arūpabhavo ca hoti. Na saññībhavo asaññībhavo, so rūpabhavekadeso. Oḷārikattābhāvato nevasaññā, sukhumattassa sabbhāvato nāsaññāti nevasaññānāsaññā, tāya yutto bhavo nevasaññānāsaññābhavo. Atha vā oḷārikāya saññāya abhāvā sukhumāya ca bhāvā nevasaññā nāsaññā asmiṃ bhaveti nevasaññānāsaññābhavo, so arūpabhavekadeso. Ekena rūpakkhandhena vokiṇṇo bhavo, ekena vā vokāro assa bhavassāti ekavokārabhavo, so asaññībhavo. Catūhi arūpakkhandhehi vokiṇṇo bhavo, catūhi vā vokāro assa bhavassāti catuvokārabhavo, so arūpabhavo eva. Pañcahi khandhehi vokiṇṇo bhavo, pañcahi vā vokāro assa bhavassāti pañcavokārabhavo, so kāmabhavo ca rūpabhavekadeso ca hoti. Vokāroti vā khandhānametamadhivacanaṃ, tasmā eko vokāro assa bhavassāti ekavokārabhavoti evamādināpettha attho veditabbo. Cattāri jhānānīti aggahitārammaṇavisesāni cattāri rūpāvacarajjhānāni. Vipākajjhānānaṃ vā etaṃ gahaṇaṃ. Ettha ca kusaladhammānaṃ upanissayabhūtā taṇhāsamuṭṭhāpikā purimataṇhāti veditabbā. Kiriyadhammānaṃ pana yattha te kiriyadhammā uppajjanti, tassa attabhāvassa kāraṇabhūtā taṇhā. Anulomatoti ettha ‘‘saṅkhārā dukkhasaccaṃ, avijjā samudayasacca’’nti iminā anukkamena yojetabbaṃ.
อนุพุโทฺธติ พุชฺฌิตพฺพธมฺมสฺส อนุรูปโต พุโทฺธฯ เตนาติ ยสฺมา สามญฺญโต วิเสสโต จ เอเกกปทุทฺธาเรน สพฺพธเมฺม พุโทฺธ, ตสฺมา วุตฺตํฯ กิํ วุตฺตนฺติ อาห ‘‘สมฺมา สามญฺจ สพฺพธมฺมานํ พุทฺธตฺตา’’ติ, สพฺพสฺสปิ เญยฺยสฺส สพฺพาการโต อวิปรีตํ สยเมว อภิสมฺพุทฺธตฺตาติ อโตฺถฯ อิมินาสฺส ปโรปเทสรหิตสฺส สพฺพากาเรน สพฺพธมฺมาวโพธนสมตฺถสฺส อากงฺขปฺปฎิพทฺธวุตฺติโน อนาวรณญาณสงฺขาตสฺส สพฺพญฺญุตญฺญาณสฺส อธิคโม ทสฺสิโตฯ
Anubuddhoti bujjhitabbadhammassa anurūpato buddho. Tenāti yasmā sāmaññato visesato ca ekekapaduddhārena sabbadhamme buddho, tasmā vuttaṃ. Kiṃ vuttanti āha ‘‘sammā sāmañca sabbadhammānaṃ buddhattā’’ti, sabbassapi ñeyyassa sabbākārato aviparītaṃ sayameva abhisambuddhattāti attho. Imināssa paropadesarahitassa sabbākārena sabbadhammāvabodhanasamatthassa ākaṅkhappaṭibaddhavuttino anāvaraṇañāṇasaṅkhātassa sabbaññutaññāṇassa adhigamo dassito.
นนุ จ สพฺพญฺญุตญฺญาณโต อญฺญํ อนาวรณญาณํ, อญฺญถา ‘‘ฉ อสาธารณญาณานิ พุทฺธญาณานี’’ติ วจนํ วิรุเชฺฌยฺยาติ? น วิรุชฺฌติ วิสยปฺปวตฺติเภทวเสน อเญฺญหิ อสาธารณภาวทสฺสนตฺถํ เอกเสฺสว ญาณสฺส ทฺวิธา วุตฺตตฺตาฯ เอกเมว หิ ตํ ญาณํ อนวเสสสงฺขตาสงฺขตสมฺมุติธมฺมวิสยตาย สพฺพญฺญุตญฺญาณํ, ตตฺถ จ อาวรณาภาวโต นิสฺสงฺคจารมุปาทาย อนาวรณญาณนฺติ วุตฺตํฯ ยถาห ปฎิสมฺภิทายํ (ปฎิ. ม. ๑.๑๑๙) ‘‘สพฺพํ สงฺขตมสงฺขตํ อนวเสสํ ชานาตีติ สพฺพญฺญุตญฺญาณํ, ตตฺถ อาวรณํ นตฺถีติ อนาวรณญาณ’’นฺติอาทิฯ ตสฺมา นตฺถิ เนสํ อตฺถโต เภโท, เอกเนฺตน เจตํ เอวมิจฺฉิตพฺพํฯ อญฺญถา สพฺพญฺญุตานาวรณญาณานํ สาธารณตา อสพฺพธมฺมารมฺมณตา จ อาปเชฺชยฺยฯ น หิ ภควโต ญาณสฺส อณุมตฺตมฺปิ อาวรณํ อตฺถิ, อนาวรณญาณสฺส อสพฺพธมฺมารมฺมณภาเว ยตฺถ ตํ น ปวตฺตติ, ตตฺถาวรณสพฺภาวโต อนาวรณภาโวเยว น สิยาฯ อถ วา ปน โหตุ อญฺญเมว อนาวรณญาณํ สพฺพญฺญุตญฺญาณโต, อิธ ปน สพฺพตฺถ อปฺปฎิหตวุตฺติตาย อนาวรณญาณนฺติ สพฺพญฺญุตญฺญาณเมว อธิเปฺปตํ, ตสฺส จาธิคมเนน ภควา สพฺพญฺญู สพฺพวิทู สมฺมาสมฺพุโทฺธติ จ วุจฺจติ น สกิํเยว สพฺพธมฺมาวโพธนโตฯ ตถา จ วุตฺตํ ปฎิสมฺภิทายํ (ปฎิ. ม. ๑.๑๖๒) ‘‘วิโมกฺขนฺติกเมตํ พุทฺธานํ ภควนฺตานํ โพธิยา มูเล สห สพฺพญฺญุตญฺญาณสฺส ปฎิลาภา สจฺฉิกา ปญฺญตฺติ ยทิทํ พุโทฺธ’’ติฯ สพฺพธมฺมาวโพธนสมตฺถญาณสมธิคเมน หิ ภควโต สนฺตาเน อนวเสสธเมฺม ปฎิวิชฺฌิตุํ สมตฺถตา อโหสีติฯ
Nanu ca sabbaññutaññāṇato aññaṃ anāvaraṇañāṇaṃ, aññathā ‘‘cha asādhāraṇañāṇāni buddhañāṇānī’’ti vacanaṃ virujjheyyāti? Na virujjhati visayappavattibhedavasena aññehi asādhāraṇabhāvadassanatthaṃ ekasseva ñāṇassa dvidhā vuttattā. Ekameva hi taṃ ñāṇaṃ anavasesasaṅkhatāsaṅkhatasammutidhammavisayatāya sabbaññutaññāṇaṃ, tattha ca āvaraṇābhāvato nissaṅgacāramupādāya anāvaraṇañāṇanti vuttaṃ. Yathāha paṭisambhidāyaṃ (paṭi. ma. 1.119) ‘‘sabbaṃ saṅkhatamasaṅkhataṃ anavasesaṃ jānātīti sabbaññutaññāṇaṃ, tattha āvaraṇaṃ natthīti anāvaraṇañāṇa’’ntiādi. Tasmā natthi nesaṃ atthato bhedo, ekantena cetaṃ evamicchitabbaṃ. Aññathā sabbaññutānāvaraṇañāṇānaṃ sādhāraṇatā asabbadhammārammaṇatā ca āpajjeyya. Na hi bhagavato ñāṇassa aṇumattampi āvaraṇaṃ atthi, anāvaraṇañāṇassa asabbadhammārammaṇabhāve yattha taṃ na pavattati, tatthāvaraṇasabbhāvato anāvaraṇabhāvoyeva na siyā. Atha vā pana hotu aññameva anāvaraṇañāṇaṃ sabbaññutaññāṇato, idha pana sabbattha appaṭihatavuttitāya anāvaraṇañāṇanti sabbaññutaññāṇameva adhippetaṃ, tassa cādhigamanena bhagavā sabbaññū sabbavidū sammāsambuddhoti ca vuccati na sakiṃyeva sabbadhammāvabodhanato. Tathā ca vuttaṃ paṭisambhidāyaṃ (paṭi. ma. 1.162) ‘‘vimokkhantikametaṃ buddhānaṃ bhagavantānaṃ bodhiyā mūle saha sabbaññutaññāṇassa paṭilābhā sacchikā paññatti yadidaṃ buddho’’ti. Sabbadhammāvabodhanasamatthañāṇasamadhigamena hi bhagavato santāne anavasesadhamme paṭivijjhituṃ samatthatā ahosīti.
เอตฺถาห – กิํ ปนิทํ ญาณํ ปวตฺตมานํ สกิํเยว สพฺพสฺมิํ วิสเย ปวตฺตติ, อุทาหุ กเมนาติฯ กิเญฺจตฺถ – ยทิ ตาว สกิํเยว สพฺพสฺมิํ วิสเย ปวตฺตติ, อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนอชฺฌตฺตพหิทฺธาทิเภทภินฺนานํ สงฺขตธมฺมานํ อสงฺขตสมฺมุติธมฺมานญฺจ เอกชฺฌํ อุปฎฺฐาเน ทูรโต จิตฺตปฎํ เปกฺขนฺตสฺส วิย ปฎิวิภาเคนาวโพโธ น สิยา, ตถา สติ ‘‘สเพฺพ ธมฺมา อนตฺตา’’ติ วิปสฺสนฺตานํ อนตฺตากาเรน วิย สพฺพธมฺมา อนิรูปิตรูเปน ภควโต ญาณสฺส วิสยา โหนฺตีติ อาปชฺชติฯ เยปิ ‘‘สพฺพเญยฺยธมฺมานํ ฐิตลกฺขณวิสยํ วิกปฺปรหิตํ สพฺพกาลํ พุทฺธานํ ญาณํ ปวตฺตติ, เตน เต สพฺพวิทูติ วุจฺจนฺติ, เอวญฺจ กตฺวา ‘จรํ สมาหิโต นาโค, ติฎฺฐโนฺตปิ สมาหิโต’ติ อิทมฺปิ วจนํ สุวุตฺตํ โหตี’’ติ วทนฺติ, เตสมฺปิ วุตฺตโทสา นาติวตฺติ, ฐิตลกฺขณารมฺมณตาย จ อตีตานาคตสมฺมุติธมฺมานํ ตทภาวโต เอกเทสวิสยเมว ภควโต ญาณํ สิยา, ตสฺมา สกิํเยว ญาณํ ปวตฺตตีติ น ยุชฺชติฯ
Etthāha – kiṃ panidaṃ ñāṇaṃ pavattamānaṃ sakiṃyeva sabbasmiṃ visaye pavattati, udāhu kamenāti. Kiñcettha – yadi tāva sakiṃyeva sabbasmiṃ visaye pavattati, atītānāgatapaccuppannaajjhattabahiddhādibhedabhinnānaṃ saṅkhatadhammānaṃ asaṅkhatasammutidhammānañca ekajjhaṃ upaṭṭhāne dūrato cittapaṭaṃ pekkhantassa viya paṭivibhāgenāvabodho na siyā, tathā sati ‘‘sabbe dhammā anattā’’ti vipassantānaṃ anattākārena viya sabbadhammā anirūpitarūpena bhagavato ñāṇassa visayā hontīti āpajjati. Yepi ‘‘sabbañeyyadhammānaṃ ṭhitalakkhaṇavisayaṃ vikapparahitaṃ sabbakālaṃ buddhānaṃ ñāṇaṃ pavattati, tena te sabbavidūti vuccanti, evañca katvā ‘caraṃ samāhito nāgo, tiṭṭhantopi samāhito’ti idampi vacanaṃ suvuttaṃ hotī’’ti vadanti, tesampi vuttadosā nātivatti, ṭhitalakkhaṇārammaṇatāya ca atītānāgatasammutidhammānaṃ tadabhāvato ekadesavisayameva bhagavato ñāṇaṃ siyā, tasmā sakiṃyeva ñāṇaṃ pavattatīti na yujjati.
อถ กเมน สพฺพสฺมิํ วิสเย ญาณํ ปวตฺตตีติฯ เอวมฺปิ น ยุชฺชติฯ น หิ ชาติภูมิสภาวาทิวเสน ทิสาเทสกาลาทิวเสน จ อเนกเภทภิเนฺน เญเยฺย กเมน คยฺหมาเน ตสฺส อนวเสสปฺปฎิเวโธ สมฺภวติ อปริยนฺตภาวโต เญยฺยสฺสฯ เย ปน ‘‘อตฺถสฺส อวิสํวาทนโต เญยฺยสฺส เอกเทสํ ปจฺจกฺขํ กตฺวา เสเสปิ เอวนฺติ อธิมุจฺจิตฺวา ววตฺถาปเนน สพฺพญฺญู ภควา, ตญฺจ ญาณํ น อนุมานญาณํ สํสยาภาวโตฯ สํสยานุพทฺธญฺหิ โลเก อนุมานญาณ’’นฺติ วทนฺติ, เตสมฺปิ ตํ น ยุตฺตํฯ สพฺพสฺส หิ อปฺปจฺจกฺขภาเว อตฺถาวิสํวาทเนน เญยฺยสฺส เอกเทสํ ปจฺจกฺขํ กตฺวา เสเสปิ เอวนฺติ อธิมุจฺจิตฺวา ววตฺถาปนสฺส อสมฺภวโตฯ ยญฺหิ ตํ เสสํ, ตํ อปฺปจฺจกฺขนฺติฯ
Atha kamena sabbasmiṃ visaye ñāṇaṃ pavattatīti. Evampi na yujjati. Na hi jātibhūmisabhāvādivasena disādesakālādivasena ca anekabhedabhinne ñeyye kamena gayhamāne tassa anavasesappaṭivedho sambhavati apariyantabhāvato ñeyyassa. Ye pana ‘‘atthassa avisaṃvādanato ñeyyassa ekadesaṃ paccakkhaṃ katvā sesepi evanti adhimuccitvā vavatthāpanena sabbaññū bhagavā, tañca ñāṇaṃ na anumānañāṇaṃ saṃsayābhāvato. Saṃsayānubaddhañhi loke anumānañāṇa’’nti vadanti, tesampi taṃ na yuttaṃ. Sabbassa hi appaccakkhabhāve atthāvisaṃvādanena ñeyyassa ekadesaṃ paccakkhaṃ katvā sesepi evanti adhimuccitvā vavatthāpanassa asambhavato. Yañhi taṃ sesaṃ, taṃ appaccakkhanti.
อถ ตมฺปิ ปจฺจกฺขํ ตสฺส เสสภาโว เอว น สิยาติ? สพฺพเมตํ อการณํฯ กสฺมา? อวิสยวิจารณภาวโตฯ วุตฺตเญฺหตํ ภควตา – ‘‘พุทฺธวิสโย, ภิกฺขเว, อจิเนฺตโยฺย น จิเนฺตตโพฺพ, โย จิเนฺตยฺย, อุมฺมาทสฺส วิฆาตสฺส ภาคี อสฺสา’’ติ (อ. นิ. ๔.๗๗)ฯ อิทํ ปเนตฺถ สนฺนิฎฺฐานํ – ยํ กิญฺจิ ภควตา ญาตุํ อิจฺฉิตํ สกลํ เอกเทโส วา, ตตฺถ ตตฺถ อปฺปฎิหตวุตฺติตาย ปจฺจกฺขโต ญาณํ ปวตฺตติ นิจฺจสมาธานญฺจ วิเกฺขปาภาวโตฯ ญาตุํ อิจฺฉิตสฺส จ สกลสฺส อวิสยภาเว ตสฺส อากงฺขปฺปฎิพทฺธวุตฺติตา น สิยา, เอกเนฺตเนวสฺสา อิจฺฉิตพฺพา ‘‘สเพฺพ ธมฺมา พุทฺธสฺส ภควโต อาวชฺชนปฺปฎิพทฺธา อากงฺขปฺปฎิพทฺธา มนสิการปฺปฎิพทฺธา จิตฺตุปฺปาทปฺปฎิพทฺธา’’ติ (มหานิ. ๖๙; ปฎิ. ม. ๓.๕) วจนโตฯ อตีตานาคตวิสยมฺปิ ภควโต ญาณํ อนุมานาคมตกฺกคหณวิรหิตตฺตา ปจฺจกฺขเมวฯ
Atha tampi paccakkhaṃ tassa sesabhāvo eva na siyāti? Sabbametaṃ akāraṇaṃ. Kasmā? Avisayavicāraṇabhāvato. Vuttañhetaṃ bhagavatā – ‘‘buddhavisayo, bhikkhave, acinteyyo na cintetabbo, yo cinteyya, ummādassa vighātassa bhāgī assā’’ti (a. ni. 4.77). Idaṃ panettha sanniṭṭhānaṃ – yaṃ kiñci bhagavatā ñātuṃ icchitaṃ sakalaṃ ekadeso vā, tattha tattha appaṭihatavuttitāya paccakkhato ñāṇaṃ pavattati niccasamādhānañca vikkhepābhāvato. Ñātuṃ icchitassa ca sakalassa avisayabhāve tassa ākaṅkhappaṭibaddhavuttitā na siyā, ekantenevassā icchitabbā ‘‘sabbe dhammā buddhassa bhagavato āvajjanappaṭibaddhā ākaṅkhappaṭibaddhā manasikārappaṭibaddhā cittuppādappaṭibaddhā’’ti (mahāni. 69; paṭi. ma. 3.5) vacanato. Atītānāgatavisayampi bhagavato ñāṇaṃ anumānāgamatakkagahaṇavirahitattā paccakkhameva.
นนุ จ เอตสฺมิมฺปิ ปเกฺข ยทา สกลํ ญาตุํ อิจฺฉิตํ, ตทา สกิํเยว สกลวิสยตาย อนิรูปิตรูเปน ภควโต ญาณํ ปวเตฺตยฺยาติ วุตฺตโทสา นาติวตฺติเยวาติ? น, ตสฺส วิโสธิตตฺตาฯ วิโสธิโต หิ โส พุทฺธวิสโย อจิเนฺตโยฺยติฯ อญฺญถา ปจุรชนญาณสมานวุตฺติตาย พุทฺธานํ ภควนฺตานํ ญาณสฺส อจิเนฺตยฺยตา น สิยา, ตสฺมา สกลธมฺมารมฺมณมฺปิ ตํ เอกธมฺมารมฺมณํ วิย สุววตฺถาปิเตเยว เต ธเมฺม กตฺวา ปวตฺตตีติ อิทเมตฺถ อจิเนฺตยฺยํ, ‘‘ยาวตกํ เญยฺยํ, ตาวตกํ ญาณํฯ ยาวตกํ ญาณํ, ตาวตกํ เญยฺยํฯ เญยฺยปริยนฺติกํ ญาณํ, ญาณปริยนฺติกํ เญยฺย’’นฺติ (ปฎิ. ม. ๓.๕) เอวเมกชฺฌํ วิสุํ สกิํ กเมน วา อิจฺฉานุรูปํ สมฺมา สามํ สพฺพธมฺมานํ พุทฺธตฺตา สมฺมาสมฺพุโทฺธฯ
Nanu ca etasmimpi pakkhe yadā sakalaṃ ñātuṃ icchitaṃ, tadā sakiṃyeva sakalavisayatāya anirūpitarūpena bhagavato ñāṇaṃ pavatteyyāti vuttadosā nātivattiyevāti? Na, tassa visodhitattā. Visodhito hi so buddhavisayo acinteyyoti. Aññathā pacurajanañāṇasamānavuttitāya buddhānaṃ bhagavantānaṃ ñāṇassa acinteyyatā na siyā, tasmā sakaladhammārammaṇampi taṃ ekadhammārammaṇaṃ viya suvavatthāpiteyeva te dhamme katvā pavattatīti idamettha acinteyyaṃ, ‘‘yāvatakaṃ ñeyyaṃ, tāvatakaṃ ñāṇaṃ. Yāvatakaṃ ñāṇaṃ, tāvatakaṃ ñeyyaṃ. Ñeyyapariyantikaṃ ñāṇaṃ, ñāṇapariyantikaṃ ñeyya’’nti (paṭi. ma. 3.5) evamekajjhaṃ visuṃ sakiṃ kamena vā icchānurūpaṃ sammā sāmaṃ sabbadhammānaṃ buddhattā sammāsambuddho.
วิชฺชาหีติ เอตฺถ วินฺทิยํ วินฺทตีติ วิชฺชา, ยาถาวโต อุปลพฺภตีติ อโตฺถฯ อตฺตโน วา ปฎิปกฺขสฺส วิชฺฌนเฎฺฐน วิชฺชา, ตโมกฺขนฺธาทิกสฺส ปทาลนเฎฺฐนาติ อโตฺถฯ ตโต เอว อตฺตโน วิสยสฺส วิทิตกรณเฎฺฐนปิ วิชฺชาฯ สมฺปนฺนตฺตาติ สมนฺนาคตตฺตา ปริปุณฺณตฺตา วา, อวิกลตฺตาติ อโตฺถฯ ตตฺราติ อมฺพฎฺฐสุเตฺตฯ มโนมยิทฺธิยาติ เอตฺถ ‘‘อิธ ภิกฺขุ อิมมฺหา กายา อญฺญํ กายํ อภินิมฺมินาติ รูปิํ มโนมยํ สพฺพงฺคปจฺจงฺคํ อหีนินฺทฺริย’’นฺติ (ที. นิ. ๑.๒๓๖) อิมินา นเยน อาคตา อิทฺธิ สรีรพฺภนฺตเร อญฺญเสฺสว ฌานมเนน นิพฺพตฺตตฺตา มโนมยสฺส สรีรสฺส นิพฺพตฺติวเสน ปวตฺตา มโนมยิทฺธิ นามฯ ฉ อภิญฺญาติ อาสวกฺขยญาเณน สทฺธิํ อิทฺธิวิธาทิกา ปญฺจาภิญฺญาโยฯ ติสฺสนฺนํ อฎฺฐนฺนญฺจ วิชฺชานํ ตตฺถ ตตฺถ สุเตฺต คหณํ เวเนยฺยชฺฌาสยวเสนาติ ทฎฺฐพฺพํฯ สตฺต สทฺธมฺมา นาม สทฺธา หิรี โอตฺตปฺปํ พาหุสจฺจํ วีริยํ สติ ปญฺญา จฯ เย สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘อิธ ภิกฺขุ สโทฺธ โหติ, หิริมา, โอตฺตปฺปี, พหุสฺสุโต, อารทฺธวีริโย, อุปฎฺฐิตสฺสติ, ปญฺญวา โหตี’’ติ (ที. นิ. ๓.๓๓๐)ฯ จตฺตาริ ฌานานีติ ยานิ กานิจิ จตฺตาริ รูปาวจรชฺฌานานิฯ
Vijjāhīti ettha vindiyaṃ vindatīti vijjā, yāthāvato upalabbhatīti attho. Attano vā paṭipakkhassa vijjhanaṭṭhena vijjā, tamokkhandhādikassa padālanaṭṭhenāti attho. Tato eva attano visayassa viditakaraṇaṭṭhenapi vijjā. Sampannattāti samannāgatattā paripuṇṇattā vā, avikalattāti attho. Tatrāti ambaṭṭhasutte. Manomayiddhiyāti ettha ‘‘idha bhikkhu imamhā kāyā aññaṃ kāyaṃ abhinimmināti rūpiṃ manomayaṃ sabbaṅgapaccaṅgaṃ ahīnindriya’’nti (dī. ni. 1.236) iminā nayena āgatā iddhi sarīrabbhantare aññasseva jhānamanena nibbattattā manomayassa sarīrassa nibbattivasena pavattā manomayiddhi nāma. Cha abhiññāti āsavakkhayañāṇena saddhiṃ iddhividhādikā pañcābhiññāyo. Tissannaṃ aṭṭhannañca vijjānaṃ tattha tattha sutte gahaṇaṃ veneyyajjhāsayavasenāti daṭṭhabbaṃ. Satta saddhammā nāma saddhā hirī ottappaṃ bāhusaccaṃ vīriyaṃ sati paññā ca. Ye sandhāya vuttaṃ ‘‘idha bhikkhu saddho hoti, hirimā, ottappī, bahussuto, āraddhavīriyo, upaṭṭhitassati, paññavā hotī’’ti (dī. ni. 3.330). Cattāri jhānānīti yāni kānici cattāri rūpāvacarajjhānāni.
กสฺมา ปเนตฺถ สีลาทโยเยว ปนฺนรส ‘‘จรณ’’นฺติ วุตฺตาติ โจทนํ สนฺธายาห ‘‘อิเมเยว หี’’ติอาทิฯ เตน เตสํ สิกฺขตฺตยสงฺคหโต นิพฺพานุปคมเน เอกํสโต สาธนภาวมาหฯ อิทานิ ตทตฺถสาธนาย อาคมํ ทเสฺสโนฺต ‘‘ยถาหา’’ติอาทิมาหฯ ภควาติอาทิ วุตฺตเสฺสวตฺถสฺส นิคมนวเสน วุตฺตํฯ นนุ จายํ วิชฺชาจรณสมฺปทา สาวเกสุปิ ลพฺภตีติ? กิญฺจาปิ ลพฺภติ, น ปน ตถา, ยถา ภควโตติ ทเสฺสตุํ ‘‘ตตฺถ วิชฺชาสมฺปทา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ อาสวกฺขยวิชฺชาย สพฺพญฺญุภาวสิทฺธิโต อาห ‘‘วิชฺชาสมฺปทา ภควโต สพฺพญฺญุตํ ปูเรตฺวา ฐิตา’’ติฯ จตูสุ ฌาเนสุ อโนฺตคธภาเวน จรณธมฺมปริยาปนฺนตฺตา กรุณาพฺรหฺมวิหารสฺส ยถารหํ ตสฺส จ มหากรุณาสมาปตฺติวเสน อสาธารณสภาวสฺส ภควติ อุปลพฺภนโต อาห ‘‘จรณสมฺปทา มหาการุณิกตํ ปูเรตฺวา ฐิตา’’ติฯ ยถา สตฺตานํ อนตฺถํ ปริวเชฺชตฺวา อเตฺถ นิโยชนํ ปญฺญาย วินา น โหติ, เอวํ เนสํ อตฺถานตฺถชานนํ สตฺถุ กรุณาย วินา น โหตีติ อุภยมฺปิ อุภยตฺถ สกิจฺจกเมว สิยาฯ ยตฺถ ปน ยสฺสา ปธานภาโว, ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘โส สพฺพญฺญุตายา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ยถา ตํ วิชฺชาจรณสมฺปโนฺนติ เอตฺถ ตนฺติ นิปาตมตฺตํ, ยถา อโญฺญปิ วิชฺชาจรณสมฺปโนฺน นิโยเชติ, ตถา อยนฺติ อโตฺถฯ เตน วิชฺชาจรณสมฺปนฺนเสฺสวายํ อาเวณิกา ปฎิปตฺตีติ ทเสฺสติฯ สา ปนายํ สตฺถุ วิชฺชาจรณสมฺปทา สาสนสฺส นิยฺยานิกตาย สาวกานํ สมฺมาปฎิปตฺติยา เอกนฺตการณนฺติ ทเสฺสตุํ ‘‘เตนสฺสา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ อตฺตนฺตปาทโยติ อาทิ-สเทฺทน ปรนฺตปอุภยนฺตปา คหิตาฯ เสสํ สุวิเญฺญยฺยเมวฯ
Kasmā panettha sīlādayoyeva pannarasa ‘‘caraṇa’’nti vuttāti codanaṃ sandhāyāha ‘‘imeyeva hī’’tiādi. Tena tesaṃ sikkhattayasaṅgahato nibbānupagamane ekaṃsato sādhanabhāvamāha. Idāni tadatthasādhanāya āgamaṃ dassento ‘‘yathāhā’’tiādimāha. Bhagavātiādi vuttassevatthassa nigamanavasena vuttaṃ. Nanu cāyaṃ vijjācaraṇasampadā sāvakesupi labbhatīti? Kiñcāpi labbhati, na pana tathā, yathā bhagavatoti dassetuṃ ‘‘tattha vijjāsampadā’’tiādi vuttaṃ. Āsavakkhayavijjāya sabbaññubhāvasiddhito āha ‘‘vijjāsampadā bhagavato sabbaññutaṃ pūretvā ṭhitā’’ti. Catūsu jhānesu antogadhabhāvena caraṇadhammapariyāpannattā karuṇābrahmavihārassa yathārahaṃ tassa ca mahākaruṇāsamāpattivasena asādhāraṇasabhāvassa bhagavati upalabbhanato āha ‘‘caraṇasampadā mahākāruṇikataṃ pūretvā ṭhitā’’ti. Yathā sattānaṃ anatthaṃ parivajjetvā atthe niyojanaṃ paññāya vinā na hoti, evaṃ nesaṃ atthānatthajānanaṃ satthu karuṇāya vinā na hotīti ubhayampi ubhayattha sakiccakameva siyā. Yattha pana yassā padhānabhāvo, taṃ dassetuṃ ‘‘so sabbaññutāyā’’tiādi vuttaṃ. Yathā taṃ vijjācaraṇasampannoti ettha tanti nipātamattaṃ, yathā aññopi vijjācaraṇasampanno niyojeti, tathā ayanti attho. Tena vijjācaraṇasampannassevāyaṃ āveṇikā paṭipattīti dasseti. Sā panāyaṃ satthu vijjācaraṇasampadā sāsanassa niyyānikatāya sāvakānaṃ sammāpaṭipattiyā ekantakāraṇanti dassetuṃ ‘‘tenassā’’tiādi vuttaṃ. Tattha attantapādayoti ādi-saddena parantapaubhayantapā gahitā. Sesaṃ suviññeyyameva.
เอตฺถ จ วิชฺชาสมฺปทาย สตฺถุ ปญฺญามหตฺตํ ปกาสิตํ โหติ, จรณสมฺปทาย กรุณามหตฺตํฯ เตสุ ปญฺญาย ภควโต ธมฺมรชฺชปฺปตฺติ, กรุณาย ธมฺมสํวิภาโคฯ ปญฺญาย สํสารทุกฺขนิพฺพิทา, กรุณาย สํสารทุกฺขสหนํฯ ปญฺญาย ปรทุกฺขปริชานนํ, กรุณาย ปรทุกฺขปติการารโมฺภฯ ปญฺญาย ปรินิพฺพานาภิมุขภาโว, กรุณาย ตทธิคโมฯ ปญฺญาย สยํ ตรณํ, กรุณาย ปเรสํ ตารณํฯ ปญฺญาย พุทฺธภาวสิทฺธิ, กรุณาย พุทฺธกิจฺจสิทฺธิฯ กรุณาย วา โพธิสตฺตภูมิยํ สํสาราภิมุขภาโว, ปญฺญาย ตตฺถ อนภิรติ, ตถา กรุณาย ปเรสํ อภิํสาปนํ, ปญฺญาย สยํ ปเรหิ อภายนํฯ กรุณาย ปรํ รกฺขโนฺต อตฺตานํ รกฺขติ, ปญฺญาย อตฺตานํ รกฺขโนฺต ปรํ รกฺขติฯ ตถา กรุณาย อปรนฺตโป, ปญฺญาย อนตฺตนฺตโป, เตน อตฺตหิตาย ปฎิปนฺนาทีสุ จตูสุ ปุคฺคเลสุ จตุตฺถปุคฺคลภาโว สิโทฺธ โหติฯ ตถา กรุณาย โลกนาถตา, ปญฺญาย อตฺตนาถตาฯ กรุณาย จสฺส นินฺนตาภาโว, ปญฺญาย อุนฺนมาภาโวฯ ตถา กรุณาย สพฺพสเตฺตสุ ชนิตานุคฺคโห, ปญฺญานุคตตฺตา น จ น สพฺพตฺถ วิรตฺตจิโตฺต, ปญฺญาย สพฺพธเมฺมสุ วิรตฺตจิโตฺต, กรุณานุคตตฺตา น จ น สพฺพสตฺตานุคฺคหาย ปวโตฺตฯ ยถา หิ กรุณา ภควโต สิเนหโสกวิรหิตา, เอวํ ปญฺญา อหํการมมํการวินิมุตฺตาติ อญฺญมญฺญวิโสธิตา ปรมวิสุทฺธา คุณวิเสสา วิชฺชาจรณสมฺปทาหิ ปกาสิตาติ ทฎฺฐพฺพํฯ
Ettha ca vijjāsampadāya satthu paññāmahattaṃ pakāsitaṃ hoti, caraṇasampadāya karuṇāmahattaṃ. Tesu paññāya bhagavato dhammarajjappatti, karuṇāya dhammasaṃvibhāgo. Paññāya saṃsāradukkhanibbidā, karuṇāya saṃsāradukkhasahanaṃ. Paññāya paradukkhaparijānanaṃ, karuṇāya paradukkhapatikārārambho. Paññāya parinibbānābhimukhabhāvo, karuṇāya tadadhigamo. Paññāya sayaṃ taraṇaṃ, karuṇāya paresaṃ tāraṇaṃ. Paññāya buddhabhāvasiddhi, karuṇāya buddhakiccasiddhi. Karuṇāya vā bodhisattabhūmiyaṃ saṃsārābhimukhabhāvo, paññāya tattha anabhirati, tathā karuṇāya paresaṃ abhiṃsāpanaṃ, paññāya sayaṃ parehi abhāyanaṃ. Karuṇāya paraṃ rakkhanto attānaṃ rakkhati, paññāya attānaṃ rakkhanto paraṃ rakkhati. Tathā karuṇāya aparantapo, paññāya anattantapo, tena attahitāya paṭipannādīsu catūsu puggalesu catutthapuggalabhāvo siddho hoti. Tathā karuṇāya lokanāthatā, paññāya attanāthatā. Karuṇāya cassa ninnatābhāvo, paññāya unnamābhāvo. Tathā karuṇāya sabbasattesu janitānuggaho, paññānugatattā na ca na sabbattha virattacitto, paññāya sabbadhammesu virattacitto, karuṇānugatattā na ca na sabbasattānuggahāya pavatto. Yathā hi karuṇā bhagavato sinehasokavirahitā, evaṃ paññā ahaṃkāramamaṃkāravinimuttāti aññamaññavisodhitā paramavisuddhā guṇavisesā vijjācaraṇasampadāhi pakāsitāti daṭṭhabbaṃ.
อิทานิ สุคโตติ อิมสฺส อตฺถํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘โสภนคมนตฺตา’’ติอาทิฯ ‘‘คเต ฐิเต’’ติอาทีสุ คมนมฺปิ คตนฺติ วุจฺจตีติ อาห ‘‘คมนมฺปิ หิ คตนฺติ วุจฺจตี’’ติฯ โสภนนฺติ สุภํ, สุภภาโว วิสุทฺธตาย, วิสุทฺธตา โทสวิคเมนาติ อาห ‘‘ปริสุทฺธมนวชฺช’’นฺติฯ คมนญฺจ นาม พหุวิธนฺติ อิธาธิเปฺปตํ คมนํ ทเสฺสโนฺต ‘‘อริยมโคฺค’’ติ อาหฯ โส หิ นิพฺพานสฺส คติ อธิคโมติ จ กตฺวา คตํ คมนนฺติ จ วุจฺจติฯ อิทานิ ตเสฺสว คมเน การณํ ทเสฺสตุํ ‘‘เตน เหสา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ เขมํ ทิสนฺติ นิพฺพานํฯ อสชฺชมาโนติ ปริปนฺถาภาเวน สุคติคมเนปิ อสชฺชโนฺต สงฺคํ อกโรโนฺต, ปเคว อิตรตฺถฯ อถ วา เอกาสเน นิสีทิตฺวา ขิปฺปาภิญฺญาวเสเนว จตุนฺนมฺปิ มคฺคานํ ปฎิลทฺธภาวโต อสชฺชมาโน อพชฺฌโนฺต คโตฯ ยํ คมนํ คจฺฉโนฺต สพฺพคมนตฺถํ อาวหติ, สพฺพญฺจ อนุตฺตรํ สมฺปตฺติํ อาวหติ, ตเทว โสภนํ นาม, เตน จ ภควา คโตติ อาห ‘‘อิติ โสภนคมนตฺตา สุคโต’’ติ โสภนโตฺถ สุสโทฺทติ กตฺวาฯ
Idāni sugatoti imassa atthaṃ dassento āha ‘‘sobhanagamanattā’’tiādi. ‘‘Gate ṭhite’’tiādīsu gamanampi gatanti vuccatīti āha ‘‘gamanampi hi gatanti vuccatī’’ti. Sobhananti subhaṃ, subhabhāvo visuddhatāya, visuddhatā dosavigamenāti āha ‘‘parisuddhamanavajja’’nti. Gamanañca nāma bahuvidhanti idhādhippetaṃ gamanaṃ dassento ‘‘ariyamaggo’’ti āha. So hi nibbānassa gati adhigamoti ca katvā gataṃ gamananti ca vuccati. Idāni tasseva gamane kāraṇaṃ dassetuṃ ‘‘tena hesā’’tiādi vuttaṃ. Khemaṃ disanti nibbānaṃ. Asajjamānoti paripanthābhāvena sugatigamanepi asajjanto saṅgaṃ akaronto, pageva itarattha. Atha vā ekāsane nisīditvā khippābhiññāvaseneva catunnampi maggānaṃ paṭiladdhabhāvato asajjamāno abajjhanto gato. Yaṃ gamanaṃ gacchanto sabbagamanatthaṃ āvahati, sabbañca anuttaraṃ sampattiṃ āvahati, tadeva sobhanaṃ nāma, tena ca bhagavā gatoti āha ‘‘iti sobhanagamanattā sugato’’ti sobhanattho susaddoti katvā.
อสุนฺทรานํ ทุกฺขานํ สงฺขารปฺปวตฺตีนํ อภาวโต อจฺจนฺตสุขตฺตา เอกนฺตโต สุนฺทรํ นาม อสงฺขตา ธาตูติ อาห ‘‘สุนฺทรเญฺจส ฐานํ คโต อมตํ นิพฺพาน’’นฺติฯ เตนาห ภควา ‘‘นิพฺพานํ ปรมํ สุข’’นฺติ (ม. นิ. ๒.๒๑๕; ธ. ป. ๒๐๓-๒๐๔)ฯ สมฺมาติ สุฎฺฐุฯ สุฎฺฐุ คมนญฺจ นาม ปฎิปเกฺขน อนภิภูตสฺส คมนนฺติ อาห ‘‘ปหีเน กิเลเส ปุน อปจฺจาคจฺฉโนฺต’’ติ, ปหีนานํ ปุน อสมุทาจารวเสน อปจฺจาคจฺฉโนฺตฯ วุตฺตเมวตฺถํ อาคมํ ทเสฺสตฺวา วิภาเวโนฺต อาห ‘‘วุตฺตเญฺจต’’นฺติอาทิฯ เอตนฺติ เตน เตน มเคฺคน ปหีนกิเลสานํ ปุน อปจฺจาคมนํ, อิทญฺจ สิขาปฺปตฺตํ สมฺมาคมนํ, ยาย อาคมนียปฎิปทาย สิทฺธํ, สาปิ สมฺมาคมนเมวาติ เอวมฺปิ ภควา สุคโตติ ทเสฺสตุํ ‘‘สมฺมา วา อาคโต’’ติอาทิ วุตฺตํฯ สมฺมาปฎิปตฺติยาติ สมฺมาสโมฺพธิยา สมฺปาปเน อวิปรีตปฎิปตฺติยาฯ สพฺพโลกสฺส หิตสุขเมว กโรนฺตาติ เอเตน มหาโพธิยา ปฎิปทา อวิภาเคน สพฺพสตฺตานํ สพฺพทา หิตสุขาวหภาเวเนว ปวตฺตตีติ ทเสฺสติฯ สสฺสตํ อุเจฺฉทนฺติ อิเม อเนฺต อนุปคจฺฉโนฺต คโตติ เอเตน ปฎิจฺจสมุปฺปาทคติํ ทเสฺสติฯ กามสุขํ อตฺตกิลมถนฺติ อิเม อนุปคจฺฉโนฺต คโตติ เอเตน อริยมคฺคคติํ ทเสฺสติฯ
Asundarānaṃ dukkhānaṃ saṅkhārappavattīnaṃ abhāvato accantasukhattā ekantato sundaraṃ nāma asaṅkhatā dhātūti āha ‘‘sundarañcesa ṭhānaṃ gato amataṃ nibbāna’’nti. Tenāha bhagavā ‘‘nibbānaṃ paramaṃ sukha’’nti (ma. ni. 2.215; dha. pa. 203-204). Sammāti suṭṭhu. Suṭṭhu gamanañca nāma paṭipakkhena anabhibhūtassa gamananti āha ‘‘pahīne kilese puna apaccāgacchanto’’ti, pahīnānaṃ puna asamudācāravasena apaccāgacchanto. Vuttamevatthaṃ āgamaṃ dassetvā vibhāvento āha ‘‘vuttañceta’’ntiādi. Etanti tena tena maggena pahīnakilesānaṃ puna apaccāgamanaṃ, idañca sikhāppattaṃ sammāgamanaṃ, yāya āgamanīyapaṭipadāya siddhaṃ, sāpi sammāgamanamevāti evampi bhagavā sugatoti dassetuṃ ‘‘sammā vā āgato’’tiādi vuttaṃ. Sammāpaṭipattiyāti sammāsambodhiyā sampāpane aviparītapaṭipattiyā. Sabbalokassa hitasukhameva karontāti etena mahābodhiyā paṭipadā avibhāgena sabbasattānaṃ sabbadā hitasukhāvahabhāveneva pavattatīti dasseti. Sassataṃ ucchedanti ime ante anupagacchanto gatoti etena paṭiccasamuppādagatiṃ dasseti. Kāmasukhaṃ attakilamathanti ime anupagacchanto gatoti etena ariyamaggagatiṃ dasseti.
ตตฺราติ ยุตฺตฎฺฐาเน ยุตฺตเสฺสว ภาสเนฯ นิปฺผาเทตเพฺพ สาเธตเพฺพ เจตํ ภุมฺมํฯ อภูตนฺติ อภูตตฺถํฯ อตฺถมุเขน หิ วาจาย อภูตตา ภูตตา วาฯ อตจฺฉนฺติ ตเสฺสว เววจนํฯ อนตฺถสํหิตนฺติ ทิฎฺฐธมฺมิเกน สมฺปรายิเกน วา อนเตฺถน สํหิตํ อนตฺถสํหิตํ, อนตฺถาวหํฯ น อโตฺถติ อนโตฺถ, อตฺถสฺส ปฎิปโกฺข อภาโว จ, เตน สํหิตํ, ปิสุณวาจํ สมฺผปฺปลาปญฺจาติ อโตฺถฯ เอวเมตฺถ จตุพฺพิธสฺสปิ วจีทุจฺจริตสฺส สงฺคโห ทฎฺฐโพฺพฯ เอตฺถ จ ปฐมา วาจา สีลวนฺตํ ‘‘ทุสฺสีโล’’ติ, อจณฺฑาลาทิํ ‘‘จณฺฑาโล’’ติอาทินา ภาสมานสฺส ทฎฺฐพฺพาฯ ทุติยา ทุสฺสีลํ ‘‘ทุสฺสีโล’’ติ, จณฺฑาลาทิเมว ‘‘จณฺฑาโล’’ติอาทินา อวินเยน ภาสมานสฺสฯ ตติยา เนรยิกาทิกสฺส เนรยิกาทิภาววิภาวนีกถา ยถา ‘‘อาปายิโก เทวทโตฺต เนรยิโก’’ติอาทิกาฯ จตุตฺถี ‘‘เวทวิหิเตน ยญฺญวิธินา ปาณาติปาตาทิกตํ สุคติํ อาวหตี’’ติ โลกสฺส พฺยาโมหนกถาฯ ปญฺจมี ภูเตน เปสุญฺญุปสํหารา กถาฯ ฉฎฺฐา ยุตฺตปตฺตฎฺฐาเน ปวตฺติตา ทานสีลาทิกถา เวทิตพฺพาฯ เอวํ สมฺมา คทตฺตาติ ยถาวุตฺตํ อภูตาทิํ วเชฺชตฺวา ภูตํ ตจฺฉํ อตฺถสํหิตํ ปิยํ มนาปํ ตโต เอว สมฺมา สุฎฺฐุ คทนโต สุคโตฯ อาปาถคมนมเตฺตน กสฺสจิ อปฺปิยมฺปิ หิ ภควโต วจนํ ปิยํ มนาปเมว อตฺถสิทฺธิยา โลกสฺส หิตสุขาวหตฺตาฯ เอตฺถ ปน ท-การสฺส ต-การํ กตฺวา ‘‘สุคโต’’ติ วุตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ
Tatrāti yuttaṭṭhāne yuttasseva bhāsane. Nipphādetabbe sādhetabbe cetaṃ bhummaṃ. Abhūtanti abhūtatthaṃ. Atthamukhena hi vācāya abhūtatā bhūtatā vā. Atacchanti tasseva vevacanaṃ. Anatthasaṃhitanti diṭṭhadhammikena samparāyikena vā anatthena saṃhitaṃ anatthasaṃhitaṃ, anatthāvahaṃ. Na atthoti anattho, atthassa paṭipakkho abhāvo ca, tena saṃhitaṃ, pisuṇavācaṃ samphappalāpañcāti attho. Evamettha catubbidhassapi vacīduccaritassa saṅgaho daṭṭhabbo. Ettha ca paṭhamā vācā sīlavantaṃ ‘‘dussīlo’’ti, acaṇḍālādiṃ ‘‘caṇḍālo’’tiādinā bhāsamānassa daṭṭhabbā. Dutiyā dussīlaṃ ‘‘dussīlo’’ti, caṇḍālādimeva ‘‘caṇḍālo’’tiādinā avinayena bhāsamānassa. Tatiyā nerayikādikassa nerayikādibhāvavibhāvanīkathā yathā ‘‘āpāyiko devadatto nerayiko’’tiādikā. Catutthī ‘‘vedavihitena yaññavidhinā pāṇātipātādikataṃ sugatiṃ āvahatī’’ti lokassa byāmohanakathā. Pañcamī bhūtena pesuññupasaṃhārā kathā. Chaṭṭhā yuttapattaṭṭhāne pavattitā dānasīlādikathā veditabbā. Evaṃ sammā gadattāti yathāvuttaṃ abhūtādiṃ vajjetvā bhūtaṃ tacchaṃ atthasaṃhitaṃ piyaṃ manāpaṃ tato eva sammā suṭṭhu gadanato sugato. Āpāthagamanamattena kassaci appiyampi hi bhagavato vacanaṃ piyaṃ manāpameva atthasiddhiyā lokassa hitasukhāvahattā. Ettha pana da-kārassa ta-kāraṃ katvā ‘‘sugato’’ti vuttanti daṭṭhabbaṃ.
อปโร นโย – โสภนํ คตํ คมนํ เอตสฺสาติ สุคโตฯ ภควโต หิ เวเนยฺยชนุปสงฺกมนํ เอกเนฺตน เตสํ หิตสุขนิปฺผาทนโต โสภนํ ภทฺทกํฯ ตถา ลกฺขณานุพฺยญฺชนปฺปฎิมณฺฑิตรูปกายตาย ทุตวิลมฺพิตขลิตานุกฑฺฒนนิปฺปีฬนุกฺกุฎิกกุฎิลากุลตาทิโทสวิรหิตํ วิลาสิตราชหํสวสภวารณมิคราชคมนํ กายคมนํ ญาณคมนญฺจ วิปุลนิมฺมลกรุณาสติวีริยาทิคุณวิเสสหิตมภินีหารโต ยาว มหาโพธิ อนวชฺชตาย สตฺตานํ หิตสุขาวหตาย จ โสภนเมวฯ อถ วา สยมฺภูญาเณน สกลมฺปิ โลกํ ปริญฺญาภิสมยวเสน ปริชานโนฺต สมฺมา คโต อวคโตติ สุคโตฯ ตถา โลกสมุทยํ ปหานาภิสมยวเสน ปชหโนฺต อนุปฺปตฺติธมฺมตํ อาปาเทโนฺต สมฺมา คโต อตีโตติ สุคโตฯ โลกนิโรธํ นิพฺพานํ สจฺฉิกิริยาภิสมยวเสน สมฺมา คโต อธิคโตติ สุคโตฯ โลกนิโรธคามินิํ ปฎิปทํ ภาวนาภิสมยวเสน สมฺมา คโต ปฎิปโนฺนติ สุคโตฯ ตถา ยํ อิมสฺส สเทวกสฺส โลกสฺส ทิฎฺฐํ สุตํ มุตํ วิญฺญาตํ ปตฺตํ ปริเยสิตํ ญาตํ อนุวิจริตํ มนสา, สพฺพํ ตํ หตฺถตเล อามลกํ วิย สมฺมา ปจฺจกฺขโต คโต อพฺภญฺญาสีติ สุคโตฯ
Aparo nayo – sobhanaṃ gataṃ gamanaṃ etassāti sugato. Bhagavato hi veneyyajanupasaṅkamanaṃ ekantena tesaṃ hitasukhanipphādanato sobhanaṃ bhaddakaṃ. Tathā lakkhaṇānubyañjanappaṭimaṇḍitarūpakāyatāya dutavilambitakhalitānukaḍḍhananippīḷanukkuṭikakuṭilākulatādidosavirahitaṃ vilāsitarājahaṃsavasabhavāraṇamigarājagamanaṃ kāyagamanaṃ ñāṇagamanañca vipulanimmalakaruṇāsativīriyādiguṇavisesahitamabhinīhārato yāva mahābodhi anavajjatāya sattānaṃ hitasukhāvahatāya ca sobhanameva. Atha vā sayambhūñāṇena sakalampi lokaṃ pariññābhisamayavasena parijānanto sammā gato avagatoti sugato. Tathā lokasamudayaṃ pahānābhisamayavasena pajahanto anuppattidhammataṃ āpādento sammā gato atītoti sugato. Lokanirodhaṃ nibbānaṃ sacchikiriyābhisamayavasena sammā gato adhigatoti sugato. Lokanirodhagāminiṃ paṭipadaṃ bhāvanābhisamayavasena sammā gato paṭipannoti sugato. Tathā yaṃ imassa sadevakassa lokassa diṭṭhaṃ sutaṃ mutaṃ viññātaṃ pattaṃ pariyesitaṃ ñātaṃ anuvicaritaṃ manasā, sabbaṃ taṃ hatthatale āmalakaṃ viya sammā paccakkhato gato abbhaññāsīti sugato.
อิทานิ โลกวิทูติ อิมสฺส อตฺถํ ปกาเสโนฺต อาห ‘‘สพฺพถา วิทิตโลกตฺตา’’ติอาทิฯ ตตฺถ สพฺพถาติ สพฺพปฺปกาเรน, โย โย โลโก เยน เยน ปกาเรน เวทิตโพฺพ, เตน เตน ปกาเรนาติ อโตฺถฯ เต ปน ปกาเร ทเสฺสตุํ ‘‘สภาวโต’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ สภาวโตติ ทุกฺขสภาวโตฯ สโพฺพ หิ โลโก ทุกฺขสภาโวฯ ยถาห ‘‘สํขิเตฺตน ปญฺจุปาทานกฺขนฺธา ทุกฺขา’’ติฯ สมุทยโตติ ยโต สมุเทติ, ตโต ตณฺหาทิโตฯ นิโรธโตติ ยตฺถ โส นิรุชฺฌติ, ตโต วิสงฺขารโตฯ นิโรธูปายโตติ เยน วิธินา โส นิโรโธ ปตฺตโพฺพ, ตโต อริยมคฺคโต อิโต อญฺญสฺส ปการสฺส อภาวาฯ อิติ ‘‘สพฺพถา โลกํ อเวที’’ติ วตฺวา ตทตฺถสาธกํ สุตฺตํ ทเสฺสโนฺต ‘‘ยตฺถ โข, อาวุโส’’ติอาทิมาหฯ อิทญฺจ สุตฺตํ ‘‘ยตฺถ โข, ภเนฺต, น ชายติ…เป.… น อุปปชฺชติ, สกฺกา นุ โข โส, ภเนฺต, คมเนน โลกสฺส อโนฺต ญาตุํ วา ทฎฺฐุํ วา ปาปุณิตุํ วา’’ติ (สํ. นิ. ๑.๑๐๗; อ. นิ. ๔.๔๕) โอกาสโลกสฺส คติํ สนฺธาย โรหิตเทวปุเตฺตน ปุโฎฺฐ ภควา อภาสิฯ ตตฺถ น ชายตีติอาทินา อุชุกํ ชาติอาทีนิ ปฎิกฺขิปิตฺวา น จวติ น อุปปชฺชตีติ ปททฺวเยน อปราปรํ จวนุปปตนานิ ปฎิกฺขิปติฯ เกจิ ปน ‘‘น ชายตีติอาทิ คพฺภเสยฺยกาทิวเสน วุตฺตํ, อิตรํ โอปปาติกวเสนา’’ติ วทนฺติฯ ตนฺติ ชาติอาทิรหิตํฯ คมเนนาติ ปทสา คมเนนฯ โลกสฺสนฺตนฺติ สงฺขารโลกสฺส อนฺตภูตํ นิพฺพานํฯ ญาเตยฺยนฺติ ชานิตพฺพํฯ ทเฎฺฐยฺยนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ ปเตฺตยฺยนฺติ ปตฺตพฺพํฯ ‘‘ญาตายํ ทิฎฺฐายํ ปตฺตาย’’นฺติ วา ปาโฐ, ตตฺถ คมเนน โลกสฺสนฺตํ ญาตา อยํ ทิฎฺฐา อยํ ปตฺตา อยนฺติ น วทามีติ อโตฺถฯ อยนฺติ นิพฺพานตฺถิโกฯ
Idāni lokavidūti imassa atthaṃ pakāsento āha ‘‘sabbathā viditalokattā’’tiādi. Tattha sabbathāti sabbappakārena, yo yo loko yena yena pakārena veditabbo, tena tena pakārenāti attho. Te pana pakāre dassetuṃ ‘‘sabhāvato’’tiādi vuttaṃ. Tattha sabhāvatoti dukkhasabhāvato. Sabbo hi loko dukkhasabhāvo. Yathāha ‘‘saṃkhittena pañcupādānakkhandhā dukkhā’’ti. Samudayatoti yato samudeti, tato taṇhādito. Nirodhatoti yattha so nirujjhati, tato visaṅkhārato. Nirodhūpāyatoti yena vidhinā so nirodho pattabbo, tato ariyamaggato ito aññassa pakārassa abhāvā. Iti ‘‘sabbathā lokaṃ avedī’’ti vatvā tadatthasādhakaṃ suttaṃ dassento ‘‘yattha kho, āvuso’’tiādimāha. Idañca suttaṃ ‘‘yattha kho, bhante, na jāyati…pe… na upapajjati, sakkā nu kho so, bhante, gamanena lokassa anto ñātuṃ vā daṭṭhuṃ vā pāpuṇituṃ vā’’ti (saṃ. ni. 1.107; a. ni. 4.45) okāsalokassa gatiṃ sandhāya rohitadevaputtena puṭṭho bhagavā abhāsi. Tattha na jāyatītiādinā ujukaṃ jātiādīni paṭikkhipitvā na cavati na upapajjatīti padadvayena aparāparaṃ cavanupapatanāni paṭikkhipati. Keci pana ‘‘na jāyatītiādi gabbhaseyyakādivasena vuttaṃ, itaraṃ opapātikavasenā’’ti vadanti. Tanti jātiādirahitaṃ. Gamanenāti padasā gamanena. Lokassantanti saṅkhāralokassa antabhūtaṃ nibbānaṃ. Ñāteyyanti jānitabbaṃ. Daṭṭheyyanti daṭṭhabbaṃ. Patteyyanti pattabbaṃ. ‘‘Ñātāyaṃ diṭṭhāyaṃ pattāya’’nti vā pāṭho, tattha gamanena lokassantaṃ ñātā ayaṃ diṭṭhā ayaṃ pattā ayanti na vadāmīti attho. Ayanti nibbānatthiko.
กามํ ปทสา คมเนน คนฺตฺวา โลกสฺสนฺตํ ญาตุํ ทฎฺฐุํ ปตฺตุํ วา น สกฺกา, อปิ จ ปริมิตปริจฺฉินฺนฎฺฐาเน ตํ ปญฺญาเปตฺวา ทเสฺสมีติ ทเสฺสโนฺต ‘‘อปิ จา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ พฺยามมเตฺต กเฬวเรติ พฺยามปฺปมาเณ อตฺตภาเวฯ อิมินา รูปกฺขนฺธํ ทเสฺสติฯ สสญฺญิมฺหีติ สญฺญาย สหิเตฯ อิมินา สญฺญาสีเสน เวทนาทโย ตโย ขเนฺธ ทเสฺสติ สญฺญาสหิตตฺตา เอวฯ สมนเกติ สวิญฺญาณเกติ อโตฺถฯ อิมินา วิญฺญาณกฺขนฺธํ ทเสฺสติ, อวิญฺญาณเก ปน อุตุสมุฎฺฐานรูปสมุทายมเตฺต ปญฺญาเปตุํ น สกฺกาติ อธิปฺปาโยฯ โลกนฺติ ขนฺธาทิโลกํฯ โลกนิโรธนฺติ ตสฺส โลกสฺส นิรุชฺฌนํ นิพฺพานเมว วาฯ นิพฺพานมฺปิ หิ ขเนฺธ ปฎิจฺจ ปญฺญาปนโต สรีรสฺมิํเยว ปญฺญาเปติฯ อเทสมฺปิ หิ ตํ เยสํ นิโรโธ, เตสํ วเสน เทสโตปิ อุปจารวเสน นิทฺทิสียติ ยถา ‘‘จกฺขุํ โลเก ปิยรูปํ สาตรูปํ, เอเตฺถสา ตณฺหา ปหียมานา ปหียติ, เอตฺถ นิรุชฺฌมานา นิรุชฺฌตี’’ติ (ที. นิ. ๒.๔๐๑; ม. นิ. ๑.๑๓๔; วิภ. ๒๐๔)ฯ
Kāmaṃ padasā gamanena gantvā lokassantaṃ ñātuṃ daṭṭhuṃ pattuṃ vā na sakkā, api ca parimitaparicchinnaṭṭhāne taṃ paññāpetvā dassemīti dassento ‘‘api cā’’tiādimāha. Tattha byāmamatte kaḷevareti byāmappamāṇe attabhāve. Iminā rūpakkhandhaṃ dasseti. Sasaññimhīti saññāya sahite. Iminā saññāsīsena vedanādayo tayo khandhe dasseti saññāsahitattā eva. Samanaketi saviññāṇaketi attho. Iminā viññāṇakkhandhaṃ dasseti, aviññāṇake pana utusamuṭṭhānarūpasamudāyamatte paññāpetuṃ na sakkāti adhippāyo. Lokanti khandhādilokaṃ. Lokanirodhanti tassa lokassa nirujjhanaṃ nibbānameva vā. Nibbānampi hi khandhe paṭicca paññāpanato sarīrasmiṃyeva paññāpeti. Adesampi hi taṃ yesaṃ nirodho, tesaṃ vasena desatopi upacāravasena niddisīyati yathā ‘‘cakkhuṃ loke piyarūpaṃ sātarūpaṃ, etthesā taṇhā pahīyamānā pahīyati, ettha nirujjhamānā nirujjhatī’’ti (dī. ni. 2.401; ma. ni. 1.134; vibha. 204).
คมเนนาติ ปากติกคมเนนฯ โลกสฺสโนฺตติ สงฺขารโลกสฺส อโนฺต อนฺตกิริยาย เหตุภูตํ นิพฺพานํฯ กุทาจนนฺติ กทาจิปิฯ อปฺปตฺวาติ อคฺคมเคฺคน อนธิคนฺตฺวาฯ ปโมจนนฺติ ปมุตฺติ นิสฺสรณํฯ ตสฺมาติ ยสฺมา โลกนฺตํ อปฺปตฺวา วฎฺฎทุกฺขโต มุตฺติ นตฺถิ, ตสฺมาฯ หเวติ นิปาตมตฺตํฯ โลกวิทูติ สภาวาทิโต สพฺพํ โลกํ วิชานโนฺตฯ สุเมโธติ สุนฺทรปโญฺญฯ โลกนฺตคูติ ปริญฺญาภิสมเยน โลกํ วิทิตฺวา ปหานาภิสมเยน โลกนฺตคูฯ มคฺคพฺรหฺมจริยสฺส ปรินิฎฺฐิตตฺตา วุสิตพฺรหฺมจริโยฯ สเพฺพสํ กิเลสานํ สมิตตฺตา จตุสจฺจธมฺมานํ วา อภิสมิตตฺตา สมิตาวีฯ นาสีสตีติ น ปเตฺถติ, ยถา อิมํ โลกํ, เอวํ ปรญฺจ โลกํ นาสีสติ อปฺปฎิสนฺธิกตฺตาฯ
Gamanenāti pākatikagamanena. Lokassantoti saṅkhāralokassa anto antakiriyāya hetubhūtaṃ nibbānaṃ. Kudācananti kadācipi. Appatvāti aggamaggena anadhigantvā. Pamocananti pamutti nissaraṇaṃ. Tasmāti yasmā lokantaṃ appatvā vaṭṭadukkhato mutti natthi, tasmā. Haveti nipātamattaṃ. Lokavidūti sabhāvādito sabbaṃ lokaṃ vijānanto. Sumedhoti sundarapañño. Lokantagūti pariññābhisamayena lokaṃ viditvā pahānābhisamayena lokantagū. Maggabrahmacariyassa pariniṭṭhitattā vusitabrahmacariyo. Sabbesaṃ kilesānaṃ samitattā catusaccadhammānaṃ vā abhisamitattā samitāvī. Nāsīsatīti na pattheti, yathā imaṃ lokaṃ, evaṃ parañca lokaṃ nāsīsati appaṭisandhikattā.
เอวํ ยทิปิ โลกวิทุตา อนวเสสโต ทสฺสิตา สภาวาทิโต ทสฺสิตตฺตา, โลโก ปน เอกเทเสเนว วุโตฺตติ ตํ อนวเสสโต ทเสฺสตุํ ‘‘อปิ จ ตโย โลกา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ อินฺทฺริยพทฺธานํ ขนฺธานํ สมูโห สนฺตาโน จ สตฺตโลโกฯ รูปาทีสุ สตฺตวิสตฺตตาย สโตฺต, โลกียติ เอตฺถ กุสลากุสลํ ตพฺพิปาโก จาติ โลโกฯ อนินฺทฺริยพทฺธานํ รูปาทีนํ สมูโห สนฺตาโน จ โอกาสโลโก โลกียนฺติ เอตฺถ ชงฺคมา ถาวรา จ เตสญฺจ โอกาสภูโตติ กตฺวาฯ ตทาธารตาย เหส ‘‘ภาชนโลโก’’ติปิ วุจฺจติฯ อุภเยปิ ขนฺธา สงฺขารโลโก ปจฺจเยหิ สงฺขรียนฺติ ลุชฺชนฺติ ปลุชฺชนฺติ จาติฯ อาหารฎฺฐิติกาติ ปจฺจยฎฺฐิติกา, ปจฺจยายตฺตวุตฺติกาติ อโตฺถฯ ปจฺจยโตฺถ เหตฺถ อาหารสโทฺท ‘‘อยมาหาโร อนุปฺปนฺนสฺส วา กามจฺฉนฺทสฺส อุปฺปาทายา’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๕.๒๓๒) วิยฯ เอวญฺหิ ‘‘สเพฺพ สตฺตา’’ติ อิมินา อสญฺญสตฺตาปิ ปริคฺคหิตา โหนฺติฯ สา ปนายํ อาหารฎฺฐิติกตา นิปฺปริยายโต สงฺขารธโมฺม, น สตฺตธโมฺมติ อาห ‘‘อาหารฎฺฐิติกาติ อาคตฎฺฐาเน สงฺขารโลโก เวทิตโพฺพ’’ติฯ
Evaṃ yadipi lokavidutā anavasesato dassitā sabhāvādito dassitattā, loko pana ekadeseneva vuttoti taṃ anavasesato dassetuṃ ‘‘api ca tayo lokā’’tiādi vuttaṃ. Tattha indriyabaddhānaṃ khandhānaṃ samūho santāno ca sattaloko. Rūpādīsu sattavisattatāya satto, lokīyati ettha kusalākusalaṃ tabbipāko cāti loko. Anindriyabaddhānaṃ rūpādīnaṃ samūho santāno ca okāsaloko lokīyanti ettha jaṅgamā thāvarā ca tesañca okāsabhūtoti katvā. Tadādhāratāya hesa ‘‘bhājanaloko’’tipi vuccati. Ubhayepi khandhā saṅkhāraloko paccayehi saṅkharīyanti lujjanti palujjanti cāti. Āhāraṭṭhitikāti paccayaṭṭhitikā, paccayāyattavuttikāti attho. Paccayattho hettha āhārasaddo ‘‘ayamāhāro anuppannassa vā kāmacchandassa uppādāyā’’tiādīsu (saṃ. ni. 5.232) viya. Evañhi ‘‘sabbe sattā’’ti iminā asaññasattāpi pariggahitā honti. Sā panāyaṃ āhāraṭṭhitikatā nippariyāyato saṅkhāradhammo, na sattadhammoti āha ‘‘āhāraṭṭhitikāti āgataṭṭhāne saṅkhāraloko veditabbo’’ti.
ยทิ เอวํ ‘‘สเพฺพ สตฺตา’’ติ อิทํ กถนฺติ? ปุคฺคลาธิฎฺฐานเทสนาติ นายํ โทโสฯ กสฺมา ปน ภควา กตฺถจิ ปุคฺคลาธิฎฺฐานํ กตฺวา ธมฺมํ เทเสติ, กตฺถจิ ธมฺมาธิฎฺฐานํ กตฺวา ธมฺมํ เทเสตีติ? เทสนาวิลาสโต เวเนยฺยชฺฌาสยโต จฯ เทสนาวิลาสปฺปตฺตา หิ พุทฺธา ภควโนฺต, เต ยถารุจิ กตฺถจิ ปุคฺคลาธิฎฺฐานํ กตฺวา กตฺถจิ ธมฺมาธิฎฺฐานํ กตฺวา ธมฺมํ เทเสนฺติฯ เย วา ปน เวเนยฺยา สาสนกฺกมํ อโนติณฺณา, เตสํ ปุคฺคลาธิฎฺฐานํ เทสนํ เทเสนฺติฯ เย จ โอติณฺณา, เตสํ ธมฺมาธิฎฺฐานํฯ สมฺมุติสจฺจวิสยา ปุคฺคลาธิฎฺฐานา เทสนา, อิตรา ปรมตฺถสจฺจวิสยาฯ ปุริมา กรุณานุกูลา, อิตรา ปญฺญานุกูลาฯ สทฺธานุสารีโคตฺตานํ วา ปุริมาฯ เต หิ ปุคฺคลปฺปมาณิกา, ปจฺฉิมา ธมฺมานุสารีโคตฺตานํฯ สทฺธาจริตตาย วา โลกาธิปตีนํ วเสน ปุคฺคลาธิฎฺฐานา, ปญฺญาจริตตาย ธมฺมาธิปตีนํ วเสน ธมฺมาธิฎฺฐานาฯ ปุริมา จ เนยฺยตฺถา, ปจฺฉิมา นีตตฺถาฯ อิติ ภควา ตํ ตํ วิเสสํ อเปกฺขิตฺวา ตตฺถ ตตฺถ ทุวิธํ เทสนํ เทเสตีติ เวทิตพฺพํฯ
Yadi evaṃ ‘‘sabbe sattā’’ti idaṃ kathanti? Puggalādhiṭṭhānadesanāti nāyaṃ doso. Kasmā pana bhagavā katthaci puggalādhiṭṭhānaṃ katvā dhammaṃ deseti, katthaci dhammādhiṭṭhānaṃ katvā dhammaṃ desetīti? Desanāvilāsato veneyyajjhāsayato ca. Desanāvilāsappattā hi buddhā bhagavanto, te yathāruci katthaci puggalādhiṭṭhānaṃ katvā katthaci dhammādhiṭṭhānaṃ katvā dhammaṃ desenti. Ye vā pana veneyyā sāsanakkamaṃ anotiṇṇā, tesaṃ puggalādhiṭṭhānaṃ desanaṃ desenti. Ye ca otiṇṇā, tesaṃ dhammādhiṭṭhānaṃ. Sammutisaccavisayā puggalādhiṭṭhānā desanā, itarā paramatthasaccavisayā. Purimā karuṇānukūlā, itarā paññānukūlā. Saddhānusārīgottānaṃ vā purimā. Te hi puggalappamāṇikā, pacchimā dhammānusārīgottānaṃ. Saddhācaritatāya vā lokādhipatīnaṃ vasena puggalādhiṭṭhānā, paññācaritatāya dhammādhipatīnaṃ vasena dhammādhiṭṭhānā. Purimā ca neyyatthā, pacchimā nītatthā. Iti bhagavā taṃ taṃ visesaṃ apekkhitvā tattha tattha duvidhaṃ desanaṃ desetīti veditabbaṃ.
ทิฎฺฐิคติกานํ สสฺสตาทิวเสน ‘‘อตฺตา โลโก’’ติ ปริกปฺปนา เยภุเยฺยน สตฺตวิสยา, น สงฺขารวิสยาติ อาห ‘‘สสฺสโต โลโกติ วา อสสฺสโต โลโกติ วาติ อาคตฎฺฐาเน สตฺตโลโก เวทิตโพฺพ’’ติฯ ยาวตา จนฺทิมสูริยา ปริหรนฺตีติ ยตฺตเก ฐาเน จนฺทิมสูริยา ปริวตฺตนฺติ ปริพฺภมนฺติฯ ทิสา ภนฺติ วิโรจมานาติ เตสํ ปริพฺภมเนเนว ตา ตา ทิสา ปภสฺสรา หุตฺวา วิโรจนฺติฯ อถ วา ทิสาติ อุปโยคพหุวจนํ, ตสฺมา สยํ วิโรจมานา จนฺทิมสูริยา ยตฺตกา ทิสา ภนฺติ โสเภนฺติ โอภาสยนฺตีติ อโตฺถฯ ตาว สหสฺสธา โลโกติ ตตฺตเกน ปมาเณน สหสฺสปฺปกาโร โอกาสโลโก, สหสฺสโลกธาตุโยติ อโตฺถฯ ‘‘ตาวสหสฺสวา’’ติ วา ปาโฐ, ตาว ตตฺตกํ สหสฺสํ อสฺส อตฺถีติ ตาวสหสฺสวาฯ เอตฺถาติ สหสฺสโลกธาตุสงฺขาเต โลเกฯ
Diṭṭhigatikānaṃ sassatādivasena ‘‘attā loko’’ti parikappanā yebhuyyena sattavisayā, na saṅkhāravisayāti āha ‘‘sassato lokoti vā asassato lokoti vāti āgataṭṭhāne sattaloko veditabbo’’ti. Yāvatā candimasūriyā pariharantīti yattake ṭhāne candimasūriyā parivattanti paribbhamanti. Disā bhanti virocamānāti tesaṃ paribbhamaneneva tā tā disā pabhassarā hutvā virocanti. Atha vā disāti upayogabahuvacanaṃ, tasmā sayaṃ virocamānā candimasūriyā yattakā disā bhanti sobhenti obhāsayantīti attho. Tāva sahassadhā lokoti tattakena pamāṇena sahassappakāro okāsaloko, sahassalokadhātuyoti attho. ‘‘Tāvasahassavā’’ti vā pāṭho, tāva tattakaṃ sahassaṃ assa atthīti tāvasahassavā. Etthāti sahassalokadhātusaṅkhāte loke.
ตมฺปีติ ติวิธมฺปิ โลกํฯ สพฺพถา อเวทีติ สพฺพปฺปการโต ปฎิวิชฺฌิฯ กถํ ปฎิวิชฺฌีติ อาห ‘‘ตถา หี’’ติอาทิฯ ตถา หิสฺสาติ อิมสฺส ‘‘สพฺพถา วิทิโต’’ติ เอเตน สมฺพโนฺธฯ อสฺสาติ อเนน ภควตาฯ เอโก โลโก สเพฺพ สตฺตา อาหารฎฺฐิติกาติ ยาย ปุคฺคลาธิฎฺฐานาย กถาย สเพฺพสํ สงฺขารานํ ปจฺจยายตฺตวุตฺติตา วุตฺตา, ตาย สโพฺพ สงฺขารโลโก เอกวิโธ ปการนฺตรสฺส อภาวโตฯ เทฺว โลกาติอาทีสุปิ อิมินาว นเยน อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ นามคฺคหเณน เจตฺถ นิพฺพานสฺส อคฺคหณํ ตสฺส อโลกสภาวตฺตาฯ นนุ จ ‘‘อาหารฎฺฐิติกา’’ติ เอตฺถ ปจฺจยายตฺตวุตฺติตาย มคฺคผลธมฺมานมฺปิ โลกตา อาปชฺชตีติ? นาปชฺชติ ปริเญฺญยฺยานํ ทุกฺขสจฺจธมฺมานํ อิธ โลโกติ อธิเปฺปตตฺตาฯ อถ วา น ลุชฺชติ น ปลุชฺชตีติ โย คหิโต ตถา น โหติ, โส โลโกติ ตํคหณรหิตานํ โลกุตฺตรานํ นตฺถิ โลกตาฯ
Tampīti tividhampi lokaṃ. Sabbathā avedīti sabbappakārato paṭivijjhi. Kathaṃ paṭivijjhīti āha ‘‘tathā hī’’tiādi. Tathā hissāti imassa ‘‘sabbathā vidito’’ti etena sambandho. Assāti anena bhagavatā. Eko loko sabbe sattā āhāraṭṭhitikāti yāya puggalādhiṭṭhānāya kathāya sabbesaṃ saṅkhārānaṃ paccayāyattavuttitā vuttā, tāya sabbo saṅkhāraloko ekavidho pakārantarassa abhāvato. Dve lokātiādīsupi imināva nayena attho veditabbo. Nāmaggahaṇena cettha nibbānassa aggahaṇaṃ tassa alokasabhāvattā. Nanu ca ‘‘āhāraṭṭhitikā’’ti ettha paccayāyattavuttitāya maggaphaladhammānampi lokatā āpajjatīti? Nāpajjati pariññeyyānaṃ dukkhasaccadhammānaṃ idha lokoti adhippetattā. Atha vā na lujjati na palujjatīti yo gahito tathā na hoti, so lokoti taṃgahaṇarahitānaṃ lokuttarānaṃ natthi lokatā.
ติโสฺส เวทนาติ สุขทุกฺขอุเปกฺขาวเสนฯ จตฺตาโร อาหาราติ กพฬีการาหาโร ผสฺสาหาโร มโนสเญฺจตนาหาโร วิญฺญาณาหาโรติ จตฺตาโร อาหาราฯ ตตฺถ กพฬีการาหาโร โอชฎฺฐมกํ รูปํ อาหรตีติ อาหาโรฯ ผโสฺส ติโสฺส เวทนา อาหรตีติ อาหาโรฯ มโนสเญฺจตนา ตีสุ ภเวสุ ปฎิสนฺธิํ อาหรตีติ อาหาโรฯ วิญฺญาณํ ปฎิสนฺธิกฺขเณ นามรูปํ อาหรตีติ อาหาโรฯ อุปาทานานํ อารมฺมณภูตา ขนฺธา อุปาทานกฺขนฺธาฯ ฉ อชฺฌตฺติกานิ อายตนานีติ จกฺขายตนาทิมนายตนปริยนฺตานิฯ สตฺต วิญฺญาณฎฺฐิติโยติ นานตฺตกายา นานตฺตสญฺญิโน, นานตฺตกายา เอกตฺตสญฺญิโน, เอกตฺตกายา นานตฺตสญฺญิโน, เอกตฺตกายา เอกตฺตสญฺญิโน, เหฎฺฐิมา จ ตโย อารุปฺปาติ อิมา สตฺต ‘‘วิญฺญาณํ ติฎฺฐติ เอตฺถาติ วิญฺญาณฎฺฐิติโย’’ติ วุจฺจนฺติฯ ตตฺถ นานตฺตํ กาโย เอเตสํ, นานโตฺต วา กาโย เอเตสนฺติ นานตฺตกายา, นานตฺตสญฺญา เอเตสํ อตฺถีติ นานตฺตสญฺญิโนฯ อิมินา นเยน เสสปเทสุปิ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
Tisso vedanāti sukhadukkhaupekkhāvasena. Cattāro āhārāti kabaḷīkārāhāro phassāhāro manosañcetanāhāro viññāṇāhāroti cattāro āhārā. Tattha kabaḷīkārāhāro ojaṭṭhamakaṃ rūpaṃ āharatīti āhāro. Phasso tisso vedanā āharatīti āhāro. Manosañcetanā tīsu bhavesu paṭisandhiṃ āharatīti āhāro. Viññāṇaṃ paṭisandhikkhaṇe nāmarūpaṃ āharatīti āhāro. Upādānānaṃ ārammaṇabhūtā khandhā upādānakkhandhā. Cha ajjhattikāni āyatanānīti cakkhāyatanādimanāyatanapariyantāni. Satta viññāṇaṭṭhitiyoti nānattakāyā nānattasaññino, nānattakāyā ekattasaññino, ekattakāyā nānattasaññino, ekattakāyā ekattasaññino, heṭṭhimā ca tayo āruppāti imā satta ‘‘viññāṇaṃ tiṭṭhati etthāti viññāṇaṭṭhitiyo’’ti vuccanti. Tattha nānattaṃ kāyo etesaṃ, nānatto vā kāyo etesanti nānattakāyā, nānattasaññā etesaṃ atthīti nānattasaññino. Iminā nayena sesapadesupi attho veditabbo.
สเพฺพ มนุสฺสา (ที. นิ. อฎฺฐ. ๒.๑๒๗; อ. นิ. อฎฺฐ. ๓.๗.๔๔-๔๕) ฉกามาวจรา จ เทวา เอกเจฺจ จ วินิปาติกา ‘‘นานตฺตกายา นานตฺตสญฺญิโน’’ติ วุจฺจนฺติฯ อปริมาเณสุ หิ จกฺกวาเฬสุ อปริมาณานํ มนุสฺสานํ วณฺณสณฺฐานาทิวเสน เทฺวปิ เอกสทิสา นตฺถิฯ เยปิ กตฺถจิ ยมกภาตโร วเณฺณน วา สณฺฐาเนน วา เอกสทิสา โหนฺติ, เตสมฺปิ อาโลกิตวิโลกิตกถิตหสิตคมนฐานาทีหิ วิเสโส โหติเยว, ปฎิสนฺธิสญฺญา จ เนสํ ติเหตุกาปิ ทุเหตุกาปิ อเหตุกาปิ โหติ, ตสฺมา สเพฺพปิ มนุสฺสา นานตฺตกายา นานตฺตสญฺญิโนฯ ฉกามาวจรเทเวสุ จ เกสญฺจิ กาโย นีโล โหติ, เกสญฺจิ ปีตาทิวโณฺณ, ปฎิสนฺธิสญฺญา จ เนสํ ทุเหตุกาปิ ติเหตุกาปิ โหติ, ตสฺมา เตปิ นานตฺตกายา นานตฺตสญฺญิโนฯ เอกเจฺจ วินิปาติกา ปน จตุอปายวินิมุตฺตกา อุตฺตรมาตา ยกฺขินี, ปิยงฺกรมาตา, ธมฺมคุตฺตาติ เอวมาทโย ทฎฺฐพฺพาฯ เอเตสญฺหิ โอทาตกอาฬมงฺคุรจฺฉวิสามวณฺณาทิวเสน เจว กิสถูลรสฺสทีฆาทิวเสน จ กาโย นานา โหติ, มนุสฺสานํ วิย ติเหตุกทุเหตุกาเหตุกวเสน ปฎิสนฺธิสญฺญาปิ, เต ปน เทวา วิย น มเหสกฺขา , กปณมนุสฺสา วิย อเปฺปสกฺขา ทุลฺลภฆาสจฺฉาทนา ทุกฺขปีฬิตา วิหรนฺติ, เอกเจฺจ กาฬปเกฺข ทุกฺขิตา ชุณฺหปเกฺข สุขิตา โหนฺติ, ตสฺมา สุขสมุสฺสยโต วินิปติตตฺตา สุขสมุสฺสยโต วินิปาโต เอเตสํ อตฺถีติ วินิปาติกาติ วุตฺตา สติปิ เทวภาเว ทิพฺพสมฺปตฺติยา อภาวโตฯ เย ปเนตฺถ ติเหตุกา, เตสํ ธมฺมาภิสมโยปิ โหติฯ ปิยงฺกรมาตา หิ ยกฺขินี ปจฺจูสสมเย อนุรุทฺธเตฺถรสฺส ธมฺมํ สชฺฌายโต สุตฺวา –
Sabbe manussā (dī. ni. aṭṭha. 2.127; a. ni. aṭṭha. 3.7.44-45) chakāmāvacarā ca devā ekacce ca vinipātikā ‘‘nānattakāyā nānattasaññino’’ti vuccanti. Aparimāṇesu hi cakkavāḷesu aparimāṇānaṃ manussānaṃ vaṇṇasaṇṭhānādivasena dvepi ekasadisā natthi. Yepi katthaci yamakabhātaro vaṇṇena vā saṇṭhānena vā ekasadisā honti, tesampi ālokitavilokitakathitahasitagamanaṭhānādīhi viseso hotiyeva, paṭisandhisaññā ca nesaṃ tihetukāpi duhetukāpi ahetukāpi hoti, tasmā sabbepi manussā nānattakāyā nānattasaññino. Chakāmāvacaradevesu ca kesañci kāyo nīlo hoti, kesañci pītādivaṇṇo, paṭisandhisaññā ca nesaṃ duhetukāpi tihetukāpi hoti, tasmā tepi nānattakāyā nānattasaññino. Ekacce vinipātikā pana catuapāyavinimuttakā uttaramātā yakkhinī, piyaṅkaramātā, dhammaguttāti evamādayo daṭṭhabbā. Etesañhi odātakaāḷamaṅguracchavisāmavaṇṇādivasena ceva kisathūlarassadīghādivasena ca kāyo nānā hoti, manussānaṃ viya tihetukaduhetukāhetukavasena paṭisandhisaññāpi, te pana devā viya na mahesakkhā , kapaṇamanussā viya appesakkhā dullabhaghāsacchādanā dukkhapīḷitā viharanti, ekacce kāḷapakkhe dukkhitā juṇhapakkhe sukhitā honti, tasmā sukhasamussayato vinipatitattā sukhasamussayato vinipāto etesaṃ atthīti vinipātikāti vuttā satipi devabhāve dibbasampattiyā abhāvato. Ye panettha tihetukā, tesaṃ dhammābhisamayopi hoti. Piyaṅkaramātā hi yakkhinī paccūsasamaye anuruddhattherassa dhammaṃ sajjhāyato sutvā –
‘‘มา สทฺทํ กริ ปิยงฺกร, ภิกฺขุ ธมฺมปทานิ ภาสติ;
‘‘Mā saddaṃ kari piyaṅkara, bhikkhu dhammapadāni bhāsati;
อปิจ ธมฺมปทํ วิชานิย, ปฎิปเชฺชม หิตาย โน สิยาฯ
Apica dhammapadaṃ vijāniya, paṭipajjema hitāya no siyā.
‘‘ปาเณสุ จ สํยมามเส, สมฺปชานมุสา น ภณามเส;
‘‘Pāṇesu ca saṃyamāmase, sampajānamusā na bhaṇāmase;
สิเกฺขม สุสีลฺยมตฺตโน, อปิ มุเจฺจม ปิสาจโยนิยา’’ติฯ (สํ. นิ. ๑.๒๔๐) –
Sikkhema susīlyamattano, api muccema pisācayoniyā’’ti. (saṃ. ni. 1.240) –
เอวํ ปุตฺตกํ สญฺญาเปตฺวา ตํ ทิวสํ โสตาปตฺติผลํ ปตฺตาฯ อุตฺตรมาตา ปน ภควโต ธมฺมํ สุตฺวาว โสตาปนฺนา ชาตาฯ เอวมิเมปิ กายสฺส เจว ปฎิสนฺธิสญฺญาย จ นานตฺตา ‘‘นานตฺตกายา นานตฺตสญฺญิโน’’เตฺวว สงฺขฺยํ คจฺฉนฺติฯ
Evaṃ puttakaṃ saññāpetvā taṃ divasaṃ sotāpattiphalaṃ pattā. Uttaramātā pana bhagavato dhammaṃ sutvāva sotāpannā jātā. Evamimepi kāyassa ceva paṭisandhisaññāya ca nānattā ‘‘nānattakāyā nānattasaññino’’tveva saṅkhyaṃ gacchanti.
พฺรหฺมปาริสชฺชพฺรหฺมปุโรหิตมหาพฺรหฺมสงฺขาตา ปน หีนมชฺฌิมปณีตเภทภิเนฺนน ปฐมชฺฌาเนน นิพฺพตฺตา พฺรหฺมกายิกา เจว จตูสุ อปาเยสุ สตฺตา จ ‘‘นานตฺตกายา เอกตฺตสญฺญิโน’’ติ วุจฺจนฺติฯ เอเตสุ หิ พฺรหฺมกายิเกสุ พฺรหฺมปุโรหิตานํ กาโย พฺรหฺมปาริสเชฺชหิ ปมาณโต วิปุลตโร โหติ, มหาพฺรหฺมานํ กาโย ปน พฺรหฺมปุโรหิเตหิปิ ปมาณโต วิปุลตโร โหติฯ กามญฺจ เนสํ ปภาวเสนปิ กาโย เหฎฺฐิมเหฎฺฐิเมหิ อุฬารตโร โหติ, ตํ ปน อิธ อปฺปมาณํฯ ตถา หิ ปริตฺตาภาทีนํ ปริตฺตสุภาทีนญฺจ กาเย สติปิ ปภาเวมเตฺต เอกตฺตวเสเนว ววตฺถปียตีติ ‘‘เอกตฺตกายา’’เตฺวว เต วุจฺจนฺติฯ เอวมิเม พฺรหฺมกายิกา กายสฺส นานตฺตา ปฐมชฺฌานวิปากวเสน ปน ปฎิสนฺธิสญฺญาย จ เอกตฺตา นานตฺตกายา เอกตฺตสญฺญิโนฯ ยถา จ เต, เอวํ จตูสุ อปาเยสุ สตฺตาฯ นิรเยสุ หิ เกสญฺจิ คาวุตํ, เกสญฺจิ อฑฺฒโยชนํ, เกสญฺจิ โยชนํ อตฺตภาโว โหติ, เทวทตฺตสฺส ปน โยชนสติโก ชาโตฯ ติรจฺฉาเนสุปิ เกจิ ขุทฺทกา, เกจิ มหนฺตา, เปตฺติวิสเยปิ เกจิ สฎฺฐิหตฺถา, เกจิ อสีติหตฺถา โหนฺติ, เกจิ สุวณฺณา, เกจิ ทุพฺพณฺณา, ตถา กาลกญฺจิกา อสุราฯ อปิ เจตฺถ ทีฆปิฎฺฐิกเปตา นาม สฎฺฐิโยชนิกาปิ โหนฺติ, ปฎิสนฺธิสญฺญา ปน สเพฺพสมฺปิ อกุสลวิปากาเหตุกาว โหติฯ อิติ อาปายิกาปิ ‘‘นานตฺตกายา เอกตฺตสญฺญิโน’’เตฺวว สงฺขฺยํ คจฺฉนฺติฯ
Brahmapārisajjabrahmapurohitamahābrahmasaṅkhātā pana hīnamajjhimapaṇītabhedabhinnena paṭhamajjhānena nibbattā brahmakāyikā ceva catūsu apāyesu sattā ca ‘‘nānattakāyā ekattasaññino’’ti vuccanti. Etesu hi brahmakāyikesu brahmapurohitānaṃ kāyo brahmapārisajjehi pamāṇato vipulataro hoti, mahābrahmānaṃ kāyo pana brahmapurohitehipi pamāṇato vipulataro hoti. Kāmañca nesaṃ pabhāvasenapi kāyo heṭṭhimaheṭṭhimehi uḷārataro hoti, taṃ pana idha appamāṇaṃ. Tathā hi parittābhādīnaṃ parittasubhādīnañca kāye satipi pabhāvematte ekattavaseneva vavatthapīyatīti ‘‘ekattakāyā’’tveva te vuccanti. Evamime brahmakāyikā kāyassa nānattā paṭhamajjhānavipākavasena pana paṭisandhisaññāya ca ekattā nānattakāyā ekattasaññino. Yathā ca te, evaṃ catūsu apāyesu sattā. Nirayesu hi kesañci gāvutaṃ, kesañci aḍḍhayojanaṃ, kesañci yojanaṃ attabhāvo hoti, devadattassa pana yojanasatiko jāto. Tiracchānesupi keci khuddakā, keci mahantā, pettivisayepi keci saṭṭhihatthā, keci asītihatthā honti, keci suvaṇṇā, keci dubbaṇṇā, tathā kālakañcikā asurā. Api cettha dīghapiṭṭhikapetā nāma saṭṭhiyojanikāpi honti, paṭisandhisaññā pana sabbesampi akusalavipākāhetukāva hoti. Iti āpāyikāpi ‘‘nānattakāyā ekattasaññino’’tveva saṅkhyaṃ gacchanti.
ทุติยชฺฌานภูมิกา ปน ปริตฺตาภา อปฺปมาณาภา อาภสฺสรา ‘‘เอกตฺตกายา นานตฺตสญฺญิโน’’ติ วุจฺจนฺติฯ เนสญฺหิ สเพฺพสํ กาโย เอกปฺปมาโณว โหติ, ปฎิสนฺธิสญฺญา ปน ทุติยตติยชฺฌานวิปากวเสน นานา โหติฯ
Dutiyajjhānabhūmikā pana parittābhā appamāṇābhā ābhassarā ‘‘ekattakāyā nānattasaññino’’ti vuccanti. Nesañhi sabbesaṃ kāyo ekappamāṇova hoti, paṭisandhisaññā pana dutiyatatiyajjhānavipākavasena nānā hoti.
ปริตฺตสุภา อปฺปมาณสุภา สุภกิณฺหา ปน ตติยชฺฌานภูมิกา เอกตฺตกายา เอกตฺตสญฺญิโนฯ เตสํ วุตฺตนเยน กายสฺส เจว จตุตฺถชฺฌานวิปากวเสน ปฎิสนฺธิสญฺญาย จ เอกตฺตาฯ ‘‘เวหปฺผลาปิ อิมํเยว จตุตฺถวิญฺญาณฎฺฐิติํ ภชนฺติ กายสฺส เจว ปญฺจมชฺฌานวิปากวเสน ปฎิสนฺธิสญฺญาย จ เอกรูปตฺตาฯ สุทฺธาวาสา ปน อปุนราวตฺตนโต วิวฎฺฎปเกฺข ฐิตา, น สพฺพกาลิกาฯ กปฺปสตสหสฺสมฺปิ อสเงฺขฺยยฺยมฺปิ พุทฺธสุเญฺญ โลเก นุปฺปชฺชนฺติ, โสฬสกปฺปสหสฺสพฺภนฺตเร พุเทฺธสุ อุปฺปชฺชเนฺตสุเยว อุปฺปชฺชนฺติ, ธมฺมจกฺกปฺปวตฺติสฺส ภควโต ขนฺธาวารฎฺฐานสทิสา โหนฺติ, ตสฺมา เนว วิญฺญาณฎฺฐิติํ, น สตฺตาวาสํ ภชนฺตี’’ติ วทนฺติฯ มหาสีวเตฺถโร ปน ‘‘น โข ปน โส สาริปุตฺต อาวาโส สุลภรูโป, โย มยา อนาวุฎฺฐปุโพฺพ อิมินา ทีเฆน อทฺธุนา อญฺญตฺร สุทฺธาวาเสหิ เทเวหี’’ติ (ม. นิ. ๑.๑๖๐) อิมินา สุเตฺตน ‘‘สุทฺธาวาสาปิ จตุตฺถวิญฺญาณฎฺฐิติํ จตุตฺถสตฺตาวาสํ ภชนฺตี’’ติ วทติ, ตํ อปฺปฎิพาหิยตฺตา สุตฺตสฺส อนุญฺญาตํฯ ตสฺมา อสญฺญสตฺตํ อปเนตฺวา ปริตฺตสุภาทีสุ อกนิฎฺฐปริโยสานาสุ นวสุ ภูมีสุ สตฺตา ‘‘เอกตฺตกายา เอกตฺตสญฺญิโน’’ติ คเหตพฺพาฯ
Parittasubhā appamāṇasubhā subhakiṇhā pana tatiyajjhānabhūmikā ekattakāyā ekattasaññino. Tesaṃ vuttanayena kāyassa ceva catutthajjhānavipākavasena paṭisandhisaññāya ca ekattā. ‘‘Vehapphalāpi imaṃyeva catutthaviññāṇaṭṭhitiṃ bhajanti kāyassa ceva pañcamajjhānavipākavasena paṭisandhisaññāya ca ekarūpattā. Suddhāvāsā pana apunarāvattanato vivaṭṭapakkhe ṭhitā, na sabbakālikā. Kappasatasahassampi asaṅkhyeyyampi buddhasuññe loke nuppajjanti, soḷasakappasahassabbhantare buddhesu uppajjantesuyeva uppajjanti, dhammacakkappavattissa bhagavato khandhāvāraṭṭhānasadisā honti, tasmā neva viññāṇaṭṭhitiṃ, na sattāvāsaṃ bhajantī’’ti vadanti. Mahāsīvatthero pana ‘‘na kho pana so sāriputta āvāso sulabharūpo, yo mayā anāvuṭṭhapubbo iminā dīghena addhunā aññatra suddhāvāsehi devehī’’ti (ma. ni. 1.160) iminā suttena ‘‘suddhāvāsāpi catutthaviññāṇaṭṭhitiṃ catutthasattāvāsaṃ bhajantī’’ti vadati, taṃ appaṭibāhiyattā suttassa anuññātaṃ. Tasmā asaññasattaṃ apanetvā parittasubhādīsu akaniṭṭhapariyosānāsu navasu bhūmīsu sattā ‘‘ekattakāyā ekattasaññino’’ti gahetabbā.
อสญฺญสตฺตา ปน วิญฺญาณาภาวา เอตฺถ สงฺคหํ น คจฺฉนฺติฯ ตถา หิ อนุปฺปเนฺน พุเทฺธ ติตฺถายตเน ปพฺพชิตา วาโยกสิเณ ปริกมฺมํ กตฺวา จตุตฺถชฺฌานํ นิพฺพเตฺตตฺวา ตโต วุฎฺฐาย ‘‘ธี จิตฺตํ, ธี จิตฺตํ, จิตฺตสฺส นาม อภาโวเยว สาธุฯ จิตฺตญฺหิ นิสฺสาย วธพนฺธาทิปจฺจยํ ทุกฺขํ อุปฺปชฺชติ, จิเตฺต อสติ นเตฺถต’’นฺติ ขนฺติํ รุจิํ อุปฺปาเทตฺวา อปริหีนชฺฌานา กาลํ กตฺวา รูปปฎิสนฺธิวเสน อสญฺญภเว นิพฺพตฺตนฺติฯ โย ยสฺส อิริยาปโถ มนุสฺสโลเก ปณิหิโต อโหสิ, โส เตน อิริยาปเถน นิพฺพตฺติตฺวา ปญฺจ กปฺปสตานิ ฐิโต วา นิสิโนฺน วา นิปโนฺน วา โหติฯ เอวํ จิตฺตวิราคภาวนาวเสน เตสํ ตตฺถ วิญฺญาณุปฺปตฺติ น โหตีติ วิญฺญาณาภาวโต วิญฺญาณฎฺฐิติํ เต น ภชนฺติฯ เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ ปน ยเถว สญฺญาย, เอวํ วิญฺญาณสฺสปิ สุขุมตฺตา วิญฺญาณฎฺฐิตีสุ สงฺคหํ น คจฺฉติฯ ตญฺหิ สญฺญาย วิย วิญฺญาณสฺสปิ สงฺขาราวเสสสุขุมภาวปฺปตฺตตฺตา ปริพฺยตฺตวิญฺญาณกิจฺจาภาวโต เนว วิญฺญาณํ , น จ สพฺพโส อวิญฺญาณํ โหตีติ เนววิญฺญาณา นาวิญฺญาณํ, ตสฺมา ปริปฺผุฎวิญฺญาณกิจฺจวนฺตีสุ วิญฺญาณฎฺฐิตีสุ สงฺคหํ น คจฺฉติฯ ตสฺมา วินิปาติเกหิ สทฺธิํ ฉกามาวจรเทวา มนุสฺสา จ นานตฺตกายา นานตฺตสญฺญิโน, ปฐมชฺฌานภูมิกา อปายสตฺตา จ นานตฺตกายา เอกตฺตสญฺญิโน, ทุติยชฺฌานภูมิกา เอกตฺตกายา นานตฺตสญฺญิโน, ตติยชฺฌานภูมิกา อสญฺญสตฺตํ วเชฺชตฺวา เสสา จตุตฺถชฺฌานภูมิกา จ เอกตฺตกายา เอกตฺตสญฺญิโนติ อิมา จตโสฺส วิญฺญาณฎฺฐิติโย เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ วเชฺชตฺวา อากาสานญฺจายตนาทิเหฎฺฐิมารุปฺปตฺตเยน สทฺธิํ ‘‘สตฺต วิญฺญาณฎฺฐิติโย’’ติ เวทิตพฺพาฯ
Asaññasattā pana viññāṇābhāvā ettha saṅgahaṃ na gacchanti. Tathā hi anuppanne buddhe titthāyatane pabbajitā vāyokasiṇe parikammaṃ katvā catutthajjhānaṃ nibbattetvā tato vuṭṭhāya ‘‘dhī cittaṃ, dhī cittaṃ, cittassa nāma abhāvoyeva sādhu. Cittañhi nissāya vadhabandhādipaccayaṃ dukkhaṃ uppajjati, citte asati nattheta’’nti khantiṃ ruciṃ uppādetvā aparihīnajjhānā kālaṃ katvā rūpapaṭisandhivasena asaññabhave nibbattanti. Yo yassa iriyāpatho manussaloke paṇihito ahosi, so tena iriyāpathena nibbattitvā pañca kappasatāni ṭhito vā nisinno vā nipanno vā hoti. Evaṃ cittavirāgabhāvanāvasena tesaṃ tattha viññāṇuppatti na hotīti viññāṇābhāvato viññāṇaṭṭhitiṃ te na bhajanti. Nevasaññānāsaññāyatanaṃ pana yatheva saññāya, evaṃ viññāṇassapi sukhumattā viññāṇaṭṭhitīsu saṅgahaṃ na gacchati. Tañhi saññāya viya viññāṇassapi saṅkhārāvasesasukhumabhāvappattattā paribyattaviññāṇakiccābhāvato neva viññāṇaṃ , na ca sabbaso aviññāṇaṃ hotīti nevaviññāṇā nāviññāṇaṃ, tasmā paripphuṭaviññāṇakiccavantīsu viññāṇaṭṭhitīsu saṅgahaṃ na gacchati. Tasmā vinipātikehi saddhiṃ chakāmāvacaradevā manussā ca nānattakāyā nānattasaññino, paṭhamajjhānabhūmikā apāyasattā ca nānattakāyā ekattasaññino, dutiyajjhānabhūmikā ekattakāyā nānattasaññino, tatiyajjhānabhūmikā asaññasattaṃ vajjetvā sesā catutthajjhānabhūmikā ca ekattakāyā ekattasaññinoti imā catasso viññāṇaṭṭhitiyo nevasaññānāsaññāyatanaṃ vajjetvā ākāsānañcāyatanādiheṭṭhimāruppattayena saddhiṃ ‘‘satta viññāṇaṭṭhitiyo’’ti veditabbā.
อฎฺฐ โลกธมฺมาติ ลาโภ อลาโภ ยโส อยโส นินฺทา ปสํสา สุขํ ทุกฺขนฺติ อิเม อฎฺฐ โลกสฺส ธมฺมตฺตา โลกธมฺมาฯ อิเม หิ สตฺตโลกสฺส อวสฺสํภาวิโน ธมฺมา, ตสฺมา เอเตหิ วินิมุโตฺต นาม โกจิ สโตฺต นตฺถิฯ เต หิ อปราปรํ กทาจิ โลกํ อนุปตนฺติ, กทาจิ เต โลโก จ อนุปตติฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ ‘‘อฎฺฐิเม, ภิกฺขเว, โลกธมฺมา โลกํ อนุปริวตฺตนฺติ, โลโก จ อฎฺฐ โลกธเมฺม อนุปริวตฺตตี’’ติ (อ. นิ. ๘.๖)ฯ ฆาสจฺฉาทนาทีนํ ลทฺธิ, ตานิ เอว วา ลทฺธพฺพโต ลาโภฯ ตทภาโว อลาโภฯ ลาภคฺคหเณน เจตฺถ ตพฺพิสโย อนุโรโธ คหิโต, อลาภคฺคหเณน วิโรโธฯ เอวํ ยสาทีสุปิ ตพฺพิสยอนุโรธวิโรธานํ คหณํ เวทิตพฺพํฯ ลาเภ ปน อาคเต อลาโภ อาคโตเยว โหตีติ ลาโภ จ อลาโภ จ วุโตฺตฯ ยสาทีสุปิ เอเสว นโยฯ ตถา จ โลหิเต สติ ตทุปฆาตวเสน ปุโพฺพ วิย ลาภาทีสุ อนุโรเธ สติ อลาภาทีสุ วิโรโธ ลทฺธาวสโร เอว โหติฯ
Aṭṭha lokadhammāti lābho alābho yaso ayaso nindā pasaṃsā sukhaṃ dukkhanti ime aṭṭha lokassa dhammattā lokadhammā. Ime hi sattalokassa avassaṃbhāvino dhammā, tasmā etehi vinimutto nāma koci satto natthi. Te hi aparāparaṃ kadāci lokaṃ anupatanti, kadāci te loko ca anupatati. Vuttampi cetaṃ ‘‘aṭṭhime, bhikkhave, lokadhammā lokaṃ anuparivattanti, loko ca aṭṭha lokadhamme anuparivattatī’’ti (a. ni. 8.6). Ghāsacchādanādīnaṃ laddhi, tāni eva vā laddhabbato lābho. Tadabhāvo alābho. Lābhaggahaṇena cettha tabbisayo anurodho gahito, alābhaggahaṇena virodho. Evaṃ yasādīsupi tabbisayaanurodhavirodhānaṃ gahaṇaṃ veditabbaṃ. Lābhe pana āgate alābho āgatoyeva hotīti lābho ca alābho ca vutto. Yasādīsupi eseva nayo. Tathā ca lohite sati tadupaghātavasena pubbo viya lābhādīsu anurodhe sati alābhādīsu virodho laddhāvasaro eva hoti.
นว สตฺตาวาสาติ เหฎฺฐา วุตฺตสตฺตวิญฺญาณฎฺฐิติโย เอว อสญฺญสตฺตจตุตฺถารุเปฺปหิ สทฺธิํ ‘‘นว สตฺตาวาสา’’ติ วุจฺจนฺติฯ สตฺตา อาวสนฺติ เอเตสูติ สตฺตาวาสา, นานตฺตกายนานตฺตสญฺญีอาทิเภทา สตฺตนิกายาฯ เต หิ สตฺตนิกายา ตปฺปริยาปนฺนานํ สตฺตานํ ตาย เอว ตปฺปริยาปนฺนตาย อาธาโร วิย วตฺตพฺพตํ อรหนฺติ สมุทายาธารตาย อวยวสฺส ยถา ‘‘รุเกฺข สาขา’’ติฯ สุทฺธาวาสานมฺปิ สตฺตาวาสคฺคหเณ การณํ เหฎฺฐา วุตฺตเมวฯ
Nava sattāvāsāti heṭṭhā vuttasattaviññāṇaṭṭhitiyo eva asaññasattacatutthāruppehi saddhiṃ ‘‘nava sattāvāsā’’ti vuccanti. Sattā āvasanti etesūti sattāvāsā, nānattakāyanānattasaññīādibhedā sattanikāyā. Te hi sattanikāyā tappariyāpannānaṃ sattānaṃ tāya eva tappariyāpannatāya ādhāro viya vattabbataṃ arahanti samudāyādhāratāya avayavassa yathā ‘‘rukkhe sākhā’’ti. Suddhāvāsānampi sattāvāsaggahaṇe kāraṇaṃ heṭṭhā vuttameva.
ทสายตนานีติ อรูปสภาวํ มนายตนํ รูปารูปาทิมิสฺสกํ ธมฺมายตนญฺจ ฐเปตฺวา เกวลํ รูปธมฺมานํเยว วเสน จกฺขายตนาทโย ปญฺจ, รูปายตนาทโย ปญฺจาติ ทสายตนานิ วุตฺตานิ, มนายตนธมฺมายตเนหิ ปน สทฺธิํ ตานิเยว ‘‘ทฺวาทสายตนานี’’ติ วุตฺตานิฯ
Dasāyatanānīti arūpasabhāvaṃ manāyatanaṃ rūpārūpādimissakaṃ dhammāyatanañca ṭhapetvā kevalaṃ rūpadhammānaṃyeva vasena cakkhāyatanādayo pañca, rūpāyatanādayo pañcāti dasāyatanāni vuttāni, manāyatanadhammāyatanehi pana saddhiṃ tāniyeva ‘‘dvādasāyatanānī’’ti vuttāni.
กสฺมา ปเนตฺถ จกฺขาทโย ‘‘อายตนานี’’ติ วุจฺจนฺติ? อายตนโต (วิภ. อฎฺฐ. ๑๕๔) อายานํ วา ตนนโต อายตสฺส จ นยนโต อายตนานิฯ จกฺขุรูปาทีสุ หิ ตํตํทฺวารารมฺมณา จิตฺตเจตสิกา ธมฺมา เสน เสน อนุภวนาทินา กิเจฺจน อายตนฺติ อุฎฺฐหนฺติ ฆฎนฺติ วายมนฺติ, เต จ ปน อายภูเต ธเมฺม เอตานิ ตโนนฺติ วิตฺถาเรนฺติ, อิทญฺจ อนมตเคฺค สํสาเร ปวตฺตํ อติวิย อายตํ สํสารทุกฺขํ ยาว น นิวตฺตติ, ตาว นยนฺติ ปวตฺตยนฺติ, ตสฺมา ‘‘อายตนานี’’ติ วุจฺจนฺติฯ อปิ จ นิวาสฎฺฐานเฎฺฐน อากรเฎฺฐน สโมสรณเฎฺฐน สญฺชาติเทสเฎฺฐน การณเฎฺฐน จ อายตนานิฯ ตถา หิ โลเก ‘‘อิสฺสรายตนํ วาสุเทวายตน’’นฺติอาทีสุ นิวาสฎฺฐานํ อายตนนฺติ วุจฺจติฯ ‘‘สุวณฺณายตนํ รชตายตน’’นฺติอาทีสุ อากโรฯ สาสเน ปน ‘‘มโนรเม อายตเน, เสวนฺติ นํ วิหงฺคมา’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๕.๓๘) สโมสรณฎฺฐานํฯ ‘‘ทกฺขิณาปโถ คุนฺนํ อายตน’’นฺติอาทีสุ สญฺชาติเทโสฯ ‘‘ตตฺร ตเตฺรว สกฺขิภพฺพตํ ปาปุณาติ สติ สติอายตเน’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๓.๑๕๘; อ. นิ. ๓.๑๐๒; ๕.๒๓) การณํ อายตนนฺติ วุจฺจติฯ จกฺขุอาทีสุ จ เต เต จิตฺตเจตสิกา ธมฺมา นิวสนฺติ ตทายตฺตวุตฺติตายาติ จกฺขาทโย เตสํ นิวาสฎฺฐานํฯ จกฺขาทีสุ จ เต อากิณฺณา ตนฺนิสฺสิตตฺตา ตทารมฺมณตฺตา จาติ จกฺขาทโยว เนสํ อากโรฯ ตตฺถ ตตฺถ วตฺถุทฺวารารมฺมณวเสน สโมสรณโต จกฺขาทโยว เนสํ สโมสรณฎฺฐานํฯ ตนฺนิสฺสยารมฺมณภาเวน ตเตฺถว อุปฺปตฺติโต จกฺขาทโยว เนสํ สญฺชาติเทโสฯ จกฺขาทีนํ อภาเว อภาวโต จกฺขาทโยว เนสํ การณนฺติ ยถาวุเตฺตนเตฺถน จกฺขุ จ ตํ อายตนญฺจาติ จกฺขายตนํฯ เอวํ เสสานิปิฯ
Kasmā panettha cakkhādayo ‘‘āyatanānī’’ti vuccanti? Āyatanato (vibha. aṭṭha. 154) āyānaṃ vā tananato āyatassa ca nayanato āyatanāni. Cakkhurūpādīsu hi taṃtaṃdvārārammaṇā cittacetasikā dhammā sena sena anubhavanādinā kiccena āyatanti uṭṭhahanti ghaṭanti vāyamanti, te ca pana āyabhūte dhamme etāni tanonti vitthārenti, idañca anamatagge saṃsāre pavattaṃ ativiya āyataṃ saṃsāradukkhaṃ yāva na nivattati, tāva nayanti pavattayanti, tasmā ‘‘āyatanānī’’ti vuccanti. Api ca nivāsaṭṭhānaṭṭhena ākaraṭṭhena samosaraṇaṭṭhena sañjātidesaṭṭhena kāraṇaṭṭhena ca āyatanāni. Tathā hi loke ‘‘issarāyatanaṃ vāsudevāyatana’’ntiādīsu nivāsaṭṭhānaṃ āyatananti vuccati. ‘‘Suvaṇṇāyatanaṃ rajatāyatana’’ntiādīsu ākaro. Sāsane pana ‘‘manorame āyatane, sevanti naṃ vihaṅgamā’’tiādīsu (a. ni. 5.38) samosaraṇaṭṭhānaṃ. ‘‘Dakkhiṇāpatho gunnaṃ āyatana’’ntiādīsu sañjātideso. ‘‘Tatra tatreva sakkhibhabbataṃ pāpuṇāti sati satiāyatane’’tiādīsu (ma. ni. 3.158; a. ni. 3.102; 5.23) kāraṇaṃ āyatananti vuccati. Cakkhuādīsu ca te te cittacetasikā dhammā nivasanti tadāyattavuttitāyāti cakkhādayo tesaṃ nivāsaṭṭhānaṃ. Cakkhādīsu ca te ākiṇṇā tannissitattā tadārammaṇattā cāti cakkhādayova nesaṃ ākaro. Tattha tattha vatthudvārārammaṇavasena samosaraṇato cakkhādayova nesaṃ samosaraṇaṭṭhānaṃ. Tannissayārammaṇabhāvena tattheva uppattito cakkhādayova nesaṃ sañjātideso. Cakkhādīnaṃ abhāve abhāvato cakkhādayova nesaṃ kāraṇanti yathāvuttenatthena cakkhu ca taṃ āyatanañcāti cakkhāyatanaṃ. Evaṃ sesānipi.
อิมาเนว ปน ทฺวาทสายตนานิ จกฺขุวิญฺญาณาทิฉวิญฺญาเณหิ สทฺธิํ อฎฺฐารส วิทหนาทิโต ‘‘ธาตุโย’’ติ วุจฺจนฺติฯ ตถา หิ จกฺขาทีสุ เอเกโก ธโมฺม ยถาสมฺภวํ วิทหติ, ธียเต, วิธานํ, วิธียเต เอตาย, เอตฺถ วา ธียตีติ ธาตูติ วุจฺจติฯ โลกิยา หิ ธาตุโย การณภาเวน ววตฺถิตาว หุตฺวา สุวณฺณรชตาทิธาตุโย วิย สุวณฺณรชตาทิํ, อเนกปฺปการํ สํสารทุกฺขํ วิทหนฺติ, ภารหาเรหิ จ ภาโร วิย สเตฺตหิ ธียนฺติ ธารียนฺติ, ทุกฺขวิธานมตฺตเมว เจตา อวสวตฺตนโตฯ เอตาหิ จ การณภูตาหิ สํสารทุกฺขํ สเตฺตหิ อนุวิธียติ, ตถาวิหิตญฺจ ตํ เอตาเสฺวว ธียติ ฐปียติ, ตสฺมา ‘‘ธาตุโย’’ติ วุจฺจนฺติฯ อปิ จ ยถา ติตฺถิยานํ อตฺตา นาม สภาวโต นตฺถิ, น เอวเมตา, เอตา ปน อตฺตโน สภาวํ ธาเรนฺตีติ ธาตุโยฯ ยถา จ โลเก วิจิตฺตา หริตาลมโนสิลาทโย เสลาวยวา ‘‘ธาตุโย’’ติ วุจฺจนฺติ, เอวเมตาปิ ธาตุโย วิย ธาตุโยฯ วิจิตฺตา เหตา ญาณเญยฺยาวยวาติฯ ยถา วา สรีรสงฺขาตสฺส สมุทายสฺส อวยวภูเตสุ รสโสณิตาทีสุ อญฺญมญฺญวิสภาคลกฺขณปริจฺฉิเนฺนสุ ธาตุสมญฺญา, เอวเมเตสุปิ ปญฺจกฺขนฺธสงฺขาตสฺส อตฺตภาวสฺส อวยเวสุ ธาตุสมญฺญา เวทิตพฺพาฯ อญฺญมญฺญวิสภาคลกฺขณปริจฺฉินฺนา เหเต จกฺขาทโยติฯ อปิ จ ธาตูติ นิชฺชีวมตฺตเสฺสตํ อธิวจนํฯ ตถา หิ ภควา ‘‘ฉธาตุโร อยํ ภิกฺขุ ปุริโส’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๓.๓๔๓) ชีวสญฺญาสมูหนนตฺถํ ธาตุเทสนมกาสิฯ ตสฺมา นิชฺชีวเฎฺฐนปิ ธาตุโยติ วุจฺจนฺติฯ
Imāneva pana dvādasāyatanāni cakkhuviññāṇādichaviññāṇehi saddhiṃ aṭṭhārasa vidahanādito ‘‘dhātuyo’’ti vuccanti. Tathā hi cakkhādīsu ekeko dhammo yathāsambhavaṃ vidahati, dhīyate, vidhānaṃ, vidhīyate etāya, ettha vā dhīyatīti dhātūti vuccati. Lokiyā hi dhātuyo kāraṇabhāvena vavatthitāva hutvā suvaṇṇarajatādidhātuyo viya suvaṇṇarajatādiṃ, anekappakāraṃ saṃsāradukkhaṃ vidahanti, bhārahārehi ca bhāro viya sattehi dhīyanti dhārīyanti, dukkhavidhānamattameva cetā avasavattanato. Etāhi ca kāraṇabhūtāhi saṃsāradukkhaṃ sattehi anuvidhīyati, tathāvihitañca taṃ etāsveva dhīyati ṭhapīyati, tasmā ‘‘dhātuyo’’ti vuccanti. Api ca yathā titthiyānaṃ attā nāma sabhāvato natthi, na evametā, etā pana attano sabhāvaṃ dhārentīti dhātuyo. Yathā ca loke vicittā haritālamanosilādayo selāvayavā ‘‘dhātuyo’’ti vuccanti, evametāpi dhātuyo viya dhātuyo. Vicittā hetā ñāṇañeyyāvayavāti. Yathā vā sarīrasaṅkhātassa samudāyassa avayavabhūtesu rasasoṇitādīsu aññamaññavisabhāgalakkhaṇaparicchinnesu dhātusamaññā, evametesupi pañcakkhandhasaṅkhātassa attabhāvassa avayavesu dhātusamaññā veditabbā. Aññamaññavisabhāgalakkhaṇaparicchinnā hete cakkhādayoti. Api ca dhātūti nijjīvamattassetaṃ adhivacanaṃ. Tathā hi bhagavā ‘‘chadhāturo ayaṃ bhikkhu puriso’’tiādīsu (ma. ni. 3.343) jīvasaññāsamūhananatthaṃ dhātudesanamakāsi. Tasmā nijjīvaṭṭhenapi dhātuyoti vuccanti.
เอตฺถ จ ‘‘อาหารฎฺฐิติกา’’ติ ปจฺจยายตฺตวุตฺติตาวจเนน สงฺขารานํ อนิจฺจตา, ตาย จ ‘‘ยทนิจฺจํ ตํ ทุกฺขํ, ยํ ทุกฺขํ ตทนตฺตา’’ติ (สํ. นิ. ๓.๑๕) วจนโต ทุกฺขานตฺตตา จ ปกาสิตา โหนฺตีติ ตีณิปิ สามญฺญลกฺขณานิ คหิตานิฯ นามนฺติ จตฺตาโร อรูปิโน ขนฺธา, เต จ อตฺถโต ผสฺสาทโยฯ รูปนฺติ ภูตุปาทายรูปานิ, ตานิ จ อตฺถโต ปถวีอาทโยติ อวิเสเสเนว สลกฺขณโต สงฺขารา คหิตาฯ ตคฺคหเณเนว เย เต สวิเสสา กุสลาทโย เหตุอาทโย จ, เตปิ คหิตา เอว โหนฺตีติ อาห ‘‘อิติ อยํ สงฺขารโลโกปิ สพฺพถา วิทิโต’’ติฯ
Ettha ca ‘‘āhāraṭṭhitikā’’ti paccayāyattavuttitāvacanena saṅkhārānaṃ aniccatā, tāya ca ‘‘yadaniccaṃ taṃ dukkhaṃ, yaṃ dukkhaṃ tadanattā’’ti (saṃ. ni. 3.15) vacanato dukkhānattatā ca pakāsitā hontīti tīṇipi sāmaññalakkhaṇāni gahitāni. Nāmanti cattāro arūpino khandhā, te ca atthato phassādayo. Rūpanti bhūtupādāyarūpāni, tāni ca atthato pathavīādayoti aviseseneva salakkhaṇato saṅkhārā gahitā. Taggahaṇeneva ye te savisesā kusalādayo hetuādayo ca, tepi gahitā eva hontīti āha ‘‘iti ayaṃ saṅkhāralokopi sabbathā vidito’’ti.
เอวํ สงฺขารโลกสฺส สพฺพถา วิทิตภาวํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ สตฺตโลกสฺสปิ สพฺพถา วิทิตภาวํ ทเสฺสโนฺต ‘‘ยสฺมา ปเนสา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ อาสยํ ชานาตีติ อาคมฺม จิตฺตํ เสติ เอตฺถาติ อาสโย มิคาสโย วิยฯ ยถา มิโค โคจราย คนฺตฺวา ปจฺจาคนฺตฺวา ตเตฺถว วนคหเน สยตีติ โส ตสฺส อาสโย, เอวํ อญฺญถา ปวตฺติตฺวาปิ จิตฺตํ อาคมฺม ยตฺถ เสติ, โส ตสฺส อาสโยติ วุจฺจติฯ โส ปน สสฺสตทิฎฺฐิอาทิวเสน จตุพฺพิโธฯ วุตฺตญฺจ –
Evaṃ saṅkhāralokassa sabbathā viditabhāvaṃ dassetvā idāni sattalokassapi sabbathā viditabhāvaṃ dassento ‘‘yasmā panesā’’tiādimāha. Tattha āsayaṃ jānātīti āgamma cittaṃ seti etthāti āsayo migāsayo viya. Yathā migo gocarāya gantvā paccāgantvā tattheva vanagahane sayatīti so tassa āsayo, evaṃ aññathā pavattitvāpi cittaṃ āgamma yattha seti, so tassa āsayoti vuccati. So pana sassatadiṭṭhiādivasena catubbidho. Vuttañca –
‘‘สสฺสตุเจฺฉททิฎฺฐี จ, ขนฺติ เจวานุโลมิกา;
‘‘Sassatucchedadiṭṭhī ca, khanti cevānulomikā;
ยถาภูตญฺจ ยํ ญาณํ, เอตํ อาสยสทฺทิต’’นฺติฯ
Yathābhūtañca yaṃ ñāṇaṃ, etaṃ āsayasaddita’’nti.
ตตฺถ สพฺพทิฎฺฐีนํ สสฺสตุเจฺฉททิฎฺฐีหิ สงฺคหิตตฺตา สเพฺพปิ ทิฎฺฐิคติกา สตฺตา อิมา เอว เทฺว ทิฎฺฐิโย สนฺนิสฺสิตาฯ ยถาห ‘‘ทฺวยนิสฺสิโต ขฺวายํ กจฺจาน โลโก เยภุเยฺยน อตฺถิตเญฺจว นตฺถิตญฺจา’’ติ (สํ. นิ. ๒.๑๕)ฯ อตฺถิตาติ หิ สสฺสตคฺคาโห อธิเปฺปโต, นตฺถิตาติ อุเจฺฉทคฺคาโหฯ อยํ ตาว วฎฺฎนิสฺสิตานํ ปุถุชฺชนานํ อาสโย, วิวฎฺฎนิสฺสิตานํ ปน สุทฺธสตฺตานํ อนุโลมิกา ขนฺติ ยถาภูตญาณนฺติ ทุวิโธ อาสโยฯ ตตฺถ ‘‘อนุโลมิกา ขนฺติ วิปสฺสนาญาณํ, ยถาภูตญาณํ ปน มคฺคญาณ’’นฺติ สโมฺมหวิโนทนิยา วิภงฺคฎฺฐกถายํ (วิภ. อฎฺฐ. ๘๑๕) วุตฺตํ ฯ ตํ จตุพฺพิธมฺปิ สตฺตานํ อาสยํ ชานาติ, ชานโนฺต จ เตสํ ทิฎฺฐิคตานํ เตสญฺจ ญาณานํ อปฺปวตฺติกฺขเณปิ ชานาติฯ วุตฺตเญฺหตํ –
Tattha sabbadiṭṭhīnaṃ sassatucchedadiṭṭhīhi saṅgahitattā sabbepi diṭṭhigatikā sattā imā eva dve diṭṭhiyo sannissitā. Yathāha ‘‘dvayanissito khvāyaṃ kaccāna loko yebhuyyena atthitañceva natthitañcā’’ti (saṃ. ni. 2.15). Atthitāti hi sassataggāho adhippeto, natthitāti ucchedaggāho. Ayaṃ tāva vaṭṭanissitānaṃ puthujjanānaṃ āsayo, vivaṭṭanissitānaṃ pana suddhasattānaṃ anulomikā khanti yathābhūtañāṇanti duvidho āsayo. Tattha ‘‘anulomikā khanti vipassanāñāṇaṃ, yathābhūtañāṇaṃ pana maggañāṇa’’nti sammohavinodaniyā vibhaṅgaṭṭhakathāyaṃ (vibha. aṭṭha. 815) vuttaṃ . Taṃ catubbidhampi sattānaṃ āsayaṃ jānāti, jānanto ca tesaṃ diṭṭhigatānaṃ tesañca ñāṇānaṃ appavattikkhaṇepi jānāti. Vuttañhetaṃ –
‘‘กามํ เสวนฺตเญฺญว ชานาติ ‘อยํ ปุคฺคโล กามครุโก กามาสโย กามาธิมุโตฺต’ติ, กามํ เสวนฺตเญฺญว ชานาติ ‘อยํ ปุคฺคโล เนกฺขมฺมครุโก เนกฺขมฺมาสโย เนกฺขมฺมาธิมุโตฺต’’’ติอาทิ (ปฎิ. ม. ๑.๑๑๓)ฯ
‘‘Kāmaṃ sevantaññeva jānāti ‘ayaṃ puggalo kāmagaruko kāmāsayo kāmādhimutto’ti, kāmaṃ sevantaññeva jānāti ‘ayaṃ puggalo nekkhammagaruko nekkhammāsayo nekkhammādhimutto’’’tiādi (paṭi. ma. 1.113).
อนุสยํ ชานาตีติ อนุ อนุ สยนฺตีติ อนุสยา, อนุรูปํ การณํ ลภิตฺวา อุปฺปชฺชนฺตีติ อโตฺถฯ เอเตน เนสํ การณลาเภ อุปฺปชฺชนารหตํ ทเสฺสติฯ อปฺปหีนา หิ กิเลสา การณลาเภ สติ อุปฺปชฺชนฺติฯ เก ปน เต? กามราคาทโย สตฺต อนาคตา กิเลสา, อตีตา ปจฺจุปฺปนฺนา จ ตํสภาวตฺตา ตถา วุจฺจนฺติฯ น หิ ธมฺมานํ กาลเภเทน สภาวเภโท อตฺถิ, ตํ สตฺตวิธํ อนุสยํ ตสฺส ตสฺส สตฺตสฺส สนฺตาเน ปโรปรภาเวน ปวตฺตมานํ ชานาติฯ
Anusayaṃ jānātīti anu anu sayantīti anusayā, anurūpaṃ kāraṇaṃ labhitvā uppajjantīti attho. Etena nesaṃ kāraṇalābhe uppajjanārahataṃ dasseti. Appahīnā hi kilesā kāraṇalābhe sati uppajjanti. Ke pana te? Kāmarāgādayo satta anāgatā kilesā, atītā paccuppannā ca taṃsabhāvattā tathā vuccanti. Na hi dhammānaṃ kālabhedena sabhāvabhedo atthi, taṃ sattavidhaṃ anusayaṃ tassa tassa sattassa santāne paroparabhāvena pavattamānaṃ jānāti.
จริตํ ชานาตีติ เอตฺถ จริตนฺติ สุจริตทุจฺจริตํฯ ตญฺหิ วิภเงฺค (วิภ. ๘๑๔ อาทโย) จริตนิเทฺทเส นิทฺทิฎฺฐํฯ อถ วา จริตนฺติ จริยา เวทิตพฺพาฯ ตา ปน ราคโทสโมหสทฺธาพุทฺธิวิตกฺกวเสน ฉ มูลจริยา, ตาสํ อปริยโนฺต อนฺตรเภโท, สํสคฺคเภโท ปน เตสฎฺฐิวิโธฯ ตํ จริตํ สภาวโต สํกิเลสโต โวทานโต สมุฎฺฐานโต ผลโต นิสฺสนฺทโตติ เอวมาทินา ปกาเรน ชานาติฯ
Caritaṃ jānātīti ettha caritanti sucaritaduccaritaṃ. Tañhi vibhaṅge (vibha. 814 ādayo) caritaniddese niddiṭṭhaṃ. Atha vā caritanti cariyā veditabbā. Tā pana rāgadosamohasaddhābuddhivitakkavasena cha mūlacariyā, tāsaṃ apariyanto antarabhedo, saṃsaggabhedo pana tesaṭṭhividho. Taṃ caritaṃ sabhāvato saṃkilesato vodānato samuṭṭhānato phalato nissandatoti evamādinā pakārena jānāti.
อธิมุตฺติํ ชานาตีติ เอตฺถ อธิมุตฺตีติ อชฺฌาสยธาตุฯ สา ทุวิธา หีนาธิมุตฺติ ปณีตาธิมุตฺตีติฯ ยาย หีนาธิมุตฺติกา สตฺตา หีนาธิมุตฺติเกเยว เสวนฺติ, ปณีตาธิมุตฺติกา จ ปณีตาธิมุตฺติเก เอวฯ สเจ หิ อาจริยุปชฺฌายา น สีลวโนฺต โหนฺติ, สทฺธิวิหาริกา สีลวโนฺต โหนฺติ, เต อตฺตโน อาจริยุปชฺฌาเยปิ น อุปสงฺกมนฺติ, อตฺตนา สทิเส สารุปฺปภิกฺขูเยว อุปสงฺกมนฺติฯ สเจ อาจริยุปชฺฌายา สารุปฺปภิกฺขู, อิตเร อสารุปฺปา, เตปิ น อาจริยุปชฺฌาเย อุปสงฺกมนฺติ, อตฺตนา สทิเส หีนาธิมุตฺติเก เอว อุปสงฺกมนฺติฯ ติปิฎกจูฬาภยเตฺถโร กิร นาคทีเป เจติยวนฺทนาย ปญฺจหิ ภิกฺขุสเตหิ สทฺธิํ คจฺฉโนฺต เอกสฺมิํ คาเม มนุเสฺสหิ นิมนฺติโต เถเรน จ สทฺธิํ เอโก อสารุปฺปภิกฺขุ อตฺถิ, ธุรวิหาเรปิ เอโก อสารุปฺปภิกฺขุ อตฺถิ, ภิกฺขุสเงฺฆสุ คามํ โอสรเนฺตสุ เต อุโภ ชนา กิญฺจาปิ อาคนฺตุเกน เนวาสิโก, เนวาสิเกน วา อาคนฺตุโก น ทิฎฺฐปุโพฺพ, เอวํ สเนฺตปิ เอกโต หุตฺวา หสิตฺวา หสิตฺวา กถยมานา อฎฺฐํสุฯ เถโร ทิสฺวา ‘‘สมฺมาสมฺพุเทฺธน ชานิตฺวา ธาตุสํยุตฺตํ (สํ. นิ. ๒.๘๕ อาทโย) กถิต’’นฺติ อาหฯ เอวมยํ หีนาธิมุตฺติกาทีนํ อญฺญมโญฺญปเสวนาทินิยามิกา อชฺฌาสยธาตุ อชฺฌาสยภาโว อธิมุตฺตีติ วุจฺจติ, ตํ อธิมุตฺติํ ชานาติฯ ‘‘อิมสฺส อธิมุตฺติ หีนา, อิมสฺส ปณีตาฯ ตตฺถาปิ อิมสฺส มุทุ, อิมสฺส มุทุตรา, อิมสฺส มุทุตมา’’ติอาทินา ปฎิวิชฺฌติฯ อธิมุตฺติยา ปน ติกฺขมุทุภาวาทิโก อินฺทฺริยานํ ติกฺขมุทุภาวาทินา เวทิตโพฺพฯ
Adhimuttiṃ jānātīti ettha adhimuttīti ajjhāsayadhātu. Sā duvidhā hīnādhimutti paṇītādhimuttīti. Yāya hīnādhimuttikā sattā hīnādhimuttikeyeva sevanti, paṇītādhimuttikā ca paṇītādhimuttike eva. Sace hi ācariyupajjhāyā na sīlavanto honti, saddhivihārikā sīlavanto honti, te attano ācariyupajjhāyepi na upasaṅkamanti, attanā sadise sāruppabhikkhūyeva upasaṅkamanti. Sace ācariyupajjhāyā sāruppabhikkhū, itare asāruppā, tepi na ācariyupajjhāye upasaṅkamanti, attanā sadise hīnādhimuttike eva upasaṅkamanti. Tipiṭakacūḷābhayatthero kira nāgadīpe cetiyavandanāya pañcahi bhikkhusatehi saddhiṃ gacchanto ekasmiṃ gāme manussehi nimantito therena ca saddhiṃ eko asāruppabhikkhu atthi, dhuravihārepi eko asāruppabhikkhu atthi, bhikkhusaṅghesu gāmaṃ osarantesu te ubho janā kiñcāpi āgantukena nevāsiko, nevāsikena vā āgantuko na diṭṭhapubbo, evaṃ santepi ekato hutvā hasitvā hasitvā kathayamānā aṭṭhaṃsu. Thero disvā ‘‘sammāsambuddhena jānitvā dhātusaṃyuttaṃ (saṃ. ni. 2.85 ādayo) kathita’’nti āha. Evamayaṃ hīnādhimuttikādīnaṃ aññamaññopasevanādiniyāmikā ajjhāsayadhātu ajjhāsayabhāvo adhimuttīti vuccati, taṃ adhimuttiṃ jānāti. ‘‘Imassa adhimutti hīnā, imassa paṇītā. Tatthāpi imassa mudu, imassa mudutarā, imassa mudutamā’’tiādinā paṭivijjhati. Adhimuttiyā pana tikkhamudubhāvādiko indriyānaṃ tikkhamudubhāvādinā veditabbo.
อปฺปรชเกฺขติ ปญฺญามเย อกฺขิมฺหิ อปฺปํ ปริตฺตํ ราคโทสโมหรชํ เอเตสนฺติ อปฺปรชกฺขา, อปฺปํ วา ราคาทิรชํ เอเตสนฺติ อปฺปรชกฺขา, อนุสฺสทราคาทิรชา สตฺตาฯ เต อปฺปรชเกฺขฯ มหารชเกฺขติ เอตฺถาปิ เอเสว นโย, อุสฺสทราคาทิรชา มหารชกฺขาฯ ชานาตีติ ‘‘อิมสฺส ราครโช อโปฺป, อิมสฺส โทสรโช อโปฺป’’ติอาทินา อปฺปรชกฺขาทิเก ชานาติฯ
Apparajakkheti paññāmaye akkhimhi appaṃ parittaṃ rāgadosamoharajaṃ etesanti apparajakkhā, appaṃ vā rāgādirajaṃ etesanti apparajakkhā, anussadarāgādirajā sattā. Te apparajakkhe. Mahārajakkheti etthāpi eseva nayo, ussadarāgādirajā mahārajakkhā. Jānātīti ‘‘imassa rāgarajo appo, imassa dosarajo appo’’tiādinā apparajakkhādike jānāti.
ติกฺขินฺทฺริเยติ ติขิเณหิ สทฺธาทีหิ อินฺทฺริเยหิ สมนฺนาคเตฯ มุทินฺทฺริเยติ มุทุเกหิ สทฺธาทีหิ อินฺทฺริเยหิ สมนฺนาคเตฯ อุภยตฺถาปิ อุปนิสฺสยภูตินฺทฺริยานิ อธิเปฺปตานิฯ สฺวากาเรติ สุนฺทรากาเร, กลฺยาณปกติเก วิวฎฺฎชฺฌาสเยติ อโตฺถฯ เยสํ วา อาสยาทโย อาการา โกฎฺฐาสา สุนฺทรา, เต สฺวาการาฯ วิปรีตา ทฺวาการาฯ สุวิญฺญาปเยติ สมฺมตฺตนิยามํ วิญฺญาเปตุํ สุกเร สเทฺธ ปญฺญวเนฺต จ, เย วา กถิตํ การณํ สลฺลเกฺขนฺติ, สุเขน สกฺกา โหนฺติ วิญฺญาเปตุํ, เต สุวิญฺญาปยาฯ วิปรีตา ทุวิญฺญาปยาฯ ภเพฺพ อภเพฺพติ เอตฺถ เย อริยมคฺคปฺปฎิเวธสฺส อนุจฺฉวิกา อุปนิสฺสยสมฺปนฺนา กมฺมาวรณกิเลสาวรณวิปากาวรณรหิตา, เต ภพฺพาฯ วิปรีตา อภพฺพาฯ ตสฺมาติ ยสฺมา ภควา อปริมาเณ สเตฺต อาสยาทิโต อนวเสเสตฺวา ชานาติ, ตสฺมา อสฺส ภควโต สตฺตโลโกปิ สพฺพถา วิทิโตฯ
Tikkhindriyeti tikhiṇehi saddhādīhi indriyehi samannāgate. Mudindriyeti mudukehi saddhādīhi indriyehi samannāgate. Ubhayatthāpi upanissayabhūtindriyāni adhippetāni. Svākāreti sundarākāre, kalyāṇapakatike vivaṭṭajjhāsayeti attho. Yesaṃ vā āsayādayo ākārā koṭṭhāsā sundarā, te svākārā. Viparītā dvākārā. Suviññāpayeti sammattaniyāmaṃ viññāpetuṃ sukare saddhe paññavante ca, ye vā kathitaṃ kāraṇaṃ sallakkhenti, sukhena sakkā honti viññāpetuṃ, te suviññāpayā. Viparītā duviññāpayā. Bhabbe abhabbeti ettha ye ariyamaggappaṭivedhassa anucchavikā upanissayasampannā kammāvaraṇakilesāvaraṇavipākāvaraṇarahitā, te bhabbā. Viparītā abhabbā. Tasmāti yasmā bhagavā aparimāṇe satte āsayādito anavasesetvā jānāti, tasmā assa bhagavato sattalokopi sabbathā vidito.
นนุ จ สเตฺตสุ ปมาณาทิปิ ชานิตโพฺพ อตฺถีติ? อตฺถิ, ตสฺส ปน ชานนํ น นิพฺพิทาย วิราคาย นิโรธายาติ อิธ น คหิตํ, ภควโต ปน ตมฺปิ สุวิทิตํ สุววตฺถาปิตเมว, ปโยชนาภาวา เทสนํ นารุฬฺหํฯ เตน วุตฺตํ –
Nanu ca sattesu pamāṇādipi jānitabbo atthīti? Atthi, tassa pana jānanaṃ na nibbidāya virāgāya nirodhāyāti idha na gahitaṃ, bhagavato pana tampi suviditaṃ suvavatthāpitameva, payojanābhāvā desanaṃ nāruḷhaṃ. Tena vuttaṃ –
‘‘อถ โข ภควา ปริตฺตํ นขสิขายํ ปํสุํ อาโรเปตฺวา ภิกฺขู อามเนฺตสิ – ‘ตํ กิํ มญฺญถ, ภิกฺขเว, กตมํ นุ โข พหุตรํ โย วายํ มยา ปริโตฺต นขสิขายํ ปํสุ อาโรปิโต, อยํ วา มหาปถวี’’’ติอาทิ (สํ. นิ. ๕.๑๑๒๑)ฯ
‘‘Atha kho bhagavā parittaṃ nakhasikhāyaṃ paṃsuṃ āropetvā bhikkhū āmantesi – ‘taṃ kiṃ maññatha, bhikkhave, katamaṃ nu kho bahutaraṃ yo vāyaṃ mayā paritto nakhasikhāyaṃ paṃsu āropito, ayaṃ vā mahāpathavī’’’tiādi (saṃ. ni. 5.1121).
เอวํ สตฺตโลกสฺสปิ สพฺพถา วิทิตภาวํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ โอกาสโลกสฺสปิ ตเถว วิทิตภาวํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘ยถา จ สตฺตโลโก’’ติอาทิ ฯ โอกาสโลโกปิ สพฺพถา วิทิโตติ สมฺพโนฺธฯ จกฺกวาฬนฺติ โลกธาตุฯ สา หิ เนมิมณฺฑลสทิเสน จกฺกวาฬปพฺพเตน สมนฺตโต ปริกฺขิตฺตตฺตา ‘‘จกฺกวาฬ’’นฺติ วุจฺจติฯ อฑฺฒุฑฺฒานีติ อุปฑฺฒจตุตฺถานิ, ตีณิ สตานิ ปญฺญาสญฺจาติ อโตฺถฯ นหุตานีติ ทสสหสฺสานิฯ สงฺขาตาติ กถิตาฯ ยสฺมา ปถวี นามายํ ติริยํ อปริจฺฉินฺนา, ตสฺมา ‘‘เอตฺตกํ พหลเตฺตน, สงฺขาตายํ วสุนฺธรา’’ติ พหลโตเยว ปริเจฺฉโท วุโตฺตฯ นนุ จกฺกวาฬปพฺพเตหิ ตํตํจกฺกวาฬปถวี ปริจฺฉินฺนาติ? น ตทญฺญจกฺกวาฬปถวิยา เอกาพทฺธภาวโตฯ ติณฺณํ ติณฺณญฺหิ ปตฺตานํ อนฺตราฬสทิเส ติณฺณํ ติณฺณํ โลกธาตูนํ อนฺตเรเยว ปถวี นตฺถิ โลกนฺตรนิรยภาวโต, จกฺกวาฬปพฺพตานํ ปน จกฺกวาฬปพฺพตนฺตเรหิ สมฺพทฺธฎฺฐาเน ปถวี เอกาพทฺธาว, วิวฎฺฎกาเล สณฺฐหมานาปิ ปถวี ยถาสณฺฐิตปถวิยา เอกาพทฺธาว สณฺฐหติฯ
Evaṃ sattalokassapi sabbathā viditabhāvaṃ dassetvā idāni okāsalokassapi tatheva viditabhāvaṃ dassento āha ‘‘yathā casattaloko’’tiādi . Okāsalokopi sabbathā viditoti sambandho. Cakkavāḷanti lokadhātu. Sā hi nemimaṇḍalasadisena cakkavāḷapabbatena samantato parikkhittattā ‘‘cakkavāḷa’’nti vuccati. Aḍḍhuḍḍhānīti upaḍḍhacatutthāni, tīṇi satāni paññāsañcāti attho. Nahutānīti dasasahassāni. Saṅkhātāti kathitā. Yasmā pathavī nāmāyaṃ tiriyaṃ aparicchinnā, tasmā ‘‘ettakaṃ bahalattena, saṅkhātāyaṃ vasundharā’’ti bahalatoyeva paricchedo vutto. Nanu cakkavāḷapabbatehi taṃtaṃcakkavāḷapathavī paricchinnāti? Na tadaññacakkavāḷapathaviyā ekābaddhabhāvato. Tiṇṇaṃ tiṇṇañhi pattānaṃ antarāḷasadise tiṇṇaṃ tiṇṇaṃ lokadhātūnaṃ antareyeva pathavī natthi lokantaranirayabhāvato, cakkavāḷapabbatānaṃ pana cakkavāḷapabbatantarehi sambaddhaṭṭhāne pathavī ekābaddhāva, vivaṭṭakāle saṇṭhahamānāpi pathavī yathāsaṇṭhitapathaviyā ekābaddhāva saṇṭhahati.
สณฺฐิตีติ เหฎฺฐา อุปริโต จาติ สพฺพโส ฐิติฯ เอวํ สณฺฐิเตติ เอวํ อวฎฺฐิเตฯ เอตฺถาติ จกฺกวาเฬฯ อโชฺฌคาโฬฺหติ โอคาหิตฺวา อนุปวิสิตฺวา ฐิโตฯ อจฺจุคฺคโต ตาวเทวาติ ตตฺตกเมว จตุราสีติ โยชนสตสหสฺสานิเยว อุคฺคโตฯ น เกวลเญฺจตฺถ อุเพฺพโธว, อถ โข อายามวิตฺถาราปิสฺส ตตฺตกาเยวฯ วุตฺตเญฺหตํ –
Saṇṭhitīti heṭṭhā uparito cāti sabbaso ṭhiti. Evaṃ saṇṭhiteti evaṃ avaṭṭhite. Etthāti cakkavāḷe. Ajjhogāḷhoti ogāhitvā anupavisitvā ṭhito. Accuggato tāvadevāti tattakameva caturāsīti yojanasatasahassāniyeva uggato. Na kevalañcettha ubbedhova, atha kho āyāmavitthārāpissa tattakāyeva. Vuttañhetaṃ –
‘‘สิเนรุ, ภิกฺขเว, ปพฺพตราชา จตุราสีติ โยชนสหสฺสานิ อายาเมน, จตุราสีติ โยชนสหสฺสานิ วิตฺถาเรนา’’ติ (อ. นิ. ๗.๖๖)ฯ
‘‘Sineru, bhikkhave, pabbatarājā caturāsīti yojanasahassāni āyāmena, caturāsīti yojanasahassāni vitthārenā’’ti (a. ni. 7.66).
สิเนรุปพฺพตุตฺตโมติ ปพฺพเตสุ อุตฺตโม, ปพฺพโตเยว วา อุตฺตโม ปพฺพตุตฺตโม, สิเนรุสงฺขาโต ปพฺพตุตฺตโม สิเนรุปพฺพตุตฺตโม, สิเนรุปพฺพตราชาติ วุตฺตํ โหติฯ ตสฺส จ ปาจีนปสฺสํ รชตมยํ, ตสฺมา ตสฺส ปภาย อโชฺฌตฺถรนฺติยา ปาจีนทิสาย สมุโทฺททกํ ขีรํ วิย ปญฺญายติฯ ทกฺขิณปสฺสํ ปน อินฺทนีลมณิมยํ, ตสฺมา ทกฺขิณทิสาย สมุโทฺททกํ เยภุเยฺยน นีลวณฺณํ หุตฺวา ปญฺญายติ, ตถา อากาสํฯ ปจฺฉิมปสฺสํ ผลิกมยํฯ อุตฺตรปสฺสํ สุวณฺณมยํฯ จตฺตาโร สมุทฺทาปิ สิเนรุรสฺมีหิ เอว ปริจฺฉินฺนาฯ ตถา หิ ปุพฺพทกฺขิณปเสฺสหิ นิกฺขนฺตา รชตมณิรสฺมิโย เอกโต หุตฺวา มหาสมุทฺทปิเฎฺฐน คนฺตฺวา จกฺกวาฬปพฺพตํ อาหจฺจ ติฎฺฐนฺติ, ทกฺขิณปจฺฉิมปเสฺสหิ นิกฺขนฺตา มณิผลิกรสฺมิโย, ปจฺฉิมุตฺตรปเสฺสหิ นิกฺขนฺตา ผลิกสุวณฺณรสฺมิโย, อุตฺตรปาจีนปเสฺสหิ นิกฺขนฺตา สุวณฺณรชตรสฺมิโย เอกโต หุตฺวา มหาสมุทฺทปิเฎฺฐน คนฺตฺวา จกฺกวาฬปพฺพตํ อาหจฺจ ติฎฺฐนฺติ, ตาสํ รสฺมีนํ อนฺตเรสุ จตฺตาโร มหาสมุทฺทา โหนฺติฯ
Sinerupabbatuttamoti pabbatesu uttamo, pabbatoyeva vā uttamo pabbatuttamo, sinerusaṅkhāto pabbatuttamo sinerupabbatuttamo, sinerupabbatarājāti vuttaṃ hoti. Tassa ca pācīnapassaṃ rajatamayaṃ, tasmā tassa pabhāya ajjhottharantiyā pācīnadisāya samuddodakaṃ khīraṃ viya paññāyati. Dakkhiṇapassaṃ pana indanīlamaṇimayaṃ, tasmā dakkhiṇadisāya samuddodakaṃ yebhuyyena nīlavaṇṇaṃ hutvā paññāyati, tathā ākāsaṃ. Pacchimapassaṃ phalikamayaṃ. Uttarapassaṃ suvaṇṇamayaṃ. Cattāro samuddāpi sinerurasmīhi eva paricchinnā. Tathā hi pubbadakkhiṇapassehi nikkhantā rajatamaṇirasmiyo ekato hutvā mahāsamuddapiṭṭhena gantvā cakkavāḷapabbataṃ āhacca tiṭṭhanti, dakkhiṇapacchimapassehi nikkhantā maṇiphalikarasmiyo, pacchimuttarapassehi nikkhantā phalikasuvaṇṇarasmiyo, uttarapācīnapassehi nikkhantā suvaṇṇarajatarasmiyo ekato hutvā mahāsamuddapiṭṭhena gantvā cakkavāḷapabbataṃ āhacca tiṭṭhanti, tāsaṃ rasmīnaṃ antaresu cattāro mahāsamuddā honti.
ตโตติ สิเนรุสฺส เหฎฺฐา อุปริ จ วุตฺตปฺปมาณโตฯ อุปฑฺฒุปเฑฺฒนาติ อุปเฑฺฒน อุปเฑฺฒนฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ทฺวาจตฺตาลีส โยชนสหสฺสานิ สมุเทฺท อโชฺฌคาโฬฺห ตตฺตกเมว อุปริ อุคฺคโต ยุคนฺธรปพฺพโต, เอกวีสติ โยชนสหสฺสานิ มหาสมุเทฺท อโชฺฌคาโฬฺห ตตฺตกเมว จ อุปริ อุคฺคโต อีสธโร ปพฺพโตติ อิมินา นเยน เสเสสุปิ อุปฑฺฒุปฑฺฒปฺปมาณตา เวทิตพฺพาฯ ยถา มหาสมุโทฺท ยาว จกฺกวาฬปาทมูลา อนุปุพฺพนิโนฺน, เอวํ ยาว สิเนรุปาทมูลาติ เหฎฺฐา สิเนรุปฺปมาณโต อุปฑฺฒปฺปมาโณปิ ยุคนฺธรปพฺพโต ปถวิยํ สุปฺปติฎฺฐิโต, เอวํ อีสธราทโยปีติ ทฎฺฐพฺพํฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘มหาสมุโทฺท, ภิกฺขเว, อนุปุพฺพนิโนฺน อนุปุพฺพโปโณ อนุปุพฺพปพฺภาโร’’ติ (จูฬว. ๑๘๔; อุทา. ๔๕)ฯ สิเนรุยุคนฺธราทีนํ อนฺตเร สีทนฺตรสมุทฺทา นาม โหนฺติฯ ตตฺถ กิร อุทกํ สุขุมํ โมรปตฺตมตฺตมฺปิ ปกฺขิตฺตํ ปติฎฺฐาตุํ น สโกฺกติ สีทเตว, ตสฺมา เต สีทสมุทฺทา นาม วุจฺจนฺติฯ เต ปน วิตฺถารโต ยถากฺกมํ สิเนรุอาทีนํ อจฺจุคฺคมสมานปอมาณาติ วทนฺติฯ อโชฺฌคาฬฺหุคฺคตาติ อโชฺฌคาฬฺหา จ อุคฺคตา จฯ พฺรหาติ มหนฺตาฯ
Tatoti sinerussa heṭṭhā upari ca vuttappamāṇato. Upaḍḍhupaḍḍhenāti upaḍḍhena upaḍḍhena. Idaṃ vuttaṃ hoti – dvācattālīsa yojanasahassāni samudde ajjhogāḷho tattakameva upari uggato yugandharapabbato, ekavīsati yojanasahassāni mahāsamudde ajjhogāḷho tattakameva ca upari uggato īsadharo pabbatoti iminā nayena sesesupi upaḍḍhupaḍḍhappamāṇatā veditabbā. Yathā mahāsamuddo yāva cakkavāḷapādamūlā anupubbaninno, evaṃ yāva sinerupādamūlāti heṭṭhā sineruppamāṇato upaḍḍhappamāṇopi yugandharapabbato pathaviyaṃ suppatiṭṭhito, evaṃ īsadharādayopīti daṭṭhabbaṃ. Vuttañhetaṃ ‘‘mahāsamuddo, bhikkhave, anupubbaninno anupubbapoṇo anupubbapabbhāro’’ti (cūḷava. 184; udā. 45). Sineruyugandharādīnaṃ antare sīdantarasamuddā nāma honti. Tattha kira udakaṃ sukhumaṃ morapattamattampi pakkhittaṃ patiṭṭhātuṃ na sakkoti sīdateva, tasmā te sīdasamuddā nāma vuccanti. Te pana vitthārato yathākkamaṃ sineruādīnaṃ accuggamasamānapaamāṇāti vadanti. Ajjhogāḷhuggatāti ajjhogāḷhā ca uggatā ca. Brahāti mahantā.
สิเนรุสฺส สมนฺตโตติ ปริกฺขิปนวเสน สิเนรุสฺส สมนฺตโต ฐิตาฯ สิเนรุํ ตาว ปริกฺขิปิตฺวา ฐิโต ยุคนฺธโร, ตํ ปริกฺขิปิตฺวา อีสธโรฯ เอวํ ตํ ตํ ปริกฺขิปิตฺวา ฐิตา ‘‘สิเนรุสฺส สมนฺตโต’’ติ วุตฺตาฯ กตฺถจิ ปน ‘‘สิเนรุํ ปริกฺขิปิตฺวา อสฺสกโณฺณ นาม ปพฺพโต ปติฎฺฐิโต, ตํ ปริกฺขิปิตฺวา วินตโก นาม ปพฺพโต’’ติ เอวํ อโญฺญเยว อนุกฺกโม อาคโตฯ ตถา หิ นิมิชาตเก –
Sinerussa samantatoti parikkhipanavasena sinerussa samantato ṭhitā. Sineruṃ tāva parikkhipitvā ṭhito yugandharo, taṃ parikkhipitvā īsadharo. Evaṃ taṃ taṃ parikkhipitvā ṭhitā ‘‘sinerussa samantato’’ti vuttā. Katthaci pana ‘‘sineruṃ parikkhipitvā assakaṇṇo nāma pabbato patiṭṭhito, taṃ parikkhipitvā vinatako nāma pabbato’’ti evaṃ aññoyeva anukkamo āgato. Tathā hi nimijātake –
‘‘สหสฺสยุตฺตํ หยวาหิํ, ทิพฺพยานมธิฎฺฐิโต;
‘‘Sahassayuttaṃ hayavāhiṃ, dibbayānamadhiṭṭhito;
ยายมาโน มหาราชา, อทฺทา สีทนฺตเร นเค;
Yāyamāno mahārājā, addā sīdantare nage;
ทิสฺวานามนฺตยี สูตํ, อิเม เก นาม ปพฺพตา’’ติฯ (ชา. ๒.๒๒.๕๖๖)
Disvānāmantayī sūtaṃ, ime ke nāma pabbatā’’ti. (jā. 2.22.566)
เอวํ นิมิมหาราเชน ปุเฎฺฐน มาตลิเทวปุเตฺตน –
Evaṃ nimimahārājena puṭṭhena mātalidevaputtena –
‘‘สุทสฺสโน กรวีโก, อีสธโร ยุคนฺธโร;
‘‘Sudassano karavīko, īsadharo yugandharo;
เนมินฺธโร วินตโก, อสฺสกโณฺณ คิรี พฺรหาฯ
Nemindharo vinatako, assakaṇṇo girī brahā.
‘‘เอเต สีทนฺตเร นคา, อนุปุพฺพสมุคฺคตา;
‘‘Ete sīdantare nagā, anupubbasamuggatā;
มหาราชานมาวาสา, ยานิ ตฺวํ ราช ปสฺสสี’’ติฯ (ชา. ๒.๒๒.๕๖๘-๕๖๙)
Mahārājānamāvāsā, yāni tvaṃ rāja passasī’’ti. (jā. 2.22.568-569)
วุตฺตํฯ
Vuttaṃ.
ตตฺถ อฎฺฐกถายํ อิทํ วุตฺตํ –
Tattha aṭṭhakathāyaṃ idaṃ vuttaṃ –
‘‘อยํ, มหาราช, เอเตสํ สพฺพพาหิโร สุทสฺสโน ปพฺพโต นาม, ตทนนฺตเร กรวีโก นาม, โส สุทสฺสนโต อุจฺจตโรฯ อุภินฺนมฺปิ ปน เตสํ อนฺตเร เอโกปิ สีทนฺตรมหาสมุโทฺทฯ กรวีกสฺส อนนฺตเร อีสธโร นาม, โส กรวีกโต อุจฺจตโรฯ เตสมฺปิ อนฺตเร เอโก สีทนฺตรมหาสมุโทฺทฯ อีสธรสฺส อนนฺตเร ยุคนฺธโร นาม, โส อีสธรโต อุจฺจตโรฯ เตสมฺปิ อนฺตเร เอโก สีทนฺตรมหาสมุโทฺทฯ ยุคนฺธรสฺส อนนฺตเร เนมินฺธโร นาม, โส ยุคนฺธรโต อุจฺจตโรฯ เตสมฺปิ อนฺตเร เอโก สีทนฺตรมหาสมุโทฺทฯ เนมินฺธรสฺส อนนฺตเร วินตโก นาม, โส เนมินฺธรโต อุจฺจตโรฯ เตสมฺปิ อนฺตเร เอโก สีทนฺตรมหาสมุโทฺทฯ วินตกสฺส อนนฺตเร อสฺสกโณฺณ นาม, โส วินตกโต อุจฺจตโรฯ เตสมฺปิ อนฺตเร เอโก สีทนฺตรมหาสมุโทฺทฯ เอเต สีทนฺตรมหาสมุเทฺท สตฺต ปพฺพตา อนุปฎิปาฎิยา สมุคฺคตา โสปานสทิสา หุตฺวา ฐิตา’’ติ (ชา. อฎฺฐ. ๖.๒๒.๕๖๙)ฯ
‘‘Ayaṃ, mahārāja, etesaṃ sabbabāhiro sudassano pabbato nāma, tadanantare karavīko nāma, so sudassanato uccataro. Ubhinnampi pana tesaṃ antare ekopi sīdantaramahāsamuddo. Karavīkassa anantare īsadharo nāma, so karavīkato uccataro. Tesampi antare eko sīdantaramahāsamuddo. Īsadharassa anantare yugandharo nāma, so īsadharato uccataro. Tesampi antare eko sīdantaramahāsamuddo. Yugandharassa anantare nemindharo nāma, so yugandharato uccataro. Tesampi antare eko sīdantaramahāsamuddo. Nemindharassa anantare vinatako nāma, so nemindharato uccataro. Tesampi antare eko sīdantaramahāsamuddo. Vinatakassa anantare assakaṇṇo nāma, so vinatakato uccataro. Tesampi antare eko sīdantaramahāsamuddo. Ete sīdantaramahāsamudde satta pabbatā anupaṭipāṭiyā samuggatā sopānasadisā hutvā ṭhitā’’ti (jā. aṭṭha. 6.22.569).
โยชนานํ สตานุโจฺจ, หิมวา ปญฺจ ปพฺพโตติ หิมวา ปพฺพโต ปญฺจ โยชนสตานิ อุโจฺจ, อุเพฺพโธติ อโตฺถฯ ตตฺถ หิมวาติ หิมปาตสมเย หิมยุตฺตตาย หิมํ อสฺส อตฺถีติ หิมวา, คิมฺหกาเล หิมํ วมตีติ หิมวาฯ ปพฺพโตติ เสโลฯ เสโล หิ สนฺธิสงฺขาเตหิ ปเพฺพหิ สหิตตฺตา ‘‘ปพฺพโต’’ติ วุจฺจติ, ปสวนาทิวเสน ชลสฺส สารภูตานํ เภสชฺชาทีนํ วตฺถูนญฺจ คิรณโต ‘‘คิรี’’ติ จ วุจฺจติฯ โยชนานํ สหสฺสานิ, ตีณิ อายตวิตฺถโตติ โยชนานํ ตีณิ สหสฺสานิ อายามโต จ วิตฺถารโต จาติ อโตฺถ, อายามโต จ วิตฺถารโต จ ตีณิ โยชนสหสฺสานีติ วุตฺตํ โหติฯ
Yojanānaṃ satānucco, himavā pañca pabbatoti himavā pabbato pañca yojanasatāni ucco, ubbedhoti attho. Tattha himavāti himapātasamaye himayuttatāya himaṃ assa atthīti himavā, gimhakāle himaṃ vamatīti himavā. Pabbatoti selo. Selo hi sandhisaṅkhātehi pabbehi sahitattā ‘‘pabbato’’ti vuccati, pasavanādivasena jalassa sārabhūtānaṃ bhesajjādīnaṃ vatthūnañca giraṇato ‘‘girī’’ti ca vuccati. Yojanānaṃ sahassāni, tīṇi āyatavitthatoti yojanānaṃ tīṇi sahassāni āyāmato ca vitthārato cāti attho, āyāmato ca vitthārato ca tīṇi yojanasahassānīti vuttaṃ hoti.
จตุราสีติสหเสฺสหิ, กูเฎหิ ปฎิมณฺฑิโตติ สุทสฺสนกูฎจิตฺรกูฎาทีหิ จตุราสีติกูฎสหเสฺสหิ ปฎิมณฺฑิโต, โสภิโตติ อโตฺถฯ อปิเจตฺถ อวุโตฺตปิ อยํ วิเสโส เวทิตโพฺพ (ม. นิ. อฎฺฐ. ๒.๓๑; อ. นิ. อฎฺฐ. ๓.๘.๑๙; สุ. นิ. อฎฺฐ. เสลสุตฺตวณฺณนา) – อยํ หิมวา นาม ปพฺพโต สมนฺตโต สนฺทมานปญฺจสตนทีวิจิโตฺต, ยตฺถ อายามวิตฺถาเรน เจว คมฺภีรตาย จ ปณฺณาส ปณฺณาส โยชนา ทิยฑฺฒโยชนสตปริมณฺฑลา อโนตตฺตทโห กณฺณมุณฺฑทโห รถการทโห ฉทฺทนฺตทโห กุณาลทโห มนฺทากินีทโห สีหปฺปปาตทโหติ สตฺต มหาสรา ปติฎฺฐิตาฯ เตสุ อโนตโตฺต สุทสฺสนกูฎํ จิตฺรกูฎํ กาฬกูฎํ คนฺธมาทนกูฎํ เกลาสกูฎนฺติ อิเมหิ ปญฺจหิ ปพฺพเตหิ ปริกฺขิโตฺตฯ ตตฺถ สุทสฺสนกูฎํ โสวณฺณมยํ ทฺวิโยชนสตุเพฺพธํ อโนฺตวงฺกํ กากมุขสณฺฐานํ ตเมว สรํ ปฎิจฺฉาเทตฺวา ฐิตํฯ จิตฺรกูฎํ สพฺพรตนมยํฯ กาฬกูฎํ อญฺชนมยํฯ คนฺธมาทนกูฎํ สานุมยํ อพฺภนฺตเร มุคฺควณฺณํ กาฬานุสาริยาทิมูลคโนฺธ จนฺทนาทิสารคโนฺธ สรลาทิเผคฺคุคโนฺธ ลวงฺคาทิตจคโนฺธ กปิฎฺฐาทิปปฎิกคโนฺธ สชฺชาทิรสคโนฺธ ตมาลาทิปตฺตคโนฺธ นาคกุงฺกุมาทิปุปฺผคโนฺธ ชาติผลาทิผลคโนฺธ สพฺพถา คนฺธภาวโต คนฺธคโนฺธติ อิเมหิ ทสหิ คเนฺธหิ อุสฺสนฺนํ นานปฺปการโอสธสญฺฉนฺนํ กาฬปกฺขอุโปสถทิวเส อาทิตฺตมิว องฺคารํ ชลนฺตํ ติฎฺฐติฯ
Caturāsītisahassehi, kūṭehi paṭimaṇḍitoti sudassanakūṭacitrakūṭādīhi caturāsītikūṭasahassehi paṭimaṇḍito, sobhitoti attho. Apicettha avuttopi ayaṃ viseso veditabbo (ma. ni. aṭṭha. 2.31; a. ni. aṭṭha. 3.8.19; su. ni. aṭṭha. selasuttavaṇṇanā) – ayaṃ himavā nāma pabbato samantato sandamānapañcasatanadīvicitto, yattha āyāmavitthārena ceva gambhīratāya ca paṇṇāsa paṇṇāsa yojanā diyaḍḍhayojanasataparimaṇḍalā anotattadaho kaṇṇamuṇḍadaho rathakāradaho chaddantadaho kuṇāladaho mandākinīdaho sīhappapātadahoti satta mahāsarā patiṭṭhitā. Tesu anotatto sudassanakūṭaṃ citrakūṭaṃ kāḷakūṭaṃ gandhamādanakūṭaṃ kelāsakūṭanti imehi pañcahi pabbatehi parikkhitto. Tattha sudassanakūṭaṃ sovaṇṇamayaṃ dviyojanasatubbedhaṃ antovaṅkaṃ kākamukhasaṇṭhānaṃ tameva saraṃ paṭicchādetvā ṭhitaṃ. Citrakūṭaṃ sabbaratanamayaṃ. Kāḷakūṭaṃ añjanamayaṃ. Gandhamādanakūṭaṃ sānumayaṃ abbhantare muggavaṇṇaṃ kāḷānusāriyādimūlagandho candanādisāragandho saralādipheggugandho lavaṅgāditacagandho kapiṭṭhādipapaṭikagandho sajjādirasagandho tamālādipattagandho nāgakuṅkumādipupphagandho jātiphalādiphalagandho sabbathā gandhabhāvato gandhagandhoti imehi dasahi gandhehi ussannaṃ nānappakāraosadhasañchannaṃ kāḷapakkhauposathadivase ādittamiva aṅgāraṃ jalantaṃ tiṭṭhati.
ตเตฺถว นนฺทมูลกํ (สุ. นิ. อฎฺฐ. ๑.๓๕) นาม ปพฺภารํ ปเจฺจกพุทฺธานํ วสโนกาโสฯ ติโสฺส คุหาโย สุวณฺณคุหา มณิคุหา รชตคุหาติฯ ตตฺถ มณิคุหาทฺวาเร มญฺชูสโก นาม รุโกฺข โยชนํ อุเพฺพเธน, โยชนํ วิตฺถาเรน, โส ยตฺตกานิ อุทเก วา ถเล วา ปุปฺผานิ, สพฺพานิ ปุปฺผติ วิเสเสน ปเจฺจกพุทฺธาคมนทิวเส, ตสฺสูปริโต สพฺพรตนมาโฬ โหติฯ ตตฺถ สมฺมชฺชนกวาโต กจวรํ ฉเฑฺฑติ, สมกรณวาโต สพฺพรตนมยํ วาลิกํ สมํ กโรติ, สิญฺจนกวาโต อโนตตฺตทหโต อาเนตฺวา อุทกํ สิญฺจติ, สุคนฺธกรณวาโต สเพฺพสํ คนฺธรุกฺขานํ คเนฺธ อาเนติ, โอจินกวาโต ปุปฺผานิ โอจินิตฺวา ปาเตติ, สนฺถรณกวาโต สพฺพตฺถ สนฺถรติ, สทา ปญฺญตฺตาเนว เจตฺถ อาสนานิ โหนฺติฯ เยสุ ปเจฺจกพุทฺธุปฺปาททิวเส อุโปสถทิวเส จ สพฺพปเจฺจกพุทฺธา สนฺนิปติตฺวา นิสีทนฺติ, อยํ ตตฺถ ปกติฯ อภิสมฺพุทฺธปเจฺจกพุโทฺธ ตตฺถ คนฺตฺวา ปญฺญตฺตาสเน นิสีทติฯ ตโต สเจ ตสฺมิํ กาเล อเญฺญปิ ปเจฺจกพุทฺธา สํวิชฺชนฺติ, เตปิ ตงฺขณํ สนฺนิปติตฺวา ปญฺญตฺตาสเนสุ นิสีทนฺติ, นิสีทิตฺวา กิญฺจิเทว สมาปตฺติํ สมาปชฺชิตฺวา วุฎฺฐหนฺติฯ ตโต สงฺฆเตฺถโร อธุนาคตํ ปเจฺจกพุทฺธํ สเพฺพสํ อนุโมทนตฺถาย ‘‘กถมธิคต’’นฺติ กมฺมฎฺฐานํ ปุจฺฉติ, ตทา โส อตฺตโน อุทานพฺยากรณคาถํ ภาสติฯ เอวมิทํ คนฺธมาทนกูฎํ ปเจฺจกพุทฺธานํ อาวาสฎฺฐานํ โหตีติ เวทิตพฺพํฯ
Tattheva nandamūlakaṃ (su. ni. aṭṭha. 1.35) nāma pabbhāraṃ paccekabuddhānaṃ vasanokāso. Tisso guhāyo suvaṇṇaguhā maṇiguhā rajataguhāti. Tattha maṇiguhādvāre mañjūsako nāma rukkho yojanaṃ ubbedhena, yojanaṃ vitthārena, so yattakāni udake vā thale vā pupphāni, sabbāni pupphati visesena paccekabuddhāgamanadivase, tassūparito sabbaratanamāḷo hoti. Tattha sammajjanakavāto kacavaraṃ chaḍḍeti, samakaraṇavāto sabbaratanamayaṃ vālikaṃ samaṃ karoti, siñcanakavāto anotattadahato ānetvā udakaṃ siñcati, sugandhakaraṇavāto sabbesaṃ gandharukkhānaṃ gandhe āneti, ocinakavāto pupphāni ocinitvā pāteti, santharaṇakavāto sabbattha santharati, sadā paññattāneva cettha āsanāni honti. Yesu paccekabuddhuppādadivase uposathadivase ca sabbapaccekabuddhā sannipatitvā nisīdanti, ayaṃ tattha pakati. Abhisambuddhapaccekabuddho tattha gantvā paññattāsane nisīdati. Tato sace tasmiṃ kāle aññepi paccekabuddhā saṃvijjanti, tepi taṅkhaṇaṃ sannipatitvā paññattāsanesu nisīdanti, nisīditvā kiñcideva samāpattiṃ samāpajjitvā vuṭṭhahanti. Tato saṅghatthero adhunāgataṃ paccekabuddhaṃ sabbesaṃ anumodanatthāya ‘‘kathamadhigata’’nti kammaṭṭhānaṃ pucchati, tadā so attano udānabyākaraṇagāthaṃ bhāsati. Evamidaṃ gandhamādanakūṭaṃ paccekabuddhānaṃ āvāsaṭṭhānaṃ hotīti veditabbaṃ.
เกลาสกูฎํ ปน รชตมยํฯ สพฺพานิ เจตานิ จิตฺรกูฎาทีนิ สุทสฺสเนน สมานุเพฺพธสณฺฐานานิ ตเมว สรํ ปฎิจฺฉาเทตฺวา ฐิตานิฯ สพฺพานิ ปน ปุถุลโต ปญฺญาสโยชนานิ, อายามโต ปน อุเพฺพธโต วิย ทฺวิโยชนสตาเนวาติ วทนฺติฯ ตานิ สพฺพานิ เทวานุภาเวน นาคานุภาเวน จ ฐสฺสนฺติ, นทิโย จ เตสุ สนฺทนฺติ, ตํ สพฺพมฺปิ อุทกํ อโนตตฺตเมว ปวิสติ, จนฺทิมสูริยา ทกฺขิเณน วา อุตฺตเรน วา คจฺฉนฺตา ปพฺพตนฺตเรน ตตฺถ โอภาสํ กโรนฺติ, อุชุํ คจฺฉนฺตา น กโรนฺติ, เตเนวสฺส ‘‘อโนตตฺต’’นฺติ สงฺขา อุทปาทิฯ ตตฺถ รตนมยมนุญฺญโสปานสิลาตลานิ นิมฺมจฺฉกจฺฉปานิ ผลิกสทิสนิมฺมลูทกานิ นฺหานติตฺถานิ ตทุปโภคีสตฺตานํ สาธารณกมฺมุนาว สุปฺปฎิยตฺตานิ สุสณฺฐิตานิ โหนฺติ, เยสุ พุทฺธปเจฺจกพุทฺธขีณาสวา จ อิทฺธิมโนฺต จ อิสโย นฺหายนฺติ, เทวยกฺขาทโย อุยฺยานกีฬํ กีฬนฺติฯ
Kelāsakūṭaṃ pana rajatamayaṃ. Sabbāni cetāni citrakūṭādīni sudassanena samānubbedhasaṇṭhānāni tameva saraṃ paṭicchādetvā ṭhitāni. Sabbāni pana puthulato paññāsayojanāni, āyāmato pana ubbedhato viya dviyojanasatānevāti vadanti. Tāni sabbāni devānubhāvena nāgānubhāvena ca ṭhassanti, nadiyo ca tesu sandanti, taṃ sabbampi udakaṃ anotattameva pavisati, candimasūriyā dakkhiṇena vā uttarena vā gacchantā pabbatantarena tattha obhāsaṃ karonti, ujuṃ gacchantā na karonti, tenevassa ‘‘anotatta’’nti saṅkhā udapādi. Tattha ratanamayamanuññasopānasilātalāni nimmacchakacchapāni phalikasadisanimmalūdakāni nhānatitthāni tadupabhogīsattānaṃ sādhāraṇakammunāva suppaṭiyattāni susaṇṭhitāni honti, yesu buddhapaccekabuddhakhīṇāsavā ca iddhimanto ca isayo nhāyanti, devayakkhādayo uyyānakīḷaṃ kīḷanti.
ตสฺส จตูสุ ปเสฺสสุ สีหมุขํ หตฺถิมุขํ อสฺสมุขํ อุสภมุขนฺติ จตฺตาริ มุขานิ โหนฺติ, เยหิ จตโสฺส นทิโย สนฺทนฺติฯ สีหมุเขน นิกฺขนฺตนทีตีเร สีหา พหุตรา โหนฺติ, หตฺถิมุขาทีหิ หตฺถิอสฺสอุสภาฯ ปุรตฺถิมทิสโต นิกฺขนฺตนที อโนตตฺตํ ติกฺขตฺตุํ ปทกฺขิณํ กตฺวา อิตรา ติโสฺส นทิโย อนุปคมฺม ปาจีนหิมวเนฺตเนว อมนุสฺสปถํ คนฺตฺวา มหาสมุทฺทํ ปวิสติฯ ปจฺฉิมทิสโต จ อุตฺตรทิสโต จ นิกฺขนฺตนทิโยปิ ตเถว ปทกฺขิณํ กตฺวา ปจฺฉิมหิมวเนฺตเนว อุตฺตรหิมวเนฺตเนว จ อมนุสฺสปถํ คนฺตฺวา มหาสมุทฺทํ ปวิสนฺติฯ ทกฺขิณทิสโต นิกฺขนฺตนที ปน ตํ ติกฺขตฺตุํ ปทกฺขิณํ กตฺวา ทกฺขิเณน อุชุกํ ปาสาณปิเฎฺฐเนว สฎฺฐิ โยชนานิ คนฺตฺวา ปพฺพตํ ปหริตฺวา วุฎฺฐาย ปริเกฺขเปน ติคาวุตปฺปมาณา อุทกธารา หุตฺวา อากาเสน สฎฺฐิ โยชนานิ คนฺตฺวา ติยคฺคเฬ นาม ปาสาเณ ปติตา, ปาสาโณ อุทกธาราเวเคน ภิโนฺนฯ ตตฺถ ปญฺญาสโยชนปฺปมาณา ติยคฺคฬา นาม มหาโปกฺขรณี ชาตา, มหาโปกฺขรณิยา กูลํ ภินฺทิตฺวา ปาสาณํ ปวิสิตฺวา สฎฺฐิ โยชนานิ คตา, ตโต ฆนปถวิํ ภินฺทิตฺวา อุมเงฺคน สฎฺฐิ โยชนานิ คนฺตฺวา วิญฺฌํ นาม ติรจฺฉานปพฺพตํ ปหริตฺวา หตฺถตเล ปญฺจงฺคุลิสทิสา ปญฺจธารา หุตฺวา ปวตฺตติฯ สา ติกฺขตฺตุํ อโนตตฺตํ ปทกฺขิณํ กตฺวา คตฎฺฐาเน ‘‘อาวฎฺฎคงฺคา’’ติ วุจฺจติ, อุชุกํ ปาสาณปิเฎฺฐน สฎฺฐิ โยชนานิ คตฎฺฐาเน ‘‘กณฺหคงฺคา’’ติ, อากาเสน สฎฺฐิ โยชนานิ คตฎฺฐาเน ‘‘อากาสคงฺคา’’ติ, ติยคฺคฬปาสาเณ ปญฺญาสโยชโนกาเส ฐิตา ‘‘ติยคฺคฬโปกฺขรณี’’ติ, กูลํ ภินฺทิตฺวา ปาสาณํ ปวิสิตฺวา สฎฺฐิ โยชนานิ คตฎฺฐาเน ‘‘พหลคงฺคา’’ติ, อุมเงฺคน สฎฺฐิ โยชนานิ คตฎฺฐาเน ‘‘อุมงฺคคงฺคา’’ติ วุจฺจติฯ วิญฺฌํ นาม ติรจฺฉานปพฺพตํ ปหริตฺวา ปญฺจธารา หุตฺวา ปวตฺตฎฺฐาเน ปน คงฺคา ยมุนา อจิรวตี สรภู มหีติ ปญฺจธา สงฺขฺยํ คตาฯ เอวเมตา ปญฺจ มหานทิโย หิมวนฺตโต ปภวนฺติฯ
Tassa catūsu passesu sīhamukhaṃ hatthimukhaṃ assamukhaṃ usabhamukhanti cattāri mukhāni honti, yehi catasso nadiyo sandanti. Sīhamukhena nikkhantanadītīre sīhā bahutarā honti, hatthimukhādīhi hatthiassausabhā. Puratthimadisato nikkhantanadī anotattaṃ tikkhattuṃ padakkhiṇaṃ katvā itarā tisso nadiyo anupagamma pācīnahimavanteneva amanussapathaṃ gantvā mahāsamuddaṃ pavisati. Pacchimadisato ca uttaradisato ca nikkhantanadiyopi tatheva padakkhiṇaṃ katvā pacchimahimavanteneva uttarahimavanteneva ca amanussapathaṃ gantvā mahāsamuddaṃ pavisanti. Dakkhiṇadisato nikkhantanadī pana taṃ tikkhattuṃ padakkhiṇaṃ katvā dakkhiṇena ujukaṃ pāsāṇapiṭṭheneva saṭṭhi yojanāni gantvā pabbataṃ paharitvā vuṭṭhāya parikkhepena tigāvutappamāṇā udakadhārā hutvā ākāsena saṭṭhi yojanāni gantvā tiyaggaḷe nāma pāsāṇe patitā, pāsāṇo udakadhārāvegena bhinno. Tattha paññāsayojanappamāṇā tiyaggaḷā nāma mahāpokkharaṇī jātā, mahāpokkharaṇiyā kūlaṃ bhinditvā pāsāṇaṃ pavisitvā saṭṭhi yojanāni gatā, tato ghanapathaviṃ bhinditvā umaṅgena saṭṭhi yojanāni gantvā viñjhaṃ nāma tiracchānapabbataṃ paharitvā hatthatale pañcaṅgulisadisā pañcadhārā hutvā pavattati. Sā tikkhattuṃ anotattaṃ padakkhiṇaṃ katvā gataṭṭhāne ‘‘āvaṭṭagaṅgā’’ti vuccati, ujukaṃ pāsāṇapiṭṭhena saṭṭhi yojanāni gataṭṭhāne ‘‘kaṇhagaṅgā’’ti, ākāsena saṭṭhi yojanāni gataṭṭhāne ‘‘ākāsagaṅgā’’ti, tiyaggaḷapāsāṇe paññāsayojanokāse ṭhitā ‘‘tiyaggaḷapokkharaṇī’’ti, kūlaṃ bhinditvā pāsāṇaṃ pavisitvā saṭṭhi yojanāni gataṭṭhāne ‘‘bahalagaṅgā’’ti, umaṅgena saṭṭhi yojanāni gataṭṭhāne ‘‘umaṅgagaṅgā’’ti vuccati. Viñjhaṃ nāma tiracchānapabbataṃ paharitvā pañcadhārā hutvā pavattaṭṭhāne pana gaṅgā yamunā aciravatī sarabhū mahīti pañcadhā saṅkhyaṃ gatā. Evametā pañca mahānadiyo himavantato pabhavanti.
ฉทฺทนฺตทหสฺส ปน (ชา. อฎฺฐ. ๕.๑๖.ฉทฺทนฺตชาตกวณฺณนา) มเชฺฌ ทฺวาทสโยชนปฺปมาเณ ฐาเน เสวาโล วา ปณกํ วา นตฺถิ, มณิกฺขนฺธวณฺณํ อุทกเมว สนฺติฎฺฐติ, ตทนนฺตรํ โยชนวิตฺถตํ สุทฺธกลฺลหารวนํ ตํ อุทกํ ปริกฺขิปิตฺวา ฐิตํ, ตทนนฺตรํ โยชนวิตฺถตเมว สุทฺธนีลุปฺปลวนํ ตํ ปริกฺขิปิตฺวา ฐิตํ, โยชนโยชนวิตฺถตาเนว รตฺตุปฺปลเสตุปฺปลรตฺตปทุมเสตปทุมกุมุทวนานิ ปุริมํ ปุริมํ ปริกฺขิปิตฺวา ฐิตานิ, อิเมสํ ปน สตฺตนฺนํ วนานํ อนนฺตรํ สเพฺพสมฺปิ กลฺลหาราทีนํ วเสน โวมิสฺสกวนํ โยชนวิตฺถตเมว ตานิ ปริกฺขิปิตฺวา ฐิตํ, ตทนนฺตรํ นาคานํ กฎิปฺปมาเณ อุทเก โยชนวิตฺถตเมว รตฺตสาลิวนํ, ตทนนฺตรํ อุทกปริยเนฺต นีลปีตโลหิโตทาตสุรภิสุขุมกุสุมสมากิณฺณํ ขุทฺทกคจฺฉวนนฺติ อิมานิ ทส วนานิ โยชนโยชนวิตฺถตาเนวฯ ตโต ขุทฺทกราชมาสมหาราชมาสมุคฺควนํ, ตทนนฺตรํ ติปุสเอฬาลุกอลาพุกุมฺภณฺฑวลฺลิวนานิ, ตโต ปูครุกฺขปฺปมาณํ อุจฺฉุวนํ, ตโต หตฺถิทนฺตปฺปมาณผลํ กทลิวนํ, ตโต สาลวนํ, ตทนนฺตรํ จาฎิปฺปมาณผลํ ปนสวนํ, ตโต มธุรผลํ อมฺพวนํ, ตโต จิญฺจวนํ, ตโต กปิฎฺฐวนํ, ตโต โวมิสฺสโก มหาวนสโณฺฑ, ตโต เวณุวนํ, เวณุวนํ ปน ปริกฺขิปิตฺวา สตฺต ปพฺพตา ฐิตา, เตสํ พาหิรนฺตโต ปฎฺฐาย ปฐโม จูฬกาฬปพฺพโต นาม, ทุติโย มหากาฬปพฺพโต นาม, ตโต อุทกปสฺสปพฺพโต นาม, ตโต จนฺทปสฺสปพฺพโต นาม, ตโต สูริยปสฺสปพฺพโต นาม, ตโต มณิปสฺสปพฺพโต นาม, สตฺตโม สุวณฺณปสฺสปพฺพโต นามฯ โส อุเพฺพธโต สตฺตโยชนิโก ฉทฺทนฺตทหํ ปริกฺขิปิตฺวา ปตฺตสฺส มุขวฎฺฎิ วิย ฐิโตฯ ตสฺส อพฺภนฺตริมปสฺสํ สุวณฺณวณฺณํ, ตโต นิกฺขเนฺตน โอภาเสน ฉทฺทนฺตทโห สมุคฺคตพาลสูริโย วิย โหติฯ พาหิริมปพฺพเตสุ ปน เอโก อุเพฺพธโต ฉ โยชนานิ, เอโก ปญฺจ, เอโก จตฺตาริ, เอโก ตีณิ, เอโก เทฺว, เอโก โยชนํฯ
Chaddantadahassa pana (jā. aṭṭha. 5.16.chaddantajātakavaṇṇanā) majjhe dvādasayojanappamāṇe ṭhāne sevālo vā paṇakaṃ vā natthi, maṇikkhandhavaṇṇaṃ udakameva santiṭṭhati, tadanantaraṃ yojanavitthataṃ suddhakallahāravanaṃ taṃ udakaṃ parikkhipitvā ṭhitaṃ, tadanantaraṃ yojanavitthatameva suddhanīluppalavanaṃ taṃ parikkhipitvā ṭhitaṃ, yojanayojanavitthatāneva rattuppalasetuppalarattapadumasetapadumakumudavanāni purimaṃ purimaṃ parikkhipitvā ṭhitāni, imesaṃ pana sattannaṃ vanānaṃ anantaraṃ sabbesampi kallahārādīnaṃ vasena vomissakavanaṃ yojanavitthatameva tāni parikkhipitvā ṭhitaṃ, tadanantaraṃ nāgānaṃ kaṭippamāṇe udake yojanavitthatameva rattasālivanaṃ, tadanantaraṃ udakapariyante nīlapītalohitodātasurabhisukhumakusumasamākiṇṇaṃ khuddakagacchavananti imāni dasa vanāni yojanayojanavitthatāneva. Tato khuddakarājamāsamahārājamāsamuggavanaṃ, tadanantaraṃ tipusaeḷālukaalābukumbhaṇḍavallivanāni, tato pūgarukkhappamāṇaṃ ucchuvanaṃ, tato hatthidantappamāṇaphalaṃ kadalivanaṃ, tato sālavanaṃ, tadanantaraṃ cāṭippamāṇaphalaṃ panasavanaṃ, tato madhuraphalaṃ ambavanaṃ, tato ciñcavanaṃ, tato kapiṭṭhavanaṃ, tato vomissako mahāvanasaṇḍo, tato veṇuvanaṃ, veṇuvanaṃ pana parikkhipitvā satta pabbatā ṭhitā, tesaṃ bāhirantato paṭṭhāya paṭhamo cūḷakāḷapabbato nāma, dutiyo mahākāḷapabbato nāma, tato udakapassapabbato nāma, tato candapassapabbato nāma, tato sūriyapassapabbato nāma, tato maṇipassapabbato nāma, sattamo suvaṇṇapassapabbato nāma. So ubbedhato sattayojaniko chaddantadahaṃ parikkhipitvā pattassa mukhavaṭṭi viya ṭhito. Tassa abbhantarimapassaṃ suvaṇṇavaṇṇaṃ, tato nikkhantena obhāsena chaddantadaho samuggatabālasūriyo viya hoti. Bāhirimapabbatesu pana eko ubbedhato cha yojanāni, eko pañca, eko cattāri, eko tīṇi, eko dve, eko yojanaṃ.
เอวํ สตฺตปพฺพตปริกฺขิตฺตสฺส ปน ตสฺส ทหสฺส ปุพฺพุตฺตรกเณฺณ อุทกวาตปฺปหรโณกาเส มหานิโคฺรธรุโกฺข, ตสฺส ขโนฺธ ปริเกฺขปโต ปญฺจโยชนิโก, อุเพฺพธโต สตฺตโยชนิโกฯ จตูสุ ทิสาสุ จตโสฺส สาขาโย ฉฉโยชนิกา, อุทฺธํ อุคฺคตสาขาปิ ฉโยชนิกาวฯ อิติ โส มูลโต ปฎฺฐาย อุเพฺพเธน เตรสโยชนิโก สาขานํ โอริมนฺตโต ยาว ปาริมนฺตา ทฺวาทสโยชนิโก อฎฺฐหิ ปาโรหสหเสฺสหิ ปฎิมณฺฑิโต มุณฺฑมณิปพฺพโต วิย วิลาสมาโน ติฎฺฐติฯ ฉทฺทนฺตทหสฺส ปน ปจฺฉิมทิสาภาเค สุวณฺณปพฺพเต ทฺวาทสโยชนิกา กญฺจนคุหาฯ ฉทฺทโนฺต นาคราชา วสฺสารเตฺต อฎฺฐสหสฺสนาคปริวุโต กญฺจนคุหายํ วสติ, คิมฺหกาเล อุทกวาตํ สมฺปฎิจฺฉมาโน มหานิโคฺรธมูเล ปาโรหนฺตเร ติฎฺฐติฯ
Evaṃ sattapabbataparikkhittassa pana tassa dahassa pubbuttarakaṇṇe udakavātappaharaṇokāse mahānigrodharukkho, tassa khandho parikkhepato pañcayojaniko, ubbedhato sattayojaniko. Catūsu disāsu catasso sākhāyo chachayojanikā, uddhaṃ uggatasākhāpi chayojanikāva. Iti so mūlato paṭṭhāya ubbedhena terasayojaniko sākhānaṃ orimantato yāva pārimantā dvādasayojaniko aṭṭhahi pārohasahassehi paṭimaṇḍito muṇḍamaṇipabbato viya vilāsamāno tiṭṭhati. Chaddantadahassa pana pacchimadisābhāge suvaṇṇapabbate dvādasayojanikā kañcanaguhā. Chaddanto nāgarājā vassāratte aṭṭhasahassanāgaparivuto kañcanaguhāyaṃ vasati, gimhakāle udakavātaṃ sampaṭicchamāno mahānigrodhamūle pārohantare tiṭṭhati.
มนฺทากินิยา ปน มเชฺฌ ปญฺจวีสติโยชนมเตฺต ฐาเน เสวาโล วา ปณกํ วา นตฺถิ, ผลิกวณฺณํ อุทกเมว โหติ, ตโต ปรํ ปน นาคานํ กฎิปฺปมาเณ อุทเก อฑฺฒโยชนวิตฺถตํ เสตปทุมวนํ ตํ อุทกํ ปริกฺขิปิตฺวา ฐิตํฯ ตตฺถ มุฬาลํ นงฺคลสีสมตฺตํ โหติ, ภิสํ มหาเภริโปกฺขรปฺปมาณํ โหติฯ ตสฺส เอเกกสฺมิํ ปพฺพนฺตเร อาฬฺหกปฺปมาณํ ขีรํ โหติฯ ปทุมานํ ปุปฺผสมเย วาโต เรณุวฎฺฎิํ อุฎฺฐาเปตฺวา ปทุมินีปเตฺตสุ ฐเปติ, ตตฺถ อุทกผุสิตานิ ปตนฺติ, ตโต อาทิจฺจปาเกน ปจฺจิตฺวา ปกฺกอโยฆฎิกา วิย โปกฺขรมธุ ติฎฺฐติ, ตทนนฺตรํ ตาวมหนฺตเมว รตฺตปทุมวนํ, ตทนนฺตรํ รตฺตกุมุทวนํ, ตทนนฺตรํ เสตกุมุทวนํ , ตทนนฺตรํ นีลุปฺปลวนํ, ตทนนฺตรํ รตฺตุปฺปลวนํ, ตทนนฺตรํ สุคนฺธสาลิวนํ, ตทนนฺตรํ เอฬาลุกอลาพุกุมฺภณฺฑาทีนิ มธุรรสานิ วลฺลิผลานิ, ตทนนฺตรํ อฑฺฒโยชนวิตฺถตเมว อุจฺฉุวนํ, ตตฺถ ปูครุกฺขกฺขนฺธปฺปมาณํ อุจฺฉุฯ ตทนนฺตรํ กทลิวนํ, ยโต ทุเว ปกฺกานิ ขาทนฺตา กิลมนฺติฯ ตทนนฺตรํ จาฎิปฺปมาณผลํ ปนสวนํ, ตทนนฺตรํ อมฺพวนํ, ชมฺพุวนํ, กปิฎฺฐวนนฺติ สเงฺขปโต ตสฺมิํ ทเห ขาทิตพฺพยุตฺตกํ ผลํ นาม นตฺถีติ น วตฺตพฺพํฯ อิติ อิมสฺมิํ หิมวติ วิชฺชมานกสตฺตมหาสรปฺปภุตีนํ ปมาณสณฺฐานาทิเภทํ สพฺพเมว วิเสสํ ภควา สพฺพถา อเวทิ อญฺญาสิ ปฎิวิชฺฌิเยวาติ ทฎฺฐพฺพํฯ
Mandākiniyā pana majjhe pañcavīsatiyojanamatte ṭhāne sevālo vā paṇakaṃ vā natthi, phalikavaṇṇaṃ udakameva hoti, tato paraṃ pana nāgānaṃ kaṭippamāṇe udake aḍḍhayojanavitthataṃ setapadumavanaṃ taṃ udakaṃ parikkhipitvā ṭhitaṃ. Tattha muḷālaṃ naṅgalasīsamattaṃ hoti, bhisaṃ mahābheripokkharappamāṇaṃ hoti. Tassa ekekasmiṃ pabbantare āḷhakappamāṇaṃ khīraṃ hoti. Padumānaṃ pupphasamaye vāto reṇuvaṭṭiṃ uṭṭhāpetvā paduminīpattesu ṭhapeti, tattha udakaphusitāni patanti, tato ādiccapākena paccitvā pakkaayoghaṭikā viya pokkharamadhu tiṭṭhati, tadanantaraṃ tāvamahantameva rattapadumavanaṃ, tadanantaraṃ rattakumudavanaṃ, tadanantaraṃ setakumudavanaṃ , tadanantaraṃ nīluppalavanaṃ, tadanantaraṃ rattuppalavanaṃ, tadanantaraṃ sugandhasālivanaṃ, tadanantaraṃ eḷālukaalābukumbhaṇḍādīni madhurarasāni valliphalāni, tadanantaraṃ aḍḍhayojanavitthatameva ucchuvanaṃ, tattha pūgarukkhakkhandhappamāṇaṃ ucchu. Tadanantaraṃ kadalivanaṃ, yato duve pakkāni khādantā kilamanti. Tadanantaraṃ cāṭippamāṇaphalaṃ panasavanaṃ, tadanantaraṃ ambavanaṃ, jambuvanaṃ, kapiṭṭhavananti saṅkhepato tasmiṃ dahe khāditabbayuttakaṃ phalaṃ nāma natthīti na vattabbaṃ. Iti imasmiṃ himavati vijjamānakasattamahāsarappabhutīnaṃ pamāṇasaṇṭhānādibhedaṃ sabbameva visesaṃ bhagavā sabbathā avedi aññāsi paṭivijjhiyevāti daṭṭhabbaṃ.
ติปญฺจโยชนกฺขนฺธปริเกฺขปาติ ปนฺนรสโยชนปฺปมาณกฺขนฺธปริเกฺขปา, ขนฺธสฺส ปริณาโห ปนฺนรสโยชนปฺปมาโณติ วุตฺตํ โหติฯ นควฺหยาติ นคสเทฺทน อวฺหาตพฺพา, รุกฺขาภิธานาติ อโตฺถฯ รุโกฺข หิ น คจฺฉตีติ นโคติ วุจฺจติฯ นควฺหยา ชมฺพูติ โยเชตพฺพํฯ ปญฺญาสโยชนกฺขนฺธสาขายามาติ อุเพฺพธโต ปญฺญาสโยชนปฺปมาณกฺขนฺธายามา อุเพฺพธโต สมนฺตโต จ ปญฺญาสโยชนสาขายามา จฯ ตโต เอว สตโยชนวิตฺถิณฺณา, ตาวเทว จ อุคฺคตาฯ ชมฺพุรุกฺขสฺส หิ มูลโต ปฎฺฐาย ยาว สาขาวิฎปา, ตาว ปณฺณาส โยชนานิ, ตโต ปรมฺปิ อุชุกํ อุคฺคตสาขา ปณฺณาส โยชนานิ, สมนฺตโต จ เอเกกา สาขา ปณฺณาส ปณฺณาส โยชนานิ วฑฺฒิตานิฯ ตาสุ ปน มหนฺตา มหนฺตา นทิโย สนฺทนฺติ, ตาสํ นทีนํ อุภยตีเร ชมฺพุปกฺกานํ ปติตฎฺฐาเน สุวณฺณงฺกุรา อุฎฺฐหนฺติ, เต นทีชเลน วุยฺหมานา อนุปุเพฺพน มหาสมุทฺทํ ปวิสนฺติ, ตโตเยว ชมฺพุนทิยํ นิพฺพตฺตตฺตา ‘‘ชมฺพุนท’’นฺติ ตํ สุวณฺณํ วุจฺจติฯ
Tipañcayojanakkhandhaparikkhepāti pannarasayojanappamāṇakkhandhaparikkhepā, khandhassa pariṇāho pannarasayojanappamāṇoti vuttaṃ hoti. Nagavhayāti nagasaddena avhātabbā, rukkhābhidhānāti attho. Rukkho hi na gacchatīti nagoti vuccati. Nagavhayā jambūti yojetabbaṃ. Paññāsayojanakkhandhasākhāyāmāti ubbedhato paññāsayojanappamāṇakkhandhāyāmā ubbedhato samantato ca paññāsayojanasākhāyāmā ca. Tato eva satayojanavitthiṇṇā, tāvadeva ca uggatā. Jamburukkhassa hi mūlato paṭṭhāya yāva sākhāviṭapā, tāva paṇṇāsa yojanāni, tato parampi ujukaṃ uggatasākhā paṇṇāsa yojanāni, samantato ca ekekā sākhā paṇṇāsa paṇṇāsa yojanāni vaḍḍhitāni. Tāsu pana mahantā mahantā nadiyo sandanti, tāsaṃ nadīnaṃ ubhayatīre jambupakkānaṃ patitaṭṭhāne suvaṇṇaṅkurā uṭṭhahanti, te nadījalena vuyhamānā anupubbena mahāsamuddaṃ pavisanti, tatoyeva jambunadiyaṃ nibbattattā ‘‘jambunada’’nti taṃ suvaṇṇaṃ vuccati.
ยสฺสานุภาเวนาติ ยสฺสา มหนฺตตา กปฺปฎฺฐายิกาทิปฺปกาเรน ปภาเวนฯ ยเญฺจตํ ชมฺพุยา ปมาณํ, เอตเทว อสุรานํ จิตฺตปาฎลิยา, ครุฬานํ สิมฺพลิรุกฺขสฺส, อปรโคยาเน กทมฺพสฺส, อุตฺตรกุรูสุ กปฺปรุกฺขสฺส, ปุพฺพวิเทเห สิรีสสฺส, ตาวติํเสสุ ปาริจฺฉตฺตกสฺสาติฯ เตนาหุ โปราณา –
Yassānubhāvenāti yassā mahantatā kappaṭṭhāyikādippakārena pabhāvena. Yañcetaṃ jambuyā pamāṇaṃ, etadeva asurānaṃ cittapāṭaliyā, garuḷānaṃ simbalirukkhassa, aparagoyāne kadambassa, uttarakurūsu kapparukkhassa, pubbavidehe sirīsassa, tāvatiṃsesu pāricchattakassāti. Tenāhu porāṇā –
‘‘ปาฎลี สิมฺพลี ชมฺพู, เทวานํ ปาริฉตฺตโก;
‘‘Pāṭalī simbalī jambū, devānaṃ pārichattako;
กทโมฺพ กปฺปรุโกฺข จ, สิรีเสน ภวติ สตฺตม’’นฺติฯ (วิสุทฺธิ. ๑.๑๓๗; อ. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑.๓๒๒);
Kadambo kapparukkho ca, sirīsena bhavati sattama’’nti. (visuddhi. 1.137; a. ni. aṭṭha. 1.1.322);
เอตฺถ สิรีเสน ภวติ สตฺตมนฺติ เอตฺถ สิรีเสนาติ ปจฺจเตฺต กรณวจนํฯ สตฺตมนฺติ ลิงฺควิปลฺลาเสน วุตฺตํ, สิรีโส ภวติ สตฺตโมติ อโตฺถฯ
Ettha sirīsena bhavati sattamanti ettha sirīsenāti paccatte karaṇavacanaṃ. Sattamanti liṅgavipallāsena vuttaṃ, sirīso bhavati sattamoti attho.
จกฺกวาฬสิลุจฺจโยติ จกฺกวาฬปพฺพโตฯ ปริกฺขิปิตฺวา ตํ สพฺพํ, โลกธาตุมยํ ฐิโตติ เหฎฺฐา วุตฺตํ สพฺพมฺปิ ตํ ปริกฺขิปิตฺวา จกฺกวาฬสิลุจฺจโย ปติฎฺฐิโต, อยํ เอกา โลกธาตุ นามาติ อโตฺถฯ ม-กาโร ปทสนฺธิวเสน อาคโตฯ ‘‘ตํ สพฺพํ โลกธาตุํ ปริกฺขิปิตฺวา อยํ จกฺกวาฬสิลุจฺจโย ฐิโต’’ติ เอวเมฺปตฺถ สมฺพนฺธํ วทนฺติ, เอวํ วุเตฺตปิ จกฺกวาฬปพฺพโตปิ โลกธาตุเยวาติ เวทิตพฺพํฯ
Cakkavāḷasiluccayoti cakkavāḷapabbato. Parikkhipitvā taṃ sabbaṃ, lokadhātumayaṃ ṭhitoti heṭṭhā vuttaṃ sabbampi taṃ parikkhipitvā cakkavāḷasiluccayo patiṭṭhito, ayaṃ ekā lokadhātu nāmāti attho. Ma-kāro padasandhivasena āgato. ‘‘Taṃ sabbaṃ lokadhātuṃ parikkhipitvā ayaṃ cakkavāḷasiluccayo ṭhito’’ti evampettha sambandhaṃ vadanti, evaṃ vuttepi cakkavāḷapabbatopi lokadhātuyevāti veditabbaṃ.
ตตฺถาติ ติสฺสํ โลกธาตุยํฯ จนฺทมณฺฑลํ เอกูนปญฺญาสโยชนนฺติ อุชุกํ อายามโต วิตฺถารโต อุเพฺพธโต จ เอกูนปญฺญาสโยชนํ, ปริมณฺฑลโต ปน ตีหิ โยชเนหิ อูนทิยฑฺฒสตโยชนํฯ สูริยมณฺฑลํ ปญฺญาสโยชนนฺติ เอตฺถาปิ จนฺทมณฺฑเล วุตฺตนเยเนว อุชุกํ ปญฺญาสโยชนนฺติ เวทิตพฺพํ, ปริมณฺฑลโต ปน ทิยฑฺฒสตโยชนํฯ
Tatthāti tissaṃ lokadhātuyaṃ. Candamaṇḍalaṃ ekūnapaññāsayojananti ujukaṃ āyāmato vitthārato ubbedhato ca ekūnapaññāsayojanaṃ, parimaṇḍalato pana tīhi yojanehi ūnadiyaḍḍhasatayojanaṃ. Sūriyamaṇḍalaṃ paññāsayojananti etthāpi candamaṇḍale vuttanayeneva ujukaṃ paññāsayojananti veditabbaṃ, parimaṇḍalato pana diyaḍḍhasatayojanaṃ.
เตสุ ปน จนฺทมณฺฑลํ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๓.๑๒๑) เหฎฺฐา, สูริยมณฺฑลํ อุปริ, อนฺตรา เนสํ โยชนํ โหติฯ จนฺทสฺส เหฎฺฐิมนฺตโต สูริยสฺส อุปริมนฺตํ โยชนสตํ โหติ, จนฺทวิมานํ อโนฺต มณิมยํ, พหิ รชเตน ปริกฺขิตฺตํ, อโนฺต จ พหิ จ สีตลเมว โหติฯ สูริยวิมานํ อโนฺต กนกมยํ, พาหิรํ ผลิกปริกฺขิตฺตํ โหติ, อโนฺต จ พหิ จ อุณฺหเมวฯ จโนฺท อุชุกํ สณิกํ คจฺฉติฯ โส หิ อมาวาสิยํ สูริเยน สทฺธิํ คจฺฉโนฺต ทิวเส ทิวเส โถกํ โถกํ โอหียโนฺต ปุณฺณมาสิยํ อุปฑฺฒมคฺคโต โอหียติ, ติริยํ ปน สีฆํ คจฺฉติฯ ตถา เหส เอกสฺมิํ มาเส กทาจิ ทกฺขิณโต, กทาจิ อุตฺตรโต ทิสฺสติ, จนฺทสฺส อุโภสุ ปเสฺสสุ นกฺขตฺตตารกา คจฺฉนฺติ, จโนฺท เธนุ วิย วจฺฉํ ตํ ตํ นกฺขตฺตํ อุปสงฺกมติ, นกฺขตฺตานิ ปน อตฺตโน คมนฎฺฐานํ น วิชหนฺติ, อตฺตโน วีถิยาว คจฺฉนฺติฯ สูริยสฺส ปน อุชุกํ คมนํ สีฆํ, ติริยํ คมนํ ทนฺธํฯ ติริยํ คมนํ นาม ทกฺขิณทิสโต อุตฺตรทิสาย, อุตฺตรทิสโต ทกฺขิณทิสาย คมนํ, ตํ ทนฺธํ ฉหิ ฉหิ มาเสหิ อิชฺฌนโตฯ
Tesu pana candamaṇḍalaṃ (dī. ni. aṭṭha. 3.121) heṭṭhā, sūriyamaṇḍalaṃ upari, antarā nesaṃ yojanaṃ hoti. Candassa heṭṭhimantato sūriyassa uparimantaṃ yojanasataṃ hoti, candavimānaṃ anto maṇimayaṃ, bahi rajatena parikkhittaṃ, anto ca bahi ca sītalameva hoti. Sūriyavimānaṃ anto kanakamayaṃ, bāhiraṃ phalikaparikkhittaṃ hoti, anto ca bahi ca uṇhameva. Cando ujukaṃ saṇikaṃ gacchati. So hi amāvāsiyaṃ sūriyena saddhiṃ gacchanto divase divase thokaṃ thokaṃ ohīyanto puṇṇamāsiyaṃ upaḍḍhamaggato ohīyati, tiriyaṃ pana sīghaṃ gacchati. Tathā hesa ekasmiṃ māse kadāci dakkhiṇato, kadāci uttarato dissati, candassa ubhosu passesu nakkhattatārakā gacchanti, cando dhenu viya vacchaṃ taṃ taṃ nakkhattaṃ upasaṅkamati, nakkhattāni pana attano gamanaṭṭhānaṃ na vijahanti, attano vīthiyāva gacchanti. Sūriyassa pana ujukaṃ gamanaṃ sīghaṃ, tiriyaṃ gamanaṃ dandhaṃ. Tiriyaṃ gamanaṃ nāma dakkhiṇadisato uttaradisāya, uttaradisato dakkhiṇadisāya gamanaṃ, taṃ dandhaṃ chahi chahi māsehi ijjhanato.
สูริโย กาฬปกฺขอุโปสเถ จเนฺทน สเหว คนฺตฺวา ตโต ปรํ ปาฎิปททิวเส โยชนานํ สตสหสฺสํ จนฺทมณฺฑลํ โอหาย คจฺฉติ อตฺตโน สีฆคามิตาย ตสฺส จ ทนฺธคามิตาย, อถ จโนฺท เลขา วิย ปญฺญายติฯ ตโต ปรมฺปิ ปกฺขสฺส ทุติยาย โยชนานํ สตสหสฺสํ จนฺทมณฺฑลํ โอหาย คจฺฉติฯ เอวํ ทิวเส ทิวเส ยาว สุกฺกปกฺขอุโปสถทิวสา สตสหสฺสํ สตสหสฺสํ โอหาย คจฺฉติ, อถ จโนฺท อนุกฺกเมน วฑฺฒิตฺวา อุโปสถทิวเส ปริปุโณฺณ โหติฯ อนุกฺกเมน วฑฺฒนเญฺจตฺถ อุปริภาคโต ปติตสูริยาโลกตาย เหฎฺฐโต ปวตฺตาย สูริยสฺส ทูรภาเวน ทิวเส ทิวเส อนุกฺกเมน ปริหายมานาย อตฺตโน ฉายาย วเสน อนุกฺกเมน จณฺฑมณฺฑลปฺปเทสสฺส วฑฺฒมานสฺส วิย ทิสฺสมานตายาติ เวทิตพฺพํ, ตสฺมา อนุกฺกเมน วฑฺฒิตฺวา วิย อุโปสถทิวเส ปุณฺณมายํ ปริปุณฺณมณฺฑโล หุตฺวา ทิสฺสติฯ อถ สูริโย ปาฎิปททิวเส โยชนานํ สตสหสฺสํ ธาวิตฺวา ปุน จนฺทมณฺฑลํ คณฺหาติ จนฺทสฺส ทนฺธคติตาย อตฺตโน จ สีฆคติตาย, ตถา ทุติยาย สตสหสฺสนฺติ เอวํ ยาว อุโปสถทิวสา สตสหสฺสํ สตสหสฺสํ ธาวิตฺวา คณฺหาติฯ อถ จโนฺท อนุกฺกเมน หายิตฺวา กาฬปกฺขอุโปสถทิวเส สพฺพโส น ปญฺญายติ, อนุกฺกเมน หายมานตา เจตฺถ อนุกฺกเมน วฑฺฒมานตาย วุตฺตนเยน เวทิตพฺพาฯ ตตฺถ ปน ฉายาย หายมานตาย มณฺฑลํ วฑฺฒมานํ วิย ทิสฺสติ, อิธ จ ฉายาย วฑฺฒมานตาย มณฺฑลํ หายมานํ วิย ทิสฺสติ, ตสฺมา อนุกฺกเมน หายิตฺวา วิย อุโปสถทิวเส สพฺพโส น ปญฺญายติฯ จนฺทํ เหฎฺฐา กตฺวา สูริโย อุปริ โหติ, มหติยา ปาติยา ขุทฺทกภาชนํ วิย จนฺทมณฺฑลํ ปิธียติ, มชฺฌนฺหิเก เคหจฺฉายา วิย จนฺทสฺส ฉายา น ปญฺญายติฯ โส ฉายาย อปญฺญายมานาย ทูเร ฐิตานํ ทิวา ปทีโป วิย สยมฺปิ น ปญฺญายติฯ
Sūriyo kāḷapakkhauposathe candena saheva gantvā tato paraṃ pāṭipadadivase yojanānaṃ satasahassaṃ candamaṇḍalaṃ ohāya gacchati attano sīghagāmitāya tassa ca dandhagāmitāya, atha cando lekhā viya paññāyati. Tato parampi pakkhassa dutiyāya yojanānaṃ satasahassaṃ candamaṇḍalaṃ ohāya gacchati. Evaṃ divase divase yāva sukkapakkhauposathadivasā satasahassaṃ satasahassaṃ ohāya gacchati, atha cando anukkamena vaḍḍhitvā uposathadivase paripuṇṇo hoti. Anukkamena vaḍḍhanañcettha uparibhāgato patitasūriyālokatāya heṭṭhato pavattāya sūriyassa dūrabhāvena divase divase anukkamena parihāyamānāya attano chāyāya vasena anukkamena caṇḍamaṇḍalappadesassa vaḍḍhamānassa viya dissamānatāyāti veditabbaṃ, tasmā anukkamena vaḍḍhitvā viya uposathadivase puṇṇamāyaṃ paripuṇṇamaṇḍalo hutvā dissati. Atha sūriyo pāṭipadadivase yojanānaṃ satasahassaṃ dhāvitvā puna candamaṇḍalaṃ gaṇhāti candassa dandhagatitāya attano ca sīghagatitāya, tathā dutiyāya satasahassanti evaṃ yāva uposathadivasā satasahassaṃ satasahassaṃ dhāvitvā gaṇhāti. Atha cando anukkamena hāyitvā kāḷapakkhauposathadivase sabbaso na paññāyati, anukkamena hāyamānatā cettha anukkamena vaḍḍhamānatāya vuttanayena veditabbā. Tattha pana chāyāya hāyamānatāya maṇḍalaṃ vaḍḍhamānaṃ viya dissati, idha ca chāyāya vaḍḍhamānatāya maṇḍalaṃ hāyamānaṃ viya dissati, tasmā anukkamena hāyitvā viya uposathadivase sabbaso na paññāyati. Candaṃ heṭṭhā katvā sūriyo upari hoti, mahatiyā pātiyā khuddakabhājanaṃ viya candamaṇḍalaṃ pidhīyati, majjhanhike gehacchāyā viya candassa chāyā na paññāyati. So chāyāya apaññāyamānāya dūre ṭhitānaṃ divā padīpo viya sayampi na paññāyati.
อิเมสํ ปน อชวีถิ นาควีถิ โควีถีติ ติโสฺส คมนวีถิโย โหนฺติฯ ตตฺถ อชานํ อุทกํ ปฎิกูลํ โหติ, หตฺถินาคานํ มนาปํ, คุนฺนํ สีตุณฺหสมตาย ผาสุ โหติฯ ตถา จ ยาย วีถิยา สูริเย คจฺฉเนฺต วสฺสวลาหกเทวปุตฺตา สูริยาภิตาปสนฺตตฺตา อตฺตโน วิมานโต น นิกฺขมนฺติ, กีฬาปสุตา หุตฺวา น วิจรนฺติ, ตทา กิร สูริยวิมานํ ปกติมคฺคโต อโธ โอตริตฺวา วิจรติ, ตสฺส โอรุยฺห จรเณเนว จนฺทวิมานมฺปิ อโธ โอรุยฺห จรติ ตคฺคติกตฺตา, ตสฺมา สา วีถิ อุทกาภาเวน อชานุรูปตาย ‘‘อชวีถี’’ติ สมญฺญา คตาฯ ยาย ปน วีถิยา สูริเย คจฺฉเนฺต วสฺสวลาหกเทวปุตฺตา สูริยาภิตาปาภาวโต อภิณฺหํ อตฺตโน วิมานโต พหิ นิกฺขมิตฺวา กีฬาปสุตา หุตฺวา อิโต จิโต จ วิจรนฺติ, ตทา กิร สูริยวิมานํ ปกติมคฺคโต อุทฺธํ อารุหิตฺวา วิจรติ, ตสฺส อุทฺธํ อารุยฺห จรเณเนว จนฺทวิมานมฺปิ อุทฺธํ อารุยฺห จรติ ตคฺคติกตฺตา, ตคฺคติกตา จ สมานคติ นาม วาตมณฺฑเลน วิมานสฺส เผลฺลิตพฺพตฺตา, ตสฺมา สา วีถิ อุทกพหุภาเวน นาคานุรูปตาย ‘‘นาควีถี’’ติ สมญฺญา คตาฯ ยทา สูริโย อุทฺธํ อนาโรหโนฺต อโธ จ อโนตรโนฺต ปกติมเคฺคเนว คจฺฉติ, ตทา วสฺสวลาหกา ยถากาลํ ยถารุจิญฺจ วิมานโต นิกฺขมิตฺวา สุเขน วิจรนฺติ, เตน กาเลน กาลํ วสฺสนโต โลเก อุตุสมตา โหติ, ตาย อุตุสมตาย เหตุภูตาย สา จนฺทิมสูริยานํ คติ ควานุรูปตาย ‘‘โควีถี’’ติ สมญฺญา คตาฯ ตสฺมา ยํ กาลํ จนฺทิมสูริยา อชวีถิํ อารุหนฺติ, ตทา เทโว เอกพินฺทุมฺปิ น วสฺสติฯ ยทา นาควีถิํ อาโรหนฺติ, ตทา ภินฺนํ วิย นภํ ปคฺฆรติฯ ยทา โควีถิํ อาโรหนฺติ, ตทา อุตุสมตา สมฺปชฺชติฯ
Imesaṃ pana ajavīthi nāgavīthi govīthīti tisso gamanavīthiyo honti. Tattha ajānaṃ udakaṃ paṭikūlaṃ hoti, hatthināgānaṃ manāpaṃ, gunnaṃ sītuṇhasamatāya phāsu hoti. Tathā ca yāya vīthiyā sūriye gacchante vassavalāhakadevaputtā sūriyābhitāpasantattā attano vimānato na nikkhamanti, kīḷāpasutā hutvā na vicaranti, tadā kira sūriyavimānaṃ pakatimaggato adho otaritvā vicarati, tassa oruyha caraṇeneva candavimānampi adho oruyha carati taggatikattā, tasmā sā vīthi udakābhāvena ajānurūpatāya ‘‘ajavīthī’’ti samaññā gatā. Yāya pana vīthiyā sūriye gacchante vassavalāhakadevaputtā sūriyābhitāpābhāvato abhiṇhaṃ attano vimānato bahi nikkhamitvā kīḷāpasutā hutvā ito cito ca vicaranti, tadā kira sūriyavimānaṃ pakatimaggato uddhaṃ āruhitvā vicarati, tassa uddhaṃ āruyha caraṇeneva candavimānampi uddhaṃ āruyha carati taggatikattā, taggatikatā ca samānagati nāma vātamaṇḍalena vimānassa phellitabbattā, tasmā sā vīthi udakabahubhāvena nāgānurūpatāya ‘‘nāgavīthī’’ti samaññā gatā. Yadā sūriyo uddhaṃ anārohanto adho ca anotaranto pakatimaggeneva gacchati, tadā vassavalāhakā yathākālaṃ yathāruciñca vimānato nikkhamitvā sukhena vicaranti, tena kālena kālaṃ vassanato loke utusamatā hoti, tāya utusamatāya hetubhūtāya sā candimasūriyānaṃ gati gavānurūpatāya ‘‘govīthī’’ti samaññā gatā. Tasmā yaṃ kālaṃ candimasūriyā ajavīthiṃ āruhanti, tadā devo ekabindumpi na vassati. Yadā nāgavīthiṃ ārohanti, tadā bhinnaṃ viya nabhaṃ paggharati. Yadā govīthiṃ ārohanti, tadā utusamatā sampajjati.
ยทา ปน ราชาโน อธมฺมิกา โหนฺติ, เตสํ อธมฺมิกตาย อุปราชเสนาปติปฺปภุตโย สเพฺพ เทวา พฺรหฺมาโน จ อธมฺมิกา โหนฺติ, ตทา เตสํ อธมฺมิกตาย วิสมํ จนฺทิมสูริยา ปริวตฺตนฺติฯ ตทา หิ พหฺวาพาธตาทิอนิฎฺฐผลูปนิสฺสยภูตสฺส ยถาวุตฺตสฺส อธมฺมิกตาสญฺญิตสฺส สาธารณสฺส ปาปกมฺมสฺส พเลน วิสมํ วายเนฺตน วายุนา เผลฺลิยมานา จนฺทิมสูริยา สิเนรุํ ปริกฺขิปนฺตา วิสมํ ปริวตฺตนฺติ, ยถามเคฺคน น ปวตฺตนฺติฯ วาโต ยถามเคฺคน น วายติ, อยถามเคฺคน วายติ, อยถามเคฺคน วายโนฺต อากาสฎฺฐวิมานานิ โขเภติ, วิมาเนสุ โขภิเตสุ เทวตานํ กีฬนตฺถาย จิตฺตานิ น นมนฺติ, จิเตฺตสุ อนมเนฺตสุ สีตุณฺหเภโท อุตุ ยถากาเลน น สมฺปชฺชติ, ตสฺมิํ อสมฺปชฺชเนฺต น สมฺมา เทโว วสฺสติ, กทาจิ วสฺสติ, กทาจิ น วสฺสติ, กตฺถจิ วสฺสติ, กตฺถจิ น วสฺสติฯ วสฺสโนฺตปิ วปฺปกาเล องฺกุรกาเล นาฬกาเล ปุปฺผกาเล ขีรคฺคหณาทิกาเลสุ ยถา ยถา สสฺสานํ อุปกาโร น โหติ, ตถา ตถา วสฺสติ จ วิคจฺฉติ จฯ เตน สสฺสานิ วิสมปากานิ โหนฺติ วิคตคนฺธรสาทิสมฺปทานิ, เอกภาชเน ปกฺขิตฺตตณฺฑุเลสุปิ เอกสฺมิํ ปเทเส ภตฺตํ อุตฺตณฺฑุลํ โหติ, เอกสฺมิํ อติกิลินฺนํ, เอกสฺมิํ สมปากํฯ ตํ ปริภุตฺตํ กุจฺฉิยมฺปิ สพฺพโส อปริณตํ, เอกเทเสน ปริณตํ, สุปริณตนฺติ เอวํ ตีหิเยว ปกาเรหิ ปจฺจติ, ปกฺกาสยํ น สมฺมา อุปคจฺฉติฯ เตน สตฺตา พหฺวาพาธา เจว โหนฺติ อปฺปายุกา จฯ
Yadā pana rājāno adhammikā honti, tesaṃ adhammikatāya uparājasenāpatippabhutayo sabbe devā brahmāno ca adhammikā honti, tadā tesaṃ adhammikatāya visamaṃ candimasūriyā parivattanti. Tadā hi bahvābādhatādianiṭṭhaphalūpanissayabhūtassa yathāvuttassa adhammikatāsaññitassa sādhāraṇassa pāpakammassa balena visamaṃ vāyantena vāyunā phelliyamānā candimasūriyā sineruṃ parikkhipantā visamaṃ parivattanti, yathāmaggena na pavattanti. Vāto yathāmaggena na vāyati, ayathāmaggena vāyati, ayathāmaggena vāyanto ākāsaṭṭhavimānāni khobheti, vimānesu khobhitesu devatānaṃ kīḷanatthāya cittāni na namanti, cittesu anamantesu sītuṇhabhedo utu yathākālena na sampajjati, tasmiṃ asampajjante na sammā devo vassati, kadāci vassati, kadāci na vassati, katthaci vassati, katthaci na vassati. Vassantopi vappakāle aṅkurakāle nāḷakāle pupphakāle khīraggahaṇādikālesu yathā yathā sassānaṃ upakāro na hoti, tathā tathā vassati ca vigacchati ca. Tena sassāni visamapākāni honti vigatagandharasādisampadāni, ekabhājane pakkhittataṇḍulesupi ekasmiṃ padese bhattaṃ uttaṇḍulaṃ hoti, ekasmiṃ atikilinnaṃ, ekasmiṃ samapākaṃ. Taṃ paribhuttaṃ kucchiyampi sabbaso apariṇataṃ, ekadesena pariṇataṃ, supariṇatanti evaṃ tīhiyeva pakārehi paccati, pakkāsayaṃ na sammā upagacchati. Tena sattā bahvābādhā ceva honti appāyukā ca.
ธมฺมิกานํ ปน ราชูนํ กาเล วุตฺตวิปริยาเยน จนฺทิมสูริยา สมํ ปริวตฺตนฺติ, ยถามเคฺคน ปวตฺตนฺติ, อุตุสมตา จ สมฺปชฺชติ, จนฺทิมสูริยา ฉ มาเส สิเนรุโต พหิ นิกฺขมนฺติ, ฉ มาเส อโนฺต วิจรนฺติฯ ตถา หิ สิเนรุสมีเปน ตํ ปทกฺขิณํ กตฺวา คจฺฉนฺตา ฉ มาเส ตโต คมนวีถิโต พหิ อตฺตโน ติริยํ คมเนน จกฺกวาฬาภิมุขา นิกฺขมนฺติ ฯ เอวํ ฉ มาเส ขเณ ขเณ สิเนรุโต อปสกฺกนวเสน ตโต นิกฺขมิตฺวา จกฺกวาฬสมีปํ ปตฺตาฯ ตโตปิ ฉ มาเส ขเณ ขเณ อปสกฺกนวเสน นิกฺขมิตฺวา สิเนรุสมีปํ ปาปุณนฺตา อโนฺต วิจรนฺติฯ เต หิ อาสาฬฺหีมาเส สิเนรุสมีเปน จรนฺติ, ตโต เทฺว มาเส นิกฺขมิตฺวา พหิ จรนฺติฯ ปฐมกตฺติกมาเส มเชฺฌน คจฺฉนฺติ, ตโต จกฺกวาฬาภิมุขา คนฺตฺวา ตโย มาเส จกฺกวาฬสมีเปน วิจริตฺวา ปุน นิกฺขมิตฺวา จิตฺรมาเส มเชฺฌน คนฺตฺวา ตโต ปเร เทฺว มาเส สิเนรุอภิมุขา ปกฺขนฺทิตฺวา ปุน อาสาเฬฺห สิเนรุสมีเปน จรนฺติฯ เอตฺถ จ สิเนรุสฺส จกฺกวาฬสฺส จ ยํ ฐานํ เวมชฺฌํ, ตสฺส สิเนรุสฺส จ ยํ ฐานํ เวมชฺฌํ, เตน คจฺฉนฺตา สิเนรุสมีเปน จรนฺตีติ เวทิตพฺพา, น สิเนรุสฺส อคฺคาลินฺทํ อลฺลีนา, จกฺกวาฬสมีเปน จรณมฺปิ อิมินาว นเยน เวทิตพฺพํฯ ยทา ปน สิเนรุสฺส จกฺกวาฬสฺส อุชุกํ เวมเชฺฌน คจฺฉนฺติ, ตทา เวมเชฺฌน วิจรนฺตีติ เวทิตพฺพํฯ
Dhammikānaṃ pana rājūnaṃ kāle vuttavipariyāyena candimasūriyā samaṃ parivattanti, yathāmaggena pavattanti, utusamatā ca sampajjati, candimasūriyā cha māse sineruto bahi nikkhamanti, cha māse anto vicaranti. Tathā hi sinerusamīpena taṃ padakkhiṇaṃ katvā gacchantā cha māse tato gamanavīthito bahi attano tiriyaṃ gamanena cakkavāḷābhimukhā nikkhamanti . Evaṃ cha māse khaṇe khaṇe sineruto apasakkanavasena tato nikkhamitvā cakkavāḷasamīpaṃ pattā. Tatopi cha māse khaṇe khaṇe apasakkanavasena nikkhamitvā sinerusamīpaṃ pāpuṇantā anto vicaranti. Te hi āsāḷhīmāse sinerusamīpena caranti, tato dve māse nikkhamitvā bahi caranti. Paṭhamakattikamāse majjhena gacchanti, tato cakkavāḷābhimukhā gantvā tayo māse cakkavāḷasamīpena vicaritvā puna nikkhamitvā citramāse majjhena gantvā tato pare dve māse sineruabhimukhā pakkhanditvā puna āsāḷhe sinerusamīpena caranti. Ettha ca sinerussa cakkavāḷassa ca yaṃ ṭhānaṃ vemajjhaṃ, tassa sinerussa ca yaṃ ṭhānaṃ vemajjhaṃ, tena gacchantā sinerusamīpena carantīti veditabbā, na sinerussa aggālindaṃ allīnā, cakkavāḷasamīpena caraṇampi imināva nayena veditabbaṃ. Yadā pana sinerussa cakkavāḷassa ujukaṃ vemajjhena gacchanti, tadā vemajjhena vicarantīti veditabbaṃ.
เอวํ วิจรนฺตา จ เอกปฺปหาเรน ตีสุปิ ทีเปสุ อาโลกํ กโรนฺติฯ เอเกกาย ทิสาย นว นว โยชนสตสหสฺสานิ อนฺธการํ วิธมิตฺวา อาโลกํ ทเสฺสนฺติฯ กถํ? อิมสฺมิญฺหิ ทีเป สูริยุคฺคมนกาโล ปุพฺพวิเทเห มชฺฌนฺหิโก โหติ, อุตฺตรกุรูสุ อตฺถงฺคมนกาโล, อปรโคยาเน มชฺฌิมยาโม, ปุพฺพวิเทหมฺหิ อุคฺคมนกาโล อุตฺตรกุรูสุ มชฺฌนฺหิโก, อปรโคยาเน อตฺถงฺคมนกาโล, อิธ มชฺฌิมยาโม, อุตฺตรกุรูสุ อุคฺคมนกาโล อปรโคยาเน มชฺฌนฺหิโก, อิธ อตฺถงฺคมนกาโล, ปุพฺพวิเทเห มชฺฌิมยาโม, อปรโคยานทีเป อุคฺคมนกาโล อิธ มชฺฌนฺหิโก, ปุพฺพวิเทหทีเป อตฺถงฺคมนกาโล, อุตฺตรกุรูสุ มชฺฌิมยาโมฯ อิมสฺมิญฺหิ ทีเป ฐิตมชฺฌนฺหิกเวลายํ ปุพฺพวิเทหวาสีนํ อตฺถงฺคมนวเสน อุปฑฺฒํ สูริยมณฺฑลํ ปญฺญายติ, อปรโคยานวาสีนํ อุคฺคมนวเสน อุปฑฺฒํ ปญฺญายติฯ เอวํ เสสทีเปสุปิฯ อิติ อิมินาว ปกาเรน ตีสุ ทีเปสุ เอกปฺปหาเรเนว จนฺทิมสูริยา อาโลกํ ทเสฺสนฺตีติ เวทิตพฺพํฯ
Evaṃ vicarantā ca ekappahārena tīsupi dīpesu ālokaṃ karonti. Ekekāya disāya nava nava yojanasatasahassāni andhakāraṃ vidhamitvā ālokaṃ dassenti. Kathaṃ? Imasmiñhi dīpe sūriyuggamanakālo pubbavidehe majjhanhiko hoti, uttarakurūsu atthaṅgamanakālo, aparagoyāne majjhimayāmo, pubbavidehamhi uggamanakālo uttarakurūsu majjhanhiko, aparagoyāne atthaṅgamanakālo, idha majjhimayāmo, uttarakurūsu uggamanakālo aparagoyāne majjhanhiko, idha atthaṅgamanakālo, pubbavidehe majjhimayāmo, aparagoyānadīpe uggamanakālo idha majjhanhiko, pubbavidehadīpe atthaṅgamanakālo, uttarakurūsu majjhimayāmo. Imasmiñhi dīpe ṭhitamajjhanhikavelāyaṃ pubbavidehavāsīnaṃ atthaṅgamanavasena upaḍḍhaṃ sūriyamaṇḍalaṃ paññāyati, aparagoyānavāsīnaṃ uggamanavasena upaḍḍhaṃ paññāyati. Evaṃ sesadīpesupi. Iti imināva pakārena tīsu dīpesu ekappahāreneva candimasūriyā ālokaṃ dassentīti veditabbaṃ.
อิโต อญฺญถา ปน ทฺวีสุ เอว ทีเปสุ เอกปฺปหาเรเนว อาโลกํ ทเสฺสนฺติฯ ยสฺมิญฺหิ ทีเป อตฺถงฺคมนวเสน อุปฑฺฒํ สูริยมณฺฑลํ ปญฺญายติ, อตฺถงฺคมิเต ตตฺถ น ปญฺญายติ, อาโลกํ น ทเสฺสติ, ทฺวีสุ เอว ทีเปสุ เอกปฺปหาเรน อุภยํฯ เอเกกาย ทิสาย นว นว โยชนสตสหสฺสานิ อนฺธการวิธมนมฺปิ อิมินาว นเยน ทฎฺฐพฺพํฯ อิมสฺมิญฺหิ ทีเป ฐิตมชฺฌนฺหิกเวลายํ ปุพฺพวิเทหวาสีนํ อตฺถงฺคมนวเสน อุปฑฺฒํ สูริยมณฺฑลํ ปญฺญายตีติ ปุพฺพวิเทเห นวโยชนสตสหสฺสปฺปมาเณ ฐาเน อนฺธการํ วิธมิตฺวา อาโลกํ ทเสฺสติ, ตถา อปรโคยาเน อุคฺคมนวเสน ตตฺถาปิ อุปฑฺฒเสฺสว ปญฺญายมานตฺตาฯ ปุพฺพวิเทหานํ ปน อตฺถงฺคมิเต น ปญฺญายตีติ ทฺวีสุ ทีเปสุ สพฺพตฺถ อนฺธการํ วิธมิตฺวา อาโลกํ ทเสฺสติ อปรโคยาเนปิ อุคฺคเต สูริเย สพฺพตฺถ อนฺธการวิธมนโตฯ
Ito aññathā pana dvīsu eva dīpesu ekappahāreneva ālokaṃ dassenti. Yasmiñhi dīpe atthaṅgamanavasena upaḍḍhaṃ sūriyamaṇḍalaṃ paññāyati, atthaṅgamite tattha na paññāyati, ālokaṃ na dasseti, dvīsu eva dīpesu ekappahārena ubhayaṃ. Ekekāya disāya nava nava yojanasatasahassāni andhakāravidhamanampi imināva nayena daṭṭhabbaṃ. Imasmiñhi dīpe ṭhitamajjhanhikavelāyaṃ pubbavidehavāsīnaṃ atthaṅgamanavasena upaḍḍhaṃ sūriyamaṇḍalaṃ paññāyatīti pubbavidehe navayojanasatasahassappamāṇe ṭhāne andhakāraṃ vidhamitvā ālokaṃ dasseti, tathā aparagoyāne uggamanavasena tatthāpi upaḍḍhasseva paññāyamānattā. Pubbavidehānaṃ pana atthaṅgamite na paññāyatīti dvīsu dīpesu sabbattha andhakāraṃ vidhamitvā ālokaṃ dasseti aparagoyānepi uggate sūriye sabbattha andhakāravidhamanato.
ปาตุภวนฺตา จ จนฺทิมสูริยา เอกโตว โลเก ปาตุภวนฺติ, เตสุ สูริโย ปฐมตรํ ปญฺญายติฯ ปฐมกปฺปิกานญฺหิ สตฺตานํ สยํปภาย อนฺตรหิตาย อนฺธกาโร อโหสิฯ เต ภีตตสิตา ‘‘ภทฺทกํ วตสฺส, สเจ อโญฺญ อาโลโก ภเวยฺยา’’ติ จินฺตยิํสุฯ ตโต มหาชนสฺส สูรภาวํ ชนยมานํ สูริยมณฺฑลํ อุฎฺฐหิ, เตเนวสฺส ‘‘สูริโย’’ติ นามํ อโหสิฯ ตสฺมิํ ทิวสํ อาโลกํ กตฺวา อตฺถงฺคมิเต ปุน อนฺธกาโร อโหสิฯ เต ภีตตสิตา ‘‘ภทฺทกํ วตสฺส, สเจ อโญฺญ อาโลโก อุปฺปเชฺชยฺยา’’ติ จินฺตยิํสุฯ อถ เนสํ ฉนฺทํ ญตฺวา วิย จนฺทมณฺฑลํ อุฎฺฐหิ, เตเนวสฺส ‘‘จโนฺท’’ติ นามํ อโหสิฯ เอวํ จนฺทิมสูริเยสุ ปาตุภูเตสุ นกฺขตฺตานิ ตารกรูปานิ ปาตุภวนฺติ , ตโต ปภุติ รตฺตินฺทิวา ปญฺญายนฺติฯ อนุกฺกเมน จ มาสฑฺฒมาสอุตุสํวจฺฉรา ชายนฺติฯ จนฺทิมสูริยานํ ปน ปาตุภูตทิวเสเยว สิเนรุจกฺกวาฬหิมวนฺตปพฺพตา จตฺตาโร จ ทีปา ปาตุภวนฺติ, เต จ โข อปุพฺพํ อจริมํ ผคฺคุณปุณฺณมทิวเสเยว ปาตุภวนฺตีติ เวทิตพฺพํฯ
Pātubhavantā ca candimasūriyā ekatova loke pātubhavanti, tesu sūriyo paṭhamataraṃ paññāyati. Paṭhamakappikānañhi sattānaṃ sayaṃpabhāya antarahitāya andhakāro ahosi. Te bhītatasitā ‘‘bhaddakaṃ vatassa, sace añño āloko bhaveyyā’’ti cintayiṃsu. Tato mahājanassa sūrabhāvaṃ janayamānaṃ sūriyamaṇḍalaṃ uṭṭhahi, tenevassa ‘‘sūriyo’’ti nāmaṃ ahosi. Tasmiṃ divasaṃ ālokaṃ katvā atthaṅgamite puna andhakāro ahosi. Te bhītatasitā ‘‘bhaddakaṃ vatassa, sace añño āloko uppajjeyyā’’ti cintayiṃsu. Atha nesaṃ chandaṃ ñatvā viya candamaṇḍalaṃ uṭṭhahi, tenevassa ‘‘cando’’ti nāmaṃ ahosi. Evaṃ candimasūriyesu pātubhūtesu nakkhattāni tārakarūpāni pātubhavanti , tato pabhuti rattindivā paññāyanti. Anukkamena ca māsaḍḍhamāsautusaṃvaccharā jāyanti. Candimasūriyānaṃ pana pātubhūtadivaseyeva sinerucakkavāḷahimavantapabbatā cattāro ca dīpā pātubhavanti, te ca kho apubbaṃ acarimaṃ phagguṇapuṇṇamadivaseyeva pātubhavantīti veditabbaṃ.
ยสฺมา เจตฺถ ‘‘เอกํ จกฺกวาฬํ อายามโต จ วิตฺถารโต จ โยชนานํ ทฺวาทส สตสหสฺสานิ ตีณิ สหสฺสานิ จตฺตาริ สตานิ ปญฺญาสญฺจ โยชนานี’’ติ อฎฺฐกถายํ (ปารา. อฎฺฐ. ๑.๑ เวรญฺชกณฺฑวณฺณนา) วุตฺตํ, ตสฺมา วุตฺตปฺปมาณโต อิมสฺส จกฺกวาฬสฺส สิเนรุปติฎฺฐิโตกาเส จตุราสีติ โยชนสหสฺสานิ ปรโต ยาว จกฺกวาฬปพฺพตา อุตฺตรทิสาภาคปฺปมาณญฺจ ปหาย อิมิสฺสา ทกฺขิณทิสาย –
Yasmā cettha ‘‘ekaṃ cakkavāḷaṃ āyāmato ca vitthārato ca yojanānaṃ dvādasa satasahassāni tīṇi sahassāni cattāri satāni paññāsañca yojanānī’’ti aṭṭhakathāyaṃ (pārā. aṭṭha. 1.1 verañjakaṇḍavaṇṇanā) vuttaṃ, tasmā vuttappamāṇato imassa cakkavāḷassa sinerupatiṭṭhitokāse caturāsīti yojanasahassāni parato yāva cakkavāḷapabbatā uttaradisābhāgappamāṇañca pahāya imissā dakkhiṇadisāya –
สิเนรุจกฺกวาฬานํ, อนฺตรํ ปริมาณโต;
Sinerucakkavāḷānaṃ, antaraṃ parimāṇato;
ปญฺจ สตสหสฺสานิ, สหสฺสานูนสฎฺฐิ จฯ
Pañca satasahassāni, sahassānūnasaṭṭhi ca.
สตานิ สตฺต เญยฺยานิ, ปญฺจวีสุตฺตรานิ จ;
Satāni satta ñeyyāni, pañcavīsuttarāni ca;
มชฺฌวีถิคโต นาม, ตตฺถ เวมชฺฌโค รวิฯ
Majjhavīthigato nāma, tattha vemajjhago ravi.
มชฺฌโต ยาว เมรุมฺหา, จกฺกวาฬานมนฺตเร;
Majjhato yāva merumhā, cakkavāḷānamantare;
เวมชฺฌโค ยทา โหติ, อุภยนฺตคโต ตทาฯ
Vemajjhago yadā hoti, ubhayantagato tadā.
มชฺฌโต ยาว เมรุมฺหา, จกฺกวาฬา จ ปพฺพตา;
Majjhato yāva merumhā, cakkavāḷā ca pabbatā;
ทุเว สตสหสฺสานิ, สหสฺสานูนสีติ จฯ
Duve satasahassāni, sahassānūnasīti ca.
อฎฺฐสตํ ทุเว สฎฺฐิ, โยชนานิ ทฺวิคาวุตํ;
Aṭṭhasataṃ duve saṭṭhi, yojanāni dvigāvutaṃ;
อุภโต อนฺตโต เมรุ-จกฺกวาฬานมนฺตเรฯ
Ubhato antato meru-cakkavāḷānamantare.
เอกํ สตสหสฺสญฺจ, สหสฺสานูนตาลีสํ;
Ekaṃ satasahassañca, sahassānūnatālīsaṃ;
นวสตาเนกติํส, โยชนานิ จ คาวุตํฯ
Navasatānekatiṃsa, yojanāni ca gāvutaṃ.
ปมาณโต สมนฺตา จ, มณฺฑลํ มชฺฌวีถิยา;
Pamāṇato samantā ca, maṇḍalaṃ majjhavīthiyā;
สตสหสฺสานูนวีส, สหสฺสาเนกติํส จฯ
Satasahassānūnavīsa, sahassānekatiṃsa ca.
สตเมกญฺจ วิเญฺญยฺยํ, ปญฺจสตฺตติ อุตฺตรํ;
Satamekañca viññeyyaṃ, pañcasattati uttaraṃ;
ทกฺขิณํ อุตฺตรญฺจาปิ, คจฺฉโนฺต ปน ภาณุมาฯ
Dakkhiṇaṃ uttarañcāpi, gacchanto pana bhāṇumā.
มชฺฌวีถิปฺปมาเณน , มณฺฑเลเนว คจฺฉติ;
Majjhavīthippamāṇena , maṇḍaleneva gacchati;
คจฺฉโนฺต จ ปเนวํ โส, โอรุโยฺหรุยฺห เหฎฺฐโตฯ
Gacchanto ca panevaṃ so, oruyhoruyha heṭṭhato.
อารุยฺหารุยฺห อุทฺธญฺจ, ยโต คจฺฉติ สพฺพทา;
Āruyhāruyha uddhañca, yato gacchati sabbadā;
ตโต คติวเสนสฺส, ทูรมทฺธานมาสิ ตํฯ
Tato gativasenassa, dūramaddhānamāsi taṃ.
ติํส สตสหสฺสานิ, โยชนานิ ปมาณโต;
Tiṃsa satasahassāni, yojanāni pamāṇato;
ตสฺมา โส ปริโต ยาติ, ตตฺตกํว ทิเน ทิเนฯ
Tasmā so parito yāti, tattakaṃva dine dine.
สหสฺสเมกํ ปญฺจสตํ, จตุปญฺญาสโยชนํ;
Sahassamekaṃ pañcasataṃ, catupaññāsayojanaṃ;
ติคาวุตํ เตรสูสภํ, เตตฺติํส รตนานิ จฯ
Tigāvutaṃ terasūsabhaṃ, tettiṃsa ratanāni ca.
อฎฺฐงฺคุลานิ จ ติริยํ, คจฺฉเตกทิเน รวิ;
Aṭṭhaṅgulāni ca tiriyaṃ, gacchatekadine ravi;
ฉตาลีสสหสฺสานิ, ฉ สตานิ ติคาวุตํฯ
Chatālīsasahassāni, cha satāni tigāvutaṃ.
โยชนานํ ติตาลีสํ, มาเสเนเกน คจฺฉติ;
Yojanānaṃ titālīsaṃ, māsenekena gacchati;
เตนวุติสหสฺสานิ, ทฺวิสตํ สตฺตสีติ จฯ
Tenavutisahassāni, dvisataṃ sattasīti ca.
คาวุตานิ ทุเว จาปิ, ทฺวีหิ มาเสหิ คจฺฉติ;
Gāvutāni duve cāpi, dvīhi māsehi gacchati;
อิมาย คติยา อนฺต-วีถิโต วีถิอนฺติมํฯ
Imāya gatiyā anta-vīthito vīthiantimaṃ.
คจฺฉติ ฉหิ มาเสหิ, ติมาเสหิ จ มชฺฌิมํ;
Gacchati chahi māsehi, timāsehi ca majjhimaṃ;
สิเนรุสนฺติเก อนฺต-วีถิโต ปน ภาณุมา;
Sinerusantike anta-vīthito pana bhāṇumā;
อาคจฺฉโนฺต ทฺวิมาเสหิ, อสฺส ทีปสฺส มชฺฌโคฯ
Āgacchanto dvimāsehi, assa dīpassa majjhago.
ตสฺมา สีหฬทีปสฺส, มชฺฌโต เมรุอนฺตรํ;
Tasmā sīhaḷadīpassa, majjhato meruantaraṃ;
ทุเว สตสหสฺสานิ, ทฺวิสเตนาธิกานิ ตุฯ
Duve satasahassāni, dvisatenādhikāni tu.
เตตฺติํสญฺจ สหสฺสานิ, อฎฺฐารส ติคาวุตํ;
Tettiṃsañca sahassāni, aṭṭhārasa tigāvutaṃ;
จกฺกวาฬนฺตรญฺจสฺส, ทีปเสฺสว จ มชฺฌโตฯ
Cakkavāḷantarañcassa, dīpasseva ca majjhato.
ตีณิ สตสหสฺสานิ, สหสฺสานิ ฉวีสติ;
Tīṇi satasahassāni, sahassāni chavīsati;
ฉ อุตฺตรานิ ปเญฺจว, สตาเนกญฺจ คาวุตนฺติฯ
Cha uttarāni pañceva, satānekañca gāvutanti.
เอวเมตฺถ อยมฺปิ วิเสโส เวทิตโพฺพฯ
Evamettha ayampi viseso veditabbo.
ตาวติํสภวนํ ทสสหสฺสโยชนนฺติ เอตฺถ เตตฺติํส สหปุญฺญการิโน เอตฺถ นิพฺพตฺตาติ ตํสหจริตฎฺฐานํ เตตฺติํสํ, ตเทว ตาวติํสํ , ตํ นิวาโส เอเตสนฺติ ตาวติํสา, เทวา, เตสํ ภวนํ ตาวติํสภวนํฯ ตถา หิ มเฆน มาณเวน สทฺธิํ มจลคามเก กาลํ กตฺวา ตตฺถ อุปฺปเนฺน เตตฺติํส เทวปุเตฺต อุปาทาย อสฺส เทวโลกสฺส อยํ ปณฺณตฺติ ชาตาติ วทนฺติฯ อถ วา ยสฺมา เสสจกฺกวาเฬสุปิ ฉ กามาวจรเทวโลกา อตฺถิฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ ‘‘สหสฺสํ จาตุมหาราชิกานํ สหสฺสํ ตาวติํสาน’’นฺติฯ ตสฺมา นามปณฺณตฺติเยเวสา ตสฺส เทวโลกสฺสาติ เวทิตพฺพาฯ ทสสหสฺสโยชนนฺติ อิทํ ปน สกฺกปุรํ สนฺธาย วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ ตถา หิ ตาวติํสกายิกา เทวา อตฺถิ ปพฺพตฎฺฐกา, อตฺถิ อากาสฎฺฐกา, เตสํ ปรมฺปรา จกฺกวาฬปพฺพตํ ปตฺตา, ตถา จาตุมหาราชิกานํ ยามาทีนญฺจฯ เอกเทวโลเกปิ หิ เทวานํ ปรมฺปรา จกฺกวาฬปพฺพตํ อปฺปตฺตา นาม นตฺถิฯ อิทํ ปน ตาวติํสภวนํ สิเนรุสฺส อุปริมตเล ทสสหสฺสโยชนิเก ฐาเน ปติฎฺฐิตนฺติ เวทิตพฺพํฯ ตสฺส ปาจีนปจฺฉิมทฺวารานํ อนฺตรา ทสโยชนสหสฺสํ โหติ, ตถา ทกฺขิณุตฺตรทฺวารานํฯ ตํ โข ปน นครํ ทฺวารสหสฺสยุตฺตํ อโหสิ อารามโปกฺขรณีปฎิมณฺฑิตํฯ
Tāvatiṃsabhavanaṃ dasasahassayojananti ettha tettiṃsa sahapuññakārino ettha nibbattāti taṃsahacaritaṭṭhānaṃ tettiṃsaṃ, tadeva tāvatiṃsaṃ , taṃ nivāso etesanti tāvatiṃsā, devā, tesaṃ bhavanaṃ tāvatiṃsabhavanaṃ. Tathā hi maghena māṇavena saddhiṃ macalagāmake kālaṃ katvā tattha uppanne tettiṃsa devaputte upādāya assa devalokassa ayaṃ paṇṇatti jātāti vadanti. Atha vā yasmā sesacakkavāḷesupi cha kāmāvacaradevalokā atthi. Vuttampi cetaṃ ‘‘sahassaṃ cātumahārājikānaṃ sahassaṃ tāvatiṃsāna’’nti. Tasmā nāmapaṇṇattiyevesā tassa devalokassāti veditabbā. Dasasahassayojananti idaṃ pana sakkapuraṃ sandhāya vuttanti veditabbaṃ. Tathā hi tāvatiṃsakāyikā devā atthi pabbataṭṭhakā, atthi ākāsaṭṭhakā, tesaṃ paramparā cakkavāḷapabbataṃ pattā, tathā cātumahārājikānaṃ yāmādīnañca. Ekadevalokepi hi devānaṃ paramparā cakkavāḷapabbataṃ appattā nāma natthi. Idaṃ pana tāvatiṃsabhavanaṃ sinerussa uparimatale dasasahassayojanike ṭhāne patiṭṭhitanti veditabbaṃ. Tassa pācīnapacchimadvārānaṃ antarā dasayojanasahassaṃ hoti, tathā dakkhiṇuttaradvārānaṃ. Taṃ kho pana nagaraṃ dvārasahassayuttaṃ ahosi ārāmapokkharaṇīpaṭimaṇḍitaṃ.
ตสฺส มเชฺฌ (ธ. ป. อฎฺฐ. ๑.๒๙ มฆวตฺถุ) ติโยชนสตุเพฺพเธหิ, ธเชหิ ปฎิมณฺฑิโต สตฺตรตนมโย สตฺตโยชนสตุเพฺพโธ สกฺกสฺส เวชยโนฺต นาม ปาสาโทฯ ตตฺถ สุวณฺณยฎฺฐีสุ มณิธชา อเหสุํ, มณิยฎฺฐีสุ สุวณฺณธชา, ปวาฬยฎฺฐีสุ มุตฺตธชา, มุตฺตยฎฺฐีสุ ปวาฬธชา, สตฺตรตนมยาสุ ยฎฺฐีสุ สตฺตรตนมยา ธชาฯ
Tassa majjhe (dha. pa. aṭṭha. 1.29 maghavatthu) tiyojanasatubbedhehi, dhajehi paṭimaṇḍito sattaratanamayo sattayojanasatubbedho sakkassa vejayanto nāma pāsādo. Tattha suvaṇṇayaṭṭhīsu maṇidhajā ahesuṃ, maṇiyaṭṭhīsu suvaṇṇadhajā, pavāḷayaṭṭhīsu muttadhajā, muttayaṭṭhīsu pavāḷadhajā, sattaratanamayāsu yaṭṭhīsu sattaratanamayā dhajā.
ทิยฑฺฒโยชนสตายาโม เวชยนฺตรโถ (สํ. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑.๒๔๙ อาทโย)ฯ ตสฺส หิ ปจฺฉิมโนฺต ปณฺณาสโยชโน, มเชฺฌ รถปญฺชโร ปณฺณาสโยชโน, รถสนฺธิโต ยาว รถสีสา ปณฺณาเสว โยชนานิฯ ตเทว ปมาณํ ทิคุณํ กตฺวา ‘‘ติโยชนสตายาโม’’ติปิ วทนฺติเยวฯ ตสฺมิํ โยชนิกปลฺลโงฺก อตฺถโต ติฎฺฐติฯ ตตฺถ ติโยชนิกํ เสตจฺฉตฺตํ, เอกสฺมิํเยว ยุเค สหสฺสอาชญฺญยุตฺตํฯ เสสาลงฺการสฺส ปมาณํ นตฺถิฯ ธโช ปนสฺส อฑฺฒติยานิ โยชนสตานิ อุคฺคโต, ยสฺส วาตาหตสฺส ปญฺจงฺคิกตูริยเสฺสว สโทฺท นิจฺฉรติฯ
Diyaḍḍhayojanasatāyāmo vejayantaratho (saṃ. ni. aṭṭha. 1.1.249 ādayo). Tassa hi pacchimanto paṇṇāsayojano, majjhe rathapañjaro paṇṇāsayojano, rathasandhito yāva rathasīsā paṇṇāseva yojanāni. Tadeva pamāṇaṃ diguṇaṃ katvā ‘‘tiyojanasatāyāmo’’tipi vadantiyeva. Tasmiṃ yojanikapallaṅko atthato tiṭṭhati. Tattha tiyojanikaṃ setacchattaṃ, ekasmiṃyeva yuge sahassaājaññayuttaṃ. Sesālaṅkārassa pamāṇaṃ natthi. Dhajo panassa aḍḍhatiyāni yojanasatāni uggato, yassa vātāhatassa pañcaṅgikatūriyasseva saddo niccharati.
สกฺกสฺส ปน เอราวโณ นาม หตฺถี ทิยฑฺฒโยชนสติโก, โสปิ เทวปุโตฺตเยวฯ น หิ เทวโลกสฺมิํ ติรจฺฉานคตา โหนฺติ, ตสฺมา โส อุยฺยานกีฬาย นิกฺขมนกาเล อตฺตภาวํ วิชหิตฺวา ทิยฑฺฒโยชนสติโก เอราวโณ นาม หตฺถี โหติฯ โส เตตฺติํสกุเมฺภ มาเปติ อาวเฎฺฎน คาวุตอฑฺฒโยชนปฺปมาเณ, สเพฺพสํ มเชฺฌ สกฺกสฺส อตฺถาย สุทสฺสนํ นาม ติํสโยชนิกํ กุมฺภํ มาเปติฯ ตสฺส อุปริ ทฺวาทสโยชนิโก รตนมณฺฑโป โหติฯ ตตฺถ อนฺตรนฺตรา สตฺตรตนมยา โยชนุเพฺพธา ธชา อุฎฺฐหนฺติฯ ปริยเนฺต กิงฺกิณิกชาลา โอลมฺพนฺติ, ยสฺส มนฺทวาเตริตสฺส ปญฺจงฺคิกตูริยสทฺทสทิโส ทิพฺพคีตสโทฺท วิย รโว นิจฺฉรติฯ มณฺฑปมเชฺฌ สกฺกสฺส โยชนิโก มณิปลฺลโงฺก ปญฺญโตฺต โหติ, ตตฺถ สโกฺก นิสีทติฯ เตตฺติํสาย กุมฺภานํ เอเกกสฺมิํ กุเมฺภ สตฺต สตฺต ทเนฺต มาเปติ, เตสุ เอเกโก ปณฺณาสโยชนายาโมฯ เอเกกสฺมิเญฺจตฺถ ทเนฺต สตฺต สตฺต โปกฺขรณิโย โหนฺติ, เอเกกาย โปกฺขรณิยา สตฺต สตฺต ปทุมินีคจฺฉา, เอเกกสฺมิํ คเจฺฉ สตฺต สตฺต ปุปฺผานิ โหนฺติ, เอเกกสฺส ปุปฺผสฺส สตฺต สตฺต ปตฺตานิ, เอเกกสฺมิํ ปเตฺต สตฺต สตฺต เทวธีตโร นจฺจนฺติฯ เอวํ สมนฺตา ปณฺณาสโยชนฎฺฐาเน หตฺถิทเนฺตสุเยว นจฺจนฎสมโชฺช โหติฯ
Sakkassa pana erāvaṇo nāma hatthī diyaḍḍhayojanasatiko, sopi devaputtoyeva. Na hi devalokasmiṃ tiracchānagatā honti, tasmā so uyyānakīḷāya nikkhamanakāle attabhāvaṃ vijahitvā diyaḍḍhayojanasatiko erāvaṇo nāma hatthī hoti. So tettiṃsakumbhe māpeti āvaṭṭena gāvutaaḍḍhayojanappamāṇe, sabbesaṃ majjhe sakkassa atthāya sudassanaṃ nāma tiṃsayojanikaṃ kumbhaṃ māpeti. Tassa upari dvādasayojaniko ratanamaṇḍapo hoti. Tattha antarantarā sattaratanamayā yojanubbedhā dhajā uṭṭhahanti. Pariyante kiṅkiṇikajālā olambanti, yassa mandavāteritassa pañcaṅgikatūriyasaddasadiso dibbagītasaddo viya ravo niccharati. Maṇḍapamajjhe sakkassa yojaniko maṇipallaṅko paññatto hoti, tattha sakko nisīdati. Tettiṃsāya kumbhānaṃ ekekasmiṃ kumbhe satta satta dante māpeti, tesu ekeko paṇṇāsayojanāyāmo. Ekekasmiñcettha dante satta satta pokkharaṇiyo honti, ekekāya pokkharaṇiyā satta satta paduminīgacchā, ekekasmiṃ gacche satta satta pupphāni honti, ekekassa pupphassa satta satta pattāni, ekekasmiṃ patte satta satta devadhītaro naccanti. Evaṃ samantā paṇṇāsayojanaṭṭhāne hatthidantesuyeva naccanaṭasamajjo hoti.
นนฺทา นาม ปน โปกฺขรณี ปญฺญาสโยชนาฯ ‘‘ปญฺจสตโยชนิกา’’ติปิ วทนฺติฯ
Nandā nāma pana pokkharaṇī paññāsayojanā. ‘‘Pañcasatayojanikā’’tipi vadanti.
จิตฺตลตาวนํ ปน สฎฺฐิโยชนิกํฯ ‘‘ปญฺจโยชนสติก’’นฺติปิ วทนฺติฯ ตํ ปน ทิพฺพรุกฺขสหสฺสปฎิมณฺฑิตํ, ตถา นนฺทนวนํ ผารุสกวนญฺจฯ สโกฺก ปเนตฺถ อจฺฉราสงฺฆปริวุโต สฎฺฐิโยชนิกํ สุวณฺณมหาวีถิํ โอตริตฺวา นกฺขตฺตํ กีฬโนฺต นนฺทนวนาทีสุ วิจรติฯ
Cittalatāvanaṃ pana saṭṭhiyojanikaṃ. ‘‘Pañcayojanasatika’’ntipi vadanti. Taṃ pana dibbarukkhasahassapaṭimaṇḍitaṃ, tathā nandanavanaṃ phārusakavanañca. Sakko panettha accharāsaṅghaparivuto saṭṭhiyojanikaṃ suvaṇṇamahāvīthiṃ otaritvā nakkhattaṃ kīḷanto nandanavanādīsu vicarati.
ปาริจฺฉตฺตโก ปน โกวิฬาโร สมนฺตา ติโยชนสตปริมณฺฑโล ปญฺจทสโยชนปริณาหกฺขโนฺธ โยชนสตุเพฺพโธฯ ตสฺส มูเล สฎฺฐิโยชนายามา ปญฺญาสโยชนวิตฺถารา ปญฺจทสโยชนุเพฺพธา ชยสุมนปุปฺผกวณฺณา ปณฺฑุกมฺพลสิลา, ยสฺสา มุทุตาย สกฺกสฺส นิสีทโต อุปฑฺฒกาโย อนุปวิสติ, อุฎฺฐิตกาเล อูนํ ปริปูรติฯ
Pāricchattako pana koviḷāro samantā tiyojanasataparimaṇḍalo pañcadasayojanapariṇāhakkhandho yojanasatubbedho. Tassa mūle saṭṭhiyojanāyāmā paññāsayojanavitthārā pañcadasayojanubbedhā jayasumanapupphakavaṇṇā paṇḍukambalasilā, yassā mudutāya sakkassa nisīdato upaḍḍhakāyo anupavisati, uṭṭhitakāle ūnaṃ paripūrati.
สุธมฺมา นาม เทวสภา อายามโต จ วิตฺถารโต จ ติโยชนสติกา, ปริเกฺขปโต นวโยชนสติกา, อุเพฺพธโต ปญฺจโยชนสติกา, ตสฺสา ผลิกมยา ภูมิ, ถมฺภตุลาสงฺฆาฎาทีสุ วาฬรูปาทิสงฺฆฎฺฎนกอาณิโย มณิมยา, สุวณฺณมยา ถมฺภา, รชตมยา ถมฺภฆฎกา จ สงฺฆาฎญฺจ, ปวาฬมยานิ วาฬรูปานิ, สตฺตรตนมยา โคปานสิโย จ ปกฺขปาสา จ มุขวฎฺฎิ จ, อินฺทนีลอิฎฺฐกาหิ ฉทนํ, โสวณฺณมยํ ฉทนวิธํ, รชตมยา ถุปิกาฯ
Sudhammā nāma devasabhā āyāmato ca vitthārato ca tiyojanasatikā, parikkhepato navayojanasatikā, ubbedhato pañcayojanasatikā, tassā phalikamayā bhūmi, thambhatulāsaṅghāṭādīsu vāḷarūpādisaṅghaṭṭanakaāṇiyo maṇimayā, suvaṇṇamayā thambhā, rajatamayā thambhaghaṭakā ca saṅghāṭañca, pavāḷamayāni vāḷarūpāni, sattaratanamayā gopānasiyo ca pakkhapāsā ca mukhavaṭṭi ca, indanīlaiṭṭhakāhi chadanaṃ, sovaṇṇamayaṃ chadanavidhaṃ, rajatamayā thupikā.
อาสาวตี นาม เอกา ลตา อตฺถิ, ‘‘สา ปุปฺผิสฺสตี’’ติ เทวา วสฺสสหสฺสํ อุปฎฺฐานํ คจฺฉนฺติ, ปาริจฺฉตฺตเก ปุปฺผมาเน เอกํ วสฺสํ อุปฎฺฐานํ คจฺฉนฺติฯ เต ตสฺส ปณฺฑุปลาสาทิภาวโต ปฎฺฐาย อตฺตมนา โหนฺติฯ ยถาห –
Āsāvatī nāma ekā latā atthi, ‘‘sā pupphissatī’’ti devā vassasahassaṃ upaṭṭhānaṃ gacchanti, pāricchattake pupphamāne ekaṃ vassaṃ upaṭṭhānaṃ gacchanti. Te tassa paṇḍupalāsādibhāvato paṭṭhāya attamanā honti. Yathāha –
‘‘ยสฺมิํ, ภิกฺขเว, สมเย เทวานํ ตาวติํสานํ ปาริจฺฉตฺตโก โกวิฬาโร ปณฺฑุปลาโส โหติ, อตฺตมนา, ภิกฺขเว, เทวา ตาวติํสา ตสฺมิํ สมเย โหนฺติ ‘ปณฺฑุปลาโส ทานิ ปาริจฺฉตฺตโก โกวิฬาโร, น จิรเสฺสว ทานิ ปนฺนปลาโส ภวิสฺสตี’’’ติอาทิ (อ. นิ. ๗.๖๙)ฯ
‘‘Yasmiṃ, bhikkhave, samaye devānaṃ tāvatiṃsānaṃ pāricchattako koviḷāro paṇḍupalāso hoti, attamanā, bhikkhave, devā tāvatiṃsā tasmiṃ samaye honti ‘paṇḍupalāso dāni pāricchattako koviḷāro, na cirasseva dāni pannapalāso bhavissatī’’’tiādi (a. ni. 7.69).
สพฺพปาลิผุลฺลสฺส ปน ปาริจฺฉตฺตกสฺส โกวิฬารสฺส สมนฺตา ปญฺจ โยชนสตานิ อาภา ผรติ, อนุวาตํ โยชนสตํ คโนฺธ คจฺฉติฯ ปุปฺผิเต ปาริจฺฉตฺตเก อาโรหณกิจฺจํ วา องฺกุสํ คเหตฺวา นามนกิจฺจํ วา ปุปฺผาหรณตฺถํ จโงฺกฎกกิจฺจํ วา นตฺถิฯ กนฺตนกวาโต อุฎฺฐหิตฺวา ปุปฺผานิ วณฺฎโต กนฺตติ, สมฺปฎิจฺฉนกวาโต สมฺปฎิจฺฉติ, ปเวสนกวาโต สุธมฺมเทวสภํ ปเวเสติ, สมฺมชฺชนกวาโต ปุราณปุปฺผานิ นีหรติ, สนฺถรณกวาโต ปตฺตกณฺณิกเกสรานิ รเจโนฺต สนฺถรติ, มชฺฌฎฺฐาเน ธมฺมาสนํ โหติ โยชนปฺปมาโณ รตนปลฺลโงฺก, ตสฺส อุปริ ธาริยมานํ ติโยชนิกํ เสตจฺฉตฺตํ, ตทนนฺตรํ สกฺกสฺส เทวรโญฺญ อาสนํ อตฺถรียติ, ตโต พาตฺติํสาย เทวปุตฺตานํ, ตโต อเญฺญสํ มเหสกฺขเทวตานํฯ อเญฺญสํ เทวตานํ ปน ปุปฺผกณฺณิกาว อาสนํ โหติฯ เทวา เทวสภํ ปวิสิตฺวา นิสีทนฺติฯ ตโต ปุเปฺผหิ เรณุวฎฺฎิ อุคฺคนฺตฺวา อุปริ กณฺณิกํ อาหจฺจ นิปตมานา เทวตานํ ติคาวุตปฺปมาณํ อตฺตภาวํ ลาขาปริกมฺมสชฺชิตํ วิย กโรติ, เตสํ สา กีฬา จตูหิ มาเสหิ ปริโยสานํ คจฺฉติฯ อิติ อิมาหิ สมฺปตฺตีหิ สมนฺนาคตํ ตาวติํสภวนํ ภควา สพฺพถา อเวทีติ เวทิตพฺพํฯ
Sabbapāliphullassa pana pāricchattakassa koviḷārassa samantā pañca yojanasatāni ābhā pharati, anuvātaṃ yojanasataṃ gandho gacchati. Pupphite pāricchattake ārohaṇakiccaṃ vā aṅkusaṃ gahetvā nāmanakiccaṃ vā pupphāharaṇatthaṃ caṅkoṭakakiccaṃ vā natthi. Kantanakavāto uṭṭhahitvā pupphāni vaṇṭato kantati, sampaṭicchanakavāto sampaṭicchati, pavesanakavāto sudhammadevasabhaṃ paveseti, sammajjanakavāto purāṇapupphāni nīharati, santharaṇakavāto pattakaṇṇikakesarāni racento santharati, majjhaṭṭhāne dhammāsanaṃ hoti yojanappamāṇo ratanapallaṅko, tassa upari dhāriyamānaṃ tiyojanikaṃ setacchattaṃ, tadanantaraṃ sakkassa devarañño āsanaṃ attharīyati, tato bāttiṃsāya devaputtānaṃ, tato aññesaṃ mahesakkhadevatānaṃ. Aññesaṃ devatānaṃ pana pupphakaṇṇikāva āsanaṃ hoti. Devā devasabhaṃ pavisitvā nisīdanti. Tato pupphehi reṇuvaṭṭi uggantvā upari kaṇṇikaṃ āhacca nipatamānā devatānaṃ tigāvutappamāṇaṃ attabhāvaṃ lākhāparikammasajjitaṃ viya karoti, tesaṃ sā kīḷā catūhi māsehi pariyosānaṃ gacchati. Iti imāhi sampattīhi samannāgataṃ tāvatiṃsabhavanaṃ bhagavā sabbathā avedīti veditabbaṃ.
ตถา อสุรภวนนฺติ เอตฺถ เทวา วิย น สุรนฺติ น อีสรนฺติ น วิโรจนฺตีติ อสุราฯ สุรา นาม เทวา, เตสํ ปฎิปกฺขาติ วา อสุราฯ สโกฺก กิร มจลคามเก มโฆ นาม มาณโว หุตฺวา เตตฺติํส ปุริเส คเหตฺวา กลฺยาณกมฺมํ กโรโนฺต สตฺต วตฺตปทานิ ปูเรตฺวา ตตฺถ กาลกโต เทวโลเก นิพฺพตฺติ สทฺธิํ ปริสายฯ ตโต ปุพฺพเทวา ‘‘อาคนฺตุกเทวปุตฺตา อาคตา, สกฺการํ เนสํ กโรมา’’ติ วตฺวา ทิพฺพปทุมานิ อุปนาเมสุํ, อุปฑฺฒรเชฺชน จ นิมเนฺตสุํฯ สโกฺก อุปฑฺฒรเชฺชน อสนฺตุโฎฺฐ อโหสิ, อถ เนวาสิกา ‘‘อาคนฺตุกเทวปุตฺตานํ สกฺการํ กโรมา’’ติ คนฺธปานํ สชฺชยิํสุฯ สโกฺก สกปริสาย สญฺญํ อทาสิ ‘‘มาริสา มา คนฺธปานํ ปิวิตฺถ, ปิวมานาการมตฺตเมว ทเสฺสถา’’ติฯ เต ตถา อกํสุฯ เนวาสิกเทวตา สุวณฺณสรเกหิ อุปนีตํ คนฺธปานํ ยาวทตฺถํ ปิวิตฺวา มตฺตา ตตฺถ ตตฺถ สุวณฺณปถวิยํ ปติตฺวา สยิํสุฯ สโกฺก ‘‘คณฺหถ ธุเตฺต, หรถ ธุเตฺต’’ติ เต ปาเทสุ คาหาเปตฺวา สิเนรุปาเท ขิปาเปสิฯ สกฺกสฺส ปุญฺญเตเชน ตทนุวตฺตกาปิ สเพฺพ ตเตฺถว ปติํสุฯ อถ เนสํ กมฺมปจฺจยอุตุสมุฎฺฐานํ สิเนรุสฺส เหฎฺฐิมตเล ทสโยชนสหสฺสํ อสุรภวนํ นิพฺพตฺติ ปาริจฺฉตฺตกปฎิจฺฉนฺนภูตาย จิตฺรปาฎลิยา อุปโสภิตํฯ สโกฺก เตสํ นิวตฺติตฺวา อนาคมนตฺถาย อารกฺขํ ฐเปสิฯ ยํ สนฺธาย วุตฺตํ –
Tathā asurabhavananti ettha devā viya na suranti na īsaranti na virocantīti asurā. Surā nāma devā, tesaṃ paṭipakkhāti vā asurā. Sakko kira macalagāmake magho nāma māṇavo hutvā tettiṃsa purise gahetvā kalyāṇakammaṃ karonto satta vattapadāni pūretvā tattha kālakato devaloke nibbatti saddhiṃ parisāya. Tato pubbadevā ‘‘āgantukadevaputtā āgatā, sakkāraṃ nesaṃ karomā’’ti vatvā dibbapadumāni upanāmesuṃ, upaḍḍharajjena ca nimantesuṃ. Sakko upaḍḍharajjena asantuṭṭho ahosi, atha nevāsikā ‘‘āgantukadevaputtānaṃ sakkāraṃ karomā’’ti gandhapānaṃ sajjayiṃsu. Sakko sakaparisāya saññaṃ adāsi ‘‘mārisā mā gandhapānaṃ pivittha, pivamānākāramattameva dassethā’’ti. Te tathā akaṃsu. Nevāsikadevatā suvaṇṇasarakehi upanītaṃ gandhapānaṃ yāvadatthaṃ pivitvā mattā tattha tattha suvaṇṇapathaviyaṃ patitvā sayiṃsu. Sakko ‘‘gaṇhatha dhutte, haratha dhutte’’ti te pādesu gāhāpetvā sinerupāde khipāpesi. Sakkassa puññatejena tadanuvattakāpi sabbe tattheva patiṃsu. Atha nesaṃ kammapaccayautusamuṭṭhānaṃ sinerussa heṭṭhimatale dasayojanasahassaṃ asurabhavanaṃ nibbatti pāricchattakapaṭicchannabhūtāya citrapāṭaliyā upasobhitaṃ. Sakko tesaṃ nivattitvā anāgamanatthāya ārakkhaṃ ṭhapesi. Yaṃ sandhāya vuttaṃ –
‘‘อนฺตรา ทฺวินฺนํ อยุชฺฌปุรานํ, ปญฺจวิธา ฐปิตา อภิรกฺขา;
‘‘Antarā dvinnaṃ ayujjhapurānaṃ, pañcavidhā ṭhapitā abhirakkhā;
อุรคกโรฎิปยสฺส จ หารี, มทนยุตา จตุโร จ มหตฺถา’’ติฯ (สํ. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑.๒๔๗; ชา. อฎฺฐ. ๑.๑.๓๑);
Uragakaroṭipayassa ca hārī, madanayutā caturo ca mahatthā’’ti. (saṃ. ni. aṭṭha. 1.1.247; jā. aṭṭha. 1.1.31);
ตตฺถ ทฺวินฺนํ อยุชฺฌปุรานนฺติ ทฺวินฺนํ เทวาสุรนครานํ อนฺตราติ อโตฺถฯ เทฺว กิร นครานิ ยุเทฺธน คเหตุํ อสกฺกุเณยฺยตาย อยุชฺฌปุรานิ นาม ชาตานิฯ ยทา หิ อสุรา พลวโนฺต โหนฺติ, อถ เทเวหิ ปลายิตฺวา เทวนครํ ปวิสิตฺวา ทฺวาเร ปิหิเต อสุรานํ สตสหสฺสมฺปิ กิญฺจิ กาตุํ น สโกฺกติฯ ยทา เทวา พลวโนฺต โหนฺติ, อถ อสุเรหิ ปลายิตฺวา อสุรนครํ ปวิสิตฺวา ทฺวาเร ปิหิเต สกฺกานํ สตสหสฺสมฺปิ กิญฺจิ กาตุํ น สโกฺกติฯ อิติ อิมานิ เทฺว นครานิ อยุชฺฌปุรานิ นามฯ เตสํ อนฺตรา เอเตสุ อุรคาทีสุ ปญฺจสุ ฐาเนสุ สเกฺกน อารกฺขา ฐปิตาฯ ตตฺถ อุรคสเทฺทน นาคา คหิตาฯ เต อุทเก มหพฺพลา โหนฺติ, ตสฺมา สิเนรุสฺส ปฐมาลิเนฺท เอเตสํ อารกฺขาฯ สิเนรุสฺส กิร สมนฺตโต พหลโต ปุถุลโต จ ปญฺจโยชนสหสฺสปริมาณานิ จตฺตาริ ปริภณฺฑานิ ตาวติํสภวนสฺส อารกฺขาย นาเคหิ ครุเฬหิ กุมฺภเณฺฑหิ ยเกฺขหิ จ อธิฎฺฐิตานิฯ เตหิ กิร สิเนรุสฺส อุปฑฺฒํ ปริยาทินฺนํ, เอตานิเยว จ สิเนรุสฺส อาลินฺทานิ เมขลานิ จ วุจฺจนฺติฯ กโรฎิสเทฺทน สุปณฺณา คหิตาฯ เตสํ กิร กโรฎิ นาม ปานโภชนํ, เตน นามํ ลภิํสุ, ทุติยาลิเนฺท เตสํ อารกฺขาฯ ปยสฺสหารีสเทฺทน กุมฺภณฺฑา คหิตาฯ ทานวรกฺขสา กิร เต, ตติยาลิเนฺท เตสํ อารกฺขาฯ มทนยุตสเทฺทน ยกฺขา คหิตาฯ วิสมจาริโน กิร เต ยุทฺธโสณฺฑา, จตุตฺถาลิเนฺท เตสํ อารกฺขาฯ จตุโร จ มหตฺถาติ จตฺตาโร มหาราชาโน วุตฺตาฯ เต หิ สิเนรุสฺส ตสฺมิํ ตสฺมิํ ปเสฺส ยุคนฺธราทีสุ ปญฺจสตปริตฺตทีปปริวาเร มหาทีเป จ สาสิตพฺพสฺส มหโต อตฺถสฺส วเสน ‘‘มหตฺถา’’ติ วุจฺจนฺติ, ปญฺจมาลิเนฺท เตสํ อารกฺขาฯ
Tattha dvinnaṃ ayujjhapurānanti dvinnaṃ devāsuranagarānaṃ antarāti attho. Dve kira nagarāni yuddhena gahetuṃ asakkuṇeyyatāya ayujjhapurāni nāma jātāni. Yadā hi asurā balavanto honti, atha devehi palāyitvā devanagaraṃ pavisitvā dvāre pihite asurānaṃ satasahassampi kiñci kātuṃ na sakkoti. Yadā devā balavanto honti, atha asurehi palāyitvā asuranagaraṃ pavisitvā dvāre pihite sakkānaṃ satasahassampi kiñci kātuṃ na sakkoti. Iti imāni dve nagarāni ayujjhapurāni nāma. Tesaṃ antarā etesu uragādīsu pañcasu ṭhānesu sakkena ārakkhā ṭhapitā. Tattha uragasaddena nāgā gahitā. Te udake mahabbalā honti, tasmā sinerussa paṭhamālinde etesaṃ ārakkhā. Sinerussa kira samantato bahalato puthulato ca pañcayojanasahassaparimāṇāni cattāri paribhaṇḍāni tāvatiṃsabhavanassa ārakkhāya nāgehi garuḷehi kumbhaṇḍehi yakkhehi ca adhiṭṭhitāni. Tehi kira sinerussa upaḍḍhaṃ pariyādinnaṃ, etāniyeva ca sinerussa ālindāni mekhalāni ca vuccanti. Karoṭisaddena supaṇṇā gahitā. Tesaṃ kira karoṭi nāma pānabhojanaṃ, tena nāmaṃ labhiṃsu, dutiyālinde tesaṃ ārakkhā. Payassahārīsaddena kumbhaṇḍā gahitā. Dānavarakkhasā kira te, tatiyālinde tesaṃ ārakkhā. Madanayutasaddena yakkhā gahitā. Visamacārino kira te yuddhasoṇḍā, catutthālinde tesaṃ ārakkhā. Caturo ca mahatthāti cattāro mahārājāno vuttā. Te hi sinerussa tasmiṃ tasmiṃ passe yugandharādīsu pañcasataparittadīpaparivāre mahādīpe ca sāsitabbassa mahato atthassa vasena ‘‘mahatthā’’ti vuccanti, pañcamālinde tesaṃ ārakkhā.
เต ปน อสุรา อายุวณฺณยสอิสฺสริยสมฺปตฺตีหิ ตาวติํสสทิสาวฯ ตสฺมา อนฺตรา อตฺตานํ อชานิตฺวา ปาฎลิยา ปุปฺผิตาย ‘‘นยิทํ เทวนครํ, ตตฺถ ปาริจฺฉตฺตโก ปุปฺผติ, อิธ ปน จิตฺตปาฎลี, ชรสเกฺกน มยํ สุรํ ปาเยตฺวา วญฺจิตา, เทวนครญฺจ โน คหิตํ, คจฺฉาม เตน สทฺธิํ ยุชฺฌิสฺสามา’’ติ หตฺถิอสฺสรเถ อารุยฺห สุวณฺณรชตมณิผลกานิ คเหตฺวา ยุทฺธสชฺชา หุตฺวา อสุรเภริโย วาเทนฺตา มหาสมุเทฺท อุทกํ ทฺวิธา ภินฺทิตฺวา อุฎฺฐหนฺติฯ เต เทเว วุเฎฺฐ วมฺมิกมกฺขิกา วมฺมิกํ วิย สิเนรุํ อภิรุหิตุํ อารภนฺติฯ อถ เนสํ ปฐมํ นาเคหิ สทฺธิํ ยุทฺธํ โหติฯ ตสฺมิํ โข ปน ยุเทฺธ น กสฺสจิ ฉวิ วา จมฺมํ วา ฉิชฺชติ, น โลหิตํ อุปฺปชฺชติ, เกวลํ กุมารกานํ ทารุเมณฺฑกยุทฺธํ วิย อญฺญมญฺญํ สนฺตาสนมตฺตเมว โหติฯ โกฎิสตาปิ โกฎิสหสฺสาปิ นาคา เตหิ สทฺธิํ ยุชฺฌิตฺวา อสุรปุรํเยว ปเวเสตฺวา นิวตฺตนฺติฯ สเจ ปน อสุรา พลวโนฺต โหนฺติ, อถ นาคา โอสกฺกิตฺวา ทุติเย อาลิเนฺท สุปเณฺณหิ สทฺธิํ เอกโต หุตฺวา ยุชฺฌนฺติฯ เอส นโย สุปณฺณาทีสุปิฯ ยทา ปน ตานิ ปญฺจปิ ฐานานิ อสุรา มทฺทนฺติ, ตทา เอกโต สมฺปิณฺฑิตานิปิ ตานิ ปญฺจ พลานิ โอสกฺกนฺติ ฯ อถ จตฺตาโร มหาราชาโน คนฺตฺวา สกฺกสฺส ปวตฺติํ อาโรเจนฺติฯ สโกฺก เตสํ วจนํ สุตฺวา ทิยฑฺฒโยชนสติกํ เวชยนฺตรถํ อารุยฺห สยํ วา นิกฺขมติ, เอกํ วา ปุตฺตํ เปเสติฯ เอกสฺมิํ ปน ทิวเส เอวํ นิกฺขมิตฺวา อสุเร ยุเทฺธน อพฺภุคฺคนฺตฺวา สมุเทฺท ปกฺขิปิตฺวา จตูสุ ทฺวาเรสุ อตฺตนา สทิสา ปฎิมา มาเปตฺวา ฐเปติ, ตสฺมา อสุรา นาคาทโย ชินิตฺวา อาคตาปิ อินฺทปฎิมา ทิสฺวา ‘‘สโกฺก นิกฺขโนฺต’’ติ ปลายนฺติฯ อิติ สุรานํ ปฎิปกฺขาติ อสุรา, เวปจิตฺติปหาราทาทโย, เตสํ ภวนํ อสุรภวนํฯ ตํ ปน อายามโต จ วิตฺถารโต จ ทสสหสฺสโยชนนฺติ ทเสฺสตุํ ‘‘ตถา อสุรภวน’’นฺติ วุตฺตํฯ
Te pana asurā āyuvaṇṇayasaissariyasampattīhi tāvatiṃsasadisāva. Tasmā antarā attānaṃ ajānitvā pāṭaliyā pupphitāya ‘‘nayidaṃ devanagaraṃ, tattha pāricchattako pupphati, idha pana cittapāṭalī, jarasakkena mayaṃ suraṃ pāyetvā vañcitā, devanagarañca no gahitaṃ, gacchāma tena saddhiṃ yujjhissāmā’’ti hatthiassarathe āruyha suvaṇṇarajatamaṇiphalakāni gahetvā yuddhasajjā hutvā asurabheriyo vādentā mahāsamudde udakaṃ dvidhā bhinditvā uṭṭhahanti. Te deve vuṭṭhe vammikamakkhikā vammikaṃ viya sineruṃ abhiruhituṃ ārabhanti. Atha nesaṃ paṭhamaṃ nāgehi saddhiṃ yuddhaṃ hoti. Tasmiṃ kho pana yuddhe na kassaci chavi vā cammaṃ vā chijjati, na lohitaṃ uppajjati, kevalaṃ kumārakānaṃ dārumeṇḍakayuddhaṃ viya aññamaññaṃ santāsanamattameva hoti. Koṭisatāpi koṭisahassāpi nāgā tehi saddhiṃ yujjhitvā asurapuraṃyeva pavesetvā nivattanti. Sace pana asurā balavanto honti, atha nāgā osakkitvā dutiye ālinde supaṇṇehi saddhiṃ ekato hutvā yujjhanti. Esa nayo supaṇṇādīsupi. Yadā pana tāni pañcapi ṭhānāni asurā maddanti, tadā ekato sampiṇḍitānipi tāni pañca balāni osakkanti . Atha cattāro mahārājāno gantvā sakkassa pavattiṃ ārocenti. Sakko tesaṃ vacanaṃ sutvā diyaḍḍhayojanasatikaṃ vejayantarathaṃ āruyha sayaṃ vā nikkhamati, ekaṃ vā puttaṃ peseti. Ekasmiṃ pana divase evaṃ nikkhamitvā asure yuddhena abbhuggantvā samudde pakkhipitvā catūsu dvāresu attanā sadisā paṭimā māpetvā ṭhapeti, tasmā asurā nāgādayo jinitvā āgatāpi indapaṭimā disvā ‘‘sakko nikkhanto’’ti palāyanti. Iti surānaṃ paṭipakkhāti asurā, vepacittipahārādādayo, tesaṃ bhavanaṃ asurabhavanaṃ. Taṃ pana āyāmato ca vitthārato ca dasasahassayojananti dassetuṃ ‘‘tathā asurabhavana’’nti vuttaṃ.
อวีจิมหานิรโย ชมฺพุทีโป จาติ เอตฺถาปิ ตถา-สโทฺท โยเชตโพฺพ, อวีจิมหานิรโย ชมฺพุทีโป จ ตถา ทสสหสฺสโยชนเมวาติ อโตฺถฯ เอตฺถ จ อวีจิมหานิรยสฺส อพฺภนฺตรํ อายาเมน จ วิตฺถาเรน จ โยชนสตํ โหติ, โลหปถวี โลหฉทนํ เอเกกา จ ภิตฺติ นวนวโยชนิกา โหติฯ ปุรตฺถิมาย ภิตฺติยา อจฺจิ อุฎฺฐหิตฺวา ปจฺฉิมํ ภิตฺติํ คเหตฺวา ตํ วินิวิชฺฌิตฺวา ปรโต โยชนสตํ คจฺฉติฯ เสสทิสาสุปิ เอเสว นโยฯ อิติ ชาลปริยนฺตวเสน อายามวิตฺถารโต อฎฺฐารสโยชนาธิกานิ ตีณิ โยชนสตานิ โหนฺติ, ปริเกฺขเปน นว โยชนสตานิ จตุปณฺณาสญฺจ โยชนานิฯ สมนฺตา ปน อุสฺสเทหิ สทฺธิํ ทสโยชนสหสฺสํ โหติฯ กสฺมา ปเนส นรโก ‘‘อวีจี’’ติ สงฺขฺยํ คโตติ? วีจิ นาม อนฺตรํ วุจฺจติ, ตตฺถ จ อคฺคิชาลานํ วา สตฺตานํ วา ทุกฺขสฺส วา อนฺตรํ นตฺถิ, ตสฺมา โส ‘‘อวีจี’’ติ สงฺขฺยํ คโตฯ ตสฺส หิ ปุรตฺถิมภิตฺติโต ชาลา อุฎฺฐหิตฺวา สํสิพฺพมานโยชนสตํ คนฺตฺวา ภิตฺติํ วินิวิชฺฌิตฺวา ปรโต โยชนสตํ คจฺฉติฯ เสสทิสาสุปิ เอเสว นโยฯ เอวํ ชาลานํ นิรนฺตรตาย อวีจิฯ อพฺภนฺตเร ปนสฺส โยชนสติเก ฐาเน นาฬิยํ โกเฎฺฎตฺวา ปูริตติปุปิฎฺฐํ วิย สตฺตา นิรนฺตรา, ‘‘อิมสฺมิํ ฐาเน สโตฺต อตฺถิ, อิมสฺมิํ ฐาเน นตฺถี’’ติ น วตฺตพฺพํ, คจฺฉนฺตานํ ฐิตานํ นิสินฺนานํ นิปนฺนานญฺจ ปจฺจมานานํ อโนฺต นตฺถิ, คจฺฉนฺตา ฐิเต วา นิสิเนฺน วา นิปเนฺน วา น พาเธนฺติฯ เอวํ สตฺตานํ นิรนฺตรตาย อวีจิฯ กายทฺวาเร ปน ฉ อุเปกฺขาสหคตานิ จิตฺตานิ อุปฺปชฺชนฺติ, เอกํ ทุกฺขสหคตํฯ เอวํ สเนฺตปิ ยถา ชิวฺหาเคฺค ฉ มธุพินฺทูนิ ฐเปตฺวา เอกสฺมิํ ตมฺพโลหพินฺทุมฺหิ ฐปิเต อนุทหนพลวตาย ตเทว ปญฺญายติ, อิตรานิ อโพฺพหาริกานิ โหนฺติ, เอวํ อนุทหนพลวตาย ทุกฺขเมเวตฺถ นิรนฺตรํ, อิตรานิ อโพฺพหาริกานีติ เอวํ ทุกฺขสฺส นิรนฺตรตาย อวีจีติ วุจฺจติฯ ‘‘อยญฺจ อวีจิมหานิรโย ชมฺพุทีปสฺส เหฎฺฐา ปติฎฺฐิโต’’ติ วทนฺติฯ
Avīcimahānirayo jambudīpo cāti etthāpi tathā-saddo yojetabbo, avīcimahānirayo jambudīpo ca tathā dasasahassayojanamevāti attho. Ettha ca avīcimahānirayassa abbhantaraṃ āyāmena ca vitthārena ca yojanasataṃ hoti, lohapathavī lohachadanaṃ ekekā ca bhitti navanavayojanikā hoti. Puratthimāya bhittiyā acci uṭṭhahitvā pacchimaṃ bhittiṃ gahetvā taṃ vinivijjhitvā parato yojanasataṃ gacchati. Sesadisāsupi eseva nayo. Iti jālapariyantavasena āyāmavitthārato aṭṭhārasayojanādhikāni tīṇi yojanasatāni honti, parikkhepena nava yojanasatāni catupaṇṇāsañca yojanāni. Samantā pana ussadehi saddhiṃ dasayojanasahassaṃ hoti. Kasmā panesa narako ‘‘avīcī’’ti saṅkhyaṃ gatoti? Vīci nāma antaraṃ vuccati, tattha ca aggijālānaṃ vā sattānaṃ vā dukkhassa vā antaraṃ natthi, tasmā so ‘‘avīcī’’ti saṅkhyaṃ gato. Tassa hi puratthimabhittito jālā uṭṭhahitvā saṃsibbamānayojanasataṃ gantvā bhittiṃ vinivijjhitvā parato yojanasataṃ gacchati. Sesadisāsupi eseva nayo. Evaṃ jālānaṃ nirantaratāya avīci. Abbhantare panassa yojanasatike ṭhāne nāḷiyaṃ koṭṭetvā pūritatipupiṭṭhaṃ viya sattā nirantarā, ‘‘imasmiṃ ṭhāne satto atthi, imasmiṃ ṭhāne natthī’’ti na vattabbaṃ, gacchantānaṃ ṭhitānaṃ nisinnānaṃ nipannānañca paccamānānaṃ anto natthi, gacchantā ṭhite vā nisinne vā nipanne vā na bādhenti. Evaṃ sattānaṃ nirantaratāya avīci. Kāyadvāre pana cha upekkhāsahagatāni cittāni uppajjanti, ekaṃ dukkhasahagataṃ. Evaṃ santepi yathā jivhāgge cha madhubindūni ṭhapetvā ekasmiṃ tambalohabindumhi ṭhapite anudahanabalavatāya tadeva paññāyati, itarāni abbohārikāni honti, evaṃ anudahanabalavatāya dukkhamevettha nirantaraṃ, itarāni abbohārikānīti evaṃ dukkhassa nirantaratāya avīcīti vuccati. ‘‘Ayañca avīcimahānirayo jambudīpassa heṭṭhā patiṭṭhito’’ti vadanti.
ชมฺพุทีโป ปน อายามโต จ วิตฺถารโต จ ทสสหสฺสโยชนปริมาโณฯ ตตฺถ จ จตุสหสฺสโยชนปฺปมาโณ ปเทโส ตทุปโภคีสตฺตานํ ปุญฺญกฺขยา อุทเกน อโชฺฌตฺถโฎ ‘‘สมุโทฺท’’ติ สงฺขฺยํ คโตฯ ติสหสฺสโยชนปฺปมาเณ มนุสฺสา วสนฺติ, ติสหสฺสโยชนปฺปมาเณ หิมวา ปติฎฺฐิโตติ เวทิตโพฺพฯ
Jambudīpo pana āyāmato ca vitthārato ca dasasahassayojanaparimāṇo. Tattha ca catusahassayojanappamāṇo padeso tadupabhogīsattānaṃ puññakkhayā udakena ajjhotthaṭo ‘‘samuddo’’ti saṅkhyaṃ gato. Tisahassayojanappamāṇe manussā vasanti, tisahassayojanappamāṇe himavā patiṭṭhitoti veditabbo.
อปรโคยานํ สตฺตสหสฺสโยชนนฺติอาทีสุ อายามโต จ วิตฺถารโต จ ปมาณํ ทสฺสิตนฺติ เวทิตพฺพํฯ ตตฺถ ชมฺพุทีโป สกฎสณฺฐาโน, ฉนฺนวุติยา ปฎฺฎนโกฎิสตสหเสฺสหิ ฉปณฺณาสรตนาคาเรหิ นวนวุติยา โทณมุขสตสหเสฺสหิ ติกฺขตฺตุํ เตสฎฺฐิยา นครสหเสฺสหิ จ สมนฺนาคโตฯ ชมฺพุทีเป กิร อาทิโต เตสฎฺฐิมตฺตานิ นครสหสฺสานิ อุปฺปนฺนานิ, ตถา ทุติยํ, ตถา ตติยํฯ ตานิ ปน สมฺปิเณฺฑตฺวา สตสหสฺสํ, ตโต ปรํ อสีติ สหสฺสานิ จ นว สหสฺสานิ จ โหนฺติฯ โทณมุขนฺติ จ มหานครสฺส อายุปฺปตฺติฎฺฐานภูตํ ปธานฆรํ วุจฺจติฯ อปรโคยาโน อาทาสสณฺฐาโน, ปุพฺพวิเทโห อฑฺฒจนฺทสณฺฐาโน, อุตฺตรกุรุ ปีฐสณฺฐาโนฯ ‘‘ตํตํนิวาสีนํ ตํตํปริวารทีปวาสีนญฺจ มนุสฺสานํ มุขมฺปิ ตํตํสณฺฐาน’’นฺติ วทนฺติฯ
Aparagoyānaṃ sattasahassayojanantiādīsu āyāmato ca vitthārato ca pamāṇaṃ dassitanti veditabbaṃ. Tattha jambudīpo sakaṭasaṇṭhāno, channavutiyā paṭṭanakoṭisatasahassehi chapaṇṇāsaratanāgārehi navanavutiyā doṇamukhasatasahassehi tikkhattuṃ tesaṭṭhiyā nagarasahassehi ca samannāgato. Jambudīpe kira ādito tesaṭṭhimattāni nagarasahassāni uppannāni, tathā dutiyaṃ, tathā tatiyaṃ. Tāni pana sampiṇḍetvā satasahassaṃ, tato paraṃ asīti sahassāni ca nava sahassāni ca honti. Doṇamukhanti ca mahānagarassa āyuppattiṭṭhānabhūtaṃ padhānagharaṃ vuccati. Aparagoyāno ādāsasaṇṭhāno, pubbavideho aḍḍhacandasaṇṭhāno, uttarakuru pīṭhasaṇṭhāno. ‘‘Taṃtaṃnivāsīnaṃ taṃtaṃparivāradīpavāsīnañca manussānaṃ mukhampi taṃtaṃsaṇṭhāna’’nti vadanti.
อปิ เจตฺถ อุตฺตรกุรุกานํ ปุญฺญานุภาวสิโทฺธ อยมฺปิ วิเสโส เวทิตโพฺพฯ ตตฺถ กิร เตสุ เตสุ ปเทเสสุ ฆนนิจิตปตฺตสญฺฉนฺนสาขาปสาขา กูฎาคารุปมา มโนรมา รุกฺขา เตสํ มนุสฺสานํ นิเวสนกิจฺจํ สาเธนฺติฯ ยตฺถ สุขํ นิวสนฺติ, อเญฺญปิ ตตฺถ รุกฺขา สุชาตา สพฺพทาปิ ปุปฺผิตคฺคา ติฎฺฐนฺติฯ ชลาสยาปิ วิกสิตปทุมปุณฺฑรีกโสคนฺธิกาทิปุปฺผสญฺฉนฺนา สพฺพกาลํ ปรมสุคนฺธา สมนฺตโต ปวายนฺตา ติฎฺฐนฺติฯ
Api cettha uttarakurukānaṃ puññānubhāvasiddho ayampi viseso veditabbo. Tattha kira tesu tesu padesesu ghananicitapattasañchannasākhāpasākhā kūṭāgārupamā manoramā rukkhā tesaṃ manussānaṃ nivesanakiccaṃ sādhenti. Yattha sukhaṃ nivasanti, aññepi tattha rukkhā sujātā sabbadāpi pupphitaggā tiṭṭhanti. Jalāsayāpi vikasitapadumapuṇḍarīkasogandhikādipupphasañchannā sabbakālaṃ paramasugandhā samantato pavāyantā tiṭṭhanti.
สรีรมฺปิ เตสํ อติทีฆตาทิโทสรหิตํ อาโรหปริณาหสมฺปนฺนํ ชราย อนภิภูตตฺตา วลิตปลิตาทิโทสวิรหิตํ ยาวตายุกํ อปริกฺขีณชวพลปรกฺกมโสภเมว หุตฺวา ติฎฺฐติฯ อนุฎฺฐานผลูปชีวิตาย น จ เตสํ กสิวณิชฺชาทิวเสน อาหารปริเยฎฺฐิวเสน ทุกฺขํ อตฺถิ, ตโต เอว น ทาสทาสีกมฺมกราทิปริคฺคโห อตฺถิฯ น จ ตตฺถ สีตุณฺหฑํสมกสวาตาตปสรีสปวาฬาทิปริสฺสโย อตฺถิฯ ยถา นาเมตฺถ คิมฺหานํ ปจฺฉิเม มาเส ปจฺจูสเวลายํ สมสีตุโณฺห อุตุ โหติ, เอวเมว สพฺพกาลํ ตตฺถ สมสีตุโณฺหว อุตุ โหติ, น จ เนสํ โกจิ อุปฆาโต วิเหสา วา อุปฺปชฺชติฯ
Sarīrampi tesaṃ atidīghatādidosarahitaṃ ārohapariṇāhasampannaṃ jarāya anabhibhūtattā valitapalitādidosavirahitaṃ yāvatāyukaṃ aparikkhīṇajavabalaparakkamasobhameva hutvā tiṭṭhati. Anuṭṭhānaphalūpajīvitāya na ca tesaṃ kasivaṇijjādivasena āhārapariyeṭṭhivasena dukkhaṃ atthi, tato eva na dāsadāsīkammakarādipariggaho atthi. Na ca tattha sītuṇhaḍaṃsamakasavātātapasarīsapavāḷādiparissayo atthi. Yathā nāmettha gimhānaṃ pacchime māse paccūsavelāyaṃ samasītuṇho utu hoti, evameva sabbakālaṃ tattha samasītuṇhova utu hoti, na ca nesaṃ koci upaghāto vihesā vā uppajjati.
อกฎฺฐปากิมเมว สาลิํ อกณํ อถุสํ สุทฺธํ สุคนฺธํ ตณฺฑุลผลํ นิทฺธูมงฺคาเรน อคฺคินา ปจิตฺวา ปริภุญฺชนฺติฯ ตตฺถ กิร โชติกปาสาณา นาม โหนฺติ, อถ เต ตโย ปาสาเณ ฐเปตฺวา ตตฺถ อุกฺขลิํ อาโรเปนฺติ, ปาสาเณหิ เตโช สมุฎฺฐหิตฺวา ตํ ปาเจติ, อโญฺญ สูโป วา พฺยญฺชโน วา น โหติ, ภุญฺชนฺตานํ จิตฺตานุกูโลเยวสฺส รโส โหติฯ ตํ ปน ภุญฺชนฺตานํ เนสํ กุฎฺฐํ คโณฺฑ กิลาโส โสโส กาโส อปมาโร ชโรติ เอวมาทิโก น โกจิ โรโค อุปฺปชฺชติฯ เต ตํ ฐานํ สมฺปตฺตานํ เทนฺติเยว, มจฺฉริยจิตฺตํ นาม เนว โหติ, พุทฺธปเจฺจกพุทฺธาทโยปิ มหิทฺธิกา ตตฺถ คนฺตฺวา ปิณฺฑปาตํ คณฺหนฺติฯ น จ เต ขุชฺชา วา วามนา วา กาณา วา กุณี วา ขญฺชา วา ปกฺขหตา วา วิกลงฺคา วา วิกลินฺทฺริยา วา โหนฺติฯ
Akaṭṭhapākimameva sāliṃ akaṇaṃ athusaṃ suddhaṃ sugandhaṃ taṇḍulaphalaṃ niddhūmaṅgārena agginā pacitvā paribhuñjanti. Tattha kira jotikapāsāṇā nāma honti, atha te tayo pāsāṇe ṭhapetvā tattha ukkhaliṃ āropenti, pāsāṇehi tejo samuṭṭhahitvā taṃ pāceti, añño sūpo vā byañjano vā na hoti, bhuñjantānaṃ cittānukūloyevassa raso hoti. Taṃ pana bhuñjantānaṃ nesaṃ kuṭṭhaṃ gaṇḍo kilāso soso kāso apamāro jaroti evamādiko na koci rogo uppajjati. Te taṃ ṭhānaṃ sampattānaṃ dentiyeva, macchariyacittaṃ nāma neva hoti, buddhapaccekabuddhādayopi mahiddhikā tattha gantvā piṇḍapātaṃ gaṇhanti. Na ca te khujjā vā vāmanā vā kāṇā vā kuṇī vā khañjā vā pakkhahatā vā vikalaṅgā vā vikalindriyā vā honti.
อิตฺถิโยปิ ตตฺถ นาติทีฆา นาติรสฺสา นาติกิสา นาติถูลา นาติกาฬิกา นาโจฺจทาตา โสภคฺคปฺปตฺตรูปา โหนฺติฯ ตถา หิ ทีฆงฺคุลี ตมฺพนขา อลมฺพถนา ตนุมชฺฌา ปุณฺณจนฺทมุขี วิสาลกฺขี มุทุคตฺตา สหิโภรู โอทาตทนฺตา คมฺภีรนาภี ตนุชงฺฆา ทีฆนีลเวลฺลิตเกสี ปุถุลสุโสฺสณี นาติโลมา นาโลมา สุภคา อุตุสุขสมฺผสฺสา สณฺหา สขิลสมฺภาสา นานาภรณวิภูสิตา วิจรนฺติ, สพฺพทาปิ โสฬสวสฺสุเทฺทสิกา วิย โหนฺติฯ
Itthiyopi tattha nātidīghā nātirassā nātikisā nātithūlā nātikāḷikā nāccodātā sobhaggappattarūpā honti. Tathā hi dīghaṅgulī tambanakhā alambathanā tanumajjhā puṇṇacandamukhī visālakkhī mudugattā sahibhorū odātadantā gambhīranābhī tanujaṅghā dīghanīlavellitakesī puthulasussoṇī nātilomā nālomā subhagā utusukhasamphassā saṇhā sakhilasambhāsā nānābharaṇavibhūsitā vicaranti, sabbadāpi soḷasavassuddesikā viya honti.
ปุริสาปิ ปญฺจวีสติวสฺสุเทฺทสิกา วิย, น ปุตฺตา มาตาทีสุ รชฺชนฺติ, อยํ ตตฺถ ธมฺมตาฯ สตฺตาหิกเมว จ ตตฺถ อิตฺถิปุริสา กามรติยา วิหรนฺติ , ตโต วีตราคา วิย ยถาสุขํ คจฺฉนฺติ, น ตตฺถ อิธ วิย คโพฺภกฺกนฺติมูลกํ คพฺภปริหรณมูลกํ วา ทุกฺขํ วิชายนมูลกํ วา ทุกฺขํ โหติ, รตฺตกญฺจุกโต กญฺจนปฎิมา วิย ทารกา มาตุกุจฺฉิโต อมกฺขิตา เอว เสมฺหาทินา สุเขเนว นิกฺขมนฺติ, อยํ ตตฺถ ธมฺมตาฯ มาตา ปน ปุตฺตํ วา ธีตรํ วา วิชายิตฺวา เตสํ วิจรณกปฺปเทเส ฐเปตฺวา อนเปกฺขา ยถารุจิ คจฺฉติฯ เตสํ ตตฺถ สยิตานํ เย ปสฺสนฺติ ปุริสา วา อิตฺถิโย วา, เต อตฺตโน องฺคุลิโย อุปนาเมนฺติ, เตสํ กมฺมพเลน ตโต ขีรํ ปวตฺตติ, เตน เต ทารกา ยาเปนฺติฯ เอวํ ปน วฑฺฒนฺตา กติปยทิวเสเยว ลทฺธพลา หุตฺวา ทาริกา อิตฺถิโย อุปคจฺฉนฺติ, ทารกา ปุริเสฯ
Purisāpi pañcavīsativassuddesikā viya, na puttā mātādīsu rajjanti, ayaṃ tattha dhammatā. Sattāhikameva ca tattha itthipurisā kāmaratiyā viharanti , tato vītarāgā viya yathāsukhaṃ gacchanti, na tattha idha viya gabbhokkantimūlakaṃ gabbhapariharaṇamūlakaṃ vā dukkhaṃ vijāyanamūlakaṃ vā dukkhaṃ hoti, rattakañcukato kañcanapaṭimā viya dārakā mātukucchito amakkhitā eva semhādinā sukheneva nikkhamanti, ayaṃ tattha dhammatā. Mātā pana puttaṃ vā dhītaraṃ vā vijāyitvā tesaṃ vicaraṇakappadese ṭhapetvā anapekkhā yathāruci gacchati. Tesaṃ tattha sayitānaṃ ye passanti purisā vā itthiyo vā, te attano aṅguliyo upanāmenti, tesaṃ kammabalena tato khīraṃ pavattati, tena te dārakā yāpenti. Evaṃ pana vaḍḍhantā katipayadivaseyeva laddhabalā hutvā dārikā itthiyo upagacchanti, dārakā purise.
กปฺปรุกฺขโต เอว จ เตสํ ตตฺถ วตฺถาภรณานิ นิปฺผชฺชนฺติฯ นานาวิราควณฺณวิจิตฺตานิ หิ วตฺถานิ สุขุมานิ มุทุสุขสมฺผสฺสานิ ตตฺถ ตตฺถ กปฺปรุเกฺขสุ โอลมฺพนฺตานิ ติฎฺฐนฺติฯ นานาวิธรํสิชาลสมุชฺชลวิวิธวณฺณรตนวินทฺธานิ อเนกวิธมาลากมฺมลตากมฺมภิตฺติกมฺมวิจิตฺตานิ สีสูปคคีวูปคกฎูปคหตฺถูปคปาทูปคานิ โสวณฺณมยานิ อาภรณานิ จ กปฺปรุกฺขโต โอลมฺพนฺติฯ ตถา วีณามุทิงฺคปณวสมฺมตาฬสงฺขวํสเวตาฬปริวาราทีนิ วลฺลกีปภอุติกานิ ตูริยภณฺฑานิปิ ตโต โอลมฺพนฺติฯ ตตฺถ จ พหู ผลรุกฺขา กุมฺภมตฺตานิ ผลานิ ผลนฺติ, มธุรรสานิ ยานิ ปริภุญฺชิตฺวา เต สตฺตาหมฺปิ ขุปฺปิปาสาหิ น พาธียนฺติฯ
Kapparukkhato eva ca tesaṃ tattha vatthābharaṇāni nipphajjanti. Nānāvirāgavaṇṇavicittāni hi vatthāni sukhumāni mudusukhasamphassāni tattha tattha kapparukkhesu olambantāni tiṭṭhanti. Nānāvidharaṃsijālasamujjalavividhavaṇṇaratanavinaddhāni anekavidhamālākammalatākammabhittikammavicittāni sīsūpagagīvūpagakaṭūpagahatthūpagapādūpagāni sovaṇṇamayāni ābharaṇāni ca kapparukkhato olambanti. Tathā vīṇāmudiṅgapaṇavasammatāḷasaṅkhavaṃsavetāḷaparivārādīni vallakīpabhautikāni tūriyabhaṇḍānipi tato olambanti. Tattha ca bahū phalarukkhā kumbhamattāni phalāni phalanti, madhurarasāni yāni paribhuñjitvā te sattāhampi khuppipāsāhi na bādhīyanti.
นโชฺชปิ ตตฺถ สุวิสุทฺธชลา สุปติตฺถา รมณียา อกทฺทมา วาลุกตลา นาติสีตา นาติอุณฺหา สุรภิคนฺธีหิ ชลชปุเปฺผหิ สญฺฉนฺนา สพฺพกาลํ สุรภี วายนฺติโย สนฺทนฺติ, น ตตฺถ กณฺฎกินา กกฺขฬคจฺฉลตา โหนฺติ, อกณฺฎกา ปุปฺผผลสจฺฉนฺนา เอว โหนฺติ, จนฺทนนาครุกฺขา สยเมว รสํ ปคฺฆรนฺติฯ นหายิตุกามา จ นทีติเตฺถ เอกชฺฌํ วตฺถาภรณานิ ฐเปตฺวา นทิํ โอตริตฺวา นหายิตฺวา อุตฺติณฺณา อุตฺติณฺณา อุปริฎฺฐิมํ อุปริฎฺฐิมํ วตฺถาภรณํ คณฺหนฺติ, น เตสํ เอวํ โหติ ‘‘อิทํ มม, อิทํ ปรสฺสา’’ติฯ ตโต เอว น เตสํ โกจิ วิคฺคโห วา วิวาโท วา, สตฺตาหิกา เอว จ เนสํ กามรติกีฬา โหติ, ตโต วีตราคา วิย วิจรนฺติฯ ยตฺถ จ รุเกฺข สยิตุกามา โหนฺติ, ตเตฺถว สยนํ อุปลพฺภติฯ
Najjopi tattha suvisuddhajalā supatitthā ramaṇīyā akaddamā vālukatalā nātisītā nātiuṇhā surabhigandhīhi jalajapupphehi sañchannā sabbakālaṃ surabhī vāyantiyo sandanti, na tattha kaṇṭakinā kakkhaḷagacchalatā honti, akaṇṭakā pupphaphalasacchannā eva honti, candananāgarukkhā sayameva rasaṃ paggharanti. Nahāyitukāmā ca nadītitthe ekajjhaṃ vatthābharaṇāni ṭhapetvā nadiṃ otaritvā nahāyitvā uttiṇṇā uttiṇṇā upariṭṭhimaṃ upariṭṭhimaṃ vatthābharaṇaṃ gaṇhanti, na tesaṃ evaṃ hoti ‘‘idaṃ mama, idaṃ parassā’’ti. Tato eva na tesaṃ koci viggaho vā vivādo vā, sattāhikā eva ca nesaṃ kāmaratikīḷā hoti, tato vītarāgā viya vicaranti. Yattha ca rukkhe sayitukāmā honti, tattheva sayanaṃ upalabbhati.
มเต จ สเตฺต น โรทนฺติ น โสจนฺติ, ตญฺจ มณฺฑยิตฺวา นิกฺขิปนฺติฯ ตาวเทว จ ตถารูปา สกุณา อุปคนฺตฺวา มตํ ทีปนฺตรํ เนนฺติ, ตสฺมา สุสานํ วา อสุจิฎฺฐานํ วา ตตฺถ นตฺถิ, น จ ตโต มตา นิรยํ วา ติรจฺฉานโยนิํ วา เปตฺติวิสยํ วา อุปปชฺชนฺติฯ ‘‘ธมฺมตาสิทฺธสฺส ปญฺจสีลสฺส อานุภาเวน เต เทวโลเก นิพฺพตฺตนฺตี’’ติ วทนฺติฯ วสฺสสหสฺสเมว จ เนสํ สพฺพกาลํ อายุปฺปมาณํ, สพฺพเมตํ เนสํ ปญฺจสีลํ วิย ธมฺมตาสิทฺธเมวาติ เวทิตพฺพํฯ
Mate ca satte na rodanti na socanti, tañca maṇḍayitvā nikkhipanti. Tāvadeva ca tathārūpā sakuṇā upagantvā mataṃ dīpantaraṃ nenti, tasmā susānaṃ vā asuciṭṭhānaṃ vā tattha natthi, na ca tato matā nirayaṃ vā tiracchānayoniṃ vā pettivisayaṃ vā upapajjanti. ‘‘Dhammatāsiddhassa pañcasīlassa ānubhāvena te devaloke nibbattantī’’ti vadanti. Vassasahassameva ca nesaṃ sabbakālaṃ āyuppamāṇaṃ, sabbametaṃ nesaṃ pañcasīlaṃ viya dhammatāsiddhamevāti veditabbaṃ.
ตทนฺตเรสูติ เตสํ จกฺกวาฬานํ อนฺตเรสุฯ โลกนฺตริกนิรยาติ โลกานํ โลกธาตูนํ อนฺตโร วิวโร โลกนฺตโร, ตตฺถ ภวา โลกนฺตริกา, นิรยาฯ ติณฺณญฺหิ สกฎจกฺกานํ ปตฺตานํ วา อญฺญมญฺญํ อาสนฺนภาเวน ฐปิตานํ อนฺตรสทิเสสุ ติณฺณํ ติณฺณํ จกฺกวาฬานํ อนฺตเรสุ เอเกโก โลกนฺตริกนิรโยฯ โส ปน ปริมาณโต อฎฺฐโยชนสหสฺสปฺปมาโณ โหติ นิจฺจวิวโฎ เหฎฺฐา อุปริ จ เกนจิ น ปิหิโตฯ ยถา หิ เหฎฺฐา อุทกสฺส ปิธายิกา ปถวี นตฺถีติ อสํวุตา โลกนฺตริกนิรยา, เอวํ อุปริปิ จกฺกวาเฬสุ วิย เทววิมานานํ อภาวโต อสํวุตา อปิหิตา จกฺขุวิญฺญาณุปฺปตฺตินิวารณสมเตฺถน จ อนฺธกาเรน สมนฺนาคตาฯ ตตฺถ กิร จกฺขุวิญฺญาณํ น ชายติ อาโลกสฺส อภาวโตฯ ตีสุ ทีเปสุ เอกปฺปหาเรน อาโลกกรณสมตฺถาปิ จนฺทิมสูริยา ตตฺถ อาโลกํ น ทเสฺสนฺติฯ เต หิ ยุคนฺธรสมปฺปมาเณ อากาสปฺปเทเส วิจรณโต จกฺกวาฬปพฺพตสฺส เวมเชฺฌน วิจรนฺติ, จกฺกวาฬปพฺพตญฺจ อติกฺกมฺม โลกนฺตริกนิรยา, ตสฺมา เต ตตฺถ อาโลกํ น ทเสฺสนฺตีติ จกฺขุวิญฺญาณํ นุปฺปชฺชติฯ ยทา ปน สพฺพญฺญุโพธิสตฺตสฺส ปฎิสนฺธิคฺคหณาทีสุ โอภาโส อุปฺปชฺชติ, ตทา จกฺขุวิญฺญาณํ อุปฺปชฺชติฯ ‘‘อเญฺญปิ กิร โภ สนฺติ สตฺตา อิธูปปนฺนา’’ติ ตํ ทิวสํ อญฺญมญฺญํ ปสฺสนฺติฯ อยํ ปน โอภาโส เอกํ ยาคุปานมตฺตมฺปิ น ติฎฺฐติ, อจฺฉราสงฺฆาฎมตฺตเมว วิโชฺชภาโส วิย นิจฺฉริตฺวา ‘‘กิํ อิท’’นฺติ ภณนฺตานํเยว อนฺตรธายติฯ
Tadantaresūti tesaṃ cakkavāḷānaṃ antaresu. Lokantarikanirayāti lokānaṃ lokadhātūnaṃ antaro vivaro lokantaro, tattha bhavā lokantarikā, nirayā. Tiṇṇañhi sakaṭacakkānaṃ pattānaṃ vā aññamaññaṃ āsannabhāvena ṭhapitānaṃ antarasadisesu tiṇṇaṃ tiṇṇaṃ cakkavāḷānaṃ antaresu ekeko lokantarikanirayo. So pana parimāṇato aṭṭhayojanasahassappamāṇo hoti niccavivaṭo heṭṭhā upari ca kenaci na pihito. Yathā hi heṭṭhā udakassa pidhāyikā pathavī natthīti asaṃvutā lokantarikanirayā, evaṃ uparipi cakkavāḷesu viya devavimānānaṃ abhāvato asaṃvutā apihitā cakkhuviññāṇuppattinivāraṇasamatthena ca andhakārena samannāgatā. Tattha kira cakkhuviññāṇaṃ na jāyati ālokassa abhāvato. Tīsu dīpesu ekappahārena ālokakaraṇasamatthāpi candimasūriyā tattha ālokaṃ na dassenti. Te hi yugandharasamappamāṇe ākāsappadese vicaraṇato cakkavāḷapabbatassa vemajjhena vicaranti, cakkavāḷapabbatañca atikkamma lokantarikanirayā, tasmā te tattha ālokaṃ na dassentīti cakkhuviññāṇaṃ nuppajjati. Yadā pana sabbaññubodhisattassa paṭisandhiggahaṇādīsu obhāso uppajjati, tadā cakkhuviññāṇaṃ uppajjati. ‘‘Aññepi kira bho santi sattā idhūpapannā’’ti taṃ divasaṃ aññamaññaṃ passanti. Ayaṃ pana obhāso ekaṃ yāgupānamattampi na tiṭṭhati, accharāsaṅghāṭamattameva vijjobhāso viya niccharitvā ‘‘kiṃ ida’’nti bhaṇantānaṃyeva antaradhāyati.
กิํ ปน กมฺมํ กตฺวา ตตฺถ สตฺตา นิพฺพตฺตนฺตีติ? ภาริยํ ทารุณํ ครุกํ มาตาปิตูนํ ธมฺมิกสมณพฺราหฺมณานญฺจ อุปริ อปราธํ อญฺญญฺจ ทิวเส ทิวเส ปาณวธาทิํ สาหสิกกมฺมํ กตฺวา อุปฺปชฺชนฺติ ตมฺพปณฺณิทีเป อภยโจรนาคโจราทโย วิยฯ เตสํ อตฺตภาโว ติคาวุติโก โหติ, วคฺคุลีนํ วิย ทีฆนขา โหนฺติฯ เต รุเกฺข วคฺคุลิโย วิย นเขหิ จกฺกวาฬปาเท ลคฺคนฺติ, ยทา สํสปฺปนฺตา อญฺญมญฺญสฺส หตฺถปาสคตา โหนฺติ, อถ ‘‘ภโกฺข โน ลโทฺธ’’ติ มญฺญมานา ขาทนตฺถํ คณฺหิตุํ อุปกฺกมนฺตา วิปริวตฺติตฺวา โลกสนฺธารเก อุทเก ปตนฺติ, วาเต ปหรเนฺตปิ มธุกผลานิ วิย ฉิชฺชิตฺวา อุทเก ปตนฺติ, ปติตมตฺตาว อจฺจนฺตขาเร อุทเก ปิฎฺฐปิณฺฑํ วิย วิลียนฺติ อติสีตลภาวโต อาตปสนฺตาปาภาเวนฯ อติสีตลภาวเมว หิ สนฺธาย อจฺจนฺตขารตา วุตฺตาฯ น หิ ตํ กปฺปสณฺฐหนอุทกํ สมฺปตฺติกรมหาเมฆวุฎฺฐํ ปถวีสนฺธารกํ กปฺปวินาสกอุทกํ วิย ขารํ ภวิตุํ อรหติฯ ตถา หิ สติ ปถวีปิ วิลีเยยฺย, เตสํ วา ปาปกมฺมพเลน เปตานํ ปกติอุทกสฺส ปุพฺพเขฬภาวาปตฺติ วิย ตสฺส อุทกสฺส ตทา ขารภาวปฺปตฺติ โหตีติ วุตฺตํ ‘‘อจฺจนฺตขาเร อุทเก ปิฎฺฐปิณฺฑํ วิย วิลียนฺตี’’ติฯ
Kiṃ pana kammaṃ katvā tattha sattā nibbattantīti? Bhāriyaṃ dāruṇaṃ garukaṃ mātāpitūnaṃ dhammikasamaṇabrāhmaṇānañca upari aparādhaṃ aññañca divase divase pāṇavadhādiṃ sāhasikakammaṃ katvā uppajjanti tambapaṇṇidīpe abhayacoranāgacorādayo viya. Tesaṃ attabhāvo tigāvutiko hoti, vaggulīnaṃ viya dīghanakhā honti. Te rukkhe vagguliyo viya nakhehi cakkavāḷapāde lagganti, yadā saṃsappantā aññamaññassa hatthapāsagatā honti, atha ‘‘bhakkho no laddho’’ti maññamānā khādanatthaṃ gaṇhituṃ upakkamantā viparivattitvā lokasandhārake udake patanti, vāte paharantepi madhukaphalāni viya chijjitvā udake patanti, patitamattāva accantakhāre udake piṭṭhapiṇḍaṃ viya vilīyanti atisītalabhāvato ātapasantāpābhāvena. Atisītalabhāvameva hi sandhāya accantakhāratā vuttā. Na hi taṃ kappasaṇṭhahanaudakaṃ sampattikaramahāmeghavuṭṭhaṃ pathavīsandhārakaṃ kappavināsakaudakaṃ viya khāraṃ bhavituṃ arahati. Tathā hi sati pathavīpi vilīyeyya, tesaṃ vā pāpakammabalena petānaṃ pakatiudakassa pubbakheḷabhāvāpatti viya tassa udakassa tadā khārabhāvappatti hotīti vuttaṃ ‘‘accantakhāre udake piṭṭhapiṇḍaṃ viya vilīyantī’’ti.
อนนฺตานีติ อปริมาณานิ, ‘‘เอตฺตกานี’’ติ อเญฺญหิ มินิตุํ อสกฺกุเณยฺยานิฯ ตานิ จ ภควา อนเนฺตน พุทฺธญาเณน อเวทิ ‘‘อนโนฺต อากาโส, อนโนฺต สตฺตนิกาโย, อนนฺตานิ จกฺกวาฬานี’’ติฯ ติวิธมฺปิ หิ อนนฺตํ พุทฺธญาเณน ปริจฺฉินฺทติ สยมฺปิ อนนฺตตฺตาฯ ยาวตกญฺหิ เญยฺยํ, ตาวตกํ ญาณํฯ ยาวตกํ ญาณํ, ตาวตกเมว เญยฺยํฯ เญยฺยปริยนฺติกํ ญาณํ, ญาณปริยนฺติกํ เญยฺยนฺติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อนเนฺตน พุทฺธญาเณน อเวที’’ติอาทิฯ อนนฺตตา จสฺส อนนฺตเญยฺยปฺปฎิวิชฺฌเนเนว เวทิตพฺพา ตตฺถ อปฺปฎิหตจารตฺตาฯ อิทานิ ยถาวุตฺตมตฺถํ นิคเมโนฺต อาห ‘‘เอวมสฺส โอกาสโลโกปิ สพฺพถา วิทิโต’’ติฯ
Anantānīti aparimāṇāni, ‘‘ettakānī’’ti aññehi minituṃ asakkuṇeyyāni. Tāni ca bhagavā anantena buddhañāṇena avedi ‘‘ananto ākāso, ananto sattanikāyo, anantāni cakkavāḷānī’’ti. Tividhampi hi anantaṃ buddhañāṇena paricchindati sayampi anantattā. Yāvatakañhi ñeyyaṃ, tāvatakaṃ ñāṇaṃ. Yāvatakaṃ ñāṇaṃ, tāvatakameva ñeyyaṃ. Ñeyyapariyantikaṃ ñāṇaṃ, ñāṇapariyantikaṃ ñeyyanti. Tena vuttaṃ ‘‘anantena buddhañāṇena avedī’’tiādi. Anantatā cassa anantañeyyappaṭivijjhaneneva veditabbā tattha appaṭihatacārattā. Idāni yathāvuttamatthaṃ nigamento āha ‘‘evamassa okāsalokopi sabbathā vidito’’ti.
อปิ เจตฺถ วิวฎฺฎาทีนมฺปิ วิทิตตา วตฺตพฺพา, ตสฺมา วิวฎฺฎาทโยปิ อาทิโต ปภุติ เอวํ เวทิตพฺพา – สํวโฎฺฎ สํวฎฺฎฎฺฐายี วิวโฎฺฎ วิวฎฺฎฎฺฐายีติ กปฺปสฺส จตฺตาริ อสเงฺขฺยยฺยานิฯ ตตฺถ สํวฎฺฎนํ วินสฺสนํ สํวโฎฺฎ, วินสฺสมาโน อสเงฺขฺยยฺยกโปฺปฯ โส ปน อตฺถโต กาโลเยว, ตทา ปวตฺตมานสงฺขารวเสนสฺส วินาโส เวทิตโพฺพฯ สํวฎฺฎโต อุทฺธํ ตถาฐายีกาโล สํวฎฺฎฎฺฐายีฯ วิวฎฺฎนํ นิพฺพตฺตนํ วฑฺฒนํ วา วิวโฎฺฎ, วฑฺฒมาโน อสเงฺขฺยยฺยกโปฺปฯ โสปิ อตฺถโต กาโลเยว, ตทา ปวตฺตมานสงฺขารวเสนสฺส วฑฺฒิ เวทิตพฺพาฯ วิวฎฺฎโต อุทฺธํ ตถาฐายีกาโล วิวฎฺฎฎฺฐายีฯ ตตฺถ ตโย สํวฎฺฎา เตโชสํวโฎฺฎ อาโปสํวโฎฺฎ วาโยสํวโฎฺฎติฯ ติโสฺส สํวฎฺฎสีมา อาภสฺสรา สุภกิณฺหา เวหปฺผลาติฯ ยทา กโปฺป เตเชน สํวฎฺฎติ, ตทา อาภสฺสรโต เหฎฺฐา อคฺคินา ฑยฺหติฯ ยทา อาเปน สํวฎฺฎติ, ตทา สุภกิณฺหโต เหฎฺฐา อุทเกน วิลียติฯ ยทา วายุนา สํวฎฺฎติ, ตทา เวหปฺผลโต เหฎฺฐา วาเตน วิทฺธํสติฯ
Api cettha vivaṭṭādīnampi viditatā vattabbā, tasmā vivaṭṭādayopi ādito pabhuti evaṃ veditabbā – saṃvaṭṭo saṃvaṭṭaṭṭhāyī vivaṭṭo vivaṭṭaṭṭhāyīti kappassa cattāri asaṅkhyeyyāni. Tattha saṃvaṭṭanaṃ vinassanaṃ saṃvaṭṭo, vinassamāno asaṅkhyeyyakappo. So pana atthato kāloyeva, tadā pavattamānasaṅkhāravasenassa vināso veditabbo. Saṃvaṭṭato uddhaṃ tathāṭhāyīkālo saṃvaṭṭaṭṭhāyī. Vivaṭṭanaṃ nibbattanaṃ vaḍḍhanaṃ vā vivaṭṭo, vaḍḍhamāno asaṅkhyeyyakappo. Sopi atthato kāloyeva, tadā pavattamānasaṅkhāravasenassa vaḍḍhi veditabbā. Vivaṭṭato uddhaṃ tathāṭhāyīkālo vivaṭṭaṭṭhāyī. Tattha tayo saṃvaṭṭā tejosaṃvaṭṭo āposaṃvaṭṭo vāyosaṃvaṭṭoti. Tisso saṃvaṭṭasīmā ābhassarā subhakiṇhā vehapphalāti. Yadā kappo tejena saṃvaṭṭati, tadā ābhassarato heṭṭhā agginā ḍayhati. Yadā āpena saṃvaṭṭati, tadā subhakiṇhato heṭṭhā udakena vilīyati. Yadā vāyunā saṃvaṭṭati, tadā vehapphalato heṭṭhā vātena viddhaṃsati.
วิตฺถารโต ปน ตีสุปิ สํวฎฺฎกาเลสุ เอกํ พุทฺธเกฺขตฺตํ วินสฺสติฯ พุทฺธเกฺขตฺตํ นาม ติวิธํ โหติ ชาติเกฺขตฺตํ อาณาเกฺขตฺตํ วิสยเกฺขตฺตญฺจฯ ตตฺถ ชาติเกฺขตฺตํ ทสสหสฺสจกฺกวาฬปริยนฺตํ โหติ, ยํ ตถาคตสฺส ปฎิสนฺธิคฺคหณาทีสุ กมฺปติฯ ยตฺตเก หิ ฐาเน ตถาคตสฺส ปฎิสนฺธิญาณาทิญาณานุภาโว ปุญฺญผลสมุเตฺตชิโต สรเสเนว ปฎิวิชมฺภติ, ตํ สพฺพมฺปิ พุทฺธงฺกุรสฺส นิพฺพตฺตนเกฺขตฺตํ นามาติ พุทฺธเกฺขตฺตนฺติ วุจฺจติฯ อาณาเกฺขตฺตํ ปน โกฎิสตสหสฺสจกฺกวาฬปริยนฺตํ, ยตฺถ รตนสุตฺตํ (ขุ. ปา. ๖.๑ อาทโย; สุ. นิ. ๒๒๔ อาทโย) ขนฺธปริตฺตํ (อ. นิ. ๔.๖๗; ชา. ๑.๒.๑๐๕-๑๐๖; จูฬว. ๒๕๑ อาทโย) ธชคฺคปริตฺตํ (สํ. นิ. ๑.๒๔๙) อาฎานาฎิยปริตฺตํ (ที. นิ. ๓.๒๗๕ อาทโย) โมรปริตฺตนฺติ (ชา. ๑.๒.๑๗-๑๘) อิเมสํ ปริตฺตานํ อานุภาโว วตฺตติฯ อิทฺธิมา หิ เจโตวสิปฺปโตฺต อาณาเกฺขตฺตปริยาปเนฺน ยตฺถ กตฺถจิ จกฺกวาเฬ ฐตฺวา อตฺตโน อตฺถาย ปริตฺตํ กตฺวา ตเตฺถว อญฺญํ จกฺกวาฬํ คโตปิ กตปริโตฺต เอว โหติฯ เอกจกฺกวาเฬ ฐตฺวา สพฺพสตฺตานํ อตฺถาย ปริเตฺต กเต อาณาเกฺขเตฺต สพฺพสตฺตานมฺปิ อภิสมฺภุณาเตว ปริตฺตานุภาโว ตตฺถ เทวตาหิ ปริตฺตานํ สมฺปฎิจฺฉิตพฺพโต, ตสฺมา ตํ อาณาเกฺขตฺตนฺติ วุจฺจติฯ วิสยเกฺขตฺตํ ปน อนนฺตํ อปริมาณํฯ อนนฺตาปริมาเณสุ หิ จกฺกวาเฬสุ ยํ ยํ ตถาคโต อากงฺขติ, ตํ ตํ ชานาติ อากงฺขปฺปฎิพทฺธวุตฺติตาย พุทฺธญาณสฺสฯ เอวเมเตสุ ตีสุ พุทฺธเกฺขเตฺตสุ เอกํ อาณาเกฺขตฺตํ วินสฺสติ, ตสฺมิํ ปน วินสฺสเนฺต ชาติเกฺขตฺตํ วินฎฺฐเมว โหติฯ วินสฺสนฺตมฺปิ เอกโตว วินสฺสติ, สณฺฐหนฺตมฺปิ เอกโตว สณฺฐหติ, ตเสฺสวํ วินาโส สณฺฐหนญฺจ เวทิตพฺพํฯ
Vitthārato pana tīsupi saṃvaṭṭakālesu ekaṃ buddhakkhettaṃ vinassati. Buddhakkhettaṃ nāma tividhaṃ hoti jātikkhettaṃ āṇākkhettaṃ visayakkhettañca. Tattha jātikkhettaṃ dasasahassacakkavāḷapariyantaṃ hoti, yaṃ tathāgatassa paṭisandhiggahaṇādīsu kampati. Yattake hi ṭhāne tathāgatassa paṭisandhiñāṇādiñāṇānubhāvo puññaphalasamuttejito saraseneva paṭivijambhati, taṃ sabbampi buddhaṅkurassa nibbattanakkhettaṃ nāmāti buddhakkhettanti vuccati. Āṇākkhettaṃ pana koṭisatasahassacakkavāḷapariyantaṃ, yattha ratanasuttaṃ (khu. pā. 6.1 ādayo; su. ni. 224 ādayo) khandhaparittaṃ (a. ni. 4.67; jā. 1.2.105-106; cūḷava. 251 ādayo) dhajaggaparittaṃ (saṃ. ni. 1.249) āṭānāṭiyaparittaṃ (dī. ni. 3.275 ādayo) moraparittanti (jā. 1.2.17-18) imesaṃ parittānaṃ ānubhāvo vattati. Iddhimā hi cetovasippatto āṇākkhettapariyāpanne yattha katthaci cakkavāḷe ṭhatvā attano atthāya parittaṃ katvā tattheva aññaṃ cakkavāḷaṃ gatopi kataparitto eva hoti. Ekacakkavāḷe ṭhatvā sabbasattānaṃ atthāya paritte kate āṇākkhette sabbasattānampi abhisambhuṇāteva parittānubhāvo tattha devatāhi parittānaṃ sampaṭicchitabbato, tasmā taṃ āṇākkhettanti vuccati. Visayakkhettaṃ pana anantaṃ aparimāṇaṃ. Anantāparimāṇesu hi cakkavāḷesu yaṃ yaṃ tathāgato ākaṅkhati, taṃ taṃ jānāti ākaṅkhappaṭibaddhavuttitāya buddhañāṇassa. Evametesu tīsu buddhakkhettesu ekaṃ āṇākkhettaṃ vinassati, tasmiṃ pana vinassante jātikkhettaṃ vinaṭṭhameva hoti. Vinassantampi ekatova vinassati, saṇṭhahantampi ekatova saṇṭhahati, tassevaṃ vināso saṇṭhahanañca veditabbaṃ.
ยสฺมิํ สมเย กโปฺป อคฺคินา นสฺสติ, อาทิโตว กปฺปวินาสกมหาเมโฆ อุฎฺฐหิตฺวา โกฎิสตสหสฺสจกฺกวาเฬ เอกํ มหาวสฺสํ วสฺสติ , มนุสฺสา ตุฎฺฐา สพฺพพีชานิ นีหริตฺวา วปนฺติ, สเสฺสสุ ปน โคขายิตมเตฺตสุ ชาเตสุ คทฺรภรวํ รวโนฺต เอกพินฺทุมฺปิ น วสฺสติ, ตทา ปจฺฉินฺนปจฺฉินฺนเมว โหติ วสฺสํฯ อิทํ สนฺธาย หิ ภควตา ‘‘โหติ โส, ภิกฺขเว, สมโย ยํ พหูนิ วสฺสานิ พหูนิ วสฺสสตานิ พหูนิ วสฺสสหสฺสานิ พหูนิ วสฺสสตสหสฺสานิ เทโว น วสฺสตี’’ติ (อ. นิ. ๗.๖๖) วุตฺตํฯ วสฺสูปชีวิโนปิ สตฺตา กาลํ กตฺวา ปริตฺตาภาทิพฺรหฺมโลเก นิพฺพตฺตนฺติ, ปุปฺผผลูปชีวินิโย จ เทวตาฯ เอวํ ทีเฆ อทฺธาเน วีติวเตฺต ตตฺถ ตตฺถ อุทกํ ปริกฺขยํ คจฺฉติ, อถานุปุเพฺพน มจฺฉกจฺฉปาปิ กาลํ กตฺวา พฺรหฺมโลเก นิพฺพตฺตนฺติ เนรยิกสตฺตาปิฯ ตตฺถ เนรยิกา สตฺตมสูริยปาตุภาเว วินสฺสนฺตีติ เอเกฯ
Yasmiṃ samaye kappo agginā nassati, āditova kappavināsakamahāmegho uṭṭhahitvā koṭisatasahassacakkavāḷe ekaṃ mahāvassaṃ vassati , manussā tuṭṭhā sabbabījāni nīharitvā vapanti, sassesu pana gokhāyitamattesu jātesu gadrabharavaṃ ravanto ekabindumpi na vassati, tadā pacchinnapacchinnameva hoti vassaṃ. Idaṃ sandhāya hi bhagavatā ‘‘hoti so, bhikkhave, samayo yaṃ bahūni vassāni bahūni vassasatāni bahūni vassasahassāni bahūni vassasatasahassāni devo na vassatī’’ti (a. ni. 7.66) vuttaṃ. Vassūpajīvinopi sattā kālaṃ katvā parittābhādibrahmaloke nibbattanti, pupphaphalūpajīviniyo ca devatā. Evaṃ dīghe addhāne vītivatte tattha tattha udakaṃ parikkhayaṃ gacchati, athānupubbena macchakacchapāpi kālaṃ katvā brahmaloke nibbattanti nerayikasattāpi. Tattha nerayikā sattamasūriyapātubhāve vinassantīti eke.
ฌานํ ปน วินา นตฺถิ พฺรหฺมโลเก นิพฺพตฺติ, เอเตสญฺจ เกจิ ทุพฺภิกฺขปีฬิตา, เกจิ อภพฺพา ฌานาธิคมาย, เต กถํ ตตฺถ นิพฺพตฺตนฺตีติ? เทวโลเก ปฎิลทฺธชฺฌานวเสนฯ ตทา หิ ‘‘วสฺสสตสหสฺสสฺส อจฺจเยน กปฺปวุฎฺฐานํ ภวิสฺสตี’’ติ โลกพฺยูหา นาม กามาวจรเทวา มุตฺตสิรา วิกิณฺณเกสา รุทมฺมุขา อสฺสูนิ หเตฺถหิ ปุญฺฉมานา รตฺตวตฺถนิวตฺถา อติวิย วิรูปเวสธาริโน หุตฺวา มนุสฺสปเถ วิจรนฺตา เอวํ อาโรเจนฺติ ‘‘มาริสา มาริสา อิโต วสฺสสตสหสฺสสฺส อจฺจเยน กปฺปวุฎฺฐานํ ภวิสฺสติ, อยํ โลโก วินสฺสิสฺสติ, มหาสมุโทฺทปิ อุสฺสุสฺสิสฺสติ, อยญฺจ มหาปถวี สิเนรุ จ ปพฺพตราชา ฑยฺหิสฺสนฺติ วินสฺสิสฺสนฺติ, ยาว พฺรหฺมโลกา โลกวินาโส ภวิสฺสติ, เมตฺตํ มาริสา ภาเวถ, กรุณํ, มุทิตํ, อุเปกฺขํ มาริสา ภาเวถ, มาตรํ อุปฎฺฐหถ, ปิตรํ อุปฎฺฐหถ, กุเล เชฎฺฐาปจายิโน โหถา’’ติฯ เต ปน เทวา โลกํ พฺยูเหนฺติ สมฺปิเณฺฑนฺตีติ ‘‘โลกพฺยูหา’’ติ วุจฺจนฺติฯ เต กิร ทิสฺวา มนุสฺสา ยตฺถ กตฺถจิ ฐิตาปิ นิสินฺนาปิ สํเวคชาตา สมฺภมปฺปตฺตาว หุตฺวา เตสํ อาสเนฺน ฐาเน สนฺนิปตนฺติฯ
Jhānaṃ pana vinā natthi brahmaloke nibbatti, etesañca keci dubbhikkhapīḷitā, keci abhabbā jhānādhigamāya, te kathaṃ tattha nibbattantīti? Devaloke paṭiladdhajjhānavasena. Tadā hi ‘‘vassasatasahassassa accayena kappavuṭṭhānaṃ bhavissatī’’ti lokabyūhā nāma kāmāvacaradevā muttasirā vikiṇṇakesā rudammukhā assūni hatthehi puñchamānā rattavatthanivatthā ativiya virūpavesadhārino hutvā manussapathe vicarantā evaṃ ārocenti ‘‘mārisā mārisā ito vassasatasahassassa accayena kappavuṭṭhānaṃ bhavissati, ayaṃ loko vinassissati, mahāsamuddopi ussussissati, ayañca mahāpathavī sineru ca pabbatarājā ḍayhissanti vinassissanti, yāva brahmalokā lokavināso bhavissati, mettaṃ mārisā bhāvetha, karuṇaṃ, muditaṃ, upekkhaṃ mārisā bhāvetha, mātaraṃ upaṭṭhahatha, pitaraṃ upaṭṭhahatha, kule jeṭṭhāpacāyino hothā’’ti. Te pana devā lokaṃ byūhenti sampiṇḍentīti ‘‘lokabyūhā’’ti vuccanti. Te kira disvā manussā yattha katthaci ṭhitāpi nisinnāpi saṃvegajātā sambhamappattāva hutvā tesaṃ āsanne ṭhāne sannipatanti.
กถํ ปเนเต กปฺปวุฎฺฐานํ ชานนฺตีติ? ‘‘ธมฺมตาย สโญฺจทิตา’’ติ อาจริยาฯ ‘‘ตาทิสนิมิตฺตทสฺสเนนา’’ติ เอเกฯ ‘‘พฺรหฺมเทวตาหิ อุโยฺยชิตา’’ติ อปเรฯ เตสํ ปน วจนํ สุตฺวา เยภุเยฺยน มนุสฺสา จ ภุมฺมเทวตา จ สํเวคชาตา อญฺญมญฺญํ มุทุจิตฺตา หุตฺวา เมตฺตาทีนิ ปุญฺญานิ กริตฺวา เทวโลเก นิพฺพตฺตนฺติฯ ตตฺถ ทิพฺพสุธาโภชนํ ภุญฺชิตฺวา ตโต วาโยกสิเณ ปริกมฺมํ กตฺวา ฌานํ ปฎิลภนฺติฯ เทวานํ กิร สุขสมฺผสฺสวาตคฺคหณปอจเยน วาโยกสิเณ ฌานานิ สุเขเนว อิชฺฌนฺติฯ ตทเญฺญ ปน อาปายิกา สตฺตา อปราปริยเวทนีเยน กเมฺมน เทวโลเก นิพฺพตฺตนฺติฯ อปราปริยเวทนียกมฺมรหิโต หิ สํสาเร สํสรโนฺต นาม สโตฺต นตฺถิฯ เตปิ ตตฺถ ตเถว ฌานํ ปฎิลภนฺติฯ เอวํ เทวโลเก ปฎิลทฺธชฺฌานวเสน สเพฺพปิ พฺรหฺมโลเก นิพฺพตฺตนฺติฯ อิทญฺจ เยภุยฺยวเสน วุตฺตํฯ
Kathaṃ panete kappavuṭṭhānaṃ jānantīti? ‘‘Dhammatāya sañcoditā’’ti ācariyā. ‘‘Tādisanimittadassanenā’’ti eke. ‘‘Brahmadevatāhi uyyojitā’’ti apare. Tesaṃ pana vacanaṃ sutvā yebhuyyena manussā ca bhummadevatā ca saṃvegajātā aññamaññaṃ muducittā hutvā mettādīni puññāni karitvā devaloke nibbattanti. Tattha dibbasudhābhojanaṃ bhuñjitvā tato vāyokasiṇe parikammaṃ katvā jhānaṃ paṭilabhanti. Devānaṃ kira sukhasamphassavātaggahaṇapaacayena vāyokasiṇe jhānāni sukheneva ijjhanti. Tadaññe pana āpāyikā sattā aparāpariyavedanīyena kammena devaloke nibbattanti. Aparāpariyavedanīyakammarahito hi saṃsāre saṃsaranto nāma satto natthi. Tepi tattha tatheva jhānaṃ paṭilabhanti. Evaṃ devaloke paṭiladdhajjhānavasena sabbepi brahmaloke nibbattanti. Idañca yebhuyyavasena vuttaṃ.
เกจิ ปน ‘‘อปายสตฺตา สํวฎฺฎมานโลกธาตูหิ อเญฺญสุ โลกธาตูสุปิ นิพฺพตฺตนฺติฯ น หิ สเพฺพ อปายสตฺตา ตทา รูปารูปภเวสุ อุปฺปชฺชนฺตีติ สกฺกา วิญฺญาตุํ อปาเยสุ ทีฆายุกานํ เทวโลกูปปตฺติยา อสมฺภวโตฯ นิยตมิจฺฉาทิฎฺฐิโก ปน วินสฺสมาเนปิ กเปฺป นิรยโต น มุจฺจติเยว, ตสฺมา โส ตตฺถ อนิพฺพตฺติตฺวา ปิฎฺฐิจกฺกวาเฬ นิพฺพตฺตติฯ นิยตมิจฺฉาทิฎฺฐิยา หิ สมนฺนาคตสฺส ภวโต วุฎฺฐานํ นาม นตฺถิฯ ตาย หิ สมนฺนาคตสฺส เนว สโคฺค อตฺถิ, น มโคฺค, ตสฺมา โส สํวฎฺฎมานจกฺกวาฬโต อญฺญตฺถ นิรเย นิพฺพตฺติตฺวา ปจฺจติฯ กิํ ปน ปิฎฺฐิจกฺกวาฬํ น ฌายตีติ? ฌายติฯ ตสฺมิํ ฌายมาเนปิ เอส อากาเส เอกสฺมิํ ปเทเส ปจฺจตี’’ติ วทนฺติฯ
Keci pana ‘‘apāyasattā saṃvaṭṭamānalokadhātūhi aññesu lokadhātūsupi nibbattanti. Na hi sabbe apāyasattā tadā rūpārūpabhavesu uppajjantīti sakkā viññātuṃ apāyesu dīghāyukānaṃ devalokūpapattiyā asambhavato. Niyatamicchādiṭṭhiko pana vinassamānepi kappe nirayato na muccatiyeva, tasmā so tattha anibbattitvā piṭṭhicakkavāḷe nibbattati. Niyatamicchādiṭṭhiyā hi samannāgatassa bhavato vuṭṭhānaṃ nāma natthi. Tāya hi samannāgatassa neva saggo atthi, na maggo, tasmā so saṃvaṭṭamānacakkavāḷato aññattha niraye nibbattitvā paccati. Kiṃ pana piṭṭhicakkavāḷaṃ na jhāyatīti? Jhāyati. Tasmiṃ jhāyamānepi esa ākāse ekasmiṃ padese paccatī’’ti vadanti.
วสฺสูปเจฺฉทโต ปน อุทฺธํ ทีฆสฺส อทฺธุโน อจฺจเยน ทุติโย สูริโย ปาตุภวติ, ปาตุภูเต ปน ตสฺมิํ เนว รตฺติปริเจฺฉโท, น ทิวาปริเจฺฉโท ปญฺญายติฯ เอโก สูริโย อุเฎฺฐติ, เอโก อตฺถํ คจฺฉติ, อวิจฺฉินฺนสูริยสนฺตาโปว โลโก โหติฯ ยถา จ กปฺปวุฎฺฐานกาลโต ปุเพฺพ อุปฺปนฺนสูริยวิมาเน สูริยเทวปุโตฺต โหติ, เอวํ กปฺปวินาสกสูริเย นตฺถิฯ กปฺปวุฎฺฐานกาเล ปน ยถา อเญฺญ กามาวจรเทวา, เอวํ สูริยเทวปุโตฺตปิ ฌานํ นิพฺพเตฺตตฺวา พฺรหฺมโลกํ อุปปชฺชติฯ สูริยมณฺฑลํ ปน ปภสฺสรตรเญฺจว เตชวนฺตตรญฺจ หุตฺวา ปวตฺตติฯ ตํ อนฺตรธายิตฺวา อญฺญเมว อุปฺปชฺชตีติ อปเรฯ ตตฺถ ปกติสูริเย วตฺตมาเน อากาเส วลาหกาปิ ธูมสิขาปิ วตฺตนฺติ, กปฺปวินาสกสูริเย วตฺตมาเน วิคตธูมวลาหกํ อาทาสมณฺฑลํ วิย นิมฺมลํ นภํ โหติฯ ฐเปตฺวา ปญฺจ มหานทิโย เสสกุนฺนทิอาทีสุ อุทกํ สุสฺสติฯ
Vassūpacchedato pana uddhaṃ dīghassa addhuno accayena dutiyo sūriyo pātubhavati, pātubhūte pana tasmiṃ neva rattiparicchedo, na divāparicchedo paññāyati. Eko sūriyo uṭṭheti, eko atthaṃ gacchati, avicchinnasūriyasantāpova loko hoti. Yathā ca kappavuṭṭhānakālato pubbe uppannasūriyavimāne sūriyadevaputto hoti, evaṃ kappavināsakasūriye natthi. Kappavuṭṭhānakāle pana yathā aññe kāmāvacaradevā, evaṃ sūriyadevaputtopi jhānaṃ nibbattetvā brahmalokaṃ upapajjati. Sūriyamaṇḍalaṃ pana pabhassaratarañceva tejavantatarañca hutvā pavattati. Taṃ antaradhāyitvā aññameva uppajjatīti apare. Tattha pakatisūriye vattamāne ākāse valāhakāpi dhūmasikhāpi vattanti, kappavināsakasūriye vattamāne vigatadhūmavalāhakaṃ ādāsamaṇḍalaṃ viya nimmalaṃ nabhaṃ hoti. Ṭhapetvā pañca mahānadiyo sesakunnadiādīsu udakaṃ sussati.
ตโตปิ ทีฆสฺส อทฺธุโน อจฺจเยน ตติโย สูริโย ปาตุภวติ, ยสฺส ปาตุภาวา มหานทิโยปิ สุสฺสนฺติฯ
Tatopi dīghassa addhuno accayena tatiyo sūriyo pātubhavati, yassa pātubhāvā mahānadiyopi sussanti.
ตโตปิ ทีฆสฺส อทฺธุโน อจฺจเยน จตุโตฺถ สูริโย ปาตุภวติ, ยสฺส ปาตุภาวา หิมวติ มหานทีนํ ปภวา สีหปฺปปาตทโห มนฺทากินีทโห กณฺณมุณฺฑทโห รถการทโห อโนตตฺตทโห ฉทฺทนฺตทโห กุณาลทโหติ อิเม สตฺต มหาสรา สุสฺสนฺติฯ
Tatopi dīghassa addhuno accayena catuttho sūriyo pātubhavati, yassa pātubhāvā himavati mahānadīnaṃ pabhavā sīhappapātadaho mandākinīdaho kaṇṇamuṇḍadaho rathakāradaho anotattadaho chaddantadaho kuṇāladahoti ime satta mahāsarā sussanti.
ตโตปิ ทีฆสฺส อทฺธุโน อจฺจเยน ปญฺจโม สูริโย ปาตุภวติ, ยสฺส ปาตุภาวา อนุปุเพฺพน มหาสมุเทฺท องฺคุลิปพฺพเตมนมตฺตมฺปิ อุทกํ น สณฺฐาติฯ
Tatopi dīghassa addhuno accayena pañcamo sūriyo pātubhavati, yassa pātubhāvā anupubbena mahāsamudde aṅgulipabbatemanamattampi udakaṃ na saṇṭhāti.
ตโตปิ ทีฆสฺส อทฺธุโน อจฺจเยน ฉโฎฺฐ สูริโย ปาตุภวติ, ยสฺส ปาตุภาวา สกลจกฺกวาฬํ เอกธูมํ โหติ ปริยาทินฺนสิเนหํ ธูเมนฯ ยาย หิ อาโปธาตุยา ตตฺถ ตตฺถ ปถวีธาตุ อาพนฺธตฺตา สมฺปิณฺฑิตา หุตฺวา ติฎฺฐติ, สา ฉฎฺฐสูริยปาตุภาเวน ปริกฺขยํ คจฺฉติฯ ยถา จิทํ, เอวํ โกฎิสตสหสฺสจกฺกวาฬานิปิฯ
Tatopi dīghassa addhuno accayena chaṭṭho sūriyo pātubhavati, yassa pātubhāvā sakalacakkavāḷaṃ ekadhūmaṃ hoti pariyādinnasinehaṃ dhūmena. Yāya hi āpodhātuyā tattha tattha pathavīdhātu ābandhattā sampiṇḍitā hutvā tiṭṭhati, sā chaṭṭhasūriyapātubhāvena parikkhayaṃ gacchati. Yathā cidaṃ, evaṃ koṭisatasahassacakkavāḷānipi.
ตโตปิ ทีฆสฺส อทฺธุโน อจฺจเยน สตฺตโม สูริโย ปาตุภวติ, ยสฺส ปาตุภาวา สกลจกฺกวาฬํ เอกชาลํ โหติ สทฺธิํ โกฎิสตสหสฺสจกฺกวาเฬหิ, โยชนสติกาทิเภทานิ สิเนรุกูฎานิ ปลุชฺชิตฺวา อากาเสเยว อนฺตรธายนฺติฯ สา อคฺคิชาลา อุฎฺฐหิตฺวา จาตุมหาราชิเก คณฺหาติฯ ตตฺถ กนกวิมานรตนวิมานมณิวิมานานิ ฌาเปตฺวา ตาวติํสภวนํ คณฺหาติฯ เอเตเนวูปาเยน ยาว ปฐมชฺฌานภูมิํ คณฺหาติ, ตตฺถ ตโยปิ พฺรหฺมโลเก ฌาเปตฺวา อาภสฺสเร อาหจฺจ ติฎฺฐติฯ สา ยาว อณุมตฺตมฺปิ สงฺขารคตํ อตฺถิ, ตาว น นิพฺพายติฯ สพฺพสงฺขารปริกฺขยา ปน สปฺปิเตลชฺฌาปนคฺคิสิขา วิย ฉาริกมฺปิ อนวเสเสตฺวา นิพฺพายติฯ เหฎฺฐาอากาเสน สห อุปริอากาโส เอโก โหติ มหนฺธกาโรฯ
Tatopi dīghassa addhuno accayena sattamo sūriyo pātubhavati, yassa pātubhāvā sakalacakkavāḷaṃ ekajālaṃ hoti saddhiṃ koṭisatasahassacakkavāḷehi, yojanasatikādibhedāni sinerukūṭāni palujjitvā ākāseyeva antaradhāyanti. Sā aggijālā uṭṭhahitvā cātumahārājike gaṇhāti. Tattha kanakavimānaratanavimānamaṇivimānāni jhāpetvā tāvatiṃsabhavanaṃ gaṇhāti. Etenevūpāyena yāva paṭhamajjhānabhūmiṃ gaṇhāti, tattha tayopi brahmaloke jhāpetvā ābhassare āhacca tiṭṭhati. Sā yāva aṇumattampi saṅkhāragataṃ atthi, tāva na nibbāyati. Sabbasaṅkhāraparikkhayā pana sappitelajjhāpanaggisikhā viya chārikampi anavasesetvā nibbāyati. Heṭṭhāākāsena saha upariākāso eko hoti mahandhakāro.
เอวํ เอกมสเงฺขฺยยฺยํ เอกงฺคณํ หุตฺวา ฐิเต โลกสนฺนิวาเส โลกสฺส สณฺฐานตฺถาย เทโว วสฺสิตุํ อารภติ, อาทิโตว อนฺตรฎฺฐเก หิมปาโต วิย โหติฯ ตโต กณมตฺตา ตณฺฑุลมตฺตา มุคฺคมาสพทรอามลกเอฬาลุกกุมฺภณฺฑอลาพุมตฺตา อุทกธารา หุตฺวา อนุกฺกเมน อุสภเทฺวอุสภอฑฺฒคาวุตคาวุตอฑฺฒโยชนโยชนทฺวิโยชน…เป.… โยชนสตโยชนสหสฺสมตฺตา หุตฺวา โกฎิสตสหสฺสจกฺกวาฬคพฺภนฺตรํ ยาว อวินฎฺฐพฺรหฺมโลกา ปูเรตฺวา อนฺตรธายติฯ ตํ อุทกํ เหฎฺฐา จ ติริยญฺจ วาโต สมุฎฺฐหิตฺวา ฆนํ กโรติ ปริวฎุมํ ปทุมินีปเตฺต อุทกพินฺทุสทิสํฯ
Evaṃ ekamasaṅkhyeyyaṃ ekaṅgaṇaṃ hutvā ṭhite lokasannivāse lokassa saṇṭhānatthāya devo vassituṃ ārabhati, āditova antaraṭṭhake himapāto viya hoti. Tato kaṇamattā taṇḍulamattā muggamāsabadaraāmalakaeḷālukakumbhaṇḍaalābumattā udakadhārā hutvā anukkamena usabhadveusabhaaḍḍhagāvutagāvutaaḍḍhayojanayojanadviyojana…pe… yojanasatayojanasahassamattā hutvā koṭisatasahassacakkavāḷagabbhantaraṃ yāva avinaṭṭhabrahmalokā pūretvā antaradhāyati. Taṃ udakaṃ heṭṭhā ca tiriyañca vāto samuṭṭhahitvā ghanaṃ karoti parivaṭumaṃ paduminīpatte udakabindusadisaṃ.
กถํ ตาวมหนฺตํ อุทกราสิํ ฆนํ กโรตีติ เจ? วิวรสมฺปทานโต วาตสฺสาติฯ ตญฺหิสฺส ตหิํ ตหิํ วิวรํ เทติฯ ตํ เอวํ วาเตน สมฺปิณฺฑิยมานํ ฆนํ กริยมานํ ปริกฺขยมานํ อนุปุเพฺพน เหฎฺฐา โอตรติฯ โอติเณฺณ โอติเณฺณ อุทเก พฺรหฺมโลกฎฺฐาเน พฺรหฺมโลโก, อุปริจตุกามาวจรเทวโลกฎฺฐาเน จ เทวโลกา ปาตุภวนฺติฯ จาตุมหาราชิกตาวติํสภวนานิ ปน ปถวีสมฺพนฺธตาย น ตาว ปาตุภวนฺติฯ ปุริมปถวิฎฺฐานํ โอติเณฺณ ปน พลววาตา อุปฺปชฺชนฺติ, เต ตํ ปิหิตทฺวาเร ธมฺมกรเณ ฐิตอุทกมิว นิรุสฺสาสํ กตฺวา รุมฺภนฺติ ฯ มธุโรทกํ ปริกฺขยํ คจฺฉมานํ อุปริ รสปถวิํ สมุฎฺฐาเปติ, อุทกปิเฎฺฐ อุปฺปลินีปตฺตํ วิย ปถวี สณฺฐาติฯ สา วณฺณสมฺปนฺนา เจว โหติ คนฺธรสสมฺปนฺนา จ นิรุทกปายาสสฺส อุปริ ปฎลํ วิยฯ เอตฺถ ปน มหาโพธิปลฺลงฺกฎฺฐานํ วินสฺสมาเน โลเก ปจฺฉา วินสฺสติ, สณฺฐหมาเน ปฐมํ สณฺฐหตีติ เวทิตพฺพํฯ
Kathaṃ tāvamahantaṃ udakarāsiṃ ghanaṃ karotīti ce? Vivarasampadānato vātassāti. Tañhissa tahiṃ tahiṃ vivaraṃ deti. Taṃ evaṃ vātena sampiṇḍiyamānaṃ ghanaṃ kariyamānaṃ parikkhayamānaṃ anupubbena heṭṭhā otarati. Otiṇṇe otiṇṇe udake brahmalokaṭṭhāne brahmaloko, uparicatukāmāvacaradevalokaṭṭhāne ca devalokā pātubhavanti. Cātumahārājikatāvatiṃsabhavanāni pana pathavīsambandhatāya na tāva pātubhavanti. Purimapathaviṭṭhānaṃ otiṇṇe pana balavavātā uppajjanti, te taṃ pihitadvāre dhammakaraṇe ṭhitaudakamiva nirussāsaṃ katvā rumbhanti . Madhurodakaṃ parikkhayaṃ gacchamānaṃ upari rasapathaviṃ samuṭṭhāpeti, udakapiṭṭhe uppalinīpattaṃ viya pathavī saṇṭhāti. Sā vaṇṇasampannā ceva hoti gandharasasampannā ca nirudakapāyāsassa upari paṭalaṃ viya. Ettha pana mahābodhipallaṅkaṭṭhānaṃ vinassamāne loke pacchā vinassati, saṇṭhahamāne paṭhamaṃ saṇṭhahatīti veditabbaṃ.
ตทา จ อาภสฺสรพฺรหฺมโลเก ปฐมตราภินิพฺพตฺตา สตฺตา อายุกฺขยา วา ปุญฺญกฺขยา วา ตโต จวิตฺวา โอปปาติกา หุตฺวา อิธูปปชฺชนฺติ, เต โหนฺติ สยํปภา อนฺตลิกฺขจรา, เต ตํ รสปถวิํ สายิตฺวา ตณฺหาภิภูตา อาลุปฺปการกํ ปริภุญฺชิตุํ อุปกฺกมนฺติฯ อถ เตสํ สยํปภา อนฺตรธายติ, อนฺธกาโร โหติฯ เต อนฺธการํ ทิสฺวา ภายนฺติฯ ตโต เตสํ ภยํ นาเสตฺวา สูรภาวํ ชนยนฺตํ ปริปุณฺณปญฺญาสโยชนํ สูริยมณฺฑลํ ปาตุภวติฯ เต ตํ ทิสฺวา ‘‘อาโลกํ ปฎิลภิมฺหา’’ติ หฎฺฐตุฎฺฐา หุตฺวา ‘‘อมฺหากํ ภีตานํ ภยํ นาเสตฺวา สูรภาวํ ชนยโนฺต อุฎฺฐิโต, ตสฺมา สูริโย โหตู’’ติ สูริโยเตฺววสฺส นามํ กโรนฺติฯ
Tadā ca ābhassarabrahmaloke paṭhamatarābhinibbattā sattā āyukkhayā vā puññakkhayā vā tato cavitvā opapātikā hutvā idhūpapajjanti, te honti sayaṃpabhā antalikkhacarā, te taṃ rasapathaviṃ sāyitvā taṇhābhibhūtā āluppakārakaṃ paribhuñjituṃ upakkamanti. Atha tesaṃ sayaṃpabhā antaradhāyati, andhakāro hoti. Te andhakāraṃ disvā bhāyanti. Tato tesaṃ bhayaṃ nāsetvā sūrabhāvaṃ janayantaṃ paripuṇṇapaññāsayojanaṃ sūriyamaṇḍalaṃ pātubhavati. Te taṃ disvā ‘‘ālokaṃ paṭilabhimhā’’ti haṭṭhatuṭṭhā hutvā ‘‘amhākaṃ bhītānaṃ bhayaṃ nāsetvā sūrabhāvaṃ janayanto uṭṭhito, tasmā sūriyo hotū’’ti sūriyotvevassa nāmaṃ karonti.
อถ สูริเย ทิวสํ อาโลกํ กตฺวา อตฺถงฺคเต ‘‘ยมฺปิ อาโลกํ ลภิมฺห, โสปิ โน นโฎฺฐ’’ติ ปุน ภีตา โหนฺติฯ เตสํ เอวํ โหติ ‘‘สาธุ วตสฺส, สเจ อญฺญํ อาโลกํ ลเภยฺยามา’’ติฯ เตสํ จิตฺตํ ญตฺวา วิย เอกูนปญฺญาสโยชนํ จนฺทมณฺฑลํ ปาตุภวติฯ เต ตํ ทิสฺวา ภิโยฺยโส มตฺตาย หฎฺฐตุฎฺฐา หุตฺวา ‘‘อมฺหากํ ฉนฺทํ ญตฺวา วิย อุฎฺฐิโต, ตสฺมา จโนฺท โหตู’’ติ จโนฺทเตฺววสฺส นามํ กโรนฺติฯ
Atha sūriye divasaṃ ālokaṃ katvā atthaṅgate ‘‘yampi ālokaṃ labhimha, sopi no naṭṭho’’ti puna bhītā honti. Tesaṃ evaṃ hoti ‘‘sādhu vatassa, sace aññaṃ ālokaṃ labheyyāmā’’ti. Tesaṃ cittaṃ ñatvā viya ekūnapaññāsayojanaṃ candamaṇḍalaṃ pātubhavati. Te taṃ disvā bhiyyoso mattāya haṭṭhatuṭṭhā hutvā ‘‘amhākaṃ chandaṃ ñatvā viya uṭṭhito, tasmā cando hotū’’ti candotvevassa nāmaṃ karonti.
เอวํ จนฺทิมสูริเยสุ ปาตุภูเตสุ นกฺขตฺตานิ ตารกรูปานิ ปาตุภวนฺติ, ตโต ปภุติ รตฺตินฺทิวา ปญฺญายนฺติ, อนุกฺกเมน จ มาสฑฺฒมาสอุตุสํวจฺฉรา, จนฺทิมสูริยานํ ปาตุภูตทิวเสเยว สิเนรุจกฺกวาฬหิมวนฺตปพฺพตา ทีปสมุทฺทา จ ปาตุภวนฺติฯ เต จ โข อปุพฺพํ อจริมํ ผคฺคุณปุณฺณมทิวเสเยว ปาตุภวนฺติฯ กถํ? ยถา นาม กงฺคุภเตฺต ปจฺจมาเน เอกปฺปหาเรเนว ปุพฺพุฬกา อุฎฺฐหนฺติ, เอเก ปเทสา ถูปถูปา โหนฺติ, เอเก นินฺนนินฺนา, เอเก สมสมา, เอวเมว ถูปถูปฎฺฐาเน ปพฺพตา โหนฺติ, นินฺนนินฺนฎฺฐาเน สมุทฺทา, สมสมฎฺฐาเน ทีปาติฯ
Evaṃ candimasūriyesu pātubhūtesu nakkhattāni tārakarūpāni pātubhavanti, tato pabhuti rattindivā paññāyanti, anukkamena ca māsaḍḍhamāsautusaṃvaccharā, candimasūriyānaṃ pātubhūtadivaseyeva sinerucakkavāḷahimavantapabbatā dīpasamuddā ca pātubhavanti. Te ca kho apubbaṃ acarimaṃ phagguṇapuṇṇamadivaseyeva pātubhavanti. Kathaṃ? Yathā nāma kaṅgubhatte paccamāne ekappahāreneva pubbuḷakā uṭṭhahanti, eke padesā thūpathūpā honti, eke ninnaninnā, eke samasamā, evameva thūpathūpaṭṭhāne pabbatā honti, ninnaninnaṭṭhāne samuddā, samasamaṭṭhāne dīpāti.
อถ เตสํ สตฺตานํ รสปถวิํ ปริภุญฺชนฺตานํ กเมฺมน เอกเจฺจ วณฺณวโนฺต โหนฺติ, เอกเจฺจ ทุพฺพณฺณา โหนฺติฯ ตตฺถ วณฺณวโนฺต ทุพฺพเณฺณ อติมญฺญนฺติ, เตสํ อติมานปจฺจยา สาปิ รสปถวี อนฺตรธายติ, ภูมิปปฺปฎโก ปาตุภวติฯ อถ เนสํ เตเนว นเยน โสปิ อนฺตรธายติ, อถ ปทาลตา ปาตุภวติฯ เตเนว นเยน สาปิ อนฺตรธายติ, อกฎฺฐปาโก สาลิ ปาตุภวติ อกโณ อถุโส สุคโนฺธ ตณฺฑุลผโลฯ ตโต เนสํ ภาชนานิ อุปฺปชฺชนฺติฯ เต สาลิํ ภาชเน ฐเปตฺวา ปาสาณปิฎฺฐิยํ ฐเปนฺติ, สยเมว ชาลสิขา อุฎฺฐหิตฺวา ตํ ปจติฯ โส โหติ โอทโน สุมนชาติปุปฺผสทิโส, น ตสฺส สูเปน วา พฺยญฺชเนน วา กรณียํ อตฺถิ, ยํ ยํ รสํ ภุญฺชิตุกามา โหนฺติ, ตํตํรโสว โหติฯ เตสํ ตํ โอฬาริกํ อาหารํ อาหรยตํ ตโต ปภุติ มุตฺตกรีสํ สญฺชายติฯ ตถา หิ รสปถวี ภูมิปปฺปฎโก ปทาลตาติ อิเม ตาว ปริภุตฺตา สุธาหาโร วิย ขุทํ วิโนเทตฺวา รสหรณีหิ รสเมว ปริพฺยูเหนฺตา ติฎฺฐนฺติ วตฺถุโน สุขุมภาเวน, น นิสฺสนฺทา, สุขุมภาเวเนว คหณินฺธนเมว จ โหติฯ โอทโน ปน ปริภุโตฺต รสํ วเฑฺฒโนฺตปิ วตฺถุโน โอฬาริกภาเวเนว นิสฺสนฺทํ วิสฺสเชฺชโนฺต ปสฺสาวํ กรีสญฺจ อุปฺปาเทติฯ
Atha tesaṃ sattānaṃ rasapathaviṃ paribhuñjantānaṃ kammena ekacce vaṇṇavanto honti, ekacce dubbaṇṇā honti. Tattha vaṇṇavanto dubbaṇṇe atimaññanti, tesaṃ atimānapaccayā sāpi rasapathavī antaradhāyati, bhūmipappaṭako pātubhavati. Atha nesaṃ teneva nayena sopi antaradhāyati, atha padālatā pātubhavati. Teneva nayena sāpi antaradhāyati, akaṭṭhapāko sāli pātubhavati akaṇo athuso sugandho taṇḍulaphalo. Tato nesaṃ bhājanāni uppajjanti. Te sāliṃ bhājane ṭhapetvā pāsāṇapiṭṭhiyaṃ ṭhapenti, sayameva jālasikhā uṭṭhahitvā taṃ pacati. So hoti odano sumanajātipupphasadiso, na tassa sūpena vā byañjanena vā karaṇīyaṃ atthi, yaṃ yaṃ rasaṃ bhuñjitukāmā honti, taṃtaṃrasova hoti. Tesaṃ taṃ oḷārikaṃ āhāraṃ āharayataṃ tato pabhuti muttakarīsaṃ sañjāyati. Tathā hi rasapathavī bhūmipappaṭako padālatāti ime tāva paribhuttā sudhāhāro viya khudaṃ vinodetvā rasaharaṇīhi rasameva paribyūhentā tiṭṭhanti vatthuno sukhumabhāvena, na nissandā, sukhumabhāveneva gahaṇindhanameva ca hoti. Odano pana paribhutto rasaṃ vaḍḍhentopi vatthuno oḷārikabhāveneva nissandaṃ vissajjento passāvaṃ karīsañca uppādeti.
อถ เตสํ นิกฺขมนตฺถาย วณมุขานิ ปภิชฺชนฺติฯ ปุริสสฺส ปุริสภาโว, อิตฺถิยา อิตฺถิภาโว ปาตุภวติฯ ปุริมตฺตภาเวสุ หิ ปวตฺตอุปจารชฺฌานานุภาเวน ยาว สตฺตสนฺตาเนสุ กามราโค วิกฺขมฺภนเวเคน สมิโต , น ตาว พหลกามราคูปนิสฺสยานิ อิตฺถิปุริสินฺทฺริยานิ ปาตุรเหสุํฯ ยทา ปนสฺส วิจฺฉินฺนตาย พหลกามราโค ลทฺธาวสโร อโหสิ, ตทา ตทุปนิสฺสยานิ ตานิ สตฺตานํ อตฺตภาเวสุ สญฺชายิํสุ, ตทา อิตฺถี ปุริสํ, ปุริโส จ อิตฺถิํ อติเวลํ อุปนิชฺฌายติฯ เตสํ อติเวลํ อุปนิชฺฌายนปจฺจยา กามปริฬาโห อุปฺปชฺชติ, ตโต เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสวนฺติฯ เต อสทฺธมฺมปฎิเสวนปจฺจยา วิญฺญูหิ ครหิยมานา วิเหฐิยมานา ตสฺส อสทฺธมฺมสฺส ปฎิจฺฉาทนเหตุ อคารานิ กโรนฺติฯ เต อคารํ อชฺฌาวสมานา อนุกฺกเมน อญฺญตรสฺส อลสชาติกสฺส สตฺตสฺส ทิฎฺฐานุคติํ อาปชฺชนฺตา สนฺนิธิํ กโรนฺติฯ ตโต ปภุติ กโณปิ ถุโสปิ ตณฺฑุลํ ปริโยนนฺธนฺติ, ลายิตฎฺฐานมฺปิ น ปฎิวิรุหติฯ
Atha tesaṃ nikkhamanatthāya vaṇamukhāni pabhijjanti. Purisassa purisabhāvo, itthiyā itthibhāvo pātubhavati. Purimattabhāvesu hi pavattaupacārajjhānānubhāvena yāva sattasantānesu kāmarāgo vikkhambhanavegena samito , na tāva bahalakāmarāgūpanissayāni itthipurisindriyāni pāturahesuṃ. Yadā panassa vicchinnatāya bahalakāmarāgo laddhāvasaro ahosi, tadā tadupanissayāni tāni sattānaṃ attabhāvesu sañjāyiṃsu, tadā itthī purisaṃ, puriso ca itthiṃ ativelaṃ upanijjhāyati. Tesaṃ ativelaṃ upanijjhāyanapaccayā kāmapariḷāho uppajjati, tato methunaṃ dhammaṃ paṭisevanti. Te asaddhammapaṭisevanapaccayā viññūhi garahiyamānā viheṭhiyamānā tassa asaddhammassa paṭicchādanahetu agārāni karonti. Te agāraṃ ajjhāvasamānā anukkamena aññatarassa alasajātikassa sattassa diṭṭhānugatiṃ āpajjantā sannidhiṃ karonti. Tato pabhuti kaṇopi thusopi taṇḍulaṃ pariyonandhanti, lāyitaṭṭhānampi na paṭiviruhati.
เต สนฺนิปติตฺวา อนุตฺถุนนฺติ ‘‘ปาปกา วต โภ ธมฺมา สเตฺตสุ ปาตุภูตา, มยญฺหิ ปุเพฺพ มโนมยา อหุมฺหา’’ติ, อคฺคญฺญสุเตฺต (ที. นิ. ๓.๑๒๘) วุตฺตนเยน วิตฺถาเรตพฺพํฯ ตโต มริยาทํ ฐเปนฺติ, อถญฺญตโร สโตฺต อญฺญสฺส ภาคํ อทินฺนํ อาทิยติ, ตํ ทฺวิกฺขตฺตุํ ปริภาเสตฺวา ตติยวาเร ปาณิเลฑฺฑุทเณฺฑหิ ปหรนฺติฯ เต เอวํ อทินฺนาทาเน กลหมุสาวาททณฺฑาทาเนสุ อุปฺปเนฺนสุ จ สนฺนิปติตฺวา จินฺตยนฺติ ‘‘ยนฺนูน มยํ เอกํ สตฺตํ สมฺมเนฺนยฺยาม, โย โน สมฺมา ขียิตพฺพํ ขีเยยฺย, ครหิตพฺพํ ครเหยฺย, ปพฺพาเชตพฺพํ ปพฺพาเชยฺย, มยํ ปนสฺส สาลีนํ ภาคมนุปฺปทสฺสามา’’ติฯ เอวํ กตสนฺนิฎฺฐาเนสุ ปน สเตฺตสุ อิมสฺมิํ ตาว กเปฺป อยเมว ภควา โพธิสตฺตภูโต เตน สมเยน เตสุ สเตฺตสุ อภิรูปตโร จ ทสฺสนียตโร จ มเหสกฺขตโร จ พุทฺธิสมฺปโนฺน ปฎิพโล นิคฺคหปคฺคหํ กาตุํฯ เต ตํ อุปสงฺกมิตฺวา ยาจิตฺวา สมฺมนฺนิํสุฯ โส เตน มหาชเนน สมฺมโตติ มหาสมฺมโต, เขตฺตานํ อธิปตีติ ขตฺติโย, ธเมฺมน สเมน ปเรสํ รเญฺชตีติ ราชาติ ตีหิ นาเมหิ ปญฺญายิตฺถฯ ยญฺหิ โลเก อจฺฉริยฎฺฐานํ, โพธิสโตฺตว ตตฺถ อาทิปุริโสติ เอวํ โพธิสตฺตํ อาทิํ กตฺวา ขตฺติยมณฺฑเล สณฺฐิเต อนุปุเพฺพน พฺราหฺมณาทโยปิ วณฺณา สณฺฐหิํสุฯ
Te sannipatitvā anutthunanti ‘‘pāpakā vata bho dhammā sattesu pātubhūtā, mayañhi pubbe manomayā ahumhā’’ti, aggaññasutte (dī. ni. 3.128) vuttanayena vitthāretabbaṃ. Tato mariyādaṃ ṭhapenti, athaññataro satto aññassa bhāgaṃ adinnaṃ ādiyati, taṃ dvikkhattuṃ paribhāsetvā tatiyavāre pāṇileḍḍudaṇḍehi paharanti. Te evaṃ adinnādāne kalahamusāvādadaṇḍādānesu uppannesu ca sannipatitvā cintayanti ‘‘yannūna mayaṃ ekaṃ sattaṃ sammanneyyāma, yo no sammā khīyitabbaṃ khīyeyya, garahitabbaṃ garaheyya, pabbājetabbaṃ pabbājeyya, mayaṃ panassa sālīnaṃ bhāgamanuppadassāmā’’ti. Evaṃ katasanniṭṭhānesu pana sattesu imasmiṃ tāva kappe ayameva bhagavā bodhisattabhūto tena samayena tesu sattesu abhirūpataro ca dassanīyataro ca mahesakkhataro ca buddhisampanno paṭibalo niggahapaggahaṃ kātuṃ. Te taṃ upasaṅkamitvā yācitvā sammanniṃsu. So tena mahājanena sammatoti mahāsammato, khettānaṃ adhipatīti khattiyo, dhammena samena paresaṃ rañjetīti rājāti tīhi nāmehi paññāyittha. Yañhi loke acchariyaṭṭhānaṃ, bodhisattova tattha ādipurisoti evaṃ bodhisattaṃ ādiṃ katvā khattiyamaṇḍale saṇṭhite anupubbena brāhmaṇādayopi vaṇṇā saṇṭhahiṃsu.
ตตฺถ กปฺปวินาสกมหาเมฆโต ยาว ชาโลปเจฺฉโท, อิทเมกมสเงฺขฺยยฺยํ สํวโฎฺฎติ วุจฺจติฯ กปฺปวินาสกชาโลปเจฺฉทโต ยาว โกฎิสตสหสฺสจกฺกวาฬปริปูรโก สมฺปตฺติมหาเมโฆ, อิทํ ทุติยมสเงฺขฺยยฺยํ สํวฎฺฎฎฺฐายีติ วุจฺจติฯ สมฺปตฺติมหาเมฆโต ยาว จนฺทิมสูริยปาตุภาโว, อิทํ ตติยมสเงฺขฺยยฺยํ วิวโฎฺฎติ วุจฺจติฯ จนฺทิมสูริยปาตุภาวโต ยาว ปุน กปฺปวินาสกมหาเมโฆ, อิทํ จตุตฺถมสเงฺขฺยยฺยํ วิวฎฺฎฎฺฐายีติ วุจฺจติฯ วิวฎฺฎฎฺฐายีอสเงฺขฺยยฺยํ จตุสฎฺฐิอนฺตรกปฺปสงฺคหํฯ ‘‘วีสติอนฺตรกปฺปสงฺคห’’นฺติ เกจิฯ เสสาสเงฺขฺยยฺยานิ กาลโต เตน สมปฺปมาณาเนวฯ อิมานิ จตฺตาริ อสเงฺขฺยยฺยานิ เอโก มหากโปฺป โหติฯ เอวํ ตาว อคฺคินา วินาโส จ สณฺฐหนญฺจ เวทิตพฺพํฯ
Tattha kappavināsakamahāmeghato yāva jālopacchedo, idamekamasaṅkhyeyyaṃ saṃvaṭṭoti vuccati. Kappavināsakajālopacchedato yāva koṭisatasahassacakkavāḷaparipūrako sampattimahāmegho, idaṃ dutiyamasaṅkhyeyyaṃ saṃvaṭṭaṭṭhāyīti vuccati. Sampattimahāmeghato yāva candimasūriyapātubhāvo, idaṃ tatiyamasaṅkhyeyyaṃ vivaṭṭoti vuccati. Candimasūriyapātubhāvato yāva puna kappavināsakamahāmegho, idaṃ catutthamasaṅkhyeyyaṃ vivaṭṭaṭṭhāyīti vuccati. Vivaṭṭaṭṭhāyīasaṅkhyeyyaṃ catusaṭṭhiantarakappasaṅgahaṃ. ‘‘Vīsatiantarakappasaṅgaha’’nti keci. Sesāsaṅkhyeyyāni kālato tena samappamāṇāneva. Imāni cattāri asaṅkhyeyyāni eko mahākappo hoti. Evaṃ tāva agginā vināso ca saṇṭhahanañca veditabbaṃ.
ยสฺมิํ ปน สมเย กโปฺป อุทเกน นสฺสติ, อาทิโตว กปฺปวินาสกมหาเมโฆ วุฎฺฐหิตฺวาติ ปุเพฺพ วุตฺตนเยเนว วิตฺถาเรตพฺพํฯ อยํ ปน วิเสโส – ยถา ตตฺถ ทุติยสูริโย, เอวมิธ กปฺปวินาสโก ขารุทกมหาเมโฆ วุฎฺฐาติฯ โส อาทิโต สุขุมํ สุขุมํ วสฺสโนฺต อนุกฺกเมน มหาธาราหิ โกฎิสตสหสฺสจกฺกวาฬานํ ปูเรโนฺต วสฺสติฯ ขารุทเกน ผุฎฺฐผุฎฺฐา ปถวีปพฺพตาทโย วิลียนฺติ, อุทกํ สมนฺตโต วาเตหิ ธารียติฯ ปถวิยา เหฎฺฐิมนฺตโต ปภุติ ยาว ทุติยชฺฌานภูมิํ อุทกํ คณฺหาติฯ เตน หิ ขารุทเกน ผุฎฺฐผุฎฺฐา ปถวีปพฺพตาทโย อุทเก ปกฺขิตฺตโลณสกฺขรา วิย วิลียเนฺตว, ตสฺมา ปถวีสนฺธารกอุทเกน สทฺธิํ เอกูทกเมว ตํ โหตีติ เกจิฯ อปเร ปน ‘‘ปถวีสนฺธารกอุทกํ ตํ สนฺธารกวายุกฺขนฺธญฺจ อนวเสสโต วินาเสตฺวา สพฺพตฺถ สยเมว เอโก ฆนภูโต ติฎฺฐตี’’ติ วทนฺติ, ตํ ยุตฺตํฯ อุปริ ปน ฉปิ พฺรหฺมโลเก วิลียาเปตฺวา สุภกิเณฺห อาหจฺจ ติฎฺฐติ, ตํ ยาว อณุมตฺตมฺปิ สงฺขารคตํ อตฺถิ, ตาว น วูปสมฺมติ, อุทกานุคตํ ปน สพฺพํ สงฺขารคตํ อภิภวิตฺวา สหสา วูปสมฺมติ, อนฺตรธานํ คจฺฉติฯ เหฎฺฐาอากาเสน สห อุปริอากาโส เอโก โหติ มหนฺธกาโรติ สพฺพํ วุตฺตสทิสํฯ เกวลํ ปนิธ อาภสฺสรพฺรหฺมโลกํ อาทิํ กตฺวา โลโก ปาตุภวติฯ สุภกิณฺหโต จวิตฺวา อาภสฺสรฎฺฐานาทีสุ สตฺตา นิพฺพตฺตนฺติฯ ตตฺถ กปฺปวินาสกมหาเมฆโต ยาว กปฺปวินาสกขารุทโกปเจฺฉโท, อิทเมกมสเงฺขฺยยฺยํ ฯ อุทกุปเจฺฉทโต ยาว สมฺปตฺติมหาเมโฆ, อิทํ ทุติยมสเงฺขฺยยฺยํฯ สมฺปตฺติมหาเมฆโต ยาว จนฺทิมสูริยปาตุภาโว, อิทํ ตติยมสเงฺขฺยยฺยํฯ จนฺทิมสูริยปาตุภาวโต ยาว กปฺปวินาสกมหอาเมโฆ, อิทํ จตุตฺถมสเงฺขฺยยฺยํฯ อิมานิ จตฺตาริ อสเงฺขฺยยฺยานิ เอโก มหากโปฺป โหติฯ เอวํ อุทเกน วินาโส จ สณฺฐหนญฺจ เวทิตพฺพํฯ
Yasmiṃ pana samaye kappo udakena nassati, āditova kappavināsakamahāmegho vuṭṭhahitvāti pubbe vuttanayeneva vitthāretabbaṃ. Ayaṃ pana viseso – yathā tattha dutiyasūriyo, evamidha kappavināsako khārudakamahāmegho vuṭṭhāti. So ādito sukhumaṃ sukhumaṃ vassanto anukkamena mahādhārāhi koṭisatasahassacakkavāḷānaṃ pūrento vassati. Khārudakena phuṭṭhaphuṭṭhā pathavīpabbatādayo vilīyanti, udakaṃ samantato vātehi dhārīyati. Pathaviyā heṭṭhimantato pabhuti yāva dutiyajjhānabhūmiṃ udakaṃ gaṇhāti. Tena hi khārudakena phuṭṭhaphuṭṭhā pathavīpabbatādayo udake pakkhittaloṇasakkharā viya vilīyanteva, tasmā pathavīsandhārakaudakena saddhiṃ ekūdakameva taṃ hotīti keci. Apare pana ‘‘pathavīsandhārakaudakaṃ taṃ sandhārakavāyukkhandhañca anavasesato vināsetvā sabbattha sayameva eko ghanabhūto tiṭṭhatī’’ti vadanti, taṃ yuttaṃ. Upari pana chapi brahmaloke vilīyāpetvā subhakiṇhe āhacca tiṭṭhati, taṃ yāva aṇumattampi saṅkhāragataṃ atthi, tāva na vūpasammati, udakānugataṃ pana sabbaṃ saṅkhāragataṃ abhibhavitvā sahasā vūpasammati, antaradhānaṃ gacchati. Heṭṭhāākāsena saha upariākāso eko hoti mahandhakāroti sabbaṃ vuttasadisaṃ. Kevalaṃ panidha ābhassarabrahmalokaṃ ādiṃ katvā loko pātubhavati. Subhakiṇhato cavitvā ābhassaraṭṭhānādīsu sattā nibbattanti. Tattha kappavināsakamahāmeghato yāva kappavināsakakhārudakopacchedo, idamekamasaṅkhyeyyaṃ . Udakupacchedato yāva sampattimahāmegho, idaṃ dutiyamasaṅkhyeyyaṃ. Sampattimahāmeghato yāva candimasūriyapātubhāvo, idaṃ tatiyamasaṅkhyeyyaṃ. Candimasūriyapātubhāvato yāva kappavināsakamahaāmegho, idaṃ catutthamasaṅkhyeyyaṃ. Imāni cattāri asaṅkhyeyyāni eko mahākappo hoti. Evaṃ udakena vināso ca saṇṭhahanañca veditabbaṃ.
ยสฺมิํ สมเย กโปฺป วาเตน นสฺสติ, อาทิโตว กปฺปวินาสกมหาเมโฆ วุฎฺฐหิตฺวาติ ปุเพฺพ วุตฺตนเยเนว วิตฺถาเรตพฺพํฯ อยํ ปน วิเสโส – ยถา ตตฺถ ทุติยสูริโย, เอวมิธ กปฺปวินาสนตฺถํ วาโต สมุฎฺฐาติฯ โส ปฐมํ ถูลรชํ อุฎฺฐาเปติ, ตโต สณฺหรชํ สุขุมวาลิกํ ถูลวาลิกํ สกฺขรปาสาณาทโยติ ยาวกูฎาคารมเตฺต ปาสาเณ วิสมฎฺฐาเน ฐิตมหารุเกฺข จ อุฎฺฐาเปติฯ เต ปถวิโต นภมุคฺคตา น ปุน ปตนฺติ, ตเตฺถว จุณฺณวิจุณฺณา หุตฺวา อภาวํ คจฺฉนฺติฯ อถานุกฺกเมน เหฎฺฐา มหาปถวิยา วาโต สมุฎฺฐหิตฺวา ปถวิํ ปริวเตฺตตฺวา อุทฺธํ มูลํ กตฺวา อากาเส ขิปติฯ โยชนสตปฺปมาณาปิ ปถวิปฺปเทสา ทฺวิโยชนติโยชนจตุโยชนปญฺจโยชนฉโยชนสตฺตโยชนปฺปมาณาปิ ปภิชฺชิตฺวา วาตเวคุกฺขิตฺตา อากาเสเยว จุณฺณวิจุณฺณา หุตฺวา อภาวํ คจฺฉนฺติฯ จกฺกวาฬปพฺพตมฺปิ สิเนรุปพฺพตมฺปิ วาโต อุกฺขิปิตฺวา อากาเส ขิปติฯ เต อญฺญมญฺญํ อภิหนฺตฺวา จุณฺณวิจุณฺณา หุตฺวา วินสฺสนฺติฯ เอเตเนวูปาเยน ภูมฎฺฐกวิมานานิ จ อากาสฎฺฐกวิมานานิ จ วินาเสโนฺต ฉกามาวจรเทวโลเก วินาเสตฺวา โกฎิสตสหสฺสจกฺกวาฬานิ วินาเสติฯ ตตฺถ จกฺกวาฬา จกฺกวาเฬหิ, หิมวนฺตา หิมวเนฺตหิ, สิเนรู สิเนรูหิ อญฺญมญฺญํ สมาคนฺตฺวา จุณฺณวิจุณฺณา หุตฺวา วินสฺสนฺติฯ ปถวิโต ยาว ตติยชฺฌานภูมิ วาโต คณฺหาติ, นวปิ พฺรหฺมโลเก วินาเสตฺวา เวหปฺผเล อาหจฺจ ติฎฺฐติฯ เอวํ ปถวีสนฺธารกอุทเกน ตํสนฺธารกวาเตน จ สทฺธิํ สพฺพสงฺขารคตํ วินาเสตฺวา สยมฺปิ วินสฺสติ อวฎฺฐานสฺส การณาภาวโตฯ เหฎฺฐาอากาเสน สห อุปริอากาโส เอโก โหติ มหนฺธกาโรติ สพฺพํ วุตฺตสทิสํฯ อิธ ปน สุภกิณฺหพฺรหฺมโลกํ อาทิํ กตฺวา โลโก ปาตุภวติฯ เวหปฺผลโต จวิตฺวา สุภกิณฺหฎฺฐานาทีสุ สตฺตา นิพฺพตฺตนฺติฯ ตตฺถ กปฺปวินาสกมหาเมฆโต ยาว กปฺปวินาสกวาตุปเจฺฉโท, อิทเมกมสเงฺขฺยยฺยํฯ วาตุปเจฺฉทโต ยาว สมฺปตฺติมหาเมโฆ, อิทํ ทุติยมสเงฺขฺยยฺยนฺติอาทิ วุตฺตนยเมวฯ เอวํ วาเตน วินาโส จ สณฺฐหนญฺจ เวทิตพฺพํฯ
Yasmiṃ samaye kappo vātena nassati, āditova kappavināsakamahāmegho vuṭṭhahitvāti pubbe vuttanayeneva vitthāretabbaṃ. Ayaṃ pana viseso – yathā tattha dutiyasūriyo, evamidha kappavināsanatthaṃ vāto samuṭṭhāti. So paṭhamaṃ thūlarajaṃ uṭṭhāpeti, tato saṇharajaṃ sukhumavālikaṃ thūlavālikaṃ sakkharapāsāṇādayoti yāvakūṭāgāramatte pāsāṇe visamaṭṭhāne ṭhitamahārukkhe ca uṭṭhāpeti. Te pathavito nabhamuggatā na puna patanti, tattheva cuṇṇavicuṇṇā hutvā abhāvaṃ gacchanti. Athānukkamena heṭṭhā mahāpathaviyā vāto samuṭṭhahitvā pathaviṃ parivattetvā uddhaṃ mūlaṃ katvā ākāse khipati. Yojanasatappamāṇāpi pathavippadesā dviyojanatiyojanacatuyojanapañcayojanachayojanasattayojanappamāṇāpi pabhijjitvā vātavegukkhittā ākāseyeva cuṇṇavicuṇṇā hutvā abhāvaṃ gacchanti. Cakkavāḷapabbatampi sinerupabbatampi vāto ukkhipitvā ākāse khipati. Te aññamaññaṃ abhihantvā cuṇṇavicuṇṇā hutvā vinassanti. Etenevūpāyena bhūmaṭṭhakavimānāni ca ākāsaṭṭhakavimānāni ca vināsento chakāmāvacaradevaloke vināsetvā koṭisatasahassacakkavāḷāni vināseti. Tattha cakkavāḷā cakkavāḷehi, himavantā himavantehi, sinerū sinerūhi aññamaññaṃ samāgantvā cuṇṇavicuṇṇā hutvā vinassanti. Pathavito yāva tatiyajjhānabhūmi vāto gaṇhāti, navapi brahmaloke vināsetvā vehapphale āhacca tiṭṭhati. Evaṃ pathavīsandhārakaudakena taṃsandhārakavātena ca saddhiṃ sabbasaṅkhāragataṃ vināsetvā sayampi vinassati avaṭṭhānassa kāraṇābhāvato. Heṭṭhāākāsena saha upariākāso eko hoti mahandhakāroti sabbaṃ vuttasadisaṃ. Idha pana subhakiṇhabrahmalokaṃ ādiṃ katvā loko pātubhavati. Vehapphalato cavitvā subhakiṇhaṭṭhānādīsu sattā nibbattanti. Tattha kappavināsakamahāmeghato yāva kappavināsakavātupacchedo, idamekamasaṅkhyeyyaṃ. Vātupacchedato yāva sampattimahāmegho, idaṃ dutiyamasaṅkhyeyyantiādi vuttanayameva. Evaṃ vātena vināso ca saṇṭhahanañca veditabbaṃ.
อถ กิํการณา เอวํ โลโก วินสฺสติฯ ยทิปิ หิ สงฺขารานํ อเหตุโก สรสนิโรโธ วินาสกาภาวโต, สนฺตานนิโรโธ ปน เหตุวิรหิโต นตฺถิฯ ยถา ตํ สตฺตนิกาเยสูติ ภาชนโลกสฺสปิ สเหตุเกน วินาเสน ภวิตพฺพํ, ตสฺมา กิเมวํ โลกวินาเส การณนฺติ? อกุสลมูลํ การณํฯ ยถา หิ ตตฺถ นิพฺพตฺตนกสตฺตานํ ปุญฺญพเลน ปฐมํ โลโก วิวฎฺฎติ, เอวํ เตสํ ปาปกมฺมพเลน สํวฎฺฎติ, ตสฺมา อกุสลมูเลสุ อุสฺสเนฺนสุ เอวํ โลโก วินสฺสติฯ ยถา หิ ราคโทสโมหานํ อธิกภาเวน ยถากฺกมํ โรคนฺตรกโปฺป สตฺถนฺตรกโปฺป ทุพฺภิกฺขนฺตรกโปฺปติ อิเม ติวิธา อนฺตรกปฺปา วิวฎฺฎฎฺฐายิมฺหิ อสเงฺขฺยยฺยกเปฺป ชายนฺติฯ เอวเมเต ยถาวุตฺตา ตโย สํวฎฺฎา ราคาทีนํ อธิกภาเวเนว โหนฺติฯ
Atha kiṃkāraṇā evaṃ loko vinassati. Yadipi hi saṅkhārānaṃ ahetuko sarasanirodho vināsakābhāvato, santānanirodho pana hetuvirahito natthi. Yathā taṃ sattanikāyesūti bhājanalokassapi sahetukena vināsena bhavitabbaṃ, tasmā kimevaṃ lokavināse kāraṇanti? Akusalamūlaṃ kāraṇaṃ. Yathā hi tattha nibbattanakasattānaṃ puññabalena paṭhamaṃ loko vivaṭṭati, evaṃ tesaṃ pāpakammabalena saṃvaṭṭati, tasmā akusalamūlesu ussannesu evaṃ loko vinassati. Yathā hi rāgadosamohānaṃ adhikabhāvena yathākkamaṃ rogantarakappo satthantarakappo dubbhikkhantarakappoti ime tividhā antarakappā vivaṭṭaṭṭhāyimhi asaṅkhyeyyakappe jāyanti. Evamete yathāvuttā tayo saṃvaṭṭā rāgādīnaṃ adhikabhāveneva honti.
ตตฺถ ราเค อุสฺสนฺนตเร อคฺคินา วินสฺสติ, โทเส อุสฺสนฺนตเร อุทเกน วินสฺสติฯ โทเส หิ อุสฺสนฺนตเร อธิกตเรน โทเสน วิย ติกฺขตเรน ขารุทเกน วินาโส ยุโตฺตติฯ เกจิ ปน ‘‘โทเส อุสฺสนฺนตเร อคฺคินา, ราเค อุทเกนา’’ติ วทนฺติ, เตสํ กิร อยมธิปฺปาโย – ปากฎสตฺตุสทิสสฺส โทสสฺส อคฺคิสทิสตา, อปากฎสตฺตุสทิสสฺส ราคสฺส ขารุทกสทิสตา จ ยุตฺตาติฯ โมเห ปน อุสฺสนฺนตเร วาเตน วินสฺสติฯ เอวํ วินสฺสโนฺตปิ จ นิรนฺตรเมว สตฺต วาเร อคฺคินา นสฺสติ, อฎฺฐเม วาเร อุทเกน, ปุน สตฺต วาเร อคฺคินา, อฎฺฐเม อุทเกนาติ เอวํ อฎฺฐเม อฎฺฐเม วาเร วินสฺสโนฺต สตฺตกฺขตฺตุํ อุทเกน วินสฺสิตฺวา ปุน สตฺต วาเร อคฺคินา นสฺสติฯ เอตฺตาวตา เตสฎฺฐิ กปฺปา อตีตา โหนฺติฯ เอตฺถนฺตเร อุทเกน นสฺสนวารํ สมฺปตฺตมฺปิ ปฎิพาหิตฺวา ลโทฺธกาโส วาโต ปริปุณฺณจตุสฎฺฐิกปฺปายุเก สุภกิเณฺห วิทฺธํเสโนฺต โลกํ วินาเสติฯ เอตฺถ ปน ราโค สตฺตานํ พหุลํ ปวตฺตตีติ อคฺคิวเสน พหุโส โลกวินาโส เวทิตโพฺพฯ อิติ เอวํ อิเมหิ การเณหิ วินสฺสิตฺวา สณฺฐหนฺตํ สณฺฐหิตฺวา ฐิตญฺจ โอกาสโลกํ ภควา ยาถาวโต อเวทีติ เอวมฺปิสฺส สพฺพถา โอกาสโลโก วิทิโตติ ทฎฺฐพฺพํฯ
Tattha rāge ussannatare agginā vinassati, dose ussannatare udakena vinassati. Dose hi ussannatare adhikatarena dosena viya tikkhatarena khārudakena vināso yuttoti. Keci pana ‘‘dose ussannatare agginā, rāge udakenā’’ti vadanti, tesaṃ kira ayamadhippāyo – pākaṭasattusadisassa dosassa aggisadisatā, apākaṭasattusadisassa rāgassa khārudakasadisatā ca yuttāti. Mohe pana ussannatare vātena vinassati. Evaṃ vinassantopi ca nirantarameva satta vāre agginā nassati, aṭṭhame vāre udakena, puna satta vāre agginā, aṭṭhame udakenāti evaṃ aṭṭhame aṭṭhame vāre vinassanto sattakkhattuṃ udakena vinassitvā puna satta vāre agginā nassati. Ettāvatā tesaṭṭhi kappā atītā honti. Etthantare udakena nassanavāraṃ sampattampi paṭibāhitvā laddhokāso vāto paripuṇṇacatusaṭṭhikappāyuke subhakiṇhe viddhaṃsento lokaṃ vināseti. Ettha pana rāgo sattānaṃ bahulaṃ pavattatīti aggivasena bahuso lokavināso veditabbo. Iti evaṃ imehi kāraṇehi vinassitvā saṇṭhahantaṃ saṇṭhahitvā ṭhitañca okāsalokaṃ bhagavā yāthāvato avedīti evampissa sabbathā okāsaloko viditoti daṭṭhabbaṃ.
ยํ ปน เหฎฺฐา วุตฺตํ ‘‘สพฺพถา วิทิตโลกตฺตา โลกวิทู’’ติ, อิทานิ ตํ นิคเมโนฺต อาห ‘‘เอวํ สพฺพถา วิทิตโลกตฺตา โลกวิทู’’ติฯ ตตฺถ สพฺพถาติ ลกฺขณาทิปฺปเภทโต สงฺขารโลกสฺส, อาสยาทิปฺปเภทโต สตฺตโลกสฺส, ปริมาณสณฺฐานาทิปฺปเภทโต โอกาสโลกสฺสาติ เอวํ สพฺพปฺปกาเรน วิทิตโลกตฺตาติ อโตฺถฯ
Yaṃ pana heṭṭhā vuttaṃ ‘‘sabbathā viditalokattā lokavidū’’ti, idāni taṃ nigamento āha ‘‘evaṃ sabbathā viditalokattā lokavidū’’ti. Tattha sabbathāti lakkhaṇādippabhedato saṅkhāralokassa, āsayādippabhedato sattalokassa, parimāṇasaṇṭhānādippabhedato okāsalokassāti evaṃ sabbappakārena viditalokattāti attho.
อิทานิ อนุตฺตโรติ ปทสฺส อตฺถํ สํวเณฺณโนฺต อาห ‘‘อตฺตโน ปน คุเณหี’’ติอาทิฯ ตตฺถ อตฺตโนติ นิสฺสกฺกเตฺถ สามิวจนเมตํ, อตฺตโตติ อโตฺถฯ คุเณหิ อตฺตโน วิสิฎฺฐตรสฺสาติ สมฺพโนฺธฯ ตรคฺคหณเญฺจตฺถ ‘‘อนุตฺตโร’’ติ ปทสฺส อตฺถนิเทฺทสตาย กตํ, น วิสิฎฺฐสฺส กสฺสจิ อตฺถิตายฯ สเทวเก หิ โลเก สทิสกโปฺปปิ นาม โกจิ ตถาคตสฺส นตฺถิ, กุโต สทิโส, วิสิเฎฺฐ ปน กา กถาฯ กสฺสจีติ กสฺสจิปิฯ อภิภวตีติ สีลสมฺปทาย อุปนิสฺสยภูตานํ หิโรตฺตปฺปเมตฺตากรุณานํ วิเสสปจฺจยานํ สทฺธาสติวีริยปญฺญานญฺจ อุกฺกํสปฺปตฺติยา สมุทาคมโต ปฎฺฐาย น อญฺญสาธารโณ สวาสนปฎิปกฺขสฺส ปหีนตฺตา อุกฺกํสปารมิปฺปโตฺต สตฺถุ สีลคุโณ, เตน ภควา สเทวกํ โลกํ อญฺญทตฺถุ อภิภุยฺย ปวตฺตติ, น สยํ เกนจิ อภิภุยฺยตีติ อธิปฺปาโยฯ เอวํ สมาธิคุณาทีสุปิ ยถารหํ วตฺตพฺพํฯ สีลาทโย เจเต โลกิยโลกุตฺตรมิสฺสกา เวทิตพฺพา, วิมุตฺติญาณทสฺสนํ ปน โลกิยํ กามาวจรเมวฯ
Idāni anuttaroti padassa atthaṃ saṃvaṇṇento āha ‘‘attano pana guṇehī’’tiādi. Tattha attanoti nissakkatthe sāmivacanametaṃ, attatoti attho. Guṇehi attano visiṭṭhatarassāti sambandho. Taraggahaṇañcettha ‘‘anuttaro’’ti padassa atthaniddesatāya kataṃ, na visiṭṭhassa kassaci atthitāya. Sadevake hi loke sadisakappopi nāma koci tathāgatassa natthi, kuto sadiso, visiṭṭhe pana kā kathā. Kassacīti kassacipi. Abhibhavatīti sīlasampadāya upanissayabhūtānaṃ hirottappamettākaruṇānaṃ visesapaccayānaṃ saddhāsativīriyapaññānañca ukkaṃsappattiyā samudāgamato paṭṭhāya na aññasādhāraṇo savāsanapaṭipakkhassa pahīnattā ukkaṃsapāramippatto satthu sīlaguṇo, tena bhagavā sadevakaṃ lokaṃ aññadatthu abhibhuyya pavattati, na sayaṃ kenaci abhibhuyyatīti adhippāyo. Evaṃ samādhiguṇādīsupi yathārahaṃ vattabbaṃ. Sīlādayo cete lokiyalokuttaramissakā veditabbā, vimuttiñāṇadassanaṃ pana lokiyaṃ kāmāvacarameva.
ยทิ เอวํ กถํ เตน สเทวกํ โลกํ อภิภวตีติ? ตสฺสปิ อานุภาวโต อสทิสตฺตาฯ ตมฺปิ หิ วิสยโต ปวตฺติโต ปวตฺติอาการโต จ อุตฺตริตรเมวฯ ตญฺหิ อนญฺญสาธารณํ สตฺถุ วิมุตฺติคุณํ อารพฺภ ปวตฺตติ, ปวตฺตมานญฺจ อตกฺกาวจรํ ปรมคมฺภีรํ สณฺหํ สุขุมํ สาติสยํ ปฎิปกฺขธมฺมานํ สุปฺปหีนตฺตา สุฎฺฐุ ปากฎํ วิภูตตรํ กตฺวา ปวตฺตติ, สมฺมเทว จ วสีภาวสฺส ปาปกตฺตา ภวงฺคปริวาสสฺส จ อติปริตฺตกตฺตา ลหุ ลหุ ปวตฺตตีติฯ
Yadi evaṃ kathaṃ tena sadevakaṃ lokaṃ abhibhavatīti? Tassapi ānubhāvato asadisattā. Tampi hi visayato pavattito pavattiākārato ca uttaritarameva. Tañhi anaññasādhāraṇaṃ satthu vimuttiguṇaṃ ārabbha pavattati, pavattamānañca atakkāvacaraṃ paramagambhīraṃ saṇhaṃ sukhumaṃ sātisayaṃ paṭipakkhadhammānaṃ suppahīnattā suṭṭhu pākaṭaṃ vibhūtataraṃ katvā pavattati, sammadeva ca vasībhāvassa pāpakattā bhavaṅgaparivāsassa ca atiparittakattā lahu lahu pavattatīti.
เอวํ สีลาทิคุเณหิ ภควโต อุตฺตริตรสฺส อภาวํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ สทิสสฺสปิ อภาวํ ทเสฺสตุํ ‘‘สีลคุเณนปิ อสโม’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ อสโมติ เอกสฺมิํ กาเล นตฺถิ เอตสฺส สีลาทิคุเณน สโม สทิโสติ อสโมฯ ตถา อสเมหิ สโม อสมสโมฯ อสมา วา สมา เอตสฺสาติ อสมสโมฯ สีลาทิคุเณน นตฺถิ เอตสฺส ปฎิมาติ อปฺปฎิโมฯ เสสปททฺวเยปิ เอเสว นโยฯ ตตฺถ อุปมามตฺตํ ปฎิมา, สทิสูปมา ปฎิภาโค, ยุคคฺคาหวเสน ฐิโต ปฎิปุคฺคโลติ เวทิตโพฺพฯ
Evaṃ sīlādiguṇehi bhagavato uttaritarassa abhāvaṃ dassetvā idāni sadisassapi abhāvaṃ dassetuṃ ‘‘sīlaguṇenapi asamo’’tiādi vuttaṃ. Tattha asamoti ekasmiṃ kāle natthi etassa sīlādiguṇena samo sadisoti asamo. Tathā asamehi samo asamasamo. Asamā vā samā etassāti asamasamo. Sīlādiguṇena natthi etassa paṭimāti appaṭimo. Sesapadadvayepi eseva nayo. Tattha upamāmattaṃ paṭimā, sadisūpamā paṭibhāgo, yugaggāhavasena ṭhito paṭipuggaloti veditabbo.
น โข ปนาหํ ภิกฺขเว สมนุปสฺสามีติอาทีสุ มม สมนฺตจกฺขุนา หตฺถตเล อามลกํ วิย สพฺพํ โลกํ ปสฺสโนฺตปิ ตตฺถ สเทวเก…เป.… ปชาย อตฺตโน อตฺตโต สีลสมฺปนฺนตรํ สมฺปนฺนตรสีลํ กญฺจิปิ ปุคฺคลํ น โข ปน ปสฺสามิ ตาทิสสฺส อภาวโตติ อธิปฺปาโยฯ
Na kho panāhaṃ bhikkhave samanupassāmītiādīsu mama samantacakkhunā hatthatale āmalakaṃ viya sabbaṃ lokaṃ passantopi tattha sadevake…pe… pajāya attano attato sīlasampannataraṃ sampannatarasīlaṃ kañcipi puggalaṃ na kho pana passāmi tādisassa abhāvatoti adhippāyo.
อคฺคปฺปสาทสุตฺตาทีนีติ เอตฺถ –
Aggappasādasuttādīnīti ettha –
‘‘ยาวตา, ภิกฺขเว, สตฺตา อปทา วา ทฺวิปทา วา จตุปฺปทา วา พหุปฺปทา วา รูปิโน วา อรูปิโน วา สญฺญิโน วา อสญฺญิโน วา เนวสญฺญีนาสญฺญิโน วา, ตถาคโต เตสํ อคฺคมกฺขายติ อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธฯ เย, ภิกฺขเว, พุเทฺธ ปสนฺนา, อเคฺค เต ปสนฺนาฯ อเคฺค โข ปน ปสนฺนานํ อโคฺค วิปาโก โหตี’’ติ (อ. นิ. ๔.๓๔; อิติวุ. ๙๐) –
‘‘Yāvatā, bhikkhave, sattā apadā vā dvipadā vā catuppadā vā bahuppadā vā rūpino vā arūpino vā saññino vā asaññino vā nevasaññīnāsaññino vā, tathāgato tesaṃ aggamakkhāyati arahaṃ sammāsambuddho. Ye, bhikkhave, buddhe pasannā, agge te pasannā. Agge kho pana pasannānaṃ aggo vipāko hotī’’ti (a. ni. 4.34; itivu. 90) –
อิทํ อคฺคปฺปสาทสุตฺตํฯ อาทิ-สเทฺทน –
Idaṃ aggappasādasuttaṃ. Ādi-saddena –
‘‘สเทวเก, ภิกฺขเว, โลเก…เป.… สเทวมนุสฺสาย ตถาคโต อภิภู อนภิภูโต อญฺญทตฺถุ ทโส วสวตฺตี, ตสฺมา ตถาคโตติ วุจฺจตี’’ติ (อ. นิ. ๔.๒๓; ที. นิ. ๓.๑๘๘) –
‘‘Sadevake, bhikkhave, loke…pe… sadevamanussāya tathāgato abhibhū anabhibhūto aññadatthu daso vasavattī, tasmā tathāgatoti vuccatī’’ti (a. ni. 4.23; dī. ni. 3.188) –
เอวมาทีนิ สุตฺตปทานิ เวทิตพฺพานิฯ อาทิกา คาถาโยติ –
Evamādīni suttapadāni veditabbāni. Ādikā gāthāyoti –
‘‘อหญฺหิ อรหา โลเก, อหํ สตฺถา อนุตฺตโร;
‘‘Ahañhi arahā loke, ahaṃ satthā anuttaro;
เอโกมฺหิ สมฺมาสมฺพุโทฺธ, สีติภูโตสฺมิ นิพฺพุโตฯ (มหาว. ๑๑; ม. นิ. ๑.๒๘๕; ๒.๓๔๑);
Ekomhi sammāsambuddho, sītibhūtosmi nibbuto. (mahāva. 11; ma. ni. 1.285; 2.341);
‘‘ทโนฺต ทมยตํ เสโฎฺฐ, สโนฺต สมยตํ อิสิ;
‘‘Danto damayataṃ seṭṭho, santo samayataṃ isi;
มุโตฺต โมจยตํ อโคฺค, ติโณฺณ ตารยตํ วโรฯ (อิติวุ. ๑๑๒)
Mutto mocayataṃ aggo, tiṇṇo tārayataṃ varo. (itivu. 112)
‘‘นยิมสฺมิํ โลเก ปรสฺมิํ วา ปน,
‘‘Nayimasmiṃ loke parasmiṃ vā pana,
พุเทฺธน เสโฎฺฐ สทิโส จ วิชฺชติ;
Buddhena seṭṭho sadiso ca vijjati;
อาหุเนยฺยานํ ปรมาหุติํ คโต,
Āhuneyyānaṃ paramāhutiṃ gato,
ปุญฺญตฺถิกานํ วิปุลปฺผเลสิน’’นฺติฯ (วิ. ว. ๑๐๔๗; กถา. ๗๙๙) –
Puññatthikānaṃ vipulapphalesina’’nti. (vi. va. 1047; kathā. 799) –
เอวมาทิกา คาถา วิตฺถาเรตพฺพาฯ
Evamādikā gāthā vitthāretabbā.
ปุริสทมฺมสารถีติอาทีสุ ทมิตพฺพาติ ทมฺมา, ทมิตุํ อรหรูปาฯ ปุริสา จ เต ทมฺมา จาติ ปุริสทมฺมาฯ วิเสสนสฺส เจตฺถ ปรนิปาตํ กตฺวา นิเทฺทโส, ทมฺมปุริสาติ อโตฺถฯ ‘‘สติปิ มาตุคามสฺสปิ ทมฺมภาเว ปุริสคฺคหณํ อุกฺกฎฺฐปริเจฺฉทวเสนา’’ติ วทนฺติฯ สาเรตีติ อิมสฺส อตฺถํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘ทเมตี’’ติอาทิฯ ตตฺถ ทเมตีติ สเมติ, กายสมาทีหิ โยเชตีติ อโตฺถฯ ตํ ปน กายสมาทีหิ โยชนํ ยถารหํ ตทงฺควินยาทีสุ ปติฎฺฐาปนํ โหตีติ อาห ‘‘วิเนตีติ วุตฺตํ โหตี’’ติฯ อทนฺตาติ อิทํ สเพฺพน สพฺพํ ทมตํ อนุปคตา ปุริสทมฺมาติ วุตฺตาติ กตฺวา วุตฺตํฯ เย ปน วิปฺปกตทมฺมภาวา สพฺพถา ทเมตพฺพตํ นาติวตฺตา, เตปิ ปุริสทมฺมา เอว, ยโต เต สตฺถา ทเมติฯ ภควา หิ วิสุทฺธสีลสฺส ปฐมชฺฌานํ อาจิกฺขติ, ปฐมชฺฌานลาภิโน ทุติยชฺฌานนฺติอาทินา ตสฺส ตสฺส อุปรูปริ วิเสสํ อาจิกฺขโนฺต เอกเทเสน ทเนฺตปิ สเมติฯ เตเนว วุตฺตํ วิสุทฺธิมเคฺค (วิสุทฺธิ. ๑.๑๓๙) ‘‘อปิ จ โส ภควา วิสุทฺธสีลาทีนํ ปฐมชฺฌานาทีนิ โสตาปนฺนาทีนญฺจ อุตฺตริมคฺคปฺปฎิปทํ อาจิกฺขโนฺต ทเนฺตปิ ทเมติเยวา’’ติฯ อถ วา สเพฺพน สพฺพํ อทนฺตา เอกเทเสน ทนฺตา จ อิธ อทนฺตคฺคหเณเนว สงฺคหิตาติ เวทิตพฺพํฯ ทเมตุํ ยุตฺตาติ ทมนารหาฯ
Purisadammasārathītiādīsu damitabbāti dammā, damituṃ araharūpā. Purisā ca te dammā cāti purisadammā. Visesanassa cettha paranipātaṃ katvā niddeso, dammapurisāti attho. ‘‘Satipi mātugāmassapi dammabhāve purisaggahaṇaṃ ukkaṭṭhaparicchedavasenā’’ti vadanti. Sāretīti imassa atthaṃ dassento āha ‘‘dametī’’tiādi. Tattha dametīti sameti, kāyasamādīhi yojetīti attho. Taṃ pana kāyasamādīhi yojanaṃ yathārahaṃ tadaṅgavinayādīsu patiṭṭhāpanaṃ hotīti āha ‘‘vinetīti vuttaṃ hotī’’ti. Adantāti idaṃ sabbena sabbaṃ damataṃ anupagatā purisadammāti vuttāti katvā vuttaṃ. Ye pana vippakatadammabhāvā sabbathā dametabbataṃ nātivattā, tepi purisadammā eva, yato te satthā dameti. Bhagavā hi visuddhasīlassa paṭhamajjhānaṃ ācikkhati, paṭhamajjhānalābhino dutiyajjhānantiādinā tassa tassa uparūpari visesaṃ ācikkhanto ekadesena dantepi sameti. Teneva vuttaṃ visuddhimagge (visuddhi. 1.139) ‘‘api ca so bhagavā visuddhasīlādīnaṃ paṭhamajjhānādīni sotāpannādīnañca uttarimaggappaṭipadaṃ ācikkhanto dantepi dametiyevā’’ti. Atha vā sabbena sabbaṃ adantā ekadesena dantā ca idha adantaggahaṇeneva saṅgahitāti veditabbaṃ. Dametuṃ yuttāti damanārahā.
ติรจฺฉานปุริสาติอาทีสุ อุทฺธํ อนุคฺคนฺตฺวา ติริยํ อญฺจิตา คตา วฑฺฒิตาติ ติรจฺฉานา, เทวมนุสฺสาทโย วิย อุทฺธํ ทีฆํ อหุตฺวา ติริยํ ทีฆาติ อโตฺถฯ ติรจฺฉานาเยว ปุริสา ติรจฺฉานปุริสาฯ มนสฺส อุสฺสนฺนตาย มนุสฺสาฯ สติสูรภาวพฺรหฺมจริยโยคฺยตาทิคุณวเสน อุปจิตมานสา อุกฺกฎฺฐคุณจิตฺตาฯ เก ปน เต? ชมฺพุทีปวาสิโน สตฺตวิเสสาฯ เตนาห ภควา –
Tiracchānapurisātiādīsu uddhaṃ anuggantvā tiriyaṃ añcitā gatā vaḍḍhitāti tiracchānā, devamanussādayo viya uddhaṃ dīghaṃ ahutvā tiriyaṃ dīghāti attho. Tiracchānāyeva purisā tiracchānapurisā. Manassa ussannatāya manussā. Satisūrabhāvabrahmacariyayogyatādiguṇavasena upacitamānasā ukkaṭṭhaguṇacittā. Ke pana te? Jambudīpavāsino sattavisesā. Tenāha bhagavā –
‘‘ตีหิ, ภิกฺขเว, ฐาเนหิ ชมฺพุทีปกา มนุสฺสา อุตฺตรกุรุเก จ มนุเสฺส อธิคฺคณฺหนฺติ เทเว จ ตาวติํเสฯ กตเมหิ ตีหิ? สูรา สติมโนฺต อิธ พฺรหฺมจริยวาโส’’ติ (อ. นิ. ๙.๒๑)ฯ
‘‘Tīhi, bhikkhave, ṭhānehi jambudīpakā manussā uttarakuruke ca manusse adhiggaṇhanti deve ca tāvatiṃse. Katamehi tīhi? Sūrā satimanto idha brahmacariyavāso’’ti (a. ni. 9.21).
ตถา หิ พุทฺธา ภควโนฺต ปเจฺจกพุทฺธา อคฺคสาวกา มหาสาวกา จกฺกวตฺติโน อเญฺญ จ มหานุภาวา สตฺตา ตเตฺถว อุปฺปชฺชนฺติฯ เตหิ สมานรูปาทิตาย ปน สทฺธิํ ปริตฺตทีปวาสีหิ อิตรมหาทีปวาสิโนปิ มนุสฺสาเตฺวว ปญฺญายิํสูติ เอเกฯ อปเร ปน ภณนฺติ – โลภาทีหิ จ อโลภาทีหิ จ สหิตสฺส มนสฺส อุสฺสนฺนตาย มนุสฺสาฯ เย หิ สตฺตา มนุสฺสชาติกา, เตสุ วิเสสโต โลภาทโย อโลภาทโย จ อุสฺสนฺนา, เต โลภาทิอุสฺสนฺนตาย อปายมคฺคํ, อโลภาทิอุสฺสนฺนตาย สุคติมคฺคํ นิพฺพานคามิมคฺคญฺจ ปูเรนฺติ, ตสฺมา โลภาทีหิ อโลภาทีหิ จ สหิตสฺส มนสฺส อุสฺสนฺนตาย ปริตฺตทีปวาสีหิ สทฺธิํ จตุมหาทีปวาสิโน สตฺตวิเสสา มนุสฺสาติ วุจฺจนฺติฯ โลกิยา ปน ‘‘มนุโน อปจฺจภาเวน มนุสฺสา’’ติ วทนฺติฯ มนุ นาม ปฐมกปฺปิโก โลกมริยาทาย อาทิภูโต หิตาหิตวิธายโก สตฺตานํ ปิตุฎฺฐานิโย, โย สาสเน มหาสมฺมโตติ วุจฺจติ, ปจฺจกฺขโต ปรมฺปราย จ ตสฺส โอวาทานุสาสนิยํ ฐิตา ตสฺส ปุตฺตสทิสตาย มนุสฺสา มานุสาติ จ วุจฺจนฺติฯ ตโต เอว หิ เต มาณวา ‘‘มนุชา’’ติ จ โวหรียนฺติ, มนุสฺสา จ เต ปุริสา จาติ มนุสฺสปุริสาฯ
Tathā hi buddhā bhagavanto paccekabuddhā aggasāvakā mahāsāvakā cakkavattino aññe ca mahānubhāvā sattā tattheva uppajjanti. Tehi samānarūpāditāya pana saddhiṃ parittadīpavāsīhi itaramahādīpavāsinopi manussātveva paññāyiṃsūti eke. Apare pana bhaṇanti – lobhādīhi ca alobhādīhi ca sahitassa manassa ussannatāya manussā. Ye hi sattā manussajātikā, tesu visesato lobhādayo alobhādayo ca ussannā, te lobhādiussannatāya apāyamaggaṃ, alobhādiussannatāya sugatimaggaṃ nibbānagāmimaggañca pūrenti, tasmā lobhādīhi alobhādīhi ca sahitassa manassa ussannatāya parittadīpavāsīhi saddhiṃ catumahādīpavāsino sattavisesā manussāti vuccanti. Lokiyā pana ‘‘manuno apaccabhāvena manussā’’ti vadanti. Manu nāma paṭhamakappiko lokamariyādāya ādibhūto hitāhitavidhāyako sattānaṃ pituṭṭhāniyo, yo sāsane mahāsammatoti vuccati, paccakkhato paramparāya ca tassa ovādānusāsaniyaṃ ṭhitā tassa puttasadisatāya manussā mānusāti ca vuccanti. Tato eva hi te māṇavā ‘‘manujā’’ti ca voharīyanti, manussā ca te purisā cāti manussapurisā.
อมนุสฺสปุริสาติ เอตฺถ น มนุสฺสาติ อมนุสฺสาฯ ตํสทิสตา เอตฺถ โชตียติฯ เตน มนุสฺสตฺตมตฺตํ นตฺถิ, อญฺญํ สมานนฺติ ยกฺขาทโย อมนุสฺสาติ อธิเปฺปตาฯ น เย เกจิ มนุเสฺสหิ อเญฺญ, ตถา ติรจฺฉานปุริสานํ วิสุํ คหณํ กตํฯ ยกฺขาทโย เอว จ นิทฺทิฎฺฐาฯ อปลาโล หิมวนฺตวาสี, จูโฬทรมโหทรา นาคทีปวาสิโน, อคฺคิสิขธูมสิขา สีหฬทีปวาสิโน นิพฺพิสา กตา โทสวิสสฺส วิโนทเนนฯ เตนาห ‘‘สรเณสุ จ สีเลสุ จ ปติฎฺฐาปิตา’’ติฯ กูฎทนฺตาทโยติ อาทิ-สเทฺทน โฆรมุขอุปาลิคหปติอาทีนํ สงฺคโห ทฎฺฐโพฺพฯ สกฺกาทโยติ อาทิ-สเทฺทน อชกลาปยกฺขพกพฺรหฺมาทีนํ สงฺคโห ทฎฺฐโพฺพฯ เอเตสํ ปน ทมนํ ตตฺถ ตตฺถ วุตฺตนเยเนว สกฺกา วิญฺญาตุนฺติ อติปฺปปญฺจภาวโต อิธ น วุจฺจติฯ อิทเญฺจตฺถ สุตฺตํ วิตฺถาเรตพฺพนฺติ อิทํ เกสีสุตฺตํ ‘‘วินีตา วิจิเตฺรหิ วินยนูปาเยหี’’ติ เอตสฺมิํ อเตฺถ วิตฺถาเรตพฺพํ ยถารหํ สณฺหาทีหิ อุปาเยหิ วินยนสฺส ทีปนโตฯ
Amanussapurisāti ettha na manussāti amanussā. Taṃsadisatā ettha jotīyati. Tena manussattamattaṃ natthi, aññaṃ samānanti yakkhādayo amanussāti adhippetā. Na ye keci manussehi aññe, tathā tiracchānapurisānaṃ visuṃ gahaṇaṃ kataṃ. Yakkhādayo eva ca niddiṭṭhā. Apalālo himavantavāsī, cūḷodaramahodarā nāgadīpavāsino, aggisikhadhūmasikhā sīhaḷadīpavāsino nibbisā katā dosavisassa vinodanena. Tenāha ‘‘saraṇesu ca sīlesu ca patiṭṭhāpitā’’ti. Kūṭadantādayoti ādi-saddena ghoramukhaupāligahapatiādīnaṃ saṅgaho daṭṭhabbo. Sakkādayoti ādi-saddena ajakalāpayakkhabakabrahmādīnaṃ saṅgaho daṭṭhabbo. Etesaṃ pana damanaṃ tattha tattha vuttanayeneva sakkā viññātunti atippapañcabhāvato idha na vuccati. Idañcettha suttaṃ vitthāretabbanti idaṃ kesīsuttaṃ ‘‘vinītā vicitrehi vinayanūpāyehī’’ti etasmiṃ atthe vitthāretabbaṃ yathārahaṃ saṇhādīhi upāyehi vinayanassa dīpanato.
อตฺถปทนฺติ อตฺถาภิพฺยญฺชนกํ ปทํ, วากฺยนฺติ อโตฺถฯ วาเกฺยน หิ อตฺถาภิพฺยตฺติ, น นามาทิปทมเตฺตน, เอกปทภาเวน จ อนญฺญสาธารโณ สตฺถุ ปุริสทมฺมสารถิภาโว ทสฺสิโต โหติฯ เตนาห ‘‘ภควา หี’’ติอาทิฯ อฎฺฐ ทิสาติ อฎฺฐ สมาปตฺติโยฯ ตา หิ อญฺญมญฺญํ สมฺพนฺธาปิ อสํกิณฺณภาเวน ทิสฺสนฺติ อปทิสฺสนฺติ, ทิสา วิยาติ วา ทิสาฯ อสชฺชมานาติ น สชฺชมานา วสีภาวปฺปตฺติยา นิสฺสงฺคจาราฯ ธาวนฺตีติ ชวนวุตฺติโยคโต ธาวนฺติฯ เอกํเยว ทิสํ ธาวตีติ อตฺตโน กายํ อปริวตฺตโนฺตติ อธิปฺปาโย, สตฺถารา ปน ทมิตา ปุริสทมฺมา เอกิริยาปเถเนว อฎฺฐ ทิสา ธาวนฺติฯ เตนาห ‘‘เอกปลฺลเงฺกเนว นิสินฺนา’’ติฯ อฎฺฐ ทิสาติ จ นิทสฺสนมตฺตเมตํ โลกิเยหิ อคตปุพฺพํ นิโรธสมาปตฺติทิสํ อมตทิสญฺจ ปกฺขนฺทนโตฯ
Atthapadanti atthābhibyañjanakaṃ padaṃ, vākyanti attho. Vākyena hi atthābhibyatti, na nāmādipadamattena, ekapadabhāvena ca anaññasādhāraṇo satthu purisadammasārathibhāvo dassito hoti. Tenāha ‘‘bhagavā hī’’tiādi. Aṭṭha disāti aṭṭha samāpattiyo. Tā hi aññamaññaṃ sambandhāpi asaṃkiṇṇabhāvena dissanti apadissanti, disā viyāti vā disā. Asajjamānāti na sajjamānā vasībhāvappattiyā nissaṅgacārā. Dhāvantīti javanavuttiyogato dhāvanti. Ekaṃyeva disaṃ dhāvatīti attano kāyaṃ aparivattantoti adhippāyo, satthārā pana damitā purisadammā ekiriyāpatheneva aṭṭha disā dhāvanti. Tenāha ‘‘ekapallaṅkeneva nisinnā’’ti. Aṭṭha disāti ca nidassanamattametaṃ lokiyehi agatapubbaṃ nirodhasamāpattidisaṃ amatadisañca pakkhandanato.
ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกปรมเตฺถหีติอาทีสุ ทิฎฺฐธโมฺม วุจฺจติ ปจฺจโกฺข อตฺตภาโว, ตตฺถ นิยุโตฺตติ ทิฎฺฐธมฺมิโก, อิธโลกโตฺถฯ กมฺมกิเลสวเสน สมฺปเรตพฺพโต สมฺมา คนฺตพฺพโต สมฺปราโย, ปรโลโกฯ ตตฺถ นิยุโตฺตติ สมฺปรายิโก, ปรโลกโตฺถฯ ปรโม อุตฺตโม อโตฺถ ปรมโตฺถ, นิพฺพานํฯ เตหิ ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกปรมเตฺถหิฯ ยถารหนฺติ ยถานุรูปํ, เตสุ เตสุ อเตฺถสุ โย โย ปุคฺคโล ยํ ยํ อรหติ, ตทนุรูปํฯ อนุสาสตีติ วิเนติ ตสฺมิํ ตสฺมิํ อเตฺถ ปติฎฺฐาเปติฯ สห อเตฺถน วตฺตตีติ สโตฺถ, ภณฺฑมูเลน วณิชฺชาย เทสนฺตรํ คจฺฉโนฺต ชนสมูโหฯ หิตุปเทสาทิวเสน ปริปาเลตโพฺพ สาสิตโพฺพ โส เอตสฺส อตฺถีติ สตฺถา สตฺถวาโห นิรุตฺตินเยนฯ โส วิย ภควาติ อาห ‘‘สตฺถา วิยาติ สตฺถา, ภควา สตฺถวาโห’’ติฯ
Diṭṭhadhammikasamparāyikaparamatthehītiādīsu diṭṭhadhammo vuccati paccakkho attabhāvo, tattha niyuttoti diṭṭhadhammiko, idhalokattho. Kammakilesavasena samparetabbato sammā gantabbato samparāyo, paraloko. Tattha niyuttoti samparāyiko, paralokattho. Paramo uttamo attho paramattho, nibbānaṃ. Tehi diṭṭhadhammikasamparāyikaparamatthehi. Yathārahanti yathānurūpaṃ, tesu tesu atthesu yo yo puggalo yaṃ yaṃ arahati, tadanurūpaṃ. Anusāsatīti vineti tasmiṃ tasmiṃ atthe patiṭṭhāpeti. Saha atthena vattatīti sattho, bhaṇḍamūlena vaṇijjāya desantaraṃ gacchanto janasamūho. Hitupadesādivasena paripāletabbo sāsitabbo so etassa atthīti satthā satthavāho niruttinayena. So viya bhagavāti āha ‘‘satthā viyāti satthā, bhagavā satthavāho’’ti.
อิทานิ ตมตฺถํ นิเทฺทสปาฬินเยน ทเสฺสตุํ ‘‘ยถา สตฺถวาโห’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ สเตฺถติ สตฺถิเก ชเนฯ กํ อุทกํ ตาเรนฺติ เอตฺถาติ กนฺตาโร, นิรุทโก อรญฺญปฺปเทโสฯ รุฬฺหีวเสน ปน อิตโรปิ อรญฺญปฺปเทโส ตถา วุจฺจติฯ โจรกนฺตารนฺติ โจเรหิ อธิฎฺฐิตกนฺตารํ, ตถา วาฬกนฺตารํฯ ทุพฺภิกฺขกนฺตารนฺติ ทุลฺลภภิกฺขํ กนฺตารํฯ ตาเรตีติ อเขมนฺตฎฺฐานํ อติกฺกาเมติฯ อุตฺตาเรตีติอาทิ อุปสเคฺคน ปทํ วเฑฺฒตฺวา วุตฺตํฯ อถ วา อุตฺตาเรตีติ เขมนฺตภูมิํ อุปเนโนฺต ตาเรติฯ นิตฺตาเรตีติ อเขมนฺตฎฺฐานโต นิกฺขาเมโนฺต ตาเรติฯ ปตาเรตีติ ปริคฺคเหตฺวา ตาเรติ, หเตฺถน ปริคฺคเหตฺวา ตาเรติ วิย ตาเรตีติ อโตฺถฯ สพฺพเมฺปตํ ตารณุตฺตารณาทิ เขมฎฺฐาเน ฐปนเมวาติ อาห ‘‘เขมนฺตภูมิํ สมฺปาเปตี’’ติฯ สเตฺตติ เวเนยฺยสเตฺตฯ มหาคหนตาย มหานตฺถตาย ทุนฺนิตฺถรตาย จ ชาติเยว กนฺตาโร ชาติกนฺตาโร, ตํ ชาติกนฺตารํฯ
Idāni tamatthaṃ niddesapāḷinayena dassetuṃ ‘‘yathā satthavāho’’tiādi vuttaṃ. Tattha sattheti satthike jane. Kaṃ udakaṃ tārenti etthāti kantāro, nirudako araññappadeso. Ruḷhīvasena pana itaropi araññappadeso tathā vuccati. Corakantāranti corehi adhiṭṭhitakantāraṃ, tathā vāḷakantāraṃ. Dubbhikkhakantāranti dullabhabhikkhaṃ kantāraṃ. Tāretīti akhemantaṭṭhānaṃ atikkāmeti. Uttāretītiādi upasaggena padaṃ vaḍḍhetvā vuttaṃ. Atha vā uttāretīti khemantabhūmiṃ upanento tāreti. Nittāretīti akhemantaṭṭhānato nikkhāmento tāreti. Patāretīti pariggahetvā tāreti, hatthena pariggahetvā tāreti viya tāretīti attho. Sabbampetaṃ tāraṇuttāraṇādi khemaṭṭhāne ṭhapanamevāti āha ‘‘khemantabhūmiṃ sampāpetī’’ti. Satteti veneyyasatte. Mahāgahanatāya mahānatthatāya dunnittharatāya ca jātiyeva kantāro jātikantāro, taṃ jātikantāraṃ.
อุกฺกฎฺฐปริเจฺฉทวเสนาติ อุกฺกฎฺฐสตฺตปริเจฺฉทวเสนฯ เทวมนุสฺสา เอว หิ อุกฺกฎฺฐสตฺตา, น ติรจฺฉานาทโยฯ เอตนฺติ ‘‘เทวมนุสฺสาน’’นฺติ เอตํ วจนํฯ ภพฺพปุคฺคลปริเจฺฉทวเสนาติ สมฺมตฺตนิยาโมกฺกมนสฺส โยคฺยปุคฺคลสฺส ปริจฺฉินฺทนวเสนฯ ภควโตติ นิสฺสเกฺก สามิวจนํ ยถา ‘‘อุปชฺฌายโต อเชฺฌตี’’ติฯ ภควโต สนฺติเก วาติ อโตฺถฯ อุปนิสฺสยสมฺปตฺตินฺติ ติเหตุกปฎิสนฺธิอาทิกํ มคฺคผลาธิคมสฺส พลวการณํฯ คคฺครายาติ คคฺคราย นาม รโญฺญ เทวิยา, ตาย วา การิตตฺตา ‘‘คคฺครา’’ติ ลทฺธนามายฯ สเร นิมิตฺตํ อคฺคเหสีติ ‘‘ธโมฺม เอโส วุจฺจตี’’ติ ธมฺมสญฺญาย สเร นิมิตฺตํ คณฺหิ, คณฺหโนฺต จ ปสนฺนจิโตฺต ปริสปริยเนฺต นิปชฺชิฯ สนฺนิรุมฺภิตฺวา อฎฺฐาสีติ ตสฺส สีเส ทณฺฑสฺส ฐปิตภาวํ อปสฺสโนฺต ตตฺถ ทณฺฑํ อุปฺปีเฬตฺวา อฎฺฐาสิฯ มณฺฑูโกปิ ทเณฺฑ ฐปิเตปิ อุปฺปีฬิเตปิ ธมฺมคเตน ปสาเทน วิสฺสรมกโรโนฺตว กาลมกาสิฯ เทวโลเก นิพฺพตฺตสตฺตานํ อยํ ธมฺมตา, ยา ‘‘กุโตหํ อิธ นิพฺพโตฺต, ตตฺถ กินฺนุ โข กมฺมมกาสิ’’นฺติ อาวชฺชนาฯ ตสฺมา อตฺตโน ปุริมภวสฺส ทิฎฺฐตฺตา อาห ‘‘อเร อหมฺปิ นาม อิธ นิพฺพโตฺต’’ติฯ ภควโต ปาเท สิรสา วนฺทีติ กตญฺญุตาสํวฑฺฒิเตน เปมคารวพหุมาเนน วนฺทิฯ
Ukkaṭṭhaparicchedavasenāti ukkaṭṭhasattaparicchedavasena. Devamanussā eva hi ukkaṭṭhasattā, na tiracchānādayo. Etanti ‘‘devamanussāna’’nti etaṃ vacanaṃ. Bhabbapuggalaparicchedavasenāti sammattaniyāmokkamanassa yogyapuggalassa paricchindanavasena. Bhagavatoti nissakke sāmivacanaṃ yathā ‘‘upajjhāyato ajjhetī’’ti. Bhagavato santike vāti attho. Upanissayasampattinti tihetukapaṭisandhiādikaṃ maggaphalādhigamassa balavakāraṇaṃ. Gaggarāyāti gaggarāya nāma rañño deviyā, tāya vā kāritattā ‘‘gaggarā’’ti laddhanāmāya. Sare nimittaṃ aggahesīti ‘‘dhammo eso vuccatī’’ti dhammasaññāya sare nimittaṃ gaṇhi, gaṇhanto ca pasannacitto parisapariyante nipajji. Sannirumbhitvā aṭṭhāsīti tassa sīse daṇḍassa ṭhapitabhāvaṃ apassanto tattha daṇḍaṃ uppīḷetvā aṭṭhāsi. Maṇḍūkopi daṇḍe ṭhapitepi uppīḷitepi dhammagatena pasādena vissaramakarontova kālamakāsi. Devaloke nibbattasattānaṃ ayaṃ dhammatā, yā ‘‘kutohaṃ idha nibbatto, tattha kinnu kho kammamakāsi’’nti āvajjanā. Tasmā attano purimabhavassa diṭṭhattā āha ‘‘are ahampi nāma idha nibbatto’’ti. Bhagavato pāde sirasā vandīti kataññutāsaṃvaḍḍhitena pemagāravabahumānena vandi.
ชานโนฺตว ปุจฺฉีติ มหาชนสฺส กมฺมผลํ พุทฺธานุภาวญฺจ ปจฺจกฺขํ กาตุกาโม ภควา ‘‘โก เม วนฺทตี’’ติ คาถาย ปุจฺฉิฯ ตตฺถ (วิ. ว. อฎฺฐ. ๘๕๗) โกติ เทวนาคยกฺขคนฺธพฺพาทีสุ โก, กตโมติ อโตฺถฯ เมติ มมฯ ปาทานีติ ปาเทฯ อิทฺธิยาติ อิมาย เอวรูปาย เทวิทฺธิยาฯ ยสสาติ อิมินา เอทิเสน ยเสน จ ปริวาเรน จฯ ชลนฺติ วิโชฺชตมาโนฯ อภิกฺกเนฺตนาติ อติวิย กเนฺตน กามนีเยน สุนฺทเรนฯ วเณฺณนาติ ฉวิวเณฺณน สรีรวณฺณนิภายฯ สพฺพา โอภาสยํ ทิสาติ สพฺพา ทสปิ ทิสา ปภาเสโนฺต, จโนฺท วิย สูริโย วิย จ เอโกภาสํ เอกาโลกํ กโรโนฺตติ อโตฺถฯ
Jānantovapucchīti mahājanassa kammaphalaṃ buddhānubhāvañca paccakkhaṃ kātukāmo bhagavā ‘‘ko me vandatī’’ti gāthāya pucchi. Tattha (vi. va. aṭṭha. 857) koti devanāgayakkhagandhabbādīsu ko, katamoti attho. Meti mama. Pādānīti pāde. Iddhiyāti imāya evarūpāya deviddhiyā. Yasasāti iminā edisena yasena ca parivārena ca. Jalanti vijjotamāno. Abhikkantenāti ativiya kantena kāmanīyena sundarena. Vaṇṇenāti chavivaṇṇena sarīravaṇṇanibhāya. Sabbā obhāsayaṃ disāti sabbā dasapi disā pabhāsento, cando viya sūriyo viya ca ekobhāsaṃ ekālokaṃ karontoti attho.
เอวํ ปน ภควตา ปุจฺฉิโต เทวปุโตฺต อตฺตานํ ปเวเทโนฺต ‘‘มณฺฑูโกหํ ปุเร อาสิ’’นฺติ คาถมาหฯ ตตฺถ ปุเรติ ปุริมชาติยํฯ อุทเกติ อิทํ ตทา อตฺตโน อุปฺปตฺติฎฺฐานทสฺสนํฯ อุทเก มณฺฑูโกติ เตน อุทฺธุมายิกาทิกสฺส ถเล มณฺฑูกสฺส นิวตฺตนํ กตํ โหติฯ คาโว จรนฺติ เอตฺถาติ โคจโร, คุนฺนํ ฆาเสสนฎฺฐานํฯ อิธ ปน โคจโร วิยาติ โคจโร, วาริ อุทกํ โคจโร เอตสฺสาติ วาริโคจโรฯ อุทกจารีปิ หิ โกจิ กจฺฉปาทิ อวาริโคจโรปิ โหตีติ ‘‘วาริโคจโร’’ติ วิเสเสตฺวา วุตฺตํฯ ตว ธมฺมํ สุณนฺตสฺสาติ พฺรหฺมสฺสเรน กรวีกรุตมญฺชุนา เทเสนฺตสฺส ตว ธมฺมํ ‘‘ธโมฺม เอโส วุจฺจตี’’ติ สเร นิมิตฺตคฺคาหวเสน สุณนฺตสฺสฯ อนาทเร เจตํ สามิวจนํฯ อวธี วจฺฉปาลโกติ วเจฺฉ รกฺขโนฺต โคปาลกทารโก มม สมีปํ อาคนฺตฺวา ทณฺฑโมลุพฺภ ติฎฺฐโนฺต มม สีเส ทณฺฑํ สนฺนิรุมฺภิตฺวา มํ มาเรสีติ อโตฺถฯ
Evaṃ pana bhagavatā pucchito devaputto attānaṃ pavedento ‘‘maṇḍūkohaṃ pure āsi’’nti gāthamāha. Tattha pureti purimajātiyaṃ. Udaketi idaṃ tadā attano uppattiṭṭhānadassanaṃ. Udake maṇḍūkoti tena uddhumāyikādikassa thale maṇḍūkassa nivattanaṃ kataṃ hoti. Gāvo caranti etthāti gocaro, gunnaṃ ghāsesanaṭṭhānaṃ. Idha pana gocaro viyāti gocaro, vāri udakaṃ gocaro etassāti vārigocaro. Udakacārīpi hi koci kacchapādi avārigocaropi hotīti ‘‘vārigocaro’’ti visesetvā vuttaṃ. Tava dhammaṃ suṇantassāti brahmassarena karavīkarutamañjunā desentassa tava dhammaṃ ‘‘dhammo eso vuccatī’’ti sare nimittaggāhavasena suṇantassa. Anādare cetaṃ sāmivacanaṃ. Avadhī vacchapālakoti vacche rakkhanto gopālakadārako mama samīpaṃ āgantvā daṇḍamolubbha tiṭṭhanto mama sīse daṇḍaṃ sannirumbhitvā maṃ māresīti attho.
สิตํ กตฺวาติ ‘‘ตถา ปริตฺตตเรนปิ ปุญฺญานุภาเวน เอวํ อติวิย อุฬารา โลกิยโลกุตฺตรสมฺปตฺติโย ลพฺภนฺตี’’ติ ปีติโสมนสฺสชาโต ภาสุรตรธวฬวิปฺผุรนฺตทสนขกิรณาวฬีหิ ภิโยฺยโส มตฺตาย ตํ ปเทสํ โอภาเสโนฺต สิตํ กตฺวาฯ ปีติโสมนสฺสวเสน หิ โส –
Sitaṃ katvāti ‘‘tathā parittatarenapi puññānubhāvena evaṃ ativiya uḷārā lokiyalokuttarasampattiyo labbhantī’’ti pītisomanassajāto bhāsurataradhavaḷavipphurantadasanakhakiraṇāvaḷīhi bhiyyoso mattāya taṃ padesaṃ obhāsento sitaṃ katvā. Pītisomanassavasena hi so –
‘‘มุหุตฺตํ จิตฺตปสาทสฺส, อิทฺธิํ ปสฺส ยสญฺจ เม;
‘‘Muhuttaṃ cittapasādassa, iddhiṃ passa yasañca me;
อานุภาวญฺจ เม ปสฺส, วณฺณํ ปสฺส ชุติญฺจ เมฯ
Ānubhāvañca me passa, vaṇṇaṃ passa jutiñca me.
‘‘เย จ เต ทีฆมทฺธานํ, ธมฺมํ อโสฺสสุํ โคตม;
‘‘Ye ca te dīghamaddhānaṃ, dhammaṃ assosuṃ gotama;
ปตฺตา เต อจลฎฺฐานํ, ยตฺถ คนฺตฺวา น โสจเร’’ติฯ (วิ. ว. ๘๕๙-๘๖๐) –
Pattā te acalaṭṭhānaṃ, yattha gantvā na socare’’ti. (vi. va. 859-860) –
อิมา เทฺว คาถา วตฺวา ปกฺกามิฯ
Imā dve gāthā vatvā pakkāmi.
ยํ ปน กิญฺจีติ เอตฺถ ยนฺติ อนิยมิตวจนํ, ตถา กิญฺจีติฯ ปนาติ วจนาลงฺการมตฺตํฯ ตสฺมา ยํ กิญฺจีติ เญยฺยสฺส อนวเสสปริยาทานํ กตํ โหติฯ ปนาติ วา วิเสสตฺถทีปโก นิปาโตฯ เตน ‘‘สมฺมาสมฺพุโทฺธ’’ติ อิมินา สเงฺขปโต วิตฺถารโต จ สตฺถุ จตุสจฺจาภิสโมฺพโธ วุโตฺตฯ พุโทฺธติ ปน อิมินา ตทญฺญสฺสปิ เญยฺยสฺส อวโพโธฯ ปุริเมน วา สตฺถุ ปฎิเวธญาณานุภาโว, ปจฺฉิเมน เทสนาญาณานุภาโวฯ ปี-ติ อุปริ วุจฺจมาโน วิเสโส โชตียติฯ วิโมกฺขนฺติกญาณวเสนาติ เอตฺถ สพฺพโส ปฎิปเกฺขหิ วิมุจฺจตีติ วิโมโกฺข, อคฺคมโคฺค, ตสฺส อโนฺต, อคฺคผลํ, ตสฺมิํ ลเทฺธ ลทฺธพฺพโต ตตฺถ ภวํ วิโมกฺขนฺติกํ, ญาณํ สพฺพญฺญุตญฺญาเณน สทฺธิํ สพฺพมฺปิ พุทฺธญาณํฯ
Yaṃ pana kiñcīti ettha yanti aniyamitavacanaṃ, tathā kiñcīti. Panāti vacanālaṅkāramattaṃ. Tasmā yaṃ kiñcīti ñeyyassa anavasesapariyādānaṃ kataṃ hoti. Panāti vā visesatthadīpako nipāto. Tena ‘‘sammāsambuddho’’ti iminā saṅkhepato vitthārato ca satthu catusaccābhisambodho vutto. Buddhoti pana iminā tadaññassapi ñeyyassa avabodho. Purimena vā satthu paṭivedhañāṇānubhāvo, pacchimena desanāñāṇānubhāvo. Pī-ti upari vuccamāno viseso jotīyati. Vimokkhantikañāṇavasenāti ettha sabbaso paṭipakkhehi vimuccatīti vimokkho, aggamaggo, tassa anto, aggaphalaṃ, tasmiṃ laddhe laddhabbato tattha bhavaṃ vimokkhantikaṃ, ñāṇaṃ sabbaññutaññāṇena saddhiṃ sabbampi buddhañāṇaṃ.
เอวํ ปวโตฺตติ เอตฺถ –
Evaṃ pavattoti ettha –
‘‘สพฺพญฺญุตาย พุโทฺธ, สพฺพทสฺสาวิตาย พุโทฺธ, อนญฺญเนยฺยตาย พุโทฺธ, วิสวิตาย พุโทฺธ, ขีณาสวสงฺขาเตน พุโทฺธ, นิรุปเลปสงฺขาเตน พุโทฺธ, เอกนฺตวีตราโคติ พุโทฺธ, เอกนฺตวีตโทโสติ พุโทฺธ, เอกนฺตวีตโมโหติ พุโทฺธ, เอกนฺตนิกฺกิเลโสติ พุโทฺธ, เอกายนมคฺคํ คโตติ พุโทฺธ, เอโก อนุตฺตรํ สมฺมาสโมฺพธิํ อภิสมฺพุโทฺธติ พุโทฺธ, อพุทฺธิวิหตตฺตา พุทฺธิปฎิลาภา พุโทฺธฯ พุโทฺธติ เนตํ นามํ มาตรา กตํ, น ปิตรา กตํ, น ภาตรา กตํ, น ภคินิยา กตํ, น มิตฺตามเจฺจหิ กตํ, น ญาติสาโลหิเตหิ กตํ, น สมณพฺราหฺมเณหิ กตํ, น เทวตาหิ กตํ, วิโมกฺขนฺติกเมตํ พุทฺธานํ ภควนฺตานํ โพธิยา มูเล สห สพฺพญฺญุตญฺญาณสฺส ปฎิลาภา สจฺฉิกา ปญฺญตฺติ ยทิทํ พุโทฺธ’’ติ (มหานิ. ๑๙๒) –
‘‘Sabbaññutāya buddho, sabbadassāvitāya buddho, anaññaneyyatāya buddho, visavitāya buddho, khīṇāsavasaṅkhātena buddho, nirupalepasaṅkhātena buddho, ekantavītarāgoti buddho, ekantavītadosoti buddho, ekantavītamohoti buddho, ekantanikkilesoti buddho, ekāyanamaggaṃ gatoti buddho, eko anuttaraṃ sammāsambodhiṃ abhisambuddhoti buddho, abuddhivihatattā buddhipaṭilābhā buddho. Buddhoti netaṃ nāmaṃ mātarā kataṃ, na pitarā kataṃ, na bhātarā kataṃ, na bhaginiyā kataṃ, na mittāmaccehi kataṃ, na ñātisālohitehi kataṃ, na samaṇabrāhmaṇehi kataṃ, na devatāhi kataṃ, vimokkhantikametaṃ buddhānaṃ bhagavantānaṃ bodhiyā mūle saha sabbaññutaññāṇassa paṭilābhā sacchikā paññatti yadidaṃ buddho’’ti (mahāni. 192) –
อยํ นิเทฺทสปาฬินโยฯ ยสฺมา เจตฺถ ตสฺสา ปฎิสมฺภิทาปาฬิยา (ปฎิ. ม. ๑.๑๖๒) เภโท นตฺถิ, ตสฺมา ทฺวีสุ เอเกนปิ อตฺถสิทฺธีติ ทสฺสนตฺถํ ‘‘ปฎิสมฺภิทานโย วา’’ติ อนิยมโตฺถ วาสโทฺท วุโตฺตฯ
Ayaṃ niddesapāḷinayo. Yasmā cettha tassā paṭisambhidāpāḷiyā (paṭi. ma. 1.162) bhedo natthi, tasmā dvīsu ekenapi atthasiddhīti dassanatthaṃ ‘‘paṭisambhidānayo vā’’ti aniyamattho vāsaddo vutto.
ตตฺถ (ปฎิ. ม. อฎฺฐ. ๒.๑.๑๖๒; มหานิ. อฎฺฐ. ๑๙๒) ยถา โลเก อวคนฺตา ‘‘อวคโต’’ติ วุจฺจติ, เอวํ พุชฺฌิตา สจฺจานีติ พุโทฺธ สุทฺธกตฺตุวเสนฯ ยถา ปณฺณโสสา วาตา ‘‘ปณฺณสุสา’’ติ วุจฺจนฺติ, เอวํ โพเธตา ปชายาติ พุโทฺธ เหตุกตฺตุวเสนฯ เหตุอโตฺถ เจตฺถ อโนฺตนีโต ฯ สพฺพญฺญุตาย พุโทฺธติ สพฺพธมฺมพุชฺฌนสมตฺถาย พุทฺธิยา พุโทฺธติ อโตฺถฯ สพฺพทสฺสาวิตาย พุโทฺธติ สพฺพธมฺมโพธนสมตฺถาย พุทฺธิยา พุโทฺธติ อโตฺถฯ อนญฺญเนยฺยตาย พุโทฺธติ อเญฺญน อโพธิโต สยเมว พุทฺธตฺตา พุโทฺธติ อโตฺถฯ วิสวิตาย พุโทฺธติ นานาคุณวิสวนโต ปทุมมิว วิกสนเฎฺฐน พุโทฺธติ อโตฺถฯ ขีณาสวสงฺขาเตน พุโทฺธติ เอวมาทีหิ ฉหิ ปเทหิ จิตฺตสโงฺกจกรธมฺมปฺปหาเนน นิทฺทากฺขยวิพุโทฺธ ปุริโส วิย สพฺพกิเลสนิทฺทากฺขยวิพุทฺธตฺตา พุโทฺธติ วุตฺตํ โหติฯ ตตฺถ สงฺขา สงฺขาตนฺติ อตฺถโต เอกตฺตา สงฺขาเตนาติ วจนสฺส โกฎฺฐาเสนาติ อโตฺถฯ ตณฺหาเลปทิฎฺฐิเลปาภาเวน นิรุปเลปสงฺขาเตนฯ สวาสนานํ สพฺพกิเลสานํ ปหีนตฺตา เอกนฺตวจเนเนว วิเสเสตฺวา ‘‘เอกนฺตวีตราโค’’ติอาทิ วุตฺตํฯ เอกนฺตนิกฺกิเลโสติ ราคโทสโมหาวเสเสหิ สพฺพกิเลเสหิ นิกฺกิเลโสฯ เอกายนมคฺคํ คโตติ พุโทฺธติ คมนตฺถานํ พุทฺธิอตฺถตา วิย พุทฺธิอตฺถานมฺปิ คมนตฺถตา ลพฺภตีติ เอกายนมคฺคํ คตตฺตา พุโทฺธติ วุจฺจตีติ อโตฺถฯ เอโก อนุตฺตรํ สมฺมาสโมฺพธิํ อภิสมฺพุโทฺธติ พุโทฺธติ น ปเรหิ พุทฺธตฺตา พุโทฺธ, อถ โข สยเมว อนุตฺตรํ สมฺมาสโมฺพธิํ อภิสมฺพุทฺธตฺตา พุโทฺธติ อโตฺถฯ อพุทฺธิวิหตตฺตา พุทฺธิปฎิลาภา พุโทฺธติ พุทฺธิ พุทฺธํ โพโธติ อนตฺถนฺตรํฯ ตตฺถ ยถา รตฺตคุณโยคโต รโตฺต ปโฎ, เอวํ พุทฺธคุณโยคโต พุโทฺธติ ญาปนตฺถํ วุตฺตํฯ ตโต ปรํ พุโทฺธติ เนตํ นามนฺติอาทิ อตฺถานุคตายํ ปญฺญตฺตีติ โพธนตฺถํ วุตฺตนฺติ เอวเมตฺถ อิมินาปิ การเณน ภควา พุโทฺธติ เวทิตโพฺพฯ
Tattha (paṭi. ma. aṭṭha. 2.1.162; mahāni. aṭṭha. 192) yathā loke avagantā ‘‘avagato’’ti vuccati, evaṃ bujjhitā saccānīti buddho suddhakattuvasena. Yathā paṇṇasosā vātā ‘‘paṇṇasusā’’ti vuccanti, evaṃ bodhetā pajāyāti buddho hetukattuvasena. Hetuattho cettha antonīto . Sabbaññutāya buddhoti sabbadhammabujjhanasamatthāya buddhiyā buddhoti attho. Sabbadassāvitāya buddhoti sabbadhammabodhanasamatthāya buddhiyā buddhoti attho. Anaññaneyyatāya buddhoti aññena abodhito sayameva buddhattā buddhoti attho. Visavitāya buddhoti nānāguṇavisavanato padumamiva vikasanaṭṭhena buddhoti attho. Khīṇāsavasaṅkhātena buddhoti evamādīhi chahi padehi cittasaṅkocakaradhammappahānena niddākkhayavibuddho puriso viya sabbakilesaniddākkhayavibuddhattā buddhoti vuttaṃ hoti. Tattha saṅkhā saṅkhātanti atthato ekattā saṅkhātenāti vacanassa koṭṭhāsenāti attho. Taṇhālepadiṭṭhilepābhāvena nirupalepasaṅkhātena. Savāsanānaṃ sabbakilesānaṃ pahīnattā ekantavacaneneva visesetvā ‘‘ekantavītarāgo’’tiādi vuttaṃ. Ekantanikkilesoti rāgadosamohāvasesehi sabbakilesehi nikkileso. Ekāyanamaggaṃ gatoti buddhoti gamanatthānaṃ buddhiatthatā viya buddhiatthānampi gamanatthatā labbhatīti ekāyanamaggaṃ gatattā buddhoti vuccatīti attho. Eko anuttaraṃ sammāsambodhiṃ abhisambuddhoti buddhoti na parehi buddhattā buddho, atha kho sayameva anuttaraṃ sammāsambodhiṃ abhisambuddhattā buddhoti attho. Abuddhivihatattā buddhipaṭilābhā buddhoti buddhi buddhaṃ bodhoti anatthantaraṃ. Tattha yathā rattaguṇayogato ratto paṭo, evaṃ buddhaguṇayogato buddhoti ñāpanatthaṃ vuttaṃ. Tato paraṃ buddhoti netaṃ nāmantiādi atthānugatāyaṃ paññattīti bodhanatthaṃ vuttanti evamettha imināpi kāraṇena bhagavā buddhoti veditabbo.
อิทานิ ภควาติ อิมสฺส อตฺถํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘ภควาติ อิทํ ปนสฺสา’’ติอาทิฯ ตตฺถ อสฺสาติ ภควโตฯ คุณวิสิฎฺฐสตฺตุตฺตมครุคารวาธิวจนนฺติ สเพฺพหิ สีลาทิคุเณหิ วิสิฎฺฐสฺส ตโต เอว สพฺพสเตฺตหิ อุตฺตมสฺส ครุโน คารววเสน วุจฺจมานวจนเมตํ ภควาติฯ ตถา หิ โลกนาโถ อปริมิตนิรุปมปฺปภาวสีลาทิคุณวิเสสสมงฺคิตาย สพฺพานตฺถปริหารปุพฺพงฺคมาย นิรวเสสหิตสุขวิธานตปฺปราย นิรติสยาย ปโยคสมฺปตฺติยา สเทวมนุสฺสาย ปชาย อจฺจนฺตุปการิตาย จ อปริมาณาสุ โลกธาตูสุ อปริมาณานํ สตฺตานํ อุตฺตมํ คารวฎฺฐานนฺติฯ
Idāni bhagavāti imassa atthaṃ dassento āha ‘‘bhagavāti idaṃ panassā’’tiādi. Tattha assāti bhagavato. Guṇavisiṭṭhasattuttamagarugāravādhivacananti sabbehi sīlādiguṇehi visiṭṭhassa tato eva sabbasattehi uttamassa garuno gāravavasena vuccamānavacanametaṃ bhagavāti. Tathā hi lokanātho aparimitanirupamappabhāvasīlādiguṇavisesasamaṅgitāya sabbānatthaparihārapubbaṅgamāya niravasesahitasukhavidhānatapparāya niratisayāya payogasampattiyā sadevamanussāya pajāya accantupakāritāya ca aparimāṇāsu lokadhātūsu aparimāṇānaṃ sattānaṃ uttamaṃ gāravaṭṭhānanti.
ภควาติ วจนํ เสฎฺฐนฺติ เสฎฺฐวาจกํ วจนํ เสฎฺฐคุณสหจรณโต ‘‘เสฎฺฐ’’นฺติ วุตฺตํฯ อถ วา วุจฺจตีติ วจนํ, อโตฺถ, ตสฺมา โย ‘‘ภควา’’ติ วจเนน วจนีโย อโตฺถ, โส เสโฎฺฐติ อโตฺถฯ ภควาติ วจนมุตฺตมนฺติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ คารวยุโตฺตติ ครุภาวยุโตฺต ครุคุณโยคโตฯ ครุกรณํ วา สาติสยํ อรหตีติ คารวยุโตฺต, คารวารโหติ อโตฺถฯ ‘‘สิปฺปาทิสิกฺขาปกา ครู โหนฺติ, น จ คารวยุตฺตา, อยํ ปน ตาทิโส น โหติ, ตสฺมา ‘ครู’ติ วตฺวา ‘คารวยุโตฺต’ติ วุตฺต’’นฺติ เกจิฯ
Bhagavāti vacanaṃ seṭṭhanti seṭṭhavācakaṃ vacanaṃ seṭṭhaguṇasahacaraṇato ‘‘seṭṭha’’nti vuttaṃ. Atha vā vuccatīti vacanaṃ, attho, tasmā yo ‘‘bhagavā’’ti vacanena vacanīyo attho, so seṭṭhoti attho. Bhagavāti vacanamuttamanti etthāpi eseva nayo. Gāravayuttoti garubhāvayutto garuguṇayogato. Garukaraṇaṃ vā sātisayaṃ arahatīti gāravayutto, gāravārahoti attho. ‘‘Sippādisikkhāpakā garū honti, na ca gāravayuttā, ayaṃ pana tādiso na hoti, tasmā ‘garū’ti vatvā ‘gāravayutto’ti vutta’’nti keci.
คุณวิเสสเหตุกํ ‘‘ภควา’’ติ อิทํ ภควโต นามนฺติ สเงฺขปโต วุตฺตมตฺถํ วิตฺถารโต วิภชิตุกาโม นามํเยว ตาว อตฺถุทฺธารวเสน ทเสฺสโนฺต ‘‘จตุพฺพิธญฺหิ นาม’’นฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ อาวตฺถิกนฺติ อวตฺถาย วิทิตํ ตํ ตํ อวตฺถํ อุปาทาย ปญฺญตฺตํ โวหริตํฯ ตถา ลิงฺคิกํ เตน เตน ลิเงฺคน โวหริตํฯ เนมิตฺติกนฺติ นิมิตฺตโต อาคตํฯ อธิจฺจสมุปฺปนฺนนฺติ ยทิจฺฉาย ปวตฺตํ, ยทิจฺฉาย อาคตํ ยทิจฺฉกํฯ อิทานิ อาวตฺถิกาทีนิ นามานิ สรูปโต ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘ตตฺถ วโจฺฉ ทโมฺม พลิพโทฺท’’ติอาทิฯ ตตฺถ ปฐเมน อาทิ-สเทฺทน พาโล ยุวา วุโฑฺฒติ เอวมาทิํ สงฺคณฺหาติ, ทุติเยน มุณฺฑี ชฎีติ เอวมาทิํ, ตติเยน พหุสฺสุโต ธมฺมกถิโก ฌายีติ เอวมาทิํ, จตุเตฺถน อฆปทีปนํ ปาวจนนฺติ เอวมาทิํ สงฺคณฺหาติฯ เนมิตฺติกนฺติ วุตฺตมตฺถํ พฺยติเรกวเสน ปติฎฺฐาเปตุํ ‘‘น มหามายายา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ วิโมกฺขนฺติกนฺติ อิมินา ปน อิทํ นามํ อริยาย ชาติยา ชาตกฺขเณเยว ชาตนฺติ ทเสฺสติฯ ยทิ วิโมกฺขนฺติกํ, อถ กสฺมา อเญฺญหิ ขีณาสเวหิ อสาธารณนฺติ อาห ‘‘สห สพฺพญฺญุตญฺญาณสฺส ปฎิลาภา’’ติฯ พุทฺธานญฺหิ อรหตฺตผลํ นิปฺผชฺชมานํ สพฺพญฺญุตญฺญาณาทีหิ สเพฺพหิ พุทฺธคุเณหิ สทฺธิํเยว นิปฺผชฺชติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘วิโมกฺขนฺติก’’นฺติฯ สจฺฉิกา ปญฺญตฺตีติ สพฺพธมฺมานํ สจฺฉิกิริยาย นิมิตฺตา ปญฺญตฺติฯ อถ วา สจฺฉิกา ปญฺญตฺตีติ ปจฺจกฺขสิทฺธา ปญฺญตฺติฯ ยํคุณนิมิตฺตา หิ สา, เต สตฺถุ ปจฺจกฺขภูตา, ตํคุณา วิย สาปิ สจฺฉิกตา เอว นาม โหติ, น ปเรสํ โวหารมเตฺตนาติ อธิปฺปาโยฯ
Guṇavisesahetukaṃ ‘‘bhagavā’’ti idaṃ bhagavato nāmanti saṅkhepato vuttamatthaṃ vitthārato vibhajitukāmo nāmaṃyeva tāva atthuddhāravasena dassento ‘‘catubbidhañhi nāma’’ntiādimāha. Tattha āvatthikanti avatthāya viditaṃ taṃ taṃ avatthaṃ upādāya paññattaṃ voharitaṃ. Tathā liṅgikaṃ tena tena liṅgena voharitaṃ. Nemittikanti nimittato āgataṃ. Adhiccasamuppannanti yadicchāya pavattaṃ, yadicchāya āgataṃ yadicchakaṃ. Idāni āvatthikādīni nāmāni sarūpato dassento āha ‘‘tattha vaccho dammo balibaddo’’tiādi. Tattha paṭhamena ādi-saddena bālo yuvā vuḍḍhoti evamādiṃ saṅgaṇhāti, dutiyena muṇḍī jaṭīti evamādiṃ, tatiyena bahussuto dhammakathiko jhāyīti evamādiṃ, catutthena aghapadīpanaṃ pāvacananti evamādiṃ saṅgaṇhāti. Nemittikanti vuttamatthaṃ byatirekavasena patiṭṭhāpetuṃ ‘‘na mahāmāyāyā’’tiādi vuttaṃ. Vimokkhantikanti iminā pana idaṃ nāmaṃ ariyāya jātiyā jātakkhaṇeyeva jātanti dasseti. Yadi vimokkhantikaṃ, atha kasmā aññehi khīṇāsavehi asādhāraṇanti āha ‘‘saha sabbaññutaññāṇassa paṭilābhā’’ti. Buddhānañhi arahattaphalaṃ nipphajjamānaṃ sabbaññutaññāṇādīhi sabbehi buddhaguṇehi saddhiṃyeva nipphajjati. Tena vuttaṃ ‘‘vimokkhantika’’nti. Sacchikā paññattīti sabbadhammānaṃ sacchikiriyāya nimittā paññatti. Atha vā sacchikā paññattīti paccakkhasiddhā paññatti. Yaṃguṇanimittā hi sā, te satthu paccakkhabhūtā, taṃguṇā viya sāpi sacchikatā eva nāma hoti, na paresaṃ vohāramattenāti adhippāyo.
วทนฺตีติ มหาเถรสฺส ครุภาวโต พหุวจเนนาห, สงฺคีติกาเรหิ วา กตมนุวาทํ สนฺธายฯ อิสฺสริยาทิเภโท ภโค อสฺส อตฺถีติ ภคีฯ มคฺคผลาทิอริยธมฺมรตนํ อรญฺญวนปตฺถานิ ปนฺตานิ เสนาสนานิ อปฺปสทฺทาทิคุณยุตฺตานิ ภชิ เสวิ สีเลนาติ ภชี, ภชนสีโลติ อโตฺถฯ ภาคีติ จีวรปิณฺฑปาตาทีนํ จตุนฺนํ ปจฺจยานเญฺจว อตฺถธมฺมวิมุตฺติรสสฺส จ อธิสีลาทีนญฺจ ภาคีติ อโตฺถฯ วิภชิ ปวิภชิ ธมฺมรตนนฺติ วิภตฺตวาฯ อกาสิ ภคฺคนฺติ ราคาทิปาปธมฺมํ ภคฺคํ อกาสีติ ภควาติ อโตฺถฯ ครุปิ โลเก ภควาติ วุจฺจตีติ อาห ‘‘ครู’’ติฯ ยสฺมา ครุ, ตสฺมาปิ ภควาติ วุตฺตํ โหติฯ เหตุอโตฺถ หิ อิติ-สโทฺทฯ โส จ ยตฺถ อิติ-สโทฺท นตฺถิ ภคีติอาทีสุ, ตตฺถ ปเจฺจกํ โยเชตโพฺพฯ ภาคฺยมสฺส อตฺถีติ ภาคฺยวาฯ พหูหิ ญาเยหีติ กายภาวนาทิเกหิ อเนเกหิ ภาวนากฺกเมหิฯ สุภาวิตตฺตโนติ สมฺมเทว ภาวิตสภาวสฺสฯ ปจฺจเตฺต เจตํ สามิวจนํ, เตน สุภาวิตตฺตาติ วุตฺตํ โหติ, สุภาวิตสภาโวติ อโตฺถฯ มหาคณฺฐิปเท ปน ‘‘สุภาวิตตฺตโน สุภาวิตกาโย’’ติ วุตฺตํฯ ภวานํ อนฺตํ นิพฺพานํ คโตติ ภวนฺตโคฯ
Vadantīti mahātherassa garubhāvato bahuvacanenāha, saṅgītikārehi vā katamanuvādaṃ sandhāya. Issariyādibhedo bhago assa atthīti bhagī. Maggaphalādiariyadhammaratanaṃ araññavanapatthāni pantāni senāsanāni appasaddādiguṇayuttāni bhaji sevi sīlenāti bhajī, bhajanasīloti attho. Bhāgīti cīvarapiṇḍapātādīnaṃ catunnaṃ paccayānañceva atthadhammavimuttirasassa ca adhisīlādīnañca bhāgīti attho. Vibhaji pavibhaji dhammaratananti vibhattavā. Akāsi bhagganti rāgādipāpadhammaṃ bhaggaṃ akāsīti bhagavāti attho. Garupi loke bhagavāti vuccatīti āha ‘‘garū’’ti. Yasmā garu, tasmāpi bhagavāti vuttaṃ hoti. Hetuattho hi iti-saddo. So ca yattha iti-saddo natthi bhagītiādīsu, tattha paccekaṃ yojetabbo. Bhāgyamassa atthīti bhāgyavā. Bahūhi ñāyehīti kāyabhāvanādikehi anekehi bhāvanākkamehi. Subhāvitattanoti sammadeva bhāvitasabhāvassa. Paccatte cetaṃ sāmivacanaṃ, tena subhāvitattāti vuttaṃ hoti, subhāvitasabhāvoti attho. Mahāgaṇṭhipade pana ‘‘subhāvitattano subhāvitakāyo’’ti vuttaṃ. Bhavānaṃ antaṃ nibbānaṃ gatoti bhavantago.
นิเทฺทเส วุตฺตนเยนาติ เอตฺถายํ นิเทฺทสนโย –
Niddesevuttanayenāti etthāyaṃ niddesanayo –
‘‘ภควาติ คารวาธิวจนเมตํฯ อปิจ ภคฺคราโคติ ภควา, ภคฺคโทโสติ ภควา, ภคฺคโมโหติ ภควา, ภคฺคมาโนติ ภควา, ภคฺคทิฎฺฐีติ ภควา, ภคฺคตโณฺหติ ภควา, ภคฺคกิเลโสติ ภควา, ภชิ วิภชิ ปวิภชิ ธมฺมรตนนฺติ ภควา, ภวานํ อนฺตกโรติ ภควา, ภาวิตกาโย ภาวิตสีโล ภาวิตจิโตฺต ภาวิตปโญฺญติ ภควา, ภชิ วา ภควา อรญฺญวนปตฺถานิ ปนฺตานิ เสนาสนานิ อปฺปสทฺทานิ อปฺปนิโคฺฆสานิ วิชนวาตานิ มนุสฺสราหเสฺสยฺยกานิ ปฎิสลฺลานสารุปฺปานีติ ภควาฯ ภาคี วา ภควา จีวรปิณฺฑปาตเสนาสนคิลานปจฺจยเภสชฺชปริกฺขารานนฺติ ภควาฯ ภาคี วา ภควา อตฺถรสสฺส ธมฺมรสสฺส วิมุตฺติรสสฺส อธิสีลสฺส อธิจิตฺตสฺส อธิปญฺญายาติ ภควาฯ ภาคี วา ภควา จตุนฺนํ ฌานานํ จตุนฺนํ อปฺปมญฺญานํ จตุนฺนํ อรูปสมาปตฺตีนนฺติ ภควาฯ ภาคี วา ภควา อฎฺฐนฺนํ วิโมกฺขานํ อฎฺฐนฺนํ อภิภายตนานํ นวนฺนํ อนุปุพฺพวิหารสมาปตฺตีนนฺติ ภควาฯ ภาคี วา ภควา ทสนฺนํ สญฺญาภาวนานํ ทสนฺนํ กสิณสมาปตฺตีนํ อานาปานสฺสติสมาธิสฺส อสุภสมาปตฺติยาติ ภควาฯ ภาคี วา ภควา จตุนฺนํ สติปฎฺฐานานํ จตุนฺนํ สมฺมปฺปธานานํ จตุนฺนํ อิทฺธิปาทานํ ปญฺจนฺนํ อินฺทฺริยานํ ปญฺจนฺนํ พลานํ สตฺตนฺนํ โพชฺฌงฺคานํ อริยสฺส อฎฺฐงฺคิกสฺส มคฺคสฺสาติ ภควาฯ ภาคี วา ภควา ทสนฺนํ ตถาคตพลานํ จตุนฺนํ เวสารชฺชานํ จตุนฺนํ ปฎิสมฺภิทานํ ฉนฺนํ อภิญฺญานํ ฉนฺนํ พุทฺธธมฺมานนฺติ ภควาฯ ภควาติ เนตํ นามํ…เป.… สจฺฉิกา ปญฺญตฺติ ยทิทํ ภควา’’ติ (มหานิ. ๘๔)ฯ
‘‘Bhagavāti gāravādhivacanametaṃ. Apica bhaggarāgoti bhagavā, bhaggadosoti bhagavā, bhaggamohoti bhagavā, bhaggamānoti bhagavā, bhaggadiṭṭhīti bhagavā, bhaggataṇhoti bhagavā, bhaggakilesoti bhagavā, bhaji vibhaji pavibhaji dhammaratananti bhagavā, bhavānaṃ antakaroti bhagavā, bhāvitakāyo bhāvitasīlo bhāvitacitto bhāvitapaññoti bhagavā, bhaji vā bhagavā araññavanapatthāni pantāni senāsanāni appasaddāni appanigghosāni vijanavātāni manussarāhasseyyakāni paṭisallānasāruppānīti bhagavā. Bhāgī vā bhagavā cīvarapiṇḍapātasenāsanagilānapaccayabhesajjaparikkhārānanti bhagavā. Bhāgī vā bhagavā attharasassa dhammarasassa vimuttirasassa adhisīlassa adhicittassa adhipaññāyāti bhagavā. Bhāgī vā bhagavā catunnaṃ jhānānaṃ catunnaṃ appamaññānaṃ catunnaṃ arūpasamāpattīnanti bhagavā. Bhāgī vā bhagavā aṭṭhannaṃ vimokkhānaṃ aṭṭhannaṃ abhibhāyatanānaṃ navannaṃ anupubbavihārasamāpattīnanti bhagavā. Bhāgī vā bhagavā dasannaṃ saññābhāvanānaṃ dasannaṃ kasiṇasamāpattīnaṃ ānāpānassatisamādhissa asubhasamāpattiyāti bhagavā. Bhāgī vā bhagavā catunnaṃ satipaṭṭhānānaṃ catunnaṃ sammappadhānānaṃ catunnaṃ iddhipādānaṃ pañcannaṃ indriyānaṃ pañcannaṃ balānaṃ sattannaṃ bojjhaṅgānaṃ ariyassa aṭṭhaṅgikassa maggassāti bhagavā. Bhāgī vā bhagavā dasannaṃ tathāgatabalānaṃ catunnaṃ vesārajjānaṃ catunnaṃ paṭisambhidānaṃ channaṃ abhiññānaṃ channaṃ buddhadhammānanti bhagavā. Bhagavāti netaṃ nāmaṃ…pe… sacchikā paññatti yadidaṃ bhagavā’’ti (mahāni. 84).
เอตฺถ จ ‘‘คารวาธิวจน’’นฺติอาทีนิ ยทิปิ คาถายํ อาคตปทานุกฺกเมน น นิทฺทิฎฺฐานิ, ยถารหํ ปน เตสํ สเพฺพสมฺปิ นิเทฺทสภาเวน เวทิตพฺพานิฯ ตตฺถ คารวาธิวจนนฺติ ครูนํ ครุภาววาจกํ วจนํฯ ภชีติ ภาคโส กเถสิฯ เตนาห ‘‘วิภชิ ปวิภชิ ธมฺมรตน’’นฺติฯ มคฺคผลาทิ อริยธโมฺมเยว ธมฺมรตนํฯ ปุน ภชีติ อิมสฺส เสวีติ อโตฺถฯ ภาคีติ ภาคาภิเธยฺยวาฯ ปุน ภาคีติ เอตฺถ ภชนสีโลติ อโตฺถฯ อตฺถรสสฺสาติ อตฺถสนฺนิสฺสยสฺส รสสฺสฯ วิมุตฺตายตนสีเส หิ ฐตฺวา ธมฺมํ กเถนฺตสฺส สุณนฺตสฺส จ ตทตฺถํ อารพฺภ อุปฺปชฺชนกปีติโสมนสฺสํ อตฺถรโสฯ ธมฺมํ อารพฺภ ธมฺมรโสฯ ยํ สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘ลภติ อตฺถเวทํ, ลภติ ธมฺมเวท’’นฺติ (อ. นิ. ๖.๑๐)ฯ วิมุตฺติรสสฺสาติ วิมุตฺติภูตสฺส วิมุตฺติสนฺนิสฺสยสฺส วา รสสฺสฯ สญฺญาภาวนานนฺติ อนิจฺจสญฺญาทีนํ ทสนฺนํ สญฺญาภาวนานํ ฯ ฉนฺนํ พุทฺธธมฺมานนฺติ ฉ อสาธารณญาณานิ สนฺธาย วุตฺตํฯ ตตฺถ ตตฺถ ภควาติสทฺทสิทฺธิ นิรุตฺตินเยเนว เวทิตพฺพาฯ
Ettha ca ‘‘gāravādhivacana’’ntiādīni yadipi gāthāyaṃ āgatapadānukkamena na niddiṭṭhāni, yathārahaṃ pana tesaṃ sabbesampi niddesabhāvena veditabbāni. Tattha gāravādhivacananti garūnaṃ garubhāvavācakaṃ vacanaṃ. Bhajīti bhāgaso kathesi. Tenāha ‘‘vibhaji pavibhaji dhammaratana’’nti. Maggaphalādi ariyadhammoyeva dhammaratanaṃ. Puna bhajīti imassa sevīti attho. Bhāgīti bhāgābhidheyyavā. Puna bhāgīti ettha bhajanasīloti attho. Attharasassāti atthasannissayassa rasassa. Vimuttāyatanasīse hi ṭhatvā dhammaṃ kathentassa suṇantassa ca tadatthaṃ ārabbha uppajjanakapītisomanassaṃ attharaso. Dhammaṃ ārabbha dhammaraso. Yaṃ sandhāya vuttaṃ ‘‘labhati atthavedaṃ, labhati dhammaveda’’nti (a. ni. 6.10). Vimuttirasassāti vimuttibhūtassa vimuttisannissayassa vā rasassa. Saññābhāvanānanti aniccasaññādīnaṃ dasannaṃ saññābhāvanānaṃ . Channaṃ buddhadhammānanti cha asādhāraṇañāṇāni sandhāya vuttaṃ. Tattha tattha bhagavātisaddasiddhi niruttinayeneva veditabbā.
ยทิปิ ‘‘ภาคฺยวา’’ติอาทีหิ ปเทหิ วุจฺจมาโน อโตฺถ ‘‘ภคี ภชี’’ติ (มหานิ. ๘๔) นิเทฺทสคาถาย สงฺคหิโต เอว, ตถาปิ ปทสิทฺธิอตฺถวิภาคอตฺถโยชนาทิสหิโต สํวณฺณนานโย ตโต อญฺญากาโรติ วุตฺตํ ‘‘อยํ ปน อปโร นโย’’ติฯ วณฺณวิปริยาโยติ เอตนฺติ เอตฺถ อิติสโทฺท อาทิอโตฺถ, เตน วณฺณวิกาโร วณฺณโลโป ธาตุอเตฺถน นิโยชนญฺจาติ อิมํ ติวิธํ ลกฺขณํ สงฺคณฺหาติฯ สทฺทนเยนาติ สทฺทลกฺขณนเยนฯ ปิโสทราทีนํ สทฺทานํ อากติคณภาวโต วุตฺตํ ‘‘ปิโสทราทิปเกฺขปลกฺขณํ คเหตฺวา’’ติฯ ปกฺขิปนเมว ลกฺขณํฯ ตปฺปริยาปนฺนตากรณญฺหิ ปกฺขิปนํฯ ปารปฺปตฺตนฺติ ปรมุกฺกํสคตํ ปารมีภาวปฺปตฺตํฯ ภาคฺยนฺติ กุสลํฯ ตตฺถ มคฺคกุสลํ โลกุตฺตรสุขนิพฺพตฺตกํ, อิตรํ โลกิยสุขนิพฺพตฺตกํ, อิตรมฺปิ วา วิวฎฺฎุปนิสฺสยํ ปริยายโต โลกุตฺตรสุขนิพฺพตฺตกํ สิยาฯ
Yadipi ‘‘bhāgyavā’’tiādīhi padehi vuccamāno attho ‘‘bhagī bhajī’’ti (mahāni. 84) niddesagāthāya saṅgahito eva, tathāpi padasiddhiatthavibhāgaatthayojanādisahito saṃvaṇṇanānayo tato aññākāroti vuttaṃ ‘‘ayaṃ pana aparo nayo’’ti. Vaṇṇavipariyāyoti etanti ettha itisaddo ādiattho, tena vaṇṇavikāro vaṇṇalopo dhātuatthena niyojanañcāti imaṃ tividhaṃ lakkhaṇaṃ saṅgaṇhāti. Saddanayenāti saddalakkhaṇanayena. Pisodarādīnaṃ saddānaṃ ākatigaṇabhāvato vuttaṃ ‘‘pisodarādipakkhepalakkhaṇaṃ gahetvā’’ti. Pakkhipanameva lakkhaṇaṃ. Tappariyāpannatākaraṇañhi pakkhipanaṃ. Pārappattanti paramukkaṃsagataṃ pāramībhāvappattaṃ. Bhāgyanti kusalaṃ. Tattha maggakusalaṃ lokuttarasukhanibbattakaṃ, itaraṃ lokiyasukhanibbattakaṃ, itarampi vā vivaṭṭupanissayaṃ pariyāyato lokuttarasukhanibbattakaṃ siyā.
อิทานิ ภควาติ อิมสฺส อตฺถํ วิภชิตฺวา ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘ยสฺมา ปนา’’ติอาทิฯ ตตฺถ โลภาทโย เอกกวเสน คหิตา, ตถา วิปรีตมนสิกาโร วิปลฺลาสภาวสามเญฺญน, อหิริกาทโย ทุกวเสนฯ ตตฺถ กุชฺฌนลกฺขโณ โกโธ, โส นววิธอาฆาตวตฺถุสมฺภโวฯ ‘‘อโกฺกจฺฉิ มํ อวธิ ม’’นฺติอาทินา (ธ. ป. ๓-๔) ปุนปฺปุนํ กุชฺฌนวเสน จิตฺตปริโยนนฺธโน อุปนาโหฯ อุภยมฺปิ ปฎิโฆเยว, โส ปวตฺตินานตฺตโต ภินฺทิตฺวา วุโตฺตฯ สกิํ อุปฺปโนฺน โกโธ โกโธเยว, ตทุตฺตริ อุปนาโหฯ วุตฺตเญฺจตํ ‘‘ปุพฺพกาเล โกโธ, อปรกาเล อุปนาโห’’ติ (วิภ. ๘๙๑)ฯ อคาริยสฺส (ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.๗๑) อนคาริยสฺส วา สุกตกรณวินาสโน มโกฺขฯ อคาริโยปิ หิ เกนจิ อนุกมฺปเกน ทลิโทฺท สมาโน อุเจฺจ ฐาเน ฐปิโต อปเรน สมเยน ‘‘กิํ ตยา มยฺหํ กต’’นฺติ ตสฺส สุกตกรณํ วินาเสติฯ อนคาริโยปิ สามเณรกาลโต ปภุติ อาจริเยน วา อุปชฺฌาเยน วา จตูหิ ปจฺจเยหิ อุเทฺทสปริปุจฺฉาทีหิ จ อนุคฺคเหตฺวา ธมฺมกถานยปฺปกรณโกสลฺลาทีนิ สิกฺขาปิโต อปเรน สมเยน ราชราชมหามตฺตาทีหิ สกฺกโต ครุกโต อาจริยุปชฺฌาเยสุ อจิตฺตีกโต จรมาโน ‘‘อยํ อเมฺหหิ ทหรกาเล เอวํ อนุคฺคหิโต สํวฑฺฒิโต จ, อถ จ ปนิทานิ นิสฺสิเนโห ชาโต’’ติ วุจฺจมาโน ‘‘กิํ มยฺหํ ตุเมฺหหิ กต’’นฺติ เตสํ สุกตกรณํ วินาเสติ, ตเสฺสโส ปุพฺพการิตาลกฺขณสฺส คุณสฺส วินาสโน อุทกปุญฺฉนิยา วิย สรีรานุคตํ อุทกํ นิปุญฺฉโนฺต มโกฺขฯ ตถา หิ โส ปเรสํ คุณานํ มกฺขนเฎฺฐน ‘‘มโกฺข’’ติ วุจฺจติฯ ปฬาสตีติ ปฬาโส, ปรสฺส คุเณ ทเสฺสตฺวา อตฺตโน คุเณหิ สเม กโรตีติ อโตฺถฯ โส ปน พหุสฺสุเตปิ ปุคฺคเล อโชฺฌตฺถริตฺวา ‘‘อีทิสสฺส จ พหุสฺสุตสฺส อนิยตา คติ, ตว วา มม วา โก วิเสโส’’ติ, รตฺตญฺญู จิรปพฺพชิเต ปุคฺคเล อโชฺฌตฺถริตฺวา ‘‘ตฺวมฺปิ อิมสฺมิํ สาสเน ปพฺพชิโต, อหมฺปิ ปพฺพชิโต, ตฺวมฺปิ สีลมเตฺต ฐิโต, อหมฺปี’’ติอาทินา นเยน อุปฺปชฺชมาโน ยุคคฺคาโหฯ ยุคคฺคาหลกฺขโณ หิ ปฬาโสฯ
Idāni bhagavāti imassa atthaṃ vibhajitvā dassento āha ‘‘yasmā panā’’tiādi. Tattha lobhādayo ekakavasena gahitā, tathā viparītamanasikāro vipallāsabhāvasāmaññena, ahirikādayo dukavasena. Tattha kujjhanalakkhaṇo kodho, so navavidhaāghātavatthusambhavo. ‘‘Akkocchi maṃ avadhi ma’’ntiādinā (dha. pa. 3-4) punappunaṃ kujjhanavasena cittapariyonandhano upanāho. Ubhayampi paṭighoyeva, so pavattinānattato bhinditvā vutto. Sakiṃ uppanno kodho kodhoyeva, taduttari upanāho. Vuttañcetaṃ ‘‘pubbakāle kodho, aparakāle upanāho’’ti (vibha. 891). Agāriyassa (ma. ni. aṭṭha. 1.71) anagāriyassa vā sukatakaraṇavināsano makkho. Agāriyopi hi kenaci anukampakena daliddo samāno ucce ṭhāne ṭhapito aparena samayena ‘‘kiṃ tayā mayhaṃ kata’’nti tassa sukatakaraṇaṃ vināseti. Anagāriyopi sāmaṇerakālato pabhuti ācariyena vā upajjhāyena vā catūhi paccayehi uddesaparipucchādīhi ca anuggahetvā dhammakathānayappakaraṇakosallādīni sikkhāpito aparena samayena rājarājamahāmattādīhi sakkato garukato ācariyupajjhāyesu acittīkato caramāno ‘‘ayaṃ amhehi daharakāle evaṃ anuggahito saṃvaḍḍhito ca, atha ca panidāni nissineho jāto’’ti vuccamāno ‘‘kiṃ mayhaṃ tumhehi kata’’nti tesaṃ sukatakaraṇaṃ vināseti, tasseso pubbakāritālakkhaṇassa guṇassa vināsano udakapuñchaniyā viya sarīrānugataṃ udakaṃ nipuñchanto makkho. Tathā hi so paresaṃ guṇānaṃ makkhanaṭṭhena ‘‘makkho’’ti vuccati. Paḷāsatīti paḷāso, parassa guṇe dassetvā attano guṇehi same karotīti attho. So pana bahussutepi puggale ajjhottharitvā ‘‘īdisassa ca bahussutassa aniyatā gati, tava vā mama vā ko viseso’’ti, rattaññū cirapabbajite puggale ajjhottharitvā ‘‘tvampi imasmiṃ sāsane pabbajito, ahampi pabbajito, tvampi sīlamatte ṭhito, ahampī’’tiādinā nayena uppajjamāno yugaggāho. Yugaggāhalakkhaṇo hi paḷāso.
ปเรสํ สกฺการาทีนิ ขียมานา อุสูยมานา อิสฺสาฯ อตฺตโน สมฺปตฺติยา นิคูหนํ ปเรหิ สาธารณภาวํ อสหมานํ มจฺฉริยํฯ วญฺจนิกจริยภูตา มายา, สา สกโทสปฎิจฺฉาทนลกฺขณาฯ ตถา หิ สา อตฺตโน วิชฺชมานโทสปฎิจฺฉาทนโต จกฺขุโมหนมายา วิยาติ ‘‘มายา’’ติ วุจฺจติฯ อตฺตโน อวิชฺชมานคุณปฺปกาสนลกฺขณํ เกราฎิกภาเวน อุปฺปชฺชมานํ สาเฐยฺยํฯ อสนฺตคุณทีปนญฺหิ ‘‘เกราฎิย’’นฺติ วุจฺจติฯ เกราฎิโก หิ ปุคฺคโล อายนมโจฺฉ วิย โหติฯ อายนมโจฺฉ นาม สปฺปมุขมจฺฉวาลา เอกา มจฺฉชาติฯ โส กิร มจฺฉานํ นงฺคุฎฺฐํ ทเสฺสติ, สปฺปานํ สีสํ ‘‘ตุมฺหากํ สทิโส อห’’นฺติ ชานาเปตุํ, เอวเมว เกราฎิโก ปุคฺคโล ยํ ยํ สุตฺตนฺติกํ วา อาภิธมฺมิกํ วา อุปสงฺกมติ, ตํ ตํ เอวํ วทติ ‘‘อหํ ตุมฺหากํ อเนฺตวาสี, ตุเมฺห มยฺหํ อนุกมฺปกา, นาหํ ตุเมฺห มุญฺจามี’’ติฯ เอวเมเต ‘‘สคารโว อยํ อเมฺหสุ สปฺปติโสฺส’’ติ มญฺญิสฺสนฺติ, ตเสฺสวํ เกราฎิกภาเวน อุปฺปชฺชมานํ สาเฐยฺยํฯ
Paresaṃ sakkārādīni khīyamānā usūyamānā issā. Attano sampattiyā nigūhanaṃ parehi sādhāraṇabhāvaṃ asahamānaṃ macchariyaṃ. Vañcanikacariyabhūtā māyā, sā sakadosapaṭicchādanalakkhaṇā. Tathā hi sā attano vijjamānadosapaṭicchādanato cakkhumohanamāyā viyāti ‘‘māyā’’ti vuccati. Attano avijjamānaguṇappakāsanalakkhaṇaṃ kerāṭikabhāvena uppajjamānaṃ sāṭheyyaṃ. Asantaguṇadīpanañhi ‘‘kerāṭiya’’nti vuccati. Kerāṭiko hi puggalo āyanamaccho viya hoti. Āyanamaccho nāma sappamukhamacchavālā ekā macchajāti. So kira macchānaṃ naṅguṭṭhaṃ dasseti, sappānaṃ sīsaṃ ‘‘tumhākaṃ sadiso aha’’nti jānāpetuṃ, evameva kerāṭiko puggalo yaṃ yaṃ suttantikaṃ vā ābhidhammikaṃ vā upasaṅkamati, taṃ taṃ evaṃ vadati ‘‘ahaṃ tumhākaṃ antevāsī, tumhe mayhaṃ anukampakā, nāhaṃ tumhe muñcāmī’’ti. Evamete ‘‘sagāravo ayaṃ amhesu sappatisso’’ti maññissanti, tassevaṃ kerāṭikabhāvena uppajjamānaṃ sāṭheyyaṃ.
สพฺพโส มทฺทวาภาเวน วาตภริตภสฺตสทิสสฺส ถทฺธภาวสฺส อโนนมิตทณฺฑสทิสตาย ปคฺคหิตสิรอนิวาตวุตฺติกายสฺส จ การโก ถโมฺภฯ ตทุตฺตริกรโณ สารโมฺภฯ โส ทุวิเธน ลพฺภติ อกุสลวเสน เจว กุสลวเสน จฯ ตตฺถ อคาริยสฺส ปเรน กตํ อลงฺการาทิํ ทิสฺวา ตทฺทิคุณตทฺทิคุณกรเณน อุปฺปชฺชมาโน, อนคาริยสฺส จ ยตฺตกํ ยตฺตกํ ปโร ปริยาปุณาติ วา กเถติ วา, มานวเสน ตทฺทิคุณตทฺทิคุณกรเณน อุปฺปชฺชมาโน อกุสโลฯ เตน หิ สมนฺนาคโต ปุคฺคโล ตทฺทิคุณํ ตทฺทิคุณํ กโรติฯ อคาริโย สมาโน เอเกเนกสฺมิํ ฆรวตฺถุสฺมิํ สชฺชิเต อปโร เทฺว วตฺถูนิ สเชฺชติ, อปโร จตฺตาโร, อปโร อฎฺฐ, อปโร โสฬสฯ อนคาริโย สมาโน เอเกเนกสฺมิํ นิกาเย คหิเต ‘‘นาหํ เอตสฺส เหฎฺฐา ภวิสฺสามี’’ติ อปโร เทฺว คณฺหาติ, อปโร ตโย, อปโร จตฺตาโร, อปโร ปญฺจฯ สารมฺภวเสน หิ คณฺหิตุํ น วฎฺฎติฯ อกุสลปโกฺข เหส นิรยคามิมโคฺคฯ อคาริยสฺส ปน ปรํ เอกํ สลากภตฺตํ เทนฺตํ ทิสฺวา อตฺตโน เทฺว วา ตีณิ วา ทาตุกามตาย อุปฺปชฺชมาโน, อนคาริยสฺส จ ปเรน เอกนิกาเย คหิเต มานํ อนิสฺสาย เกวลํ ตํ ทิสฺวา อตฺตโน อาลสิยํ อภิภุยฺย เทฺว นิกาเย คเหตุกามตาย อุปฺปชฺชมาโน กุสโลฯ กุสลปกฺขวเสน หิ เอกสฺมิํ เอกํ สลากภตฺตํ เทเนฺต เทฺว, เทฺว เทเนฺต จตฺตาริ ทาตุํ วฎฺฎติฯ ภิกฺขุนาปิ ปเรน เอกสฺมิํ นิกาเย คหิเต ‘‘เทฺว นิกาเย คเหตฺวา สชฺฌายนฺตสฺส เม ผาสุ โหตี’’ติ วิวฎฺฎปเกฺข ฐตฺวา ตทุตฺตริ คณฺหิตุํ วฎฺฎติ, อิธ ปน อกุสลปกฺขิโย ตทุตฺตริกรโณ ‘‘สารโมฺภ’’ติ วุโตฺตฯ
Sabbaso maddavābhāvena vātabharitabhastasadisassa thaddhabhāvassa anonamitadaṇḍasadisatāya paggahitasiraanivātavuttikāyassa ca kārako thambho. Taduttarikaraṇo sārambho. So duvidhena labbhati akusalavasena ceva kusalavasena ca. Tattha agāriyassa parena kataṃ alaṅkārādiṃ disvā taddiguṇataddiguṇakaraṇena uppajjamāno, anagāriyassa ca yattakaṃ yattakaṃ paro pariyāpuṇāti vā katheti vā, mānavasena taddiguṇataddiguṇakaraṇena uppajjamāno akusalo. Tena hi samannāgato puggalo taddiguṇaṃ taddiguṇaṃ karoti. Agāriyo samāno ekenekasmiṃ gharavatthusmiṃ sajjite aparo dve vatthūni sajjeti, aparo cattāro, aparo aṭṭha, aparo soḷasa. Anagāriyo samāno ekenekasmiṃ nikāye gahite ‘‘nāhaṃ etassa heṭṭhā bhavissāmī’’ti aparo dve gaṇhāti, aparo tayo, aparo cattāro, aparo pañca. Sārambhavasena hi gaṇhituṃ na vaṭṭati. Akusalapakkho hesa nirayagāmimaggo. Agāriyassa pana paraṃ ekaṃ salākabhattaṃ dentaṃ disvā attano dve vā tīṇi vā dātukāmatāya uppajjamāno, anagāriyassa ca parena ekanikāye gahite mānaṃ anissāya kevalaṃ taṃ disvā attano ālasiyaṃ abhibhuyya dve nikāye gahetukāmatāya uppajjamāno kusalo. Kusalapakkhavasena hi ekasmiṃ ekaṃ salākabhattaṃ dente dve, dve dente cattāri dātuṃ vaṭṭati. Bhikkhunāpi parena ekasmiṃ nikāye gahite ‘‘dve nikāye gahetvā sajjhāyantassa me phāsu hotī’’ti vivaṭṭapakkhe ṭhatvā taduttari gaṇhituṃ vaṭṭati, idha pana akusalapakkhiyo taduttarikaraṇo ‘‘sārambho’’ti vutto.
ชาติอาทีนิ นิสฺสาย เสยฺยสฺส ‘‘เสโยฺยหมสฺมี’’ติอาทินา อุนฺนติวเสน ปคฺคณฺหนวเสน ปวโตฺต มาโนฯ อพฺภุนฺนติวเสน ปวโตฺต อติมาโนฯ ปุเพฺพ เกนจิ อตฺตานํ สทิสํ กตฺวา ปจฺฉา ตโต อธิกโต ทหโต อุปฺปชฺชมานโก อติมาโนติ เวทิตโพฺพฯ ชาติอาทิํ ปฎิจฺจ มชฺชนากาโร มโท, โสปิ อตฺถโต มาโน เอวฯ โส ปน ชาติมโท โคตฺตมโท อาโรคฺยมโท โยพฺพนมโท ชีวิตมโท ลาภมโท สกฺการมโท ครุการมโท ปุเรกฺขารมโท ปริวารมโท โภคมโท วณฺณมโท สุตมโท ปฎิภานมโท รตฺตญฺญุมโท ปิณฺฑปาติกมโท อนวญฺญตฺติมโท อิริยาปถมโท อิทฺธิมโท ยสมโท สีลมโท ฌานมโท สิปฺปมโท อาโรหมโท ปริณาหมโท สณฺฐานมโท ปาริปูริมโทติ อเนกวิโธฯ
Jātiādīni nissāya seyyassa ‘‘seyyohamasmī’’tiādinā unnativasena paggaṇhanavasena pavatto māno. Abbhunnativasena pavatto atimāno. Pubbe kenaci attānaṃ sadisaṃ katvā pacchā tato adhikato dahato uppajjamānako atimānoti veditabbo. Jātiādiṃ paṭicca majjanākāro mado, sopi atthato māno eva. So pana jātimado gottamado ārogyamado yobbanamado jīvitamado lābhamado sakkāramado garukāramado purekkhāramado parivāramado bhogamado vaṇṇamado sutamado paṭibhānamado rattaññumado piṇḍapātikamado anavaññattimado iriyāpathamado iddhimado yasamado sīlamado jhānamado sippamado ārohamado pariṇāhamado saṇṭhānamado pāripūrimadoti anekavidho.
ตตฺถ (วิภ. อฎฺฐ. ๘๔๓-๘๔๔) ชาติํ นิสฺสาย อุปฺปโนฺน มชฺชนาการปฺปวโตฺต มาโน ชาติมโท, โส ขตฺติยาทีนํ จตุนฺนมฺปิ วณฺณานํ อุปฺปชฺชติฯ ชาติสมฺปโนฺน หิ ขตฺติโย ‘‘มาทิโส อโญฺญ นตฺถิ, อวเสสา อนฺตรา อุฎฺฐาย ขตฺติยา ชาตา, อหํ ปน วํสาคตขตฺติโย’’ติ มานํ กโรติฯ พฺราหฺมณาทีสุปิ เอเสว นโยฯ โคตฺตํ นิสฺสาย อุปฺปโนฺน มชฺชนาการปฺปวโตฺต มาโน โคตฺตมโท, โสปิ ขตฺติยาทีนํ จตุนฺนมฺปิ วณฺณานํ อุปฺปชฺชติฯ ขตฺติโยปิ หิ ‘‘อหํ โกณฺฑญฺญโคโตฺต, อหํ อาทิจฺจโคโตฺต’’ติ มานํ กโรติฯ พฺราหฺมโณปิ ‘‘อหํ กสฺสปโคโตฺต, อหํ ภารทฺวาชโคโตฺต’’ติ มานํ กโรติฯ เวโสฺสปิ สุโทฺทปิ อตฺตโน อตฺตโน กุลโคตฺตํ นิสฺสาย มานํ กโรติฯ อาโรคฺยมทาทีสุปิ ‘‘อหํ อโรโค, เสสา โรคพหุลา, กณฺฑุวนมตฺตมฺปิ มยฺหํ พฺยาธิ นาม นตฺถี’’ติ มชฺชนวเสน อุปฺปโนฺน มาโน อาโรคฺยมโท นามฯ ‘‘อหํ ตรุโณ, อวเสสสตฺตานํ อตฺตภาโว ปปาเต ฐิตรุกฺขสทิโส, อหํ ปน ปฐมวเย ฐิโต’’ติ มชฺชนวเสน อุปฺปโนฺน มาโน โยพฺพนมโทฯ ‘‘อหํ จิรํ ชีวิํ, จิรํ ชีวามิ, จิรํ ชีวิสฺสามิ, สุขํ ชีวิํ, สุขํ ชีวามิ, สุขํ ชีวิสฺสามี’’ติ มชฺชนวเสน อุปฺปโนฺน มาโน ชีวิตมโท นามฯ ‘‘อหํ ลาภี, อวเสสา สตฺตา อปฺปลาภา, มยฺหํ ปน ลาภสฺส ปมาณํ นตฺถี’’ติ มชฺชนวเสน อุปฺปโนฺน มาโน ลาภมโท นามฯ
Tattha (vibha. aṭṭha. 843-844) jātiṃ nissāya uppanno majjanākārappavatto māno jātimado, so khattiyādīnaṃ catunnampi vaṇṇānaṃ uppajjati. Jātisampanno hi khattiyo ‘‘mādiso añño natthi, avasesā antarā uṭṭhāya khattiyā jātā, ahaṃ pana vaṃsāgatakhattiyo’’ti mānaṃ karoti. Brāhmaṇādīsupi eseva nayo. Gottaṃ nissāya uppanno majjanākārappavatto māno gottamado, sopi khattiyādīnaṃ catunnampi vaṇṇānaṃ uppajjati. Khattiyopi hi ‘‘ahaṃ koṇḍaññagotto, ahaṃ ādiccagotto’’ti mānaṃ karoti. Brāhmaṇopi ‘‘ahaṃ kassapagotto, ahaṃ bhāradvājagotto’’ti mānaṃ karoti. Vessopi suddopi attano attano kulagottaṃ nissāya mānaṃ karoti. Ārogyamadādīsupi ‘‘ahaṃ arogo, sesā rogabahulā, kaṇḍuvanamattampi mayhaṃ byādhi nāma natthī’’ti majjanavasena uppanno māno ārogyamado nāma. ‘‘Ahaṃ taruṇo, avasesasattānaṃ attabhāvo papāte ṭhitarukkhasadiso, ahaṃ pana paṭhamavaye ṭhito’’ti majjanavasena uppanno māno yobbanamado. ‘‘Ahaṃ ciraṃ jīviṃ, ciraṃ jīvāmi, ciraṃ jīvissāmi, sukhaṃ jīviṃ, sukhaṃ jīvāmi, sukhaṃ jīvissāmī’’ti majjanavasena uppanno māno jīvitamado nāma. ‘‘Ahaṃ lābhī, avasesā sattā appalābhā, mayhaṃ pana lābhassa pamāṇaṃ natthī’’ti majjanavasena uppanno māno lābhamado nāma.
‘‘อวเสสา สตฺตา ยํ วา ตํ วา ลภนฺติ, อหํ ปน สุกตํ ปณีตํ จีวราทิปจฺจยํ ลภามี’’ติ มชฺชนวเสน อุปฺปโนฺน มาโน สกฺการมโท นามฯ ‘‘อวเสสภิกฺขูนํ ปาทปิฎฺฐิยํ อกฺกมิตฺวา คจฺฉนฺตา มนุสฺสา ‘อยํ สมโณ’ติปิ น วนฺทนฺติ, มํ ปน ทิสฺวา วนฺทนฺติ, ปาสาณจฺฉตฺตํ วิย ครุกํ กตฺวา อคฺคิกฺขนฺธํ วิย จ ทุราสทํ กตฺวา มญฺญนฺตี’’ติ มชฺชนวเสน อุปฺปโนฺน มาโน ครุการมโท นามฯ ‘‘อุปฺปโนฺน ปโญฺห มยฺหเมว มุเขน ฉิชฺชติ, ภิกฺขาจารํ คจฺฉนฺตาปิ อาคจฺฉนฺตาปิ มเมว ปุรโต กตฺวา ปริวาเรตฺวา คจฺฉนฺตี’’ติ มชฺชนวเสน อุปฺปโนฺน มาโน ปุเรกฺขารมโท นามฯ อคาริยสฺส ตาว มหาปริวารสฺส ‘‘ปุริสสตมฺปิ ปุริสสหสฺสมฺปิ มํ ปริวาเรตี’’ติ, อนคาริยสฺส ‘‘สมณสตมฺปิ สมณสหสฺสมฺปิ มํ ปริวาเรติ, เสสา อปฺปปริวารา, อหํ มหาปริวาโร เจว สุจิปริวาโร จา’’ติ มชฺชนวเสน อุปฺปโนฺน มาโน ปริวารมโท นามฯ ‘‘อวเสสา สตฺตา อตฺตโน ปริโภคมตฺตกมฺปิ น ลภนฺติ, มยฺหํ ปน นิธานคตเสฺสว ธนสฺส ปมาณํ นตฺถี’’ติ มชฺชนวเสน อุปฺปโนฺน มาโน โภคมโท นามฯ ‘‘อวเสสา สตฺตา ทุพฺพณฺณา ทุรูปา, อหํ อภิรูโป ปาสาทิโก’’ติปิ ‘‘อวเสสสตฺตา นิคฺคุณา ปตฺถฎอกิตฺติโน, มยฺหํ ปน กิตฺติสโทฺท เทวมนุเสฺสสุ ปากโฎ ‘อิติปิ เถโร พหุสฺสุโต, อิติปิ สีลวา, อิติปิ ธุตคุณยุโตฺต’’’ติ, เอวํ สรีรวณฺณํ คุณวณฺณญฺจ ปฎิจฺจ มชฺชนวเสน อุปฺปโนฺน มาโน วณฺณมโท นามฯ
‘‘Avasesā sattā yaṃ vā taṃ vā labhanti, ahaṃ pana sukataṃ paṇītaṃ cīvarādipaccayaṃ labhāmī’’ti majjanavasena uppanno māno sakkāramado nāma. ‘‘Avasesabhikkhūnaṃ pādapiṭṭhiyaṃ akkamitvā gacchantā manussā ‘ayaṃ samaṇo’tipi na vandanti, maṃ pana disvā vandanti, pāsāṇacchattaṃ viya garukaṃ katvā aggikkhandhaṃ viya ca durāsadaṃ katvā maññantī’’ti majjanavasena uppanno māno garukāramado nāma. ‘‘Uppanno pañho mayhameva mukhena chijjati, bhikkhācāraṃ gacchantāpi āgacchantāpi mameva purato katvā parivāretvā gacchantī’’ti majjanavasena uppanno māno purekkhāramado nāma. Agāriyassa tāva mahāparivārassa ‘‘purisasatampi purisasahassampi maṃ parivāretī’’ti, anagāriyassa ‘‘samaṇasatampi samaṇasahassampi maṃ parivāreti, sesā appaparivārā, ahaṃ mahāparivāro ceva suciparivāro cā’’ti majjanavasena uppanno māno parivāramado nāma. ‘‘Avasesā sattā attano paribhogamattakampi na labhanti, mayhaṃ pana nidhānagatasseva dhanassa pamāṇaṃ natthī’’ti majjanavasena uppanno māno bhogamado nāma. ‘‘Avasesā sattā dubbaṇṇā durūpā, ahaṃ abhirūpo pāsādiko’’tipi ‘‘avasesasattā nigguṇā patthaṭaakittino, mayhaṃ pana kittisaddo devamanussesu pākaṭo ‘itipi thero bahussuto, itipi sīlavā, itipi dhutaguṇayutto’’’ti, evaṃ sarīravaṇṇaṃ guṇavaṇṇañca paṭicca majjanavasena uppanno māno vaṇṇamado nāma.
‘‘อวเสสา สตฺตา อปฺปสฺสุตา, อหํ ปน พหุสฺสุโต’’ติ มชฺชนวเสน อุปฺปโนฺน มาโน สุตมโท นามฯ ‘‘อวเสสา สตฺตา อปฺปฎิภานา, มยฺหํ ปน ปฎิภานสฺส ปมาณํ นตฺถี’’ติ มชฺชนวเสน อุปฺปโนฺน มาโน ปฎิภานมโท นามฯ ‘‘อหํ รตฺตญฺญู อสุกํ พุทฺธวํสํ ราชวํสํ ชนปทวํสํ คามวํสํ รตฺตินฺทิวปริเจฺฉทํ นกฺขตฺตมุหุตฺตโยคํ ชานามี’’ติ มชฺชนวเสน อุปฺปโนฺน มาโน รตฺตญฺญุมโท นามฯ ‘‘อวเสสา ภิกฺขู อนฺตรา ปิณฺฑปาติกา ชาตา, อหํ ปน ชาติปิณฺฑปาติโก’’ติ มชฺชนวเสน อุปฺปโนฺน มาโน ปิณฺฑปาติกมโท นามฯ ‘‘อวเสสา สตฺตา อุญฺญาตา อวญฺญาตา, อหํ ปน อนวญฺญาโต’’ติ มชฺชนวเสน อุปฺปโนฺน มาโน อนวญฺญตฺติมโท นามฯ ‘‘อวเสสานํ สตฺตานํ อิริยาปโถ อปาสาทิโก, มยฺหํ ปน ปาสาทิโก’’ติ มชฺชนวเสน อุปฺปโนฺน มาโน อิริยาปถมโท นามฯ ‘‘อวเสสา สตฺตา ฉินฺนปกฺขกากสทิสา, อหํ ปน มหิทฺธิโก มหานุภาโว’’ติ วา ‘‘อหํ ยํ ยํ กมฺมํ กโรมิ, ตํ ตํ อิชฺฌตี’’ติ วา มชฺชนวเสน อุปฺปโนฺน มาโน อิทฺธิมโท นามฯ
‘‘Avasesā sattā appassutā, ahaṃ pana bahussuto’’ti majjanavasena uppanno māno sutamado nāma. ‘‘Avasesā sattā appaṭibhānā, mayhaṃ pana paṭibhānassa pamāṇaṃ natthī’’ti majjanavasena uppanno māno paṭibhānamado nāma. ‘‘Ahaṃ rattaññū asukaṃ buddhavaṃsaṃ rājavaṃsaṃ janapadavaṃsaṃ gāmavaṃsaṃ rattindivaparicchedaṃ nakkhattamuhuttayogaṃ jānāmī’’ti majjanavasena uppanno māno rattaññumado nāma. ‘‘Avasesā bhikkhū antarā piṇḍapātikā jātā, ahaṃ pana jātipiṇḍapātiko’’ti majjanavasena uppanno māno piṇḍapātikamado nāma. ‘‘Avasesā sattā uññātā avaññātā, ahaṃ pana anavaññāto’’ti majjanavasena uppanno māno anavaññattimado nāma. ‘‘Avasesānaṃ sattānaṃ iriyāpatho apāsādiko, mayhaṃ pana pāsādiko’’ti majjanavasena uppanno māno iriyāpathamado nāma. ‘‘Avasesā sattā chinnapakkhakākasadisā, ahaṃ pana mahiddhiko mahānubhāvo’’ti vā ‘‘ahaṃ yaṃ yaṃ kammaṃ karomi, taṃ taṃ ijjhatī’’ti vā majjanavasena uppanno māno iddhimado nāma.
ยสมโท ปน อคาริเกนปิ อนคาริเกนปิ ทีเปตโพฺพฯ อคาริโกปิ หิ เอกโจฺจ อฎฺฐารสสุ เสณีสุ เอกิสฺสา เชฎฺฐโก โหติ, ตสฺส ‘‘อวเสเส ปุริเส อหํ ปฎฺฐเปมิ, อหํ วิจาเรมี’’ติ, อนคาริโกปิ เอกโจฺจ กตฺถจิ เชฎฺฐโก โหติ, ตสฺส ‘‘อวเสสา ภิกฺขู มยฺหํ โอวาเท วตฺตนฺติ, อหํ เชฎฺฐโก’’ติ มชฺชนวเสน อุปฺปโนฺน มาโน ยสมโท นามฯ ‘‘อวเสสา สตฺตา ทุสฺสีลา, อหํ ปน สีลวา’’ติ มชฺชนวเสน อุปฺปโนฺน มาโน สีลมโท นามฯ ‘‘อวเสสานํ สตฺตานํ กุกฺกุฎสฺส อุทกปานมเตฺตปิ กาเล จิเตฺตกคฺคตา นตฺถิ, อหํ ปน อุปจารปฺปนานํ ลาภี’’ติ มชฺชนวเสน อุปฺปโนฺน มาโน ฌานมโท นามฯ ‘‘อวเสสา สตฺตา นิสฺสิปฺปา, อหํ สิปฺปวา’’ติ มชฺชนวเสน อุปฺปโนฺน มาโน สิปฺปมโท นามฯ ‘‘อวเสสา สตฺตา รสฺสา, อหํ ทีโฆ’’ติ มชฺชนวเสน อุปฺปโนฺน มาโน อาโรหมโท นามฯ ‘‘อวเสสา สตฺตา รสฺสา วา โหนฺติ ทีฆา วา, อหํ นิโคฺรธปริมณฺฑโล’’ติ มชฺชนวเสน อุปฺปโนฺน มาโน ปริณาหมโท นามฯ ‘‘อวเสสานํ สตฺตานํ สรีรสณฺฐานํ วิรูปํ พีภจฺฉํ, มยฺหํ ปน มนาปํ ปาสาทิก’’นฺติ มชฺชนวเสน อุปฺปโนฺน มาโน สณฺฐานมโท นามฯ ‘‘อวเสสานํ สตฺตานํ สรีเร พหู โทสา, มยฺหํ ปน สรีเร เกสคฺคมตฺตมฺปิ วชฺชํ นตฺถี’’ติ มชฺชนวเสน อุปฺปโนฺน มาโน ปาริปูริมโท นามฯ เอวมยํ สโพฺพปิ ชาติอาทิํ นิสฺสาย มชฺชนาการวสปฺปวโตฺต มาโน อิธ ‘‘มโท’’ติ วุโตฺตฯ กามคุเณสุ จิตฺตสฺส โวสฺสโคฺค ปมาโท, ปญฺจสุ กามคุเณสุ สติยา อนิคฺคณฺหิตฺวา จิตฺตสฺส โวสฺสชฺชนํ, สติวิรโหติ วุตฺตํ โหติฯ ตณฺหาวิชฺชา ปากฎาเยวฯ
Yasamado pana agārikenapi anagārikenapi dīpetabbo. Agārikopi hi ekacco aṭṭhārasasu seṇīsu ekissā jeṭṭhako hoti, tassa ‘‘avasese purise ahaṃ paṭṭhapemi, ahaṃ vicāremī’’ti, anagārikopi ekacco katthaci jeṭṭhako hoti, tassa ‘‘avasesā bhikkhū mayhaṃ ovāde vattanti, ahaṃ jeṭṭhako’’ti majjanavasena uppanno māno yasamado nāma. ‘‘Avasesā sattā dussīlā, ahaṃ pana sīlavā’’ti majjanavasena uppanno māno sīlamado nāma. ‘‘Avasesānaṃ sattānaṃ kukkuṭassa udakapānamattepi kāle cittekaggatā natthi, ahaṃ pana upacārappanānaṃ lābhī’’ti majjanavasena uppanno māno jhānamado nāma. ‘‘Avasesā sattā nissippā, ahaṃ sippavā’’ti majjanavasena uppanno māno sippamado nāma. ‘‘Avasesā sattā rassā, ahaṃ dīgho’’ti majjanavasena uppanno māno ārohamado nāma. ‘‘Avasesā sattā rassā vā honti dīghā vā, ahaṃ nigrodhaparimaṇḍalo’’ti majjanavasena uppanno māno pariṇāhamado nāma. ‘‘Avasesānaṃ sattānaṃ sarīrasaṇṭhānaṃ virūpaṃ bībhacchaṃ, mayhaṃ pana manāpaṃ pāsādika’’nti majjanavasena uppanno māno saṇṭhānamado nāma. ‘‘Avasesānaṃ sattānaṃ sarīre bahū dosā, mayhaṃ pana sarīre kesaggamattampi vajjaṃ natthī’’ti majjanavasena uppanno māno pāripūrimado nāma. Evamayaṃ sabbopi jātiādiṃ nissāya majjanākāravasappavatto māno idha ‘‘mado’’ti vutto. Kāmaguṇesu cittassa vossaggo pamādo, pañcasu kāmaguṇesu satiyā aniggaṇhitvā cittassa vossajjanaṃ, sativirahoti vuttaṃ hoti. Taṇhāvijjā pākaṭāyeva.
โลภาทโย จ ปุน ติวิธากุสลมูลนฺติ ติกวเสน คหิตาฯ ทุจฺจริตาทีสุปิ ติวิธ-สโทฺท ปเจฺจกํ โยเชตโพฺพฯ ตตฺถ กายทุจฺจริตาทีนิ ติวิธทุจฺจริตานิฯ ตณฺหาสํกิเลสาทโย ติวิธสํกิเลสาฯ ราคมลาทโย มลีนภาวกรตฺตา ติวิธมลานิฯ ราคาทโย หิ จิตฺตํ มลีนํ กโรนฺติ, มลํ คาหาเปนฺติ, ตสฺมา ‘‘มลานี’’ติ วุจฺจนฺติฯ ‘‘ราโค วิสมํ, โทโส วิสมํ, โมโห วิสม’’นฺติ (วิภ. ๙๒๔) เอวํ วุตฺตา ราคาทโย ‘‘กายวิสมํ วจีวิสมํ มโนวิสม’’นฺติ (วิภ. ๙๒๔) เอวมาคตา กายทุจฺจริตาทโย จ ติวิธวิสมานิฯ ตานิ ปน ยสฺมา ราคาทีสุ เจว กายทุจฺจริตาทีสุ จ สตฺตา ปกฺขลนฺติ, ปกฺขลิตา จ สาสนโตปิ สุคติโตปิ ปตนฺติ, ตสฺมา ปกฺขลนปาตเหตุภาวโต ‘‘วิสมานี’’ติ วุจฺจนฺติฯ ‘‘กามสญฺญา พฺยาปาทสญฺญา วิหิํสาสญฺญา’’ติ (วิภ. ๙๑๑) เอวมาคตา กามาทิปฎิสํยุตฺตา สญฺญา ติวิธสญฺญาฯ ตถา ‘‘กามวิตโกฺก พฺยาปาทวิตโกฺก วิหิํสาวิตโกฺก’’ติ เอวมาคตา ติวิธวิตกฺกาฯ ตณฺหาปปโญฺจ ทิฎฺฐิปปโญฺจ มานปปโญฺจติ อิเม ติวิธปปญฺจาฯ วฎฺฎสฺมิํ สเตฺต ปปเญฺจนฺตีติ ตณฺหาทโย ‘‘ปปญฺจา’’ติ วุจฺจนฺติฯ
Lobhādayo ca puna tividhākusalamūlanti tikavasena gahitā. Duccaritādīsupi tividha-saddo paccekaṃ yojetabbo. Tattha kāyaduccaritādīni tividhaduccaritāni. Taṇhāsaṃkilesādayo tividhasaṃkilesā. Rāgamalādayo malīnabhāvakarattā tividhamalāni. Rāgādayo hi cittaṃ malīnaṃ karonti, malaṃ gāhāpenti, tasmā ‘‘malānī’’ti vuccanti. ‘‘Rāgo visamaṃ, doso visamaṃ, moho visama’’nti (vibha. 924) evaṃ vuttā rāgādayo ‘‘kāyavisamaṃ vacīvisamaṃ manovisama’’nti (vibha. 924) evamāgatā kāyaduccaritādayo ca tividhavisamāni. Tāni pana yasmā rāgādīsu ceva kāyaduccaritādīsu ca sattā pakkhalanti, pakkhalitā ca sāsanatopi sugatitopi patanti, tasmā pakkhalanapātahetubhāvato ‘‘visamānī’’ti vuccanti. ‘‘Kāmasaññā byāpādasaññā vihiṃsāsaññā’’ti (vibha. 911) evamāgatā kāmādipaṭisaṃyuttā saññā tividhasaññā. Tathā ‘‘kāmavitakko byāpādavitakko vihiṃsāvitakko’’ti evamāgatā tividhavitakkā. Taṇhāpapañco diṭṭhipapañco mānapapañcoti ime tividhapapañcā. Vaṭṭasmiṃ satte papañcentīti taṇhādayo ‘‘papañcā’’ti vuccanti.
จตุพฺพิธวิปริเยสาติอาทีสุ จตุพฺพิธ-สโทฺท ปเจฺจกํ โยเชตโพฺพฯ ตตฺถ อนิจฺจาทีนิ วตฺถูนิ นิจฺจนฺติอาทินา นเยน วิปรีตโต เอสนฺตีติ วิปริเยสาฯ ‘‘อนิเจฺจ นิจฺจนฺติ สญฺญาวิปริเยโส จิตฺตวิปริเยโส ทิฎฺฐิวิปริเยโส , ทุเกฺข สุขนฺติ สญฺญาวิปริเยโส จิตฺตวิปริเยโส ทิฎฺฐิวิปริเยโส, อสุเภ สุภนฺติ สญฺญาวิปริเยโส จิตฺตวิปริเยโส ทิฎฺฐิวิปริเยโส , อนตฺตนิ อตฺตาติ สญฺญาวิปริเยโส จิตฺตวิปริเยโส ทิฎฺฐิวิปริเยโส’’ติ เอวมาคตา ทฺวาทส วิปลฺลาสา จตุนฺนํ อนิจฺจาทิวตฺถูนํ วเสน ‘‘จตุพฺพิธวิปริเยสา’’ติ วุตฺตาฯ เอตฺถ ปน จิตฺตกิจฺจสฺส ทุพฺพลฎฺฐาเน ทิฎฺฐิวิรหิตาย อกุสลสญฺญาย สกกิจฺจสฺส พลวกาเล สญฺญาวิปลฺลาโส เวทิตโพฺพ, ทิฎฺฐิวิรหิตเสฺสว อกุสลจิตฺตสฺส สกกิจฺจสฺส พลวกาเล จิตฺตวิปลฺลาโส, ทิฎฺฐิสมฺปยุตฺตจิเตฺต ทิฎฺฐิวิปลฺลาโสฯ ตสฺมา สพฺพทุพฺพโล สญฺญาวิปลฺลาโส, ตโต พลวตโร จิตฺตวิปลฺลาโส, สพฺพพลวตโร ทิฎฺฐิวิปลฺลาโสฯ อชาตพุทฺธิทารกสฺส กหาปณทสฺสนํ วิย สญฺญา อารมฺมณสฺส อุปฎฺฐานาการมตฺตคหณโตฯ คามิกปุริสสฺส กหาปณทสฺสนํ วิย จิตฺตํ ลกฺขณปฺปฎิเวธสฺสปิ สมฺปาทนโตฯ กมฺมารสฺส มหาสณฺฑาเสน อโยคหณํ วิย ทิฎฺฐิ อภินิเวสปรามสนโตฯ ตตฺถ จตฺตาโร ทิฎฺฐิวิปลฺลาสา, อนิจฺจานเตฺตสุ นิจฺจนฺติอาทิวสปฺปวตฺตา จตฺตาโร สญฺญาจิตฺตวิปลฺลาสาติ อิเม อฎฺฐ วิปลฺลาสา โสตาปตฺติมเคฺคน ปหียนฺติฯ อสุเภ สุภนฺติ สญฺญาจิตฺตวิปลฺลาสา สกทาคามิมเคฺคน ตนุกา โหนฺติ, อนาคามิมเคฺคน ปหียนฺติฯ ทุเกฺข สุขนฺติ สญฺญาจิตฺตวิปลฺลาสา อรหตฺตมเคฺคน ปหียนฺตีติ เวทิตพฺพาฯ
Catubbidhavipariyesātiādīsu catubbidha-saddo paccekaṃ yojetabbo. Tattha aniccādīni vatthūni niccantiādinā nayena viparītato esantīti vipariyesā. ‘‘Anicce niccanti saññāvipariyeso cittavipariyeso diṭṭhivipariyeso , dukkhe sukhanti saññāvipariyeso cittavipariyeso diṭṭhivipariyeso, asubhe subhanti saññāvipariyeso cittavipariyeso diṭṭhivipariyeso , anattani attāti saññāvipariyeso cittavipariyeso diṭṭhivipariyeso’’ti evamāgatā dvādasa vipallāsā catunnaṃ aniccādivatthūnaṃ vasena ‘‘catubbidhavipariyesā’’ti vuttā. Ettha pana cittakiccassa dubbalaṭṭhāne diṭṭhivirahitāya akusalasaññāya sakakiccassa balavakāle saññāvipallāso veditabbo, diṭṭhivirahitasseva akusalacittassa sakakiccassa balavakāle cittavipallāso, diṭṭhisampayuttacitte diṭṭhivipallāso. Tasmā sabbadubbalo saññāvipallāso, tato balavataro cittavipallāso, sabbabalavataro diṭṭhivipallāso. Ajātabuddhidārakassa kahāpaṇadassanaṃ viya saññā ārammaṇassa upaṭṭhānākāramattagahaṇato. Gāmikapurisassa kahāpaṇadassanaṃ viya cittaṃ lakkhaṇappaṭivedhassapi sampādanato. Kammārassa mahāsaṇḍāsena ayogahaṇaṃ viya diṭṭhi abhinivesaparāmasanato. Tattha cattāro diṭṭhivipallāsā, aniccānattesu niccantiādivasappavattā cattāro saññācittavipallāsāti ime aṭṭha vipallāsā sotāpattimaggena pahīyanti. Asubhe subhanti saññācittavipallāsā sakadāgāmimaggena tanukā honti, anāgāmimaggena pahīyanti. Dukkhe sukhanti saññācittavipallāsā arahattamaggena pahīyantīti veditabbā.
‘‘กามาสโว ภวาสโว ทิฎฺฐาสโว อวิชฺชาสโว’’ติ (จูฬนิ. ชตุกณฺณิมาณวปุจฺฉานิเทฺทส ๖๙) เอวมาคตา กามตณฺหาทโย จตฺตาโร อาสวนฺติ จกฺขุอาทิโต สนฺทนฺติ ปวตฺตนฺตีติ อาสวาฯ กิญฺจาปิ จกฺขุอาทิโต กุสลาทีนมฺปิ ปวตฺติ อตฺถิ, กามาสวาทโย เอว ปน วณโต ยูสํ วิย ปคฺฆรณกอสุจิภาเวน สนฺทนฺติ, ตสฺมา เต เอว ‘‘อาสวา’’ติ วุจฺจนฺติฯ ตตฺถ หิ ปคฺฆรณกอสุจิมฺหิ นิรุโฬฺห อาสวสโทฺทติฯ อถ วา ธมฺมโต ยาว โคตฺรภุํ, โอกาสโต ยาว ภวคฺคํ สวนฺติ คจฺฉนฺติ อารมฺมณกรณวเสน ปวตฺตนฺตีติ อาสวา, เอเต ธเมฺม เอตญฺจ โอกาสํ อโนฺตกริตฺวา ปวตฺตนฺตีติ อโตฺถฯ อวธิอโตฺถ หิ อา-กาโรฯ อวธิ จ มริยาทาภิวิธิเภทโต ทุวิโธฯ ตตฺถ มริยาทํ กิริยํ พหิกตฺวา ปวตฺตติ ยถา ‘‘อาปาฎลิปุตฺตํ วุโฎฺฐ เทโว’’ติ, อภิวิธิ ปน กิริยํ พฺยาเปตฺวา ปวตฺตติ ยถา ‘‘อาภวคฺคํ ภควโต ยโส ปวตฺตตี’’ติ, อภิวิธิอโตฺถ จายํ อา-กาโร อิธ คหิโต, ตสฺมา เต ธเมฺม ตญฺจ โอกาสํ อโนฺตกริตฺวา อารมฺมณกรณวเสน สวนฺตีติ ‘‘อาสวา’’ติ วุจฺจนฺติฯ จิรปาริวาสิยเฎฺฐน มทิราทโย อาสวา วิยาติปิ อาสวาฯ โลกสฺมิญฺหิ จิรปาริวาสิกา มทิราทโย ‘‘อาสวา’’ติ วุจฺจนฺติฯ ยทิ จ จิรปาริวาสิยเฎฺฐน อาสวา, เอเตเยว ภวิตุมรหนฺติฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘ปุริมา, ภิกฺขเว, โกฎิ น ปญฺญายติ อวิชฺชาย, อิโต ปุเพฺพ อวิชฺชา นาโหสี’’ติอาทิ (อ. นิ. ๑๐.๖๑)ฯ อเญฺญสุ ปน ยถาวุเตฺต ธเมฺม โอกาสญฺจ อารมฺมณํ กตฺวา ปวตฺตมาเนสุ มานาทีสุ จ วิชฺชมาเนสุ อตฺตตฺตนิยาทิคฺคาหวเสน อภิพฺยาปนํ มทนกรณวเสน อาสวสทิสตา จ เอเตสํเยว, น อเญฺญสนฺติ ทฺวีสุปิ อตฺถวิกเปฺปสุ เอเตสุเยว อาสวสโทฺท นิรุโฬฺหติ ทฎฺฐโพฺพฯ อายตํ วา สํสารทุกฺขํ สวนฺติ ปสวนฺตีติปิ อาสวาฯ น หิ ตํ กิญฺจิ สํสารทุกฺขํ อตฺถิ, ยํ อาสเวหิ วินา อุปฺปเชฺชยฺยฯ
‘‘Kāmāsavo bhavāsavo diṭṭhāsavo avijjāsavo’’ti (cūḷani. jatukaṇṇimāṇavapucchāniddesa 69) evamāgatā kāmataṇhādayo cattāro āsavanti cakkhuādito sandanti pavattantīti āsavā. Kiñcāpi cakkhuādito kusalādīnampi pavatti atthi, kāmāsavādayo eva pana vaṇato yūsaṃ viya paggharaṇakaasucibhāvena sandanti, tasmā te eva ‘‘āsavā’’ti vuccanti. Tattha hi paggharaṇakaasucimhi niruḷho āsavasaddoti. Atha vā dhammato yāva gotrabhuṃ, okāsato yāva bhavaggaṃ savanti gacchanti ārammaṇakaraṇavasena pavattantīti āsavā, ete dhamme etañca okāsaṃ antokaritvā pavattantīti attho. Avadhiattho hi ā-kāro. Avadhi ca mariyādābhividhibhedato duvidho. Tattha mariyādaṃ kiriyaṃ bahikatvā pavattati yathā ‘‘āpāṭaliputtaṃ vuṭṭho devo’’ti, abhividhi pana kiriyaṃ byāpetvā pavattati yathā ‘‘ābhavaggaṃ bhagavato yaso pavattatī’’ti, abhividhiattho cāyaṃ ā-kāro idha gahito, tasmā te dhamme tañca okāsaṃ antokaritvā ārammaṇakaraṇavasena savantīti ‘‘āsavā’’ti vuccanti. Cirapārivāsiyaṭṭhena madirādayo āsavā viyātipi āsavā. Lokasmiñhi cirapārivāsikā madirādayo ‘‘āsavā’’ti vuccanti. Yadi ca cirapārivāsiyaṭṭhena āsavā, eteyeva bhavitumarahanti. Vuttañhetaṃ ‘‘purimā, bhikkhave, koṭi na paññāyati avijjāya, ito pubbe avijjā nāhosī’’tiādi (a. ni. 10.61). Aññesu pana yathāvutte dhamme okāsañca ārammaṇaṃ katvā pavattamānesu mānādīsu ca vijjamānesu attattaniyādiggāhavasena abhibyāpanaṃ madanakaraṇavasena āsavasadisatā ca etesaṃyeva, na aññesanti dvīsupi atthavikappesu etesuyeva āsavasaddo niruḷhoti daṭṭhabbo. Āyataṃ vā saṃsāradukkhaṃ savanti pasavantītipi āsavā. Na hi taṃ kiñci saṃsāradukkhaṃ atthi, yaṃ āsavehi vinā uppajjeyya.
‘‘อภิชฺฌา กายคโนฺถ พฺยาปาโท กายคโนฺถ สีลพฺพตปรามาโส กายคโนฺถ อิทํสจฺจาภินิเวโส กายคโนฺถ’’ติ (สํ. นิ. ๕.๑๗๕; มหานิ. ๒๙, ๑๔๗) เอวมาคตา อภิชฺฌาทโย จตฺตาโร ยสฺส สํวิชฺชนฺติ, ตํ จุติปฎิสนฺธิวเสน วฎฺฎสฺมิํ คเนฺถนฺติ ฆเฎนฺตีติ คนฺถาฯ ‘‘กาโมโฆ ภโวโฆ ทิโฎฺฐโฆ อวิโชฺชโฆ’’ติ (สํ. นิ. ๕.๑๗๒; มหานิ. ๑๔; จูฬนิ. เมตฺตคูมาณวปุจฺฉานิเทฺทส ๒๑) เอวมาคตา จตฺตาโร กามตณฺหาทโย ยสฺส สํวิชฺชนฺติ, ตํ วฎฺฎสฺมิํ โอหนนฺติ โอสีทาเปนฺตีติ โอฆาฯ เตเยว ‘‘กามโยโค ภวโยโค ทิฎฺฐิโยโค อวิชฺชาโยโค’’ติ (สํ. นิ. ๕.๑๗๓; อ. นิ. ๔.๑๐) เอวมาคตา วฎฺฎสฺมิํ โยเชนฺตีติ โยคาฯ อริยา เอตาย น คจฺฉนฺตีติ อคติ, สา ฉนฺทาทิวเสน จตุพฺพิธาฯ ‘‘จีวรเหตุ วา ภิกฺขุโน ตณฺหา อุปฺปชฺชมานา อุปฺปชฺชติ, ปิณฺฑปาต, เสนาสน, อิติภวาภวเหตุ วา ภิกฺขุโน ตณฺหา อุปฺปชฺชมานา อุปฺปชฺชตี’’ติ (อ. นิ. ๔.๙) เอวมาคตา จตฺตาโร ตณฺหุปฺปาทาฯ ตตฺถ อิติภวาภวเหตูติ เอตฺถ อิตีติ นิทสฺสเน นิปาโต, ยถา จีวราทิเหตุ, เอวํ ภวาภวเหตุปีติ อโตฺถฯ ภวาภโวติ เจตฺถ ปณีตปณีตตรานิ เตลมธุผาณิตาทีนิ อธิเปฺปตานิฯ กามุปาทานาทีนิ จตฺตาริ อุปาทานานิฯ
‘‘Abhijjhā kāyagantho byāpādo kāyagantho sīlabbataparāmāso kāyagantho idaṃsaccābhiniveso kāyagantho’’ti (saṃ. ni. 5.175; mahāni. 29, 147) evamāgatā abhijjhādayo cattāro yassa saṃvijjanti, taṃ cutipaṭisandhivasena vaṭṭasmiṃ ganthenti ghaṭentīti ganthā. ‘‘Kāmogho bhavogho diṭṭhogho avijjogho’’ti (saṃ. ni. 5.172; mahāni. 14; cūḷani. mettagūmāṇavapucchāniddesa 21) evamāgatā cattāro kāmataṇhādayo yassa saṃvijjanti, taṃ vaṭṭasmiṃ ohananti osīdāpentīti oghā. Teyeva ‘‘kāmayogo bhavayogo diṭṭhiyogo avijjāyogo’’ti (saṃ. ni. 5.173; a. ni. 4.10) evamāgatā vaṭṭasmiṃ yojentīti yogā. Ariyā etāya na gacchantīti agati, sā chandādivasena catubbidhā. ‘‘Cīvarahetu vā bhikkhuno taṇhā uppajjamānā uppajjati, piṇḍapāta, senāsana, itibhavābhavahetu vā bhikkhuno taṇhā uppajjamānā uppajjatī’’ti (a. ni. 4.9) evamāgatā cattāro taṇhuppādā. Tattha itibhavābhavahetūti ettha itīti nidassane nipāto, yathā cīvarādihetu, evaṃ bhavābhavahetupīti attho. Bhavābhavoti cettha paṇītapaṇītatarāni telamadhuphāṇitādīni adhippetāni. Kāmupādānādīni cattāri upādānāni.
ปญฺจ เจโตขิลาติอาทีสุ ‘‘พุเทฺธ กงฺขติ, ธเมฺม, สเงฺฆ, สิกฺขาย กงฺขติ, สพฺรหฺมจารีสุ กุปิโต โหติ อนตฺตมโน อาหตจิโตฺต ขิลชาโต’’ติ (ม. นิ. ๑.๑๘๕; ที. นิ. ๓.๓๑๙) เอวมาคตานิ ปญฺจ เจโตขิลานิ, เจโต ขิลยติ ถทฺธภาวํ อาปชฺชติ เอเตหีติ เจโตขิลานิฯ วินิพนฺธาทีสุปิ ปญฺจ-สโทฺท ปเจฺจกํ โยเชตโพฺพฯ ‘‘กาเม อวีตราโค โหติ, กาเย อวีตราโค, รูเป อวีตราโค, ยาวทตฺถํ อุทราวเทหกํ ภุญฺชิตฺวา เสยฺยสุขํ ปสฺสสุขํ มิทฺธสุขํ อนุยุโตฺต วิหรติ, อญฺญตรํ เทวนิกายํ ปณิธาย พฺรหฺมจริยํ จรตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๑๘๖; ที. นิ. ๓.๓๒๐) อาคตา ปญฺจ จิตฺตํ พนฺธิตฺวา มุฎฺฐิยํ กตฺวา วิย คณฺหนฺตีติ เจโตวินิพนฺธาฯ เอเต หิ ตณฺหาปฺปวตฺติภาวโต กุสลปฺปวตฺติยา อวสราปฺปทานวเสน จิตฺตํ พนฺธํ วิย สโมโรเธตฺวา คณฺหนฺติฯ สทฺทตฺถโต ปน เจโต วิรูปํ นิพนฺธียติ สํยมียติ เอเตหีติ เจโตวินิพนฺธาฯ กามจฺฉนฺทาทีนิ ปญฺจ กุสลธเมฺม นีวาเรนฺติ อาวรนฺตีติ นีวรณานิฯ รูปาภินนฺทนาทโย ปญฺจาภินนฺทนาฯ
Pañca cetokhilātiādīsu ‘‘buddhe kaṅkhati, dhamme, saṅghe, sikkhāya kaṅkhati, sabrahmacārīsu kupito hoti anattamano āhatacitto khilajāto’’ti (ma. ni. 1.185; dī. ni. 3.319) evamāgatāni pañca cetokhilāni, ceto khilayati thaddhabhāvaṃ āpajjati etehīti cetokhilāni. Vinibandhādīsupi pañca-saddo paccekaṃ yojetabbo. ‘‘Kāme avītarāgo hoti, kāye avītarāgo, rūpe avītarāgo, yāvadatthaṃ udarāvadehakaṃ bhuñjitvā seyyasukhaṃ passasukhaṃ middhasukhaṃ anuyutto viharati, aññataraṃ devanikāyaṃ paṇidhāya brahmacariyaṃ caratī’’ti (ma. ni. 1.186; dī. ni. 3.320) āgatā pañca cittaṃ bandhitvā muṭṭhiyaṃ katvā viya gaṇhantīti cetovinibandhā. Ete hi taṇhāppavattibhāvato kusalappavattiyā avasarāppadānavasena cittaṃ bandhaṃ viya samorodhetvā gaṇhanti. Saddatthato pana ceto virūpaṃ nibandhīyati saṃyamīyati etehīti cetovinibandhā. Kāmacchandādīni pañca kusaladhamme nīvārenti āvarantīti nīvaraṇāni. Rūpābhinandanādayo pañcābhinandanā.
ฉ วิวาทมูลาติอาทีสุ โกโธ มโกฺข อิสฺสา สาเฐยฺยํ ปาปิจฺฉตา สนฺทิฎฺฐิปรามาโสติ อิมานิ ฉ วิวาทมูลานิฯ ยสฺมา กุโทฺธ วา โกธวเสน…เป.… สนฺทิฎฺฐิปรามาสี วา สนฺทิฎฺฐิปรามสิตาย กลหํ วิคฺคหํ วิวาทํ อาปชฺชติ, ตสฺมา โกธาทโย ‘‘ฉ วิวาทมูลานี’’ติ วุจฺจนฺติฯ รูปตณฺหาสทฺทตณฺหาทโย ฉ ตณฺหากายาฯ กามราคปฎิฆทิฎฺฐิวิจิกิจฺฉาภวราคมานาวิชฺชา สตฺตานุสยาฯ ถามคตเฎฺฐน อปฺปหีนเฎฺฐน จ อนุเสนฺตีติ อนุสยาฯ มิจฺฉาทิฎฺฐิมิจฺฉาสงฺกปฺปมิจฺฉาวาจามิจฺฉากมฺมนฺตมิจฺฉาอาชีวมิจฺฉาวายามมิจฺฉาสติมิจฺฉาสมาธี อฎฺฐ มิจฺฉตฺตาฯ
Chavivādamūlātiādīsu kodho makkho issā sāṭheyyaṃ pāpicchatā sandiṭṭhiparāmāsoti imāni cha vivādamūlāni. Yasmā kuddho vā kodhavasena…pe… sandiṭṭhiparāmāsī vā sandiṭṭhiparāmasitāya kalahaṃ viggahaṃ vivādaṃ āpajjati, tasmā kodhādayo ‘‘cha vivādamūlānī’’ti vuccanti. Rūpataṇhāsaddataṇhādayo cha taṇhākāyā. Kāmarāgapaṭighadiṭṭhivicikicchābhavarāgamānāvijjā sattānusayā. Thāmagataṭṭhena appahīnaṭṭhena ca anusentīti anusayā. Micchādiṭṭhimicchāsaṅkappamicchāvācāmicchākammantamicchāājīvamicchāvāyāmamicchāsatimicchāsamādhī aṭṭha micchattā.
‘‘ตณฺหํ ปฎิจฺจ ปริเยสนา, ปริเยสนํ ปฎิจฺจ ลาโภ, ลาภํ ปฎิจฺจ วินิจฺฉโย, วินิจฺฉยํ ปฎิจฺจ ฉนฺทราโค, ฉนฺทราคํ ปฎิจฺจ อโชฺฌสานํ, อโชฺฌสานํ ปฎิจฺจ ปริคฺคโห, ปริคฺคหํ ปฎิจฺจ มจฺฉริยํ, มจฺฉริยํ ปฎิจฺจ อารโกฺข, อารกฺขาธิกรณํ ทณฺฑาทานสตฺถาทานกลหวิคฺคหวิวาทตุวํตุวํเปสุญฺญมุสาวาทา อเนเก ปาปกา อกุสลา ธมฺมา สมฺภวนฺตี’’ติ (ที. นิ. ๒.๑๐๓; ๓.๓๕๙) เอวมาคตา ปริเยสนาทโย นว ตณฺหามูลกาฯ ตตฺถ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๒.๑๐๓) ตณฺหํ ปฎิจฺจาติ ตณฺหํ นิสฺสายฯ ปริเยสนาติ รูปาทิอารมฺมณปริเยสนาฯ สา หิ ตณฺหาย สติ โหติฯ ลาโภติ รูปาทิอารมฺมณปฎิลาโภฯ โส หิ ปริเยสนาย สติ โหติฯ วินิจฺฉโยติ อิธ วิตโกฺก อธิเปฺปโตฯ ลาภํ ลภิตฺวา หิ อิฎฺฐานิฎฺฐํ สุนฺทราสุนฺทรญฺจ วิตเกฺกเนว วินิจฺฉินติ ‘‘เอตฺตกํ เม รูปารมฺมณตฺถาย ภวิสฺสติ, เอตฺตกํ สทฺทาทิอารมฺมณตฺถาย, เอตฺตกํ มยฺหํ ภวิสฺสติ, เอตฺตกํ ปรสฺส, เอตฺตกํ ปริภุญฺชิสฺสามิ, เอตฺตกํ นิทหิสฺสามี’’ติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ลาภํ ปฎิจฺจ วินิจฺฉโย’’ติฯ ฉนฺทราโคติ เอวํ อกุสลวิตเกฺกน วิตกฺกิเต วตฺถุสฺมิํ ทุพฺพลราโค จ พลวราโค จ อุปฺปชฺชติฯ ฉโนฺทติ หิ อิธ ทุพฺพลราคสฺสาธิวจนํฯ อโชฺฌสานนฺติ อหํ มมนฺติ พลวสนฺนิฎฺฐานํฯ ปริคฺคโหติ ตณฺหาทิฎฺฐิวเสน ปริคฺคหกรณํฯ มจฺฉริยนฺติ ปเรหิ สาธารณภาวสฺส อสหนตาฯ เตเนวสฺส โปราณา เอวํ วจนตฺถํ วทนฺติ ‘‘อิทํ อจฺฉริยํ มยฺหเมว โหตุ, มา อญฺญสฺส อจฺฉริยํ โหตูติ ปวตฺตตฺตา มจฺฉริยนฺติ วุจฺจตี’’ติฯ อารโกฺขติ ทฺวารปิทหนมญฺชุสโคปนาทิวเสน สุฎฺฐุ รกฺขณํฯ อธิกโรตีติ อธิกรณํ, การณเสฺสตํ นามํฯ อารกฺขาธิกรณนฺติ ภาวนปุํสกํ, อารกฺขเหตูติ อโตฺถฯ ทณฺฑาทานาทีสุ ปรนิเสธนตฺถํ ทณฺฑสฺส อาทานํ ทณฺฑาทานํฯ เอกโตธาราทิโน สตฺถสฺส อาทานํ สตฺถาทานํฯ กลโหติ กายกลโหปิ วาจากลโหปิฯ ปุริโม ปุริโม วิโรโธ วิคฺคโหฯ ปจฺฉิโม ปจฺฉิโม วิวาโทฯ ตุวํ ตุวนฺติ อคารววจนํ, ตฺวํ ตฺวนฺติ อโตฺถฯ
‘‘Taṇhaṃ paṭicca pariyesanā, pariyesanaṃ paṭicca lābho, lābhaṃ paṭicca vinicchayo, vinicchayaṃ paṭicca chandarāgo, chandarāgaṃ paṭicca ajjhosānaṃ, ajjhosānaṃ paṭicca pariggaho, pariggahaṃ paṭicca macchariyaṃ, macchariyaṃ paṭicca ārakkho, ārakkhādhikaraṇaṃ daṇḍādānasatthādānakalahaviggahavivādatuvaṃtuvaṃpesuññamusāvādā aneke pāpakā akusalā dhammā sambhavantī’’ti (dī. ni. 2.103; 3.359) evamāgatā pariyesanādayo nava taṇhāmūlakā. Tattha (dī. ni. aṭṭha. 2.103) taṇhaṃ paṭiccāti taṇhaṃ nissāya. Pariyesanāti rūpādiārammaṇapariyesanā. Sā hi taṇhāya sati hoti. Lābhoti rūpādiārammaṇapaṭilābho. So hi pariyesanāya sati hoti. Vinicchayoti idha vitakko adhippeto. Lābhaṃ labhitvā hi iṭṭhāniṭṭhaṃ sundarāsundarañca vitakkeneva vinicchinati ‘‘ettakaṃ me rūpārammaṇatthāya bhavissati, ettakaṃ saddādiārammaṇatthāya, ettakaṃ mayhaṃ bhavissati, ettakaṃ parassa, ettakaṃ paribhuñjissāmi, ettakaṃ nidahissāmī’’ti. Tena vuttaṃ ‘‘lābhaṃ paṭicca vinicchayo’’ti. Chandarāgoti evaṃ akusalavitakkena vitakkite vatthusmiṃ dubbalarāgo ca balavarāgo ca uppajjati. Chandoti hi idha dubbalarāgassādhivacanaṃ. Ajjhosānanti ahaṃ mamanti balavasanniṭṭhānaṃ. Pariggahoti taṇhādiṭṭhivasena pariggahakaraṇaṃ. Macchariyanti parehi sādhāraṇabhāvassa asahanatā. Tenevassa porāṇā evaṃ vacanatthaṃ vadanti ‘‘idaṃ acchariyaṃ mayhameva hotu, mā aññassa acchariyaṃ hotūti pavattattā macchariyanti vuccatī’’ti. Ārakkhoti dvārapidahanamañjusagopanādivasena suṭṭhu rakkhaṇaṃ. Adhikarotīti adhikaraṇaṃ, kāraṇassetaṃ nāmaṃ. Ārakkhādhikaraṇanti bhāvanapuṃsakaṃ, ārakkhahetūti attho. Daṇḍādānādīsu paranisedhanatthaṃ daṇḍassa ādānaṃ daṇḍādānaṃ. Ekatodhārādino satthassa ādānaṃ satthādānaṃ. Kalahoti kāyakalahopi vācākalahopi. Purimo purimo virodho viggaho. Pacchimo pacchimo vivādo. Tuvaṃ tuvanti agāravavacanaṃ, tvaṃ tvanti attho.
ปาณาติปาตอทินฺนาทานกาเมสุมิจฺฉาจารมุสาวาทปิสุณวาจาผรุสวาจาสมฺผปฺปลาปอภิชฺฌาพฺยาปาทมิจฺฉาทิฎฺฐี ทส อกุสลกมฺมปถาฯ จตฺตาโร สสฺสตวาทา จตฺตาโร เอกจฺจสสฺสตวาทา จตฺตาโร อนฺตานนฺติกา จตฺตาโร อมราวิเกฺขปิกา เทฺว อธิจฺจสมุปฺปนฺนิกา โสฬส สญฺญีวาทา อฎฺฐ อสญฺญีวาทา อฎฺฐ เนวสญฺญีนาสญฺญีวาทา สตฺต อุเจฺฉทวาทา ปญฺจ ปรมทิฎฺฐธมฺมนิพฺพานวาทาติ เอตานิ ทฺวาสฎฺฐิ ทิฎฺฐิคตานิฯ รูปตณฺหาทิฉตณฺหาเยว ปเจฺจกํ กามตณฺหาภวตณฺหาวิภวตณฺหาวเสน อฎฺฐารส โหนฺติฯ ตถา หิ รูปารมฺมณา ตณฺหา, รูเป วา ตณฺหาติ รูปตณฺหา, สา กามราคภาเวน รูปํ อสฺสาเทนฺตี ปวตฺตมานา กามตณฺหา, สสฺสตทิฎฺฐิสหคตราคภาเวน ‘‘รูปํ นิจฺจํ ธุวํ สสฺสต’’นฺติ เอวํ อสฺสาเทนฺตี ปวตฺตมานา ภวตณฺหา, อุเจฺฉททิฎฺฐิสหคตราคภาเวน ‘‘รูปํ อุจฺฉิชฺชติ วินสฺสติ เปจฺจ น ภวตี’’ติ เอวํ อสฺสาเทนฺตี ปวตฺตมานา วิภวตณฺหาติ เอวํ ติวิธา โหติฯ ยถา จ รูปตณฺหา, เอวํ สทฺทตณฺหาทโยปีติ เอตานิ อฎฺฐารส ตณฺหาวิจริตานิ โหนฺติ, ตานิ อชฺฌตฺตรูปาทีสุ อฎฺฐารส, พหิทฺธารูปาทีสุ อฎฺฐารสาติ ฉตฺติํส, อิติ อตีตานิ ฉตฺติํส, อนาคตานิ ฉตฺติํส, ปจฺจุปฺปนฺนานิ ฉตฺติํสาติ อฎฺฐสตตณฺหาวิจริตานิ, อฎฺฐุตฺตรสตตณฺหาวิจริตานีติ อโตฺถฯ ปเภท-สโทฺท ปเจฺจกํ สมฺพนฺธิตโพฺพฯ ตตฺถายํ โยชนา ‘‘โลภปฺปเภโท โทสปฺปเภโท ยาว อฎฺฐสตตณฺหาวิจริตปฺปเภโท’’ติฯ สพฺพทรถปริฬาหกิเลสสตสหสฺสานีติ สพฺพานิ สตฺตานํ ทรถปริฬาหกรานิ กิเลสานํ อเนกานิ สตสหสฺสานิฯ อารมฺมณาทิวิภาคโต หิ ปวตฺติอาการวิภาคโต จ อนนฺตปฺปเภทา กิเลสาฯ
Pāṇātipātaadinnādānakāmesumicchācāramusāvādapisuṇavācāpharusavācāsamphappalāpaabhijjhābyāpādamicchādiṭṭhī dasa akusalakammapathā. Cattāro sassatavādā cattāro ekaccasassatavādā cattāro antānantikā cattāro amarāvikkhepikā dve adhiccasamuppannikā soḷasa saññīvādā aṭṭha asaññīvādā aṭṭha nevasaññīnāsaññīvādā satta ucchedavādā pañca paramadiṭṭhadhammanibbānavādāti etāni dvāsaṭṭhi diṭṭhigatāni. Rūpataṇhādichataṇhāyeva paccekaṃ kāmataṇhābhavataṇhāvibhavataṇhāvasena aṭṭhārasa honti. Tathā hi rūpārammaṇā taṇhā, rūpe vā taṇhāti rūpataṇhā, sā kāmarāgabhāvena rūpaṃ assādentī pavattamānā kāmataṇhā, sassatadiṭṭhisahagatarāgabhāvena ‘‘rūpaṃ niccaṃ dhuvaṃ sassata’’nti evaṃ assādentī pavattamānā bhavataṇhā, ucchedadiṭṭhisahagatarāgabhāvena ‘‘rūpaṃ ucchijjati vinassati pecca na bhavatī’’ti evaṃ assādentī pavattamānā vibhavataṇhāti evaṃ tividhā hoti. Yathā ca rūpataṇhā, evaṃ saddataṇhādayopīti etāni aṭṭhārasa taṇhāvicaritāni honti, tāni ajjhattarūpādīsu aṭṭhārasa, bahiddhārūpādīsu aṭṭhārasāti chattiṃsa, iti atītāni chattiṃsa, anāgatāni chattiṃsa, paccuppannāni chattiṃsāti aṭṭhasatataṇhāvicaritāni, aṭṭhuttarasatataṇhāvicaritānīti attho. Pabheda-saddo paccekaṃ sambandhitabbo. Tatthāyaṃ yojanā ‘‘lobhappabhedo dosappabhedo yāva aṭṭhasatataṇhāvicaritappabhedo’’ti. Sabbadarathapariḷāhakilesasatasahassānīti sabbāni sattānaṃ darathapariḷāhakarāni kilesānaṃ anekāni satasahassāni. Ārammaṇādivibhāgato hi pavattiākāravibhāgato ca anantappabhedā kilesā.
สเงฺขปโต วาติอาทีสุ สมฺปติ อายติญฺจ สตฺตานํ อนตฺถาวหตฺตา มารณเฎฺฐน วิพาธนเฎฺฐน กิเลสาว มาโรติ กิเลสมาโรฯ วธกเฎฺฐน ขนฺธาว มาโรติ ขนฺธมาโรฯ ตถา หิ วุตฺตํ ‘‘วธกํ รูปํ, วธกํ รูปนฺติ ยถาภูตํ นปฺปชานาตี’’ติอาทิฯ ชาติชราทิมหาพฺยสนนิพฺพตฺตเนน อภิสงฺขาโรว มาโร อภิสงฺขารมาโรฯ สํกิเลสนิมิตฺตํ หุตฺวา คุณมารณเฎฺฐน เทวปุโตฺตว มาโรติ เทวปุตฺตมาโรฯ สตฺตานํ ชีวิตสฺส ชีวิตปริกฺขารานญฺจ ชานิกรเณน มหาพาธรูปตฺตา มจฺจุ เอว มาโรติ มจฺจุมาโรฯ ตตฺถ สมุเจฺฉทปฺปหานวเสน สพฺพโส อปฺปวตฺติกรเณน กิเลสมารํ, สมุทยปฺปหานปริญฺญาวเสน ขนฺธมารํ, สหายเวกลฺลกรณวเสน สพฺพโส อปฺปวตฺติกรเณน อภิสงฺขารมารํ, พลวิธมนวิสยาติกฺกมนวเสน เทวปุตฺตมจฺจุมารญฺจ อภญฺชิ, ภเคฺค อกาสีติ อโตฺถฯ ปริสฺสยานนฺติ อุปทฺทวานํฯ
Saṅkhepato vātiādīsu sampati āyatiñca sattānaṃ anatthāvahattā māraṇaṭṭhena vibādhanaṭṭhena kilesāva māroti kilesamāro. Vadhakaṭṭhena khandhāva māroti khandhamāro. Tathā hi vuttaṃ ‘‘vadhakaṃ rūpaṃ, vadhakaṃ rūpanti yathābhūtaṃ nappajānātī’’tiādi. Jātijarādimahābyasananibbattanena abhisaṅkhārova māro abhisaṅkhāramāro. Saṃkilesanimittaṃ hutvā guṇamāraṇaṭṭhena devaputtova māroti devaputtamāro. Sattānaṃ jīvitassa jīvitaparikkhārānañca jānikaraṇena mahābādharūpattā maccu eva māroti maccumāro. Tattha samucchedappahānavasena sabbaso appavattikaraṇena kilesamāraṃ, samudayappahānapariññāvasena khandhamāraṃ, sahāyavekallakaraṇavasena sabbaso appavattikaraṇena abhisaṅkhāramāraṃ, balavidhamanavisayātikkamanavasena devaputtamaccumārañca abhañji, bhagge akāsīti attho. Parissayānanti upaddavānaṃ.
สตปุญฺญชลกฺขณธรสฺสาติ อเนก สต ปุญฺญ นิพฺพตฺตมหา ปุริสลกฺขณธรสฺสฯ เอตฺถ หิ ‘‘เกวลํ สตมเตฺตน ปุญฺญกเมฺมน เอเกกลกฺขณํ นิพฺพตฺต’’นฺติ อิมมตฺถํ น โรจยิํสุ อฎฺฐกถาจริยา ‘‘เอวํ สเนฺต โย โกจิ พุโทฺธ ภเวยฺยา’’ติ, อนนฺตาสุ ปน โลกธาตูสุ ยตฺตกา สตฺตา, เตหิ สเพฺพหิ ปเจฺจกํ สตกฺขตฺตุํ กตานิ ทานาทีนิ ปุญฺญกมฺมานิ ยตฺตกานิ, ตโต เอเกกํ ปุญฺญกมฺมํ มหาสเตฺตน สตคุณํ กตํ สตนฺติ อธิเปฺปตนฺติ อิมมตฺถํ โรจยิํสุฯ ตสฺมา อิธ สต-สโทฺท พหุภาวปริยาโย, น สงฺขฺยาวิเสสวจโนติ ทฎฺฐโพฺพ ‘‘สตคฺฆํ สตํ เทวมนุสฺสา’’ติอาทีสุ วิยฯ รูปกายสมฺปตฺติ ทีปิตา โหติ อิตราสํ ผลสมฺปทานํ มูลภาวโต อธิฎฺฐานภาวโต จฯ ทีปิตา โหตีติ อิทํ ธมฺมกายสมฺปตฺตีติอาทีสุปิ โยเชตพฺพํฯ ตตฺถ ปหานสมฺปทาปุพฺพกตฺตา ญาณสมฺปทาทีนํ ธมฺมกายสมฺปตฺติ ทีปิตา โหตีติ เวทิตพฺพํฯ โลกิยสริกฺขกานํ พหุมตภาโวติ เอตฺถ ภาคฺยวนฺตตาย โลกิยานํ พหุมตภาโว, ภคฺคโทสตาย สริกฺขกานํ พหุมตภาโวติ โยเชตพฺพํฯ เอวํ อิโต ปเรสุปิ ยถากฺกมํ โยชนา เวทิตพฺพาฯ
Satapuññajalakkhaṇadharassāti aneka sata puñña nibbattamahā purisalakkhaṇadharassa. Ettha hi ‘‘kevalaṃ satamattena puññakammena ekekalakkhaṇaṃ nibbatta’’nti imamatthaṃ na rocayiṃsu aṭṭhakathācariyā ‘‘evaṃ sante yo koci buddho bhaveyyā’’ti, anantāsu pana lokadhātūsu yattakā sattā, tehi sabbehi paccekaṃ satakkhattuṃ katāni dānādīni puññakammāni yattakāni, tato ekekaṃ puññakammaṃ mahāsattena sataguṇaṃ kataṃ satanti adhippetanti imamatthaṃ rocayiṃsu. Tasmā idha sata-saddo bahubhāvapariyāyo, na saṅkhyāvisesavacanoti daṭṭhabbo ‘‘satagghaṃ sataṃ devamanussā’’tiādīsu viya. Rūpakāyasampatti dīpitā hoti itarāsaṃ phalasampadānaṃ mūlabhāvato adhiṭṭhānabhāvato ca. Dīpitā hotīti idaṃ dhammakāyasampattītiādīsupi yojetabbaṃ. Tattha pahānasampadāpubbakattā ñāṇasampadādīnaṃ dhammakāyasampatti dīpitā hotīti veditabbaṃ. Lokiyasarikkhakānaṃ bahumatabhāvoti ettha bhāgyavantatāya lokiyānaṃ bahumatabhāvo, bhaggadosatāya sarikkhakānaṃ bahumatabhāvoti yojetabbaṃ. Evaṃ ito paresupi yathākkamaṃ yojanā veditabbā.
ปุญฺญวนฺตํ คหฎฺฐา ขตฺติยาทโย อภิคจฺฉนฺติ, ปหีนโทสํ โทสวินยาย ธมฺมํ เทเสตีติ ปพฺพชิตา ตาปสปริพฺพาชกาทโย อภิคจฺฉนฺตีติ อาห ‘‘คหฎฺฐปพฺพชิเตหิ อภิคมนียตา’’ติฯ อภิคตานญฺจ เตสํ กายจิตฺตทุกฺขาปนยเน ปฎิพลภาโว อามิสทานธมฺมทาเนหิ อุปการสพฺภาวโต รูปกายํ ตสฺส ปสาทจกฺขุนา, ธมฺมกายํ ปญฺญาจกฺขุนา ทิสฺวา ทุกฺขทฺวยสฺส ปฎิปฺปสฺสมฺภนโตติ เวทิตโพฺพฯ ภาคฺยวนฺตตาย อุปคตานํ อามิสทานํ เทติ, ภคฺคโทสตาย ธมฺมทานํ เทตีติ อาห ‘‘อามิสทานธมฺมทาเนหิ อุปการิตา’’ติฯ โลกิยโลกุตฺตรสุเขหิ จ สํโยชนสมตฺถตา ทีปิตา โหตีติ ‘‘ปุเพฺพ อามิสทานธมฺมทาเนหิ มยา อยํ โลกคฺคภาโว อธิคโต, ตสฺมา ตุเมฺหหิปิ เอวเมว ปฎิปชฺชิตพฺพ’’นฺติ เอวํ สมฺมาปฎิปตฺติยํ นิโยชเนน อภิคตานํ โลกิยโลกุตฺตรสุเขหิ สํโยชนสมตฺถตา จ ทีปิตา โหติฯ
Puññavantaṃ gahaṭṭhā khattiyādayo abhigacchanti, pahīnadosaṃ dosavinayāya dhammaṃ desetīti pabbajitā tāpasaparibbājakādayo abhigacchantīti āha ‘‘gahaṭṭhapabbajitehi abhigamanīyatā’’ti. Abhigatānañca tesaṃ kāyacittadukkhāpanayane paṭibalabhāvo āmisadānadhammadānehi upakārasabbhāvato rūpakāyaṃ tassa pasādacakkhunā, dhammakāyaṃ paññācakkhunā disvā dukkhadvayassa paṭippassambhanatoti veditabbo. Bhāgyavantatāya upagatānaṃ āmisadānaṃ deti, bhaggadosatāya dhammadānaṃ detīti āha ‘‘āmisadānadhammadānehi upakāritā’’ti. Lokiyalokuttarasukhehi ca saṃyojanasamatthatā dīpitā hotīti ‘‘pubbe āmisadānadhammadānehi mayā ayaṃ lokaggabhāvo adhigato, tasmā tumhehipi evameva paṭipajjitabba’’nti evaṃ sammāpaṭipattiyaṃ niyojanena abhigatānaṃ lokiyalokuttarasukhehi saṃyojanasamatthatā ca dīpitā hoti.
สกจิเตฺต อิสฺสริยํ นาม อตฺตโน จิตฺตสฺส วสีภาวาปาทนํเยว, ปฎิกูลาทีสุ อปฺปฎิกูลสญฺญิตาทิวิหารสิทฺธิ, อธิฎฺฐานิทฺธิอาทิโก อิทฺธิวิโธปิ จิตฺติสฺสริยเมว จิตฺตภาวนาย วสีภาวปฺปตฺติยา อิชฺฌนโตฯ อณิมาลฆิมาทิกนฺติ อาทิ-สเทฺทน มหิมา ปตฺติ ปากมฺมํ อีสิตา วสิตา ยตฺถกามาวสายิตาติ อิเม ฉปิ สงฺคหิตาฯ ตตฺถ กายสฺส อณุภาวกรณํ อณิมาฯ อากาเส ปทสา คมนาทีนํ อรหภาเวน ลหุภาโว ลฆิมาฯ มหตฺตํ มหิมา กายสฺส มหนฺตตาปาทนํฯ อิฎฺฐเทสสฺส ปาปุณนํ ปตฺติฯ อธิฎฺฐานาทิวเสน อิจฺฉิตนิปฺผาทนํ ปากมฺมํฯ สยํวสิตา อิสฺสรภาโว อีสิตาฯ อิทฺธิวิเธ วสีภาโว วสิตาฯ อากาเสน วา คจฺฉโต อญฺญํ วา กิญฺจิ กโรโต ยตฺถ กตฺถจิ โวสานปฺปตฺติ ยตฺถกามาวสายิตา ฯ ‘‘กุมารกรูปาทิทสฺสน’’นฺติปิ วทนฺติฯ เอวมิทํ อฎฺฐวิธํ โลกิยสมฺมตํ อิสฺสริยํฯ ตํ ปน ภควโต อิทฺธิวิธโนฺตคธํ อนญฺญสาธารณญฺจาติ อาห ‘‘สพฺพการปริปูรํ อตฺถี’’ติฯ ตถา โลกุตฺตโร ธโมฺม อตฺถีติ สมฺพโนฺธฯ เอวํ ยสาทีสุปิ อตฺถิ-สโทฺท โยเชตโพฺพฯ
Sakacitte issariyaṃ nāma attano cittassa vasībhāvāpādanaṃyeva, paṭikūlādīsu appaṭikūlasaññitādivihārasiddhi, adhiṭṭhāniddhiādiko iddhividhopi cittissariyameva cittabhāvanāya vasībhāvappattiyā ijjhanato. Aṇimālaghimādikanti ādi-saddena mahimā patti pākammaṃ īsitā vasitā yatthakāmāvasāyitāti ime chapi saṅgahitā. Tattha kāyassa aṇubhāvakaraṇaṃ aṇimā. Ākāse padasā gamanādīnaṃ arahabhāvena lahubhāvo laghimā. Mahattaṃ mahimā kāyassa mahantatāpādanaṃ. Iṭṭhadesassa pāpuṇanaṃ patti. Adhiṭṭhānādivasena icchitanipphādanaṃ pākammaṃ. Sayaṃvasitā issarabhāvo īsitā. Iddhividhe vasībhāvo vasitā. Ākāsena vā gacchato aññaṃ vā kiñci karoto yattha katthaci vosānappatti yatthakāmāvasāyitā. ‘‘Kumārakarūpādidassana’’ntipi vadanti. Evamidaṃ aṭṭhavidhaṃ lokiyasammataṃ issariyaṃ. Taṃ pana bhagavato iddhividhantogadhaṃ anaññasādhāraṇañcāti āha ‘‘sabbakāraparipūraṃ atthī’’ti. Tathā lokuttaro dhammo atthīti sambandho. Evaṃ yasādīsupi atthi-saddo yojetabbo.
เกสญฺจิ ยโส ปเทสวุตฺติ อยถาภูตคุณสนฺนิสฺสยตฺตา อปริสุโทฺธ จ โหติ, น เอวํ ตถาคตสฺสาติ ทเสฺสตุํ ‘‘โลกตฺตยพฺยาปโก’’ติ วุตฺตํฯ ตตฺถ อิธ อธิคตสตฺถุคุณานํ อารุเปฺป อุปฺปนฺนานํ ‘‘อิติปิ โส ภควา’’ติอาทินา ภควโต ยโส ปากโฎ โหตีติ อาห ‘‘โลกตฺตยพฺยาปโก’’ติฯ ยถาภุจฺจคุณาธิคโตติ ยถาภูตคุเณหิ อธิคโตฯ อติวิย ปริสุโทฺธติ ยถาภูตคุณาธิคตตฺตา เอว อจฺจนฺตปริสุโทฺธฯ สพฺพาการปริปูราติ อนวเสสลกฺขณานุพฺยญฺชนาทิสมฺปตฺติยา สพฺพากาเรหิ ปริปุณฺณาฯ สพฺพงฺคปจฺจงฺคสิรีติ สเพฺพสํ องฺคปจฺจงฺคานํ โสภาฯ ยํ ยํ เอเตน อิจฺฉิตํ ปตฺถิตนฺติ ‘‘ติโณฺณ ตาเรยฺย’’นฺติอาทินา ยํ ยํ เอเตน โลกนาเถน มโนวจีปณิธานวเสน อิจฺฉิตํ กายปณิธานวเสน ปตฺถิตํฯ ตเถวาติ ปณิธานานุรูปเมวฯ สมฺมาวายามสงฺขาโต ปยโตฺตติ วีริยปารมิภาวปฺปโตฺต อริยมคฺคปริยาปโนฺน จ สมฺมาวายามสงฺขาโต อุสฺสาโหฯ
Kesañci yaso padesavutti ayathābhūtaguṇasannissayattā aparisuddho ca hoti, na evaṃ tathāgatassāti dassetuṃ ‘‘lokattayabyāpako’’ti vuttaṃ. Tattha idha adhigatasatthuguṇānaṃ āruppe uppannānaṃ ‘‘itipi so bhagavā’’tiādinā bhagavato yaso pākaṭo hotīti āha ‘‘lokattayabyāpako’’ti. Yathābhuccaguṇādhigatoti yathābhūtaguṇehi adhigato. Ativiya parisuddhoti yathābhūtaguṇādhigatattā eva accantaparisuddho. Sabbākāraparipūrāti anavasesalakkhaṇānubyañjanādisampattiyā sabbākārehi paripuṇṇā. Sabbaṅgapaccaṅgasirīti sabbesaṃ aṅgapaccaṅgānaṃ sobhā. Yaṃ yaṃ etena icchitaṃ patthitanti ‘‘tiṇṇo tāreyya’’ntiādinā yaṃ yaṃ etena lokanāthena manovacīpaṇidhānavasena icchitaṃ kāyapaṇidhānavasena patthitaṃ. Tathevāti paṇidhānānurūpameva. Sammāvāyāmasaṅkhāto payattoti vīriyapāramibhāvappatto ariyamaggapariyāpanno ca sammāvāyāmasaṅkhāto ussāho.
กุสลาทีหิ เภเทหีติ สพฺพตฺติกทุกปทสงฺคหิเตหิ กุสลาทิปฺปเภเทหิฯ ปฎิจฺจสมุปฺปาทาทีหีติ อาทิ-สเทฺทน น เกวลํ วิภงฺคปาฬิยํ อาคตา สติปฎฺฐานาทโยว สงฺคหิตา, อถ โข สงฺคหาทโย สมยวิมุตฺตาทโย ฐปนาทโย ติกปฎฺฐานาทโย จ สงฺคหิตาติ เวทิตพฺพํฯ ปีฬนสงฺขตสนฺตาปวิปริณามเฎฺฐน วา ทุกฺขมริยสจฺจนฺติอาทีสุ ปีฬนโฎฺฐ ตํสมงฺคิโน สตฺตสฺส หิํสนํ อวิปฺผาริกตากรณํฯ สงฺขตโฎฺฐ สเมจฺจ สงฺคมฺม สมฺภูย ปจฺจเยหิ กตภาโวฯ สนฺตาปโฎฺฐ ทุกฺขทุกฺขตาทีหิ สนฺตาปนํ ปริทหนํฯ วิปริณามโฎฺฐ ชราย มรเณน จาติ ทฺวิธา วิปริณาเมตพฺพตาฯ สมุทยสฺส อายูหนโฎฺฐ ทุกฺขสฺส นิพฺพตฺตนวเสน สมฺปิณฺฑนํฯ นิทานโฎฺฐ ‘‘อิทํ ตํ ทุกฺข’’นฺติ นิทเสฺสนฺตสฺส วิย สมุฎฺฐาปนํฯ สํโยคโฎฺฐ สํสารทุเกฺขน สํโยชนํฯ ปลิโพธโฎฺฐ มคฺคาธิคมสฺส นิวารณํฯ นิโรธสฺส นิสฺสรณโฎฺฐ สพฺพูปธีนํ ปฎินิสฺสคฺคสภาวตฺตา ตโต วินิสฺสฎตา, ตํนิสฺสรณนิมิตฺตตา วาฯ วิเวกโฎฺฐ สพฺพสงฺขารวิสํยุตฺตตาฯ อสงฺขตโฎฺฐ เกนจิปิ ปจฺจเยน อนภิสงฺขตตาฯ อมตโฎฺฐ นิจฺจสภาวตฺตา มรณาภาโว, สตฺตานํ มรณาภาวเหตุตา วาฯ มคฺคสฺส นิยฺยานโฎฺฐ วฎฺฎทุกฺขโต นิกฺกมนโฎฺฐฯ เหตุอโตฺถ นิพฺพานสฺส สมฺปาปกภาโวฯ ทสฺสนโฎฺฐ อจฺจนฺตสุขุมสฺส นิพฺพานสฺส สจฺฉิกรณํฯ อาธิปเตยฺยโฎฺฐ จตุสจฺจทสฺสเน สมฺปยุตฺตานํ อาธิปจฺจกรณํ, อารมฺมณาธิปติภาโว วา วิเสสโต มคฺคาธิปติวจนโต ฯ สติปิ หิ ฌานาทีนํ อารมฺมณาธิปติภาเว ‘‘ฌานาธิปติโน ธมฺมา’’ติ เอวมาทิํ อวตฺวา ‘‘มคฺคาธิปติโน ธมฺมา’’อิเจฺจว วุตฺตํ, ตสฺมา วิญฺญายติ ‘‘อตฺถิ มคฺคสฺส อารมฺมณาธิปติภาเว วิเสโส’’ติฯ เอเตเยว จ ปีฬนาทโย โสฬสาการาติ วุจฺจนฺติฯ
Kusalādīhi bhedehīti sabbattikadukapadasaṅgahitehi kusalādippabhedehi. Paṭiccasamuppādādīhīti ādi-saddena na kevalaṃ vibhaṅgapāḷiyaṃ āgatā satipaṭṭhānādayova saṅgahitā, atha kho saṅgahādayo samayavimuttādayo ṭhapanādayo tikapaṭṭhānādayo ca saṅgahitāti veditabbaṃ. Pīḷanasaṅkhatasantāpavipariṇāmaṭṭhena vā dukkhamariyasaccantiādīsu pīḷanaṭṭho taṃsamaṅgino sattassa hiṃsanaṃ avipphārikatākaraṇaṃ. Saṅkhataṭṭho samecca saṅgamma sambhūya paccayehi katabhāvo. Santāpaṭṭho dukkhadukkhatādīhi santāpanaṃ paridahanaṃ. Vipariṇāmaṭṭho jarāya maraṇena cāti dvidhā vipariṇāmetabbatā. Samudayassa āyūhanaṭṭho dukkhassa nibbattanavasena sampiṇḍanaṃ. Nidānaṭṭho ‘‘idaṃ taṃ dukkha’’nti nidassentassa viya samuṭṭhāpanaṃ. Saṃyogaṭṭho saṃsāradukkhena saṃyojanaṃ. Palibodhaṭṭho maggādhigamassa nivāraṇaṃ. Nirodhassa nissaraṇaṭṭho sabbūpadhīnaṃ paṭinissaggasabhāvattā tato vinissaṭatā, taṃnissaraṇanimittatā vā. Vivekaṭṭho sabbasaṅkhāravisaṃyuttatā. Asaṅkhataṭṭho kenacipi paccayena anabhisaṅkhatatā. Amataṭṭho niccasabhāvattā maraṇābhāvo, sattānaṃ maraṇābhāvahetutā vā. Maggassa niyyānaṭṭho vaṭṭadukkhato nikkamanaṭṭho. Hetuattho nibbānassa sampāpakabhāvo. Dassanaṭṭho accantasukhumassa nibbānassa sacchikaraṇaṃ. Ādhipateyyaṭṭho catusaccadassane sampayuttānaṃ ādhipaccakaraṇaṃ, ārammaṇādhipatibhāvo vā visesato maggādhipativacanato . Satipi hi jhānādīnaṃ ārammaṇādhipatibhāve ‘‘jhānādhipatino dhammā’’ti evamādiṃ avatvā ‘‘maggādhipatino dhammā’’icceva vuttaṃ, tasmā viññāyati ‘‘atthi maggassa ārammaṇādhipatibhāve viseso’’ti. Eteyeva ca pīḷanādayo soḷasākārāti vuccanti.
ทิพฺพพฺรหฺมอริยวิหาเรติอาทีสุ กสิณาทิอารมฺมณานิ รูปาวจรชฺฌานานิ ทิพฺพวิหาโรฯ เมตฺตาทิชฺฌานานิ พฺรหฺมวิหาโรฯ ผลสมาปตฺติ อริยวิหาโรฯ กาเมหิ วิเวกฎฺฐกายตาวเสน เอกีภาโว กายวิเวโกฯ ปฐมชฺฌานาทินา นีวรณาทีหิ วิวิตฺตจิตฺตตา จิตฺตวิเวโกฯ อุปธิวิเวโก นิพฺพานํฯ อุปธีติ เจตฺถ จตฺตาโร อุปธี กามุปธิ ขนฺธุปธิ กิเลสุปธิ อภิสงฺขารุปธีติฯ กามาปิ หิ ‘‘ยํ ปญฺจ กามคุเณ ปฎิจฺจ อุปฺปชฺชติ สุขํ โสมนสฺสํ, อยํ กามานํ อสฺสาโท’’ติ (ม. นิ. ๑.๑๖๖) เอวํ วุตฺตสฺส สุขสฺส อธิฎฺฐานภาวโต อุปธียติ เอตฺถ สุขนฺติ อิมินา วจนเตฺถน ‘‘อุปธี’’ติ วุจฺจนฺติ, ขนฺธาปิ ขนฺธมูลกสฺส ทุกฺขสฺส อธิฎฺฐานภาวโต, กิเลสาปิ อปายทุกฺขสฺส อธิฎฺฐานภาวโต, อภิสงฺขาราปิ ภวทุกฺขสฺส อธิฎฺฐานภาวโต วุตฺตนเยน ‘‘อุปธี’’ติ วุจฺจนฺติฯ อิเมหิ ปน จตูหิ อุปธีหิ วิวิตฺตตาย นิพฺพานํ ‘‘อุปธิวิเวโก’’ติ วุจฺจติฯ
Dibbabrahmaariyavihāretiādīsu kasiṇādiārammaṇāni rūpāvacarajjhānāni dibbavihāro. Mettādijjhānāni brahmavihāro. Phalasamāpatti ariyavihāro. Kāmehi vivekaṭṭhakāyatāvasena ekībhāvo kāyaviveko. Paṭhamajjhānādinā nīvaraṇādīhi vivittacittatā cittaviveko. Upadhiviveko nibbānaṃ. Upadhīti cettha cattāro upadhī kāmupadhi khandhupadhi kilesupadhi abhisaṅkhārupadhīti. Kāmāpi hi ‘‘yaṃ pañca kāmaguṇe paṭicca uppajjati sukhaṃ somanassaṃ, ayaṃ kāmānaṃ assādo’’ti (ma. ni. 1.166) evaṃ vuttassa sukhassa adhiṭṭhānabhāvato upadhīyati ettha sukhanti iminā vacanatthena ‘‘upadhī’’ti vuccanti, khandhāpi khandhamūlakassa dukkhassa adhiṭṭhānabhāvato, kilesāpi apāyadukkhassa adhiṭṭhānabhāvato, abhisaṅkhārāpi bhavadukkhassa adhiṭṭhānabhāvato vuttanayena ‘‘upadhī’’ti vuccanti. Imehi pana catūhi upadhīhi vivittatāya nibbānaṃ ‘‘upadhiviveko’’ti vuccati.
สุญฺญตากาเรน นิพฺพานํ อารมฺมณํ กตฺวา ปวโตฺต อริยมโคฺค สุญฺญตวิโมโกฺขฯ โส หิ สุญฺญตาย ธาตุยา อุปฺปนฺนตฺตา สุญฺญโต, กิเลเสหิ จ วิมุตฺตตฺตา วิโมโกฺขฯ เอเตเนว นเยน อปฺปณิหิตากาเรน นิพฺพานํ อารมฺมณํ กตฺวา ปวโตฺต อปฺปณิหิตวิโมโกฺขฯ อนิมิตฺตากาเรน นิพฺพานํ อารมฺมณํ กตฺวา ปวโตฺต อนิมิตฺตวิโมโกฺขฯ อถ วา สุญฺญตานุปสฺสนาสงฺขาตาย อนตฺตานุปสฺสนาย วเสน ปฎิลโทฺธ อริยมโคฺค อาคมนวเสน ‘‘สุญฺญตวิโมโกฺข’’ติ วุจฺจติฯ ตถา อปฺปณิหิตานุปสฺสนาสงฺขาตาย ทุกฺขานุปสฺสนาย วเสน ปฎิลโทฺธ อปฺปณิหิตวิโมโกฺขฯ อนิมิตฺตานุปสฺสนาสงฺขาตาย อนิจฺจานุปสฺสนาย วเสน ปฎิลโทฺธ ‘‘อนิมิตฺตวิโมโกฺข’’ติ เวทิตโพฺพฯ วุตฺตเญฺหตํ –
Suññatākārena nibbānaṃ ārammaṇaṃ katvā pavatto ariyamaggo suññatavimokkho. So hi suññatāya dhātuyā uppannattā suññato, kilesehi ca vimuttattā vimokkho. Eteneva nayena appaṇihitākārena nibbānaṃ ārammaṇaṃ katvā pavatto appaṇihitavimokkho. Animittākārena nibbānaṃ ārammaṇaṃ katvā pavatto animittavimokkho. Atha vā suññatānupassanāsaṅkhātāya anattānupassanāya vasena paṭiladdho ariyamaggo āgamanavasena ‘‘suññatavimokkho’’ti vuccati. Tathā appaṇihitānupassanāsaṅkhātāya dukkhānupassanāya vasena paṭiladdho appaṇihitavimokkho. Animittānupassanāsaṅkhātāya aniccānupassanāya vasena paṭiladdho ‘‘animittavimokkho’’ti veditabbo. Vuttañhetaṃ –
‘‘อนิจฺจโต มนสิกโรโนฺต อธิโมกฺขพหุโล อนิมิตฺตวิโมกฺขํ ปฎิลภติ, ทุกฺขโต มนสิกโรโนฺต ปสฺสทฺธิพหุโล อปฺปณิหิตวิโมกฺขํ ปฎิลภติ, อนตฺตโต มนสิกโรโนฺต เวทพหุโล สุญฺญตวิโมกฺขํ ปฎิลภตี’’ติ (ปฎิ. ม. ๑.๒๒๓)ฯ
‘‘Aniccato manasikaronto adhimokkhabahulo animittavimokkhaṃ paṭilabhati, dukkhato manasikaronto passaddhibahulo appaṇihitavimokkhaṃ paṭilabhati, anattato manasikaronto vedabahulo suññatavimokkhaṃ paṭilabhatī’’ti (paṭi. ma. 1.223).
อเญฺญติ โลกิยอภิญฺญาทิเกฯ
Aññeti lokiyaabhiññādike.
กิเลสาภิสงฺขารวเสน ภเวสุ ปริพฺภมนํ, ตญฺจ ตณฺหาปธานนฺติ อาห ‘‘ตณฺหาสงฺขาตํ คมน’’นฺติฯ วนฺตนฺติ อริยมคฺคมุเขน อุคฺคิริตํ ปุน อปจฺจาคมนวเสน ฉฑฺฑิตํฯ ภควาติ วุจฺจติ นิรุตฺตินเยนาติ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘ยถา โลเก’’ติอาทิฯ ยถา โลเก นิรุตฺตินเยน เอเกกปทโต เอเกกมกฺขรํ คเหตฺวา ‘‘เมขลา’’ติ วุตฺตํ, เอวมิธาปีติ อโตฺถฯ เมหนสฺสาติ คุยฺหปฺปเทสสฺสฯ ขสฺสาติ โอกาสสฺสฯ
Kilesābhisaṅkhāravasena bhavesu paribbhamanaṃ, tañca taṇhāpadhānanti āha ‘‘taṇhāsaṅkhātaṃ gamana’’nti. Vantanti ariyamaggamukhena uggiritaṃ puna apaccāgamanavasena chaḍḍitaṃ. Bhagavāti vuccati niruttinayenāti dassento āha ‘‘yathā loke’’tiādi. Yathā loke niruttinayena ekekapadato ekekamakkharaṃ gahetvā ‘‘mekhalā’’ti vuttaṃ, evamidhāpīti attho. Mehanassāti guyhappadesassa. Khassāti okāsassa.
อปโร นโย (อิติวุ. อฎฺฐ. นิทานวณฺณนา) – ภาควาติ ภควาฯ ภตวาติ ภควาฯ ภาเค วนีติ ภควาฯ ภเค วนีติ ภควาฯ ภตฺตวาติ ภควาฯ ภเค วมีติ ภควาฯ ภาเค วมีติ ภควาฯ
Aparo nayo (itivu. aṭṭha. nidānavaṇṇanā) – bhāgavāti bhagavā. Bhatavāti bhagavā. Bhāge vanīti bhagavā. Bhage vanīti bhagavā. Bhattavāti bhagavā. Bhage vamīti bhagavā. Bhāge vamīti bhagavā.
ภาควา ภตวา ภาเค, ภเค จ วนิ ภตฺตวา;
Bhāgavā bhatavā bhāge, bhage ca vani bhattavā;
ภเค วมิ ตถา ภาเค, วมีติ ภควา ชิโนฯ
Bhage vami tathā bhāge, vamīti bhagavā jino.
ตตฺถ กถํ ภาควาติ ภควา? เย เต สีลาทโย ธมฺมกฺขนฺธา คุณโกฎฺฐาสา, เต อนญฺญสาธารณา นิรติสยา ตถาคตสฺส อตฺถิ อุปลพฺภนฺติฯ ตถา หิสฺส สีลํ สมาธิ ปญฺญา วิมุตฺติ วิมุตฺติญาณทสฺสนํ, หิรี โอตฺตปฺปํ, สทฺธา วีริยํ, สติ สมฺปชญฺญํ, สีลวิสุทฺธิ ทิฎฺฐิวิสุทฺธิ, สมโถ วิปสฺสนา, ตีณิ กุสลมูลานิ, ตีณิ สุจริตานิ, ตโย สมฺมาวิตกฺกา, ติโสฺส อนวชฺชสญฺญา, ติโสฺส ธาตุโย, จตฺตาโร สติปฎฺฐานา, จตฺตาโร สมฺมปฺปธานา, จตฺตาโร อิทฺธิปาทา, จตฺตาโร อริยมคฺคา, จตฺตาริ อริยผลานิ, จตโสฺส ปฎิสมฺภิทา, จตุโยนิปริเจฺฉทกญาณานิ, จตฺตาโร อริยวํสา, จตฺตาริ เวสารชฺชญาณานิ, ปญฺจ ปธานิยงฺคานิ, ปญฺจงฺคิโก สมฺมาสมาธิ, ปญฺจญาณิโก สมฺมาสมาธิ, ปญฺจินฺทฺริยานิ, ปญฺจ พลานิ, ปญฺจ นิสฺสารณียา ธาตุโย, ปญฺจ วิมุตฺตายตนญาณานิ, ปญฺจ วิมุตฺติปริปาจนียา สญฺญา, ฉ อนุสฺสติฎฺฐานานิ, ฉ คารวา, ฉ นิสฺสารณียา ธาตุโย, ฉ สตตวิหารา, ฉ อนุตฺตริยานิ, ฉนิเพฺพธภาคิยา สญฺญา, ฉ อภิญฺญา, ฉ อสาธารณญาณานิ, สตฺต อปริหานียา ธมฺมา, สตฺต อริยธนานิ, สตฺต โพชฺฌงฺคานิ, สตฺต สปฺปุริสธมฺมา, สตฺต นิชฺชรวตฺถูนิ, สตฺต สญฺญา, สตฺตทกฺขิเณยฺยปุคฺคลเทสนา, สตฺตขีณาสวพลเทสนา, อฎฺฐปญฺญาปฎิลาภเหตุเทสนา, อฎฺฐ สมฺมตฺตานิ, อฎฺฐโลกธมฺมาติกฺกโม, อฎฺฐ อารมฺภวตฺถูนิ, อฎฺฐอกฺขณเทสนา, อฎฺฐ มหาปุริสวิตกฺกา, อฎฺฐอภิภายตนเทสนา, อฎฺฐ วิโมกฺขา, นว โยนิโสมนสิการมูลกา ธมฺมา, นว ปาริสุทฺธิปธานิยงฺคานิ, นวสตฺตาวาสเทสนา, นว อาฆาตปฺปฎิวินยา, นว สญฺญา, นว นานตฺตา, นว อนุปุพฺพวิหารา, ทส นาถกรณา ธมฺมา, ทส กสิณายตนานิ, ทส กุสลกมฺมปถา, ทส สมฺมตฺตานิ, ทส อริยวาสา, ทส อเสกฺขธมฺมา, ทส ตถาคตพลานิ, เอกาทส เมตฺตานิสํสา, ทฺวาทส ธมฺมจกฺกาการา, เตรส ธุตคุณา, จุทฺทส พุทฺธญาณานิ, ปญฺจทส วิมุตฺติปริปาจนียา ธมฺมา, โสฬสวิธา อานาปานสฺสติ, โสฬส อปรนฺตปนียา ธมฺมา, อฎฺฐารส พุทฺธธมฺมา, เอกูนวีสติ ปจฺจเวกฺขณญาณานิ, จตุจตฺตาลีส ญาณวตฺถูนิ, ปญฺญาส อุทยพฺพยญาณานิ, ปโรปณฺณาส กุสลธมฺมา, สตฺตสตฺตติ ญาณวตฺถูนิ, จตุวีสติโกฎิสตสหสฺสสมาปตฺติสญฺจาริมหาวชิรญาณํ, อนนฺตนยสมนฺตปฎฺฐานปวิจยปจฺจเวกฺขณเทสนาญาณานิ, ตถา อนนฺตาสุ โลกธาตูสุ อนนฺตานํ สตฺตานํ อาสยาทิวิภาวนญาณานิ จาติ เอวมาทโย อนนฺตาปริมาณเภทา อนญฺญสาธารณา นิรติสยา คุณภาคา คุณโกฎฺฐาสา สํวิชฺชนฺติ อุปลพฺภนฺติ, ตสฺมา ยถาวุตฺตวิภาคา คุณภาคา อสฺส อตฺถีติ ภาควาติ วตฺตเพฺพ อาการสฺส รสฺสตฺตํ กตฺวา ‘‘ภควา’’ติ วุโตฺตฯ เอวํ ตาว ภาควาติ ภควาฯ
Tattha kathaṃ bhāgavāti bhagavā? Ye te sīlādayo dhammakkhandhā guṇakoṭṭhāsā, te anaññasādhāraṇā niratisayā tathāgatassa atthi upalabbhanti. Tathā hissa sīlaṃ samādhi paññā vimutti vimuttiñāṇadassanaṃ, hirī ottappaṃ, saddhā vīriyaṃ, sati sampajaññaṃ, sīlavisuddhi diṭṭhivisuddhi, samatho vipassanā, tīṇi kusalamūlāni, tīṇi sucaritāni, tayo sammāvitakkā, tisso anavajjasaññā, tisso dhātuyo, cattāro satipaṭṭhānā, cattāro sammappadhānā, cattāro iddhipādā, cattāro ariyamaggā, cattāri ariyaphalāni, catasso paṭisambhidā, catuyoniparicchedakañāṇāni, cattāro ariyavaṃsā, cattāri vesārajjañāṇāni, pañca padhāniyaṅgāni, pañcaṅgiko sammāsamādhi, pañcañāṇiko sammāsamādhi, pañcindriyāni, pañca balāni, pañca nissāraṇīyā dhātuyo, pañca vimuttāyatanañāṇāni, pañca vimuttiparipācanīyā saññā, cha anussatiṭṭhānāni, cha gāravā, cha nissāraṇīyā dhātuyo, cha satatavihārā, cha anuttariyāni, chanibbedhabhāgiyā saññā, cha abhiññā, cha asādhāraṇañāṇāni, satta aparihānīyā dhammā, satta ariyadhanāni, satta bojjhaṅgāni, satta sappurisadhammā, satta nijjaravatthūni, satta saññā, sattadakkhiṇeyyapuggaladesanā, sattakhīṇāsavabaladesanā, aṭṭhapaññāpaṭilābhahetudesanā, aṭṭha sammattāni, aṭṭhalokadhammātikkamo, aṭṭha ārambhavatthūni, aṭṭhaakkhaṇadesanā, aṭṭha mahāpurisavitakkā, aṭṭhaabhibhāyatanadesanā, aṭṭha vimokkhā, nava yonisomanasikāramūlakā dhammā, nava pārisuddhipadhāniyaṅgāni, navasattāvāsadesanā, nava āghātappaṭivinayā, nava saññā, nava nānattā, nava anupubbavihārā, dasa nāthakaraṇā dhammā, dasa kasiṇāyatanāni, dasa kusalakammapathā, dasa sammattāni, dasa ariyavāsā, dasa asekkhadhammā, dasa tathāgatabalāni, ekādasa mettānisaṃsā, dvādasa dhammacakkākārā, terasa dhutaguṇā, cuddasa buddhañāṇāni, pañcadasa vimuttiparipācanīyā dhammā, soḷasavidhā ānāpānassati, soḷasa aparantapanīyā dhammā, aṭṭhārasa buddhadhammā, ekūnavīsati paccavekkhaṇañāṇāni, catucattālīsa ñāṇavatthūni, paññāsa udayabbayañāṇāni, paropaṇṇāsa kusaladhammā, sattasattati ñāṇavatthūni, catuvīsatikoṭisatasahassasamāpattisañcārimahāvajirañāṇaṃ, anantanayasamantapaṭṭhānapavicayapaccavekkhaṇadesanāñāṇāni, tathā anantāsu lokadhātūsu anantānaṃ sattānaṃ āsayādivibhāvanañāṇāni cāti evamādayo anantāparimāṇabhedā anaññasādhāraṇā niratisayā guṇabhāgā guṇakoṭṭhāsā saṃvijjanti upalabbhanti, tasmā yathāvuttavibhāgā guṇabhāgā assa atthīti bhāgavāti vattabbe ākārassa rassattaṃ katvā ‘‘bhagavā’’ti vutto. Evaṃ tāva bhāgavāti bhagavā.
ยสฺมา สีลาทโย สเพฺพ, คุณภาคา อเสสโต;
Yasmā sīlādayo sabbe, guṇabhāgā asesato;
วิชฺชนฺติ สุคเต ตสฺมา, ภควาติ ปวุจฺจติฯ
Vijjanti sugate tasmā, bhagavāti pavuccati.
กถํ ภตวาติ ภควา? เย เต สพฺพโลกหิตาย อุสฺสุกฺกมาปเนฺนหิ มนุสฺสตฺตาทิเก อฎฺฐ ธเมฺม สโมธาเนตฺวา สมฺมาสโมฺพธิยา กตมหาภินีหาเรหิ มหาโพธิสเตฺตหิ ปริปูเรตพฺพา ทานปารมี สีลเนกฺขมฺมปญฺญาวีริยขนฺติสจฺจอธิฎฺฐานเมตฺตาอุเปกฺขาปารมีติ ทส ปารมิโย ทส อุปปารมิโย ทส ปรมตฺถปารมิโยติ สมติํส ปารมิโย, ทานาทีนิ จตฺตาริ สงฺคหวตฺถูนิ, จตฺตาริ อธิฎฺฐานานิ, อตฺตปริจฺจาโค นยนธนรชฺชปุตฺตทารปริจฺจาโคติ ปญฺจ มหาปริจฺจาคา, ปุพฺพโยโค, ปุพฺพจริยา, ธมฺมกฺขานํ, ญาตตฺถจริยา, โลกตฺถจริยา, พุทฺธตฺถจริยาติ เอวมาทโย สเงฺขปโต วา ปุญฺญสมฺภารญาณสมฺภารา พุทฺธกรา ธมฺมา, เต มหาภินีหารโต ปฎฺฐาย กปฺปานํ สตสหสฺสาธิกานิ จตฺตาริ อสเงฺขฺยยฺยานิ ยถา หานภาคิยา สํกิเลสภาคิยา ฐิติภาคิยา วา น โหนฺติ, อถ โข อุตฺตรุตฺตริ วิเสสภาคิยาว โหนฺติ, เอวํ สกฺกจฺจํ นิรนฺตรํ อนวเสสโต ภตา สมฺภตา อสฺส อตฺถีติ ภตวาติ ภควา นิรุตฺตินเยน ต-การสฺส ค-การํ กตฺวาฯ อถ วา ภตวาติ เตเยว ยถาวุเตฺต พุทฺธกเร ธเมฺม วุตฺตนเยน ภริ สมฺภริ, ปริปูเรสีติ อโตฺถฯ เอวมฺปิ ภตวาติ ภควาฯ
Kathaṃ bhatavāti bhagavā? Ye te sabbalokahitāya ussukkamāpannehi manussattādike aṭṭha dhamme samodhānetvā sammāsambodhiyā katamahābhinīhārehi mahābodhisattehi paripūretabbā dānapāramī sīlanekkhammapaññāvīriyakhantisaccaadhiṭṭhānamettāupekkhāpāramīti dasa pāramiyo dasa upapāramiyo dasa paramatthapāramiyoti samatiṃsa pāramiyo, dānādīni cattāri saṅgahavatthūni, cattāri adhiṭṭhānāni, attapariccāgo nayanadhanarajjaputtadārapariccāgoti pañca mahāpariccāgā, pubbayogo, pubbacariyā, dhammakkhānaṃ, ñātatthacariyā, lokatthacariyā, buddhatthacariyāti evamādayo saṅkhepato vā puññasambhārañāṇasambhārā buddhakarā dhammā, te mahābhinīhārato paṭṭhāya kappānaṃ satasahassādhikāni cattāri asaṅkhyeyyāni yathā hānabhāgiyā saṃkilesabhāgiyā ṭhitibhāgiyā vā na honti, atha kho uttaruttari visesabhāgiyāva honti, evaṃ sakkaccaṃ nirantaraṃ anavasesato bhatā sambhatā assa atthīti bhatavāti bhagavā niruttinayena ta-kārassa ga-kāraṃ katvā. Atha vā bhatavāti teyeva yathāvutte buddhakare dhamme vuttanayena bhari sambhari, paripūresīti attho. Evampi bhatavāti bhagavā.
ยสฺมา สโมฺพธิยา สเพฺพ, ทานปารมิอาทิเก;
Yasmā sambodhiyā sabbe, dānapāramiādike;
สมฺภาเร ภตวา นาโถ, ตสฺมาปิ ภควา มโตฯ
Sambhāre bhatavā nātho, tasmāpi bhagavā mato.
กถํ ภาเค วนีติ ภควา? เย เต จตุวีสติโกฎิสตสหสฺสสงฺขา เทวสิกํ วฬญฺชนกสมาปตฺติภาคา, เต อนวเสสโต โลกหิตตฺถํ อตฺตโน จ ทิฎฺฐธมฺมสุขวิหารตฺถํ นิจฺจกปฺปํ วนิ ภชิ เสวิ พหุลมกาสีติ ภาเค วนีติ ภควาฯ อถ วา อภิเญฺญยฺยธเมฺมสุ กุสลาทีสุ ขนฺธาทีสุ จ เย เต ปริเญฺญยฺยาทิวเสน สเงฺขปโต วา จตุพฺพิธา อภิสมยภาคา, วิตฺถารโต ปน ‘‘จกฺขุ ปริเญฺญยฺยํ, โสตํ ปริเญฺญยฺยํ…เป.… ชรามรณํ ปริเญฺญยฺย’’นฺติอาทินา (ปฎิ. ม. ๑.๒๑) อเนเก ปริเญฺญยฺยภาคา, ‘‘จกฺขุสฺส สมุทโย ปหาตโพฺพ…เป.… ชรามรณสฺส สมุทโย ปหาตโพฺพ’’ติอาทินา นเยน ปหาตพฺพภาคา, ‘‘จกฺขุสฺส นิโรโธ…เป.… ชรามรณสฺส นิโรโธ สจฺฉิกาตโพฺพ’’ติอาทินา สจฺฉิกาตพฺพภาคา, ‘‘จกฺขุสฺส นิโรธคามินี ปฎิปทา’’ติอาทินา ‘‘จตฺตาโร สติปฎฺฐานา’’ติอาทินา จ อเนกเภทา ภาเวตพฺพภาคา จ ธมฺมา วุตฺตา, เต สเพฺพ วนิ ภชิ ยถารหํ โคจรภาวนาเสวนานํ วเสน เสวิฯ เอวมฺปิ ภาเค วนีติ ภควาฯ อถ วา เย อิเม สีลาทโย ธมฺมกฺขนฺธา สาวเกหิ สาธารณา คุณโกฎฺฐาสา คุณภาคา, กินฺติ นุ โข เต วิเนยฺยสนฺตาเนสุ ปติฎฺฐเปยฺยนฺติ มหากรุณาย วนิ อภิปตฺถยิ, สา จสฺส อภิปตฺถนา ยถาธิเปฺปตผลาวหา อโหสิฯ เอวมฺปิ ภาเค วนีติ ภควาฯ
Kathaṃ bhāge vanīti bhagavā? Ye te catuvīsatikoṭisatasahassasaṅkhā devasikaṃ vaḷañjanakasamāpattibhāgā, te anavasesato lokahitatthaṃ attano ca diṭṭhadhammasukhavihāratthaṃ niccakappaṃ vani bhaji sevi bahulamakāsīti bhāge vanīti bhagavā. Atha vā abhiññeyyadhammesu kusalādīsu khandhādīsu ca ye te pariññeyyādivasena saṅkhepato vā catubbidhā abhisamayabhāgā, vitthārato pana ‘‘cakkhu pariññeyyaṃ, sotaṃ pariññeyyaṃ…pe… jarāmaraṇaṃ pariññeyya’’ntiādinā (paṭi. ma. 1.21) aneke pariññeyyabhāgā, ‘‘cakkhussa samudayo pahātabbo…pe… jarāmaraṇassa samudayo pahātabbo’’tiādinā nayena pahātabbabhāgā, ‘‘cakkhussa nirodho…pe… jarāmaraṇassa nirodho sacchikātabbo’’tiādinā sacchikātabbabhāgā, ‘‘cakkhussa nirodhagāminī paṭipadā’’tiādinā ‘‘cattāro satipaṭṭhānā’’tiādinā ca anekabhedā bhāvetabbabhāgā ca dhammā vuttā, te sabbe vani bhaji yathārahaṃ gocarabhāvanāsevanānaṃ vasena sevi. Evampi bhāge vanīti bhagavā. Atha vā ye ime sīlādayo dhammakkhandhā sāvakehi sādhāraṇā guṇakoṭṭhāsā guṇabhāgā, kinti nu kho te vineyyasantānesu patiṭṭhapeyyanti mahākaruṇāya vani abhipatthayi, sā cassa abhipatthanā yathādhippetaphalāvahā ahosi. Evampi bhāge vanīti bhagavā.
ยสฺมา เญยฺยสมาปตฺติ-คุณภาเค ตถาคโต;
Yasmā ñeyyasamāpatti-guṇabhāge tathāgato;
ภชิ ปตฺถยิ สตฺตานํ, หิตาย ภควา ตโตฯ
Bhaji patthayi sattānaṃ, hitāya bhagavā tato.
กถํ ภเค วนีติ ภควา? สมาสโต ตาว กตปุเญฺญหิ ปโยคสมฺปเนฺนหิ ยถาวิภวํ ภชียนฺตีติ ภคา, โลกิยโลกุตฺตรสมฺปตฺติโยฯ ตตฺถ โลกิเย ตาว ตถาคโต สโมฺพธิโต ปุเพฺพ โพธิสตฺตภูโต ปรมุกฺกํสคเต วนิ ภชิ เสวิ, ยตฺถ ปติฎฺฐาย นิรวเสสโต พุทฺธกรธเมฺม สมนฺนาเนโนฺต พุทฺธธเมฺม ปริปาเจสิฯ พุทฺธภูโต ปน เต นิรวชฺชสุขูปสํหิเต อนญฺญสาธารเณ โลกุตฺตเรปิ วนิ ภชิ เสวิฯ วิตฺตารโต ปน ปเทสรชฺชอิสฺสริยจกฺกวตฺติสมฺปตฺติเทวรชฺชสมฺปตฺติอาทิวเสน ฌานวิโมกฺขสมาธิสมาปตฺติญาณทสฺสนมคฺคภาวนาผลสจฺฉิกิริยาทิอุตฺตริมนุสฺสธมฺมวเสน จ อเนกวิหิเต อนญฺญสาธารเณ ภเค วนิ ภชิ เสวิฯ เอวํ ภเค วนีติ ภควาฯ
Kathaṃ bhage vanīti bhagavā? Samāsato tāva katapuññehi payogasampannehi yathāvibhavaṃ bhajīyantīti bhagā, lokiyalokuttarasampattiyo. Tattha lokiye tāva tathāgato sambodhito pubbe bodhisattabhūto paramukkaṃsagate vani bhaji sevi, yattha patiṭṭhāya niravasesato buddhakaradhamme samannānento buddhadhamme paripācesi. Buddhabhūto pana te niravajjasukhūpasaṃhite anaññasādhāraṇe lokuttarepi vani bhaji sevi. Vittārato pana padesarajjaissariyacakkavattisampattidevarajjasampattiādivasena jhānavimokkhasamādhisamāpattiñāṇadassanamaggabhāvanāphalasacchikiriyādiuttarimanussadhammavasena ca anekavihite anaññasādhāraṇe bhage vani bhaji sevi. Evaṃ bhage vanīti bhagavā.
ยา ตา สมฺปตฺติโย โลเก, ยา จ โลกุตฺตรา ปุถุ;
Yā tā sampattiyo loke, yā ca lokuttarā puthu;
สพฺพา ตา ภชิ สมฺพุโทฺธ, ตสฺมาปิ ภควา มโตฯ
Sabbā tā bhaji sambuddho, tasmāpi bhagavā mato.
กถํ ภตฺตวาติ ภควา? ภตฺตา ทฬฺหภตฺติกา อสฺส พหู อตฺถีติ ภตฺตวาฯ ตถาคโต หิ มหากรุณาสพฺพญฺญุตญฺญาณาทิอปริมิตนิรุปมปฺปภาวคุณวิเสสสมงฺคีภาวโต สพฺพสตฺตาอุตฺตโม, สพฺพานตฺถปริหารปุพฺพงฺคมาย นิรวเสสหิตสุขวิธานตปฺปราย นิรติสยาย ปโยคสมฺปตฺติยา สเทวมนุสฺสาย ปชาย อจฺจนฺตุปการิตาย ทฺวตฺติํส มหาปุริสลกฺขณาสีติ อนุพฺยญฺชน พฺยามปฺปภาทิ อนญฺญสาธารณวิเสสปฎิมณฺฑิตรูปกายตาย ยถาภุจฺจคุณาธิคเตน ‘‘อิติปิ โส ภควา’’ติอาทินยปฺปวเตฺตน โลกตฺตยพฺยาปินา สุวิปุเลน สุวิสุเทฺธน จ ถุติโฆเสน สมนฺนาคตตฺตา อุกฺกํสปารมิปฺปตฺตาสุ อปฺปิจฺฉตาสนฺตุฎฺฐิตาอาทีสุ สุปฺปติฎฺฐิตภาวโต ทสพลจตุเวสารชฺชาทินิรติสยคุณวิเสสสมงฺคีภาวโต จ รูปปฺปมาโณ รูปปฺปสโนฺน, โฆสปฺปมาโณ โฆสปฺปสโนฺน, ลูขปฺปมาโณ ลูขปฺปสโนฺน, ธมฺมปฺปมาโณ ธมฺมปฺปสโนฺนติ เอวํ จตุปฺปมาณิเก โลกสนฺนิวาเส สพฺพถาปิ ปสาทาวหภาเวน สมนฺตปาสาทิกตฺตา อปริมาณานํ สตฺตานํ สเทวมนุสฺสานํ อาทรพหุมานคารวายตนตาย ปรมเปมสมฺภตฺติฎฺฐานํฯ เย จสฺส โอวาเท ปติฎฺฐิตา อเวจฺจปฺปสาเทน สมนฺนาคตา โหนฺติ, เกนจิ อสํหาริยา เตสํ สมฺภตฺติ สมเณน วา พฺราหฺมเณน วา เทเวน วา มาเรน วา พฺรหฺมุนา วาติฯ ตถา หิ เต อตฺตโน ชีวิตปอจฺจาเคปิ ตตฺถ ปสาทํ น ปริจฺจชนฺติ ตสฺส วา อาณํ ทฬฺหภตฺติภาวโตฯ เตเนวาห –
Kathaṃ bhattavāti bhagavā? Bhattā daḷhabhattikā assa bahū atthīti bhattavā. Tathāgato hi mahākaruṇāsabbaññutaññāṇādiaparimitanirupamappabhāvaguṇavisesasamaṅgībhāvato sabbasattāuttamo, sabbānatthaparihārapubbaṅgamāya niravasesahitasukhavidhānatapparāya niratisayāya payogasampattiyā sadevamanussāya pajāya accantupakāritāya dvattiṃsa mahāpurisalakkhaṇāsīti anubyañjana byāmappabhādi anaññasādhāraṇavisesapaṭimaṇḍitarūpakāyatāya yathābhuccaguṇādhigatena ‘‘itipi so bhagavā’’tiādinayappavattena lokattayabyāpinā suvipulena suvisuddhena ca thutighosena samannāgatattā ukkaṃsapāramippattāsu appicchatāsantuṭṭhitāādīsu suppatiṭṭhitabhāvato dasabalacatuvesārajjādiniratisayaguṇavisesasamaṅgībhāvato ca rūpappamāṇo rūpappasanno, ghosappamāṇo ghosappasanno, lūkhappamāṇo lūkhappasanno, dhammappamāṇo dhammappasannoti evaṃ catuppamāṇike lokasannivāse sabbathāpi pasādāvahabhāvena samantapāsādikattā aparimāṇānaṃ sattānaṃ sadevamanussānaṃ ādarabahumānagāravāyatanatāya paramapemasambhattiṭṭhānaṃ. Ye cassa ovāde patiṭṭhitā aveccappasādena samannāgatā honti, kenaci asaṃhāriyā tesaṃ sambhatti samaṇena vā brāhmaṇena vā devena vā mārena vā brahmunā vāti. Tathā hi te attano jīvitapaaccāgepi tattha pasādaṃ na pariccajanti tassa vā āṇaṃ daḷhabhattibhāvato. Tenevāha –
‘‘โย เว กตญฺญู กตเวทิ ธีโร,
‘‘Yo ve kataññū katavedi dhīro,
กลฺยาณมิโตฺต ทฬฺหภตฺติ จ โหตี’’ติฯ (ชา. ๒.๑๗.๗๘);
Kalyāṇamitto daḷhabhatti ca hotī’’ti. (jā. 2.17.78);
‘‘เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, มหาสมุโทฺท ฐิตธโมฺม เวลํ นาติวตฺตติ, เอวเมว โข, ภิกฺขเว, ยํ มยา สาวกานํ สิกฺขาปทํ ปญฺญตฺตํ, ตํ มม สาวกา ชีวิตเหตุปิ นาติกฺกมนฺตี’’ติ (อุทา. ๔๕; จูฬว. ๓๘๕) จฯ
‘‘Seyyathāpi, bhikkhave, mahāsamuddo ṭhitadhammo velaṃ nātivattati, evameva kho, bhikkhave, yaṃ mayā sāvakānaṃ sikkhāpadaṃ paññattaṃ, taṃ mama sāvakā jīvitahetupi nātikkamantī’’ti (udā. 45; cūḷava. 385) ca.
เอวํ ภตฺตวาติ ภควา นิรุตฺตินเยน เอกสฺส ต-การสฺส โลปํ กตฺวา อิตรสฺส ต-การสฺส ค-การํ กตฺวาฯ
Evaṃ bhattavāti bhagavā niruttinayena ekassa ta-kārassa lopaṃ katvā itarassa ta-kārassa ga-kāraṃ katvā.
คุณาติสยยุตฺตสฺส, ยสฺมา โลกหิเตสิโน;
Guṇātisayayuttassa, yasmā lokahitesino;
สมฺภตฺตา พหโว สตฺถุ, ภควา เตน วุจฺจติฯ
Sambhattā bahavo satthu, bhagavā tena vuccati.
กถํ ภเค วมีติ ภควา? ยสฺมา ตถาคโต โพธิสตฺตภูโตปิ ปุริมาสุ ชาตีสุ ปารมิโย ปูเรโนฺต ภคสงฺขาตํ สิริํ อิสฺสริยํ ยสญฺจ วมิ อุคฺคิริ, เขฬปิณฺฑํ วิย อนเปโกฺข ฉฑฺฑยิฯ ตถา หิสฺส โสมนสฺสกุมารกาเล(ชา. ๑.๑๕.๒๑๑ อาทโย) หตฺถิปาลกุมารกาเล (ชา. ๑.๑๕.๓๓๗ อาทโย) อโยฆรปณฺฑิตกาเล(ชา. ๑.๑๕.๓๖๓ อาทโย) มูคปกฺขปณฺฑิตกาเล (ชา. ๒.๒๒.๑ อาทโย) จูฬสุตโสมกาเลติ (ชา. ๒.๑๗.๑๙๕ อาทโย) เอวมาทีสุ เนกฺขมฺมปารมีปูรณวเสน เทวรชฺชสทิสาย รชฺชสิริยา ปริจฺจตฺตตฺตภาวานํ ปมาณํ นตฺถิ, จริมตฺตภาเวปิ หตฺถคตํ จกฺกวตฺติสิริํ เทวโลกาธิปจฺจสอสํ จตุทีปิสฺสริยํ จกฺกวตฺติสมฺปตฺติสนฺนิสฺสยํ สตฺตรตนสมุชฺชลํ ยสญฺจ ติณายปิ อมญฺญมาโน นิรเปโกฺข ปหาย อภินิกฺขมิตฺวา สมฺมาสโมฺพธิํ อภิสมฺพุโทฺธ, ตสฺมา อิเม สิริอาทิเก ภเค วมีติ ภควาฯ อถ วา ภานิ นาม นกฺขตฺตานิ, เตหิ สมํ คจฺฉนฺติ ปวตฺตนฺตีติ ภคา, สิเนรุยุคนฺธรอุตฺตรกุรุหิมวนฺตาทิภาชนโลกวิเสสสนฺนิสฺสยา โสภา กปฺปฎฺฐายิภาวโต, เตปิ ภควา วมิ ตํนิวาสิสตฺตาวาสสมติกฺกมนโต ตปฺปฎิพทฺธฉนฺทราคปฺปหาเนน ปชหีติฯ เอวมฺปิ ภเค วมีติ ภควาฯ
Kathaṃ bhage vamīti bhagavā? Yasmā tathāgato bodhisattabhūtopi purimāsu jātīsu pāramiyo pūrento bhagasaṅkhātaṃ siriṃ issariyaṃ yasañca vami uggiri, kheḷapiṇḍaṃ viya anapekkho chaḍḍayi. Tathā hissa somanassakumārakāle(jā. 1.15.211 ādayo) hatthipālakumārakāle (jā. 1.15.337 ādayo) ayogharapaṇḍitakāle(jā. 1.15.363 ādayo) mūgapakkhapaṇḍitakāle (jā. 2.22.1 ādayo) cūḷasutasomakāleti (jā. 2.17.195 ādayo) evamādīsu nekkhammapāramīpūraṇavasena devarajjasadisāya rajjasiriyā pariccattattabhāvānaṃ pamāṇaṃ natthi, carimattabhāvepi hatthagataṃ cakkavattisiriṃ devalokādhipaccasaasaṃ catudīpissariyaṃ cakkavattisampattisannissayaṃ sattaratanasamujjalaṃ yasañca tiṇāyapi amaññamāno nirapekkho pahāya abhinikkhamitvā sammāsambodhiṃ abhisambuddho, tasmā ime siriādike bhage vamīti bhagavā. Atha vā bhāni nāma nakkhattāni, tehi samaṃ gacchanti pavattantīti bhagā, sineruyugandharauttarakuruhimavantādibhājanalokavisesasannissayā sobhā kappaṭṭhāyibhāvato, tepi bhagavā vami taṃnivāsisattāvāsasamatikkamanato tappaṭibaddhachandarāgappahānena pajahīti. Evampi bhage vamīti bhagavā.
จกฺกวตฺติสิริํ ยสฺมา, ยสํ อิสฺสริยํ สุขํ;
Cakkavattisiriṃ yasmā, yasaṃ issariyaṃ sukhaṃ;
ปหาสิ โลกจิตฺตญฺจ, สุคโต ภควา ตโตฯ
Pahāsi lokacittañca, sugato bhagavā tato.
กถํ ภาเค วมีติ ภควา? ภาคา นาม สภาคธมฺมโกฎฺฐาสา, เต ขนฺธายตนธาตาทิวเสน, ตตฺถาปิ รูปเวทนาทิวเสน อตีตาทิวเสน จ อเนกวิธา, เต จ ภควา สพฺพํ ปปญฺจํ สพฺพํ โยคํ สพฺพํ คนฺถํ สพฺพํ สํโยชนํ สมุจฺฉินฺทิตฺวา อมตธาตุํ สมธิคจฺฉโนฺต วมิ อุคฺคิริ, อนเปโกฺข ฉฑฺฑยิ น ปจฺจาคมิฯ ตถา เหส สพฺพตฺถกเมว ปถวิํ อาปํ เตชํ วายํ, จกฺขุํ โสตํ ฆานํ ชิวฺหํ กายํ มนํ, รูเป สเทฺท คเนฺธ รเส โผฎฺฐเพฺพ ธเมฺม, จกฺขุวิญฺญาณํ…เป.… มโนวิญฺญาณํ, จกฺขุสมฺผสฺสํ…เป.… มโนสมฺผสฺสํ, จกฺขุสมฺผสฺสชํ เวทนํ…เป.… มโนสมฺผสฺสชํ เวทนํ, จกฺขุสมฺผสฺสชํ สญฺญํ…เป.… มโนสมฺผสฺสชํ สญฺญํ, จกฺขุสมฺผสฺสชํ เจตนํ…เป.… มโนสมฺผสฺสชํ เจตนํ, รูปตณฺหํ…เป.… ธมฺมตณฺหํ, รูปวิตกฺกํ…เป.… ธมฺมวิตกฺกํ, รูปวิจารํ…เป.… ธมฺมวิจารนฺติอาทินา อนุปทธมฺมวิภาควเสนปิ สเพฺพว ธมฺมโกฎฺฐาเส อนวเสสโต วมิ อุคฺคิริ, อนเปกฺขปริจฺจาเคน ฉฑฺฑยิฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘ยํ ตํ, อานนฺท, จตฺตํ วนฺตํ มุตฺตํ ปหีนํ ปฎินิสฺสฎฺฐํ, ตํ ตถาคโต ปุน ปจฺจาคมิสฺสตีติ เนตํ ฐานํ วิชฺชตี’’ติ (ที. นิ. ๒.๑๘๓)ฯ เอวมฺปิ ภาเค วมีติ ภควาฯ อถ วา ภาเค วมีติ สเพฺพปิ กุสลากุสเล สาวชฺชานวเชฺช หีนปณีเต กณฺหสุกฺกสปฺปฎิภาเค ธเมฺม อริยมคฺคญาณมุเขน วมิ อุคฺคิริ, อนเปโกฺข ปริจฺจชิ ปชหิ, ปเรสญฺจ ตถตฺตาย ธมฺมํ เทเสสิฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ ‘‘ธมฺมาปิ โว, ภิกฺขเว , ปหาตพฺพา ปเคว อธมฺมา (ม. นิ. ๒๔๐)ฯ กุลฺลูปมํ โว, ภิกฺขเว, ธมฺมํ เทเสสฺสามิ นิตฺถรณตฺถาย, โน คหณตฺถายา’’ติอาทิ (ม. นิ. ๑.๒๔๐)ฯ เอวมฺปิ ภาเค วมีติ ภควาฯ
Kathaṃ bhāge vamīti bhagavā? Bhāgā nāma sabhāgadhammakoṭṭhāsā, te khandhāyatanadhātādivasena, tatthāpi rūpavedanādivasena atītādivasena ca anekavidhā, te ca bhagavā sabbaṃ papañcaṃ sabbaṃ yogaṃ sabbaṃ ganthaṃ sabbaṃ saṃyojanaṃ samucchinditvā amatadhātuṃ samadhigacchanto vami uggiri, anapekkho chaḍḍayi na paccāgami. Tathā hesa sabbatthakameva pathaviṃ āpaṃ tejaṃ vāyaṃ, cakkhuṃ sotaṃ ghānaṃ jivhaṃ kāyaṃ manaṃ, rūpe sadde gandhe rase phoṭṭhabbe dhamme, cakkhuviññāṇaṃ…pe… manoviññāṇaṃ, cakkhusamphassaṃ…pe… manosamphassaṃ, cakkhusamphassajaṃ vedanaṃ…pe… manosamphassajaṃ vedanaṃ, cakkhusamphassajaṃ saññaṃ…pe… manosamphassajaṃ saññaṃ, cakkhusamphassajaṃ cetanaṃ…pe… manosamphassajaṃ cetanaṃ, rūpataṇhaṃ…pe… dhammataṇhaṃ, rūpavitakkaṃ…pe… dhammavitakkaṃ, rūpavicāraṃ…pe… dhammavicārantiādinā anupadadhammavibhāgavasenapi sabbeva dhammakoṭṭhāse anavasesato vami uggiri, anapekkhapariccāgena chaḍḍayi. Vuttañhetaṃ ‘‘yaṃ taṃ, ānanda, cattaṃ vantaṃ muttaṃ pahīnaṃ paṭinissaṭṭhaṃ, taṃ tathāgato puna paccāgamissatīti netaṃ ṭhānaṃ vijjatī’’ti (dī. ni. 2.183). Evampi bhāge vamīti bhagavā. Atha vā bhāge vamīti sabbepi kusalākusale sāvajjānavajje hīnapaṇīte kaṇhasukkasappaṭibhāge dhamme ariyamaggañāṇamukhena vami uggiri, anapekkho pariccaji pajahi, paresañca tathattāya dhammaṃ desesi. Vuttampi cetaṃ ‘‘dhammāpi vo, bhikkhave , pahātabbā pageva adhammā (ma. ni. 240). Kullūpamaṃ vo, bhikkhave, dhammaṃ desessāmi nittharaṇatthāya, no gahaṇatthāyā’’tiādi (ma. ni. 1.240). Evampi bhāge vamīti bhagavā.
ขนฺธายตนธาตาทิ ธมฺมเภทา มเหสินา;
Khandhāyatanadhātādi dhammabhedā mahesinā;
กณฺหา สุกฺกา ยโต วนฺตา, ตโตปิ ภควา มโตฯ
Kaṇhā sukkā yato vantā, tatopi bhagavā mato.
เตน วุตฺตํ –
Tena vuttaṃ –
‘‘ภาควา ภตวา ภาเค, ภเค จ วนิ ภตฺตวา;
‘‘Bhāgavā bhatavā bhāge, bhage ca vani bhattavā;
ภเค วมิ ตถา ภาเค, วมีติ ภควา ชิโน’’ติฯ
Bhage vami tathā bhāge, vamīti bhagavā jino’’ti.
เอตฺถ จ ยสฺมา สเงฺขปโต อตฺตหิตสมฺปตฺติปรหิตปฎิปตฺติวเสน ทุวิธา พุทฺธคุณา, ตาสุ อตฺตหิตสมฺปตฺติ ปหานสมฺปทาญาณสมฺปทาเภทโต ทุวิธา อานุภาวสมฺปทาทีนํ ตทวินาภาเวน ตทโนฺตคธตฺตาฯ ปรหิตปฎิปตฺติ ปโยคาสยเภทโต ทุวิธาฯ ตตฺถ ปโยคโต ลาภสกฺการาทินิรเปกฺขจิตฺตสฺส สพฺพทุกฺขนิยฺยานิกธมฺมูปเทโส, อาสยโต ปฎิวิรุเทฺธสุปิ นิจฺจํ หิเตสิตา ญาณปริปากกาลาคมนาทิปรหิตปฺปฎิปตฺติฯ อามิสปฎิคฺคหณาทินาปิ อตฺถจริยา ปรหิตปอปตฺติ โหติเยว, ตสฺมา เตสมฺปิ วิภาวนวเสน ปาฬิยํ ‘‘อรห’’นฺติอาทีนํ ปทานํ คหณํ เวทิตพฺพํฯ
Ettha ca yasmā saṅkhepato attahitasampattiparahitapaṭipattivasena duvidhā buddhaguṇā, tāsu attahitasampatti pahānasampadāñāṇasampadābhedato duvidhā ānubhāvasampadādīnaṃ tadavinābhāvena tadantogadhattā. Parahitapaṭipatti payogāsayabhedato duvidhā. Tattha payogato lābhasakkārādinirapekkhacittassa sabbadukkhaniyyānikadhammūpadeso, āsayato paṭiviruddhesupi niccaṃ hitesitā ñāṇaparipākakālāgamanādiparahitappaṭipatti. Āmisapaṭiggahaṇādināpi atthacariyā parahitapaapatti hotiyeva, tasmā tesampi vibhāvanavasena pāḷiyaṃ ‘‘araha’’ntiādīnaṃ padānaṃ gahaṇaṃ veditabbaṃ.
ตตฺถ อรหนฺติ อิมินา ปเทน ปหานสมฺปทาวเสน ภควโต อตฺตหิตสมฺปตฺติ วิภาวิตา, สมฺมาสมฺพุโทฺธ โลกวิทูติ จ อิเมหิ ปเทหิ ญาณสมฺปทาวเสนฯ นนุ จ ‘‘โลกวิทู’’ติ อิมินาปิ สมฺมาสมฺพุทฺธตา วิภาวียตีติ? สจฺจํ วิภาวียติ, อตฺถิ ปน วิเสโส ‘‘สมฺมาสมฺพุโทฺธ’’ติ อิมินา สพฺพญฺญุตญฺญาณานุภาโว วิภาวิโต, ‘‘โลกวิทู’’ติ ปน อิมินา อาสยานุสยญาณาทีนมฺปิ อานุภาโว วิภาวิโตติฯ วิชฺชาจรณสมฺปโนฺนติ อิมินา สพฺพาปิ ภควโต อตฺตหิตสมฺปตฺติ วิภาวิตาฯ สุคโตติ ปน อิมินา สมุทาคมโต ปฎฺฐาย ภควโต อตฺตหิตสมฺปตฺติ ปรหิตปฎิปตฺติ จ วิภาวิตาฯ อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสานนฺติ อิเมหิ ปเทหิ ภควโต ปรหิตปฎิปตฺติ วิภาวิตาฯ พุโทฺธติ อิมินา ภควโต อตฺตหิตสมฺปตฺติ ปรหิตปฎิปตฺติ จ วิภาวิตาฯ เอวญฺจ กตฺวา ‘‘สมฺมาสมฺพุโทฺธ’’ติ วตฺวา ‘‘พุโทฺธ’’ติ วจนํ สมตฺถิตํ โหติฯ เตเนวาห ‘‘อตฺตนาปิ พุชฺฌิ, อเญฺญปิ สเตฺต โพเธสี’’ติอาทิ ฯ ภควาติ จ อิมินาปิ สมุทาคมโต ปฎฺฐาย ภควโต สพฺพา อตฺตหิตสมฺปตฺติ ปรหิตปฎิปตฺติ จ วิภาวิตาฯ
Tattha arahanti iminā padena pahānasampadāvasena bhagavato attahitasampatti vibhāvitā, sammāsambuddho lokavidūti ca imehi padehi ñāṇasampadāvasena. Nanu ca ‘‘lokavidū’’ti imināpi sammāsambuddhatā vibhāvīyatīti? Saccaṃ vibhāvīyati, atthi pana viseso ‘‘sammāsambuddho’’ti iminā sabbaññutaññāṇānubhāvo vibhāvito, ‘‘lokavidū’’ti pana iminā āsayānusayañāṇādīnampi ānubhāvo vibhāvitoti. Vijjācaraṇasampannoti iminā sabbāpi bhagavato attahitasampatti vibhāvitā. Sugatoti pana iminā samudāgamato paṭṭhāya bhagavato attahitasampatti parahitapaṭipatti ca vibhāvitā. Anuttaro purisadammasārathi satthā devamanussānanti imehi padehi bhagavato parahitapaṭipatti vibhāvitā. Buddhoti iminā bhagavato attahitasampatti parahitapaṭipatti ca vibhāvitā. Evañca katvā ‘‘sammāsambuddho’’ti vatvā ‘‘buddho’’ti vacanaṃ samatthitaṃ hoti. Tenevāha ‘‘attanāpi bujjhi, aññepi satte bodhesī’’tiādi . Bhagavāti ca imināpi samudāgamato paṭṭhāya bhagavato sabbā attahitasampatti parahitapaṭipatti ca vibhāvitā.
อปโร นโย – เหตุผลสตฺตุปการวเสน สเงฺขปโต ติวิธา พุทฺธคุณาฯ ตตฺถ อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ วิชฺชาจรณสมฺปโนฺน โลกวิทูติ อิเมหิ ปเทหิ ผลสมฺปตฺติวเสน พุทฺธคุณา วิภาวิตาฯ อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสานนฺติ อิเมหิ สตฺตุปการวเสน พุทฺธคุณา ปกาสิตาฯ พุโทฺธติ อิมินา ผลวเสน สตฺตุปการวเสน จ พุทฺธคุณา วิภาวิตาฯ สุคโต ภควาติ ปน อิเมหิ ปเทหิ เหตุผลสตฺตุปการวเสน พุทฺธคุณา วิภาวิตาติ เวทิตพฺพํฯ
Aparo nayo – hetuphalasattupakāravasena saṅkhepato tividhā buddhaguṇā. Tattha arahaṃ sammāsambuddho vijjācaraṇasampanno lokavidūti imehi padehi phalasampattivasena buddhaguṇā vibhāvitā. Anuttaro purisadammasārathi satthā devamanussānanti imehi sattupakāravasena buddhaguṇā pakāsitā. Buddhoti iminā phalavasena sattupakāravasena ca buddhaguṇā vibhāvitā. Sugato bhagavāti pana imehi padehi hetuphalasattupakāravasena buddhaguṇā vibhāvitāti veditabbaṃ.
โส อิมํ โลกนฺติอาทีสุ โส ภควาติ โย ‘‘อรห’’นฺติอาทินา กิตฺติตคุโณ, โส ภควาฯ อิมํ โลกนฺติ นยิทํ มหาชนสฺส สมฺมุขามตฺตํ สนฺธาย วุตฺตํ, อถ โข อนวเสสํ ปริยาทายาติ ทเสฺสตุํ ‘‘สเทวก’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ เตนาห ‘‘อิทานิ วตฺตพฺพํ นิทเสฺสตี’’ติฯ ปชาตตฺตาติ ยถาสกํ กมฺมกิเลเสหิ นิพฺพตฺตตฺตาฯ สเทวกวจเนน ปญฺจกามาวจรเทวคฺคหณํ ปาริเสสญาเยนาติ เวทิตพฺพํ อิตเรสํ ปทนฺตเรหิ สงฺคหิตตฺตาฯ สเทวกนฺติ จ อวยเวน วิคฺคโห สมุทาโย สมาสโตฺถฯ สมารกวจเนน ฉฎฺฐกามาวจรเทวคฺคหณํ ปจฺจาสตฺติญาเยนาติ ทฎฺฐพฺพํฯ ตตฺถ หิ โส ชาโต ตํนิวาสี จฯ สพฺรหฺมกวจเนน พฺรหฺมกายิกาทิพฺรหฺมคฺคหณนฺติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ ปจฺจตฺถิกา…เป.… สมณพฺราหฺมณคฺคหณนฺติ นิทสฺสนมตฺตเมตํ อปจฺจตฺถิกานํ อสมิตาพาหิตปาปานญฺจ สมณพฺราหฺมณานํ สสฺสมณพฺราหฺมณีวจเนน คหิตตฺตาฯ กามํ ‘‘สเทวก’’นฺติอาทิวิเสสนานํ วเสน สตฺตวิสโย โลกสโทฺทติ วิญฺญายติ ตุลฺยโยควิสยตฺตา เตสํ, ‘‘สโลมโก สปกฺขโก’’ติอาทีสุ ปน อตุลฺยโยเคปิ อยํ สมาโส ลพฺภตีติ พฺยภิจารทสฺสนโต ปชาคหณนฺติ อาห ‘‘ปชาวจเนน สตฺตโลกคฺคหณ’’นฺติฯ สเทวกาทิวจเนน อุปปตฺติเทวานํ, สสฺสมณพฺราหฺมณีวจเนน วิสุทฺธิเทวานญฺจ คหิตตฺตา อาห ‘‘สเทวมนุสฺสวจเนน สมฺมุติเทวอวเสสมนุสฺสคฺคหณ’’นฺติฯ ตตฺถ สมฺมุติเทวา ราชาโนฯ อวเสสมนุสฺสคฺคหณนฺติ สมณพฺราหฺมเณหิ อวเสสมนุสฺสคฺคหณํฯ ตีหิ ปเทหีติ สเทวกสมารกสพรฺหฺมกวจเนหิฯ ทฺวีหีติ สสฺสมณพฺราหฺมณิํ สเทวมนุสฺสนฺติ อิเมหิ ทฺวีหิ ปเทหิฯ
So imaṃ lokantiādīsu so bhagavāti yo ‘‘araha’’ntiādinā kittitaguṇo, so bhagavā. Imaṃ lokanti nayidaṃ mahājanassa sammukhāmattaṃ sandhāya vuttaṃ, atha kho anavasesaṃ pariyādāyāti dassetuṃ ‘‘sadevaka’’ntiādi vuttaṃ. Tenāha ‘‘idāni vattabbaṃ nidassetī’’ti. Pajātattāti yathāsakaṃ kammakilesehi nibbattattā. Sadevakavacanena pañcakāmāvacaradevaggahaṇaṃ pārisesañāyenāti veditabbaṃ itaresaṃ padantarehi saṅgahitattā. Sadevakanti ca avayavena viggaho samudāyo samāsattho. Samārakavacanena chaṭṭhakāmāvacaradevaggahaṇaṃ paccāsattiñāyenāti daṭṭhabbaṃ. Tattha hi so jāto taṃnivāsī ca. Sabrahmakavacanena brahmakāyikādibrahmaggahaṇanti etthāpi eseva nayo. Paccatthikā…pe… samaṇabrāhmaṇaggahaṇanti nidassanamattametaṃ apaccatthikānaṃ asamitābāhitapāpānañca samaṇabrāhmaṇānaṃ sassamaṇabrāhmaṇīvacanena gahitattā. Kāmaṃ ‘‘sadevaka’’ntiādivisesanānaṃ vasena sattavisayo lokasaddoti viññāyati tulyayogavisayattā tesaṃ, ‘‘salomako sapakkhako’’tiādīsu pana atulyayogepi ayaṃ samāso labbhatīti byabhicāradassanato pajāgahaṇanti āha ‘‘pajāvacanena sattalokaggahaṇa’’nti. Sadevakādivacanena upapattidevānaṃ, sassamaṇabrāhmaṇīvacanena visuddhidevānañca gahitattā āha ‘‘sadevamanussavacanena sammutidevaavasesamanussaggahaṇa’’nti. Tattha sammutidevā rājāno. Avasesamanussaggahaṇanti samaṇabrāhmaṇehi avasesamanussaggahaṇaṃ. Tīhi padehīti sadevakasamārakasabarhmakavacanehi. Dvīhīti sassamaṇabrāhmaṇiṃ sadevamanussanti imehi dvīhi padehi.
อรูปี สตฺตา อตฺตโน อาเนญฺชวิหาเรน วิหรนฺตา ทิพฺพนฺตีติ เทวาติ อิมํ นิพฺพจนํ ลภนฺตีติ อาห ‘‘สเทวกคฺคหเณน อรูปาวจรโลโก คหิโต’’ติฯ เตเนวาห ภควา ‘‘อากาสานญฺจายตนูปคานํ เทวานํ สหพฺยต’’นฺติอาทิ (อ. นิ. ๓.๑๑๗)ฯ ฉกามาวจรเทวโลกสฺส สวิเสสํ มารสฺส วเส วตฺตนโต อาห ‘‘สมารกคฺคหเณน ฉกามาวจรเทวโลโก’’ติ ฯ อรูปีพฺรหฺมโลกสฺส วิสุํ คหิตตฺตา อาห ‘‘รูปี พฺรหฺมโลโก’’ติฯ จตุปริสวเสนาติ ขตฺติยปริสา, พฺราหฺมณคหปติสมณจาตุมหาราชิกตาวติํสมารพฺรหฺมปริสาติ อิมาสุ อฎฺฐสุ ปริสาสุ ขตฺติยาทิจตุปริสวเสนฯ อิตรา ปน จตโสฺส ปริสา สมารกคฺคหเณน คหิตา เอวาติฯ
Arūpī sattā attano āneñjavihārena viharantā dibbantīti devāti imaṃ nibbacanaṃ labhantīti āha ‘‘sadevakaggahaṇena arūpāvacaraloko gahito’’ti. Tenevāha bhagavā ‘‘ākāsānañcāyatanūpagānaṃ devānaṃ sahabyata’’ntiādi (a. ni. 3.117). Chakāmāvacaradevalokassa savisesaṃ mārassa vase vattanato āha ‘‘samārakaggahaṇena chakāmāvacaradevaloko’’ti . Arūpībrahmalokassa visuṃ gahitattā āha ‘‘rūpī brahmaloko’’ti. Catuparisavasenāti khattiyaparisā, brāhmaṇagahapatisamaṇacātumahārājikatāvatiṃsamārabrahmaparisāti imāsu aṭṭhasu parisāsu khattiyādicatuparisavasena. Itarā pana catasso parisā samārakaggahaṇena gahitā evāti.
กถํ ปเนตฺถ จตุปริสวเสน มนุสฺสโลโก คหิโต? ‘‘สสฺสมณพฺราหฺมณิ’’นฺติ อิมินา สมณปริสา พฺราหฺมณปริสา จ คหิตา โหนฺติ, ‘‘สเทวมนุสฺส’’นฺติ อิมินา ขตฺติยปริสา คหปติปริสา จ คหิตา, ‘‘ปช’’นฺติ อิมินา ปน อิมาเยว จตโสฺส ปริสา วุตฺตา, จตุปริสสงฺขาตํ ปชนฺติ วุตฺตํ โหติ, กถํ ปน สมฺมุติเทเวหิ สห มนุสฺสโลโก คหิโต? เอตฺถาปิ ‘‘สสฺสมณพฺราหฺมณิ’’นฺติ อิมินา สมณพฺราหฺมณา คหิตา, ‘‘สเทวมนุสฺส’’นฺติ อิมินา สมฺมุติเทวสงฺขาตา ขตฺติยา, คหปติสุทฺทสงฺขาตา อวเสสมนุสฺสา จ คหิตา โหนฺติฯ อิโต ปน อเญฺญสํ มนุสฺสสตฺตานํ อภาวโต ‘‘ปช’’นฺติ อิมินา จตูหิ ปกาเรหิ ฐิตา เอเตเยว มนุสฺสสตฺตา วุตฺตาติ ทฎฺฐพฺพํฯ เอวํ วิกปฺปทฺวเยปิ ปชาคฺคหเณน จตุปริสาทิวเสน ฐิตานํ มนุสฺสานํเยว คหิตตฺตา อิทานิ ‘‘ปช’’นฺติ อิมินา อวเสสสเตฺต สงฺคเหตฺวา ทเสฺสตุกาโม อาห ‘‘อวเสสสพฺพสตฺตโลโก วา’’ติฯ ตตฺถ นาคครุฬาทิวเสน อวเสสสตฺตโลโก เวทิตโพฺพฯ เอตฺถาปิ จตุปริสวเสน สมฺมุติเทเวหิ วา สห อวเสสสพฺพสตฺตโลโก วาติ โยเชตพฺพํฯ จตุปริสสหิโต อวเสสสุทฺธนาคสุปณฺณเนรยิกาทิสตฺตโลโก, จตุธา ฐิตมนุสฺสสหิโต วา อวเสสนาคสุปณฺณเนรยิกาทิสตฺตโลโก คหิโตติ วุตฺตํ โหติฯ
Kathaṃ panettha catuparisavasena manussaloko gahito? ‘‘Sassamaṇabrāhmaṇi’’nti iminā samaṇaparisā brāhmaṇaparisā ca gahitā honti, ‘‘sadevamanussa’’nti iminā khattiyaparisā gahapatiparisā ca gahitā, ‘‘paja’’nti iminā pana imāyeva catasso parisā vuttā, catuparisasaṅkhātaṃ pajanti vuttaṃ hoti, kathaṃ pana sammutidevehi saha manussaloko gahito? Etthāpi ‘‘sassamaṇabrāhmaṇi’’nti iminā samaṇabrāhmaṇā gahitā, ‘‘sadevamanussa’’nti iminā sammutidevasaṅkhātā khattiyā, gahapatisuddasaṅkhātā avasesamanussā ca gahitā honti. Ito pana aññesaṃ manussasattānaṃ abhāvato ‘‘paja’’nti iminā catūhi pakārehi ṭhitā eteyeva manussasattā vuttāti daṭṭhabbaṃ. Evaṃ vikappadvayepi pajāggahaṇena catuparisādivasena ṭhitānaṃ manussānaṃyeva gahitattā idāni ‘‘paja’’nti iminā avasesasatte saṅgahetvā dassetukāmo āha ‘‘avasesasabbasattaloko vā’’ti. Tattha nāgagaruḷādivasena avasesasattaloko veditabbo. Etthāpi catuparisavasena sammutidevehi vā saha avasesasabbasattaloko vāti yojetabbaṃ. Catuparisasahito avasesasuddhanāgasupaṇṇanerayikādisattaloko, catudhā ṭhitamanussasahito vā avasesanāgasupaṇṇanerayikādisattaloko gahitoti vuttaṃ hoti.
เอตฺตาวตา ภาคโส โลกํ คเหตฺวา โยชนํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ เตน เตน วิเสเสน อภาคโส โลกํ คเหตฺวา โยชนํ ทเสฺสตุํ ‘‘อปิเจตฺถา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ อุกฺกฎฺฐปริเจฺฉทโตติ อุกฺกํสคติวิชานเนนฯ ปญฺจสุ หิ คตีสุ เทวคติปริยาปนฺนาว เสฎฺฐา, ตตฺถาปิ อรูปิโน ทูรสมุสฺสาริตกิเลสทุกฺขตาย สนฺตปณีตอาเนญฺชวิหารสมงฺคิตาย อติวิย ทีฆายุกตายาติ เอวมาทีหิ วิเสเสหิ อติวิย อุกฺกฎฺฐาฯ พฺรหฺมา มหานุภาโวติ ทสสหสฺสิยํ มหาพฺรหฺมุโน วเสน วทติฯ ‘‘อุกฺกฎฺฐปริเจฺฉทโต’’ติ หิ วุตฺตํฯ อนุตฺตรนฺติ เสฎฺฐํ นวโลกุตฺตรํฯ อนุสนฺธิกฺกโมติ อตฺถานเญฺจว ปทานญฺจ อนุสนฺธานุกฺกโมฯ โปราณา ปเนตฺถ เอวํ วณฺณยนฺติ – สเทวกนฺติ เทวตาหิ สทฺธิํ อวเสสํ โลกํฯ สมารกนฺติ มาเรน สทฺธิํ อวเสสํ โลกํฯ สพฺรหฺมกนฺติ พฺรเหฺมหิ สทฺธิํ อวเสสํ โลกํฯ เอวํ สเพฺพปิ ติภวูปเค สเตฺต เทวมารพฺรหฺมสหิตตาสงฺขาเตหิ ตีหิ ปกาเรหิ ‘‘สเทวก’’นฺติอาทีสุ ตีสุ ปเทสุ ปกฺขิปิตฺวา ปุน ทฺวีหิ ปเทหิ ปริยาทิยโนฺต ‘‘สสฺสมณพฺราหฺมณิํ ปชํ สเทวมนุสฺส’’นฺติ อาหฯ เอวํ ปญฺจหิปิ ปเทหิ สเทวกตฺตาทินา เตน เตน ปกาเรน เตธาตุกเมว ปริยาทินฺนนฺติฯ
Ettāvatā bhāgaso lokaṃ gahetvā yojanaṃ dassetvā idāni tena tena visesena abhāgaso lokaṃ gahetvā yojanaṃ dassetuṃ ‘‘apicetthā’’tiādi vuttaṃ. Tattha ukkaṭṭhaparicchedatoti ukkaṃsagativijānanena. Pañcasu hi gatīsu devagatipariyāpannāva seṭṭhā, tatthāpi arūpino dūrasamussāritakilesadukkhatāya santapaṇītaāneñjavihārasamaṅgitāya ativiya dīghāyukatāyāti evamādīhi visesehi ativiya ukkaṭṭhā. Brahmā mahānubhāvoti dasasahassiyaṃ mahābrahmuno vasena vadati. ‘‘Ukkaṭṭhaparicchedato’’ti hi vuttaṃ. Anuttaranti seṭṭhaṃ navalokuttaraṃ. Anusandhikkamoti atthānañceva padānañca anusandhānukkamo. Porāṇā panettha evaṃ vaṇṇayanti – sadevakanti devatāhi saddhiṃ avasesaṃ lokaṃ. Samārakanti mārena saddhiṃ avasesaṃ lokaṃ. Sabrahmakanti brahmehi saddhiṃ avasesaṃ lokaṃ. Evaṃ sabbepi tibhavūpage satte devamārabrahmasahitatāsaṅkhātehi tīhi pakārehi ‘‘sadevaka’’ntiādīsu tīsu padesu pakkhipitvā puna dvīhi padehi pariyādiyanto ‘‘sassamaṇabrāhmaṇiṃ pajaṃ sadevamanussa’’nti āha. Evaṃ pañcahipi padehi sadevakattādinā tena tena pakārena tedhātukameva pariyādinnanti.
อภิญฺญาติ ยการโลเปนายํ นิเทฺทโส, อภิชานิตฺวาติ อยเมตฺถ อโตฺถติ อาห ‘‘อภิญฺญาย อธิเกน ญาเณน ญตฺวา’’ติฯ อนุมานาทิปฎิเกฺขโปติ อนุมานอุปมานอตฺถาปตฺติอาทิปฎิเกฺขโป เอกปฺปมาณตฺตาฯ สพฺพตฺถ อปฺปฎิหตญาณจารตาย หิ สพฺพปจฺจกฺขา พุทฺธา ภควโนฺตฯ อนุตฺตรํ วิเวกสุขนฺติ ผลสมาปตฺติสุขํฯ เตน วีถิมิสฺสาปิ กทาจิ ภควโต ธมฺมเทสนา โหตีติ หิตฺวาปีติ ปิสทฺทคฺคหณํฯ ภควา หิ ธมฺมํ เทเสโนฺต ยสฺมิํ ขเณ ปริสา สาธุการํ วา เทติ, ยถาสุตํ วา ธมฺมํ ปจฺจเวกฺขติ, ตํ ขณํ ปุพฺพภาเคน ปริจฺฉินฺทิตฺวา ผลสมาปตฺติํ สมาปชฺชติ, ยถาปริเจฺฉทญฺจ สมาปตฺติโต วุฎฺฐาย ฐิตฎฺฐานโต ปฎฺฐาย ธมฺมํ เทเสติฯ อปฺปํ วา พหุํ วา เทเสโนฺตติ อุคฺฆฎิตญฺญุสฺส วเสน อปฺปํ วา, วิปญฺจิตญฺญุสฺส เนยฺยสฺส วา วเสน พหุํ วา เทเสโนฺตฯ อาทิกลฺยาณาทิปฺปการเมว เทเสตีติ อาทิมฺหิปิ กลฺยาณํ ภทฺทกํ อนวชฺชเมว กตฺวา เทเสติฯ มเชฺฌปิ ปริโยสาเนปิ กลฺยาณํ ภทฺทกํ อนวชฺชเมว กตฺวา เทเสตีติ วุตฺตํ โหติฯ ธมฺมสฺส หิ กลฺยาณตา นิยฺยานิกตาย นิยฺยานิกตา จ สพฺพโส อนวชฺชภาเวนฯ
Abhiññāti yakāralopenāyaṃ niddeso, abhijānitvāti ayamettha atthoti āha ‘‘abhiññāya adhikena ñāṇena ñatvā’’ti. Anumānādipaṭikkhepoti anumānaupamānaatthāpattiādipaṭikkhepo ekappamāṇattā. Sabbattha appaṭihatañāṇacāratāya hi sabbapaccakkhā buddhā bhagavanto. Anuttaraṃ vivekasukhanti phalasamāpattisukhaṃ. Tena vīthimissāpi kadāci bhagavato dhammadesanā hotīti hitvāpīti pisaddaggahaṇaṃ. Bhagavā hi dhammaṃ desento yasmiṃ khaṇe parisā sādhukāraṃ vā deti, yathāsutaṃ vā dhammaṃ paccavekkhati, taṃ khaṇaṃ pubbabhāgena paricchinditvā phalasamāpattiṃ samāpajjati, yathāparicchedañca samāpattito vuṭṭhāya ṭhitaṭṭhānato paṭṭhāya dhammaṃ deseti. Appaṃ vā bahuṃ vā desentoti ugghaṭitaññussa vasena appaṃ vā, vipañcitaññussa neyyassa vā vasena bahuṃ vā desento. Ādikalyāṇādippakārameva desetīti ādimhipi kalyāṇaṃ bhaddakaṃ anavajjameva katvā deseti. Majjhepi pariyosānepi kalyāṇaṃ bhaddakaṃ anavajjameva katvā desetīti vuttaṃ hoti. Dhammassa hi kalyāṇatā niyyānikatāya niyyānikatā ca sabbaso anavajjabhāvena.
สมนฺตภทฺทกตฺตาติ สพฺพภาเคหิ สุนฺทรตฺตาฯ ธมฺมสฺสาติ ปริยตฺติธมฺมสฺสฯ กิญฺจาปิ อวยววินิมุโตฺต สมุทาโย นาม ปรมตฺถโต โกจิ นตฺถิ, เยสุ ปน อวยเวสุ สมุทายรูเปน อเปกฺขิเตสุ คาถาติ สมญฺญา, ตํ ตโต ภินฺนํ วิย กตฺวา สํสามิโวหารํ อาโรเปตฺวา ทเสฺสโนฺต ‘‘ปฐมปาเทน อาทิกลฺยาณา’’ติอาทิมาหฯ เอกานุสนฺธิกนฺติ อิทํ นาติพหุวิภาคํ ยถานุสนฺธินา เอกานุสนฺธิกํ สนฺธาย วุตฺตํฯ อิตรสฺส ปน เตเนว เทเสตพฺพธมฺมวิภาเคน อาทิมชฺฌปริโยสานภาคา ลพฺภนฺตีติฯ นิทาเนนาติ อานนฺทเตฺถเรน ฐปิตกาลเทสเทสกปริสาทิอปทิสนลกฺขเณน นิทานคเนฺถนฯ นิคเมนาติ ‘‘อิทมโวจา’’ติอาทิเกน ‘‘อิติ ยํ ตํ วุตฺตํ, อิทเมตํ ปฎิจฺจ วุตฺต’’นฺติ วา ยถาวุตฺตตฺถนิคมเนนฯ สงฺคีติการเกหิ ฐปิตานิปิ หิ นิทานนิคมนานิ ทเสฺสตฺวา ตีณิ ปิฎกานิ สตฺถุ เทสนาย อนุวิธานโต ตทโนฺตคธาเนวฯ เตเนว ทีฆนิกายฎฺฐกถายํ ‘‘เอกานุสนฺธิกสฺส สุตฺตสฺส นิทานํ อาทิ, อิทมโวจาติ ปริโยสานํ, อุภินฺนมนฺตรา มชฺฌ’’นฺติ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑๙๐) วุตฺตํฯ
Samantabhaddakattāti sabbabhāgehi sundarattā. Dhammassāti pariyattidhammassa. Kiñcāpi avayavavinimutto samudāyo nāma paramatthato koci natthi, yesu pana avayavesu samudāyarūpena apekkhitesu gāthāti samaññā, taṃ tato bhinnaṃ viya katvā saṃsāmivohāraṃ āropetvā dassento ‘‘paṭhamapādena ādikalyāṇā’’tiādimāha. Ekānusandhikanti idaṃ nātibahuvibhāgaṃ yathānusandhinā ekānusandhikaṃ sandhāya vuttaṃ. Itarassa pana teneva desetabbadhammavibhāgena ādimajjhapariyosānabhāgā labbhantīti. Nidānenāti ānandattherena ṭhapitakāladesadesakaparisādiapadisanalakkhaṇena nidānaganthena. Nigamenāti ‘‘idamavocā’’tiādikena ‘‘iti yaṃ taṃ vuttaṃ, idametaṃ paṭicca vutta’’nti vā yathāvuttatthanigamanena. Saṅgītikārakehi ṭhapitānipi hi nidānanigamanāni dassetvā tīṇi piṭakāni satthu desanāya anuvidhānato tadantogadhāneva. Teneva dīghanikāyaṭṭhakathāyaṃ ‘‘ekānusandhikassa suttassa nidānaṃ ādi, idamavocāti pariyosānaṃ, ubhinnamantarā majjha’’nti (dī. ni. aṭṭha. 1.190) vuttaṃ.
เอวํ สุตฺตนฺตปิฎกวเสน ธมฺมสฺส อาทิกลฺยาณาทิตํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ตีณิ ปิฎกานิ เอกชฺฌํ คเหตฺวา ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘สกโลปี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ สาสนธโมฺมติ –
Evaṃ suttantapiṭakavasena dhammassa ādikalyāṇāditaṃ dassetvā idāni tīṇi piṭakāni ekajjhaṃ gahetvā taṃ dassetuṃ ‘‘sakalopī’’tiādi vuttaṃ. Tattha sāsanadhammoti –
‘‘สพฺพปาปสฺส อกรณํ, กุสลสฺส อุปสมฺปทา;
‘‘Sabbapāpassa akaraṇaṃ, kusalassa upasampadā;
สจิตฺตปริโยทปนํ, เอตํ พุทฺธาน สาสน’’นฺติฯ (ที. นิ. ๒.๙๐; ธ. ป. ๑๘๓; เนตฺติ. ๓๐, ๕๐) –
Sacittapariyodapanaṃ, etaṃ buddhāna sāsana’’nti. (dī. ni. 2.90; dha. pa. 183; netti. 30, 50) –
เอวํ วุตฺตสฺส สตฺถุสาสนสฺส ปกาสโก ปริยตฺติธโมฺมฯ สีลมูลกตฺตา สาสนสฺส ‘‘สีเลน อาทิกลฺยาโณ’’ติ วุตฺตํฯ สมถาทีนํ สาสนสมฺปตฺติยา เวมชฺฌภาวโต อาห ‘‘สมถวิปสฺสนามคฺคผเลหิ มเชฺฌกลฺยาโณ’’ติฯ นิพฺพานาธิคมโต อุตฺตริ กรณียาภาวโต วุตฺตํ ‘‘นิพฺพาเนน ปริโยสานกลฺยาโณ’’ติฯ สาสเน สมฺมาปฎิปตฺติ นาม ปญฺญาย โหติ, ตสฺสา จ สีลํ สมาธิ จ มูลนฺติ อาห ‘‘สีลสมาธีหิ วา อาทิกลฺยาโณ’’ติฯ ปญฺญา ปน อนุโพธปอเวธวเสน ทุวิธาติ ตทุภยมฺปิ คณฺหโนฺต ‘‘วิปสฺสนามเคฺคหิ มเชฺฌกลฺยาโณ’’ติ อาหฯ ตสฺสา นิปฺผตฺติผลกิจฺจํ นิพฺพานสจฺฉิกิริยา, ตโต ปรํ กตฺตพฺพํ นตฺถีติ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘ผลนิพฺพาเนหิ ปริโยสานกลฺยาโณ’’ติฯ ผลคฺคหเณน วา สอุปาทิเสสํ นิพฺพานมาห, อิตเรน อิตรํ ตทุภยญฺจ สาสนสมฺปตฺติยา โอสานนฺติ อาห ‘‘ผลนิพฺพาเนหิ ปริโยสานกลฺยาโณ’’ติฯ
Evaṃ vuttassa satthusāsanassa pakāsako pariyattidhammo. Sīlamūlakattā sāsanassa ‘‘sīlena ādikalyāṇo’’ti vuttaṃ. Samathādīnaṃ sāsanasampattiyā vemajjhabhāvato āha ‘‘samathavipassanāmaggaphalehi majjhekalyāṇo’’ti. Nibbānādhigamato uttari karaṇīyābhāvato vuttaṃ ‘‘nibbānena pariyosānakalyāṇo’’ti. Sāsane sammāpaṭipatti nāma paññāya hoti, tassā ca sīlaṃ samādhi ca mūlanti āha ‘‘sīlasamādhīhivā ādikalyāṇo’’ti. Paññā pana anubodhapaavedhavasena duvidhāti tadubhayampi gaṇhanto ‘‘vipassanāmaggehi majjhekalyāṇo’’ti āha. Tassā nipphattiphalakiccaṃ nibbānasacchikiriyā, tato paraṃ kattabbaṃ natthīti dassento āha ‘‘phalanibbānehi pariyosānakalyāṇo’’ti. Phalaggahaṇena vā saupādisesaṃ nibbānamāha, itarena itaraṃ tadubhayañca sāsanasampattiyā osānanti āha ‘‘phalanibbānehi pariyosānakalyāṇo’’ti.
พุทฺธสุโพธิตาย วา อาทิกลฺยาโณติ พุทฺธสฺส สุโพธิตา สมฺมาสมฺพุทฺธตา, ตาย อาทิกลฺยาโณ ตปฺปภวตฺตาฯ สพฺพโส สํกิเลสปฺปหานํ โวทานปาริปูรี จ ธมฺมสุธมฺมตา, ตาย มเชฺฌกลฺยาโณ ตํสรีรตฺตาฯ สตฺถารา ยถานุสิฎฺฐํ ตถา ปฎิปตฺติ สงฺฆสุปฺปฎิปตฺติ, ตาย ปริโยสานกลฺยาโณ ตาย สาสนสฺส โลเก สุปฺปติฎฺฐิตภาวโตฯ ตนฺติ สาสนธมฺมํฯ ตถตฺตายาติ ยถตฺตาย ภควตา ธโมฺม เทสิโต, ตถตฺตาย ตถภาวายฯ โส ปน อภิสโมฺพธิ ปเจฺจกโพธิ สาวกโพธีติ ติวิโธ อิโต อญฺญถา นิพฺพานาธิคมสฺส อภาวโตฯ ตตฺถ สพฺพคุเณหิ อคฺคภาวโต อิตรโพธิทฺวยมูลตาย จ ปฐมาย โพธิยา อาทิกลฺยาณตา, คุเณหิ เวมชฺฌภาวโต ทุติยาย มเชฺฌกลฺยาณตา, ตทุภยตาย วา โวสานตาย จ สาสนธมฺมสฺส ตติยาย ปริโยสานกลฺยาณตา วุตฺตาฯ
Buddhasubodhitāya vā ādikalyāṇoti buddhassa subodhitā sammāsambuddhatā, tāya ādikalyāṇo tappabhavattā. Sabbaso saṃkilesappahānaṃ vodānapāripūrī ca dhammasudhammatā, tāya majjhekalyāṇo taṃsarīrattā. Satthārā yathānusiṭṭhaṃ tathā paṭipatti saṅghasuppaṭipatti, tāya pariyosānakalyāṇo tāya sāsanassa loke suppatiṭṭhitabhāvato. Tanti sāsanadhammaṃ. Tathattāyāti yathattāya bhagavatā dhammo desito, tathattāya tathabhāvāya. So pana abhisambodhi paccekabodhi sāvakabodhīti tividho ito aññathā nibbānādhigamassa abhāvato. Tattha sabbaguṇehi aggabhāvato itarabodhidvayamūlatāya ca paṭhamāya bodhiyā ādikalyāṇatā, guṇehi vemajjhabhāvato dutiyāya majjhekalyāṇatā, tadubhayatāya vā vosānatāya ca sāsanadhammassa tatiyāya pariyosānakalyāṇatā vuttā.
เอโสติ สาสนธโมฺมฯ นีวรณวิกฺขมฺภนโตติ วิมุตฺตายตนสีเส ฐตฺวา สทฺธมฺมํ สุณนฺตสฺส นีวรณานํ วิกฺขมฺภนสพฺภาวโตฯ วุตฺตเญฺหตํ –
Esoti sāsanadhammo. Nīvaraṇavikkhambhanatoti vimuttāyatanasīse ṭhatvā saddhammaṃ suṇantassa nīvaraṇānaṃ vikkhambhanasabbhāvato. Vuttañhetaṃ –
‘‘ยถา ยถาวุโส, ภิกฺขุโน สตฺถา วา ธมฺมํ เทเสติ, อญฺญตโร วา ครุฎฺฐานีโย สพฺรหฺมจารี, ตถา ตถา โส ตตฺถ ลภติ อตฺถเวทํ ลภติ ธมฺมเวท’’นฺติฯ
‘‘Yathā yathāvuso, bhikkhuno satthā vā dhammaṃ deseti, aññataro vā garuṭṭhānīyo sabrahmacārī, tathā tathā so tattha labhati atthavedaṃ labhati dhammaveda’’nti.
‘‘ยสฺมิํ , ภิกฺขเว, สมเย อริยสาวโก โอหิตโสโต ธมฺมํ สุณาติ, ปญฺจสฺส นีวรณานิ ตสฺมิํ สมเย ปหีนานิ โหนฺตี’’ติ –
‘‘Yasmiṃ , bhikkhave, samaye ariyasāvako ohitasoto dhammaṃ suṇāti, pañcassa nīvaraṇāni tasmiṃ samaye pahīnāni hontī’’ti –
จ อาทิฯ สมถวิปสฺสนาสุขาวหนโตติ สมถสุขสฺส วิปสฺสนาสุขสฺส จ สมฺปาปนโตฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ ‘‘โส วิวิเจฺจว กาเมหิ วิวิจฺจ อกุสเลหิ ธเมฺมหิ สวิตกฺกํ สวิจารํ วิเวกชํ ปีติสุข’’นฺติอาทิ, ตถา –
Ca ādi. Samathavipassanāsukhāvahanatoti samathasukhassa vipassanāsukhassa ca sampāpanato. Vuttampi cetaṃ ‘‘so vivicceva kāmehi vivicca akusalehi dhammehi savitakkaṃ savicāraṃ vivekajaṃ pītisukha’’ntiādi, tathā –
‘‘ยโต ยโต สมฺมสติ, ขนฺธานํ อุทยพฺพยํ;
‘‘Yato yato sammasati, khandhānaṃ udayabbayaṃ;
ลภตี ปีติปาโมชฺชํ, อมตํ ตํ วิชานตํฯ
Labhatī pītipāmojjaṃ, amataṃ taṃ vijānataṃ.
อมานุสี รตี โหติ, สมฺมา ธมฺมํ วิปสฺสโต’’ติ จฯ (ธ. ป. ๓๗๔-๓๗๓);
Amānusī ratī hoti, sammā dhammaṃ vipassato’’ti ca. (dha. pa. 374-373);
ตถา ปฎิปโนฺนติ ยถา สมถวิปสฺสนาสุขํ อาวหติ, ยถา วา สตฺถารา อนุสิฎฺฐํ, ตถา ปฎิปโนฺน สาสนธโมฺมฯ ตาทิภาวาวหนโตติ ฉฬงฺคุเปกฺขาวเสน อิฎฺฐาทีสุ ตาทิภาวสฺส โลกธเมฺมหิ อนุปเลปสฺส อาวหนโตฯ นาถปฺปภวตฺตาติ ปภวติ เอตสฺมาติ ปภโว, อุปฺปตฺติฎฺฐานํ, นาโถว ปภโว เอตสฺสาติ นาถปฺปภโว, ตสฺส ภาโว นาถปฺปภวตฺตํ, ตสฺมา สาสนธมฺมสฺส นาถเหตุกตฺตาติ อโตฺถฯ อตฺถสุทฺธิยา มเชฺฌกลฺยาโณติ นิรุปกฺกิเลสตาย นิยฺยานิกตา อตฺถสุทฺธิ, ตาย มเชฺฌกลฺยาโณฯ กิจฺจสุทฺธิยา ปริโยสานกลฺยาโณติ สุปฺปฎิปตฺติสงฺขาตกิจฺจสฺส สุทฺธิยา ปริโยสานกลฺยาโณ สุปฺปฎิปตฺติปริโยสานตฺตา สาสนธมฺมสฺสฯ ยถาวุตฺตมตฺถํ นิคเมโนฺต อาห ‘‘ตสฺมา’’ติอาทิฯ
Tathā paṭipannoti yathā samathavipassanāsukhaṃ āvahati, yathā vā satthārā anusiṭṭhaṃ, tathā paṭipanno sāsanadhammo. Tādibhāvāvahanatoti chaḷaṅgupekkhāvasena iṭṭhādīsu tādibhāvassa lokadhammehi anupalepassa āvahanato. Nāthappabhavattāti pabhavati etasmāti pabhavo, uppattiṭṭhānaṃ, nāthova pabhavo etassāti nāthappabhavo, tassa bhāvo nāthappabhavattaṃ, tasmā sāsanadhammassa nāthahetukattāti attho. Atthasuddhiyā majjhekalyāṇoti nirupakkilesatāya niyyānikatā atthasuddhi, tāya majjhekalyāṇo. Kiccasuddhiyā pariyosānakalyāṇoti suppaṭipattisaṅkhātakiccassa suddhiyā pariyosānakalyāṇo suppaṭipattipariyosānattā sāsanadhammassa. Yathāvuttamatthaṃ nigamento āha ‘‘tasmā’’tiādi.
สาสนพฺรหฺมจริยนฺติอาทีสุ อวิเสเสน ติโสฺส สิกฺขา สกโล จ ตนฺติธโมฺม สาสนพฺรหฺมจริยํฯ ยํ สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘กตเมสานํ โข, ภเนฺต, พุทฺธานํ ภควนฺตานํ พฺรหฺมจริยํ น จิรฎฺฐิติกมโหสี’’ติอาทิ (ปารา. ๑๘)ฯ อริโย อฎฺฐงฺคิโก มโคฺค มคฺคพฺรหฺมจริยํฯ ยํ สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘ขีณา ชาติ, วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ, กตํ กรณีย’’นฺติ (ปารา. ๑๔)ฯ ยถานุรูปนฺติ ยถารหํฯ สิกฺขตฺตยสงฺคหญฺหิ สาสนพฺรหฺมจริยํ อตฺถสมฺปตฺติยา สาตฺถํ, ตถา มคฺคพฺรหฺมจริยํฯ อิตรํ ปน ตนฺติธมฺมสงฺขาตํ สาสนพฺรหฺมจริยํ ยถาวุเตฺตนเตฺถน สาตฺถํ สพฺยญฺชนญฺจฯ อตฺถสมฺปตฺติยาติ สมฺปนฺนตฺถตายฯ สมฺปตฺติอโตฺถ หิ อิธ สหสโทฺทฯ พฺยญฺชนสมฺปตฺติยาติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ ยสฺส หิ ยาคุภตฺตาทิอิตฺถิปุริสาทิวณฺณนานิสฺสิตา เทสนา โหติ, น โส สาตฺถํ เทเสติ นิยฺยานตฺถวิรหโต ตสฺสา เทสนายฯ ภควา ปน ตถารูปํ เทสนํ ปหาย จตุสติปฎฺฐานาทินิสฺสิตํ เทสนํ เทเสติ, ตสฺมา ‘‘อตฺถสมฺปตฺติยา สาตฺถํ เทเสตี’’ติ วุจฺจติ ฯ ยสฺส ปน เทสนา สิถิลธนิตาทิเภเทสุ พฺยญฺชเนสุ เอกปฺปกาเรเนว ทฺวิปฺปกาเรเนว วา พฺยญฺชเนน ยุตฺตตาย เอกพฺยญฺชนาทิยุตฺตา วา ทมิฬภาสา วิย, วิวฎกรณตาย โอเฎฺฐ อผุสาเปตฺวา อุจฺจาเรตพฺพโต สพฺพนิโรฎฺฐพฺยญฺชนา วา กิราตภาสา วิย, สพฺพเตฺถว วิสฺสชฺชนียยุตฺตตาย สพฺพวิสฺสฎฺฐพฺยญฺชนา วา ยวนภาสา วิย, สพฺพเตฺถว สานุสารตาย สพฺพนิคฺคหีตพฺยญฺชนา วา ปาทสิกาทิ มิลกฺขุภาสา วิย, ตสฺส พฺยญฺชนปาริปูริยา อภาวโต อพฺยญฺชนา นาม เทสนา โหติฯ สพฺพาปิ หิ เอสา พฺยญฺชเนกเทสวเสเนว ปวตฺติยา อปริปุณฺณพฺยญฺชนาติ กตฺวา ‘‘อพฺยญฺชนา’’ติ วุจฺจติฯ ภควา ปน –
Sāsanabrahmacariyantiādīsu avisesena tisso sikkhā sakalo ca tantidhammo sāsanabrahmacariyaṃ. Yaṃ sandhāya vuttaṃ ‘‘katamesānaṃ kho, bhante, buddhānaṃ bhagavantānaṃ brahmacariyaṃ na ciraṭṭhitikamahosī’’tiādi (pārā. 18). Ariyo aṭṭhaṅgiko maggo maggabrahmacariyaṃ. Yaṃ sandhāya vuttaṃ ‘‘khīṇā jāti, vusitaṃ brahmacariyaṃ, kataṃ karaṇīya’’nti (pārā. 14). Yathānurūpanti yathārahaṃ. Sikkhattayasaṅgahañhi sāsanabrahmacariyaṃ atthasampattiyā sātthaṃ, tathā maggabrahmacariyaṃ. Itaraṃ pana tantidhammasaṅkhātaṃ sāsanabrahmacariyaṃ yathāvuttenatthena sātthaṃ sabyañjanañca. Atthasampattiyāti sampannatthatāya. Sampattiattho hi idha sahasaddo. Byañjanasampattiyāti etthāpi eseva nayo. Yassa hi yāgubhattādiitthipurisādivaṇṇanānissitā desanā hoti, na so sātthaṃ deseti niyyānatthavirahato tassā desanāya. Bhagavā pana tathārūpaṃ desanaṃ pahāya catusatipaṭṭhānādinissitaṃ desanaṃ deseti, tasmā ‘‘atthasampattiyā sātthaṃ desetī’’ti vuccati . Yassa pana desanā sithiladhanitādibhedesu byañjanesu ekappakāreneva dvippakāreneva vā byañjanena yuttatāya ekabyañjanādiyuttā vā damiḷabhāsā viya, vivaṭakaraṇatāya oṭṭhe aphusāpetvā uccāretabbato sabbaniroṭṭhabyañjanā vā kirātabhāsā viya, sabbattheva vissajjanīyayuttatāya sabbavissaṭṭhabyañjanā vā yavanabhāsā viya, sabbattheva sānusāratāya sabbaniggahītabyañjanā vā pādasikādi milakkhubhāsā viya, tassa byañjanapāripūriyā abhāvato abyañjanā nāma desanā hoti. Sabbāpi hi esā byañjanekadesavaseneva pavattiyā aparipuṇṇabyañjanāti katvā ‘‘abyañjanā’’ti vuccati. Bhagavā pana –
‘‘สิถิลํ ธนิตญฺจ ทีฆรสฺสํ, ครุกํ ลหุกญฺจ นิคฺคหีตํ;
‘‘Sithilaṃ dhanitañca dīgharassaṃ, garukaṃ lahukañca niggahītaṃ;
สมฺพนฺธํ ววตฺถิตํ วิมุตฺตํ, ทสธา พฺยญฺชนพุทฺธิยา ปเภโท’’ติฯ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑๙๐; ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.๒๙๑; ปริ. อฎฺฐ. ๔๘๕) –
Sambandhaṃ vavatthitaṃ vimuttaṃ, dasadhā byañjanabuddhiyā pabhedo’’ti. (dī. ni. aṭṭha. 1.190; ma. ni. aṭṭha. 1.291; pari. aṭṭha. 485) –
เอวํ วุตฺตํ ทสวิธํ พฺยญฺชนํ อมเกฺขตฺวา ปริปุณฺณพฺยญฺชนเมว กตฺวา ธมฺมํ เทเสติ, ตสฺมา ‘‘พฺยญฺชนสมฺปตฺติยา สพฺยญฺชนํ เทเสตี’’ติ วุจฺจติฯ
Evaṃ vuttaṃ dasavidhaṃ byañjanaṃ amakkhetvā paripuṇṇabyañjanameva katvā dhammaṃ deseti, tasmā ‘‘byañjanasampattiyā sabyañjanaṃ desetī’’ti vuccati.
อิทานิ ‘‘สาตฺถํ สพฺยญฺชน’’นฺติ เอตฺถ เนตฺตินเยนปิ อตฺถํ ทเสฺสตุํ ‘‘สงฺกาสนํ…เป.… สพฺยญฺชน’’นฺติ วุตฺตํฯ ตตฺถ ยทิปิ เนตฺติยํ ‘‘พฺยญฺชนมุเขน พฺยญฺชนตฺถคฺคหณํ โหตีติ อกฺขรํ ปท’’นฺติอาทินา พฺยญฺชนปทานิ ปฐมํ อุทฺทิฎฺฐานิ, อิธ ปน ปาฬิยํ ‘‘สาตฺถํ สพฺยญฺชน’’นฺติ อาคตตฺตา อตฺถปทานิเยว ปฐมํ ทเสฺสตุํ ‘‘สงฺกาสนปกาสนา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ สเงฺขปโต กาสนํ ทีปนํ สงฺกาสนํฯ กาสนนฺติ จ กาสียติ ทีปียติ วิภาวียตีติ อโตฺถฯ ‘‘มญฺญมาโน โข ภิกฺขุ พโทฺธ มารสฺส อมญฺญมาโน มุโตฺต’’ติอาทีสุ วิย สเงฺขเปน ทีปนํ สงฺกาสนํ นามฯ ตตฺตเกน หิ เตน ภิกฺขุนา ปฎิวิทฺธํฯ เตนาห ‘‘อญฺญาตํ ภควา’’ติอาทิฯ ปฐมํ กาสนํ ปกาสนํฯ ‘‘สพฺพํ, ภิกฺขเว, อาทิตฺต’’นฺติ เอวมาทีสุ ปจฺฉา กถิตพฺพมตฺถํ ปฐมํ วจเนน ทีปนํ ปกาสนํ นามฯ อาทิกมฺมสฺมิญฺหิ อยํ ป-สโทฺท ‘‘ปญฺญเปติ ปฎฺฐเปตี’’ติอาทีสุ วิยฯ ติกฺขินฺทฺริยาเปกฺขเญฺจตํ ปททฺวยํ อุเทฺทสภาวโตฯ ติกฺขินฺทฺริโย หิ สเงฺขปโต ปฐมญฺจ วุตฺตมตฺถํ ปฎิปชฺชติฯ สํขิตฺตสฺส วิตฺถารวจนํ สกิํ วุตฺตสฺส ปุน วจนญฺจ วิวรณวิภชนานิ, ยถา ‘‘กุสลา ธมฺมา’’ติ สเงฺขปโต สกิํเยว จ วุตฺตสฺส อตฺถสฺส ‘‘กตเม ธมฺมา กุสลา? ยสฺมิํ สมเย กามาวจรํ กุสลํ จิตฺต’’นฺติอาทินา วิตฺถารโต วิวรณวเสน วิภชนวเสน จ ปุน วจนํฯ มชฺฌิมินฺทฺริยาเปกฺขเมตํ ปททฺวยํ นิเทฺทสภาวโตฯ วิวฎสฺส วิตฺถารตราภิธานํ วิภตฺตสฺส จ ปกาเรหิ ญาปนํ วิเนยฺยานํ จิตฺตปริโตสนํ อุตฺตานีกรณปญฺญาปนานิ, ยถา ‘‘ผโสฺส โหตี’’ติอาทินา วิวฎวิภตฺตสฺส อตฺถสฺส ‘‘กตโม ตสฺมิํ สมเย ผโสฺส โหติ? โย ตสฺมิํ สมเย ผโสฺส ผุสนา สํผุสนา’’ติอาทินา อุตฺตานีกิริยา ปญฺญาปนา จฯ มุทินฺทฺริยาเปกฺขเมตํ ปททฺวยํ ปฎินิเทฺทสภาวโตฯ
Idāni ‘‘sātthaṃ sabyañjana’’nti ettha nettinayenapi atthaṃ dassetuṃ ‘‘saṅkāsanaṃ…pe… sabyañjana’’nti vuttaṃ. Tattha yadipi nettiyaṃ ‘‘byañjanamukhena byañjanatthaggahaṇaṃ hotīti akkharaṃ pada’’ntiādinā byañjanapadāni paṭhamaṃ uddiṭṭhāni, idha pana pāḷiyaṃ ‘‘sātthaṃ sabyañjana’’nti āgatattā atthapadāniyeva paṭhamaṃ dassetuṃ ‘‘saṅkāsanapakāsanā’’tiādi vuttaṃ. Tattha saṅkhepato kāsanaṃ dīpanaṃ saṅkāsanaṃ. Kāsananti ca kāsīyati dīpīyati vibhāvīyatīti attho. ‘‘Maññamāno kho bhikkhu baddho mārassa amaññamāno mutto’’tiādīsu viya saṅkhepena dīpanaṃ saṅkāsanaṃ nāma. Tattakena hi tena bhikkhunā paṭividdhaṃ. Tenāha ‘‘aññātaṃ bhagavā’’tiādi. Paṭhamaṃ kāsanaṃ pakāsanaṃ. ‘‘Sabbaṃ, bhikkhave, āditta’’nti evamādīsu pacchā kathitabbamatthaṃ paṭhamaṃ vacanena dīpanaṃ pakāsanaṃ nāma. Ādikammasmiñhi ayaṃ pa-saddo ‘‘paññapeti paṭṭhapetī’’tiādīsu viya. Tikkhindriyāpekkhañcetaṃ padadvayaṃ uddesabhāvato. Tikkhindriyo hi saṅkhepato paṭhamañca vuttamatthaṃ paṭipajjati. Saṃkhittassa vitthāravacanaṃ sakiṃ vuttassa puna vacanañca vivaraṇavibhajanāni, yathā ‘‘kusalā dhammā’’ti saṅkhepato sakiṃyeva ca vuttassa atthassa ‘‘katame dhammā kusalā? Yasmiṃ samaye kāmāvacaraṃ kusalaṃ citta’’ntiādinā vitthārato vivaraṇavasena vibhajanavasena ca puna vacanaṃ. Majjhimindriyāpekkhametaṃ padadvayaṃ niddesabhāvato. Vivaṭassa vitthāratarābhidhānaṃ vibhattassa ca pakārehi ñāpanaṃ vineyyānaṃ cittaparitosanaṃ uttānīkaraṇapaññāpanāni, yathā ‘‘phasso hotī’’tiādinā vivaṭavibhattassa atthassa ‘‘katamo tasmiṃ samaye phasso hoti? Yo tasmiṃ samaye phasso phusanā saṃphusanā’’tiādinā uttānīkiriyā paññāpanā ca. Mudindriyāpekkhametaṃ padadvayaṃ paṭiniddesabhāvato.
อถ วา ‘‘สพฺพํ, ภิกฺขเว, อาทิตฺต’’นฺติ เอวํ ปฐมํ ทีปิตมตฺถํ ปุน ปากฎํ กตฺวา ทีปเนน ‘‘กิญฺจ, ภิกฺขเว, สพฺพํ อาทิตฺตํ? จกฺขุ, ภิกฺขเว, อาทิตฺตํ, รูปา อาทิตฺตา’’ติ เอวมาทินา สํขิตฺตสฺส วิตฺถาราภิธาเนน สกิํ วุตฺตสฺส ปุนปิ อภิธาเนน วิตฺถาเรตฺวา เทสนํ วิวรณํ นามฯ ‘‘กุสลา ธมฺมา’’ติ สเงฺขเปน นิกฺขิตฺตสฺส ‘‘กตเม ธมฺมา กุสลา? ยสฺมิํ สมเย กามาวจรํ กุสลํ จิตฺตํ อุปฺปนฺนํ โหตี’’ติ นิเทฺทสวเสน วิวริเต กุสเล ธเมฺม ‘‘ตสฺมิํ สมเย ผโสฺส โหติ เวทนา โหตี’’ติ วิภาคกรณํ วิภชนํ นามฯ วิวฎสฺส วิตฺถาราภิธาเนน วิภตฺตสฺส จ อุปมาภิธาเนน อุตฺตานิํ กโรตีติ วิวรเณน วิวริตตฺถสฺส ‘‘กตโม ตสฺมิํ สมเย ผโสฺส โหติ? โย ตสฺมิํ สมเย ผโสฺส ผุสนา สํผุสนา’’ติ อติวิวริตฺวา กถนํ, วิภชเนน วิภตฺตสฺส ‘‘เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, คาวี นิจฺจมฺมา, เอวเมว ขฺวายํ ภิกฺขเว ผสฺสาหาโร ทฎฺฐโพฺพติ วทามี’’ติ เอวมาทิอุปมากถนญฺจ อุตฺตานีกรณํ นามฯ ธมฺมํ สุณนฺตานํ ธมฺมเทสเนน วิจิเตฺตน อเนกวิเธน โสมนสฺสสฺส อุปฺปาทนํ อติขิณพุทฺธีนํ อเนกวิเธน ญาณติขิณกรณญฺจ ปญฺญตฺติ นาม โสตูนํ จิตฺตโตสเนน จิตฺตนิสาเนน จ ปญฺญาปนํ ปญฺญตฺตีติ กตฺวาฯ อตฺถปทสมาโยคโต สาตฺถนฺติ ปริยตฺติอตฺถสฺส สงฺกาสนาทิอตฺถปทรูปตฺตา ยถาวุตฺตฉอตฺถปทสมาโยคโต สาตฺถํฯ สงฺกาสนปกาสนาทโย หิ อตฺถาการตฺตา ‘‘อตฺถปทานี’’ติ วุจฺจนฺติฯ อโตฺถเยว หิ พฺยญฺชนปเทหิ สงฺกาสียติ ปกาสียติ วิวรียติ วิภชียติ อุตฺตานี กรียติ ปญฺญาปียติฯ
Atha vā ‘‘sabbaṃ, bhikkhave, āditta’’nti evaṃ paṭhamaṃ dīpitamatthaṃ puna pākaṭaṃ katvā dīpanena ‘‘kiñca, bhikkhave, sabbaṃ ādittaṃ? Cakkhu, bhikkhave, ādittaṃ, rūpā ādittā’’ti evamādinā saṃkhittassa vitthārābhidhānena sakiṃ vuttassa punapi abhidhānena vitthāretvā desanaṃ vivaraṇaṃ nāma. ‘‘Kusalā dhammā’’ti saṅkhepena nikkhittassa ‘‘katame dhammā kusalā? Yasmiṃ samaye kāmāvacaraṃ kusalaṃ cittaṃ uppannaṃ hotī’’ti niddesavasena vivarite kusale dhamme ‘‘tasmiṃ samaye phasso hoti vedanā hotī’’ti vibhāgakaraṇaṃ vibhajanaṃ nāma. Vivaṭassa vitthārābhidhānena vibhattassa ca upamābhidhānena uttāniṃ karotīti vivaraṇena vivaritatthassa ‘‘katamo tasmiṃ samaye phasso hoti? Yo tasmiṃ samaye phasso phusanā saṃphusanā’’ti ativivaritvā kathanaṃ, vibhajanena vibhattassa ‘‘seyyathāpi, bhikkhave, gāvī niccammā, evameva khvāyaṃ bhikkhave phassāhāro daṭṭhabboti vadāmī’’ti evamādiupamākathanañca uttānīkaraṇaṃ nāma. Dhammaṃ suṇantānaṃ dhammadesanena vicittena anekavidhena somanassassa uppādanaṃ atikhiṇabuddhīnaṃ anekavidhena ñāṇatikhiṇakaraṇañca paññatti nāma sotūnaṃ cittatosanena cittanisānena ca paññāpanaṃ paññattīti katvā. Atthapadasamāyogato sātthanti pariyattiatthassa saṅkāsanādiatthapadarūpattā yathāvuttachaatthapadasamāyogato sātthaṃ. Saṅkāsanapakāsanādayo hi atthākārattā ‘‘atthapadānī’’ti vuccanti. Atthoyeva hi byañjanapadehi saṅkāsīyati pakāsīyati vivarīyati vibhajīyati uttānī karīyati paññāpīyati.
อกฺขรปทพฺยญฺชนาการนิรุตฺตินิเทฺทสสมฺปตฺติยาติ เอตฺถ ‘‘สฎฺฐิ วสฺสสหสฺสานี’’ติ เอวมาทีสุ ส-การ ทุ-การ โส-การาทิ วิย อุจฺจารณเวลาย อปริโยสิเต ปเท วโณฺณ อกฺขรํ ปริยายวเสน อกฺขรณโต อเววจนโตฯ น หิ วณฺณสฺส ปริยาโย วิชฺชติฯ ยถา หิ ปทํ สเววจนตาย อตฺถวเสน ปริยายํ จรนฺตํ สญฺจรนฺตํ วิย โหติ, น เอวํ วโณฺณ อเววจนตฺตาฯ เอกกฺขรํ วา ปทํ อกฺขรํ ‘‘มา เอวํ กิร ต’’นฺติอาทีสุ มา-การาทโย วิยฯ เกจิ ปน ‘‘ตีสุ ทฺวาเรสุ ปริสุทฺธปโยคภาเวน วิสุทฺธกรณฎฺฐานานํ จิเตฺตน ปวตฺติตเทสนาวาจาหิ อกฺขรณโต อเววจนโต อกถิตตฺตา อกฺขรนฺติ สญฺญิตาฯ ตํ ปารายนิกพฺราหฺมณานํ มนสา ปุจฺฉิตปญฺหานํ วเสน ภควตา รตนฆเร นิสีทิตฺวา สมฺมสิตปฎฺฐานมหาปกรณวเสน จ คเหตพฺพ’’นฺติ วทนฺติฯ วิภตฺติยนฺตํ อตฺถสฺส ญาปนโต ปทํฯ ปชฺชติ อโตฺถ เอเตนาติ หิ ปทํฯ ตํ นามปทํ อาขฺยาตปทํ อุปสคฺคปทํ นิปาตปทนฺติ จตุพฺพิธํฯ ตตฺถ ผโสฺส เวทนา จิตฺตนฺติ เอวมาทิกํ ทพฺพปธานํ นามปทํฯ นามปเทหิ ทพฺพมาวิภูตรูปํ, กิริยา อนาวิภูตรูปาฯ ผุสติ เวทยติ วิชานาตีติ เอวมาทิกํ กิริยาปธานํ อาขฺยาตปทํฯ อาขฺยาตปเทหิ กิริยา อาวิภูตรูปา, ทพฺพมนาวิภูตรูปํฯ ยถา ‘‘จิรปฺปวาสิ’’นฺติ เอตฺถ ป-สโทฺท วสนกิริยาย วิโยควิสิฎฺฐตํ ทีเปติ, เอวํ กิริยาวิเสสทีปนโต กิริยาวิเสสาวโพธนิมิตฺตํฯ ป-อิติ เอวมาทิกํ อุปสคฺคปทํฯ กิริยาย ทพฺพสฺส จ สรูปวิเสสปฺปกาสนเหตุภูตํ เอวนฺติ เอวมาทิกํ นิปาตปทํฯ ‘‘เอวํ มนสิ กโรถ, มา เอวํ มนสากตฺถา’’ติอาทีสุ หิ กิริยาวิเสสทีปนโต กิริยาวิเสสสฺส โชตโก เอวํสโทฺท, ‘‘เอวํสีลา เอวํธมฺมา’’ติอาทีสุ ทพฺพวิเสสสฺสฯ สเงฺขปโต วุตฺตํ ปทาภิหิตํ อตฺถํ พฺยเญฺชตีติ พฺยญฺชนํ, วากฺยํฯ ‘‘จตฺตาโร อิทฺธิปาทา’’ติ สเงฺขเปน กถิตมตฺถํ ‘‘กตเม จตฺตาโร? อิธ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ ฉนฺทสมาธิปธานสงฺขารสมนฺนาคตํ อิทฺธิปาทํ ภาเวติ, วีริย, จิตฺต, วีมํสสมาธิปธานสงฺขารสมนฺนาคตํ อิทฺธิปาทํ ภาเวตี’’ติอาทินา ปากฎํ กโรตีติ วากฺยเมว พฺยญฺชนํ, ตํ ปน อตฺถโต ปทสมุทาโยติ ทฎฺฐพฺพํฯ สอาขฺยาตํ สนิปาตํ สการกํ สวิเสสนํ วากฺยนฺติ หิ วทนฺติฯ นนุ จ ปเทนปิ อโตฺถ พฺยญฺชียตีติ ปทมฺปิ พฺยญฺชนนฺติ อาปชฺชตีติ? ตํ นฯ ปทมตฺตสวเนปิ หิ อธิการาทิวเสน ลพฺภมาเนหิ ปทนฺตเรหิ อนุสนฺธานํ กตฺวาว อตฺถสมฺปฎิปตฺติ โหตีติ วากฺยเมว อตฺถํ พฺยญฺชยตีติฯ
Akkharapadabyañjanākāraniruttiniddesasampattiyāti ettha ‘‘saṭṭhi vassasahassānī’’ti evamādīsu sa-kāra du-kāra so-kārādi viya uccāraṇavelāya apariyosite pade vaṇṇo akkharaṃ pariyāyavasena akkharaṇato avevacanato. Na hi vaṇṇassa pariyāyo vijjati. Yathā hi padaṃ savevacanatāya atthavasena pariyāyaṃ carantaṃ sañcarantaṃ viya hoti, na evaṃ vaṇṇo avevacanattā. Ekakkharaṃ vā padaṃ akkharaṃ ‘‘mā evaṃ kira ta’’ntiādīsu mā-kārādayo viya. Keci pana ‘‘tīsu dvāresu parisuddhapayogabhāvena visuddhakaraṇaṭṭhānānaṃ cittena pavattitadesanāvācāhi akkharaṇato avevacanato akathitattā akkharanti saññitā. Taṃ pārāyanikabrāhmaṇānaṃ manasā pucchitapañhānaṃ vasena bhagavatā ratanaghare nisīditvā sammasitapaṭṭhānamahāpakaraṇavasena ca gahetabba’’nti vadanti. Vibhattiyantaṃ atthassa ñāpanato padaṃ. Pajjati attho etenāti hi padaṃ. Taṃ nāmapadaṃ ākhyātapadaṃ upasaggapadaṃ nipātapadanti catubbidhaṃ. Tattha phasso vedanā cittanti evamādikaṃ dabbapadhānaṃ nāmapadaṃ. Nāmapadehi dabbamāvibhūtarūpaṃ, kiriyā anāvibhūtarūpā. Phusati vedayati vijānātīti evamādikaṃ kiriyāpadhānaṃ ākhyātapadaṃ. Ākhyātapadehi kiriyā āvibhūtarūpā, dabbamanāvibhūtarūpaṃ. Yathā ‘‘cirappavāsi’’nti ettha pa-saddo vasanakiriyāya viyogavisiṭṭhataṃ dīpeti, evaṃ kiriyāvisesadīpanato kiriyāvisesāvabodhanimittaṃ. Pa-iti evamādikaṃ upasaggapadaṃ. Kiriyāya dabbassa ca sarūpavisesappakāsanahetubhūtaṃ evanti evamādikaṃ nipātapadaṃ. ‘‘Evaṃ manasi karotha, mā evaṃ manasākatthā’’tiādīsu hi kiriyāvisesadīpanato kiriyāvisesassa jotako evaṃsaddo, ‘‘evaṃsīlā evaṃdhammā’’tiādīsu dabbavisesassa. Saṅkhepato vuttaṃ padābhihitaṃ atthaṃ byañjetīti byañjanaṃ, vākyaṃ. ‘‘Cattāro iddhipādā’’ti saṅkhepena kathitamatthaṃ ‘‘katame cattāro? Idha, bhikkhave, bhikkhu chandasamādhipadhānasaṅkhārasamannāgataṃ iddhipādaṃ bhāveti, vīriya, citta, vīmaṃsasamādhipadhānasaṅkhārasamannāgataṃ iddhipādaṃ bhāvetī’’tiādinā pākaṭaṃ karotīti vākyameva byañjanaṃ, taṃ pana atthato padasamudāyoti daṭṭhabbaṃ. Saākhyātaṃ sanipātaṃ sakārakaṃ savisesanaṃ vākyanti hi vadanti. Nanu ca padenapi attho byañjīyatīti padampi byañjananti āpajjatīti? Taṃ na. Padamattasavanepi hi adhikārādivasena labbhamānehi padantarehi anusandhānaṃ katvāva atthasampaṭipatti hotīti vākyameva atthaṃ byañjayatīti.
ปการโต วากฺยวิภาโค อากาโรฯ ‘‘ตตฺถ กตโม ฉโนฺท? โย ฉโนฺท ฉนฺทิกตา กตฺตุกมฺยตา’’ติ เอวมาทีสุ กถิตเสฺสว วากฺยสฺส อเนกวิเธน วิภาคกรณํ อากาโร นามฯ อาการาภิหิตํ นิพฺพจนํ นิรุตฺติฯ ‘‘ผโสฺส เวทนา’’ติ เอวมาทีสุ อากาเรน กถิตํ ‘‘ผุสตีติ ผโสฺส, เวทยตีติ เวทนา’’ติ นีหริตฺวา วิตฺถารวจนํ นิรุตฺติ นามฯ ‘‘นิพฺพานํ มคฺคติ, นิพฺพานตฺถิเกหิ วา มคฺคียติ, กิเลเส วา มาเรโนฺต คจฺฉตีติ มโคฺค’’ติอาทินา นิพฺพจนวิตฺถาโร นิรวเสสเทสนตฺตา นิเทฺทโสฯ อถ วา เวทยตีติ เวทนาติ นิพฺพจนลทฺธปเทสุ สุขทุกฺขอทุกฺขมสุขาสุ สุขยตีติ สุขา, ทุกฺขยตีติ ทุกฺขา, เนว ทุกฺขยติ น สุขยตีติ อทุกฺขมสุขาติ อตฺถวิตฺถาโร นิรวเสเสน กถิตตฺตา นิเทฺทโส นามฯ เอเตสํ อกฺขราทีนํ พฺยญฺชนปทานํ สมฺปตฺติยา สมฺปนฺนตาย สพฺยญฺชนํฯ
Pakārato vākyavibhāgo ākāro. ‘‘Tattha katamo chando? Yo chando chandikatā kattukamyatā’’ti evamādīsu kathitasseva vākyassa anekavidhena vibhāgakaraṇaṃ ākāro nāma. Ākārābhihitaṃ nibbacanaṃ nirutti. ‘‘Phasso vedanā’’ti evamādīsu ākārena kathitaṃ ‘‘phusatīti phasso, vedayatīti vedanā’’ti nīharitvā vitthāravacanaṃ nirutti nāma. ‘‘Nibbānaṃ maggati, nibbānatthikehi vā maggīyati, kilese vā mārento gacchatīti maggo’’tiādinā nibbacanavitthāro niravasesadesanattā niddeso. Atha vā vedayatīti vedanāti nibbacanaladdhapadesu sukhadukkhaadukkhamasukhāsu sukhayatīti sukhā, dukkhayatīti dukkhā, neva dukkhayati na sukhayatīti adukkhamasukhāti atthavitthāro niravasesena kathitattā niddeso nāma. Etesaṃ akkharādīnaṃ byañjanapadānaṃ sampattiyā sampannatāya sabyañjanaṃ.
เอวํ ปนสฺส อตฺถปทสมาโยโค พฺยญฺชนปทสมฺปตฺติ จ เวทิตพฺพาฯ ตตฺถ ภควา อกฺขเรหิ สงฺกาเสติ, ปเทหิ ปกาเสติ, พฺยญฺชเนหิ วิวรติ, อากาเรหิ วิภชติ, นิรุตฺตีหิ อุตฺตานิํ กโรติ, นิเทฺทเสหิ ปญฺญเปติฯ ตถา หิ ปทาวยวคฺคหณมุเขน ปทคฺคหณํ, คหิเตน จ ปเทน ปทตฺถาวโพโธ คหิตปุพฺพสเงฺกตสฺส โหตีติ ภควา อกฺขเรหิ สงฺกาเสติฯ ยสฺมา ปน อกฺขเรหิ สํขิเตฺตน ทีปิยมาโน อโตฺถ ปทปริโยสาเน วากฺยสฺส อปริโยสิตตฺตา ปเทน ปฐมํ ปกาสิโต ทีปิโต โหติ, ตสฺมา ปเทหิ ปกาเสติฯ วากฺยปริโยสาเน ปน โส อโตฺถ วิวริโต วิวโฎ กโต โหตีติ พฺยญฺชเนหิ วิวรติฯ ยสฺมา จ ปกาเรหิ วากฺยเภเท กเต ตทโตฺถ วิภโตฺต นาม โหติ, ตสฺมา อากาเรหิ วิภชติฯ ตถา วากฺยาวยวานํ ปเจฺจกํ นิพฺพจนวิภาเค กเต โส อโตฺถ ปากโฎ โหตีติ นิรุตฺตีหิ อุตฺตานิํ กโรติฯ กตนิพฺพจเนหิ ปน วากฺยาวยเวหิ วิตฺถารวเสน นิรวเสสโต เทสิเตหิ เวเนยฺยานํ จิตฺตปริโตสนํ พุทฺธินิสานญฺจ กตํ โหตีติ นิเทฺทเสหิ ปญฺญเปติฯ อปิจ ภควา อกฺขเรหิ อุคฺฆเฎตฺวา ปเทหิ วิเนติ อุคฺฆฎิตญฺญุํ, พฺยญฺชเนหิ วิปเญฺจตฺวา อากาเรหิ วิเนติ วิปญฺจิตญฺญุํ, นิรุตฺตีหิ เนตฺวา นิเทฺทเสหิ วิเนติ เนยฺยํฯ เอวญฺจายํ ธโมฺม อุคฺฆฎิยมาโน อุคฺฆฎิตญฺญุํ วิเนติ, วิปญฺจิยมาโน วิปญฺจิตญฺญุํ, นียมาโน เนยฺยํฯ ตตฺถ อุคฺฆฎนา อาทิ, วิปญฺจนา มเชฺฌ, นยนํ อเนฺตฯ เอวํ ตีสุ กาเลสุ ติธา เทสิโต โทสตฺตยวิธมโน คุณตฺตยาวโห ติวิธวิเนยฺยวินยโนติ เอวมฺปิ ติวิธกลฺยาโณยํ ธโมฺม อตฺถพฺยญฺชนปาริปูริยา สาโตฺถ สพฺยญฺชโนติ เวทิตโพฺพฯ วุตฺตเญฺหตํ เนตฺติปกรเณ (เนตฺติ. ๙) –
Evaṃ panassa atthapadasamāyogo byañjanapadasampatti ca veditabbā. Tattha bhagavā akkharehi saṅkāseti, padehi pakāseti, byañjanehi vivarati, ākārehi vibhajati, niruttīhi uttāniṃ karoti, niddesehi paññapeti. Tathā hi padāvayavaggahaṇamukhena padaggahaṇaṃ, gahitena ca padena padatthāvabodho gahitapubbasaṅketassa hotīti bhagavā akkharehi saṅkāseti. Yasmā pana akkharehi saṃkhittena dīpiyamāno attho padapariyosāne vākyassa apariyositattā padena paṭhamaṃ pakāsito dīpito hoti, tasmā padehi pakāseti. Vākyapariyosāne pana so attho vivarito vivaṭo kato hotīti byañjanehi vivarati. Yasmā ca pakārehi vākyabhede kate tadattho vibhatto nāma hoti, tasmā ākārehi vibhajati. Tathā vākyāvayavānaṃ paccekaṃ nibbacanavibhāge kate so attho pākaṭo hotīti niruttīhi uttāniṃ karoti. Katanibbacanehi pana vākyāvayavehi vitthāravasena niravasesato desitehi veneyyānaṃ cittaparitosanaṃ buddhinisānañca kataṃ hotīti niddesehi paññapeti. Apica bhagavā akkharehi ugghaṭetvā padehi vineti ugghaṭitaññuṃ, byañjanehi vipañcetvā ākārehi vineti vipañcitaññuṃ, niruttīhi netvā niddesehi vineti neyyaṃ. Evañcāyaṃ dhammo ugghaṭiyamāno ugghaṭitaññuṃ vineti, vipañciyamāno vipañcitaññuṃ, nīyamāno neyyaṃ. Tattha ugghaṭanā ādi, vipañcanā majjhe, nayanaṃ ante. Evaṃ tīsu kālesu tidhā desito dosattayavidhamano guṇattayāvaho tividhavineyyavinayanoti evampi tividhakalyāṇoyaṃ dhammo atthabyañjanapāripūriyā sāttho sabyañjanoti veditabbo. Vuttañhetaṃ nettipakaraṇe (netti. 9) –
‘‘ตตฺถ ภควา อกฺขเรหิ สงฺกาเสติ, ปเทหิ ปกาเสติ, พฺยญฺชเนหิ วิวรติ, อากาเรหิ วิภชติ, นิรุตฺตีหิ อุตฺตานิํ กโรติ, นิเทฺทเสหิ ปญฺญเปติฯ ตตฺถ ภควา อกฺขเรหิ จ ปเทหิ จ อุคฺฆเฎติ, พฺยญฺชเนหิ จ อากาเรหิ จ วิปเญฺจติ, นิรุตฺตีหิ จ นิเทฺทเสหิ จ วิตฺถาเรติฯ ตตฺถ อุคฺฆฎนา อาทิ, วิปญฺจนา มเชฺฌ, วิตฺถารนา ปริโยสานํฯ โสยํ ธมฺมวินโย อุคฺฆฎิยโนฺต อุคฺฆฎิตญฺญุํ ปุคฺคลํ วิเนติ, เตน นํ อาหุ อาทิกลฺยาโณติฯ วิปญฺจิยโนฺต วิปญฺจิตญฺญุํ ปุคฺคลํ วิเนติ, เตน นํ อาหุ มเชฺฌกลฺยาโณติฯ วิตฺถาริยโนฺต เนยฺยํ ปุคฺคลํ วิเนติ, เตน นํ อาหุ ปริโยสานกลฺยาโณตี’’ติฯ
‘‘Tattha bhagavā akkharehi saṅkāseti, padehi pakāseti, byañjanehi vivarati, ākārehi vibhajati, niruttīhi uttāniṃ karoti, niddesehi paññapeti. Tattha bhagavā akkharehi ca padehi ca ugghaṭeti, byañjanehi ca ākārehi ca vipañceti, niruttīhi ca niddesehi ca vitthāreti. Tattha ugghaṭanā ādi, vipañcanā majjhe, vitthāranā pariyosānaṃ. Soyaṃ dhammavinayo ugghaṭiyanto ugghaṭitaññuṃ puggalaṃ vineti, tena naṃ āhu ādikalyāṇoti. Vipañciyanto vipañcitaññuṃ puggalaṃ vineti, tena naṃ āhu majjhekalyāṇoti. Vitthāriyanto neyyaṃ puggalaṃ vineti, tena naṃ āhu pariyosānakalyāṇotī’’ti.
อตฺถคมฺภีรตาติอาทีสุ อโตฺถ นาม ตนฺติอโตฺถฯ ธโมฺม ตนฺติฯ ปฎิเวโธ ตนฺติยา ตนฺติอตฺถสฺส จ ยถาภูตาวโพโธฯ เทสนา นาม มนสา ววตฺถาปิตาย ตนฺติยา เทสนาฯ เต ปเนเต อตฺถาทโย ยสฺมา สสาทีหิ วิย มหาสมุโทฺท มนฺทพุทฺธีหิ ทุโกฺขคาหา อลพฺภเนยฺยปติฎฺฐา จ, ตสฺมา คมฺภีราฯ อถ วา อโตฺถ นาม เหตุผลํฯ ธโมฺม เหตุฯ เทสนา ปญฺญตฺติ, ยถาธมฺมํ ธมฺมาภิลาโปฯ อนุโลมปฎิโลมสเงฺขปวิตฺถาราทิวเสน วา กถนํฯ ปฎิเวโธ อภิสมโย, อตฺถานุรูปํ ธเมฺมสุ, ธมฺมานุรูปํ อเตฺถสุ, ปญฺญตฺติปถานุรูปํ ปญฺญตฺตีสุ อวโพโธฯ เตสํ เตสํ วา ธมฺมานํ ปฎิวิชฺฌิตโพฺพ ลกฺขณสงฺขาโต อวิปรีตสภาโวฯ เตปิ เจเต อตฺถาทโย ยสฺมา อนุปจิตกุสลสมฺภาเรหิ ทุปฺปเญฺญหิ สสาทีหิ วิย มหาสมุโทฺท ทุโกฺขคาหา อลพฺภเนยฺยปติฎฺฐา จ, ตสฺมา คมฺภีราฯ เตสุ ปฎิเวธสฺสปิ อตฺถสนฺนิสฺสิตตฺตา วุตฺตํ ‘‘อตฺถคมฺภีรตาปฎิเวธคมฺภีรตาหิ สาตฺถ’’นฺติ อตฺถคุณทีปนโตฯ ตาสํ ธมฺมเทสนานํ พฺยญฺชนสนฺนิสฺสิตตฺตา วุตฺตํ ‘‘ธมฺมคมฺภีรตาเทสนาคมฺภีรตาหิ สพฺยญฺชน’’นฺติ ตาสํ พฺยญฺชนสมฺปตฺติทีปนโตฯ อเตฺถสุ ปเภทคตํ ญาณํ อตฺถปฎิสมฺภิทา, อตฺถธมฺมนิรุตฺติปฎิสมฺภิทาสุ ปเภทคตํ ญาณํ ปฎิภานปฎิสมฺภิทาติ อิมิสฺสาปิ ปฎิสมฺภิทาย อตฺถวิสยตฺตา อาห ‘‘อตฺถปฎิภานปฎิสมฺภิทาวิสยโต สาตฺถ’’นฺติ อตฺถสมฺปตฺติยา อสติ ตทภาวโตฯ ธโมฺมติ ตนฺติฯ นิรุตฺตีติ ตนฺติปทานํ นิทฺธาเรตฺวา วจนํฯ ตตฺถ ปเภทคตานิ ญาณานิ ธมฺมนิรุตฺติปฎิสมฺภิทาติ อาห ‘‘ธมฺมนิรุตฺติปฎิสมฺภิทาวิสยโต สพฺยญฺชน’’นฺติ อสติ พฺยญฺชนสมฺปตฺติยา ตทภาวโตฯ
Atthagambhīratātiādīsu attho nāma tantiattho. Dhammo tanti. Paṭivedho tantiyā tantiatthassa ca yathābhūtāvabodho. Desanā nāma manasā vavatthāpitāya tantiyā desanā. Te panete atthādayo yasmā sasādīhi viya mahāsamuddo mandabuddhīhi dukkhogāhā alabbhaneyyapatiṭṭhā ca, tasmā gambhīrā. Atha vā attho nāma hetuphalaṃ. Dhammo hetu. Desanā paññatti, yathādhammaṃ dhammābhilāpo. Anulomapaṭilomasaṅkhepavitthārādivasena vā kathanaṃ. Paṭivedho abhisamayo, atthānurūpaṃ dhammesu, dhammānurūpaṃ atthesu, paññattipathānurūpaṃ paññattīsu avabodho. Tesaṃ tesaṃ vā dhammānaṃ paṭivijjhitabbo lakkhaṇasaṅkhāto aviparītasabhāvo. Tepi cete atthādayo yasmā anupacitakusalasambhārehi duppaññehi sasādīhi viya mahāsamuddo dukkhogāhā alabbhaneyyapatiṭṭhā ca, tasmā gambhīrā. Tesu paṭivedhassapi atthasannissitattā vuttaṃ ‘‘atthagambhīratāpaṭivedhagambhīratāhi sāttha’’nti atthaguṇadīpanato. Tāsaṃ dhammadesanānaṃ byañjanasannissitattā vuttaṃ ‘‘dhammagambhīratādesanāgambhīratāhi sabyañjana’’nti tāsaṃ byañjanasampattidīpanato. Atthesu pabhedagataṃ ñāṇaṃ atthapaṭisambhidā, atthadhammaniruttipaṭisambhidāsu pabhedagataṃ ñāṇaṃ paṭibhānapaṭisambhidāti imissāpi paṭisambhidāya atthavisayattā āha ‘‘atthapaṭibhānapaṭisambhidāvisayato sāttha’’nti atthasampattiyā asati tadabhāvato. Dhammoti tanti. Niruttīti tantipadānaṃ niddhāretvā vacanaṃ. Tattha pabhedagatāni ñāṇāni dhammaniruttipaṭisambhidāti āha ‘‘dhammaniruttipaṭisambhidāvisayato sabyañjana’’nti asati byañjanasampattiyā tadabhāvato.
ปริกฺขกชนปฺปสาทกนฺตีติ เอตฺถ อิติ-สโทฺท เหตุอโตฺถฯ ยสฺมา ปริกฺขกชนานํ กิํกุสลคเวสีนํ ปสาทาวหํ, ตสฺมา สาตฺถํฯ อตฺถสมฺปนฺนนฺติ ผเลน เหตุโน อนุมานํ นทีปูเรน วิย อุปริ วุฎฺฐิปวตฺติยาฯ สาตฺถกตา ปนสฺส ปณฺฑิตเวทนียตาย, สา ปรมคมฺภีรสณฺหสุขุมภาวโต เวทิตพฺพาฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘คมฺภีโร ทุทฺทโส’’ติอาทิฯ โลกิยชนปฺปสาทกนฺติ สพฺยญฺชนนฺติ ยสฺมา โลกิยชนสฺส ปสาทาวหํ, ตสฺมา สพฺยญฺชนํฯ โลกิยชโน หิ พฺยญฺชนสมฺปตฺติยา ตุสฺสติฯ อิธาปิ ผเลน เหตุโน อนุมานํฯ สพฺยญฺชนตา ปนสฺส สเทฺธยฺยตาย, สา อาทิกลฺยาณาทิภาวโต เวทิตพฺพาฯ อถ วา ปณฺฑิตเวทนียโต สาตฺถนฺติ ปญฺญาปทฎฺฐานตาย อตฺถสมฺปนฺนตํ อาห, ตโต ปริกฺขกชนปฺปสาทกํ สเทฺธยฺยโต สพฺยญฺชนนฺติ สทฺธาปทฎฺฐานตาย พฺยญฺชนสมฺปนฺนตํ, ตโต โลกิยชนปฺปสาทตนฺติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ คมฺภีราธิปฺปายโต สาตฺถนฺติ อธิปฺปายโต อคาธาปารตาย อตฺถสมฺปนฺนํ อญฺญถา ตทภาวโตฯ อุตฺตานปทโต สพฺยญฺชนนฺติ สุโพธสทฺทกตาย พฺยญฺชนสมฺปนฺนํ ปรมคมฺภีรสฺสปิ อตฺถสฺส วิเนยฺยานํ สุวิเญฺญยฺยภาวาปาทนโตฯ สโพฺพเปส อตฺถสมฺปตฺติยา สาตฺถํ, พฺยญฺชนสมฺปตฺติยา สพฺยญฺชนนฺติ สพฺพปฐมํ วุตฺตเสฺสว อตฺถทฺวยสฺส ปปโญฺจติ ทฎฺฐโพฺพฯ ตถา เจว ตตฺถ ตตฺถ สํวณฺณิตํฯ ตถา เหตฺถ วิกปฺปสฺส สมุจฺจยสฺส วา อคฺคหณํฯ อุปเนตพฺพสฺส อภาวโตติ ปกฺขิปิตพฺพสฺส โวทานตฺถสฺส อวุตฺตสฺส อภาวโตฯ เกวลสโทฺท สกลาธิวจนนฺติ อาห ‘‘สกลปริปุณฺณภาเวนา’’ติ , สพฺพภาเคหิ ปริปุณฺณตายาติ อโตฺถฯ อปเนตพฺพสฺสาติ สํกิเลสธมฺมสฺสฯ
Parikkhakajanappasādakantīti ettha iti-saddo hetuattho. Yasmā parikkhakajanānaṃ kiṃkusalagavesīnaṃ pasādāvahaṃ, tasmā sātthaṃ. Atthasampannanti phalena hetuno anumānaṃ nadīpūrena viya upari vuṭṭhipavattiyā. Sātthakatā panassa paṇḍitavedanīyatāya, sā paramagambhīrasaṇhasukhumabhāvato veditabbā. Vuttañhetaṃ ‘‘gambhīro duddaso’’tiādi. Lokiyajanappasādakanti sabyañjananti yasmā lokiyajanassa pasādāvahaṃ, tasmā sabyañjanaṃ. Lokiyajano hi byañjanasampattiyā tussati. Idhāpi phalena hetuno anumānaṃ. Sabyañjanatā panassa saddheyyatāya, sā ādikalyāṇādibhāvato veditabbā. Atha vā paṇḍitavedanīyato sātthanti paññāpadaṭṭhānatāya atthasampannataṃ āha, tato parikkhakajanappasādakaṃ saddheyyato sabyañjananti saddhāpadaṭṭhānatāya byañjanasampannataṃ, tato lokiyajanappasādatanti evamettha attho daṭṭhabbo. Gambhīrādhippāyato sātthanti adhippāyato agādhāpāratāya atthasampannaṃ aññathā tadabhāvato. Uttānapadato sabyañjananti subodhasaddakatāya byañjanasampannaṃ paramagambhīrassapi atthassa vineyyānaṃ suviññeyyabhāvāpādanato. Sabbopesa atthasampattiyā sātthaṃ, byañjanasampattiyā sabyañjananti sabbapaṭhamaṃ vuttasseva atthadvayassa papañcoti daṭṭhabbo. Tathā ceva tattha tattha saṃvaṇṇitaṃ. Tathā hettha vikappassa samuccayassa vā aggahaṇaṃ. Upanetabbassa abhāvatoti pakkhipitabbassa vodānatthassa avuttassa abhāvato. Kevalasaddo sakalādhivacananti āha ‘‘sakalaparipuṇṇabhāvenā’’ti , sabbabhāgehi paripuṇṇatāyāti attho. Apanetabbassāti saṃkilesadhammassa.
พฺรหฺมจริยํ ปกาเสตีติ เอตฺถ ปน อยํ พฺรหฺมจริย-สโทฺท ทาเน เวยฺยาวเจฺจ ปญฺจสิกฺขาปทสีเล อปฺปมญฺญาสุ เมถุนวิรติยํ สทารสโนฺตเส วีริเย อุโปสถเงฺคสุ อริยมเคฺค สาสเนติ อิเมสุ อเตฺถสุ ทิสฺสติฯ
Brahmacariyaṃ pakāsetīti ettha pana ayaṃ brahmacariya-saddo dāne veyyāvacce pañcasikkhāpadasīle appamaññāsu methunaviratiyaṃ sadārasantose vīriye uposathaṅgesu ariyamagge sāsaneti imesu atthesu dissati.
‘‘กิํ เต วตํ กิํ ปน พฺรหฺมจริยํ,
‘‘Kiṃ te vataṃ kiṃ pana brahmacariyaṃ,
กิสฺส สุจิณฺณสฺส อยํ วิปาโก;
Kissa suciṇṇassa ayaṃ vipāko;
อิทฺธี ชุตี พลวีริยูปปตฺติ,
Iddhī jutī balavīriyūpapatti,
อิทญฺจ เต นาคมหาวิมานํฯ
Idañca te nāgamahāvimānaṃ.
‘‘อหญฺจ ภริยา จ มนุสฺสโลเก,
‘‘Ahañca bhariyā ca manussaloke,
สทฺธา อุโภ ทานปตี อหุมฺหา;
Saddhā ubho dānapatī ahumhā;
โอปานภูตํ เม ฆรํ ตทาสิ,
Opānabhūtaṃ me gharaṃ tadāsi,
สนฺตปฺปิตา สมณพฺราหฺมณา จฯ
Santappitā samaṇabrāhmaṇā ca.
‘‘ตํ เม วตํ ตํ ปน พฺรหฺมจริยํ,
‘‘Taṃ me vataṃ taṃ pana brahmacariyaṃ,
ตสฺส สุจิณฺณสฺส อยํ วิปาโก;
Tassa suciṇṇassa ayaṃ vipāko;
อิทฺธี ชุตี พลวีริยูปปตฺติ,
Iddhī jutī balavīriyūpapatti,
อิทญฺจ เม ธีร มหาวิมาน’’นฺติฯ –
Idañca me dhīra mahāvimāna’’nti. –
อิมสฺมิญฺหิ ปุณฺณกชาตเก (ชา. ๒.๒๒.๑๕๙๒-๑๕๙๓, ๑๕๙๕) ทานํ ‘‘พฺรหฺมจริย’’นฺติ วุตฺตํฯ
Imasmiñhi puṇṇakajātake (jā. 2.22.1592-1593, 1595) dānaṃ ‘‘brahmacariya’’nti vuttaṃ.
‘‘เกน ปาณิ กามทโท, เกน ปาณิ มธุสฺสโว;
‘‘Kena pāṇi kāmadado, kena pāṇi madhussavo;
เกน เต พฺรหฺมจริเยน, ปุญฺญํ ปาณิมฺหิ อิชฺฌติฯ
Kena te brahmacariyena, puññaṃ pāṇimhi ijjhati.
‘‘เตน ปาณิ กามทโท, เตน ปาณิ มธุสฺสโว;
‘‘Tena pāṇi kāmadado, tena pāṇi madhussavo;
เตน เม พฺรหฺมจริเยน, ปุญฺญํ ปาณิมฺหิ อิชฺฌตี’’ติฯ –
Tena me brahmacariyena, puññaṃ pāṇimhi ijjhatī’’ti. –
อิมสฺมิํ องฺกุรเปตวตฺถุมฺหิ (เป. ว. ๒๗๕, ๒๗๗) เวยฺยาวจฺจํ ‘‘พฺรหฺมจริย’’นฺติ วุตฺตํฯ ‘‘เอวํ โข ตํ ภิกฺขเว ติตฺติริยํ นาม พฺรหฺมจริยํ อโหสี’’ติ (จูฬว. ๓๑๑) อิมสฺมิํ ติตฺติรชาตเก ปญฺจสิกฺขาปทสีลํ ‘‘พฺรหฺมจริย’’นฺติ วุตฺตํฯ ‘‘ตํ โข ปน เม ปญฺจสิข พฺรหฺมจริยํ เนว นิพฺพิทาย น วิราคาย น นิโรธาย ยาวเทว พฺรหฺมโลกูปปตฺติยา’’ติ อิมสฺมิํ มหาโควินฺทสุเตฺต (ที. นิ. ๒.๓๒๙) จตโสฺส อปฺปมญฺญาโย ‘‘พฺรหฺมจริย’’นฺติ วุตฺตาฯ ‘‘ปเร อพฺรหฺมจารี ภวิสฺสนฺติ, มยเมตฺถ พฺรหฺมจารี ภวิสฺสามา’’ติ อิมสฺมิํ สเลฺลขสุเตฺต (ม. นิ. ๑.๘๓) เมถุนวิรติ ‘‘พฺรหฺมจริย’’นฺติ วุตฺตาฯ
Imasmiṃ aṅkurapetavatthumhi (pe. va. 275, 277) veyyāvaccaṃ ‘‘brahmacariya’’nti vuttaṃ. ‘‘Evaṃ kho taṃ bhikkhave tittiriyaṃ nāma brahmacariyaṃ ahosī’’ti (cūḷava. 311) imasmiṃ tittirajātake pañcasikkhāpadasīlaṃ ‘‘brahmacariya’’nti vuttaṃ. ‘‘Taṃ kho pana me pañcasikha brahmacariyaṃ neva nibbidāya na virāgāya na nirodhāya yāvadeva brahmalokūpapattiyā’’ti imasmiṃ mahāgovindasutte (dī. ni. 2.329) catasso appamaññāyo ‘‘brahmacariya’’nti vuttā. ‘‘Pare abrahmacārī bhavissanti, mayamettha brahmacārī bhavissāmā’’ti imasmiṃ sallekhasutte (ma. ni. 1.83) methunavirati ‘‘brahmacariya’’nti vuttā.
‘‘มยญฺจ ภริยา นาติกฺกมาม,
‘‘Mayañca bhariyā nātikkamāma,
อเมฺห จ ภริยา นาติกฺกมนฺติ;
Amhe ca bhariyā nātikkamanti;
อญฺญตฺร ตาหิ พฺรหฺมจริยํ จราม,
Aññatra tāhi brahmacariyaṃ carāma,
ตสฺมา หิ อมฺหํ ทหรา น มียเร’’ติฯ –
Tasmā hi amhaṃ daharā na mīyare’’ti. –
มหาธมฺมปาลชาตเก (ชา. ๑.๑๐.๙๗) สทารสโนฺตโส ‘‘พฺรหฺมจริย’’นฺติ วุโตฺตฯ ‘‘อภิชานามิ โข ปนาหํ, สาริปุตฺต, จตุรงฺคสมนฺนาคตํ พฺรหฺมจริยํ จริตา, ตปสฺสี สุทํ โหมี’’ติ โลมหํสนสุเตฺต (ม. นิ. ๑.๑๕๕) วีริยํ ‘‘พฺรหฺมจริย’’นฺติ วุตฺตํฯ
Mahādhammapālajātake (jā. 1.10.97) sadārasantoso ‘‘brahmacariya’’nti vutto. ‘‘Abhijānāmi kho panāhaṃ, sāriputta, caturaṅgasamannāgataṃ brahmacariyaṃ caritā, tapassī sudaṃ homī’’ti lomahaṃsanasutte (ma. ni. 1.155) vīriyaṃ ‘‘brahmacariya’’nti vuttaṃ.
‘‘หีเนน พฺรหฺมจริเยน, ขตฺติเย อุปปชฺชติ;
‘‘Hīnena brahmacariyena, khattiye upapajjati;
มชฺฌิเมน จ เทวตฺตํ, อุตฺตเมน วิสุชฺฌตี’’ติฯ –
Majjhimena ca devattaṃ, uttamena visujjhatī’’ti. –
เอวํ (ชา. ๒.๒๒.๔๒๙) นิมิชาตเก อตฺตทมนวเสน กโต อฎฺฐงฺคิโก อุโปสโถ ‘‘พฺรหฺมจริย’’นฺติ วุโตฺตฯ ‘‘อิทํ โข ปน เม, ปญฺจสิข, พฺรหฺมจริยํ เอกนฺตนิพฺพิทาย วิราคาย…เป.… อยเมว อริโย อฎฺฐงฺคิโก มโคฺค’’ติ มหาโควินฺทสุตฺตสฺมิํเยว (ที. นิ. ๒.๓๒๙) อริยมโคฺค ‘‘พฺรหฺมจริย’’นฺติ วุโตฺตฯ ‘‘ตยิทํ พฺรหฺมจริยํ อิทฺธเญฺจว ผีตญฺจ วิตฺถาริกํ พาหุชญฺญํ ปุถุภูตํ ยาวเทว มนุเสฺสหิ สุปฺปกาสิต’’นฺติ ปาสาทิกสุเตฺต (ที. นิ. ๓.๑๗๔) สิกฺขตฺตยสงฺคหํ สกลสาสนํ ‘‘พฺรหฺมจริย’’นฺติ วุตฺตํฯ อิมสฺมิมฺปิ ฐาเน อิทเมว ‘‘พฺรหฺมจริย’’นฺติ อธิเปฺปตนฺติ อาห ‘‘สิกฺขตฺตยปริคฺคหิตตฺตา’’ติอาทิฯ เสเฎฺฐหีติ พุทฺธาทีหิ เสเฎฺฐหิฯ เสฎฺฐเฎฺฐน พฺรหฺมภูตํ วา จริยํ พฺรหฺมจริยํฯ
Evaṃ (jā. 2.22.429) nimijātake attadamanavasena kato aṭṭhaṅgiko uposatho ‘‘brahmacariya’’nti vutto. ‘‘Idaṃ kho pana me, pañcasikha, brahmacariyaṃ ekantanibbidāya virāgāya…pe… ayameva ariyo aṭṭhaṅgiko maggo’’ti mahāgovindasuttasmiṃyeva (dī. ni. 2.329) ariyamaggo ‘‘brahmacariya’’nti vutto. ‘‘Tayidaṃ brahmacariyaṃ iddhañceva phītañca vitthārikaṃ bāhujaññaṃ puthubhūtaṃ yāvadeva manussehi suppakāsita’’nti pāsādikasutte (dī. ni. 3.174) sikkhattayasaṅgahaṃ sakalasāsanaṃ ‘‘brahmacariya’’nti vuttaṃ. Imasmimpi ṭhāne idameva ‘‘brahmacariya’’nti adhippetanti āha ‘‘sikkhattayapariggahitattā’’tiādi. Seṭṭhehīti buddhādīhi seṭṭhehi. Seṭṭhaṭṭhena brahmabhūtaṃ vā cariyaṃ brahmacariyaṃ.
สนิทานนฺติ เหฎฺฐา วุตฺตลกฺขเณน นิทาเนน สนิทานํฯ สอุปฺปตฺติกนฺติ สอฎฺฐุปฺปตฺติกํฯ เวเนยฺยานํ อนุรูปโตติ เวเนยฺยานํ จริยาทิอนุรูปโตฯ อตฺถสฺสาติ เทสิยมานสฺส สีลาทิอตฺถสฺสฯ เหตุทาหรณยุตฺตโตติ ‘‘ตํ กิสฺส เหตุ เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว’’ติ จ อาทินา ตตฺถ ตตฺถ เหตุปมคฺคหเณน เหตุทาหรเณหิ ยุตฺตโตฯ สทฺธาปฎิลาเภนาติ ‘‘เต ตํ ธมฺมํ สุตฺวา ตถาคเต สทฺธํ ปฎิลภนฺตี’’ติอาทินา วุตฺตสทฺธาปฎิลาเภนฯ ปฎิปตฺติยาติ สีลวิสุทฺธิยาทิสมฺมาปฎิปตฺติยา, ปฎิปตฺตินิมิตฺตนฺติ อโตฺถฯ อธิคมพฺยตฺติโตติ สจฺจปฺปฎิเวเธน อธิคมเวยฺยตฺติยสพฺภาวโต สาตฺถํ กปิลมตาทิ วิย ตุจฺฉํ นิรตฺถกํ อหุตฺวา อตฺถสมฺปนฺนนฺติ กตฺวาฯ ปริยตฺติยาติ ปริยตฺติธมฺมปริจเยนฯ อาคมพฺยตฺติโตติ ทุรกฺขาตธเมฺมสุ ปริจยํ กโรนฺตสฺส วิย สโมฺมหํ อชเนตฺวา พาหุสจฺจเวยฺยตฺติยสพฺภาวโต สพฺยญฺชนํฯ พฺยญฺชนสมฺปตฺติยา หิ สติ อาคมพฺยตฺตีติฯ สีลาทิปญฺจธมฺมกฺขนฺธยุตฺตโตติ สีลาทีหิ ปญฺจหิ ธมฺมโกฎฺฐาเสหิ อวิรหิตตฺตาฯ เกวลปริปุณฺณนฺติ อนวเสเสน สมนฺตโต ปุณฺณํ ปูริตํฯ นิรุปกฺกิเลสโตติ ทิฎฺฐิมานาทิอุปกฺกิเลสาภาวโตฯ นิตฺถรณตฺถายาติ วฎฺฎทุกฺขโต นิสฺสรณายฯ โลกามิสนิรเปกฺขโตติ กถญฺจิปิ ตณฺหาสนฺนิสฺสยสฺส อนิสฺสยโต ปริสุทฺธํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – โย ‘‘อิมํ ธมฺมเทสนํ นิสฺสาย ลาภํ วา สกฺการํ วา ลภิสฺสามี’’ติ เทเสติ, ตสฺส อปริสุทฺธา เทสนา โหติฯ ภควา ปน โลกามิสนิรเปโกฺข หิตผรเณน เมตฺตาภาวนาย มุทุหทโย อุลฺลุมฺปนสภาวสณฺฐิเตน จิเตฺตน เทเสติ, ตสฺมา ตสฺส เทสนา ปริสุทฺธาติฯ
Sanidānanti heṭṭhā vuttalakkhaṇena nidānena sanidānaṃ. Sauppattikanti saaṭṭhuppattikaṃ. Veneyyānaṃanurūpatoti veneyyānaṃ cariyādianurūpato. Atthassāti desiyamānassa sīlādiatthassa. Hetudāharaṇayuttatoti ‘‘taṃ kissa hetu seyyathāpi, bhikkhave’’ti ca ādinā tattha tattha hetupamaggahaṇena hetudāharaṇehi yuttato. Saddhāpaṭilābhenāti ‘‘te taṃ dhammaṃ sutvā tathāgate saddhaṃ paṭilabhantī’’tiādinā vuttasaddhāpaṭilābhena. Paṭipattiyāti sīlavisuddhiyādisammāpaṭipattiyā, paṭipattinimittanti attho. Adhigamabyattitoti saccappaṭivedhena adhigamaveyyattiyasabbhāvato sātthaṃ kapilamatādi viya tucchaṃ niratthakaṃ ahutvā atthasampannanti katvā. Pariyattiyāti pariyattidhammaparicayena. Āgamabyattitoti durakkhātadhammesu paricayaṃ karontassa viya sammohaṃ ajanetvā bāhusaccaveyyattiyasabbhāvato sabyañjanaṃ. Byañjanasampattiyā hi sati āgamabyattīti. Sīlādipañcadhammakkhandhayuttatoti sīlādīhi pañcahi dhammakoṭṭhāsehi avirahitattā. Kevalaparipuṇṇanti anavasesena samantato puṇṇaṃ pūritaṃ. Nirupakkilesatoti diṭṭhimānādiupakkilesābhāvato. Nittharaṇatthāyāti vaṭṭadukkhato nissaraṇāya. Lokāmisanirapekkhatoti kathañcipi taṇhāsannissayassa anissayato parisuddhaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – yo ‘‘imaṃ dhammadesanaṃ nissāya lābhaṃ vā sakkāraṃ vā labhissāmī’’ti deseti, tassa aparisuddhā desanā hoti. Bhagavā pana lokāmisanirapekkho hitapharaṇena mettābhāvanāya muduhadayo ullumpanasabhāvasaṇṭhitena cittena deseti, tasmā tassa desanā parisuddhāti.
สาธูติ อยํ สโทฺท ‘‘สาธุ เม ภเนฺต ภควา สํขิเตฺตน ธมฺมํ เทเสตู’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๔.๙๕) อายาจเน ทิสฺสติฯ ‘‘สาธุ ภเนฺตติ โข โส ภิกฺขุ ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทิตฺวา อนุโมทิตฺวา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๓.๘๖) สมฺปฎิจฺฉเนฯ ‘‘สาธุ สาธุ สาริปุตฺตา’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๓.๓๔๙) สมฺปหํสเนฯ ‘‘เตน หิ พฺราหฺมณ สาธุกํ สุโณหี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๕.๑๙๒) ทฬฺหีกเมฺม อาณตฺติยญฺจ ทิสฺสติฯ
Sādhūti ayaṃ saddo ‘‘sādhu me bhante bhagavā saṃkhittena dhammaṃ desetū’’tiādīsu (saṃ. ni. 4.95) āyācane dissati. ‘‘Sādhu bhanteti kho so bhikkhu bhagavato bhāsitaṃ abhinanditvā anumoditvā’’tiādīsu (ma. ni. 3.86) sampaṭicchane. ‘‘Sādhu sādhu sāriputtā’’tiādīsu (dī. ni. 3.349) sampahaṃsane. ‘‘Tena hi brāhmaṇa sādhukaṃ suṇohī’’tiādīsu (ma. ni. 5.192) daḷhīkamme āṇattiyañca dissati.
‘‘สาธุ ธมฺมรุจิ ราชา, สาธุ ปญฺญาณวา นโร;
‘‘Sādhu dhammaruci rājā, sādhu paññāṇavā naro;
สาธุ มิตฺตานมทฺทุโพฺภ, ปาปสฺสากรณํ สุข’’นฺติฯ –
Sādhu mittānamaddubbho, pāpassākaraṇaṃ sukha’’nti. –
อาทีสุ (ชา. ๒.๑๘.๑๐๑) สุนฺทเรฯ อิธาปิ สุนฺทเรเยว ทฎฺฐโพฺพติ อาห ‘‘สาธุ โข ปนาติ สุนฺทรํ โข ปนา’’ติฯ ตตฺถ สุนฺทรนฺติ ภทฺทกํฯ ภทฺทกตา จ ปสฺสนฺตสฺส หิตสุขาวหภาเวนาติ อาห ‘‘อตฺถาวหํ สุขาวห’’นฺติฯ ตตฺถ อตฺถาวหนฺติ ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกปรมตฺถสญฺญิตหิตาวหํฯ สุขาวหนฺติ ยถาวุตฺตติวิธสุขาวหํฯ ตถารูปานนฺติ ตาทิสานํ ฯ ยาทิเสหิ ปน คุเณหิ ภควา สมนฺนาคโต, เตหิ จตุปฺปมาณิกสฺส โลกสฺส สพฺพกาเลปิ อจฺจนฺตาย ปสาทนีโย เตสํ ยถาภูตสภาวตฺตาติ ทเสฺสโนฺต ‘‘ยถารูโป’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ยถาภุจฺจ…เป.… อรหตนฺติ อิมินา ธมฺมปฺปมาณานํ ลูขปฺปมาณานญฺจ สตฺตานํ ภควโต ปสาทาวหตํ ทเสฺสติ, ตํทสฺสเนน จ อิตเรสมฺปิ รูปปฺปมาณโฆสปฺปมาณานํ ปสาทาวหตา ทสฺสิตา โหตีติ ทฎฺฐพฺพํ ตทวินาภาวโตฯ พฺรหฺมจริยํ ปกาเสตีติ กิตฺติสโทฺท อพฺภุคฺคโตติ เอวเมตฺถ สมฺพโนฺธติ อาห ‘‘ทสฺสนมตฺตมฺปิ สาธุ โหตีติ เอวมชฺฌาสยํ กตฺวา’’ติอาทิฯ ตตฺถ ทสฺสนมตฺตมฺปิ สาธุ โหตีติ เอตฺถ โกสิยสกุณวตฺถุ กเถตพฺพํฯ
Ādīsu (jā. 2.18.101) sundare. Idhāpi sundareyeva daṭṭhabboti āha ‘‘sādhu kho panāti sundaraṃ kho panā’’ti. Tattha sundaranti bhaddakaṃ. Bhaddakatā ca passantassa hitasukhāvahabhāvenāti āha ‘‘atthāvahaṃ sukhāvaha’’nti. Tattha atthāvahanti diṭṭhadhammikasamparāyikaparamatthasaññitahitāvahaṃ. Sukhāvahanti yathāvuttatividhasukhāvahaṃ. Tathārūpānanti tādisānaṃ . Yādisehi pana guṇehi bhagavā samannāgato, tehi catuppamāṇikassa lokassa sabbakālepi accantāya pasādanīyo tesaṃ yathābhūtasabhāvattāti dassento ‘‘yathārūpo’’tiādimāha. Tattha yathābhucca…pe… arahatanti iminā dhammappamāṇānaṃ lūkhappamāṇānañca sattānaṃ bhagavato pasādāvahataṃ dasseti, taṃdassanena ca itaresampi rūpappamāṇaghosappamāṇānaṃ pasādāvahatā dassitā hotīti daṭṭhabbaṃ tadavinābhāvato. Brahmacariyaṃ pakāsetīti kittisaddo abbhuggatoti evamettha sambandhoti āha ‘‘dassanamattampi sādhu hotīti evamajjhāsayaṃ katvā’’tiādi. Tattha dassanamattampi sādhu hotīti ettha kosiyasakuṇavatthu kathetabbaṃ.
๒. เยน วา การเณนาติ เหตุมฺหิ อิทํ กรณวจนํฯ เหตุอโตฺถ หิ กิริยาการณํ, น กรณํ วิย กิริยโตฺถ, ตสฺมา นานปฺปการคุณวิเสสาธิคมตฺถา อิธ อุปสงฺกมนกิริยาติ ‘‘อเนฺนน วสตี’’ติอาทีสุ วิย เหตุอตฺถเมเวตํ กรณวจนํ ยุตฺตํ, น กรณตฺถํ ตสฺส อยุชฺชมานตฺตาติ วุตฺตํ ‘‘เยน วา การเณนา’’ติฯ อวิภาคโต หิ สตตปฺปวตฺตนิรติสยสาทุวิปุลามตรสสทฺธมฺมผลตายสฺส สาทุผลนิจฺจผลิตมหารุเกฺขน ภควา อุปมิโตฯ สาทุผลูปโภคาธิปฺปายคฺคหเณเนว หิ มหารุกฺขสฺส สาทุผลตา คหิตาติฯ อุปสงฺกมีติ อุปสงฺกมโนฺตฯ สมฺปตฺตกามตาย หิ กิญฺจิ ฐานํ คจฺฉโนฺต ตํตํปเทสาติกฺกมเนน อุปสงฺกมิ อุปสงฺกมโนฺตติ วตฺตพฺพตํ ลภติฯ เตนาห ‘‘คโตติ วุตฺตํ โหตี’’ติ, อุปคโตติ อโตฺถฯ อุปสงฺกมิตฺวาติ ปุพฺพกาลกิริยานิเทฺทโสติ อาห ‘‘อุปสงฺกมนปริโยสานทีปน’’นฺติฯ ตโตติ ยํ ฐานํ ปโตฺต อุปสงฺกมีติ วุโตฺต, ตโต อุปคตฎฺฐานโตฯ อาสนฺนตรํ ฐานนฺติ ปญฺหํ วา ปุจฺฉิตุํ ธมฺมํ วา โสตุํ สกฺกุเณยฺยฎฺฐานํฯ
2.Yena vā kāraṇenāti hetumhi idaṃ karaṇavacanaṃ. Hetuattho hi kiriyākāraṇaṃ, na karaṇaṃ viya kiriyattho, tasmā nānappakāraguṇavisesādhigamatthā idha upasaṅkamanakiriyāti ‘‘annena vasatī’’tiādīsu viya hetuatthamevetaṃ karaṇavacanaṃ yuttaṃ, na karaṇatthaṃ tassa ayujjamānattāti vuttaṃ ‘‘yena vā kāraṇenā’’ti. Avibhāgato hi satatappavattaniratisayasāduvipulāmatarasasaddhammaphalatāyassa sāduphalaniccaphalitamahārukkhena bhagavā upamito. Sāduphalūpabhogādhippāyaggahaṇeneva hi mahārukkhassa sāduphalatā gahitāti. Upasaṅkamīti upasaṅkamanto. Sampattakāmatāya hi kiñci ṭhānaṃ gacchanto taṃtaṃpadesātikkamanena upasaṅkami upasaṅkamantoti vattabbataṃ labhati. Tenāha ‘‘gatoti vuttaṃ hotī’’ti, upagatoti attho. Upasaṅkamitvāti pubbakālakiriyāniddesoti āha ‘‘upasaṅkamanapariyosānadīpana’’nti. Tatoti yaṃ ṭhānaṃ patto upasaṅkamīti vutto, tato upagataṭṭhānato. Āsannataraṃ ṭhānanti pañhaṃ vā pucchituṃ dhammaṃ vā sotuṃ sakkuṇeyyaṭṭhānaṃ.
ยถา ขมนียาทีนิ ปุจฺฉโนฺตติ ยถา ภควา ‘‘กจฺจิ เต พฺราหฺมณ ขมนียํ, กจฺจิ ยาปนีย’’นฺติอาทินา ขมนียาทีนิ ปุจฺฉโนฺต เตน พฺราหฺมเณน สทฺธิํ สมปฺปวตฺตโมโท อโหสิฯ ปุพฺพภาสิตาย ตทนุกรเณน เอวํ โสปิ พฺราหฺมโณ ภควตา สทฺธิํ สมปฺปวตฺตโมโท อโหสีติ โยชนาฯ ตํ ปน สมปฺปวตฺตโมทตํ อุปมาย ทเสฺสตุํ ‘‘สีโตทกํ วิยา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ สโมฺมทิตนฺติ สํสนฺทิตํฯ เอกีภาวนฺติ สโมฺมทนกิริยาย สมานตํ เอกรูปตํฯ ขมนียนฺติ ‘‘อิทํ จตุจกฺกํ นวทฺวารํ สรีรยนฺตํ ทุกฺขพหุลตาย สภาวโต ทุสฺสหํ, กจฺจิ ขมิตุํ สกฺกุเณยฺยนฺติ ปุจฺฉติฯ ยาปนียนฺติ ปจฺจยายตฺตวุตฺติกํ จิรปฺปพนฺธสงฺขาตาย ยาปนาย กจฺจิ ยาเปตุํ สกฺกุเณยฺยํฯ สีสโรคาทิอาพาธาภาเวน กจฺจิ อปฺปาพาธํฯ ทุกฺขชีวิกาภาเวน กจฺจิ อปฺปาตงฺกํฯ ตํตํกิจฺจกรเณ อุฎฺฐานสุขตาย กจฺจิ ลหุฎฺฐานํฯ ตทนุรูปพลโยคโต กจฺจิ พลํฯ สุขวิหารสมฺภเวน กจฺจิ ผาสุวิหาโร อตฺถีติ ตตฺถ ตตฺถ กจฺจิสทฺทํ โยเชตฺวา อโตฺถ เวทิตโพฺพ ฯ พลปฺปตฺตา ปีติ ปีติเยวฯ ตรุณปีติ ปาโมชฺชํฯ สโมฺมทํ ชเนติ กโรตีติ สโมฺมทนิกํ, ตเทว สโมฺมทนียนฺติ อาห ‘‘สโมฺมทชนนโต’’ติฯ สโมฺมทิตพฺพโต สโมฺมทนียนฺติ อิทํ ปน อตฺถํ ทเสฺสโนฺต ‘‘สโมฺมทิตุํ ยุตฺตภาวโต’’ติ อาหฯ สริตพฺพภาวโตติ อนุสฺสริตพฺพภาวโตฯ ‘‘สรณีย’’นฺติ วตฺตเพฺพ ทีฆํ กตฺวา ‘‘สารณีย’’นฺติ วุตฺตํฯ สุยฺยมานสุขโตติ อาปาถมธุรตมาหฯ อนุสฺสริยมานสุขโตติ วิมทฺทรมณียตํฯ พฺยญฺชนปริสุทฺธตายาติ สภาวนิรุตฺติภาเวน ตสฺสา กถาย วจนจาตุริยมาหฯ อตฺถปริสุทฺธตายาติ อตฺถสฺส นิรุปกฺกิเลสตํฯ อเนเกหิ ปริยาเยหีติ อเนเกหิ การเณหิฯ
Yathā khamanīyādīni pucchantoti yathā bhagavā ‘‘kacci te brāhmaṇa khamanīyaṃ, kacci yāpanīya’’ntiādinā khamanīyādīni pucchanto tena brāhmaṇena saddhiṃ samappavattamodo ahosi. Pubbabhāsitāya tadanukaraṇena evaṃ sopi brāhmaṇo bhagavatā saddhiṃ samappavattamodo ahosīti yojanā. Taṃ pana samappavattamodataṃ upamāya dassetuṃ ‘‘sītodakaṃ viyā’’tiādi vuttaṃ. Sammoditanti saṃsanditaṃ. Ekībhāvanti sammodanakiriyāya samānataṃ ekarūpataṃ. Khamanīyanti ‘‘idaṃ catucakkaṃ navadvāraṃ sarīrayantaṃ dukkhabahulatāya sabhāvato dussahaṃ, kacci khamituṃ sakkuṇeyyanti pucchati. Yāpanīyanti paccayāyattavuttikaṃ cirappabandhasaṅkhātāya yāpanāya kacci yāpetuṃ sakkuṇeyyaṃ. Sīsarogādiābādhābhāvena kacci appābādhaṃ. Dukkhajīvikābhāvena kacci appātaṅkaṃ. Taṃtaṃkiccakaraṇe uṭṭhānasukhatāya kacci lahuṭṭhānaṃ. Tadanurūpabalayogato kacci balaṃ. Sukhavihārasambhavena kacci phāsuvihāro atthīti tattha tattha kaccisaddaṃ yojetvā attho veditabbo . Balappattā pīti pītiyeva. Taruṇapīti pāmojjaṃ. Sammodaṃ janeti karotīti sammodanikaṃ, tadeva sammodanīyanti āha ‘‘sammodajananato’’ti. Sammoditabbato sammodanīyanti idaṃ pana atthaṃ dassento ‘‘sammodituṃ yuttabhāvato’’ti āha. Saritabbabhāvatoti anussaritabbabhāvato. ‘‘Saraṇīya’’nti vattabbe dīghaṃ katvā ‘‘sāraṇīya’’nti vuttaṃ. Suyyamānasukhatoti āpāthamadhuratamāha. Anussariyamānasukhatoti vimaddaramaṇīyataṃ. Byañjanaparisuddhatāyāti sabhāvaniruttibhāvena tassā kathāya vacanacāturiyamāha. Atthaparisuddhatāyāti atthassa nirupakkilesataṃ. Anekehi pariyāyehīti anekehi kāraṇehi.
อติทูรอจฺจาสนฺนปฎิเกฺขเปน นาติทูรนาจฺจาสนฺนํ นาม คหิตํ, ตํ ปน อวกํสโต อุภินฺนํ ปสาริตหตฺถาสงฺฆฎฺฎเนน ทฎฺฐพฺพํฯ คีวํ ปสาเรตฺวาติ คีวํ ปริวตฺตนวเสน ปสาเรตฺวาฯ เมติ กตฺตุอเตฺถ สามิวจนนฺติ อาห ‘‘มยา สุต’’นฺติฯ ชาติพฺราหฺมเณติ ชาติยา พฺราหฺมเณ, น พาหิตปาปตายาติ วุตฺตํ โหติฯ ขณฺฑิจฺจาทิภาวํ อาปาทิเตติ ขณฺฑิตทนฺตปลิตเกสาทิภาวํ สมฺปาปิเตฯ วุฑฺฒิมริยาทปฺปเตฺตติ วุฑฺฒิปริเจฺฉทํ สมฺปเตฺต, วุฑฺฒิปริยนฺตปฺปเตฺตติ วุตฺตํ โหติฯ ชาติมหลฺลกตายาติ อุปฺปตฺติยา มหลฺลกภาเวนฯ มหตฺตํ ลาติ คณฺหาตีติ มหลฺลโก, ชาติยา มหลฺลโก, น วิภวาทินาติ ชาติมหลฺลโกฯ อทฺธานนฺติ ทีฆกาลํฯ กิตฺตโก ปน โสติ อาห ‘‘เทฺว ตโย ราชปริวเฎฺฎ’’ติ, ทฺวินฺนํ ติณฺณํ ราชูนํ รชฺชปสาสนปฎิปาฎิโยติ อโตฺถฯ ‘‘อทฺธคเต’’ติ วตฺวา กถํ วโยคหณํ โอสานวยาเปกฺขนฺติ อาห ‘‘ปจฺฉิมวยํ อนุปฺปเตฺต’’ติฯ ปจฺฉิโม ตติยภาโคติ สตฺตสฎฺฐิโต ปฎฺฐาย ปจฺฉิมวโย โกฎฺฐาโสฯ
Atidūraaccāsannapaṭikkhepena nātidūranāccāsannaṃ nāma gahitaṃ, taṃ pana avakaṃsato ubhinnaṃ pasāritahatthāsaṅghaṭṭanena daṭṭhabbaṃ. Gīvaṃ pasāretvāti gīvaṃ parivattanavasena pasāretvā. Meti kattuatthe sāmivacananti āha ‘‘mayā suta’’nti. Jātibrāhmaṇeti jātiyā brāhmaṇe, na bāhitapāpatāyāti vuttaṃ hoti. Khaṇḍiccādibhāvaṃ āpāditeti khaṇḍitadantapalitakesādibhāvaṃ sampāpite. Vuḍḍhimariyādappatteti vuḍḍhiparicchedaṃ sampatte, vuḍḍhipariyantappatteti vuttaṃ hoti. Jātimahallakatāyāti uppattiyā mahallakabhāvena. Mahattaṃ lāti gaṇhātīti mahallako, jātiyā mahallako, na vibhavādināti jātimahallako. Addhānanti dīghakālaṃ. Kittako pana soti āha ‘‘dve tayo rājaparivaṭṭe’’ti, dvinnaṃ tiṇṇaṃ rājūnaṃ rajjapasāsanapaṭipāṭiyoti attho. ‘‘Addhagate’’ti vatvā kathaṃ vayogahaṇaṃ osānavayāpekkhanti āha ‘‘pacchimavayaṃ anuppatte’’ti. Pacchimo tatiyabhāgoti sattasaṭṭhito paṭṭhāya pacchimavayo koṭṭhāso.
ทุติเย อตฺถวิกเปฺป ชิเณฺณติ นายํ ชิณฺณตา วโยมเตฺตน, อถ โข กุลปริวเฎฺฎน ปุราณตายาติ อาห ‘‘ชิเณฺณติ โปราเณ’’ติอาทิฯ เตน เตสํ พฺราหฺมณานํ กุลวเสน อุทิโตทิตภาวมาหฯ ‘‘วโยอนุปฺปเตฺต’’ติ อิมินา ชาติวุฑฺฒิยา วกฺขมานตฺตา คุณวุฑฺฒิยา ตโต สาติสยตฺตา จ ‘‘วุเฑฺฒติ สีลาจาราทิคุณวุฑฺฒิยุเตฺต’’ติ อาหฯ ตถา ชาติมหลฺลกตายปิ เตเนว วกฺขมานตฺตา มหลฺลเกติ ปเทน วิภวมหตฺตตา โยชิตาฯ มคฺคปฎิปเนฺนติ พฺราหฺมณานํ ปฎิปตฺติวิธิํ อุปคเต ตํ อโวกฺกมฺม จรณโตฯ อนฺติมวยนฺติ ปจฺฉิมวยํฯ
Dutiye atthavikappe jiṇṇeti nāyaṃ jiṇṇatā vayomattena, atha kho kulaparivaṭṭena purāṇatāyāti āha ‘‘jiṇṇeti porāṇe’’tiādi. Tena tesaṃ brāhmaṇānaṃ kulavasena uditoditabhāvamāha. ‘‘Vayoanuppatte’’ti iminā jātivuḍḍhiyā vakkhamānattā guṇavuḍḍhiyā tato sātisayattā ca ‘‘vuḍḍheti sīlācārādiguṇavuḍḍhiyutte’’ti āha. Tathā jātimahallakatāyapi teneva vakkhamānattā mahallaketi padena vibhavamahattatā yojitā. Maggapaṭipanneti brāhmaṇānaṃ paṭipattividhiṃ upagate taṃ avokkamma caraṇato. Antimavayanti pacchimavayaṃ.
ปจฺจุฎฺฐานํ นาม อาสนา วุฎฺฐานนฺติ อาห ‘‘นาสนา วุฎฺฐหตี’’ติ, นิสินฺนาสนโต น วุฎฺฐาตีติ อโตฺถฯ เอตฺถ จ ชิเณฺณ…เป.… วโยอนุปฺปเตฺตติ อุปโยควจนํ อาสนา วุฎฺฐานกิริยาเปกฺขํ น โหติ, ตสฺมา ชิเณฺณ…เป.… วโยอนุปฺปเตฺต ทิสฺวาติ อชฺฌาหารํ กตฺวา อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ อถ วา ปจฺจุคฺคมนกิริยาเปกฺขํ อุปโยควจนํ, ตสฺมา น ปจฺจุเฎฺฐตีติ อุฎฺฐาย ปจฺจุคฺคมนํ น กโรตีติ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ ปจฺจุคฺคมนมฺปิ หิ ปจฺจุฎฺฐานนฺติ วุจฺจติฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘อาจริยํ ปน ทูรโตว ทิสฺวา ปจฺจุฎฺฐาย ปจฺจุคฺคมนกรณํ ปจฺจุฎฺฐานํ นามา’’ติฯ นาสนา วุฎฺฐาตีติ อิมินา ปน ปจฺจุคฺคมนาภาวสฺส อุปลกฺขณมตฺตํ ทสฺสิตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ วิภาวเน นาม อเตฺถติ ปกติวิภาวนสงฺขาเต อเตฺถ, น อภิวาเทติ วาติ น อภิวาเทตพฺพนฺติ สลฺลเกฺขตีติ วุตฺตํ โหติฯ
Paccuṭṭhānaṃ nāma āsanā vuṭṭhānanti āha ‘‘nāsanā vuṭṭhahatī’’ti, nisinnāsanato na vuṭṭhātīti attho. Ettha ca jiṇṇe…pe… vayoanuppatteti upayogavacanaṃ āsanā vuṭṭhānakiriyāpekkhaṃ na hoti, tasmā jiṇṇe…pe… vayoanuppatte disvāti ajjhāhāraṃ katvā attho veditabbo. Atha vā paccuggamanakiriyāpekkhaṃ upayogavacanaṃ, tasmā na paccuṭṭhetīti uṭṭhāya paccuggamanaṃ na karotīti attho veditabbo. Paccuggamanampi hi paccuṭṭhānanti vuccati. Vuttañhetaṃ ‘‘ācariyaṃ pana dūratova disvā paccuṭṭhāya paccuggamanakaraṇaṃ paccuṭṭhānaṃ nāmā’’ti. Nāsanā vuṭṭhātīti iminā pana paccuggamanābhāvassa upalakkhaṇamattaṃ dassitanti daṭṭhabbaṃ. Vibhāvane nāma attheti pakativibhāvanasaṅkhāte atthe, na abhivādeti vāti na abhivādetabbanti sallakkhetīti vuttaṃ hoti.
ตํ อญฺญาณนฺติ ‘‘อยํ มม อภิวาทนาทีนิ กาตุํ อรหรูโป น โหตี’’ติ อชานนวเสน ปวตฺตํ อญฺญาณํฯ โอโลเกโนฺตติ ‘‘ทุกฺขํ โข อคารโว วิหรติ อปฺปติโสฺส, กิํ นุ โข อหํ สมณํ วา พฺราหฺมณํ วา สกฺกเรยฺยํ, ครุํ กเรยฺย’’นฺติอาทิสุตฺตวเสน (อ. นิ. ๔.๒๑) ญาณจกฺขุนา โอโลเกโนฺตฯ นิปจฺจการารหนฺติ ปณิปาตารหํฯ สมฺปติชาโตติ มุหุตฺตชาโต, ชาตสมนนฺตรเมวาติ วุตฺตํ โหติฯ อุตฺตเรน มุโขติ อุตฺตราภิมุโข, อุตฺตรทิสาภิมุโขติ วุตฺตํ โหติฯ สตฺตปทวีติหาเรน คนฺตฺวา สกลํ ทสสหสฺสิโลกธาตุํ โอโลเกสินฺติ อิทํ ‘‘ธมฺมตา เอสา, ภิกฺขเว, สมฺปติชาโต โพธิสโตฺต สเมหิ ปาเทหิ ปติฎฺฐหิตฺวา อุตฺตราภิมุโข สตฺตปทวีติหาเรน คจฺฉติ, เสตมฺหิ ฉเตฺต อนุธาริยมาเน สพฺพา ทิสา วิโลเกติ, อาสภิญฺจ วาจํ ภาสตี’’ติ เอวํ ปาฬิยํ (ที. นิ. ๒.๓๑) สตฺตปทวีติหารูปริฎฺฐิตสฺส วิย สพฺพทิสานุวิโลกนสฺส กถิตตฺตา วุตฺตํ, น ปเนตํ เอวํ ทฎฺฐพฺพํ, สตฺตปทวีติหารโต ปเคว ทิสาวิโลกนสฺส กตตฺตาฯ มหาสโตฺต หิ มนุสฺสานํ หตฺถโต มุจฺจิตฺวา ปุรตฺถิมทิสํ โอโลเกสิ, อเนกานิ จกฺกวาฬสหสฺสานิ เอกงฺคณานิ อเหสุํฯ ตตฺถ เทวมนุสฺสา คนฺธมาลาทีหิ ปูชยมานา ‘‘มหาปุริส อิธ ตุเมฺหหิ สทิโสปิ นตฺถิ, กุโต อุตฺตริตโร’’ติ อาหํสุฯ เอวํ จตโสฺส ทิสา จตโสฺส อนุทิสา เหฎฺฐา อุปรีติ ทสปิ ทิสา อนุวิโลเกตฺวา อตฺตโน สทิสํ อทิสฺวา ‘‘อยํ อุตฺตรา ทิสา’’ติ สตฺตปทวีติหาเรน อคมาสีติ เวทิตโพฺพฯ โอโลเกสินฺติ มม ปุญฺญานุภาเวน โลกวิวรณปาฎิหาริเย ชาเต ปญฺญายมานํ ทสสหสฺสิโลกธาตุํ มํสจกฺขุนาว โอโลเกสินฺติ อโตฺถฯ
Taṃ aññāṇanti ‘‘ayaṃ mama abhivādanādīni kātuṃ araharūpo na hotī’’ti ajānanavasena pavattaṃ aññāṇaṃ. Olokentoti ‘‘dukkhaṃ kho agāravo viharati appatisso, kiṃ nu kho ahaṃ samaṇaṃ vā brāhmaṇaṃ vā sakkareyyaṃ, garuṃ kareyya’’ntiādisuttavasena (a. ni. 4.21) ñāṇacakkhunā olokento. Nipaccakārārahanti paṇipātārahaṃ. Sampatijātoti muhuttajāto, jātasamanantaramevāti vuttaṃ hoti. Uttarena mukhoti uttarābhimukho, uttaradisābhimukhoti vuttaṃ hoti. Sattapadavītihārena gantvā sakalaṃ dasasahassilokadhātuṃ olokesinti idaṃ ‘‘dhammatā esā, bhikkhave, sampatijāto bodhisatto samehi pādehi patiṭṭhahitvā uttarābhimukho sattapadavītihārena gacchati, setamhi chatte anudhāriyamāne sabbā disā viloketi, āsabhiñca vācaṃ bhāsatī’’ti evaṃ pāḷiyaṃ (dī. ni. 2.31) sattapadavītihārūpariṭṭhitassa viya sabbadisānuvilokanassa kathitattā vuttaṃ, na panetaṃ evaṃ daṭṭhabbaṃ, sattapadavītihārato pageva disāvilokanassa katattā. Mahāsatto hi manussānaṃ hatthato muccitvā puratthimadisaṃ olokesi, anekāni cakkavāḷasahassāni ekaṅgaṇāni ahesuṃ. Tattha devamanussā gandhamālādīhi pūjayamānā ‘‘mahāpurisa idha tumhehi sadisopi natthi, kuto uttaritaro’’ti āhaṃsu. Evaṃ catasso disā catasso anudisā heṭṭhā uparīti dasapi disā anuviloketvā attano sadisaṃ adisvā ‘‘ayaṃ uttarā disā’’ti sattapadavītihārena agamāsīti veditabbo. Olokesinti mama puññānubhāvena lokavivaraṇapāṭihāriye jāte paññāyamānaṃ dasasahassilokadhātuṃ maṃsacakkhunāva olokesinti attho.
มหาปุริโสติ ชาติโคตฺตกุลปฺปเทสาทิวเสน มหนฺตปุริโสฯ อโคฺคติ คุเณหิ สพฺพปธาโนฯ เชโฎฺฐติ คุณวเสเนว สเพฺพสํ วุฑฺฒตโม, คุเณหิ มหลฺลกตโมติ วุตฺตํ โหติฯ เสโฎฺฐติ คุณวเสเนว สเพฺพสํ ปสตฺถตโมฯ อตฺถโต ปน ปจฺฉิมานิ เทฺว ปุริมเสฺสว เววจนานีติ เวทิตพฺพํฯ ตยาติ นิสฺสเกฺก กรณวจนํฯ อุตฺตริตโรติ อธิกตโรฯ ปติมาเนสีติ ปูเชสิฯ อาสภินฺติ อุตฺตมํฯ มยฺหํ อภิวาทนาทิรโห ปุคฺคโลติ มยฺหํ อภิวาทนาทิกิริยาย อรโห อนุจฺฉวิโก ปุคฺคโลฯ นิจฺจสาเปกฺขตาย ปเนตฺถ สมาโส ทฎฺฐโพฺพฯ ตถาคตาติ ตถาคตโต, ตถาคตสฺส สนฺติกาติ วุตฺตํ โหติฯ เอวรูปนฺติ อภิวาทนาทิสภาวํฯ ปริปากสิถิลพนฺธนนฺติ ปริปาเกน สิถิลพนฺธนํฯ
Mahāpurisoti jātigottakulappadesādivasena mahantapuriso. Aggoti guṇehi sabbapadhāno. Jeṭṭhoti guṇavaseneva sabbesaṃ vuḍḍhatamo, guṇehi mahallakatamoti vuttaṃ hoti. Seṭṭhoti guṇavaseneva sabbesaṃ pasatthatamo. Atthato pana pacchimāni dve purimasseva vevacanānīti veditabbaṃ. Tayāti nissakke karaṇavacanaṃ. Uttaritaroti adhikataro. Patimānesīti pūjesi. Āsabhinti uttamaṃ. Mayhaṃ abhivādanādiraho puggaloti mayhaṃ abhivādanādikiriyāya araho anucchaviko puggalo. Niccasāpekkhatāya panettha samāso daṭṭhabbo. Tathāgatāti tathāgatato, tathāgatassa santikāti vuttaṃ hoti. Evarūpanti abhivādanādisabhāvaṃ. Paripākasithilabandhananti paripākena sithilabandhanaṃ.
๓. ตํ วจนนฺติ ‘‘นาหํ ตํ พฺราหฺมณา’’ติอาทิวจนํฯ ‘‘นาหํ อรสรูโป, มาทิสา วา อรสรูปา’’ติ วุเตฺต พฺราหฺมโณ ถโทฺธ ภเวยฺยฯ เตน วุตฺตํ ‘‘จิตฺตมุทุภาวชนนตฺถ’’นฺติฯ อยญฺหิ ปริยายสโทฺท เทสนาวารการเณสุ วตฺตตีติ เอตฺถ ปริยาเยติ เทเสตพฺพมตฺถํ อวคเมติ โพเธตีติ ปริยาโย, เทสนาฯ ปริยายติ อปราปรํ ปริวเตฺตตีติ ปริยาโย , วาโรฯ ปริยายติ อตฺตโน ผลํ ปริคฺคเหตฺวา วตฺตติ, ตสฺส วา การณภาวํ คจฺฉตีติ ปริยาโย, การณนฺติ เอวํ ปริยายสทฺทสฺส เทสนาวารการเณสุ ปวตฺติ เวทิตพฺพาฯ อญฺญาย สณฺฐเหยฺยาติ อรหเตฺต ปติฎฺฐเหยฺยฯ กตโม ปน โสติ ปริยายาเปโกฺข ปุลฺลิงฺคนิเทฺทโส, กตโม โส ปริยาโยติ อโตฺถฯ ชาติวเสนาติ ขตฺติยาทิชาติวเสนฯ อุปปตฺติวเสนาติ เทเวสุ อุปปตฺติวเสนฯ เสฎฺฐสมฺมตานมฺปีติ อปิ-สเทฺทน ปเคว อเสฎฺฐสมฺมตานนฺติ ทเสฺสติฯ อภินนฺทนฺตานนฺติ สปฺปีติกตณฺหาวเสน ปโมทมานานํฯ รชฺชนฺตานนฺติ พลวราควเสน รชฺชนฺตานํฯ รูปาทิปริโภเคน อุปฺปนฺนตณฺหายุตฺตโสมนสฺสเวทนา รูปโต นิพฺพตฺติตฺวา หทยตปฺปนโต อมฺพรสาทโย วิย ‘‘รูปรสา’’ติ วุจฺจนฺติฯ อาวิญฺฉนฺตีติ อากฑฺฒนฺติฯ วตฺถารมฺมณาทิสามคฺคิยนฺติ วตฺถุอารมฺมณาทิการณสามคฺคิยํฯ อนุกฺขิปโนฺตติ อตฺตุกฺกํสนวเสน กถิเต พฺราหฺมณสฺส อสปฺปายภาวโต อตฺตานํ อนุกฺขิปโนฺต อนุกฺกํเสโนฺตฯ
3.Taṃ vacananti ‘‘nāhaṃ taṃ brāhmaṇā’’tiādivacanaṃ. ‘‘Nāhaṃ arasarūpo, mādisā vā arasarūpā’’ti vutte brāhmaṇo thaddho bhaveyya. Tena vuttaṃ ‘‘cittamudubhāvajananattha’’nti. Ayañhi pariyāyasaddo desanāvārakāraṇesu vattatīti ettha pariyāyeti desetabbamatthaṃ avagameti bodhetīti pariyāyo, desanā. Pariyāyati aparāparaṃ parivattetīti pariyāyo, vāro. Pariyāyati attano phalaṃ pariggahetvā vattati, tassa vā kāraṇabhāvaṃ gacchatīti pariyāyo, kāraṇanti evaṃ pariyāyasaddassa desanāvārakāraṇesu pavatti veditabbā. Aññāya saṇṭhaheyyāti arahatte patiṭṭhaheyya. Katamo pana soti pariyāyāpekkho pulliṅganiddeso, katamo so pariyāyoti attho. Jātivasenāti khattiyādijātivasena. Upapattivasenāti devesu upapattivasena. Seṭṭhasammatānampīti api-saddena pageva aseṭṭhasammatānanti dasseti. Abhinandantānanti sappītikataṇhāvasena pamodamānānaṃ. Rajjantānanti balavarāgavasena rajjantānaṃ. Rūpādiparibhogena uppannataṇhāyuttasomanassavedanā rūpato nibbattitvā hadayatappanato ambarasādayo viya ‘‘rūparasā’’ti vuccanti. Āviñchantīti ākaḍḍhanti. Vatthārammaṇādisāmaggiyanti vatthuārammaṇādikāraṇasāmaggiyaṃ. Anukkhipantoti attukkaṃsanavasena kathite brāhmaṇassa asappāyabhāvato attānaṃ anukkhipanto anukkaṃsento.
เอตสฺมิํ ปนเตฺถ กรเณ สามิวจนนฺติ ‘‘ชหิตา’’ติ เอตสฺมิํ อเตฺถฯ ตถาคตสฺสาติ กรเณ สามิวจนํ, ตถาคเตน ชหิตาติ อโตฺถฯ มูลนฺติ ภวมูลํฯ ‘‘ตาลวตฺถุวตฺถุกตา’’ติ วตฺตเพฺพ ‘‘โอฎฺฐมุโข’’ติอาทีสุ วิย มเชฺฌปทโลปํ กตฺวา อการญฺจ ทีฆํ กตฺวา ‘‘ตาลาวตฺถุกตา’’ติ วุตฺตนฺติ อาห ‘‘ตาลวตฺถุ วิย เนสํ วตฺถุ กตนฺติ ตาลาวตฺถุกตา’’ติฯ ตตฺถ ตาลสฺส วตฺถุ ตาลวตฺถุฯ ยถา อารามสฺส วตฺถุภูตปุโพฺพ ปเทโส อารามสฺส อภาเว ‘‘อารามวตฺถู’’ติ วุจฺจติ, เอวํ ตาลสฺส ปติฎฺฐิโตกาโส สมูลํ อุทฺธริเต ตาเล ปเทสมเตฺต ฐิเต ตาลสฺส วตฺถุภูตปุพฺพตฺตา ‘‘ตาลวตฺถู’’ติ วุจฺจติฯ เนสนฺติ รูปรสาทีนํฯ กถํ ปน ตาลวตฺถุ วิย เนสํ วตฺถุ กตนฺติ อาห ‘‘ยถา หี’’ติอาทิฯ รูปาทิปริโภเคน อุปฺปนฺนตณฺหายุตฺตโสมนสฺสเวทนาสงฺขาตรูปรสาทีนํ จิตฺตสนฺตานสฺส อธิฎฺฐานภาวโต วุตฺตํ ‘‘เตสํ ปุเพฺพ อุปฺปนฺนปุพฺพภาเวน วตฺถุมเตฺต จิตฺตสนฺตาเน กเต’’ติฯ ตตฺถ ปุเพฺพติ ปุเร, สราคกาเลติ วุตฺตํ โหติฯ ตาลาวตฺถุกตาติ วุจฺจนฺตีติ ตาลวตฺถุ วิย อตฺตโน วตฺถุสฺส กตตฺตา รูปรสาทโย ‘‘ตาลาวตฺถุกตา’’ติ วุจฺจนฺติฯ เอเตน ปหีนกิเลสานํ ปุน อุปฺปตฺติยา อภาโว ทสฺสิโตฯ
Etasmiṃ panatthe karaṇe sāmivacananti ‘‘jahitā’’ti etasmiṃ atthe. Tathāgatassāti karaṇe sāmivacanaṃ, tathāgatena jahitāti attho. Mūlanti bhavamūlaṃ. ‘‘Tālavatthuvatthukatā’’ti vattabbe ‘‘oṭṭhamukho’’tiādīsu viya majjhepadalopaṃ katvā akārañca dīghaṃ katvā ‘‘tālāvatthukatā’’ti vuttanti āha ‘‘tālavatthu viya nesaṃ vatthu katanti tālāvatthukatā’’ti. Tattha tālassa vatthu tālavatthu. Yathā ārāmassa vatthubhūtapubbo padeso ārāmassa abhāve ‘‘ārāmavatthū’’ti vuccati, evaṃ tālassa patiṭṭhitokāso samūlaṃ uddharite tāle padesamatte ṭhite tālassa vatthubhūtapubbattā ‘‘tālavatthū’’ti vuccati. Nesanti rūparasādīnaṃ. Kathaṃ pana tālavatthu viya nesaṃ vatthu katanti āha ‘‘yathā hī’’tiādi. Rūpādiparibhogena uppannataṇhāyuttasomanassavedanāsaṅkhātarūparasādīnaṃ cittasantānassa adhiṭṭhānabhāvato vuttaṃ ‘‘tesaṃ pubbe uppannapubbabhāvena vatthumatte cittasantāne kate’’ti. Tattha pubbeti pure, sarāgakāleti vuttaṃ hoti. Tālāvatthukatāti vuccantīti tālavatthu viya attano vatthussa katattā rūparasādayo ‘‘tālāvatthukatā’’ti vuccanti. Etena pahīnakilesānaṃ puna uppattiyā abhāvo dassito.
อวิรุฬฺหิธมฺมตฺตาติ อวิรุฬฺหิสภาวตายฯ มตฺถกจฺฉิโนฺน ตาโล ปตฺตผลาทีนํ อวตฺถุภูโต ตาลาวตฺถูติ อาห ‘‘มตฺถกจฺฉินฺนตาโล วิย กตา’’ติฯ เอเตน ‘‘ตาลาวตฺถุ วิย กตาติ ตาลาวตฺถุกตา’’ติ อยํ วิคฺคโห ทสฺสิโตฯ เอตฺถ ปน อวตฺถุภูโต ตาโล วิย กตาติ อวตฺถุตาลากตาติ วตฺตเพฺพ วิเสสนสฺส ปทสฺส ปรนิปาตํ กตฺวา ‘‘ตาลาวตฺถุกตา’’ติ วุตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ อิมินา ปนเตฺถน อิทํ ทเสฺสติ – รูปรสาทิวจเนน วิปากธมฺมธมฺมา หุตฺวา ปุเพฺพ อุปฺปนฺนา กุสลากุสลธมฺมา คหิตา, เต อุปฺปนฺนาปิ มตฺถกสทิสานํ ตณฺหาวิชฺชานํ มคฺคสเตฺถน ฉินฺนตฺตา อายติํ ตาลปตฺตสทิเส วิปากกฺขเนฺธ นิพฺพเตฺตตุํ อสมตฺถา ชาตา, ตสฺมา ตาลาวตฺถุ วิย กตาติ ตาลาวตฺถุกตา รูปรสาทโยติฯ อิมสฺมิญฺหิ อเตฺถ ‘‘อภินนฺทนฺตาน’’นฺติ อิมินา ปเทน กุสลโสมนสฺสมฺปิ สงฺคหิตนฺติ วทนฺติฯ
Aviruḷhidhammattāti aviruḷhisabhāvatāya. Matthakacchinno tālo pattaphalādīnaṃ avatthubhūto tālāvatthūti āha ‘‘matthakacchinnatālo viya katā’’ti. Etena ‘‘tālāvatthu viya katāti tālāvatthukatā’’ti ayaṃ viggaho dassito. Ettha pana avatthubhūto tālo viya katāti avatthutālākatāti vattabbe visesanassa padassa paranipātaṃ katvā ‘‘tālāvatthukatā’’ti vuttanti daṭṭhabbaṃ. Iminā panatthena idaṃ dasseti – rūparasādivacanena vipākadhammadhammā hutvā pubbe uppannā kusalākusaladhammā gahitā, te uppannāpi matthakasadisānaṃ taṇhāvijjānaṃ maggasatthena chinnattā āyatiṃ tālapattasadise vipākakkhandhe nibbattetuṃ asamatthā jātā, tasmā tālāvatthu viya katāti tālāvatthukatā rūparasādayoti. Imasmiñhi atthe ‘‘abhinandantāna’’nti iminā padena kusalasomanassampi saṅgahitanti vadanti.
อนภาวํกตาติ เอตฺถ อนุ-สโทฺท ปจฺฉา-สเทฺทน สมานโตฺถติ อาห ‘‘ยถา เนสํ ปจฺฉาภาโว น โหตี’’ติอาทิฯ อนุอภาวํ คตาติ ปจฺฉา อนุปฺปตฺติธมฺมตาวเสน อภาวํ คตา วินาสมุปคตา, ปหีนาติ อโตฺถฯ ‘‘อิมา อนจฺฉริยา คาถาโย ปฎิภํสู’’ติ (มหาว. ๗, ๘) เอตฺถ อนจฺฉริยสทฺทํ อุทาหรณวเสน ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘ยถา อนุอจฺฉริยา อนจฺฉริยา’’ติฯ ตตฺถ อนุอจฺฉริยาติ สวนกาเล อุปรูปริ วิมฺหยกราติ อโตฺถฯ
Anabhāvaṃkatāti ettha anu-saddo pacchā-saddena samānatthoti āha ‘‘yathā nesaṃ pacchābhāvo na hotī’’tiādi. Anuabhāvaṃ gatāti pacchā anuppattidhammatāvasena abhāvaṃ gatā vināsamupagatā, pahīnāti attho. ‘‘Imā anacchariyā gāthāyo paṭibhaṃsū’’ti (mahāva. 7, 8) ettha anacchariyasaddaṃ udāharaṇavasena dassento āha ‘‘yathā anuacchariyā anacchariyā’’ti. Tattha anuacchariyāti savanakāle uparūpari vimhayakarāti attho.
ยญฺจ โข ตฺวํ วเทสิ, โส ปริยาโย น โหตีติ ยํ วนฺทนาทิสามคฺคิรสาภาวสงฺขาตํ การณํ อรสรูปตาย วเทสิ, ตํ การณํ น โหติ, น วิชฺชตีติ อโตฺถฯ นนุ จ พฺราหฺมโณ ยํ วนฺทนาทิสามคฺคิรสาภาวสงฺขาตํ ปริยายํ สนฺธาย ‘‘อรสรูโป ภวํ โคตโม’’ติ อาห, โส ปริยาโย นตฺถีติ วุเตฺต วนฺทนาทีนิ ภควา กโรตีติ อาปชฺชตีติ อิมํ อนิฎฺฐปฺปสงฺคํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘กสฺมา ปน ภควา เอวมาหา’’ติอาทิฯ
Yañca kho tvaṃ vadesi, so pariyāyo na hotīti yaṃ vandanādisāmaggirasābhāvasaṅkhātaṃ kāraṇaṃ arasarūpatāya vadesi, taṃ kāraṇaṃ na hoti, na vijjatīti attho. Nanu ca brāhmaṇo yaṃ vandanādisāmaggirasābhāvasaṅkhātaṃ pariyāyaṃ sandhāya ‘‘arasarūpo bhavaṃ gotamo’’ti āha, so pariyāyo natthīti vutte vandanādīni bhagavā karotīti āpajjatīti imaṃ aniṭṭhappasaṅgaṃ dassento āha ‘‘kasmā pana bhagavā evamāhā’’tiādi.
๔. สพฺพปริยาเยสูติ สพฺพวาเรสุฯ สนฺธาย ภาสิตมตฺตนฺติ ยํ สนฺธาย พฺราหฺมโณ ‘‘นิโพฺภโค ภวํ โคตโม’’ติอาทิมาห, ภควา จ ยํ สนฺธาย นิโพฺภคตาทิํ อตฺตนิ อนุชานาติ, ตํ สนฺธาย ภาสิตมตฺตํ ฯ ฉนฺทราคปริโภโคติ ฉนฺทราควเสน ปริโภโคฯ อปรํ ปริยายนฺติ อญฺญํ การณํฯ
4.Sabbapariyāyesūti sabbavāresu. Sandhāya bhāsitamattanti yaṃ sandhāya brāhmaṇo ‘‘nibbhogo bhavaṃ gotamo’’tiādimāha, bhagavā ca yaṃ sandhāya nibbhogatādiṃ attani anujānāti, taṃ sandhāya bhāsitamattaṃ . Chandarāgaparibhogoti chandarāgavasena paribhogo. Aparaṃ pariyāyanti aññaṃ kāraṇaṃ.
๕. กุลสมุทาจารกมฺมนฺติ กุลาจารสงฺขาตํ กมฺมํ, กุลจาริตฺตนฺติ วุตฺตํ โหติฯ อกิริยนฺติ อกรณภาวํฯ ทุฎฺฐุ จริตํ ทุจฺจริตํ, กายทฺวาเร พาหุลฺลวุตฺติโต กายโต ปวตฺตํ ทุจฺจริตนฺติ กายทุจฺจริตํฯ ตํ สรูปโต ทเสฺสโนฺต ‘‘ตตฺถ จา’’ติอาทิมาหฯ ปาณาติปาตอทินฺนาทานมิจฺฉาจารเจตนา เวทิตพฺพาติ เอตฺถ (อิติวุ. อฎฺฐ. ๗๔) ปาโณติ ปรมตฺถโต ชีวิตินฺทฺริยํ, โวหารโต สโตฺตฯ ชีวิตินฺทฺริยเญฺจตฺถ รูปารูปวเสน เวทิตพฺพํฯ รูปชีวิตินฺทฺริเย หิ วิโกปิเต อิตรมฺปิ ตํสมฺพนฺธตาย วินสฺสติฯ สโตฺตติ จ ขนฺธสนฺตาโน คเหตโพฺพฯ ตตฺถ หิ สตฺตปญฺญตฺติฯ สรเสเนว ปตนสภาวสฺส อนฺตรา เอว อตีว ปาตนํ อติปาโต, สณิกํ ปติตุํ อทตฺวา สีฆํ ปาตนนฺติ อโตฺถฯ อติกฺกมฺม วา สตฺถาทีหิ อภิภวิตฺวา ปาตนํ อติปาโต, ปาณสฺส อติปาโต ปาณาติปาโต, ปาณวโธ ปาณฆาโตติ วุตฺตํ โหติฯ อตฺถโต ปน ปาเณ ปาณสญฺญิโน ปรสฺส ชีวิตินฺทฺริยุปเจฺฉทกปโยคสมุฎฺฐาปิกา กายวจีทฺวารานมญฺญตรปฺปวตฺตา วธกเจตนาฯ ยาย หิ เจตนาย วตฺตมานสฺส ชีวิตินฺทฺริยสฺส นิสฺสยภูเตสุ มหาภูเตสุ อุปกฺกมกรณเหตุกมหาภูตปจฺจยา อุปฺปชฺชนกมหาภูตา นุปฺปชฺชิสฺสนฺติ, สา ตาทิสปฺปโยคสมุฎฺฐาปิกา เจตนา ปาณาติปาโตฯ ลทฺธุปกฺกมานิ หิ ภูตานิ อิตรภูตานิ วิย น วิสทานีติ สมานชาติยานํ การณานิ น โหนฺติฯ
5.Kulasamudācārakammanti kulācārasaṅkhātaṃ kammaṃ, kulacārittanti vuttaṃ hoti. Akiriyanti akaraṇabhāvaṃ. Duṭṭhu caritaṃ duccaritaṃ, kāyadvāre bāhullavuttito kāyato pavattaṃ duccaritanti kāyaduccaritaṃ. Taṃ sarūpato dassento ‘‘tattha cā’’tiādimāha. Pāṇātipātaadinnādānamicchācāracetanāveditabbāti ettha (itivu. aṭṭha. 74) pāṇoti paramatthato jīvitindriyaṃ, vohārato satto. Jīvitindriyañcettha rūpārūpavasena veditabbaṃ. Rūpajīvitindriye hi vikopite itarampi taṃsambandhatāya vinassati. Sattoti ca khandhasantāno gahetabbo. Tattha hi sattapaññatti. Saraseneva patanasabhāvassa antarā eva atīva pātanaṃ atipāto, saṇikaṃ patituṃ adatvā sīghaṃ pātananti attho. Atikkamma vā satthādīhi abhibhavitvā pātanaṃ atipāto, pāṇassa atipāto pāṇātipāto, pāṇavadho pāṇaghātoti vuttaṃ hoti. Atthato pana pāṇe pāṇasaññino parassa jīvitindriyupacchedakapayogasamuṭṭhāpikā kāyavacīdvārānamaññatarappavattā vadhakacetanā. Yāya hi cetanāya vattamānassa jīvitindriyassa nissayabhūtesu mahābhūtesu upakkamakaraṇahetukamahābhūtapaccayā uppajjanakamahābhūtā nuppajjissanti, sā tādisappayogasamuṭṭhāpikā cetanā pāṇātipāto. Laddhupakkamāni hi bhūtāni itarabhūtāni viya na visadānīti samānajātiyānaṃ kāraṇāni na honti.
เอตฺถาห – ขเณ ขเณ นิรุชฺฌนสภาเวสุ สงฺขาเรสุ โก หนฺตา, โก วา หญฺญติ, ยทิ จิตฺตเจตสิกสนฺตาโน, โส อรูปตาย น เฉทนเภทนาทิวเสน วิโกปนสมโตฺถ, นปิ วิโกปนีโยฯ อถ รูปสนฺตาโน, โส อเจตนตาย กฎฺฐกลิงฺครูปโมติ น ตตฺถ เฉทนาทินา ปาณาติปาโต ลพฺภติ ยถา มตสรีเรฯ ปโยโคปิ ปาณาติปาตสฺส ปหรณปฺปหาราทิ อตีเตสุ วา สงฺขาเรสุ ภเวยฺย อนาคเตสุ วา ปจฺจุปฺปเนฺนสุ วา, ตตฺถ น ตาว อตีตานาคเตสุ สมฺภวติ เตสํ อภาวโต, ปจฺจุปฺปเนฺนสุ จ สงฺขารานํ ขณิกตฺตา สรเสเนว นิรุชฺฌนสภาวตาย วินาสาภิมุเขสุ นิปฺปโยชโน ปโยโค สิยา, วินาสสฺส จ การณรหิตตฺตา น ปหรณปฺปหาราทิปฺปโยคเหตุกํ มรณํ, นิรีหกตาย จ สงฺขารานํ กสฺส โส ปโยโค, ขณิกตฺตา วธาธิปฺปายสมกาลภิชฺชนโต กสฺส กิริยา, ปริโยสานกาลานวฎฺฐานโต กสฺส วา ปาณาติปาตกมฺมพโทฺธติ?
Etthāha – khaṇe khaṇe nirujjhanasabhāvesu saṅkhāresu ko hantā, ko vā haññati, yadi cittacetasikasantāno, so arūpatāya na chedanabhedanādivasena vikopanasamattho, napi vikopanīyo. Atha rūpasantāno, so acetanatāya kaṭṭhakaliṅgarūpamoti na tattha chedanādinā pāṇātipāto labbhati yathā matasarīre. Payogopi pāṇātipātassa paharaṇappahārādi atītesu vā saṅkhāresu bhaveyya anāgatesu vā paccuppannesu vā, tattha na tāva atītānāgatesu sambhavati tesaṃ abhāvato, paccuppannesu ca saṅkhārānaṃ khaṇikattā saraseneva nirujjhanasabhāvatāya vināsābhimukhesu nippayojano payogo siyā, vināsassa ca kāraṇarahitattā na paharaṇappahārādippayogahetukaṃ maraṇaṃ, nirīhakatāya ca saṅkhārānaṃ kassa so payogo, khaṇikattā vadhādhippāyasamakālabhijjanato kassa kiriyā, pariyosānakālānavaṭṭhānato kassa vā pāṇātipātakammabaddhoti?
วุจฺจเต – ยถาวุตฺตวธกเจตนาสหิโต สงฺขารานํ ปุโญฺช สตฺตสงฺขาโต หนฺตาฯ เตน ปวตฺติตวธปฺปโยคนิมิตฺตํ อปคตุสฺมาวิญฺญาณชีวิตินฺทฺริโย มตโวหารปฺปวตฺตินิพนฺธโน ยถาวุตฺตวธปฺปโยคกรเณ อุปฺปชฺชนารโห รูปารูปธมฺมสมูโห หญฺญติ, เกวโล วา จิตฺตเจตสิกสนฺตาโนฯ วธปฺปโยคาวิสยภาเวปิ ตสฺส ปญฺจโวการภเว รูปสนฺตานาธีนวุตฺติตาย รูปสนฺตาเน ปเรน ปโยชิตชีวิตินฺทฺริยุปเจฺฉทกปโยควเสน ตนฺนิพฺพตฺติวินิพนฺธกวิสทิสรูปุปฺปตฺติยา วิหเต วิเจฺฉโท โหตีติ น ปาณาติปาตสฺส อสมฺภโว, นปิ อเหตุโก ปาณาติปาโต, น จ ปโยโค นิปฺปโยชโนฯ ปจฺจุปฺปเนฺนสุ สงฺขาเรสุ กตปโยควเสน ตทนนฺตรํ อุปฺปชฺชนารหสฺส สงฺขารกลาปสฺส ตถา อนุปฺปตฺติโต ขณิกานํ สงฺขารานํ ขณิกมรณสฺส อิธ มรณภาเวน อนธิเปฺปตตฺตา สนฺตติมรณสฺส จ ยถาวุตฺตนเยน สเหตุกภาวโต น อเหตุกํ มรณํ, น จ กตฺตุรหิโต ปาณาติปาตปโยโค นิรีหเกสุปิ สงฺขาเรสุ สนฺนิหิตตามเตฺตน อุปการเกสุ อตฺตโน อตฺตโน อนุรูปผลุปฺปาทนิยเตสุ การเณสุ กตฺตุโวหารสิทฺธิโต ยถา ‘‘ปทีโป ปกาเสติ, นิสากโรว จนฺทิมา’’ติฯ น จ เกวลสฺส วธาธิปฺปายสหภุโน จิตฺตเจตสิกกลาปสฺส ปาณาติปาโต อิจฺฉิตโพฺพ สนฺตานวเสน อวฎฺฐิตเสฺสว ปฎิชานนโตฯ สนฺตานวเสน วตฺตมานานญฺจ ปทีปาทีนํ อตฺถกิริยา ทิสฺสตีติ อเตฺถว ปาณาติปาเตน กมฺมพโทฺธฯ อยญฺจ วิจาโร อทินฺนาทานาทีสุปิ ยถาสมฺภวํ วิภาเวตโพฺพฯ
Vuccate – yathāvuttavadhakacetanāsahito saṅkhārānaṃ puñjo sattasaṅkhāto hantā. Tena pavattitavadhappayoganimittaṃ apagatusmāviññāṇajīvitindriyo matavohārappavattinibandhano yathāvuttavadhappayogakaraṇe uppajjanāraho rūpārūpadhammasamūho haññati, kevalo vā cittacetasikasantāno. Vadhappayogāvisayabhāvepi tassa pañcavokārabhave rūpasantānādhīnavuttitāya rūpasantāne parena payojitajīvitindriyupacchedakapayogavasena tannibbattivinibandhakavisadisarūpuppattiyā vihate vicchedo hotīti na pāṇātipātassa asambhavo, napi ahetuko pāṇātipāto, na ca payogo nippayojano. Paccuppannesu saṅkhāresu katapayogavasena tadanantaraṃ uppajjanārahassa saṅkhārakalāpassa tathā anuppattito khaṇikānaṃ saṅkhārānaṃ khaṇikamaraṇassa idha maraṇabhāvena anadhippetattā santatimaraṇassa ca yathāvuttanayena sahetukabhāvato na ahetukaṃ maraṇaṃ, na ca katturahito pāṇātipātapayogo nirīhakesupi saṅkhāresu sannihitatāmattena upakārakesu attano attano anurūpaphaluppādaniyatesu kāraṇesu kattuvohārasiddhito yathā ‘‘padīpo pakāseti, nisākarova candimā’’ti. Na ca kevalassa vadhādhippāyasahabhuno cittacetasikakalāpassa pāṇātipāto icchitabbo santānavasena avaṭṭhitasseva paṭijānanato. Santānavasena vattamānānañca padīpādīnaṃ atthakiriyā dissatīti attheva pāṇātipātena kammabaddho. Ayañca vicāro adinnādānādīsupi yathāsambhavaṃ vibhāvetabbo.
โส (ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.๘๙; ธ. ส. อฎฺฐ. อกุสลกมฺมปถกถา) จ ปาณาติปาโต คุณวิรหิเตสุ ติรจฺฉานคตาทีสุ ปาเณสุ ขุทฺทเก ปาเณ อปฺปสาวโชฺช, มหเนฺต มหาสาวโชฺชฯ กสฺมา? ปโยคมหนฺตตาย, ปโยคสมเตฺตปิ วตฺถุมหนฺตตายฯ คุณวเนฺตสุ มนุสฺสาทีสุ อปฺปคุเณ ปาเณ อปฺปสาวโชฺช, มหาคุเณ มหาสาวโชฺชฯ สรีรคุณานํ ปน สมภาเว สติปิ กิเลสานํ อุปกฺกมานญฺจ มุทุตาย อปฺปสาวโชฺช, ติพฺพตาย มหาสาวโชฺชติ เวทิตโพฺพฯ
So (ma. ni. aṭṭha. 1.89; dha. sa. aṭṭha. akusalakammapathakathā) ca pāṇātipāto guṇavirahitesu tiracchānagatādīsu pāṇesu khuddake pāṇe appasāvajjo, mahante mahāsāvajjo. Kasmā? Payogamahantatāya, payogasamattepi vatthumahantatāya. Guṇavantesu manussādīsu appaguṇe pāṇe appasāvajjo, mahāguṇe mahāsāvajjo. Sarīraguṇānaṃ pana samabhāve satipi kilesānaṃ upakkamānañca mudutāya appasāvajjo, tibbatāya mahāsāvajjoti veditabbo.
กายวาจาหิ น ทินฺนนฺติ อทินฺนํ, ปรสนฺตกํ, ตสฺส อาทานํ อทินฺนาทานํฯ ปรสฺสหรณํ เถยฺยํ, โจริกาติ วุตฺตํ โหติฯ อตฺถโต ปน ปรปริคฺคเห ปรปริคฺคหิตสญฺญิโน ตทาทายกอุปกฺกมสมุฎฺฐาปิกา กายวจีทฺวารานมญฺญตรทฺวารปฺปวตฺตา เถยฺยเจตนาฯ ตํ หีเน ปรสนฺตเก อปฺปสาวชฺชํ, ปณีเต มหาสาวชฺชํฯ กสฺมา? วตฺถุปณีตตายฯ วตฺถุสมเตฺต สติ คุณาธิกานํ สนฺตเก วตฺถุสฺมิํ มหาสาวชฺชํ, ตํตํคุณาธิกํ อุปาทาย ตโต ตโต หีนคุณสฺส สนฺตเก วตฺถุสฺมิํ อปฺปสาวชฺชํฯ
Kāyavācāhi na dinnanti adinnaṃ, parasantakaṃ, tassa ādānaṃ adinnādānaṃ. Parassaharaṇaṃ theyyaṃ, corikāti vuttaṃ hoti. Atthato pana parapariggahe parapariggahitasaññino tadādāyakaupakkamasamuṭṭhāpikā kāyavacīdvārānamaññataradvārappavattā theyyacetanā. Taṃ hīne parasantake appasāvajjaṃ, paṇīte mahāsāvajjaṃ. Kasmā? Vatthupaṇītatāya. Vatthusamatte sati guṇādhikānaṃ santake vatthusmiṃ mahāsāvajjaṃ, taṃtaṃguṇādhikaṃ upādāya tato tato hīnaguṇassa santake vatthusmiṃ appasāvajjaṃ.
มิจฺฉา จรณํ มิจฺฉาจาโร, เมถุนสมาจาเรสุ เอกนฺตนินฺทิโต ลามกาจาโรฯ โส ปน ลกฺขณโต อสทฺธมฺมาธิปฺปาเยน กายทฺวารปฺปวตฺตา อคมนียฎฺฐานวีติกฺกมเจตนาฯ โส ปเนส มิจฺฉาจาโร สีลาทิคุณวิรหิเต อคมนียฎฺฐาเน อปฺปสาวโชฺช, สีลาทิคุณสมฺปเนฺน มหาสาวโชฺชฯ ตสฺส จตฺตาโร สมฺภารา – อคมนียวตฺถุ, ตสฺมิํ เสวนจิตฺตํ, เสวนปโยโค, มเคฺคนมคฺคปฺปฎิปตฺติอธิวาสนนฺติฯ เอโก ปโยโค สาหตฺถิโก เอวฯ
Micchā caraṇaṃ micchācāro, methunasamācāresu ekantanindito lāmakācāro. So pana lakkhaṇato asaddhammādhippāyena kāyadvārappavattā agamanīyaṭṭhānavītikkamacetanā. So panesa micchācāro sīlādiguṇavirahite agamanīyaṭṭhāne appasāvajjo, sīlādiguṇasampanne mahāsāvajjo. Tassa cattāro sambhārā – agamanīyavatthu, tasmiṃ sevanacittaṃ, sevanapayogo, maggenamaggappaṭipattiadhivāsananti. Eko payogo sāhatthiko eva.
วจีทฺวาเร พาหุลฺลวุตฺติโต วาจโต ปวตฺตํ ทุจฺจริตนฺติ วจีทุจฺจริตํฯ ตํ สรูปโต ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘มุสาวาทปิสุณวาจาผรุสวาจาสมฺผปฺปลาปเจตนา เวทิตพฺพา’’ติฯ ตตฺถ มุสาติ อภูตํ อตจฺฉํ วตฺถุฯ มุสา วทียติ วุจฺจติ เอตายาติ มุสาวาโท, อตถํ วตฺถุํ ตถโต ปรํ วิญฺญาเปตุกามสฺส ตถาวิญฺญตฺติสมุฎฺฐาปิกา เจตนาฯ โส ยมตฺถํ ภญฺชติ, ตสฺส อปฺปตาย อปฺปสาวโชฺช, มหนฺตตาย มหาสาวโชฺชฯ อปิจ คหฎฺฐานํ อตฺตโน สนฺตกํ อทาตุกามตาย นตฺถีติ อาทินยปฺปวโตฺต อปฺปสาวโชฺช, สกฺขินา หุตฺวา อตฺถภญฺชนตฺถํ วุโตฺต มหาสาวโชฺชฯ ปพฺพชิตานํ อปฺปกมฺปิ เตลํ วา สปฺปิํ วา ลภิตฺวา หสาธิปฺปาเยน ‘‘อชฺช คาเม เตลํ นที มเญฺญ สนฺทตี’’ติ ปูรณกถานเยน ปวโตฺต อปฺปสาวโชฺช, อทิฎฺฐํเยว ปน ทิฎฺฐนฺติอาทินา นเยน วทนฺตานํ มหาสาวโชฺชฯ ตสฺส จตฺตาโร สมฺภารา โหนฺติ – อตถํ วตฺถุ, วิสํวาทนจิตฺตํ, ตโชฺช วายาโม, ปรสฺส ตทตฺถวิญฺญาปนนฺติฯ เอโก ปโยโค สาหตฺถิโกวฯ โส กาเยน วา กายปฎิพเทฺธน วา วาจาย วา ปรวิสํวาทกกิริยากรเณ ทฎฺฐโพฺพฯ ตาย เจ กิริยาย ปโร ตมตฺถํ ชานาติ, อยํ กิริยาสมุฎฺฐาปิกเจตนากฺขเณเยว มุสาวาทกมฺมุนา พชฺฌติฯ ยสฺมา ปน ยถา กายกายปฎิพทฺธวาจาหิ ปรํ วิสํวาเทติ, ตถา ‘‘อิทมสฺส ภณาหี’’ติ อาณาเปโนฺตปิ, ปณฺณํ ลิขิตฺวา ปุรโต นิสฺสชฺชโนฺตปิ, ‘‘อยํ อโตฺถ เอวํ เวทิตโพฺพ’’ติ กุฎฺฎาทีสุ ลิขิตฺวา ฐเปโนฺตปิ, ตสฺมา เอตฺถ อาณตฺติกนิสฺสคฺคิยถาวราปิ ปโยคา ยุชฺชนฺติฯ อฎฺฐกถาสุ ปน อนาคตตฺตา วีมํสิตฺวา คเหตพฺพาฯ
Vacīdvāre bāhullavuttito vācato pavattaṃ duccaritanti vacīduccaritaṃ. Taṃ sarūpato dassento āha ‘‘musāvādapisuṇavācāpharusavācāsamphappalāpacetanā veditabbā’’ti. Tattha musāti abhūtaṃ atacchaṃ vatthu. Musā vadīyati vuccati etāyāti musāvādo, atathaṃ vatthuṃ tathato paraṃ viññāpetukāmassa tathāviññattisamuṭṭhāpikā cetanā. So yamatthaṃ bhañjati, tassa appatāya appasāvajjo, mahantatāya mahāsāvajjo. Apica gahaṭṭhānaṃ attano santakaṃ adātukāmatāya natthīti ādinayappavatto appasāvajjo, sakkhinā hutvā atthabhañjanatthaṃ vutto mahāsāvajjo. Pabbajitānaṃ appakampi telaṃ vā sappiṃ vā labhitvā hasādhippāyena ‘‘ajja gāme telaṃ nadī maññe sandatī’’ti pūraṇakathānayena pavatto appasāvajjo, adiṭṭhaṃyeva pana diṭṭhantiādinā nayena vadantānaṃ mahāsāvajjo. Tassa cattāro sambhārā honti – atathaṃ vatthu, visaṃvādanacittaṃ, tajjo vāyāmo, parassa tadatthaviññāpananti. Eko payogo sāhatthikova. So kāyena vā kāyapaṭibaddhena vā vācāya vā paravisaṃvādakakiriyākaraṇe daṭṭhabbo. Tāya ce kiriyāya paro tamatthaṃ jānāti, ayaṃ kiriyāsamuṭṭhāpikacetanākkhaṇeyeva musāvādakammunā bajjhati. Yasmā pana yathā kāyakāyapaṭibaddhavācāhi paraṃ visaṃvādeti, tathā ‘‘idamassa bhaṇāhī’’ti āṇāpentopi, paṇṇaṃ likhitvā purato nissajjantopi, ‘‘ayaṃ attho evaṃ veditabbo’’ti kuṭṭādīsu likhitvā ṭhapentopi, tasmā ettha āṇattikanissaggiyathāvarāpi payogā yujjanti. Aṭṭhakathāsu pana anāgatattā vīmaṃsitvā gahetabbā.
ปิสตีติ ปิสุณา, สมเคฺค สเตฺต อวยวภูเต วเคฺค ภิเนฺน กโรตีติ อโตฺถฯ นิรุตฺตินเยน วา ปิยสุญฺญกรณโต ปิสุณาฯ ยาย หิ วาจาย ยสฺส ตํ วาจํ ภาสติ, ตสฺส หทเย อตฺตโน ปิยภาวํ, ปรสฺส จ ปิยสุญฺญภาวํ กโรติ, สา ปิสุณวาจาฯ ลกฺขณโต ปน สํกิลิฎฺฐจิตฺตสฺส ปเรสํ วา เภทาย อตฺตโน ปิยกมฺยตาย วา กายวจีปโยคสมุฎฺฐาปิกา เจตนา ปิสุณวาจา ปิสุณํ วทติ เอตายาติ กตฺวาฯ สา ยสฺส เภทํ กโรติ, ตสฺส อปฺปคุณตาย อปฺปสาวชฺชา, มหาคุณตาย มหาสาวชฺชาฯ ตสฺสา จตฺตาโร สมฺภารา – ภินฺทิตโพฺพ ปโร, ‘‘อิติ อิเม นานา ภวิสฺสนฺติ วินา ภวิสฺสนฺตี’’ติ เภทปุเรกฺขารตา วา ‘‘อิติ อหํ ปิโย ภวิสฺสามิ วิสฺสาสิโก’’ติ ปิยกมฺยตา วา, ตโชฺช วายาโม, ตสฺส ตทตฺถวิชานนนฺติฯ ปเร ปน อภิเนฺน กมฺมปถเภโท นตฺถิ, ภิเนฺน เอว โหติฯ
Pisatīti pisuṇā, samagge satte avayavabhūte vagge bhinne karotīti attho. Niruttinayena vā piyasuññakaraṇato pisuṇā. Yāya hi vācāya yassa taṃ vācaṃ bhāsati, tassa hadaye attano piyabhāvaṃ, parassa ca piyasuññabhāvaṃ karoti, sā pisuṇavācā. Lakkhaṇato pana saṃkiliṭṭhacittassa paresaṃ vā bhedāya attano piyakamyatāya vā kāyavacīpayogasamuṭṭhāpikā cetanā pisuṇavācā pisuṇaṃ vadati etāyāti katvā. Sā yassa bhedaṃ karoti, tassa appaguṇatāya appasāvajjā, mahāguṇatāya mahāsāvajjā. Tassā cattāro sambhārā – bhinditabbo paro, ‘‘iti ime nānā bhavissanti vinā bhavissantī’’ti bhedapurekkhāratā vā ‘‘iti ahaṃ piyo bhavissāmi vissāsiko’’ti piyakamyatā vā, tajjo vāyāmo, tassa tadatthavijānananti. Pare pana abhinne kammapathabhedo natthi, bhinne eva hoti.
ผรุสยตีติ ผรุสา, วาจาฯ ยาย หิ วาจาย อตฺตานมฺปิ ปรมฺปิ ผรุสํ สิเนหาภาเวน ลูขํ กโรติ, สา ผรุสวาจาฯ อถ วา สยมฺปิ ผรุสา โทมนสฺสสมุฎฺฐิตตฺตา สภาเวนปิ กกฺกสา เนว กณฺณสุขา น หทยสุขาติ ผรุสวาจาฯ เอตฺถ ปน ปเรสํ มมฺมเจฺฉทนวเสน ปวตฺติยา เอกนฺตนิฎฺฐุรตาย สภาเวน การณโวหาเรน จ วาจาย ผรุสสทฺทปฺปวตฺติ ทฎฺฐพฺพาฯ ตํ ผรุสํ วทติ เอตายาติ ผรุสวาจา, ปรสฺส มมฺมเจฺฉทกกายวจีปโยคสมุฎฺฐาปิกา เอกนฺตผรุสา เจตนาฯ ตสฺสา อาวิภาวตฺถมิทํ วตฺถุ – เอโก กิร ทารโก มาตุ วจนํ อนาทิยิตฺวา อรญฺญํ คจฺฉติ, ตํ มาตา นิวเตฺตตุํ อสโกฺกนฺตี ‘‘จณฺฑา ตํ มหิํสี อนุพนฺธตู’’ติ อโกฺกสิฯ อถสฺส ตเถว อรเญฺญ มหิํสี อุฎฺฐาสิฯ ทารโก ‘‘ยํ มม มาตา มุเขน กเถสิ, ตํ มา โหตุฯ ยํ จิเตฺตน จิเนฺตสิ, ตํ โหตู’’ติ สจฺจกิริยมกาสิฯ มหิํสี ตเตฺถว พทฺธา วิย อฎฺฐาสิ ฯ เอวํ มมฺมเจฺฉทโกปิ ปโยโค จิตฺตสณฺหตาย ผรุสวาจา น โหติฯ มาตาปิตโร หิ กทาจิ ปุตฺตเก เอวมฺปิ วทนฺติ ‘‘โจรา โว ขณฺฑาขณฺฑิกํ กโรนฺตู’’ติ, อุปฺปลปตฺตมฺปิ จ เนสํ อุปริ ปตนฺตํ น อิจฺฉนฺติฯ อาจริยุปชฺฌายา จ กทาจิ นิสฺสิตเก เอวํ วทนฺติ ‘‘กิํ อิเม อหิริกา อโนตฺตปฺปิโน จรนฺติ, นิทฺธมถ เน’’ติฯ อถ จ เนสํ อาคมาธิคมสมฺปตฺติํ อิจฺฉนฺติ, ยถา จิตฺตสณฺหตาย ผรุสวาจา น โหติ, เอวํ วจนสณฺหตาย อผรุสวาจาปิ น โหติฯ น หิ มาราเปตุกามสฺส ‘‘อิมํ สุขํ สยาเปถา’’ติ วจนํ อผรุสวาจา โหติ, จิตฺตผรุสตาย ปน เอสา ผรุสวาจาวฯ สา ยํ สนฺธาย ปวตฺติตา, ตสฺส อปฺปคุณตาย อปฺปสาวชฺชา, มหาคุณตาย มหาสาวชฺชาฯ ตสฺสา ตโย สมฺภารา – อโกฺกสิตโพฺพ ปโร, กุปิตจิตฺตํ, อโกฺกสนาติฯ
Pharusayatīti pharusā, vācā. Yāya hi vācāya attānampi parampi pharusaṃ sinehābhāvena lūkhaṃ karoti, sā pharusavācā. Atha vā sayampi pharusā domanassasamuṭṭhitattā sabhāvenapi kakkasā neva kaṇṇasukhā na hadayasukhāti pharusavācā. Ettha pana paresaṃ mammacchedanavasena pavattiyā ekantaniṭṭhuratāya sabhāvena kāraṇavohārena ca vācāya pharusasaddappavatti daṭṭhabbā. Taṃ pharusaṃ vadati etāyāti pharusavācā, parassa mammacchedakakāyavacīpayogasamuṭṭhāpikā ekantapharusā cetanā. Tassā āvibhāvatthamidaṃ vatthu – eko kira dārako mātu vacanaṃ anādiyitvā araññaṃ gacchati, taṃ mātā nivattetuṃ asakkontī ‘‘caṇḍā taṃ mahiṃsī anubandhatū’’ti akkosi. Athassa tatheva araññe mahiṃsī uṭṭhāsi. Dārako ‘‘yaṃ mama mātā mukhena kathesi, taṃ mā hotu. Yaṃ cittena cintesi, taṃ hotū’’ti saccakiriyamakāsi. Mahiṃsī tattheva baddhā viya aṭṭhāsi . Evaṃ mammacchedakopi payogo cittasaṇhatāya pharusavācā na hoti. Mātāpitaro hi kadāci puttake evampi vadanti ‘‘corā vo khaṇḍākhaṇḍikaṃ karontū’’ti, uppalapattampi ca nesaṃ upari patantaṃ na icchanti. Ācariyupajjhāyā ca kadāci nissitake evaṃ vadanti ‘‘kiṃ ime ahirikā anottappino caranti, niddhamatha ne’’ti. Atha ca nesaṃ āgamādhigamasampattiṃ icchanti, yathā cittasaṇhatāya pharusavācā na hoti, evaṃ vacanasaṇhatāya apharusavācāpi na hoti. Na hi mārāpetukāmassa ‘‘imaṃ sukhaṃ sayāpethā’’ti vacanaṃ apharusavācā hoti, cittapharusatāya pana esā pharusavācāva. Sā yaṃ sandhāya pavattitā, tassa appaguṇatāya appasāvajjā, mahāguṇatāya mahāsāvajjā. Tassā tayo sambhārā – akkositabbo paro, kupitacittaṃ, akkosanāti.
สํ สุขํ หิตญฺจ ผลติ วิสรติ วินาเสตีติ สมฺผํ, อตฺตโน ปเรสญฺจ อนุปการกํ ยํ กิญฺจิ, สมฺผํ ปลปติ เอตายาติ สมฺผปฺปลาโป, อนตฺถวิญฺญาปิกกายวจีปโยคสมอุฎฺฐาปิกา อกุสลเจตนาฯ โส อาเสวนมนฺทตาย อปฺปสาวโชฺช, อาเสวนมหนฺตตาย มหาสาวโชฺชฯ ตสฺส เทฺว สมฺภารา – ภารตยุทฺธสีตาหรณาทินิรตฺถกกถาปุเรกฺขารตา, ตถารูปีกถากถนญฺจฯ ปเร ปน ตํ กถํ อคณฺหเนฺต กมฺมปถเภโท นตฺถิ, ปเรน ปน สมฺผปฺปลาเป คหิเตเยว โหติฯ
Saṃ sukhaṃ hitañca phalati visarati vināsetīti samphaṃ, attano paresañca anupakārakaṃ yaṃ kiñci, samphaṃ palapati etāyāti samphappalāpo, anatthaviññāpikakāyavacīpayogasamauṭṭhāpikā akusalacetanā. So āsevanamandatāya appasāvajjo, āsevanamahantatāya mahāsāvajjo. Tassa dve sambhārā – bhāratayuddhasītāharaṇādiniratthakakathāpurekkhāratā, tathārūpīkathākathanañca. Pare pana taṃ kathaṃ agaṇhante kammapathabhedo natthi, parena pana samphappalāpe gahiteyeva hoti.
อภิชฺฌาพฺยาปาทมิจฺฉาทิฎฺฐิโยติ เอตฺถ ปรสมฺปตฺติํ อภิมุขํ ฌายตีติ อภิชฺฌา, ปรสมฺปตฺตีสุ โลโภฯ สา ปน ‘‘อโห วต อิทํ มมสฺสา’’ติ เอวํ ปรภณฺฑาภิชฺฌายนลกฺขณาฯ อทินฺนาทานํ วิย อปฺปสาวชฺชา มหาสาวชฺชา จฯ ตสฺสา เทฺว สมฺภารา – ปรภณฺฑํ, อตฺตโน ปริณามนญฺจฯ ปรภณฺฑวตฺถุเก หิ โลเภ อุปฺปเนฺนปิ น ตาว กมฺมปถเภโท โหติ, ยาว ‘‘อโห วต อิทํ มมสฺสา’’ติ อตฺตโน น ปริณาเมติฯ
Abhijjhābyāpādamicchādiṭṭhiyoti ettha parasampattiṃ abhimukhaṃ jhāyatīti abhijjhā, parasampattīsu lobho. Sā pana ‘‘aho vata idaṃ mamassā’’ti evaṃ parabhaṇḍābhijjhāyanalakkhaṇā. Adinnādānaṃ viya appasāvajjā mahāsāvajjā ca. Tassā dve sambhārā – parabhaṇḍaṃ, attano pariṇāmanañca. Parabhaṇḍavatthuke hi lobhe uppannepi na tāva kammapathabhedo hoti, yāva ‘‘aho vata idaṃ mamassā’’ti attano na pariṇāmeti.
หิตสุขํ พฺยาปาเทติ วินาเสตีติ พฺยาปาโท, ปฎิโฆฯ โส ปรวินาสาย มโนปโทสลกฺขโณ ฯ โส ผรุสวาจา วิย อปฺปสาวโชฺช มหาสาวโชฺช จฯ ตสฺส เทฺว สมฺภารา – ปรสโตฺต, ตสฺส จ วินาสนจินฺตาฯ ปรสตฺตวตฺถุเก หิ โกเธ อุปฺปเนฺนปิ น ตาว กมฺมปถเภโท โหติ, ยาว ‘‘อโห วตายํ อุจฺฉิเชฺชยฺย วินเสฺสยฺยา’’ติ ตสฺส วินาสนํ น จิเนฺตติฯ
Hitasukhaṃ byāpādeti vināsetīti byāpādo, paṭigho. So paravināsāya manopadosalakkhaṇo . So pharusavācā viya appasāvajjo mahāsāvajjo ca. Tassa dve sambhārā – parasatto, tassa ca vināsanacintā. Parasattavatthuke hi kodhe uppannepi na tāva kammapathabhedo hoti, yāva ‘‘aho vatāyaṃ ucchijjeyya vinasseyyā’’ti tassa vināsanaṃ na cinteti.
ยถาภุจฺจคหณาภาเวน มิจฺฉา ปสฺสตีติ มิจฺฉาทิฎฺฐิฯ สา ‘‘นตฺถิ ทินฺน’’นฺติอาทินา นเยน วิปรีตทสฺสนลกฺขณาฯ สมฺผปฺปลาโป วิย อปฺปสาวชฺชา มหาสาวชฺชา จฯ อปิจ อนิยตา อปฺปสาวชฺชา, นิยตา มหาสาวชฺชาฯ ตสฺส เทฺว สมฺภารา – วตฺถุโน คหิตาการวิปรีตตา, ยถา จ ตํ คณฺหาติ, ตถาภาเวน ตสฺสุปฎฺฐานนฺติฯ ตตฺถ นตฺถิกาเหตุกออริยทิฎฺฐีหิ เอว กมฺมปถเภโท โหติฯ
Yathābhuccagahaṇābhāvena micchā passatīti micchādiṭṭhi. Sā ‘‘natthi dinna’’ntiādinā nayena viparītadassanalakkhaṇā. Samphappalāpo viya appasāvajjā mahāsāvajjā ca. Apica aniyatā appasāvajjā, niyatā mahāsāvajjā. Tassa dve sambhārā – vatthuno gahitākāraviparītatā, yathā ca taṃ gaṇhāti, tathābhāvena tassupaṭṭhānanti. Tattha natthikāhetukaaariyadiṭṭhīhi eva kammapathabhedo hoti.
‘‘อเนกวิหิตานํ ปาปกานํ อกุสลานํ ธมฺมาน’’นฺติ สามญฺญวจเนปิ ปาริเสสญายโต วุตฺตาวเสสา อกุสลา ธมฺมา คเหตพฺพาติ อาห ‘‘ฐเปตฺวา เต ธเมฺม’’ติอาทิฯ เต ยถาวุตฺตกายทุจฺจริตาทิเก อกุสลธเมฺม ฐเปตฺวาติ อโตฺถฯ อเนกวิหิตาติ อเนกปฺปการาฯ
‘‘Anekavihitānaṃ pāpakānaṃ akusalānaṃ dhammāna’’nti sāmaññavacanepi pārisesañāyato vuttāvasesā akusalā dhammā gahetabbāti āha ‘‘ṭhapetvā te dhamme’’tiādi. Te yathāvuttakāyaduccaritādike akusaladhamme ṭhapetvāti attho. Anekavihitāti anekappakārā.
๖. อยํ โลกตนฺตีติ อยํ วุฑฺฒานํ อภิวาทนาทิกิริยาลกฺขณา โลกปฺปเวณีฯ อนาคามิพฺรหฺมานํ อลงฺการาทีสุ อนาคามิภิกฺขูนญฺจ จีวราทีสุ นิกนฺติวเสน ราคุปฺปตฺติ โหตีติ อนาคามิมเคฺคน ปญฺจกามคุณิกราคเสฺสว ปหานํ เวทิตพฺพนฺติ อาห ‘‘ปญฺจกามคุณิกราคสฺสา’’ติฯ รูปาทีสุ ปญฺจสุ กามคุเณสุ วตฺถุกามโกฎฺฐาเสสุ อุปฺปชฺชมาโน ราโค ‘‘ปญฺจกามคุณิกราโค’’ติ เวทิตโพฺพฯ โกฎฺฐาสวจโน เหตฺถ คุณสโทฺท ‘‘วโยคุณา อนุปุพฺพํ ชหนฺตี’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๑.๔) วิยฯ ทฺวีสุ อกุสลจิเตฺตสูติ โทมนสฺสสหคเตสุ ทฺวีสุ อกุสลจิเตฺตสุฯ โมหสฺส สพฺพากุสลสาธารณตฺตา อาห ‘‘สพฺพากุสลสมฺภวสฺสา’’ติฯ อวเสสานนฺติ สกฺกายทิฎฺฐิอาทีนํฯ
6.Ayaṃ lokatantīti ayaṃ vuḍḍhānaṃ abhivādanādikiriyālakkhaṇā lokappaveṇī. Anāgāmibrahmānaṃ alaṅkārādīsu anāgāmibhikkhūnañca cīvarādīsu nikantivasena rāguppatti hotīti anāgāmimaggena pañcakāmaguṇikarāgasseva pahānaṃ veditabbanti āha ‘‘pañcakāmaguṇikarāgassā’’ti. Rūpādīsu pañcasu kāmaguṇesu vatthukāmakoṭṭhāsesu uppajjamāno rāgo ‘‘pañcakāmaguṇikarāgo’’ti veditabbo. Koṭṭhāsavacano hettha guṇasaddo ‘‘vayoguṇā anupubbaṃ jahantī’’tiādīsu (saṃ. ni. 1.4) viya. Dvīsu akusalacittesūti domanassasahagatesu dvīsu akusalacittesu. Mohassa sabbākusalasādhāraṇattā āha ‘‘sabbākusalasambhavassā’’ti. Avasesānanti sakkāyadiṭṭhiādīnaṃ.
๗. ชิคุจฺฉติ มเญฺญติ ‘‘อหมภิชาโต รูปวา ปญฺญวา, กถํ นาม อเญฺญสํ อภิวาทนาทิํ กเรยฺย’’นฺติ ชิคุจฺฉติ วิย ชิคุจฺฉตีติ วา สลฺลเกฺขมิฯ อโกสลฺลสมฺภูตเฎฺฐนาติ อญฺญาณสมฺภูตเฎฺฐนฯ อกุสเล ธเมฺม ชิคุจฺฉมาโน เตสํ สมงฺคีภาวมฺปิ ชิคุจฺฉตีติ วุตฺตํ ‘‘อกุสลานํ ธมฺมานํ สมาปตฺตี’’ติฯ สมาปตฺตีติ เอตเสฺสว เววจนํ สมาปชฺชนา สมงฺคิภาโวติฯ มณฺฑนกชาติโยติ มณฺฑนสภาโว, มณฺฑนสีโลติ อโตฺถฯ เชคุจฺฉิตนฺติ ชิคุจฺฉนสีลตํฯ
7.Jigucchati maññeti ‘‘ahamabhijāto rūpavā paññavā, kathaṃ nāma aññesaṃ abhivādanādiṃ kareyya’’nti jigucchati viya jigucchatīti vā sallakkhemi. Akosallasambhūtaṭṭhenāti aññāṇasambhūtaṭṭhena. Akusale dhamme jigucchamāno tesaṃ samaṅgībhāvampi jigucchatīti vuttaṃ ‘‘akusalānaṃ dhammānaṃ samāpattī’’ti. Samāpattīti etasseva vevacanaṃ samāpajjanā samaṅgibhāvoti. Maṇḍanakajātiyoti maṇḍanasabhāvo, maṇḍanasīloti attho. Jegucchitanti jigucchanasīlataṃ.
๘. โลกเชฎฺฐกกมฺมนฺติ โลเก เชฎฺฐกานํ กตฺตพฺพกมฺมํ, โลเก วา เสฎฺฐสมฺมตํ กมฺมํฯ ตตฺราติ ยถาวุเตฺตสุ ทฺวีสุปิ อตฺถวิกเปฺปสุฯ ปทาภิหิโต อโตฺถ ปทโตฺถ, พฺยญฺชนโตฺถติ วุตฺตํ โหติฯ วินยํ วา อรหตีติ เอตฺถ วินยนํ วินโย, นิคฺคณฺหนนฺติ อโตฺถฯ เตนาห ‘‘นิคฺคหํ อรหตีติ วุตฺตํ โหตี’’ติฯ นนุ จ ปฐมํ วุเตฺตสุ ทฺวีสุปิ อตฺถวิกเปฺปสุ สกเตฺถ อรหเตฺถ จ ภทฺธิตปจฺจโย สทฺทลกฺขณโต ทิสฺสติ, น ปน ‘‘วินยาย ธมฺมํ เทเสตี’’ติ อิมสฺมิํ อเตฺถ, ตสฺมา กถเมตฺถ ตทฺธิตปจฺจโยติ อาห ‘‘วิจิตฺรา หิ ตทฺธิตวุตฺตี’’ติฯ วิจิตฺรตา เจตฺถ โลกปฺปมาณโต เวทิตพฺพาฯ ตถา หิ ยสฺมิํ ยสฺมิํ อเตฺถ ตทฺธิตปฺปโยโค โลกสฺส, ตตฺถ ตตฺถ ตทฺธิตวุตฺติ โลกโต สิทฺธาติ วิจิตฺรา ตทฺธิตวุตฺติฯ ตสฺมา ยถา ‘‘มา สทฺทมกาสี’’ติ วทโนฺต ‘‘มาสทฺทิโก’’ติ วุจฺจติ, เอวํ วินยาย ธมฺมํ เทเสตีติ เวนยิโกติ วุจฺจตีติ อธิปฺปาโยฯ
8.Lokajeṭṭhakakammanti loke jeṭṭhakānaṃ kattabbakammaṃ, loke vā seṭṭhasammataṃ kammaṃ. Tatrāti yathāvuttesu dvīsupi atthavikappesu. Padābhihito attho padattho, byañjanatthoti vuttaṃ hoti. Vinayaṃ vā arahatīti ettha vinayanaṃ vinayo, niggaṇhananti attho. Tenāha ‘‘niggahaṃ arahatīti vuttaṃ hotī’’ti. Nanu ca paṭhamaṃ vuttesu dvīsupi atthavikappesu sakatthe arahatthe ca bhaddhitapaccayo saddalakkhaṇato dissati, na pana ‘‘vinayāya dhammaṃ desetī’’ti imasmiṃ atthe, tasmā kathamettha taddhitapaccayoti āha ‘‘vicitrā hi taddhitavuttī’’ti. Vicitratā cettha lokappamāṇato veditabbā. Tathā hi yasmiṃ yasmiṃ atthe taddhitappayogo lokassa, tattha tattha taddhitavutti lokato siddhāti vicitrā taddhitavutti. Tasmā yathā ‘‘mā saddamakāsī’’ti vadanto ‘‘māsaddiko’’ti vuccati, evaṃ vinayāya dhammaṃ desetīti venayikoti vuccatīti adhippāyo.
๙. กปณปุริโสติ คุณวิรหิตตาย ทีนมนุโสฺสฯ พฺยญฺชนานิ อวิจาเรตฺวาติ ติสฺสทตฺตาทิสเทฺทสุ วิย ‘‘อิมสฺมิํ อเตฺถ อยํ นาม ปจฺจโย’’ติ เอวํ พฺยญฺชนํ วิจารํ อกตฺวา, อนิปฺผนฺนปาฎิปทิกวเสนาติ วุตฺตํ โหติฯ
9.Kapaṇapurisoti guṇavirahitatāya dīnamanusso. Byañjanāni avicāretvāti tissadattādisaddesu viya ‘‘imasmiṃ atthe ayaṃ nāma paccayo’’ti evaṃ byañjanaṃ vicāraṃ akatvā, anipphannapāṭipadikavasenāti vuttaṃ hoti.
๑๐. เทวโลกคพฺภสมฺปตฺติยาติ วตฺวา ฐเปตฺวา ภุมฺมเทเว เสเสสุ เทเวสุ คพฺภคฺคหณสฺส อภาวโต ปฎิสนฺธิเยเวตฺถ คพฺภสมฺปตฺตีติ เวทิตพฺพาติ วุตฺตเมวตฺถํ วิวริตฺวา ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘เทวโลกปฎิสนฺธิปฎิลาภาย สํวตฺตตี’’ติฯ อสฺสาติ อภิวาทนาทิสามีจิกมฺมสฺสฯ มาตุกุจฺฉิสฺมิํ ปฎิสนฺธิคฺคหเณ โทสํ ทเสฺสโนฺตติ มาติโต อปริสุทฺธภาวํ ทเสฺสโนฺต, อโกฺกสิตุกามสฺส ทาสิยา ปุโตฺตติ ทาสิกุจฺฉิสฺมิํ นิพฺพตฺตภาเว โทสํ ทเสฺสตฺวา อโกฺกสนํ วิย ภควโต มาตุกุจฺฉิสฺมิํ ปฎิสนฺธิคฺคหเณ โทสํ ทเสฺสตฺวา อโกฺกสโนฺตปิ เอวมาหาติ อธิปฺปาโยฯ คพฺภโตติ เทวโลกปฎิสนฺธิโตฯ เตเนวาห ‘‘อภโพฺพ เทวโลกูปปตฺติํ ปาปุณิตุนฺติ อธิปฺปาโย’’ติฯ หีโน วา คโพฺภ อสฺสาติ อปคโพฺภติ อิมสฺส วิคฺคหสฺส เอเกน ปริยาเยน อธิปฺปายํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘เทวโลกคพฺภปริพาหิรตฺตา อายติํ หีนคพฺภปฎิลาภภาคีตี’’ติฯ อิติ-สทฺทา เอ เหตุอโตฺถ, ยสฺมา อายติมฺปิ หีนคพฺภปฎิลาภภาคี, ตสฺมา หีโน วา คโพฺภ อสฺสาติ อปคโพฺภติ อธิปฺปาโยฯ
10.Devalokagabbhasampattiyāti vatvā ṭhapetvā bhummadeve sesesu devesu gabbhaggahaṇassa abhāvato paṭisandhiyevettha gabbhasampattīti veditabbāti vuttamevatthaṃ vivaritvā dassento āha ‘‘devalokapaṭisandhipaṭilābhāya saṃvattatī’’ti. Assāti abhivādanādisāmīcikammassa. Mātukucchismiṃ paṭisandhiggahaṇe dosaṃ dassentoti mātito aparisuddhabhāvaṃ dassento, akkositukāmassa dāsiyā puttoti dāsikucchismiṃ nibbattabhāve dosaṃ dassetvā akkosanaṃ viya bhagavato mātukucchismiṃ paṭisandhiggahaṇe dosaṃ dassetvā akkosantopi evamāhāti adhippāyo. Gabbhatoti devalokapaṭisandhito. Tenevāha ‘‘abhabbo devalokūpapattiṃ pāpuṇitunti adhippāyo’’ti. Hīno vā gabbho assāti apagabbhoti imassa viggahassa ekena pariyāyena adhippāyaṃ dassento āha ‘‘devalokagabbhaparibāhirattā āyatiṃ hīnagabbhapaṭilābhabhāgītī’’ti. Iti-saddāe hetuattho, yasmā āyatimpi hīnagabbhapaṭilābhabhāgī, tasmā hīno vā gabbho assāti apagabbhoti adhippāyo.
ปุน ตเสฺสว วิคฺคหสฺส โกธวเสน…เป.… ทเสฺสโนฺตติ เหฎฺฐา วุตฺตนยสฺส อนุรูปํ กตฺวา อธิปฺปายํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘หีโน วาสฺส มาตุกุจฺฉิสฺมิํ คพฺภวาโส อโหสีติ อธิปฺปาโย’’ติฯ คพฺภ-สโทฺท อตฺถิ มาตุกุจฺฉิปริยาโย ‘‘คเพฺภ วสติ มาณโว’’ติอาทีสุ (ชา. ๑.๑๕.๓๖๓) วิย ฯ อตฺถิ มาตุกุจฺฉิสฺมิํ นิพฺพตฺตสตฺตปริยาโย ‘‘อนฺตมโส คพฺภปาตนํ อุปาทายา’’ติอาทีสุ (มหาว. ๑๒๙) วิยฯ ตตฺถ มาตุกุจฺฉิปริยายํ คเหตฺวา อตฺถํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘อนาคเต คพฺภเสยฺยา’’ติฯ คเพฺภ เสยฺยา คพฺภเสยฺยาฯ อนุตฺตเรน มเคฺคนาติ อคฺคมเคฺคนฯ กมฺมกิเลสานํ มเคฺคน วิหตตฺตา อาห ‘‘วิหตการณตฺตา’’ติฯ อิตรา ติโสฺสปีติ อณฺฑชสํเสทชโอปปาติกาฯ เอตฺถ จ ยทิปิ ‘‘อปคโพฺภ’’ติ อิมสฺส อนุรูปโต คพฺภเสยฺยา เอว วตฺตพฺพา, ปสงฺคโต ปน ลพฺภมานํ สพฺพมฺปิ วตฺตุํ วฎฺฎตีติ ปุนพฺภวาภินิพฺพตฺติปิ วุตฺตาติ เวทิตพฺพาฯ
Puna tasseva viggahassa kodhavasena…pe… dassentoti heṭṭhā vuttanayassa anurūpaṃ katvā adhippāyaṃ dassento āha ‘‘hīno vāssa mātukucchismiṃ gabbhavāso ahosīti adhippāyo’’ti. Gabbha-saddo atthi mātukucchipariyāyo ‘‘gabbhe vasati māṇavo’’tiādīsu (jā. 1.15.363) viya . Atthi mātukucchismiṃ nibbattasattapariyāyo ‘‘antamaso gabbhapātanaṃ upādāyā’’tiādīsu (mahāva. 129) viya. Tattha mātukucchipariyāyaṃ gahetvā atthaṃ dassento āha ‘‘anāgate gabbhaseyyā’’ti. Gabbhe seyyā gabbhaseyyā. Anuttarena maggenāti aggamaggena. Kammakilesānaṃ maggena vihatattā āha ‘‘vihatakāraṇattā’’ti. Itarā tissopīti aṇḍajasaṃsedajaopapātikā. Ettha ca yadipi ‘‘apagabbho’’ti imassa anurūpato gabbhaseyyā eva vattabbā, pasaṅgato pana labbhamānaṃ sabbampi vattuṃ vaṭṭatīti punabbhavābhinibbattipi vuttāti veditabbā.
อิทานิ สตฺตปริยายสฺส คพฺภสทฺทสฺส วเสน วิคฺคหนานตฺตํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘อปิจา’’ติอาทิฯ อิมสฺมิํ ปน วิกเปฺป คพฺภเสยฺยา ปุนพฺภวาภินิพฺพตฺตีติ อุภยมฺปิ คพฺภเสยฺยวเสเนว วุตฺตนฺติปิ วทนฺติฯ นนุ จ ‘‘อายติํ คพฺภเสยฺยา ปหีนา’’ติ (ปารา. ๑๐) วุตฺตตฺตา คพฺภสฺส เสยฺยา เอว ปหีนา, น ปน คโพฺภติ อาปชฺชตีติ อาห ‘‘ยถา จา’’ติอาทิฯ อถ ‘‘อภินิพฺพตฺตี’’ติ เอตฺตกเมว อวตฺวา ปุนพฺภวคฺคหณํ กิมตฺถนฺติ อาห ‘‘อภินิพฺพตฺติ จ นามา’’ติอาทิฯ อปุนพฺภวภูตาติ ขเณ ขเณ อุปฺปชฺชมานานํ ธมฺมานํ อภินิพฺพตฺติฯ
Idāni sattapariyāyassa gabbhasaddassa vasena viggahanānattaṃ dassento āha ‘‘apicā’’tiādi. Imasmiṃ pana vikappe gabbhaseyyā punabbhavābhinibbattīti ubhayampi gabbhaseyyavaseneva vuttantipi vadanti. Nanu ca ‘‘āyatiṃ gabbhaseyyā pahīnā’’ti (pārā. 10) vuttattā gabbhassa seyyā eva pahīnā, na pana gabbhoti āpajjatīti āha ‘‘yathā cā’’tiādi. Atha ‘‘abhinibbattī’’ti ettakameva avatvā punabbhavaggahaṇaṃ kimatthanti āha ‘‘abhinibbatti ca nāmā’’tiādi. Apunabbhavabhūtāti khaṇe khaṇe uppajjamānānaṃ dhammānaṃ abhinibbatti.
๑๑. ธมฺมธาตุนฺติ เอตฺถ ธเมฺม อนวเสเส ธาเรติ ยาถาวโต อุปธาเรตีติ ธมฺมธาตุ, ธมฺมานํ ยถาสภาวโต อวพุชฺฌนสภาโว, สพฺพญฺญุตญฺญาณเสฺสตํ อธิวจนํฯ ปฎิวิชฺฌิตฺวาติ สจฺฉิกตฺวา, ปฎิลภิตฺวาติ อโตฺถ, ปฎิลาภเหตูติ วุตฺตํ โหติฯ เทสนาวิลาสปฺปโตฺต โหตีติ รุจิวเสน ปริวเตฺตตฺวา เทเสตุํ สมตฺถตา เทสนาวิลาโส, ตํ ปโตฺต อธิคโตติ อโตฺถฯ กรุณาวิปฺผารนฺติ สพฺพสเตฺตสุ มหากรุณาย ผรณํฯ ตาทิคุณลกฺขณเมว ปุน อุปมาย วิภาเวตฺวา ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘ปถวีสมจิตฺตต’’นฺติฯ ยถา ปถวี สุจิอสุจินิเกฺขปเฉทนเภทนาทีสุ น วิกมฺปติ, อนุโรธวิโรธํ น ปาปุณาติ, เอวํ อิฎฺฐานิเฎฺฐสุ ลาภาลาภาทีสุ อนุโรธวิโรธปฺปหานโต อวิกมฺปิตจิตฺตตาย ปถวีสมจิตฺตตนฺติ อโตฺถฯ อกุปฺปธมฺมตนฺติ เอตฺถ ‘‘อกุปฺปธโมฺม นาม ผลสมาปตฺตี’’ติ ตีสุปิ คณฺฐิปเทสุ วุตฺตํฯ ‘‘ปเรสุ ปน อโกฺกสเนฺตสุปิ อตฺตโน ปถวีสมจิตฺตตาลกฺขณํ อกุชฺฌนสภาวตนฺติ เอวเมตฺถ อโตฺถ คเหตโพฺพ’’ติ อมฺหากํ ขนฺติฯ ชราย อนุสฎนฺติ ชราย ปลิเวฐิตํฯ วฎฺฎขาณุภูตนฺติ อเนเกสํ อนยพฺยสนานํ นิปาตลกฺขณตฺถมฺภภูตตาย สํสารขาณุภูตํฯ พฺราหฺมณสฺส วุฑฺฒตาย อาสนฺนวุตฺติมรณนฺติ สมฺภาวนวเสน ‘‘อชฺช มริตฺวา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ มหเนฺตน โข ปน อุสฺสาเหนาติ ‘‘สาธุ โข ปน ตถารูปานํ อรหตํ ทสฺสนํ โหตี’’ติ เอวํ สญฺชาตมหุสฺสาเหนฯ อปฺปฎิสมํ ปุเรชาตภาวนฺติ อนญฺญสาธารณํ ปุเรชาตภาวํฯ นตฺถิ เอตสฺส ปฎิสโมติ อปฺปฎิสโม, ปุเรชาตภาโวฯ
11.Dhammadhātunti ettha dhamme anavasese dhāreti yāthāvato upadhāretīti dhammadhātu, dhammānaṃ yathāsabhāvato avabujjhanasabhāvo, sabbaññutaññāṇassetaṃ adhivacanaṃ. Paṭivijjhitvāti sacchikatvā, paṭilabhitvāti attho, paṭilābhahetūti vuttaṃ hoti. Desanāvilāsappatto hotīti rucivasena parivattetvā desetuṃ samatthatā desanāvilāso, taṃ patto adhigatoti attho. Karuṇāvipphāranti sabbasattesu mahākaruṇāya pharaṇaṃ. Tādiguṇalakkhaṇameva puna upamāya vibhāvetvā dassento āha ‘‘pathavīsamacittata’’nti. Yathā pathavī suciasucinikkhepachedanabhedanādīsu na vikampati, anurodhavirodhaṃ na pāpuṇāti, evaṃ iṭṭhāniṭṭhesu lābhālābhādīsu anurodhavirodhappahānato avikampitacittatāya pathavīsamacittatanti attho. Akuppadhammatanti ettha ‘‘akuppadhammo nāma phalasamāpattī’’ti tīsupi gaṇṭhipadesu vuttaṃ. ‘‘Paresu pana akkosantesupi attano pathavīsamacittatālakkhaṇaṃ akujjhanasabhāvatanti evamettha attho gahetabbo’’ti amhākaṃ khanti. Jarāya anusaṭanti jarāya paliveṭhitaṃ. Vaṭṭakhāṇubhūtanti anekesaṃ anayabyasanānaṃ nipātalakkhaṇatthambhabhūtatāya saṃsārakhāṇubhūtaṃ. Brāhmaṇassa vuḍḍhatāya āsannavuttimaraṇanti sambhāvanavasena ‘‘ajja maritvā’’tiādi vuttaṃ. Mahantena kho pana ussāhenāti ‘‘sādhu kho pana tathārūpānaṃ arahataṃ dassanaṃ hotī’’ti evaṃ sañjātamahussāhena. Appaṭisamaṃ purejātabhāvanti anaññasādhāraṇaṃ purejātabhāvaṃ. Natthi etassa paṭisamoti appaṭisamo, purejātabhāvo.
‘‘อปี’’ติ อวตฺวา ‘‘ปี’’ติ วทโนฺต ปิ-สโทฺทปิ วิสุํ อตฺถิ นิปาโตติ ทเสฺสติฯ สมฺภาวนเตฺถติ ‘‘อปิ นาเมวํ สิยา’’ติ วิกปฺปนโตฺถ สมฺภาวนโตฺถ, ตสฺมิํ โชตกตาย ปิสโทฺท วตฺตติฯ วจนสิลิฎฺฐตายาติ วจนสฺส มธุรภาวตฺถํ, มุทุภาวตฺถนฺติ อโตฺถฯ เอวญฺหิ โลเก สิลิฎฺฐวจนํ โหตีติ เอวํ เอกเมว คณนํ อวตฺวา อปราย คณนาย สทฺธิํ วจนํ โลเก สิลิฎฺฐวจนํ โหติ ยถา ‘‘เทฺว วา ตีณิ วา อุทกผุสิตานี’’ติฯ สมฺมา อธิสยิตานีติ ปาทาทีหิ อตฺตนา เนสํ กิญฺจิ อุปฆาตํ อกโรนฺติยา พหิวาตาทิปริสฺสยปริหารตฺถํ สมฺมเทว อุปริ สยิตานิฯ อุปริอโตฺถ เหตฺถ อธิ-สโทฺทฯ อุตุํ คณฺหาเปนฺติยาติ เตสํ อลฺลสิเนหปริยาทานตฺถํ อตฺตโน กายุสฺมาวเสน อุตุํ คณฺหาเปนฺติยาฯ เตนาห ‘‘อุสฺมีกตานี’’ติฯ สมฺมา ปริภาวิตานีติ สมฺมเทว สพฺพโส กุกฺกุฎวาสนาย วาสิตานิฯ เตนาห ‘‘กุกฺกุฎคนฺธํ คาหาปิตานี’’ติฯ
‘‘Apī’’ti avatvā ‘‘pī’’ti vadanto pi-saddopi visuṃ atthi nipātoti dasseti. Sambhāvanattheti ‘‘api nāmevaṃ siyā’’ti vikappanattho sambhāvanattho, tasmiṃ jotakatāya pisaddo vattati. Vacanasiliṭṭhatāyāti vacanassa madhurabhāvatthaṃ, mudubhāvatthanti attho. Evañhi loke siliṭṭhavacanaṃ hotīti evaṃ ekameva gaṇanaṃ avatvā aparāya gaṇanāya saddhiṃ vacanaṃ loke siliṭṭhavacanaṃ hoti yathā ‘‘dve vā tīṇi vā udakaphusitānī’’ti. Sammā adhisayitānīti pādādīhi attanā nesaṃ kiñci upaghātaṃ akarontiyā bahivātādiparissayaparihāratthaṃ sammadeva upari sayitāni. Upariattho hettha adhi-saddo. Utuṃ gaṇhāpentiyāti tesaṃ allasinehapariyādānatthaṃ attano kāyusmāvasena utuṃ gaṇhāpentiyā. Tenāha ‘‘usmīkatānī’’ti. Sammā paribhāvitānīti sammadeva sabbaso kukkuṭavāsanāya vāsitāni. Tenāha ‘‘kukkuṭagandhaṃ gāhāpitānī’’ti.
เอตฺถ จ สมฺมา ปริเสทนํ กุกฺกุฎคนฺธปริภาวนญฺจ สมฺมา อธิสยนนิปฺผตฺติยา อานุภาวนิปฺผาทิตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ สมฺมา อธิสยเนเนว หิ อิตรทฺวยํ อิชฺฌติ ฯ น หิ สมฺมา อธิสยนโต วิสุํ สมฺมา ปริเสทนสฺส สมฺมา ปริภาวนสฺส จ กรณํ อตฺถิ, เตน ปน สทฺธิํเยว อิตเรสํ ทฺวินฺนมฺปิ อิชฺฌนโต วุตฺตํ ‘‘เอวํ ตีหิ ปกาเรหิ ตานิ อณฺฑานิ ปริปาลิยมานานี’’ติฯ นขสิขาติ นขคฺคานิฯ มุขตุณฺฑกนฺติ มุขคฺคํฯ กปาลสฺส ตนุกตฺตาติ เอตฺถ ยถา กปาลสฺส ตนุตา อาโลกสฺส อโนฺต ปญฺญายมานสฺส การณํ, ตถา กปาลสฺส ตนุตาย นขสิขามุขตุณฺฑกานํ ขรตาย จ อลฺลสิเนหปริยาทานํ การณวจนนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ สงฺกุฎิตหตฺถปาทาติ เอตฺถ หตฺถาติ ปกฺขาฯ น หิ กุกฺกุฎานํ ปกฺขโต อโญฺญ หโตฺถ นาม อตฺถิฯ เอตฺถาติ อาโลกฎฺฐาเนฯ ปเกฺข วิธุนนฺตาติ ปเกฺข จาเลนฺตาฯ นิกฺขมนฺตานนฺติ นิทฺธารเณ สามิวจนํ, นิกฺขมเนฺตสูติ อโตฺถฯ
Ettha ca sammā parisedanaṃ kukkuṭagandhaparibhāvanañca sammā adhisayananipphattiyā ānubhāvanipphāditanti daṭṭhabbaṃ. Sammā adhisayaneneva hi itaradvayaṃ ijjhati . Na hi sammā adhisayanato visuṃ sammā parisedanassa sammā paribhāvanassa ca karaṇaṃ atthi, tena pana saddhiṃyeva itaresaṃ dvinnampi ijjhanato vuttaṃ ‘‘evaṃ tīhi pakārehi tāni aṇḍāni paripāliyamānānī’’ti. Nakhasikhāti nakhaggāni. Mukhatuṇḍakanti mukhaggaṃ. Kapālassa tanukattāti ettha yathā kapālassa tanutā ālokassa anto paññāyamānassa kāraṇaṃ, tathā kapālassa tanutāya nakhasikhāmukhatuṇḍakānaṃ kharatāya ca allasinehapariyādānaṃ kāraṇavacananti daṭṭhabbaṃ. Saṅkuṭitahatthapādāti ettha hatthāti pakkhā. Na hi kukkuṭānaṃ pakkhato añño hattho nāma atthi. Etthāti ālokaṭṭhāne. Pakkhe vidhunantāti pakkhe cālentā. Nikkhamantānanti niddhāraṇe sāmivacanaṃ, nikkhamantesūti attho.
โส เชโฎฺฐ อิติ อสฺส วจนีโยติ โย ปฐมตรํ อณฺฑโกสโต นิกฺขโนฺต กุกฺกุฎโปตโก, โสเยว เชโฎฺฐติ วจนีโย อสฺส, ภเวยฺยาติ อโตฺถฯ สมฺปฎิปาเทโนฺตติ สํสเนฺทโนฺตฯ ติภูมกปริยาปนฺนาปิ สตฺตา อวิชฺชาโกสสฺส อโนฺต ปวิฎฺฐา ตตฺถ ตตฺถ อปฺปหีนาย อวิชฺชาย เวฐิตตฺตาติ อาห ‘‘อวิชฺชาโกสสฺส อโนฺต ปวิเฎฺฐสุ สเตฺตสู’’ติฯ อณฺฑโกสนฺติ พีชกปาลํฯ โลกสนฺนิวาเสติ โลโก เอว โลกสนฺนิวาโสฯ สมฺมาสโมฺพธินฺติ เอตฺถ สมฺมาติ อวิปรีตโตฺถ, สํ-สโทฺท สามนฺติ อิมมตฺถํ ทีเปติ, ตสฺมา สมฺมา อวิปรีเตนากาเรน สยเมว จตฺตาริ สจฺจานิ พุชฺฌติ ปฎิวิชฺฌตีติ สมฺมาสโมฺพธีติ มโคฺค วุจฺจติฯ เตนาห ‘‘สมฺมา สามญฺจ โพธิ’’นฺติ, สมฺมา สยเมว จ พุชฺฌนกนฺติ อโตฺถฯ สมฺมาติ วา ปสตฺถวจโน, สํ-สโทฺท สุนฺทรวจโนติ อาห ‘‘อถ วา ปสตฺถํ สุนฺทรญฺจ โพธิ’’นฺติฯ โพธิสทฺทสฺส อเนกตฺถตํ ทเสฺสตฺวา อิธาธิเปฺปตมตฺถํ นิทฺธาเรตฺวา ทเสฺสตุกาโม อาห ‘‘โพธีติ รุโกฺขปิ มโคฺคปี’’ติอาทิฯ ตตฺถ อพุชฺฌิ เอตฺถาติ รุโกฺข โพธิฯ สยํ พุชฺฌติ, พุชฺฌนฺติ วา เตน อริยาติ มโคฺค โพธิฯ สพฺพธเมฺม สพฺพาการโต พุชฺฌติ ปฎิวิชฺฌตีติ สพฺพญฺญุตญฺญาณํ โพธิฯ พุชฺฌียติ สจฺฉิกรียตีติ นิพฺพานํ โพธิฯ อนฺตรา จ โพธินฺติ ทุติยมุทาหรณํ วินาปิ รุกฺขสเทฺทน โพธิสทฺทสฺส รุเกฺข ปวตฺติทสฺสนตฺถํ วุตฺตํฯ วรภูริเมธโสติ มหาปถวี วิย ปตฺถฎวรปโญฺญติ อโตฺถฯ อสพฺพคุณทายกตฺตาติ สพฺพคุณานํ อทายกตฺตาฯ สพฺพคุเณ น ททาตีติ หิ อสพฺพคุณทายโก, อยุตฺตสมาโสยํ คมกตฺตา ยถา ‘‘อสูริยํปสฺสานิ มุขานี’’ติฯ
So jeṭṭho iti assa vacanīyoti yo paṭhamataraṃ aṇḍakosato nikkhanto kukkuṭapotako, soyeva jeṭṭhoti vacanīyo assa, bhaveyyāti attho. Sampaṭipādentoti saṃsandento. Tibhūmakapariyāpannāpi sattā avijjākosassa anto paviṭṭhā tattha tattha appahīnāya avijjāya veṭhitattāti āha ‘‘avijjākosassa anto paviṭṭhesu sattesū’’ti. Aṇḍakosanti bījakapālaṃ. Lokasannivāseti loko eva lokasannivāso. Sammāsambodhinti ettha sammāti aviparītattho, saṃ-saddo sāmanti imamatthaṃ dīpeti, tasmā sammā aviparītenākārena sayameva cattāri saccāni bujjhati paṭivijjhatīti sammāsambodhīti maggo vuccati. Tenāha ‘‘sammā sāmañca bodhi’’nti, sammā sayameva ca bujjhanakanti attho. Sammāti vā pasatthavacano, saṃ-saddo sundaravacanoti āha ‘‘atha vā pasatthaṃ sundarañca bodhi’’nti. Bodhisaddassa anekatthataṃ dassetvā idhādhippetamatthaṃ niddhāretvā dassetukāmo āha ‘‘bodhīti rukkhopi maggopī’’tiādi. Tattha abujjhi etthāti rukkho bodhi. Sayaṃ bujjhati, bujjhanti vā tena ariyāti maggo bodhi. Sabbadhamme sabbākārato bujjhati paṭivijjhatīti sabbaññutaññāṇaṃ bodhi. Bujjhīyati sacchikarīyatīti nibbānaṃ bodhi. Antarā ca bodhinti dutiyamudāharaṇaṃ vināpi rukkhasaddena bodhisaddassa rukkhe pavattidassanatthaṃ vuttaṃ. Varabhūrimedhasoti mahāpathavī viya patthaṭavarapaññoti attho. Asabbaguṇadāyakattāti sabbaguṇānaṃ adāyakattā. Sabbaguṇe na dadātīti hi asabbaguṇadāyako, ayuttasamāsoyaṃ gamakattā yathā ‘‘asūriyaṃpassāni mukhānī’’ti.
ติโสฺส วิชฺชาติ อุปนิสฺสยวโต สเหว อรหตฺตผเลน ติโสฺส วิชฺชา เทติฯ นนุ เจตฺถ ตีสุ วิชฺชาสุ อาสวกฺขยญาณสฺส มคฺคปริยาปนฺนตฺตา กถเมตํ ยุชฺชติ ‘‘มโคฺค ติโสฺส วิชฺชา เทตี’’ติ? นายํ โทโสฯ สติปิ อาสวกฺขยญาณสฺส มคฺคปริยาปนฺนภาเว อฎฺฐงฺคิเก มเคฺค สติ มคฺคญาเณน สทฺธิํ ติโสฺส วิชฺชา ปริปุณฺณา โหนฺตีติ ‘‘มโคฺค ติโสฺส วิชฺชา เทตี’’ติ วุจฺจติฯ ฉ อภิญฺญาติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ สาวกปารมิญาณนฺติ อคฺคสาวเกหิ ปฎิลภิตพฺพํ สพฺพเมว โลกิยโลกุตฺตรญาณํฯ ปเจฺจกโพธิญาณนฺติ เอตฺถาปิ อิมินาว นเยน อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ อพฺภญฺญาสินฺติ ชานิํฯ ชานนญฺจ น อนุสฺสวาทิวเสนาติ อาห ‘‘ปฎิวิชฺฌิ’’นฺติ, ปจฺจกฺขมกาสินฺติ อโตฺถฯ ปฎิเวโธปิ น ทูเร ฐิตสฺส ลกฺขณปฺปฎิเวโธ วิยาติ อาห ‘‘ปโตฺตมฺหี’’ติ, ปาปุณินฺติ อโตฺถฯ ปาปุณนญฺจ น สยํ คนฺตฺวาติ อาห ‘‘อธิคโตมฺหี’’ติ, สกสนฺตาเน อุปฺปาทนวเสน ปฎิลภินฺติ อโตฺถฯ
Tisso vijjāti upanissayavato saheva arahattaphalena tisso vijjā deti. Nanu cettha tīsu vijjāsu āsavakkhayañāṇassa maggapariyāpannattā kathametaṃ yujjati ‘‘maggo tisso vijjā detī’’ti? Nāyaṃ doso. Satipi āsavakkhayañāṇassa maggapariyāpannabhāve aṭṭhaṅgike magge sati maggañāṇena saddhiṃ tisso vijjā paripuṇṇā hontīti ‘‘maggo tisso vijjā detī’’ti vuccati. Cha abhiññāti etthāpi eseva nayo. Sāvakapāramiñāṇanti aggasāvakehi paṭilabhitabbaṃ sabbameva lokiyalokuttarañāṇaṃ. Paccekabodhiñāṇanti etthāpi imināva nayena attho veditabbo. Abbhaññāsinti jāniṃ. Jānanañca na anussavādivasenāti āha ‘‘paṭivijjhi’’nti, paccakkhamakāsinti attho. Paṭivedhopi na dūre ṭhitassa lakkhaṇappaṭivedho viyāti āha ‘‘pattomhī’’ti, pāpuṇinti attho. Pāpuṇanañca na sayaṃ gantvāti āha ‘‘adhigatomhī’’ti, sakasantāne uppādanavasena paṭilabhinti attho.
โอปมฺมสมฺปฎิปาทนนฺติ โอปมฺมตฺถสฺส อุปเมเยฺยน สมฺมเทว ปฎิปาทนํฯ อเตฺถนาติ อุปเมยฺยเตฺถนฯ ยถา กุกฺกุฎิยา อเณฺฑสุ ติวิธกิริยากรณํ กุกฺกุฎจฺฉาปกานํ อณฺฑโกสโต นิกฺขมนสฺส มูลการณํ, เอวํ โพธิสตฺตภูตสฺส ภควโต ติวิธานุปสฺสนากรณํ อวิชฺชณฺฑโกสโต นิกฺขมนสฺส มูลการณนฺติ อาห ‘‘ยถา หิ ตสฺสา กุกฺกุฎิยา…เป.… ติวิธานุปสฺสนากรณ’’นฺติฯ ‘‘สนฺตาเน’’ติ วุตฺตตฺตา อณฺฑสทิสตา สนฺตานสฺส พหิ นิกฺขนฺตกุกฺกุฎจฺฉาปกสทิสตา พุทฺธคุณานํ, พุทฺธคุณาติ จ อตฺถโต พุโทฺธเยว ‘‘ตถาคตสฺส โข เอตํ, วาเสฎฺฐ, อธิวจนํ ธมฺมกาโย อิติปี’’ติ วจนโตฯ อวิชฺชณฺฑโกสสฺส ตนุภาโวติ พลววิปสฺสนาวเสน อวิชฺชณฺฑโกสสฺส ตนุภาโว, ปฎิจฺฉาทนสามเญฺญน จ อวิชฺชาย อณฺฑโกสสทิสตาฯ มุทุภูตสฺสปิ ขรภาวาปตฺติ โหตีติ ตนฺนิวตฺตนตฺถํ ‘‘ถทฺธขรภาโว’’ติ วุตฺตํฯ ติกฺขขรวิปฺปสนฺนสูรภาโวติ เอตฺถ ปริคฺคยฺหมาเนสุ สงฺขาเรสุ วิปสฺสนาญาณสฺส สมาธินฺทฺริยวเสน สุขานุปฺปเวโส ติกฺขตา, อนุปวิสิตฺวาปิ สตินฺทฺริยวเสน อนติกฺกมนโต อกุณฺฐตา ขรภาโวฯ ติโกฺขปิ หิ เอกโจฺจ สโร ลกฺขํ ปตฺวา กุโณฺฐ โหติ, น ตถา อิทํฯ สติปิ ขรภาเว สุขุมปฺปวตฺติวเสน กิเลสสมุทาจารสโงฺขภรหิตตาย สทฺธินฺทฺริยวเสน ปสนฺนภาโว, สติปิ จ ปสนฺนภาเว อนฺตรา อโนสกฺกิตฺวา กิเลสปจฺจตฺถิกานํ สุฎฺฐุ อภิภวนโต วีริยินฺทฺริยวเสน สูรภาโว เวทิตโพฺพฯ เอวมิเมหิ ปกาเรหิ สงฺขารุเปกฺขาญาณเมว คหิตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ วิปสฺสนาญาณสฺส ปริณามกาโลติ วิปสฺสนาย วุฎฺฐานคามินิภาวปฺปตฺติ, ตทา จ สา มคฺคญาณคพฺภํ ธาเรนฺตี วิย โหตีติ อาห ‘‘คพฺภคฺคหณกาโล’’ติฯ คพฺภํ คณฺหาเปตฺวาติ สงฺขารุเปกฺขาย อนนฺตรํ สิขาปฺปตฺตอนุโลมวิปสฺสนาวเสน มคฺควิชายนตฺถํ คพฺภํ คณฺหาเปตฺวาฯ อนุปุพฺพาธิคเตนาติ ปฐมมคฺคปฎิปาฎิยา อธิคเตนฯ อภิญฺญาปเกฺขติ โลกิยาภิญฺญาปเกฺขฯ โลกุตฺตราภิญฺญา หิ อวิชฺชณฺฑโกสํ ปทาลิตาฯ โปตฺถเกสุ ปน กตฺถจิ ‘‘ฉอภิญฺญาปเกฺข’’ติ ลิขนฺติ, โส อปาโฐติ เวทิตโพฺพฯ เชโฎฺฐ เสโฎฺฐติ วุทฺธตมตฺตา เชโฎฺฐ, สพฺพคุเณหิ อุตฺตมตฺตา ปสตฺถตโมติ เสโฎฺฐฯ
Opammasampaṭipādananti opammatthassa upameyyena sammadeva paṭipādanaṃ. Atthenāti upameyyatthena. Yathā kukkuṭiyā aṇḍesu tividhakiriyākaraṇaṃ kukkuṭacchāpakānaṃ aṇḍakosato nikkhamanassa mūlakāraṇaṃ, evaṃ bodhisattabhūtassa bhagavato tividhānupassanākaraṇaṃ avijjaṇḍakosato nikkhamanassa mūlakāraṇanti āha ‘‘yathā hi tassā kukkuṭiyā…pe… tividhānupassanākaraṇa’’nti. ‘‘Santāne’’ti vuttattā aṇḍasadisatā santānassa bahi nikkhantakukkuṭacchāpakasadisatā buddhaguṇānaṃ, buddhaguṇāti ca atthato buddhoyeva ‘‘tathāgatassa kho etaṃ, vāseṭṭha, adhivacanaṃ dhammakāyo itipī’’ti vacanato. Avijjaṇḍakosassa tanubhāvoti balavavipassanāvasena avijjaṇḍakosassa tanubhāvo, paṭicchādanasāmaññena ca avijjāya aṇḍakosasadisatā. Mudubhūtassapi kharabhāvāpatti hotīti tannivattanatthaṃ ‘‘thaddhakharabhāvo’’ti vuttaṃ. Tikkhakharavippasannasūrabhāvoti ettha pariggayhamānesu saṅkhāresu vipassanāñāṇassa samādhindriyavasena sukhānuppaveso tikkhatā, anupavisitvāpi satindriyavasena anatikkamanato akuṇṭhatā kharabhāvo. Tikkhopi hi ekacco saro lakkhaṃ patvā kuṇṭho hoti, na tathā idaṃ. Satipi kharabhāve sukhumappavattivasena kilesasamudācārasaṅkhobharahitatāya saddhindriyavasena pasannabhāvo, satipi ca pasannabhāve antarā anosakkitvā kilesapaccatthikānaṃ suṭṭhu abhibhavanato vīriyindriyavasena sūrabhāvo veditabbo. Evamimehi pakārehi saṅkhārupekkhāñāṇameva gahitanti daṭṭhabbaṃ. Vipassanāñāṇassa pariṇāmakāloti vipassanāya vuṭṭhānagāminibhāvappatti, tadā ca sā maggañāṇagabbhaṃ dhārentī viya hotīti āha ‘‘gabbhaggahaṇakālo’’ti. Gabbhaṃ gaṇhāpetvāti saṅkhārupekkhāya anantaraṃ sikhāppattaanulomavipassanāvasena maggavijāyanatthaṃ gabbhaṃ gaṇhāpetvā. Anupubbādhigatenāti paṭhamamaggapaṭipāṭiyā adhigatena. Abhiññāpakkheti lokiyābhiññāpakkhe. Lokuttarābhiññā hi avijjaṇḍakosaṃ padālitā. Potthakesu pana katthaci ‘‘chaabhiññāpakkhe’’ti likhanti, so apāṭhoti veditabbo. Jeṭṭho seṭṭhoti vuddhatamattā jeṭṭho, sabbaguṇehi uttamattā pasatthatamoti seṭṭho.
อิทานิ ‘‘อารทฺธํ โข ปน เม พฺราหฺมณ วีริย’’นฺติอาทิกาย เทสนาย อนุสนฺธิํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘เอวํ ภควา’’ติอาทิฯ ตตฺถ ปุพฺพภาคโต ปภุตีติ ภาวนาย ปุพฺพภาคิยวีริยารมฺภาทิโต ปฎฺฐายฯ จิตฺตเมวมุปฺปนฺนนฺติ เอวํ อุปริ วกฺขมานปริวิตกฺกวเสน จิตฺตมุปฺปนฺนนฺติ อโตฺถฯ ‘‘จิตฺตเมว อุปฺปนฺน’’นฺติปิ ปาโฐ, ตตฺถ จิตฺตเมว อุปฺปนฺนํ, น ตาว ภควติ ปสาโทติ อโตฺถฯ มุฎฺฐสฺสตินาติ วินฎฺฐสฺสตินา, สติวิรหิเตนาติ อโตฺถฯ สารทฺธกาเยนาติ สทรถกาเยนฯ โพธิมเณฺฑติ โพธิสงฺขาตสฺส ญาณสฺส มณฺฑภาวปฺปเตฺต ฐาเนฯ โพธีติ หิ ปญฺญา วุจฺจติ, สา เอตฺถ มณฺฑา ปสนฺนา ชาตาติ โส ปเทโส ‘‘โพธิมโณฺฑ’’ติ ปญฺญาโตฯ จตุรงฺคสมนฺนาคตนฺติ ‘‘กามํ ตโจ จ นฺหารุ จ อฎฺฐิ จ อวสิสฺสตุ, สรีเร อุปสุสฺสตุ มํสโลหิต’’นฺติ (ม. นิ. ๒.๑๘๔; สํ. นิ. ๒.๒๒; อ. นิ. ๒.๕; มหานิ. ๑๙๖) เอวํ วุตฺตจตุรงฺคสมนฺนาคตํ วีริยํฯ ตตฺถ ตโจติ เอกํ องฺคํ นฺหารุ เอกํ องฺคํ อฎฺฐิ เอกํ องฺคํ มํสโลหิตํ เอกํ องฺคนฺติ เวทิตพฺพํฯ ตโจ เอกํ องฺคนฺติ จ ตเจ นิรเปกฺขภาโว เอกํ องฺคนฺติ คเหตพฺพํฯ ปธานํ อนุยุญฺชนฺตสฺส หิ ตเจ ปลุชฺชมาเนปิ ตํนิมิตฺตํ อโวสานาปชฺชนํ ตสฺส วีริยสฺส เอกํ องฺคํ เอกํ การณํฯ เอวํ เสเสสุปิ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ ปคฺคหิตนฺติ อารมฺภํ สิถิลํ อกตฺวา ทฬฺหปรกฺกมสงฺขาตุสฺสาหนภาเวน คหิตํฯ เตนาห ‘‘อสิถิลปฺปวตฺติตนฺติ วุตฺตํ โหตี’’ติฯ
Idāni ‘‘āraddhaṃ kho pana me brāhmaṇa vīriya’’ntiādikāya desanāya anusandhiṃ dassento āha ‘‘evaṃ bhagavā’’tiādi. Tattha pubbabhāgato pabhutīti bhāvanāya pubbabhāgiyavīriyārambhādito paṭṭhāya. Cittamevamuppannanti evaṃ upari vakkhamānaparivitakkavasena cittamuppannanti attho. ‘‘Cittameva uppanna’’ntipi pāṭho, tattha cittameva uppannaṃ, na tāva bhagavati pasādoti attho. Muṭṭhassatināti vinaṭṭhassatinā, sativirahitenāti attho. Sāraddhakāyenāti sadarathakāyena. Bodhimaṇḍeti bodhisaṅkhātassa ñāṇassa maṇḍabhāvappatte ṭhāne. Bodhīti hi paññā vuccati, sā ettha maṇḍā pasannā jātāti so padeso ‘‘bodhimaṇḍo’’ti paññāto. Caturaṅgasamannāgatanti ‘‘kāmaṃ taco ca nhāru ca aṭṭhi ca avasissatu, sarīre upasussatu maṃsalohita’’nti (ma. ni. 2.184; saṃ. ni. 2.22; a. ni. 2.5; mahāni. 196) evaṃ vuttacaturaṅgasamannāgataṃ vīriyaṃ. Tattha tacoti ekaṃ aṅgaṃ nhāru ekaṃ aṅgaṃ aṭṭhi ekaṃ aṅgaṃ maṃsalohitaṃ ekaṃ aṅganti veditabbaṃ. Taco ekaṃ aṅganti ca tace nirapekkhabhāvo ekaṃ aṅganti gahetabbaṃ. Padhānaṃ anuyuñjantassa hi tace palujjamānepi taṃnimittaṃ avosānāpajjanaṃ tassa vīriyassa ekaṃ aṅgaṃ ekaṃ kāraṇaṃ. Evaṃ sesesupi attho veditabbo. Paggahitanti ārambhaṃ sithilaṃ akatvā daḷhaparakkamasaṅkhātussāhanabhāvena gahitaṃ. Tenāha ‘‘asithilappavattitanti vuttaṃ hotī’’ti.
อสลฺลีนนฺติ อสงฺกุจิตํ โกสชฺชวเสน สโงฺกจํ อนาปนฺนํฯ อุปฎฺฐิตาติ โอคาหนสงฺขาเตน อปิลาปภาเวน อารมฺมณํ อุปคนฺตฺวา ฐิตาฯ เตนาห ‘‘อารมฺมณาภิมุขีภาเวนา’’ติฯ สโมฺมสสฺส วิทฺธํสนวเสน ปวตฺติยา น สมฺมุฎฺฐาติ อสมฺมุฎฺฐาฯ กิญฺจาปิ จิตฺตปสฺสทฺธิวเสเนว จิตฺตเมว ปสฺสทฺธํ, กายปสฺสทฺธิวเสเนว จ กาโย ปสฺสโทฺธ โหติ, ตถาปิ ยสฺมา กายปสฺสทฺธิ อุปฺปชฺชมานา จิตฺตปสฺสทฺธิยา สเหว อุปฺปชฺชติ, น วินา, ตสฺมา วุตฺตํ ‘‘กายจิตฺตปสฺสทฺธิวเสนา’’ติฯ กายปสฺสทฺธิยา อุภเยสมฺปิ กายานํ ปสฺสมฺภนาวหตฺตา วุตฺตํ ‘‘รูปกาโยปิ ปสฺสโทฺธเยว โหตี’’ติฯ โส จ โขติ โส จ โข กาโยฯ วิคตทรโถติ วิคตกิเลสทรโถฯ นามกาเย หิ วิคตทรเถ รูปกาโยปิ วูปสนฺตทรถปริฬาโห โหติฯ สมฺมา อาหิตนฺติ นานารมฺมเณสุ วิธาวนสงฺขาตํ วิเกฺขปํ วิจฺฉินฺทิตฺวา เอกสฺมิํเยว อารมฺมเณ อวิกฺขิตฺตภาวาปาทเนน สมฺมเทว อาหิตํ ฐปิตํฯ เตนาห ‘‘สุฎฺฐุ ฐปิต’’นฺติอาทิฯ จิตฺตสฺส อเนกคฺคภาโว วิเกฺขปวเสน จญฺจลตา, สา สติ เอกคฺคตาย น โหตีติ อาห ‘‘เอกคฺคํ อจลํ นิปฺผนฺทน’’นฺติฯ เอตฺตาวตาติ ‘‘อารทฺธํ โข ปนา’’ติอาทินา วีริยสติปสฺสทฺธิสมาธีนํ กิจฺจสิทฺธิทสฺสเนนฯ
Asallīnanti asaṅkucitaṃ kosajjavasena saṅkocaṃ anāpannaṃ. Upaṭṭhitāti ogāhanasaṅkhātena apilāpabhāvena ārammaṇaṃ upagantvā ṭhitā. Tenāha ‘‘ārammaṇābhimukhībhāvenā’’ti. Sammosassa viddhaṃsanavasena pavattiyā na sammuṭṭhāti asammuṭṭhā. Kiñcāpi cittapassaddhivaseneva cittameva passaddhaṃ, kāyapassaddhivaseneva ca kāyo passaddho hoti, tathāpi yasmā kāyapassaddhi uppajjamānā cittapassaddhiyā saheva uppajjati, na vinā, tasmā vuttaṃ ‘‘kāyacittapassaddhivasenā’’ti. Kāyapassaddhiyā ubhayesampi kāyānaṃ passambhanāvahattā vuttaṃ ‘‘rūpakāyopi passaddhoyeva hotī’’ti. So ca khoti so ca kho kāyo. Vigatadarathoti vigatakilesadaratho. Nāmakāye hi vigatadarathe rūpakāyopi vūpasantadarathapariḷāho hoti. Sammā āhitanti nānārammaṇesu vidhāvanasaṅkhātaṃ vikkhepaṃ vicchinditvā ekasmiṃyeva ārammaṇe avikkhittabhāvāpādanena sammadeva āhitaṃ ṭhapitaṃ. Tenāha ‘‘suṭṭhu ṭhapita’’ntiādi. Cittassa anekaggabhāvo vikkhepavasena cañcalatā, sā sati ekaggatāya na hotīti āha ‘‘ekaggaṃ acalaṃ nipphandana’’nti. Ettāvatāti ‘‘āraddhaṃ kho panā’’tiādinā vīriyasatipassaddhisamādhīnaṃ kiccasiddhidassanena.
นนุ จ สทฺธาปญฺญานมฺปิ กิจฺจสิทฺธิ ฌานสฺส ปุพฺพปฎิปทาย อิจฺฉิตพฺพาติ? สจฺจํ อิจฺฉิตพฺพา, สา ปน นานนฺตริกภาเวน อวุตฺตสิทฺธาติ น คหิตาฯ อสติ หิ สทฺธาย วีริยารมฺภาทีนํ อสมฺภโวเยว, ปญฺญาปริคฺคเห จ เนสํ อสติ ญายารมฺภาทิภาโว น สิยา, ตถา อสลฺลีนาสโมฺมสตาทโย วีริยาทีนนฺติ อสลฺลีนตาทิคฺคหเณเนเวตฺถ ปญฺญากิจฺจสิทฺธิ คหิตาติ ทฎฺฐพฺพํฯ ฌานภาวนายํ วา สมาธิกิจฺจํ อธิกํ อิจฺฉิตพฺพนฺติ ทเสฺสตุํ สมาธิปริโยสานาว ฌานสฺส ปุพฺพปฎิปทา กถิตาติ ทฎฺฐพฺพํฯ
Nanu ca saddhāpaññānampi kiccasiddhi jhānassa pubbapaṭipadāya icchitabbāti? Saccaṃ icchitabbā, sā pana nānantarikabhāvena avuttasiddhāti na gahitā. Asati hi saddhāya vīriyārambhādīnaṃ asambhavoyeva, paññāpariggahe ca nesaṃ asati ñāyārambhādibhāvo na siyā, tathā asallīnāsammosatādayo vīriyādīnanti asallīnatādiggahaṇenevettha paññākiccasiddhi gahitāti daṭṭhabbaṃ. Jhānabhāvanāyaṃ vā samādhikiccaṃ adhikaṃ icchitabbanti dassetuṃ samādhipariyosānāva jhānassa pubbapaṭipadā kathitāti daṭṭhabbaṃ.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวิภงฺค • Mahāvibhaṅga / เวรญฺชกณฺฑํ • Verañjakaṇḍaṃ
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / วินยปิฎก (อฎฺฐกถา) • Vinayapiṭaka (aṭṭhakathā) / มหาวิภงฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvibhaṅga-aṭṭhakathā / เวรญฺชกณฺฑวณฺณนา • Verañjakaṇḍavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā / เวรญฺชกณฺฑวณฺณนา • Verañjakaṇḍavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / ปฐมชฺฌานกถาวณฺณนา • Paṭhamajjhānakathāvaṇṇanā