Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā |
ปาราชิกวณฺณนา
Pārājikavaṇṇanā
เวรญฺชกโณฺฑ
Verañjakaṇḍo
เวรญฺชกณฺฑวณฺณนา
Verañjakaṇḍavaṇṇanā
‘‘เตน สมเยน พุโทฺธ ภควา เวสาลิยํ วิหรติ มหาวเน กูฎาคารสาลายํฯ เตน โข ปน สมเยน เวสาลิยา อวิทูเร กลนฺทคาโม นาม โหตี’’ติ วินยนิทาเน อารภิตเพฺพ เวรญฺชกณฺฑสฺส อารโมฺภ กิมโตฺถติ เจ? วุจฺจเต – มูลโต ปภุติ วินยนิทานํ ทเสฺสตุํฯ ยทิ เอวํ ‘‘ปฐมํ อาวุโส อุปาลิ ปาราชิกํ กตฺถ ปญฺญตฺตนฺติ, เวสาลิย’’นฺติ วจเนน วิรุชฺฌตีติ เจ? น วิรุชฺฌติฯ กสฺมา? กตฺถ ปญฺญตฺตนฺติ หิ นิทานปุจฺฉาฯ เอวํ สเนฺตปิ ‘‘ปฐมสฺส ปาราชิกสฺส กิํนิทาน’’นฺติ ปุจฺฉิเต สาธารณมหานิทานวิสฺสชฺชนํ อยุตฺตํ วิยาติ? นายุตฺตํ, สเพฺพสํ สิกฺขาปทานํ ปาเฎกฺกํ นิทานสฺส ปุฎฺฐตฺตา ตสฺส วิสฺสเชฺชตพฺพตฺตา จ สพฺพสาธารณมหานิทานํ ปฐมมาหฯ เอกเนฺตน ปุจฺฉาวิสฺสชฺชนกฺกเมน ปาราชิกาทีนิ สงฺคหํ อาโรปิตานิฯ กถํ อาโรปิตานีติ เจ? อายสฺมตา มหากสฺสเปน อนุกฺกเมน สโพฺพปิ วินโย ปุจฺฉิโต, ปุเฎฺฐน จ อายสฺมตา อุปาลิเตฺถเรน ยถาสมฺภวํ นิรนฺตรํ วิสฺสชฺชิตเมวฯ อปุจฺฉิตานิปิ วินีตวตฺถุอาทีนิ ยุชฺชมานานิ วตฺถูนิ อโนฺตกตฺวา วิสฺสชฺชนกฺกเมเนว คณสชฺฌายมกํสูติ เวทิตพฺพํฯ อญฺญถา เวรญฺชกณฺฑํ ปฐมปาราชิกเสฺสว นิทานนฺติ วา อนธิการิกํ วา นิปฺปโยชนํ วา ปาเฎกฺกํ สิกฺขาปทนิทานปุจฺฉานนฺตรํ ตเทว วิสฺสเชฺชตพฺพนฺติ วา อาปชฺชติ, ตสฺมา อาทิโต ปภุติ วินยนิทานํ ทเสฺสตุํ ‘‘เตน สมเยนา’’ติอาทิ อารทฺธํฯ
‘‘Tena samayena buddho bhagavā vesāliyaṃ viharati mahāvane kūṭāgārasālāyaṃ. Tena kho pana samayena vesāliyā avidūre kalandagāmo nāma hotī’’ti vinayanidāne ārabhitabbe verañjakaṇḍassa ārambho kimatthoti ce? Vuccate – mūlato pabhuti vinayanidānaṃ dassetuṃ. Yadi evaṃ ‘‘paṭhamaṃ āvuso upāli pārājikaṃ kattha paññattanti, vesāliya’’nti vacanena virujjhatīti ce? Na virujjhati. Kasmā? Kattha paññattanti hi nidānapucchā. Evaṃ santepi ‘‘paṭhamassa pārājikassa kiṃnidāna’’nti pucchite sādhāraṇamahānidānavissajjanaṃ ayuttaṃ viyāti? Nāyuttaṃ, sabbesaṃ sikkhāpadānaṃ pāṭekkaṃ nidānassa puṭṭhattā tassa vissajjetabbattā ca sabbasādhāraṇamahānidānaṃ paṭhamamāha. Ekantena pucchāvissajjanakkamena pārājikādīni saṅgahaṃ āropitāni. Kathaṃ āropitānīti ce? Āyasmatā mahākassapena anukkamena sabbopi vinayo pucchito, puṭṭhena ca āyasmatā upālittherena yathāsambhavaṃ nirantaraṃ vissajjitameva. Apucchitānipi vinītavatthuādīni yujjamānāni vatthūni antokatvā vissajjanakkameneva gaṇasajjhāyamakaṃsūti veditabbaṃ. Aññathā verañjakaṇḍaṃ paṭhamapārājikasseva nidānanti vā anadhikārikaṃ vā nippayojanaṃ vā pāṭekkaṃ sikkhāpadanidānapucchānantaraṃ tadeva vissajjetabbanti vā āpajjati, tasmā ādito pabhuti vinayanidānaṃ dassetuṃ ‘‘tena samayenā’’tiādi āraddhaṃ.
อิทานิ นิทานภณเน ปโยชนํ วกฺขาม – วินยสฺสอาณาเทสนตฺตา ภควโต ตาว อาณารหภาวทีปนํ , อาณาภูตสฺส จ วินยสฺส อนญฺญวิสยภาวทีปนํ, อาณาย ฐิตานํ สาวกานํ มหานุภาวทีปนญฺจาติ ติวิธมสฺส ปโยชนํฯ กถํ? อาณาสาสนารโห หิ ภควา ปหีนกิเลสตฺตา, อธิคตคุณวิเสสตฺตา, โลกเชฎฺฐเสฎฺฐตฺตา, ตาทิภาวปฺปตฺตตฺตา จ, อรสรูปตาทีหิ อฎฺฐหิ อโกฺกสวตฺถูหิ อกมฺปนโต ภควโต ตาทิภาวปฺปตฺติ เวทิตพฺพา, อฎฺฐนฺนมฺปิ เตสํ อโกฺกสวตฺถูนํ อตฺตนิ สมฺภวปริยายทีปนปาฬิยา ปหีนกิเลสตา เวทิตพฺพา ฯ จตุนฺนํ ฌานานํ ติสฺสนฺนญฺจ วิชฺชานํ อธิคมปริทีปเนน อธิคตคุณวิเสสตา เวทิตพฺพาฯ ‘‘นาหํ ตํ พฺราหฺมณ ปสฺสามิ สเทวเก…เป.… มุทฺธาปิ ตสฺส วิปเตยฺยา’’ติ จ ‘‘เชโฎฺฐ เสโฎฺฐ โลกสฺสา’’ติ จ วจเนน เชฎฺฐเสฎฺฐตา เวทิตพฺพา, อิทญฺจ ภควโต อาณารหภาวทีปนปฺปโยชนํฯ ‘‘อาคเมหิ ตฺวํ สาริปุตฺต, อาคเมหิ ตฺวํ สาริปุตฺต, ตถาคโตว ตตฺถ กาลํ ชานิสฺสตี’’ติ วจนํ อนญฺญวิสยภาวทีปนํฯ ‘‘สาธาหํ, ภเนฺต, ปถวิํ ปริวเตฺตยฺย’’นฺติ จ ‘‘เอกาหํ, ภเนฺต, ปาณิํ อภินิมฺมินิสฺสามี’’ติ จ ‘‘สาธุ, ภเนฺต, สโพฺพ ภิกฺขุสโงฺฆ อุตฺตรกุรุํ ปิณฺฑาย คเจฺฉยฺยา’’ติ จ อิเมหิ เถรสฺส ตีหิ สีหนาเทหิ อาณาย ฐิตานํ สาวกานํ มหานุภาวตาทีปนํ เวทิตพฺพํฯ สาวตฺถิยาทีสุ อวิหริตฺวา กิมตฺถํ ภควา เวรญฺชายเมว ตทา วิหาสีติ เจ? นเฬรุยกฺขสฺส ปีติสญฺชนนตฺถํ, ภิกฺขุสงฺฆสฺส ภิกฺขาวเสน อกิลมนตฺถํ, เวรญฺชพฺราหฺมณสฺส ปสาทสญฺชนนตฺถํ, มหาโมคฺคลฺลานเตฺถรสฺส อานุภาวทีปนฎฺฐานภูตตฺตา, สาริปุตฺตเตฺถรสฺส วินยปญฺญตฺติยาจนเหตุภูตปริวิตกฺกนฎฺฐานภูตตฺตา จฯ เตสุ ปจฺฉิมํ พลวการณํ, เตน วุตฺตํ อฎฺฐกถายํ ‘‘เตน สมเยนาติ เยน กาเลน อายสฺมโต…เป.… เตน กาเลนา’’ติฯ ปุริเมสุ จตูสุ อสงฺคหการเณสุ ปฐเมน ภควา เมตฺตาภาวนาทินา อมนุสฺสานํ จิตฺตสํรกฺขเณน ภิกฺขูนํ อาทรํ ชเนติฯ ทุติเยน ปริสาวจเรน ภิกฺขุนา เอวํ ปริสา สงฺคเหตพฺพา, เอวํ อปฺปิเจฺฉน สนฺตุเฎฺฐน จ ภวิตพฺพนฺติ วา ทเสฺสติฯ ตติเยน ปจฺจเย นิรเปเกฺขน กุลานุคฺคโห กาตโพฺพติฯ จตุเตฺถน เอวํ มหานุภาเวนาปิ ปจฺจยตฺถํ น โลลุปฺปํ กาตพฺพํ, เกวลํ ปรทตฺตุปชีวินา ภวิตพฺพนฺติ ทเสฺสติฯ ‘‘เตนาติอาทิปาฐสฺส…เป.… วินยสฺสตฺถวณฺณน’’นฺติ วจนโต อโญฺญ เตนาติอาทิปาโฐ, อโญฺญ วินโย อาปชฺชติฯ
Idāni nidānabhaṇane payojanaṃ vakkhāma – vinayassaāṇādesanattā bhagavato tāva āṇārahabhāvadīpanaṃ , āṇābhūtassa ca vinayassa anaññavisayabhāvadīpanaṃ, āṇāya ṭhitānaṃ sāvakānaṃ mahānubhāvadīpanañcāti tividhamassa payojanaṃ. Kathaṃ? Āṇāsāsanāraho hi bhagavā pahīnakilesattā, adhigataguṇavisesattā, lokajeṭṭhaseṭṭhattā, tādibhāvappattattā ca, arasarūpatādīhi aṭṭhahi akkosavatthūhi akampanato bhagavato tādibhāvappatti veditabbā, aṭṭhannampi tesaṃ akkosavatthūnaṃ attani sambhavapariyāyadīpanapāḷiyā pahīnakilesatā veditabbā . Catunnaṃ jhānānaṃ tissannañca vijjānaṃ adhigamaparidīpanena adhigataguṇavisesatā veditabbā. ‘‘Nāhaṃ taṃ brāhmaṇa passāmi sadevake…pe… muddhāpi tassa vipateyyā’’ti ca ‘‘jeṭṭho seṭṭho lokassā’’ti ca vacanena jeṭṭhaseṭṭhatā veditabbā, idañca bhagavato āṇārahabhāvadīpanappayojanaṃ. ‘‘Āgamehi tvaṃ sāriputta, āgamehi tvaṃ sāriputta, tathāgatova tattha kālaṃ jānissatī’’ti vacanaṃ anaññavisayabhāvadīpanaṃ. ‘‘Sādhāhaṃ, bhante, pathaviṃ parivatteyya’’nti ca ‘‘ekāhaṃ, bhante, pāṇiṃ abhinimminissāmī’’ti ca ‘‘sādhu, bhante, sabbo bhikkhusaṅgho uttarakuruṃ piṇḍāya gaccheyyā’’ti ca imehi therassa tīhi sīhanādehi āṇāya ṭhitānaṃ sāvakānaṃ mahānubhāvatādīpanaṃ veditabbaṃ. Sāvatthiyādīsu aviharitvā kimatthaṃ bhagavā verañjāyameva tadā vihāsīti ce? Naḷeruyakkhassa pītisañjananatthaṃ, bhikkhusaṅghassa bhikkhāvasena akilamanatthaṃ, verañjabrāhmaṇassa pasādasañjananatthaṃ, mahāmoggallānattherassa ānubhāvadīpanaṭṭhānabhūtattā, sāriputtattherassa vinayapaññattiyācanahetubhūtaparivitakkanaṭṭhānabhūtattā ca. Tesu pacchimaṃ balavakāraṇaṃ, tena vuttaṃ aṭṭhakathāyaṃ ‘‘tena samayenāti yena kālena āyasmato…pe… tena kālenā’’ti. Purimesu catūsu asaṅgahakāraṇesu paṭhamena bhagavā mettābhāvanādinā amanussānaṃ cittasaṃrakkhaṇena bhikkhūnaṃ ādaraṃ janeti. Dutiyena parisāvacarena bhikkhunā evaṃ parisā saṅgahetabbā, evaṃ appicchena santuṭṭhena ca bhavitabbanti vā dasseti. Tatiyena paccaye nirapekkhena kulānuggaho kātabboti. Catutthena evaṃ mahānubhāvenāpi paccayatthaṃ na loluppaṃ kātabbaṃ, kevalaṃ paradattupajīvinā bhavitabbanti dasseti. ‘‘Tenātiādipāṭhassa…pe… vinayassatthavaṇṇana’’nti vacanato añño tenātiādipāṭho, añño vinayo āpajjati.
‘‘เตนาติอาทิปาฐมฺหา, โก อโญฺญ วินโย อิธ;
‘‘Tenātiādipāṭhamhā, ko añño vinayo idha;
ตสฺสตฺถํ ทสฺสยโนฺตว, กเร วินยวณฺณน’’นฺติฯ –
Tassatthaṃ dassayantova, kare vinayavaṇṇana’’nti. –
เจ? นนุ วุตฺตํ ปุเพฺพว ‘‘อิทญฺหิ พุทฺธสฺส ภควโต อตฺตปจฺจกฺขวจนํ น โหตี’’ติอาทิ, ตสฺมา อุปาลิเตฺถเรน วุตฺตสฺส เตนาติอาทิปาฐสฺส อตฺถํ นานปฺปการโต ทสฺสยโนฺต กริสฺสามิ วินยสฺส ภควโต อตฺตปจฺจกฺขวจนภูตสฺส อตฺถวณฺณนนฺติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ ยทิ เอวํ ‘‘เตน สมเยน พุโทฺธ ภควา เวรญฺชายํ วิหรตีติ เอวมาทิวจนปฎิมณฺฑิตนิทานํ วินยปิฎกํ เกน ธาริต’’นฺติอาทิวจนํ วิรุชฺฌติ ‘‘เตน สมเยนา’’ติอาทิวจนสฺส วินยปิฎกปริยาปนฺนภาวทีปนโตติ เจ? น, อญฺญเตฺถปิ ตโพฺพหารสิทฺธิโต ‘‘นานาวิธภิตฺติกมฺมปฎิมณฺฑิตวสโน ปุริโส’’ติอาทีสุ วิยฯ วินยสฺสาทิภาเวน สงฺคีติการเกหิ อนุญฺญาตตฺตา วินยปริยาปนฺนตาปิ ยุชฺชติ ตสฺส วจนสฺสฯ เอตฺถาห – ยถา สุตฺตเนฺต ‘‘เอกํ สมย’’นฺติ จ, อภิธเมฺม จ ‘‘ยสฺมิํ สมเย’’ติ อนิยมโต วุตฺตํ, ตถา อวตฺวา อิธ ‘‘เตน สมเยนา’’ติ ปฐมํ ตํนิเทฺทโสว กสฺมา วุโตฺตติ? วุจฺจเต – ตสฺส ตสฺส สิกฺขาปทปญฺญตฺติสมยสฺส, ยสฺส วา สิกฺขาปทปญฺญตฺติเหตุภูตสฺส สมยสฺส เหตุ ภควา ตตฺถ ตตฺถ วิหาสิ, ตสฺส จ สมยสฺส อตีตสฺส เตสํ สงฺคีติการกานํ วสีนํ สุวิทิตตฺตาฯ กถํ? ‘‘เย เต ภิกฺขู อปฺปิจฺฉา เต อุชฺฌายนฺตี’’ติอาทิวจนโต, ‘‘อถ โข เต ภิกฺขู ภควโต เอตมตฺถํ อาโรเจสุ’’นฺติ จ ‘‘อถ โข ภควา เอตสฺมิํ นิทาเน สนฺนิปาตาเปตฺวา’’ติ จ ‘‘ภิกฺขูนํ ตทนุจฺฉวิกํ ตทนุ…เป.… ทส อตฺถวเส ปฎิจฺจ สงฺฆสุฎฺฐุตายา’’ติ จ ‘‘เอวญฺจ ปน, ภิกฺขเว, อิมํ สิกฺขาปทํ อุทฺทิเสยฺยาถา’’ติ จ ขนฺธเกสุ จ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ตีหิ สรณคมเนหิ ปพฺพชฺช’’นฺติอาทิวินยกฺกมสฺส วจนโต โย โส สิกฺขาปทปญฺญตฺติสมโย, ตสฺส ตสฺส วินยกฺกมสฺส โส ปญฺญตฺติสมโย จ สุวิทิโต เตสํ ปญฺจสตานํ ธมฺมธรานํ ภิกฺขูนํ, นายํ นโย สุตฺตนฺตาภิธเมฺมสุ สมฺภวติฯ ตสฺมา สุวิทิตตฺตา เตน สมเยน เหตุภูเตน วิหรตีติ วิหรติปเทน เอกสมฺพนฺธตฺตา จ ปฐมํ ยํนิเทฺทสาทิโน อสมฺภวโต จ วินยปิฎเก ตํนิเทฺทโสว ปฐมํ วุโตฺตฯ กถํ? เอตฺถ ‘‘เยน โข ปน สมเยน เวสาลิยา อวิทูเร กลนฺทคาโม นาม โหตี’’ติ วา ‘‘เยน โข ปน สมเยน เวสาลี…เป.… โหตี’’ติ วา อสมฺภวโต ยํนิเทฺทเสน อวตฺวา ตํนิเทฺทสเสฺสว สมฺภวโต ‘‘เตน โข ปน สมเยน…เป.… กลนฺทคาโม นาม โหตี’’ติ วุตฺตนฺติ, เกวลํ สุวิทิตตฺตา วาฯ อนิยมนิเทฺทสวจนนฺติ เอตฺถ กิญฺจาปิ ยถาวุตฺตนเยน นิยมนิเทฺทสวจนเมเวตํ ตํนิเทฺทสตฺตา, ตถาปิ สมฺปติกาลวเสน ตทิตเรสํ ภิกฺขูนํ อวิทิตตฺตา ‘‘อนิยมนิเทฺทสวจน’’นฺติ วุตฺตํฯ ยํ ปน วุตฺตํ ‘‘อยญฺหิ สพฺพสฺมิมฺปิ วินเย ยุตฺตี’’ติ, ตํ ตพฺพหุเลน วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Ce? Nanu vuttaṃ pubbeva ‘‘idañhi buddhassa bhagavato attapaccakkhavacanaṃ na hotī’’tiādi, tasmā upālittherena vuttassa tenātiādipāṭhassa atthaṃ nānappakārato dassayanto karissāmi vinayassa bhagavato attapaccakkhavacanabhūtassa atthavaṇṇananti evamettha attho daṭṭhabbo. Yadi evaṃ ‘‘tena samayena buddho bhagavā verañjāyaṃ viharatīti evamādivacanapaṭimaṇḍitanidānaṃ vinayapiṭakaṃ kena dhārita’’ntiādivacanaṃ virujjhati ‘‘tena samayenā’’tiādivacanassa vinayapiṭakapariyāpannabhāvadīpanatoti ce? Na, aññatthepi tabbohārasiddhito ‘‘nānāvidhabhittikammapaṭimaṇḍitavasano puriso’’tiādīsu viya. Vinayassādibhāvena saṅgītikārakehi anuññātattā vinayapariyāpannatāpi yujjati tassa vacanassa. Etthāha – yathā suttante ‘‘ekaṃ samaya’’nti ca, abhidhamme ca ‘‘yasmiṃ samaye’’ti aniyamato vuttaṃ, tathā avatvā idha ‘‘tena samayenā’’ti paṭhamaṃ taṃniddesova kasmā vuttoti? Vuccate – tassa tassa sikkhāpadapaññattisamayassa, yassa vā sikkhāpadapaññattihetubhūtassa samayassa hetu bhagavā tattha tattha vihāsi, tassa ca samayassa atītassa tesaṃ saṅgītikārakānaṃ vasīnaṃ suviditattā. Kathaṃ? ‘‘Ye te bhikkhū appicchā te ujjhāyantī’’tiādivacanato, ‘‘atha kho te bhikkhū bhagavato etamatthaṃ ārocesu’’nti ca ‘‘atha kho bhagavā etasmiṃ nidāne sannipātāpetvā’’ti ca ‘‘bhikkhūnaṃ tadanucchavikaṃ tadanu…pe… dasa atthavase paṭicca saṅghasuṭṭhutāyā’’ti ca ‘‘evañca pana, bhikkhave, imaṃ sikkhāpadaṃ uddiseyyāthā’’ti ca khandhakesu ca ‘‘anujānāmi, bhikkhave, tīhi saraṇagamanehi pabbajja’’ntiādivinayakkamassa vacanato yo so sikkhāpadapaññattisamayo, tassa tassa vinayakkamassa so paññattisamayo ca suvidito tesaṃ pañcasatānaṃ dhammadharānaṃ bhikkhūnaṃ, nāyaṃ nayo suttantābhidhammesu sambhavati. Tasmā suviditattā tena samayena hetubhūtena viharatīti viharatipadena ekasambandhattā ca paṭhamaṃ yaṃniddesādino asambhavato ca vinayapiṭake taṃniddesova paṭhamaṃ vutto. Kathaṃ? Ettha ‘‘yena kho pana samayena vesāliyā avidūre kalandagāmo nāma hotī’’ti vā ‘‘yena kho pana samayena vesālī…pe… hotī’’ti vā asambhavato yaṃniddesena avatvā taṃniddesasseva sambhavato ‘‘tena kho pana samayena…pe… kalandagāmo nāma hotī’’ti vuttanti, kevalaṃ suviditattā vā. Aniyamaniddesavacananti ettha kiñcāpi yathāvuttanayena niyamaniddesavacanamevetaṃ taṃniddesattā, tathāpi sampatikālavasena taditaresaṃ bhikkhūnaṃ aviditattā ‘‘aniyamaniddesavacana’’nti vuttaṃ. Yaṃ pana vuttaṃ ‘‘ayañhi sabbasmimpi vinaye yuttī’’ti, taṃ tabbahulena vuttanti veditabbaṃ.
ยทิ สพฺพํ เตนาติ ปทํ อนิยมนิเทฺทสวจนํ ภเวยฺย, เตน หิ ภิกฺขเว ภิกฺขูนํ สิกฺขาปทนฺติ เอตฺถ อิทมฺปิ ปุเพฺพ สิทฺธตฺถํ เตนาติ ปทํ อนิยมนิเทฺทสวจนํ ภเวยฺยฯ ‘‘เตน สมเยน พุโทฺธ ภควา อุรุเวลายํ วิหรตี’’ติอาทีสุ วุตฺตํ เตนาติ ปทญฺจ อนิยมนิเทฺทสวจนํ ภเวยฺย, น จ โหติ, ตสฺมา เยสํ เตน ตํนิเทฺทเสน นิทฺทิฎฺฐโตฺถ อวิทิโต, เตสํ วเสนาห ‘‘อนิยมนิเทฺทสวจนเมต’’นฺติฯ อถ วา ตโต ปฐมํ ตทตฺถาทสฺสนโต ปจฺฉาปิ ตํสมฺพเนฺธน ยํนิเทฺทสทสฺสนโต จ ‘‘อนิยมนิเทฺทสวจนเมต’’นฺติ วุตฺตํฯ อถ วา ปุพฺพณฺหาทีสุ อยํ นามาติ อนิยเมตฺวา กาลปริทีปนสฺส สมยสทฺทสฺส อุปปทภาเวนปิ เอวํ วตฺตุมรหติ ‘‘ยทิทํ อนิยมนิเทฺทสวจน’’นฺติฯ อถ วา ‘‘เตนา’’ติ วุเตฺต เตน ฆเฎน ปเฎนาติ สพฺพตฺถปฺปสงฺคนิวารณตฺถํ นิยมํ กโรติ ‘‘สมเยนา’’ติฯ เกน ปน สมเยน? ปรภาเค อตฺถโต สิเทฺธน สาริปุตฺตสฺส ปริวิตกฺกสมเยนฯ เอตฺถาห – วิตกฺกสมโย เจ อิธาธิเปฺปโต, ‘‘ปรโต อิธ ปน เหตุอโตฺถ กรณโตฺถ จ สมฺภวติฯ โย หิ โส สิกฺขาปทปญฺญตฺติสมโย สาริปุตฺตาทีหิปิ ทุพฺพิเญฺญโยฺย, เตน สมเยน เหตุภูเตน กรณภูเตน จา’’ติอาทิวจนํ วิรุชฺฌตีติ? น, พาหุเลฺลน วุตฺตตฺตาฯ สุตฺตนฺตาภิธเมฺมสุ วิย อวตฺวา อิธ วินยปิฎเก กรณวจเนน กสฺมา นิเทฺทโสติ หิ โจทนาฯ ตสฺมา ตสฺสา วิสฺสชฺชเน พาหุเลฺลน กรณวจนปฺปโยชนํ วตฺตุกาโม อาจริโย อาห ‘‘โย โส สิกฺขาปทปญฺญตฺติสมโย’’ติอาทิฯ น สมฺปติ วุจฺจมานเสฺสว กรณวจนสฺส ปโยชนํ วตฺตุกาโม, อิมสฺส ปน เหตุอโตฺถว สมฺภวติ, น กรณโตฺถ, ตสฺมา อาห ‘‘อปรภาเค อตฺถโต สิเทฺธนา’’ติอาทิฯ สมยญฺจาติ อาคมนปจฺจยสมวายํ ตทนุรูปกาลญฺจ อุปาทายาติ อโตฺถฯ ปจฺจยสามคฺคิญฺจ อาคมนกาลญฺจ ลภิตฺวา ชานิสฺสามาติ อธิปฺปาโยฯ
Yadi sabbaṃ tenāti padaṃ aniyamaniddesavacanaṃ bhaveyya, tena hi bhikkhave bhikkhūnaṃ sikkhāpadanti ettha idampi pubbe siddhatthaṃ tenāti padaṃ aniyamaniddesavacanaṃ bhaveyya. ‘‘Tena samayena buddho bhagavā uruvelāyaṃ viharatī’’tiādīsu vuttaṃ tenāti padañca aniyamaniddesavacanaṃ bhaveyya, na ca hoti, tasmā yesaṃ tena taṃniddesena niddiṭṭhattho avidito, tesaṃ vasenāha ‘‘aniyamaniddesavacanameta’’nti. Atha vā tato paṭhamaṃ tadatthādassanato pacchāpi taṃsambandhena yaṃniddesadassanato ca ‘‘aniyamaniddesavacanameta’’nti vuttaṃ. Atha vā pubbaṇhādīsu ayaṃ nāmāti aniyametvā kālaparidīpanassa samayasaddassa upapadabhāvenapi evaṃ vattumarahati ‘‘yadidaṃ aniyamaniddesavacana’’nti. Atha vā ‘‘tenā’’ti vutte tena ghaṭena paṭenāti sabbatthappasaṅganivāraṇatthaṃ niyamaṃ karoti ‘‘samayenā’’ti. Kena pana samayena? Parabhāge atthato siddhena sāriputtassa parivitakkasamayena. Etthāha – vitakkasamayo ce idhādhippeto, ‘‘parato idha pana hetuattho karaṇattho ca sambhavati. Yo hi so sikkhāpadapaññattisamayo sāriputtādīhipi dubbiññeyyo, tena samayena hetubhūtena karaṇabhūtena cā’’tiādivacanaṃ virujjhatīti? Na, bāhullena vuttattā. Suttantābhidhammesu viya avatvā idha vinayapiṭake karaṇavacanena kasmā niddesoti hi codanā. Tasmā tassā vissajjane bāhullena karaṇavacanappayojanaṃ vattukāmo ācariyo āha ‘‘yo so sikkhāpadapaññattisamayo’’tiādi. Na sampati vuccamānasseva karaṇavacanassa payojanaṃ vattukāmo, imassa pana hetuatthova sambhavati, na karaṇattho, tasmā āha ‘‘aparabhāge atthato siddhenā’’tiādi. Samayañcāti āgamanapaccayasamavāyaṃ tadanurūpakālañca upādāyāti attho. Paccayasāmaggiñca āgamanakālañca labhitvā jānissāmāti adhippāyo.
เอตฺถาห – ยถา ‘‘เอโกว โข, ภิกฺขเว, ขโณ สมโย จา’’ติ เอตฺถ ขณสมยานํ เอโก อโตฺถ, ตถา กาลญฺจ สมยญฺจ อุปาทายาติ กาลสมยานํ เอโก อโตฺถ สิยา, อปิจ อาคมนปจฺจยสมวาโย เจตฺถ สมโย กาลสฺสาปิ อาคมนปจฺจยตฺตา สมยคฺคหเณเนว โส คหิโตติ วิสุํ กาโล กิมตฺถํ คหิโตติ จ? วุจฺจเต – อเปฺปว นาม เสฺวปีติ กาลสฺส ปฐมํ นิยมิตตฺตา น สมโย กาลโตฺถ ฯ ตสฺมิํ เสฺวติ นิยมิตกาเล อิตเรสํ อาคมนปจฺจยานํ สมวายํ ปฎิจฺจ อุปสงฺกเมยฺยาม ยถานิยมิตกาเลปิ ปุพฺพณฺหาทิปฺปเภทํ ยถาวุตฺตสมวายานุรูปํ กาลญฺจ อุปาทายาติ เสฺวติ ปริจฺฉินฺนทิวเส ปุพฺพณฺหาทิกาลนิยตภาวํ ทเสฺสติ, ตสฺมา กาลสมยานํ น เอกตฺถตฺตา กาลสฺส วิสุํ คหณมฺปิ สาตฺถกนฺติ เวทิตพฺพํฯ ยสฺมา ขเณ ขเณ ตฺวํ ภิกฺขุ ชายสิ จ ชียสิ จ มียสิ เจติ ภิกฺขุนิยา สนฺติเก อภิกฺขณํ คจฺฉตีติ (ปาจิ. ๑๙๘) จ ขเณ ขเณ ภาสติ สตฺถุสาสนนฺติ จ ขณสโทฺท อเนกโตฺถ, ตถา สมยสโทฺท จ, ตสฺมา เอกเมเกน นิยเมโนฺต ‘‘เอโกว โข, ภิกฺขเว, ขโณ จ สมโย จา’’ติ อาหฯ ขณสมยานํ อโตฺถ เอกโตฺถ ยุชฺชติ ขโณ โอกาสลาโภ, อฎฺฐกฺขณวชฺชิโต นวโม ขโณติ อโตฺถฯ อตฺตโน อตฺตโน อุเจฺฉทาทโย ทิฎฺฐิคตสงฺขาเต สมเย เอตฺถ ปวทนฺตีติ สมยปฺปวาทโกฯ เสฺวว ตินฺทุกาจีรสงฺขาตาย ติมฺพรุรุกฺขปนฺติยา ปริกฺขิตฺตตฺตา ตินฺทุกาจีรํฯ เอกสาลเกติ เอโก สาลรุโกฺขฯ ‘‘กุฎิกา’’ติปิ วทนฺติฯ อตฺถาภิสมยาติ อตฺตโน หิตปฎิลาภาฯ ธีโรติ จ ปณฺฑิโต วุจฺจติ, นาโญฺญฯ สมฺมา มานาภิสมยาติ สุฎฺฐุ มานสฺส ปหาเนน, สมุเจฺฉทวเสน สุฎฺฐุ มานปฺปหาเนนาติ อโตฺถฯ ทุกฺขสฺส ปีฬนโฎฺฐติอาทีสุ ‘‘จตุนฺนํ สจฺจานํ จตูหิ อากาเรหิ ปฎิเวโธ’’ติอาทีสุ ขนฺธปญฺจกสงฺขาตสฺส ทุกฺขสฺส ทุกฺขาการตายโฎฺฐฯ สงฺขตโฎฺฐ การณุปฺปตฺติอโตฺถ, ทุกฺขาย เวทนาย สนฺตาปโฎฺฐฯ สุขาย เวทนาย วิปริณามโฎฺฐฯ ปีฬนฎฺฐาทิโกว อภิสมยโฎฺฐติ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ คโพฺภกฺกนฺติสมโยติอาทีสุปิ ปถวีกมฺปนอาโลกปาตุภาวาทีหิ เทวมนุเสฺสสุ ปากโฎฯ ทุกฺกรการิกสมโยปิ กาโฬ สมโณ โคตโม น กาโฬติอาทินา ปากโฎฯ สตฺตสตฺตาหานิ จ อญฺญานิ จ ทิฎฺฐธมฺมสุขวิหารสมโยฯ
Etthāha – yathā ‘‘ekova kho, bhikkhave, khaṇo samayo cā’’ti ettha khaṇasamayānaṃ eko attho, tathā kālañca samayañca upādāyāti kālasamayānaṃ eko attho siyā, apica āgamanapaccayasamavāyo cettha samayo kālassāpi āgamanapaccayattā samayaggahaṇeneva so gahitoti visuṃ kālo kimatthaṃ gahitoti ca? Vuccate – appeva nāma svepīti kālassa paṭhamaṃ niyamitattā na samayo kālattho . Tasmiṃ sveti niyamitakāle itaresaṃ āgamanapaccayānaṃ samavāyaṃ paṭicca upasaṅkameyyāma yathāniyamitakālepi pubbaṇhādippabhedaṃ yathāvuttasamavāyānurūpaṃ kālañca upādāyāti sveti paricchinnadivase pubbaṇhādikālaniyatabhāvaṃ dasseti, tasmā kālasamayānaṃ na ekatthattā kālassa visuṃ gahaṇampi sātthakanti veditabbaṃ. Yasmā khaṇe khaṇe tvaṃ bhikkhu jāyasi ca jīyasi ca mīyasi ceti bhikkhuniyā santike abhikkhaṇaṃ gacchatīti (pāci. 198) ca khaṇe khaṇe bhāsati satthusāsananti ca khaṇasaddo anekattho, tathā samayasaddo ca, tasmā ekamekena niyamento ‘‘ekova kho, bhikkhave, khaṇo ca samayo cā’’ti āha. Khaṇasamayānaṃ attho ekattho yujjati khaṇo okāsalābho, aṭṭhakkhaṇavajjito navamo khaṇoti attho. Attano attano ucchedādayo diṭṭhigatasaṅkhāte samaye ettha pavadantīti samayappavādako. Sveva tindukācīrasaṅkhātāya timbarurukkhapantiyā parikkhittattā tindukācīraṃ. Ekasālaketi eko sālarukkho. ‘‘Kuṭikā’’tipi vadanti. Atthābhisamayāti attano hitapaṭilābhā. Dhīroti ca paṇḍito vuccati, nāñño. Sammā mānābhisamayāti suṭṭhu mānassa pahānena, samucchedavasena suṭṭhu mānappahānenāti attho. Dukkhassa pīḷanaṭṭhotiādīsu ‘‘catunnaṃ saccānaṃ catūhi ākārehi paṭivedho’’tiādīsu khandhapañcakasaṅkhātassa dukkhassa dukkhākāratāyaṭṭho. Saṅkhataṭṭho kāraṇuppattiattho, dukkhāya vedanāya santāpaṭṭho. Sukhāya vedanāya vipariṇāmaṭṭho. Pīḷanaṭṭhādikova abhisamayaṭṭhoti attho daṭṭhabbo. Gabbhokkantisamayotiādīsupi pathavīkampanaālokapātubhāvādīhi devamanussesu pākaṭo. Dukkarakārikasamayopi kāḷo samaṇo gotamo na kāḷotiādinā pākaṭo. Sattasattāhāni ca aññāni ca diṭṭhadhammasukhavihārasamayo.
อจฺจนฺตเมว ตํ สมยนฺติ อารมฺภโต ปฎฺฐาย ยาว ปตฺตสนฺนิฎฺฐานา, ตาว อจฺจนฺตสมฺปโยเคน ตสฺมิํ สมเยฯ กรุณาวิหาเรน วิหาสีติ กรุณากิจฺจวิหาเรน ตสฺมิํ สมเย วิหาสีติ อโตฺถฯ ตํ สมยญฺหิ กรุณากิจฺจสมยํฯ ญาณกิจฺจํ กรุณากิจฺจนฺติ เทฺว ภควโต กิจฺจานิ, อภิสโมฺพธิ ญาณกิจฺจํ, มหากรุณาสมาปตฺติํ สมาปชฺชิตฺวา เวเนยฺยสตฺตาวโลกนํ กตฺวา ตทนุรูปกรณํ กรุณากิจฺจํฯ ‘‘สนฺนิปติตานํ โว, ภิกฺขเว, ทฺวยํ กรณีย’’นฺติ (ม. นิ. ๑.๒๗๓; อุทา. ๑๒, ๒๘) หิ วุตฺตํ, ตํ ภควาปิ กโรติเยวฯ อถ วา อาคนฺตุเกหิ ภิกฺขูหิ อาทิสมาโยคญฺจฯ ตตฺถ กรุณากิจฺจํ วิหารํ ทเสฺสโนฺต ‘‘กรุณาวิหาเรน วิหาสี’’ติ อาหฯ อธิกรณญฺหิ กาลโตฺถติ เอตฺถ หิ-กาโร การณโตฺถฯ ตตฺถ หิ อภิธเมฺม กาลสมูหขณสมวายเหตุสงฺขาตวเสน ปญฺจวิโธ สมยโฎฺฐ ทฎฺฐโพฺพฯ กาลสมูหโฎฺฐ สมโย กถํ อธิกรณํ โหติ? อธิกรณมุปฺปตฺติฎฺฐานํ ปุพฺพเณฺห ชาโตติ ยถา, เอวํ กาลโฎฺฐ สมยสโทฺท ทฎฺฐโพฺพฯ กถํ ราสโฎฺฐ? ยวราสิมฺหิ ชาโตติ ยถาฯ ตสฺมา ยสฺมิํ กาเล ปุเญฺช วา จิตฺตํ สมุปฺปนฺนํ, ตสฺมิํ กาเล ปุเญฺช วา ผสฺสาทโย อุปฺปชฺชนฺตีติ วุตฺตํ โหติฯ อธิกรณญฺหีติ เอตฺถ อภิธเมฺม นิทฺทิฎฺฐํ อธิกรณํ กาลโฎฺฐ สมูหโฎฺฐ จ โหติ, ‘‘ยสฺมิํ สมเย’’ติ วุตฺตํ อธิกรณํ สนฺธาย วุตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ อิทานิ ภาเวนภาวลกฺขณญฺจ ทเสฺสโนฺต ‘‘ตตฺถ วุตฺตาน’’มิจฺจาทิมาหฯ ตตฺถ อภิธเมฺม วุตฺตานํ ภาโว นาม กินฺติ? อุปฺปตฺติ วิชฺชมานตา, สา เตสํ ตตฺถ วุตฺตานํ ผสฺสาทิธมฺมานํ, สา ปน สมยสฺส ภาเวน ภาโว ลกฺขียติ ญายติ, ตสฺมา ตตฺถ ภุมฺมวจนนิเทฺทโส กโตติ วุตฺตํ โหติฯ
Accantameva taṃ samayanti ārambhato paṭṭhāya yāva pattasanniṭṭhānā, tāva accantasampayogena tasmiṃ samaye. Karuṇāvihārena vihāsīti karuṇākiccavihārena tasmiṃ samaye vihāsīti attho. Taṃ samayañhi karuṇākiccasamayaṃ. Ñāṇakiccaṃ karuṇākiccanti dve bhagavato kiccāni, abhisambodhi ñāṇakiccaṃ, mahākaruṇāsamāpattiṃ samāpajjitvā veneyyasattāvalokanaṃ katvā tadanurūpakaraṇaṃ karuṇākiccaṃ. ‘‘Sannipatitānaṃ vo, bhikkhave, dvayaṃ karaṇīya’’nti (ma. ni. 1.273; udā. 12, 28) hi vuttaṃ, taṃ bhagavāpi karotiyeva. Atha vā āgantukehi bhikkhūhi ādisamāyogañca. Tattha karuṇākiccaṃ vihāraṃ dassento ‘‘karuṇāvihārena vihāsī’’ti āha. Adhikaraṇañhi kālatthoti ettha hi-kāro kāraṇattho. Tattha hi abhidhamme kālasamūhakhaṇasamavāyahetusaṅkhātavasena pañcavidho samayaṭṭho daṭṭhabbo. Kālasamūhaṭṭho samayo kathaṃ adhikaraṇaṃ hoti? Adhikaraṇamuppattiṭṭhānaṃ pubbaṇhe jātoti yathā, evaṃ kālaṭṭho samayasaddo daṭṭhabbo. Kathaṃ rāsaṭṭho? Yavarāsimhi jātoti yathā. Tasmā yasmiṃ kāle puñje vā cittaṃ samuppannaṃ, tasmiṃ kāle puñje vā phassādayo uppajjantīti vuttaṃ hoti. Adhikaraṇañhīti ettha abhidhamme niddiṭṭhaṃ adhikaraṇaṃ kālaṭṭho samūhaṭṭho ca hoti, ‘‘yasmiṃ samaye’’ti vuttaṃ adhikaraṇaṃ sandhāya vuttanti daṭṭhabbaṃ. Idāni bhāvenabhāvalakkhaṇañca dassento ‘‘tattha vuttāna’’miccādimāha. Tattha abhidhamme vuttānaṃ bhāvo nāma kinti? Uppatti vijjamānatā, sā tesaṃ tattha vuttānaṃ phassādidhammānaṃ, sā pana samayassa bhāvena bhāvo lakkhīyati ñāyati, tasmā tattha bhummavacananiddeso katoti vuttaṃ hoti.
ตตฺถ ขโณ นาม อฎฺฐกฺขณวินิมุโตฺต นวโม ขโณ, ตสฺมิํ สติ อุปฺปชฺชติฯ สมวาโย นาม จกฺขุนฺทฺริยาทิการณสามคฺคี, ตสฺมิํ สติ อุปฺปชฺชติฯ เหตุ นาม รูปาทิอารมฺมณํฯ ตสฺมา ตสฺมิํ ขณการณสมวายเหตุมฺหิ สติ เตสํ ผสฺสาทีนํ ภาโว วิชฺชมานตา โหตีติ วุตฺตํ โหติฯ อิธ ปน เหตุอโตฺถ กรณโตฺถ จ สมฺภวตีติ เอตฺถ อตฺถทฺวยเมกสฺส สมฺภวตีติ อิธ วินเย วุตฺตสฺส สมยสทฺทสฺส กตฺตุกรณเตฺถ ตติยา เหตุมฺหิ จ อิตฺยุตฺตตฺตาฯ โส ทุพฺพิเญฺญโยฺยติ ‘‘ตถาคโตว ตตฺถ กาลํ ชานิสฺสตี’’ติ วุตฺตตฺตาติ วุตฺตํ โหติฯ เตน สมเยนาติ ตสฺส สมยสฺส การณา ‘‘อเนฺนน วสติ วิชฺชาย วสตี’’ติ ยถา, อนฺนํ วา วิชฺชํ วา ลภามีติ ตทตฺถํ วสตีตฺยโตฺถฯ เอวํ ‘‘เตน สมเยน วิหรตี’’ติ วุเตฺต เหตฺวเตฺถ ตติยา ทฎฺฐพฺพา, ตสฺมา สิกฺขาปทปญฺญตฺติยา สมยญฺจ วีติกฺกมญฺจ โอโลกยมาโน ตตฺถ ตตฺถ วิหาสีติ วุตฺตํ โหติฯ ตติยปาราชิกาทีสุ ‘‘อิจฺฉามหํ, ภิกฺขเว, อทฺธมาสํ , ปฎิสลฺลียิตุ’’นฺติ (ปารา. ๑๖๒) เอวมาทีสุ ทฎฺฐพฺพา, ตสฺมา ทุติยา กาลทฺธาเน อจฺจนฺตสํโยเคติ ทุติยาตฺร สมฺภวติ ‘‘มาสมธีเต ทิวสมธีเต’’ติ ยถาฯ อิธ ปน เหตุอโตฺถ กรณโตฺถ จ สมฺภวตีติ เอตฺถ ยสฺส กรณวจนสฺส เหตุอโตฺถ สมฺภวติ, เตน สมเยน เหตุภูเตน ตํ ตํ วตฺถุวีติกฺกมสงฺขาตํ วีติกฺกมสมยสงฺขาตํ วา สิกฺขาปทปญฺญตฺติเหตุญฺจ อเปกฺขมาโน ภควา ตตฺถ ตตฺถ วิหาสิฯ ยสฺส กรณโตฺถ สมฺภวติ, เตน กรณภูเตน สมเยน สมฺปเตฺตน สิกฺขาปทานิ ปญฺญาปยโนฺต ภควา ตตฺถ ตตฺถ วิหาสีติ อธิปฺปาโยฯ
Tattha khaṇo nāma aṭṭhakkhaṇavinimutto navamo khaṇo, tasmiṃ sati uppajjati. Samavāyo nāma cakkhundriyādikāraṇasāmaggī, tasmiṃ sati uppajjati. Hetu nāma rūpādiārammaṇaṃ. Tasmā tasmiṃ khaṇakāraṇasamavāyahetumhi sati tesaṃ phassādīnaṃ bhāvo vijjamānatā hotīti vuttaṃ hoti. Idha pana hetuattho karaṇattho ca sambhavatīti ettha atthadvayamekassa sambhavatīti idha vinaye vuttassa samayasaddassa kattukaraṇatthe tatiyā hetumhi ca ityuttattā. So dubbiññeyyoti ‘‘tathāgatova tattha kālaṃ jānissatī’’ti vuttattāti vuttaṃ hoti. Tena samayenāti tassa samayassa kāraṇā ‘‘annena vasati vijjāya vasatī’’ti yathā, annaṃ vā vijjaṃ vā labhāmīti tadatthaṃ vasatītyattho. Evaṃ ‘‘tena samayena viharatī’’ti vutte hetvatthe tatiyā daṭṭhabbā, tasmā sikkhāpadapaññattiyā samayañca vītikkamañca olokayamāno tattha tattha vihāsīti vuttaṃ hoti. Tatiyapārājikādīsu ‘‘icchāmahaṃ, bhikkhave, addhamāsaṃ , paṭisallīyitu’’nti (pārā. 162) evamādīsu daṭṭhabbā, tasmā dutiyā kāladdhāne accantasaṃyogeti dutiyātra sambhavati ‘‘māsamadhīte divasamadhīte’’ti yathā. Idha pana hetuattho karaṇattho ca sambhavatīti ettha yassa karaṇavacanassa hetuattho sambhavati, tena samayena hetubhūtena taṃ taṃ vatthuvītikkamasaṅkhātaṃ vītikkamasamayasaṅkhātaṃ vā sikkhāpadapaññattihetuñca apekkhamāno bhagavā tattha tattha vihāsi. Yassa karaṇattho sambhavati, tena karaṇabhūtena samayena sampattena sikkhāpadāni paññāpayanto bhagavā tattha tattha vihāsīti adhippāyo.
คณฺฐิปเท ปน ‘‘สุทินฺนาทีนํ วีติกฺกโมว การณํ นาม, ตสฺส นิยมภูโต กาโล ปน กรณเมว ตํ กาลํ อนติกฺกมิตฺวาว สิกฺขาปทสฺส ปญฺญเปตพฺพตฺตา’’ติ วุตฺตํ, ตํ นิโทฺทสํฯ ยํ ปน วุตฺตํ ‘‘อิทํ กรณํ ปุพฺพภาคตฺตา ปฐมํ วตฺตพฺพมฺปิ ปจฺฉา วุตฺต’’นฺติ, ตํ ทุวุตฺตํฯ เหตุอตฺถโต หิ ยถา ปจฺฉา กรณโตฺถ โยชิยมาโน อนุกฺกเมเนว โยคํ คจฺฉติ, ตถา จ โยชิโตฯ ยํ ปน อฎฺฐกถาจริโย ปจฺฉา วุตฺตํ อิทํ กรณตฺถํ ปฐมํ โยเชตฺวา ปฐมํ วุตฺตํ เหตุอตฺถํ ปจฺฉา โยเชสิ, ตํ โยชนาสุขตฺตาติ เวทิตพฺพนฺติ อาจริเยน ลิขิตํฯ อิโต ปฎฺฐาย ยตฺถ ยตฺถ ‘‘อาจริเยน ลิขิต’’นฺติ วา ‘‘อาจริยสฺส ตโกฺก’’ติ วา วุจฺจติ, ตตฺถ ตตฺถ อาจริโย นาม อานนฺทาจริโย กลสปุรวาสีติ คเหตโพฺพฯ เอตฺถาห – ยถา สุตฺตเนฺต ‘‘เอกํ สมยํ ภควา’’ติ วุจฺจติ, ตถา ‘‘เตน สมเยน ภควา เวรญฺชาย’’นฺติ วตฺตพฺพํ, อถ สเววจนํ วตฺตุกาโม เถโร, ตถาคโต สุคโตติอาทีนิปิ วตฺตพฺพานิ, อถ อิมเสฺสว ปททฺวยสฺส คหเณ กิญฺจิ ปโยชนํ อตฺถิ, ตํ วตฺตพฺพนฺติ? วุจฺจเต – เกสญฺจิ พุทฺธสฺส ภควโต ปรมคมฺภีรํ อชฺฌาสยกฺกมํ อชานตํ ‘‘อปญฺญเตฺต สิกฺขาปเท อนาทีนวทโสฺส…เป.… อภิวิญฺญาเปสี’’ติอาทิกํ (ปารา. ๓๖) ‘‘อถ โข ภควา อายสฺมนฺตํ สุทินฺนํ ปฎิปุจฺฉี’’ติอาทิกญฺจ (ปารา. ๓๙) ‘‘สาทิยิ ตฺวํ ภิกฺขูติฯ นาหํ ภควา สาทิยิ’’นฺติอาทิกญฺจ (ปารา. ๗๒) ตถา ปุราณโวหาริกํ ภิกฺขุํ ปุจฺฉิตฺวา เตน วุตฺตปริเจฺฉเทน ทุติยปาราชิกปญฺญาปนญฺจ เทวทตฺตสฺส ปพฺพชฺชานุชานนญฺจาติ เอวมาทิกํ วินยปริยตฺติํ ทิสฺวา พุทฺธสุพุทฺธตํ ปฎิจฺจ สงฺกา สมฺภเวยฺย, ‘‘ตถา กิํ ปน ตุยฺหํ ฉวสฺส เขฬาสกสฺสา’’ติ (จูฬว. ๓๓๖) เอวมาทิกํ ผรุสวจนปฎิสํยุตฺตํ วินยปริยตฺติํ นิสฺสาย ขีณาสวตฺตํ ปฎิจฺจ สงฺกา สมฺภเวยฺย, ตทุภยสงฺกาวิโนทนตฺถํ อายสฺมตา อุปาลิเตฺถเรน อิทเมว ปททฺวยคฺคหณํ สพฺพตฺถ กตนฺติ เวทิตพฺพํฯ เตเนตํ ทีเปติ – กามํ สพฺพเญยฺยพุทฺธตฺตา พุโทฺธเยว, ภคฺคสพฺพโทสตฺตา ภควาว, โส สตฺถาติฯ ปรโตปิ วุตฺตํ ‘‘ชานนฺตาปิ ตถาคตา ปุจฺฉนฺติ…เป.… อนตฺถสํหิเต เสตุฆาโต ตถาคตาน’’นฺติ (ปารา. ๑๖)ฯ สุตฺตเนฺต จ วุตฺตํ ‘‘สเณฺหนปิ เกสิ วิเนมิ ผรุเสนปี’’ติอาทิ (อ. นิ. ๔.๑๑๑)ฯ
Gaṇṭhipade pana ‘‘sudinnādīnaṃ vītikkamova kāraṇaṃ nāma, tassa niyamabhūto kālo pana karaṇameva taṃ kālaṃ anatikkamitvāva sikkhāpadassa paññapetabbattā’’ti vuttaṃ, taṃ niddosaṃ. Yaṃ pana vuttaṃ ‘‘idaṃ karaṇaṃ pubbabhāgattā paṭhamaṃ vattabbampi pacchā vutta’’nti, taṃ duvuttaṃ. Hetuatthato hi yathā pacchā karaṇattho yojiyamāno anukkameneva yogaṃ gacchati, tathā ca yojito. Yaṃ pana aṭṭhakathācariyo pacchā vuttaṃ idaṃ karaṇatthaṃ paṭhamaṃ yojetvā paṭhamaṃ vuttaṃ hetuatthaṃ pacchā yojesi, taṃ yojanāsukhattāti veditabbanti ācariyena likhitaṃ. Ito paṭṭhāya yattha yattha ‘‘ācariyena likhita’’nti vā ‘‘ācariyassa takko’’ti vā vuccati, tattha tattha ācariyo nāma ānandācariyo kalasapuravāsīti gahetabbo. Etthāha – yathā suttante ‘‘ekaṃ samayaṃ bhagavā’’ti vuccati, tathā ‘‘tena samayena bhagavā verañjāya’’nti vattabbaṃ, atha savevacanaṃ vattukāmo thero, tathāgato sugatotiādīnipi vattabbāni, atha imasseva padadvayassa gahaṇe kiñci payojanaṃ atthi, taṃ vattabbanti? Vuccate – kesañci buddhassa bhagavato paramagambhīraṃ ajjhāsayakkamaṃ ajānataṃ ‘‘apaññatte sikkhāpade anādīnavadasso…pe… abhiviññāpesī’’tiādikaṃ (pārā. 36) ‘‘atha kho bhagavā āyasmantaṃ sudinnaṃ paṭipucchī’’tiādikañca (pārā. 39) ‘‘sādiyi tvaṃ bhikkhūti. Nāhaṃ bhagavā sādiyi’’ntiādikañca (pārā. 72) tathā purāṇavohārikaṃ bhikkhuṃ pucchitvā tena vuttaparicchedena dutiyapārājikapaññāpanañca devadattassa pabbajjānujānanañcāti evamādikaṃ vinayapariyattiṃ disvā buddhasubuddhataṃ paṭicca saṅkā sambhaveyya, ‘‘tathā kiṃ pana tuyhaṃ chavassa kheḷāsakassā’’ti (cūḷava. 336) evamādikaṃ pharusavacanapaṭisaṃyuttaṃ vinayapariyattiṃ nissāya khīṇāsavattaṃ paṭicca saṅkā sambhaveyya, tadubhayasaṅkāvinodanatthaṃ āyasmatā upālittherena idameva padadvayaggahaṇaṃ sabbattha katanti veditabbaṃ. Tenetaṃ dīpeti – kāmaṃ sabbañeyyabuddhattā buddhoyeva, bhaggasabbadosattā bhagavāva, so satthāti. Paratopi vuttaṃ ‘‘jānantāpi tathāgatā pucchanti…pe… anatthasaṃhite setughāto tathāgatāna’’nti (pārā. 16). Suttante ca vuttaṃ ‘‘saṇhenapi kesi vinemi pharusenapī’’tiādi (a. ni. 4.111).
อสาธารณเหตุมฺหีติ เอตฺถ กุสลมูลานิ น อกุสลานํ กทาจิ มูลานิ โหนฺติ, ตถา อกุสลมูลานิ กุสลานํ, อพฺยากตมูลานิ น กทาจิ กุสลานนฺติ อยเมว นโย ลพฺภติ, ยสฺมา กุสลา เหตู ตํสมุฎฺฐานานํ รูปานํ เหตุปจฺจเยน ปจฺจโย (ปฎฺฐา. ๑.๑.๔๐๑ อาทโย), ตสฺมา กุสลานิ กุสลานํเยวาติอาทินโย น ลพฺภติฯ ปุจิ วุจฺจเต กุฎฺฐา, เต มนฺทยติ นาสยตีติ ปุจิมโนฺทฯ สตฺตานํ หิตสุขนิปฺผาทนาธิมุตฺตตนฺติ เอตฺถ สามญฺญโต วุตฺตสเตฺต ทฺวิธา ภินฺทิตฺวา ทเสฺสตุํ ‘‘มนุสฺสานํ อุปการพหุลต’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ พหุชนหิตายาติ พหุโน ชนสฺส หิตตฺถายฯ ปญฺญาสมฺปตฺติยา ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกหิตูปเทสโก หิ ภควาฯ สุขายาติ สุขตฺถายฯ จาคสมฺปตฺติยา อุปการกสุขสมฺปทายโก หิ เอสฯ เมตฺตากรุณาสมฺปตฺติยา โลกานุกมฺปาย มาตาปิตโร วิยฯ โลกสฺส รกฺขิตโคปิตา หิ เอสฯ เทวมนุสฺสานนฺติ เอตฺถ ภพฺพปุคฺคเล เวเนยฺยสเตฺตเยว คเหตฺวา เตสํ นิพฺพานมคฺคผลาธิคมาย อตฺตโน อุปฺปตฺติํ ทเสฺสติฯ ‘‘อตฺถายา’’ติ หิ วุเตฺต ปรมตฺถตฺถาย นิพฺพานาย, ‘‘หิตายา’’ติ วุเตฺต ตํสมฺปาปกมคฺคตฺถายาติ วุตฺตํ โหติ, มคฺคโต อุตฺตริ หิตํ นาม นตฺถีติฯ สุขายาติ ผลสมาปตฺติสุขตฺถาย ตโต อุตฺตริ สุขาภาวโตฯ ทิฎฺฐิสีลสงฺฆาเตนาติ เอตฺถ สมาธิํ ปญฺญญฺจ อคฺคเหตฺวา ทิฎฺฐิสีลมตฺตคฺคหณํ สพฺพเสกฺขาเสกฺขสามญฺญตฺตาฯ โกสมฺพกสุเตฺตปิ (ม. นิ. ๑.๔๙๒) ‘‘สีลสามญฺญคโต วิหรติ, ทิฎฺฐิสามญฺญคโต วิหรตี’’ติ วุตฺตํฯ ทิฎฺฐิคฺคหเณน ปญฺญาปิ คหิตาติ เจ? น, โสตาปนฺนาทีนมฺปิ ปญฺญาย ปริปูรการิภาวปฺปสงฺคโต, ตสฺมา เอกลกฺขณานมฺปิ ตาสํ ปญฺญาทิฎฺฐีนํ อวตฺถนฺตรเภโท อตฺถิ ธิติสมาธินฺทฺริยสมฺมาสมาธีนํ วิย ฯ อญฺญาสีติ เอตฺถ โสตทฺวารานุสาเรน ญาตา, อตฺถา สุตาติ หิ วุจฺจนฺติ ‘‘สุตเมตํ, โภ โคตม, ปาปกา สมาจารา ทิสฺสนฺติ เจว สุยฺยนฺติ จา’’ติอาทีสุ วิยฯ ‘‘ภิกฺขุ โข, อุปาลิ , สงฺฆํ ภินฺทตี’’ติอาทีสุ (จูฬว. ๓๕๔) วิย อวธารณเตฺถ วาฯ เวรญฺชายํ ภโว วิชฺชมาโนฯ อิตฺถมฺภูตสฺส เอวํ ภูตสฺสฯ กถํ ภูตสฺส? สกฺยปุตฺตสฺส สกฺยกุลา ปพฺพชิตสฺส, เอวํ หุตฺวา ฐิตสฺส กิตฺติสโทฺท อพฺภุคฺคโตติ อภิสเทฺทน โยเค อุปโยควจนานิ โหนฺตีติ อโตฺถฯ
Asādhāraṇahetumhīti ettha kusalamūlāni na akusalānaṃ kadāci mūlāni honti, tathā akusalamūlāni kusalānaṃ, abyākatamūlāni na kadāci kusalānanti ayameva nayo labbhati, yasmā kusalā hetū taṃsamuṭṭhānānaṃ rūpānaṃ hetupaccayena paccayo (paṭṭhā. 1.1.401 ādayo), tasmā kusalāni kusalānaṃyevātiādinayo na labbhati. Puci vuccate kuṭṭhā, te mandayati nāsayatīti pucimando. Sattānaṃ hitasukhanipphādanādhimuttatanti ettha sāmaññato vuttasatte dvidhā bhinditvā dassetuṃ ‘‘manussānaṃ upakārabahulata’’ntiādi vuttaṃ. Bahujanahitāyāti bahuno janassa hitatthāya. Paññāsampattiyā diṭṭhadhammikasamparāyikahitūpadesako hi bhagavā. Sukhāyāti sukhatthāya. Cāgasampattiyā upakārakasukhasampadāyako hi esa. Mettākaruṇāsampattiyā lokānukampāya mātāpitaro viya. Lokassa rakkhitagopitā hi esa. Devamanussānanti ettha bhabbapuggale veneyyasatteyeva gahetvā tesaṃ nibbānamaggaphalādhigamāya attano uppattiṃ dasseti. ‘‘Atthāyā’’ti hi vutte paramatthatthāya nibbānāya, ‘‘hitāyā’’ti vutte taṃsampāpakamaggatthāyāti vuttaṃ hoti, maggato uttari hitaṃ nāma natthīti. Sukhāyāti phalasamāpattisukhatthāya tato uttari sukhābhāvato. Diṭṭhisīlasaṅghātenāti ettha samādhiṃ paññañca aggahetvā diṭṭhisīlamattaggahaṇaṃ sabbasekkhāsekkhasāmaññattā. Kosambakasuttepi (ma. ni. 1.492) ‘‘sīlasāmaññagato viharati, diṭṭhisāmaññagato viharatī’’ti vuttaṃ. Diṭṭhiggahaṇena paññāpi gahitāti ce? Na, sotāpannādīnampi paññāya paripūrakāribhāvappasaṅgato, tasmā ekalakkhaṇānampi tāsaṃ paññādiṭṭhīnaṃ avatthantarabhedo atthi dhitisamādhindriyasammāsamādhīnaṃ viya . Aññāsīti ettha sotadvārānusārena ñātā, atthā sutāti hi vuccanti ‘‘sutametaṃ, bho gotama, pāpakā samācārā dissanti ceva suyyanti cā’’tiādīsu viya. ‘‘Bhikkhu kho, upāli , saṅghaṃ bhindatī’’tiādīsu (cūḷava. 354) viya avadhāraṇatthe vā. Verañjāyaṃ bhavo vijjamāno. Itthambhūtassa evaṃ bhūtassa. Kathaṃ bhūtassa? Sakyaputtassa sakyakulā pabbajitassa, evaṃ hutvā ṭhitassa kittisaddo abbhuggatoti abhisaddena yoge upayogavacanāni hontīti attho.
กามุปาทานปจฺจยา เอว เมตฺตํ ภาเวติ, พฺรหฺมโลเก นิพฺพตฺตตีติ อิมินา กามุปาทานเหตุ กมฺมํ กตฺวา กามภเว เอว นิพฺพตฺตตีติวาทีนํ วาโท ปฎิกฺขิโตฺตติ วทนฺติ, ‘‘พฺรหฺมโลเก ปณีตา กามา’’ติ สุตฺวา, กเปฺปตฺวา วา ปจฺฉา ‘‘ตตฺถ สมฺปตฺติํ อนุภวิสฺสามี’’ติ กามุปาทานปจฺจยา ตทุปคํ กโรตีติ พฺรหฺมโลเกปิ กามนียเฎฺฐน กามา, ‘‘ตทารมฺมณตฺตา ตณฺหา กามุปาทานนฺติ วุตฺตา’’ติ จ วทนฺติ, วีมํสิตพฺพํฯ กมฺมญฺจ จกฺขุสฺส ชนกการณํ, กมฺมสฺส มูลการณํ ตณฺหา, ตสฺมา น มูลการณํ โหติ ชนกํฯ รูปตณฺหาทโย ทุกฺขสจฺจํ ขนฺธปริยาปนฺนตฺตา, ‘‘ยมฺปิจฺฉํ น ลภติ, ตมฺปิ ทุกฺข’’นฺติ (ที. นิ. ๒.๓๘๗; ม. นิ. ๑.๑๓๑; วิภ. ๑๙๐) วจนโต จฯ ตสฺส มูลการณภาเวน สมุฎฺฐาปิกาติ ตสฺส การณภูตสฺส อิมสฺส ขนฺธปญฺจกสฺส สมุฎฺฐาปิกาติ โยเชตพฺพํฯ ‘‘อาสวสมุทยา อวิชฺชาสมุทโย’’ติ (ม. นิ. ๑.๑๐๓) วจนโต ตสฺส เอว การณนฺติปิ วตฺตุํ วฎฺฎติฯ อปิจ ‘‘รูปาทิ วิย ตณฺหาปิ ตณฺหาย อุปฺปตฺติปฺปหานฎฺฐาน’’นฺติ วจนโต รูปาทิ วิย ตณฺหาปิ ทุกฺขสจฺจํ กตํฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘รูปตณฺหา โลเก ปิยรูปํ สาตรูปํ, เอเตฺถสา ตณฺหา อุปฺปชฺชมานา อุปฺปชฺชตี’’ติ (ที. นิ. ๒.๔๐๐; วิภ. ๒๐๓) จ ‘‘เอเตฺถสา ตณฺหา ปหียมานา ปหียตี’’ติ (ที. นิ. ๒.๔๐๑; ม. นิ. ๑.๑๓๔) จฯ วิสุทฺธิมเคฺค ‘‘สพฺพากาเรน ปน อุปาทานกฺขนฺธปญฺจกํ ทุกฺขเญฺจว อริยสจฺจญฺจ อญฺญตฺร ตณฺหายา’’ติ วจนโต อิธ รูปตณฺหาทโย ทุกฺขสจฺจนฺติ วจนํ วิรุชฺฌตีติ เจ? น, อญฺญมญฺญาสงฺกรภาเวน ทเสฺสตุํ ตตฺถ ตตฺถ วุตฺตตฺตาฯ ยทิ ตณฺหา อุปาทานกฺขนฺธปริยาปนฺนา น ภเวยฺย, สจฺจวิภเงฺค ‘‘ตตฺถ กตเม สํขิเตฺตน ปญฺจุปาทานกฺขนฺธา ทุกฺขาฯ เสยฺยถิทํ, รูปุปาทานกฺขโนฺธ ..เป.… วิญฺญาณุปาทานกฺขโนฺธ’’ติ (วิภ. ๒๐๒) เอตฺถ ‘‘ฐเปตฺวา ตณฺหํ สงฺขารุปาทานกฺขโนฺธ’’ติ วตฺตพฺพํ ภเวยฺย, น จ วุตฺตํ, ตสฺมา ทุกฺขสจฺจปริยาปนฺนา ตณฺหาติ เจ? น, เหตุผลสงฺกรโทสปฺปสงฺคโตฯ น สงฺกรโทโสติ เจ? สจฺจวิภงฺคปาฬิยญฺหิ ปญฺจหิ โกฎฺฐาเสหิ สมุทยสจฺจํ นิทฺทิฎฺฐํฯ
Kāmupādānapaccayā eva mettaṃ bhāveti, brahmaloke nibbattatīti iminā kāmupādānahetu kammaṃ katvā kāmabhave eva nibbattatītivādīnaṃ vādo paṭikkhittoti vadanti, ‘‘brahmaloke paṇītā kāmā’’ti sutvā, kappetvā vā pacchā ‘‘tattha sampattiṃ anubhavissāmī’’ti kāmupādānapaccayā tadupagaṃ karotīti brahmalokepi kāmanīyaṭṭhena kāmā, ‘‘tadārammaṇattā taṇhā kāmupādānanti vuttā’’ti ca vadanti, vīmaṃsitabbaṃ. Kammañca cakkhussa janakakāraṇaṃ, kammassa mūlakāraṇaṃ taṇhā, tasmā na mūlakāraṇaṃ hoti janakaṃ. Rūpataṇhādayo dukkhasaccaṃ khandhapariyāpannattā, ‘‘yampicchaṃ na labhati, tampi dukkha’’nti (dī. ni. 2.387; ma. ni. 1.131; vibha. 190) vacanato ca. Tassa mūlakāraṇabhāvena samuṭṭhāpikāti tassa kāraṇabhūtassa imassa khandhapañcakassa samuṭṭhāpikāti yojetabbaṃ. ‘‘Āsavasamudayā avijjāsamudayo’’ti (ma. ni. 1.103) vacanato tassa eva kāraṇantipi vattuṃ vaṭṭati. Apica ‘‘rūpādi viya taṇhāpi taṇhāya uppattippahānaṭṭhāna’’nti vacanato rūpādi viya taṇhāpi dukkhasaccaṃ kataṃ. Vuttañhetaṃ ‘‘rūpataṇhā loke piyarūpaṃ sātarūpaṃ, etthesā taṇhā uppajjamānā uppajjatī’’ti (dī. ni. 2.400; vibha. 203) ca ‘‘etthesā taṇhā pahīyamānā pahīyatī’’ti (dī. ni. 2.401; ma. ni. 1.134) ca. Visuddhimagge ‘‘sabbākārena pana upādānakkhandhapañcakaṃ dukkhañceva ariyasaccañca aññatra taṇhāyā’’ti vacanato idha rūpataṇhādayo dukkhasaccanti vacanaṃ virujjhatīti ce? Na, aññamaññāsaṅkarabhāvena dassetuṃ tattha tattha vuttattā. Yadi taṇhā upādānakkhandhapariyāpannā na bhaveyya, saccavibhaṅge ‘‘tattha katame saṃkhittena pañcupādānakkhandhā dukkhā. Seyyathidaṃ, rūpupādānakkhandho ..pe… viññāṇupādānakkhandho’’ti (vibha. 202) ettha ‘‘ṭhapetvā taṇhaṃ saṅkhārupādānakkhandho’’ti vattabbaṃ bhaveyya, na ca vuttaṃ, tasmā dukkhasaccapariyāpannā taṇhāti ce? Na, hetuphalasaṅkaradosappasaṅgato. Na saṅkaradosoti ce? Saccavibhaṅgapāḷiyañhi pañcahi koṭṭhāsehi samudayasaccaṃ niddiṭṭhaṃ.
กถํ? ตณฺหาติ เอโก วาโร, ตณฺหา จ อวเสสา จ กิเลสาติ ทุติโย, ตณฺหา จ อวเสสา จ กิเลสา อวเสสา จ อกุสลา ธมฺมาติ ตติโย, ตณฺหา จ อวเสสา จ กิเลสา อวเสสา จ อกุสลา ธมฺมา ตีณิ จ กุสลมูลานิ สาสวานีติ จตุโตฺถ, ตณฺหา จ อวเสสา จ กิเลสา อวเสสา จ อกุสลา ธมฺมา ตีณิ จ กุสลมูลานิ สาสวานิ อวเสสา จ สาสวา กุสลา ธมฺมาติ ปญฺจโม วาโรติฯ อาม นิทฺทิฎฺฐํ, ตถาปิ อภิธมฺมภาชนิเยเยว, น อญฺญสฺมิํ, โส จ นโย อริยสจฺจนิเทฺทเส น ลพฺภติฯ ตถา หิ ตตฺถ ‘‘จตฺตาริ สจฺจานิ’’เจฺจวาห, สุตฺตนฺตภาชนิยปญฺหปุจฺฉเกสุ วิย ‘‘จตฺตาริ อริยสจฺจานี’’ติ น วุตฺตํ, ตสฺมา สุตฺตนฺตภาชนิโยว ปมาณํ ตตฺถ จ ตณฺหาย วุตฺตตฺตาฯ ยถาห ‘‘ตตฺถ กตมํ ทุกฺขสมุทยํ อริยสจฺจํ, ยายํ ตณฺหา โปโนภวิกา…เป.… เสยฺยถิทํ, กามตณฺหา’’ติอาทิ (วิภ. ๒๐๓)ฯ ‘‘ยทนิจฺจํ ตํ ทุกฺข’’นฺติ (สํ. นิ. ๓.๑๕) อิมินา ปริยาเยน วุตฺตตฺตา ตตฺถ วุตฺตมฺปิ ปมาณเมวฯ ‘‘ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ ปถวีกสิณ’’นฺติ (ธ. ส. ๑๘๖ อาทโย) วจนโต ‘‘กสิณานี’’ติ ฌานานิ วุตฺตานิฯ เกจิ ‘‘อุคฺคหนิมิตฺตปฎิภาคนิมิเตฺต สนฺธาย วุตฺต’’นฺติ วทนฺติ, ตํ น สุนฺทรํฯ ‘‘ทฺวตฺติํสาการาปิ ปณฺณตฺติํ วิสฺสเชฺชตฺวา ปฎิกูลาติ สติ ปฎฺฐเปตพฺพา’’ติ วจนโต สติโคจรา รูปาทโย จ เวทิตพฺพาฯ
Kathaṃ? Taṇhāti eko vāro, taṇhā ca avasesā ca kilesāti dutiyo, taṇhā ca avasesā ca kilesā avasesā ca akusalā dhammāti tatiyo, taṇhā ca avasesā ca kilesā avasesā ca akusalā dhammā tīṇi ca kusalamūlāni sāsavānīti catuttho, taṇhā ca avasesā ca kilesā avasesā ca akusalā dhammā tīṇi ca kusalamūlāni sāsavāni avasesā ca sāsavā kusalā dhammāti pañcamo vāroti. Āma niddiṭṭhaṃ, tathāpi abhidhammabhājaniyeyeva, na aññasmiṃ, so ca nayo ariyasaccaniddese na labbhati. Tathā hi tattha ‘‘cattāri saccāni’’ccevāha, suttantabhājaniyapañhapucchakesu viya ‘‘cattāri ariyasaccānī’’ti na vuttaṃ, tasmā suttantabhājaniyova pamāṇaṃ tattha ca taṇhāya vuttattā. Yathāha ‘‘tattha katamaṃ dukkhasamudayaṃ ariyasaccaṃ, yāyaṃ taṇhā ponobhavikā…pe… seyyathidaṃ, kāmataṇhā’’tiādi (vibha. 203). ‘‘Yadaniccaṃ taṃ dukkha’’nti (saṃ. ni. 3.15) iminā pariyāyena vuttattā tattha vuttampi pamāṇameva. ‘‘Paṭhamaṃ jhānaṃ upasampajja viharati pathavīkasiṇa’’nti (dha. sa. 186 ādayo) vacanato ‘‘kasiṇānī’’ti jhānāni vuttāni. Keci ‘‘uggahanimittapaṭibhāganimitte sandhāya vutta’’nti vadanti, taṃ na sundaraṃ. ‘‘Dvattiṃsākārāpi paṇṇattiṃ vissajjetvā paṭikūlāti sati paṭṭhapetabbā’’ti vacanato satigocarā rūpādayo ca veditabbā.
สทฺธาหิโรตฺตปฺปพาหุสจฺจวีริยารโมฺภปฎฺฐิตสติสมฺปชญฺญตาติ อิเม สตฺต สทฺธมฺมา นามฯ สภาวโตติ ทุกฺขโตฯ น จวตีติ เทเว สนฺธายฯ ญาเตยฺยนฺติ ญาตพฺพํฯ ทเฎฺฐยฺยนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ อถ วา ปน ‘‘นาหํ คมเนน โลกสฺส อนฺตํ ญาเตยฺย’’นฺติ วทามีติ อโตฺถฯ โลกนฺติ ขนฺธโลกํฯ คมเนน น ปตฺตโพฺพติ สรีรคมเนน, อคติคมเนน วา น ปตฺตโพฺพ, อริยคมเนน โลกนฺตํ ปตฺวาว ทุกฺขา อตฺถิ ปโมจนนฺติ วุตฺตํ โหติฯ สมิตาวีติ สมิตกิเลโสฯ อาหารฎฺฐิติกาติ ปจฺจยฎฺฐิติกาฯ เย เกจิ ปจฺจยฎฺฐิติกา, สเพฺพ เต ลุชฺชนปลุชฺชนเฎฺฐน เอโก โลโกติ อธิปฺปาโยฯ สงฺขารา หิ สกสกปจฺจยายตฺตตาย สตฺตา วิสตฺตา สตฺตา นามฯ ปริหรนฺติ ปริจรนฺติฯ ทิสาติ อุปโยคพหุวจนํฯ ภนฺติ ปฎิภนฺติฯ เก เต? เตเยว วิโรจมานา ปภสฺสรา จนฺทิมสูริยาฯ อฎฺฐ โลกธมฺมา สงฺขาราวฯ ‘‘สิเนรุสฺส สมนฺตโต’’ติ วจนโต ยุคนฺธราทโย สิเนรุํ ปริกฺขิปิตฺวา ปริมณฺฑลากาเรน ฐิตาติ วทนฺติฯ ปริกฺขิปิตฺวา อจฺจุคฺคโต โลกธาตุ อยํฯ ‘‘ม-กาโร ปทสนฺธิกโร’’ติ วทนฺติฯ อญฺญถาปิ ลกฺขณาทิเภทโต สงฺขารโลกํ, อาสยานุสยเภทโต สตฺตโลกํ, จกฺกวาฬาทิปริมาณโต โอกาสโลกญฺจ สพฺพถาปิ วิทิตตฺตา โลกวิทูฯ
Saddhāhirottappabāhusaccavīriyārambhopaṭṭhitasatisampajaññatāti ime satta saddhammā nāma. Sabhāvatoti dukkhato. Na cavatīti deve sandhāya. Ñāteyyanti ñātabbaṃ. Daṭṭheyyanti daṭṭhabbaṃ. Atha vā pana ‘‘nāhaṃ gamanena lokassa antaṃ ñāteyya’’nti vadāmīti attho. Lokanti khandhalokaṃ. Gamanena na pattabboti sarīragamanena, agatigamanena vā na pattabbo, ariyagamanena lokantaṃ patvāva dukkhā atthi pamocananti vuttaṃ hoti. Samitāvīti samitakileso. Āhāraṭṭhitikāti paccayaṭṭhitikā. Ye keci paccayaṭṭhitikā, sabbe te lujjanapalujjanaṭṭhena eko lokoti adhippāyo. Saṅkhārā hi sakasakapaccayāyattatāya sattā visattā sattā nāma. Pariharanti paricaranti. Disāti upayogabahuvacanaṃ. Bhanti paṭibhanti. Ke te? Teyeva virocamānā pabhassarā candimasūriyā. Aṭṭha lokadhammā saṅkhārāva. ‘‘Sinerussa samantato’’ti vacanato yugandharādayo sineruṃ parikkhipitvā parimaṇḍalākārena ṭhitāti vadanti. Parikkhipitvā accuggato lokadhātu ayaṃ. ‘‘Ma-kāro padasandhikaro’’ti vadanti. Aññathāpi lakkhaṇādibhedato saṅkhāralokaṃ, āsayānusayabhedato sattalokaṃ, cakkavāḷādiparimāṇato okāsalokañca sabbathāpi viditattā lokavidū.
วิมุตฺติญาณทสฺสนํ กามาวจรํ ปริตฺตํ โลกิยํ, เตน สพฺพํ โลกํ กถํ อภิวติ? อสทิสานุภาวตฺตา สพฺพญฺญุตญฺญาณํ วิยฯ ตญฺหิ อตฺตโน วิสเย ภควโต สพฺพญฺญุตญฺญาณคติกํ , ลหุตรปฺปวตฺติ จ ภวงฺคจิตฺตทฺวยานนฺตรํ อุปฺปตฺติโตฯ น กสฺสจิ เอวํลหุตรํ จิตฺตํ อุปฺปชฺชติ, อปิ อายสฺมโต สาริปุตฺตสฺส, ตสฺส กิเรส จิตฺตวาโร ปญฺจทสภวงฺคานนฺตรนฺติฯ อคฺคิสิขธูมสิขา จ นาคา กิร สีหฬทีเปฯ อตฺถสฺส ทีปกํ ปทํ อตฺถปทํฯ เอกตฺถทีปกํ ปทํ, สพฺพเมตํ วากฺยนฺติ อโตฺถฯ อฎฺฐ ทิสา นาม อฎฺฐ วิโมกฺขา, สมาปตฺติโย วาฯ สตฺถวาโห สตฺถาติ นิปาติโต ยถา ปิสิตาโส ปิสาโจฯ อุทเก มณฺฑูโก อหํ อาสิํ, น ถเล มณฺฑูโก, วาริมตฺตเมว โคจโร, ตสฺส เม ตว ธมฺมํ สุณนฺตสฺส สีสํ ทเณฺฑน สนฺนิรุมฺภิตฺวาติ ปาฐเสโสฯ อนาทรเตฺถ วา สามิวจนํฯ ‘‘เอตฺตเกนปิ เอวรูปา อิทฺธิ ภวิสฺสตี’’ติ สิตํ กตฺวาฯ วิโมโกฺขติ เจตฺถ มโคฺค, ตทนนฺตริกํ ญาณํ นาม ผลญาณํ, ตสฺมิํ ขเณ พุโทฺธ นามฯ สพฺพสฺส พุทฺธตฺตาติ กตฺตริฯ โพเธตาติ เหตุกตฺตริฯ เสฎฺฐตฺถทีปกํ วจนํ เสฎฺฐํ นาม, ตถา อุตฺตมํฯ สจฺฉิกาปญฺญตฺตีติ สพฺพธมฺมานํ สจฺฉิกรณวเสน สยมฺภุตา ปญฺญตฺติ, อตฺตนา เอว วา ญาตา สจฺฉิกตาติปิ สจฺฉิกาปญฺญตฺติฯ ภคี ภควา จีวรปิณฺฑปาตาทีนํฯ ภชี อรญฺญวนปตฺถานิ ปนฺตานิ เสนาสนานิฯ ภาคี อตฺถธมฺมวิมุตฺติรสสฺสฯ ราคาทิกิเลสคณภคฺคมกาสิฯ ภาวิตตฺตโน ภาวิตกาโยฯ ภวสฺส อนฺตํ นิพฺพานํ มคฺคาธิคเมน ตํ คโตติ ภวนฺตโคฯ
Vimuttiñāṇadassanaṃ kāmāvacaraṃ parittaṃ lokiyaṃ, tena sabbaṃ lokaṃ kathaṃ abhivati? Asadisānubhāvattā sabbaññutaññāṇaṃ viya. Tañhi attano visaye bhagavato sabbaññutaññāṇagatikaṃ , lahutarappavatti ca bhavaṅgacittadvayānantaraṃ uppattito. Na kassaci evaṃlahutaraṃ cittaṃ uppajjati, api āyasmato sāriputtassa, tassa kiresa cittavāro pañcadasabhavaṅgānantaranti. Aggisikhadhūmasikhā ca nāgā kira sīhaḷadīpe. Atthassa dīpakaṃ padaṃ atthapadaṃ. Ekatthadīpakaṃ padaṃ, sabbametaṃ vākyanti attho. Aṭṭha disā nāma aṭṭha vimokkhā, samāpattiyo vā. Satthavāho satthāti nipātito yathā pisitāso pisāco. Udake maṇḍūko ahaṃ āsiṃ, na thale maṇḍūko, vārimattameva gocaro, tassa me tava dhammaṃ suṇantassa sīsaṃ daṇḍena sannirumbhitvāti pāṭhaseso. Anādaratthe vā sāmivacanaṃ. ‘‘Ettakenapi evarūpā iddhi bhavissatī’’ti sitaṃ katvā. Vimokkhoti cettha maggo, tadanantarikaṃ ñāṇaṃ nāma phalañāṇaṃ, tasmiṃ khaṇe buddho nāma. Sabbassa buddhattāti kattari. Bodhetāti hetukattari. Seṭṭhatthadīpakaṃ vacanaṃ seṭṭhaṃ nāma, tathā uttamaṃ. Sacchikāpaññattīti sabbadhammānaṃ sacchikaraṇavasena sayambhutā paññatti, attanā eva vā ñātā sacchikatātipi sacchikāpaññatti. Bhagī bhagavā cīvarapiṇḍapātādīnaṃ. Bhajī araññavanapatthāni pantāni senāsanāni. Bhāgī atthadhammavimuttirasassa. Rāgādikilesagaṇabhaggamakāsi. Bhāvitattano bhāvitakāyo. Bhavassa antaṃ nibbānaṃ maggādhigamena taṃ gatoti bhavantago.
‘‘โลภํ , ภิกฺขเว, เอกํ ธมฺมํ ปชหถา’’ติอาทินา (อิติวุ. ๑) นเยน เอกกาทิวเสนาคเต คเหตฺวา วทติฯ สํกิเลสตณฺหาทิฎฺฐิทุจฺจริตสํกิเลสวเสน อนิจฺจทุกฺขมนตฺตาสุเภสุ นิจฺจนฺติอาทิวิปริเยสาฯ จีวรเหตุ วา, ภิกฺขเว, ภิกฺขุโน ตณฺหา อุปฺปชฺชมานา อุปฺปชฺชติ, ปิณฺฑปาต เสนาสนอิติภวาภวเหตุ วา (อ. นิ. ๔.๙)ฯ เจโตขิลา สตฺถริ กงฺขติ, ธเมฺม, สเงฺฆ, สิกฺขาย, สพฺรหฺมจารีสุ กุปิโตติ (ที. นิ. ๓.๓๑๙; วิภ. ๙๔๑) อาคตา ปญฺจฯ กาเม อวีตราโค โหติ…เป.… กาเย, รูเป, ยาวทตฺถํ อุทราวเทหกํ ภุญฺชิตฺวา, อญฺญตรํ เทวนิกายํ ปณิธาย พฺรหฺมจริยํ จรตีติ (ที. นิ. ๓.๓๒๐; วิภ. ๙๔๑) อาคตา ปญฺจ วินิพนฺธาฯ วิวาทมูลานิ โกโธ อุปนาโห มโกฺข ปฬาโส อิสฺสา มจฺฉริยํ มายา สาเฐยฺยํ ถโมฺภ สารโมฺภ สนฺทิฎฺฐิปรามาสิตา อาธานคฺคาหี ทุปฺปฎินิสฺสคฺคิตา (อ. นิ. ๖.๓๖; ที. นิ. ๓.๓๒๕)ฯ วิภเงฺค ปน ‘‘โกโธ มโกฺข อิสฺสา สาเฐยฺยํ ปาปิจฺฉตา สนฺทิฎฺฐิปรามาสิตา’’ติ (วิภ. ๙๔๔) อาคตํฯ ตณฺหํ ปฎิจฺจ ปริเยสนา, ปริเยสนํ ปฎิจฺจ ลาโภ, ลาภํ ปฎิจฺจ วินิจฺฉโย, เอวํ ฉนฺทราโค, อโชฺฌสานํ, ปริคฺคโห, มจฺฉริยํ, อารโกฺข, อารกฺขาธิกรณํ, ทณฺฑาทานสตฺถาทาน…เป.… อกุสลา ธมฺมา สมฺภวนฺตีติ (ที. นิ. ๒.๑๐๔; ๓.๓๕๙; อ. นิ. ๙.๒๓; วิภ. ๙๖๓) วุตฺตานํฯ รูปสทฺทคนฺธรสโผฎฺฐพฺพธมฺมตณฺหาติ ฉ, ตา กามภววิภวตณฺหาวเสเนว อฎฺฐารส, ตา เอว อชฺฌตฺติกสฺสุปาทาย อฎฺฐารส, พาหิรสฺสุปาทาย อฎฺฐารสาติ ฉตฺติํส, ตา อตีเต ฉตฺติํส, อนาคเต ฉตฺติํส, ปจฺจุปฺปเนฺน ฉตฺติํสาติ เอวํ อฎฺฐสตตณฺหาวิจริตานีติฯ มาเรตีติ มาโร, ปมาโท ‘‘ปมาโท มจฺจุโน ปท’’นฺติ (ธ. ป. ๒๑) วจนโตฯ สมฺมาอาชีววินาสนโต วา กิเลสา วุจฺจนฺติ ‘‘มาโร’’ติ, วธกูปมตฺตา ขนฺธาว มาราฯ อภิสงฺขารา ชาติทุกฺขาภินิพฺพตฺตาปนโต, ชาตสฺส ชราทิสมฺภวโต จ มาราฯ เอกภวปริยาปนฺนชีวิตมารณโต มจฺจุ มาโรฯ อณิมตา นาม ปรมาณุ วิย อทสฺสนูปคมนํฯ ลฆิมตา สรีเรน, จิเตฺตน วา สีฆคมนํฯ มหิมตา จนฺทิมสูริยาทีนมฺปิปาณินา ปรามสนาทิฯ ปตฺติ นาม ยถิจฺฉิตเทสปฺปตฺติฯ ปกาสนตา, ลาภกสฺสตฺถสาธนํ วา ปากมฺมํฯ อีสตฺตํ นาม สยํวสิตาฯ วสิตฺตํ นาม อปรวสิตาฯ ยตฺถกามาวสายิตํ นาม ยตฺถิจฺฉติ ยทิจฺฉติ ยาวทิจฺฉติ, ตตฺถ ตาว ตทตฺถสาธนํฯ ปีฬนสงฺขตสนฺตาปวิปริณามเฎฺฐน วา ทุกฺขมริยสจฺจนฺติอาทิมฺหิ อิทํ โจทนาปุพฺพงฺคมํ อตฺถวิสฺสชฺชนํ – ทุกฺขาทีนํ อเญฺญปิ รูปตณฺหาทโย อตฺถา อตฺถิ, อถ กสฺมา จตฺตาโร เอว วุตฺตาติ เจ? อญฺญสจฺจทสฺสนวเสน อาวิภาวโตฯ
‘‘Lobhaṃ , bhikkhave, ekaṃ dhammaṃ pajahathā’’tiādinā (itivu. 1) nayena ekakādivasenāgate gahetvā vadati. Saṃkilesataṇhādiṭṭhiduccaritasaṃkilesavasena aniccadukkhamanattāsubhesu niccantiādivipariyesā. Cīvarahetu vā, bhikkhave, bhikkhuno taṇhā uppajjamānā uppajjati, piṇḍapāta senāsanaitibhavābhavahetu vā (a. ni. 4.9). Cetokhilā satthari kaṅkhati, dhamme, saṅghe, sikkhāya, sabrahmacārīsu kupitoti (dī. ni. 3.319; vibha. 941) āgatā pañca. Kāme avītarāgo hoti…pe… kāye, rūpe, yāvadatthaṃ udarāvadehakaṃ bhuñjitvā, aññataraṃ devanikāyaṃ paṇidhāya brahmacariyaṃ caratīti (dī. ni. 3.320; vibha. 941) āgatā pañca vinibandhā. Vivādamūlāni kodho upanāho makkho paḷāso issā macchariyaṃ māyā sāṭheyyaṃ thambho sārambho sandiṭṭhiparāmāsitā ādhānaggāhī duppaṭinissaggitā (a. ni. 6.36; dī. ni. 3.325). Vibhaṅge pana ‘‘kodho makkho issā sāṭheyyaṃ pāpicchatā sandiṭṭhiparāmāsitā’’ti (vibha. 944) āgataṃ. Taṇhaṃ paṭicca pariyesanā, pariyesanaṃ paṭicca lābho, lābhaṃ paṭicca vinicchayo, evaṃ chandarāgo, ajjhosānaṃ, pariggaho, macchariyaṃ, ārakkho, ārakkhādhikaraṇaṃ, daṇḍādānasatthādāna…pe… akusalā dhammā sambhavantīti (dī. ni. 2.104; 3.359; a. ni. 9.23; vibha. 963) vuttānaṃ. Rūpasaddagandharasaphoṭṭhabbadhammataṇhāti cha, tā kāmabhavavibhavataṇhāvaseneva aṭṭhārasa, tā eva ajjhattikassupādāya aṭṭhārasa, bāhirassupādāya aṭṭhārasāti chattiṃsa, tā atīte chattiṃsa, anāgate chattiṃsa, paccuppanne chattiṃsāti evaṃ aṭṭhasatataṇhāvicaritānīti. Māretīti māro, pamādo ‘‘pamādo maccuno pada’’nti (dha. pa. 21) vacanato. Sammāājīvavināsanato vā kilesā vuccanti ‘‘māro’’ti, vadhakūpamattā khandhāva mārā. Abhisaṅkhārā jātidukkhābhinibbattāpanato, jātassa jarādisambhavato ca mārā. Ekabhavapariyāpannajīvitamāraṇato maccu māro. Aṇimatā nāma paramāṇu viya adassanūpagamanaṃ. Laghimatā sarīrena, cittena vā sīghagamanaṃ. Mahimatā candimasūriyādīnampipāṇinā parāmasanādi. Patti nāma yathicchitadesappatti. Pakāsanatā, lābhakassatthasādhanaṃ vā pākammaṃ. Īsattaṃ nāma sayaṃvasitā. Vasittaṃ nāma aparavasitā. Yatthakāmāvasāyitaṃ nāma yatthicchati yadicchati yāvadicchati, tattha tāva tadatthasādhanaṃ. Pīḷanasaṅkhatasantāpavipariṇāmaṭṭhenavā dukkhamariyasaccantiādimhi idaṃ codanāpubbaṅgamaṃ atthavissajjanaṃ – dukkhādīnaṃ aññepi rūpataṇhādayo atthā atthi, atha kasmā cattāro eva vuttāti ce? Aññasaccadassanavasena āvibhāvato.
‘‘ตตฺถ กตมํ ทุเกฺขญาณํ, ทุกฺขํ อารพฺภ ยา อุปฺปชฺชติ ปญฺญา’’ติอาทินาปิ (วิภ. ๗๙๔) นเยน เอเกกสจฺจารมฺมณวเสนาปิ สจฺจญาณํ วุตฺตํฯ ‘‘โย, ภิกฺขเว, ทุกฺขํ ปสฺสติ, ทุกฺขสมุทยมฺปิ โส ปสฺสตี’’ติอาทินา (สํ. นิ. ๕.๑๑๐๐) นเยน เอกํ สจฺจํ อารมฺมณํ กตฺวา เสเสสุ กิจฺจนิปฺผตฺติวเสนาปิ วุตฺตํฯ ตตฺถ ยทา เอเกกํ สจฺจํ อารมฺมณํ กโรติ, ตทา สมุทยทสฺสเนน ตาว สภาวโต ปีฬนลกฺขณสฺสาปิ ทุกฺขสฺส ยสฺมา ตํ อายูหนลกฺขเณน สมุทเยน อายูหิตํ สงฺขตํ, ตสฺมาสฺส โส สงฺขตโฎฺฐ อาวิ ภวติฯ ยสฺมา ปน มโคฺค กิเลสสนฺตาปหโร สุสีตโล, ตสฺมาสฺส มคฺคทสฺสเนน สนฺตาปโฎฺฐ อาวิ ภวติ นนฺทสฺส อจฺฉราทสฺสเนน สุนฺทริยา อนภิรูปภาโว วิยฯ อวิปริณามธมฺมสฺส ปน นิโรธสฺส ทสฺสเนน ตสฺส วิปริณามโฎฺฐ อาวิ ภวตีติ วตฺตพฺพเมว นตฺถิฯ สภาวโต อายูหนลกฺขณสฺสปิ สมุทยสฺส ทุกฺขทสฺสเนน นิทานโฎฺฐ อาวิ ภวติ อสปฺปายโภชนโต อุปฺปนฺนพฺยาธิทสฺสเนน โภชนสฺส พฺยาธินิทานภาโว วิยฯ วิสํโยคภูตสฺส นิโรธสฺส ทสฺสเนน สํโยคโฎฺฐฯ นิยฺยานภูตสฺส จ มคฺคสฺส ทสฺสเนน ปลิโพธโฎฺฐติฯ ตถา นิสฺสรณสฺสาปิ นิโรธสฺส อวิเวกภูตสฺส สมุทยสฺส ทสฺสเนน วิเวกโฎฺฐ อาวิ ภวติฯ มคฺคทสฺสเนน อสงฺขตโฎฺฐฯ อิมินา หิ อนมตเคฺค สํสาเร มโคฺค น ทิฎฺฐปุโพฺพ, โสปิ จ สปฺปจฺจยตฺตา สงฺขโต เอวาติ อปฺปจฺจยธมฺมสฺส อสงฺขตภาโว อติวิย ปากโฎ โหติฯ ทุกฺขทสฺสเนน ปนสฺส อมตโฎฺฐ อาวิ ภวติฯ ทุกฺขญฺหิ วิสํ, อมตํ นิพฺพานนฺติฯ ตถา นิยฺยานลกฺขณสฺสาปิ มคฺคสฺส สมุทยทสฺสเนน ‘‘นายํ เหตุ นิพฺพานสฺส ปตฺติยา, อยํ เหตู’’ติ เหตฺวโตฺถ อาวิ ภวติฯ นิโรธทสฺสเนน ทสฺสนโฎฺฐ ปรมสุขุมรูปานิ ปสฺสโต ‘‘วิปฺปสนฺนํ วต เม จกฺขู’’ติ จกฺขุสฺส วิปฺปสนฺนภาโว วิยฯ ทุกฺขทสฺสเนน อธิปเตยฺยโฎฺฐ อเนกโรคาตุรกปณชนทสฺสเนน อิสฺสรชนสฺส อุฬารภาโว วิยาติ เอวเมตฺถ ลกฺขณวเสน, เอกสฺส อญฺญสจฺจทสฺสนวเสน จ อิตเรสํ ติณฺณํ อาวิภาวโต เอเกกสฺส จตฺตาโร อตฺถา วุตฺตาฯ อุปธิวิเวโก นิกฺกิเลสตาฯ
‘‘Tattha katamaṃ dukkheñāṇaṃ, dukkhaṃ ārabbha yā uppajjati paññā’’tiādināpi (vibha. 794) nayena ekekasaccārammaṇavasenāpi saccañāṇaṃ vuttaṃ. ‘‘Yo, bhikkhave, dukkhaṃ passati, dukkhasamudayampi so passatī’’tiādinā (saṃ. ni. 5.1100) nayena ekaṃ saccaṃ ārammaṇaṃ katvā sesesu kiccanipphattivasenāpi vuttaṃ. Tattha yadā ekekaṃ saccaṃ ārammaṇaṃ karoti, tadā samudayadassanena tāva sabhāvato pīḷanalakkhaṇassāpi dukkhassa yasmā taṃ āyūhanalakkhaṇena samudayena āyūhitaṃ saṅkhataṃ, tasmāssa so saṅkhataṭṭho āvi bhavati. Yasmā pana maggo kilesasantāpaharo susītalo, tasmāssa maggadassanena santāpaṭṭho āvi bhavati nandassa accharādassanena sundariyā anabhirūpabhāvo viya. Avipariṇāmadhammassa pana nirodhassa dassanena tassa vipariṇāmaṭṭho āvi bhavatīti vattabbameva natthi. Sabhāvato āyūhanalakkhaṇassapi samudayassa dukkhadassanena nidānaṭṭho āvi bhavati asappāyabhojanato uppannabyādhidassanena bhojanassa byādhinidānabhāvo viya. Visaṃyogabhūtassa nirodhassa dassanena saṃyogaṭṭho. Niyyānabhūtassa ca maggassa dassanena palibodhaṭṭhoti. Tathā nissaraṇassāpi nirodhassa avivekabhūtassa samudayassa dassanena vivekaṭṭho āvi bhavati. Maggadassanena asaṅkhataṭṭho. Iminā hi anamatagge saṃsāre maggo na diṭṭhapubbo, sopi ca sappaccayattā saṅkhato evāti appaccayadhammassa asaṅkhatabhāvo ativiya pākaṭo hoti. Dukkhadassanena panassa amataṭṭho āvi bhavati. Dukkhañhi visaṃ, amataṃ nibbānanti. Tathā niyyānalakkhaṇassāpi maggassa samudayadassanena ‘‘nāyaṃ hetu nibbānassa pattiyā, ayaṃ hetū’’ti hetvattho āvi bhavati. Nirodhadassanena dassanaṭṭho paramasukhumarūpāni passato ‘‘vippasannaṃ vata me cakkhū’’ti cakkhussa vippasannabhāvo viya. Dukkhadassanena adhipateyyaṭṭho anekarogāturakapaṇajanadassanena issarajanassa uḷārabhāvo viyāti evamettha lakkhaṇavasena, ekassa aññasaccadassanavasena ca itaresaṃ tiṇṇaṃ āvibhāvato ekekassa cattāro atthā vuttā. Upadhiviveko nikkilesatā.
ปฎิปกฺขํ อตฺถยนฺตีติ ปจฺจตฺถิกาฯ ปติ วิรุทฺธา อมิตฺตา ปจฺจามิตฺตาฯ สจฺฉิกตฺวา ปเวเทตีติ เอตฺตาวตา ภควโต สพฺพญฺญุตํ ทีเปติฯ เตน ญาณสมฺปตฺติํ ทีเปตฺวา อิทานิ กรุณาสมฺปตฺติํ ทีเปตุํ ‘‘โส ธมฺมํ เทเสสี’’ติอาทิมาหฯ อถ วา กิํ โส ปเวเทสีติ? ญาณํ, ตํ สพฺพํ ติโลกหิตภูตเมวฯ โส ธมฺมํ เทเสสีติ กีทิสํ? ‘‘อาทิกลฺยาณ’’นฺติอาทิฯ อเนน วจเนน วตฺตุํ อรหภาวํ ทีเปติฯ สาสนธโมฺมติ โอวาทปริยตฺติฯ กิจฺจสุทฺธิยาติ กิเลสปฺปหานนิพฺพานารมฺมณกิจฺจสุทฺธิยาฯ สาสนพฺรหฺมจริยํ นาม สิกฺขตฺตยํ, นวโกฎิสหสฺสานีติอาทิกํ วาฯ มคฺคเมว พฺรหฺมจริยํ มคฺคพฺรหฺมจริยํฯ ตสฺส ปกาสกํ ปิฎกตฺตยํ อิธ สาตฺถํ สพฺยญฺชนํ นามฯ ฉสุ อตฺถปเทสุ สเงฺขปโต กาสนํ สงฺกาสนํฯ อาทิโต กาสนํ ปกาสนํฯ อุภยมฺปิ วิตฺถาเรตฺวา เทสนํ วิวรณํฯ ปุน วิภาคกรณํ วิภชนํฯ โอปมฺมาทินา ปากฎกรณํ อุตฺตานีกรณํฯ โสตูนํ จิตฺตปริโตสชนเนน, จิตฺตนิสาเนน จ ปญฺญาปนํ เวทิตพฺพํฯ พฺยญฺชนปเทสุ อกฺขรณโต อกฺขรํ, ‘‘เอกกฺขรปทมกฺขร’’นฺติ เอเกฯ วิภตฺติอนฺตํ ปทํฯ พฺยญฺชยตีติ พฺยญฺชนํ, วากฺยํฯ ปทสมุทาโย วา วากฺยํฯ วิภาคปกาโส อากาโร นามฯ ผุสตีติ ผโสฺสติอาทิ นิพฺพจนํ นิรุตฺติ, นิรุตฺติยา นิทฺทิฎฺฐสฺส อปเทโส นิเทฺทโส นามฯ ผุสตีติ ผโสฺส, โส ติวิโธ – สุขเวทนีโย ทุกฺขเวทนีโย อทุกฺขมสุขเวทนีโยติฯ เอเตสุ อยํ โยชนา – อกฺขเรหิ สงฺกาสยติ, ปเทหิ ปกาสยติ, พฺยญฺชเนหิ วิวรติ, อากาเรหิ วิภชติ, นิรุตฺตีหิ อุตฺตานิํ กโรติ, นิเทฺทเสหิ ปญฺญาเปติฯ อกฺขเรหิ วา สงฺกาสยิตฺวา ปเทหิ ปกาเสติ, พฺยญฺชเนหิ วิวริตฺวา อากาเรหิ วิภชติ, นิรุตฺตีหิ อุตฺตานิํ กตฺวา นิเทฺทเสหิ ปญฺญาเปติฯ อกฺขเรหิ วา อุคฺฆาเฎตฺวา ปเทหิ วิเนติ อุคฺฆฎิตญฺญุํ, พฺยญฺชเนหิ วิวริตฺวา อากาเรหิ วิเนติ วิปญฺจิตญฺญุํ, นิรุตฺตีหิ เนตฺวา นิเทฺทเสหิ วิเนติ เนยฺยนฺติ เวทิตพฺพํฯ อโตฺถติ ภาสิตโตฺถฯ ตเสฺสวตฺถสฺส ปฎิวิชฺฌิตโพฺพ สโก สโก ภาโว ปฎิเวโธ นามฯ ตํ อุภยมฺปิ อโตฺถ นามฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อตฺถคมฺภีรตาปฎิเวธคมฺภีรตาหิ สาตฺถ’’นฺติฯ ธโมฺมติ วา เทสนาติ วา พฺยญฺชนเมวฯ นิโทฺทสภาเวน ปริสุทฺธํ สาสนพฺรหฺมจริยํ, สิกฺขตฺตยปริคฺคหิโต มโคฺค จ, อุภยมฺปิ พฺรหฺมจริยปเทน สงฺคหิตํฯ ปฎิปตฺติยาติ ปฎิปตฺติเหตุฯ อาคมพฺยตฺติโตติ ปุนปฺปุนํ อธียมานา ขนฺธาทโย ปากฎา โหนฺติฯ ทุรุตฺตสตฺถานิ อธียมานานิ สโมฺมหเมวาวาหนฺติฯ
Paṭipakkhaṃ atthayantīti paccatthikā. Pati viruddhā amittā paccāmittā. Sacchikatvā pavedetīti ettāvatā bhagavato sabbaññutaṃ dīpeti. Tena ñāṇasampattiṃ dīpetvā idāni karuṇāsampattiṃ dīpetuṃ ‘‘so dhammaṃ desesī’’tiādimāha. Atha vā kiṃ so pavedesīti? Ñāṇaṃ, taṃ sabbaṃ tilokahitabhūtameva. So dhammaṃ desesīti kīdisaṃ? ‘‘Ādikalyāṇa’’ntiādi. Anena vacanena vattuṃ arahabhāvaṃ dīpeti. Sāsanadhammoti ovādapariyatti. Kiccasuddhiyāti kilesappahānanibbānārammaṇakiccasuddhiyā. Sāsanabrahmacariyaṃ nāma sikkhattayaṃ, navakoṭisahassānītiādikaṃ vā. Maggameva brahmacariyaṃ maggabrahmacariyaṃ. Tassa pakāsakaṃ piṭakattayaṃ idha sātthaṃ sabyañjanaṃ nāma. Chasu atthapadesu saṅkhepato kāsanaṃ saṅkāsanaṃ. Ādito kāsanaṃ pakāsanaṃ. Ubhayampi vitthāretvā desanaṃ vivaraṇaṃ. Puna vibhāgakaraṇaṃ vibhajanaṃ. Opammādinā pākaṭakaraṇaṃ uttānīkaraṇaṃ. Sotūnaṃ cittaparitosajananena, cittanisānena ca paññāpanaṃ veditabbaṃ. Byañjanapadesu akkharaṇato akkharaṃ, ‘‘ekakkharapadamakkhara’’nti eke. Vibhattiantaṃ padaṃ. Byañjayatīti byañjanaṃ, vākyaṃ. Padasamudāyo vā vākyaṃ. Vibhāgapakāso ākāro nāma. Phusatīti phassotiādi nibbacanaṃ nirutti, niruttiyā niddiṭṭhassa apadeso niddeso nāma. Phusatīti phasso, so tividho – sukhavedanīyo dukkhavedanīyo adukkhamasukhavedanīyoti. Etesu ayaṃ yojanā – akkharehi saṅkāsayati, padehi pakāsayati, byañjanehi vivarati, ākārehi vibhajati, niruttīhi uttāniṃ karoti, niddesehi paññāpeti. Akkharehi vā saṅkāsayitvā padehi pakāseti, byañjanehi vivaritvā ākārehi vibhajati, niruttīhi uttāniṃ katvā niddesehi paññāpeti. Akkharehi vā ugghāṭetvā padehi vineti ugghaṭitaññuṃ, byañjanehi vivaritvā ākārehi vineti vipañcitaññuṃ, niruttīhi netvā niddesehi vineti neyyanti veditabbaṃ. Atthoti bhāsitattho. Tassevatthassa paṭivijjhitabbo sako sako bhāvo paṭivedho nāma. Taṃ ubhayampi attho nāma. Tena vuttaṃ ‘‘atthagambhīratāpaṭivedhagambhīratāhi sāttha’’nti. Dhammoti vā desanāti vā byañjanameva. Niddosabhāvena parisuddhaṃ sāsanabrahmacariyaṃ, sikkhattayapariggahito maggo ca, ubhayampi brahmacariyapadena saṅgahitaṃ. Paṭipattiyāti paṭipattihetu. Āgamabyattitoti punappunaṃ adhīyamānā khandhādayo pākaṭā honti. Duruttasatthāni adhīyamānāni sammohamevāvāhanti.
๒-๓. กจฺจิ ขมนียํ สีตุณฺหาทิฯ กจฺจิ ยาปนียํ ยถาลเทฺธหิ ชีวิตสาธเนหิ ชีวิตํฯ อปฺปาพาธนฺติ อโปฺปปสคฺคํ, อปฺปาตงฺกนฺติ อปฺปโรคํฯ กจฺจิ ลหุฎฺฐานํ สรีรกิเจฺจฯ กจฺจิ พลํ สมณกิเจฺจฯ กจฺจิ ผาสุวิหาโร ยถาวุตฺตนเยน อปฺปาพาธตาย, อนุกฺกณฺฐนาทิวเสน วาฯ สตฺตสฎฺฐิโต ปฎฺฐาย ปจฺฉิมวโย, อุตฺตรามุโขติ วุตฺตํ โหติฯ โลกวิวรเณ ชาเต อิธ กิํ โอโลเกสิ, นเตฺถตฺถ ตยา สทิโสปีติ อาห ‘‘ตฺวํ สเทวกสฺส โลกสฺส อโคฺค’’ติอาทิฯ อาสภิํ อุตฺตมํฯ อุปปตฺติวเสน เทวาฯ รูปานํ ปริโภควเสน, ปตฺถนาวเสน วา อุปฺปนฺนา ราคสมฺปยุตฺตา โสมนสฺสเวทนานุรูปโต อุปฺปชฺชิตฺวา หทยตปฺปนโต อมฺพรสาทโย วิย ‘‘รูปรสา’’ติ วุจฺจนฺติฯ ตถาคตสฺส ปหีนาติ อธิการวเสนาหฯ ตถาคตสฺสปิ หิ กสฺสจิ เต ปหีนาติ มตฺถกจฺฉินฺนตาโล วิย กตาฯ กถํ? รูปรสาทิวจเนน วิปากธมฺมธมฺมา คหิตา, เต วิชฺชมานาปิ มตฺถกสทิสานํ ตณฺหาวิชฺชานํ มคฺคสเตฺถน ฉินฺนตฺตา อายติํ ตาลปนฺติสทิเส วิปากกฺขเนฺธ นิพฺพเตฺตตุํ อสมตฺถา ชาตาฯ ตสฺมา ตาลาวตฺถุ วิย กตาฯ ‘‘กุสลโสมนสฺสาปิ เอตฺถ สงฺคหิตา’’ติ วทนฺติฯ ปฐมมเคฺคน ปหีนา กมฺมปถฎฺฐานิยา, ทุติเยน อุจฺฉินฺนมูลา โอฬาริกา, ตติเยน ตาลาวตฺถุกตา กามราคฎฺฐานิยาฯ จตุเตฺถน อนภาวํกตา รูปราคารูปราคฎฺฐานิยาฯ อปริหานธมฺมตํ ปน ทีเปโนฺต ‘‘อายติํ อนุปฺปาทธมฺมา’’ติ อาหฯ ตทงฺคปฺปหาเนน วา ปหีนา วิปสฺสนากฺขเณ, ฌานสฺส ปุพฺพภาคกฺขเณ วา, วิกฺขมฺภนปฺปหาเนน อุจฺฉินฺนมูลา ฌานกฺขเณฯ ‘‘วิวิเจฺจว กาเมหี’’ติ (ปารา. ๑๑) หิ วุตฺตํฯ สมุเจฺฉทปฺปหาเนน ตาลาวตฺถุกตา ตติยวิชฺชาธิคมกฺขเณฯ อิตฺถมฺภูตา ปน เต รูปรสาทโย อนภาวํกตา อายติมนุปฺปาทธมฺมาติ เอกเมวิทํ อตฺถปทํฯ ปฐมาย วา อภินิพฺภิทาย ปหีนา, ทุติยาย อุจฺฉินฺนมูลา, ตติยาย ตาลาวตฺถุกตาฯ อิตฺถมฺภูตา ยสฺมา อนภาวํกตา นาม โหนฺติ, ตสฺมา อายติํอนอุปฺปาทธมฺมาติ เวทิตพฺพาฯ อถ วา ทุกฺขญาเณน ปหีนา, สมุทยญาเณน อุจฺฉินฺนมูลา , นิโรธญาเณน ตาลาวตฺถุกตา, มคฺคญาเณน อนภาวํกตา, ปจฺจเวกฺขณญาเณน อายติํ อนุปฺปาทธมฺมาติ เวทิตพฺพาฯ โลกิยมเคฺคน วา ปหีนา, ทสฺสนมเคฺคน อุจฺฉินฺนมูลา, ติวิเธน ภาวนามเคฺคน ตาลาวตฺถุกตาติอาทิฯ พฺราหฺมณสฺส อวิสยตฺตา ธมฺมรสา น อุทฺธฎาฯ
2-3.Kacci khamanīyaṃ sītuṇhādi. Kacci yāpanīyaṃ yathāladdhehi jīvitasādhanehi jīvitaṃ. Appābādhanti appopasaggaṃ, appātaṅkanti apparogaṃ. Kacci lahuṭṭhānaṃ sarīrakicce. Kacci balaṃ samaṇakicce. Kacci phāsuvihāro yathāvuttanayena appābādhatāya, anukkaṇṭhanādivasena vā. Sattasaṭṭhito paṭṭhāya pacchimavayo, uttarāmukhoti vuttaṃ hoti. Lokavivaraṇe jāte idha kiṃ olokesi, natthettha tayā sadisopīti āha ‘‘tvaṃ sadevakassa lokassa aggo’’tiādi. Āsabhiṃ uttamaṃ. Upapattivasena devā. Rūpānaṃ paribhogavasena, patthanāvasena vā uppannā rāgasampayuttā somanassavedanānurūpato uppajjitvā hadayatappanato ambarasādayo viya ‘‘rūparasā’’ti vuccanti. Tathāgatassa pahīnāti adhikāravasenāha. Tathāgatassapi hi kassaci te pahīnāti matthakacchinnatālo viya katā. Kathaṃ? Rūparasādivacanena vipākadhammadhammā gahitā, te vijjamānāpi matthakasadisānaṃ taṇhāvijjānaṃ maggasatthena chinnattā āyatiṃ tālapantisadise vipākakkhandhe nibbattetuṃ asamatthā jātā. Tasmā tālāvatthu viya katā. ‘‘Kusalasomanassāpi ettha saṅgahitā’’ti vadanti. Paṭhamamaggena pahīnā kammapathaṭṭhāniyā, dutiyena ucchinnamūlā oḷārikā, tatiyena tālāvatthukatā kāmarāgaṭṭhāniyā. Catutthena anabhāvaṃkatā rūparāgārūparāgaṭṭhāniyā. Aparihānadhammataṃ pana dīpento ‘‘āyatiṃ anuppādadhammā’’ti āha. Tadaṅgappahānena vā pahīnā vipassanākkhaṇe, jhānassa pubbabhāgakkhaṇe vā, vikkhambhanappahānena ucchinnamūlā jhānakkhaṇe. ‘‘Vivicceva kāmehī’’ti (pārā. 11) hi vuttaṃ. Samucchedappahānena tālāvatthukatā tatiyavijjādhigamakkhaṇe. Itthambhūtā pana te rūparasādayo anabhāvaṃkatā āyatimanuppādadhammāti ekamevidaṃ atthapadaṃ. Paṭhamāya vā abhinibbhidāya pahīnā, dutiyāya ucchinnamūlā, tatiyāya tālāvatthukatā. Itthambhūtā yasmā anabhāvaṃkatā nāma honti, tasmā āyatiṃanauppādadhammāti veditabbā. Atha vā dukkhañāṇena pahīnā, samudayañāṇena ucchinnamūlā , nirodhañāṇena tālāvatthukatā, maggañāṇena anabhāvaṃkatā, paccavekkhaṇañāṇena āyatiṃ anuppādadhammāti veditabbā. Lokiyamaggena vā pahīnā, dassanamaggena ucchinnamūlā, tividhena bhāvanāmaggena tālāvatthukatātiādi. Brāhmaṇassa avisayattā dhammarasā na uddhaṭā.
๑๑. ธมฺมธาตุนฺติ เอตฺถ สพฺพญฺญุตญฺญาณํ ธมฺมธาตุ นามฯ อนุกมฺปวจนานุรูปํ ‘‘ปุณฺณจโนฺท วิยา’’ติ วุตฺตํ, สูริยวจนํ ‘‘สุปฺปฎิวิทฺธตฺตา’’ติวจนานุรูปํ, ปถวีสมจิตฺตตาย การณํ ‘‘กรุณาวิปฺผาร’’นฺติ วทนฺติฯ ปฎิจฺฉาเทตเพฺพ หิ อตฺตโน คุเณ ‘‘อารทฺธํ โข ปน เม วีริย’’นฺติอาทินา ปกาเสโนฺต อตฺตโน กรุณาวิปฺผารํ ปกาเสตีติ คเหตโพฺพฯ วรภูริเมธโส วรปุถุลญาโณ, ภูรีติ วา ภูมิ, ภูมิ วิย ปตฺถฎวรปโญฺญติ อโตฺถฯ อพุชฺฌิ เอตฺถาติปิ อธิกรเณน รุโกฺข โพธิฯ สยํ พุชฺฌติ, พุชฺฌนฺติ วา เตน ตํสมงฺคิโนติ มโคฺค โพธิ, เอวํ สพฺพญฺญุตญฺญาณมฺปิฯ พุชฺฌียตีติ นิพฺพานํ โพธิฯ ติสฺสนฺนํ วิชฺชานํ อุปนิสฺสยวโต ยถาสมฺภวํ ติโสฺส วิชฺชา เวทิตพฺพาฯ เอกคฺคตาวเสน ติกฺขภาโวฯ ติโกฺขปิ เอกโจฺจ สโร ลกฺขํ ปตฺวา กุโณฺฐ โหติ, น ตถา อิทํฯ สตินฺทฺริยวเสนสฺส ขรภาโว, สทฺธินฺทฺริยวเสน วิปฺปสนฺนภาโว, อนฺตรา อโนสกฺกิตฺวา กิเลสปจฺจตฺถิกานํ สุฎฺฐุ อภิภวนโต วีริยินฺทฺริยวเสนสฺส สูรภาโว จ เวทิตโพฺพฯ มคฺควิชายนตฺถํ คพฺภคฺคหณกาโล สงฺขารุเปกฺขานนฺตรมนุโลมตฺตาฯ
11.Dhammadhātunti ettha sabbaññutaññāṇaṃ dhammadhātu nāma. Anukampavacanānurūpaṃ ‘‘puṇṇacando viyā’’ti vuttaṃ, sūriyavacanaṃ ‘‘suppaṭividdhattā’’tivacanānurūpaṃ, pathavīsamacittatāya kāraṇaṃ ‘‘karuṇāvipphāra’’nti vadanti. Paṭicchādetabbe hi attano guṇe ‘‘āraddhaṃ kho pana me vīriya’’ntiādinā pakāsento attano karuṇāvipphāraṃ pakāsetīti gahetabbo. Varabhūrimedhaso varaputhulañāṇo, bhūrīti vā bhūmi, bhūmi viya patthaṭavarapaññoti attho. Abujjhi etthātipi adhikaraṇena rukkho bodhi. Sayaṃ bujjhati, bujjhanti vā tena taṃsamaṅginoti maggo bodhi, evaṃ sabbaññutaññāṇampi. Bujjhīyatīti nibbānaṃ bodhi. Tissannaṃ vijjānaṃ upanissayavato yathāsambhavaṃ tisso vijjā veditabbā. Ekaggatāvasena tikkhabhāvo. Tikkhopi ekacco saro lakkhaṃ patvā kuṇṭho hoti, na tathā idaṃ. Satindriyavasenassa kharabhāvo, saddhindriyavasena vippasannabhāvo, antarā anosakkitvā kilesapaccatthikānaṃ suṭṭhu abhibhavanato vīriyindriyavasenassa sūrabhāvo ca veditabbo. Maggavijāyanatthaṃ gabbhaggahaṇakālo saṅkhārupekkhānantaramanulomattā.
ฉโนฺทติ จ สงฺกโปฺปติ จ อวตฺถนฺตรเภทภิโนฺน ราโคว –
Chandoti ca saṅkappoti ca avatthantarabhedabhinno rāgova –
‘‘เสนหาตฺถฺยงฺคมุเปติ,
‘‘Senahātthyaṅgamupeti,
รตฺตหทโย ราเคน;
Rattahadayo rāgena;
สมฺมคเต รตฺตกามมุเปติ,
Sammagate rattakāmamupeti,
กามปติตํ โลกสฺส มาตฺราลมตี’’ติ –
Kāmapatitaṃ lokassa mātrālamatī’’ti –
อาทีสุ วิย –
Ādīsu viya –
วิภเงฺคเยว กิญฺจาปิ อโตฺถ วุโตฺตติ เอตฺถ อยมธิปฺปาโย – วิภงฺคปาฬิํ อาเนตฺวา อิธ วุโตฺตปิ สเพฺพสํ อุปการาย น โหติ, ตสฺมา ตํ อฎฺฐกถานเยเนว ปกาสยิสฺสามีติฯ อิโตติ กาเมหิฯ กายวิเวกาทีสุ อุปธิวิเวโก ตติโย, ตสฺมา ตติยํ ฉเฑฺฑตฺวา เทฺว คเหตฺวา ตทงฺคาทีสุ วิกฺขมฺภนวิเวกํ คเหตฺวา ‘‘ตโย เอวา’’ติ วุตฺตาฯ เอวํ สติ จิตฺตวิกฺขมฺภนา เอกตฺถา เอวาติ วิเสโส น สิยาติ เจ? อปฺปนาวารตฺตา น ปเนวํ ทฎฺฐพฺพํฯ กายวิเวกคฺคหเณน ปุพฺพภาคคฺคหณํ ญายติ, ตสฺมา จิตฺตวิเวโกติ ตทงฺควิเวโก วุโตฺต, วิกฺขมฺภเนน อปฺปนากาเลติ คเหตพฺพํ อสงฺกรโตฯ อถ วา จิตฺตวิเวเกน ตทงฺควิกฺขมฺภนา คหิตา, อิตเรน วิกฺขมฺภนวิเวโก เอวาติปิ ยุตฺตํ, กิเลสกามตฺตา วา ทฺวีสุ กเมฺมสุ ปริยาปโนฺน ปุริโส วิยฯ ยถา อวิชฺชมาเนน อวิชฺชมานปญฺญตฺติวเสน โลเก ‘‘สผโล รุโกฺข’’ติ วุจฺจติ, ตเถว วิชฺชมาเนน วิชฺชมานปญฺญตฺติวเสน สาสเน ‘‘สวิตกฺกํ สวิจารํ ฌาน’’นฺติ วุจฺจตีติ อธิปฺปาโยฯ
Vibhaṅgeyeva kiñcāpi attho vuttoti ettha ayamadhippāyo – vibhaṅgapāḷiṃ ānetvā idha vuttopi sabbesaṃ upakārāya na hoti, tasmā taṃ aṭṭhakathānayeneva pakāsayissāmīti. Itoti kāmehi. Kāyavivekādīsu upadhiviveko tatiyo, tasmā tatiyaṃ chaḍḍetvā dve gahetvā tadaṅgādīsu vikkhambhanavivekaṃ gahetvā ‘‘tayo evā’’ti vuttā. Evaṃ sati cittavikkhambhanā ekatthā evāti viseso na siyāti ce? Appanāvārattā na panevaṃ daṭṭhabbaṃ. Kāyavivekaggahaṇena pubbabhāgaggahaṇaṃ ñāyati, tasmā cittavivekoti tadaṅgaviveko vutto, vikkhambhanena appanākāleti gahetabbaṃ asaṅkarato. Atha vā cittavivekena tadaṅgavikkhambhanā gahitā, itarena vikkhambhanaviveko evātipi yuttaṃ, kilesakāmattā vā dvīsu kammesu pariyāpanno puriso viya. Yathā avijjamānena avijjamānapaññattivasena loke ‘‘saphalo rukkho’’ti vuccati, tatheva vijjamānena vijjamānapaññattivasena sāsane ‘‘savitakkaṃ savicāraṃ jhāna’’nti vuccatīti adhippāyo.
วูปสมาติ เอตฺถ เกสํ วูปสมาติ, กิํ ปฐมชฺฌานิกานํ, อุทาหุ ทุติยชฺฌานิกานนฺติ? เอตฺถ ยทิ ปฐมชฺฌานิกานํ, นตฺถิ เตสํ วูปสโมฯ น หิ ปฐมชฺฌานํ วิตกฺกวิจารรหิตํ อตฺถิฯ ยทิ ทุติยชฺฌานิกานํ, นเตฺถว วูปสโม ตตฺถ ตทภาวาติ เจ? เตเนตํ วุจฺจติ ‘‘สมติกฺกมา’’ติ, สมติกฺกโมปิ น เตสํเยวฯ กินฺตุ สกลสฺสปิ ปฐมชฺฌานธมฺมราสิสฺสาติ เจ? เตเนตํ วุจฺจติ ‘‘โอฬาริกสฺส ปน สมติกฺกมา’’ติอาทิฯ สเพฺพปิ ปฐมชฺฌานธมฺมา โอฬาริกาว ทุติยชฺฌานโต, น เกวลํ วิตกฺกวิจารทฺวยเมวาติ เจ? น วิตกฺกวิจาราเยว เตหิ สมฺปยุตฺตานํ โอฬาริกภาวโตติ เตเสฺวว อาทีนวทสฺสเนน ทุติยชฺฌานกฺขเณ เตสํ อภาโว โหติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ทุติยชฺฌานกฺขเณ อปาตุภาวา’’ติ, ยสฺส ธมฺมสฺสานุภาเวน, โยเคน วา อิทํ ฌานํ ‘‘สมฺปสาทน’’นฺติ วุจฺจติ ‘‘เอโกทิภาว’’นฺติ จ, ตสฺส ทสฺสนตฺถํ สทฺธาสมาธโย วิภเงฺค วุตฺตาฯ ปณีตโภชนสิกฺขาปเท (ปาจิ. ๒๕๗ อาทโย) สปฺปิอาทโย วิยาติ วุเตฺต อยํ อตฺถวณฺณนา น วิรุชฺฌติฯ สมํ ปสฺสตีติ ลีนุทฺธจฺจํ ปหาย ขีณาสวสฺส ฉสุ ทฺวาเรสุ อิฎฺฐานิฎฺฐฉฬารมฺมณาปาเถ ปริสุทฺธปกติภาวาวิชหนาการภูตา อุเปกฺขา ฉฬงฺคุเปกฺขาฯ นีวรณาทิปฎิสงฺขาสนฺติฎฺฐนาคหเณ มชฺฌตฺตภูตา อุเปกฺขา, อยํ สงฺขารุเปกฺขา นามฯ วิจินเน มชฺฌตฺตภูตา อุเปกฺขา วิปสฺสนุเปกฺขา นามฯ ตตฺถ ฉฬงฺคุเปกฺขา พฺรหฺมวิหารุเปกฺขา โพชฺฌงฺคุเปกฺขา ตตฺรมชฺฌตฺตุเปกฺขา ฌานุเปกฺขา ปาริสุทฺธุเปกฺขา จ อตฺถโต เอกา ตตฺรมชฺฌตฺตุเปกฺขาว, อวตฺถาเภเทน เภโท เนสํฯ สงฺขารุเปกฺขาวิปสฺสนุเปกฺขานมฺปิ เอกตา ปญฺญาวเสน, กิจฺจวเสน ปน ทุวิธตา เวทิตพฺพาฯ
Vūpasamāti ettha kesaṃ vūpasamāti, kiṃ paṭhamajjhānikānaṃ, udāhu dutiyajjhānikānanti? Ettha yadi paṭhamajjhānikānaṃ, natthi tesaṃ vūpasamo. Na hi paṭhamajjhānaṃ vitakkavicārarahitaṃ atthi. Yadi dutiyajjhānikānaṃ, nattheva vūpasamo tattha tadabhāvāti ce? Tenetaṃ vuccati ‘‘samatikkamā’’ti, samatikkamopi na tesaṃyeva. Kintu sakalassapi paṭhamajjhānadhammarāsissāti ce? Tenetaṃ vuccati ‘‘oḷārikassa pana samatikkamā’’tiādi. Sabbepi paṭhamajjhānadhammā oḷārikāva dutiyajjhānato, na kevalaṃ vitakkavicāradvayamevāti ce? Na vitakkavicārāyeva tehi sampayuttānaṃ oḷārikabhāvatoti tesveva ādīnavadassanena dutiyajjhānakkhaṇe tesaṃ abhāvo hoti. Tena vuttaṃ ‘‘dutiyajjhānakkhaṇe apātubhāvā’’ti, yassa dhammassānubhāvena, yogena vā idaṃ jhānaṃ ‘‘sampasādana’’nti vuccati ‘‘ekodibhāva’’nti ca, tassa dassanatthaṃ saddhāsamādhayo vibhaṅge vuttā. Paṇītabhojanasikkhāpade (pāci. 257 ādayo) sappiādayo viyāti vutte ayaṃ atthavaṇṇanā na virujjhati. Samaṃ passatīti līnuddhaccaṃ pahāya khīṇāsavassa chasu dvāresu iṭṭhāniṭṭhachaḷārammaṇāpāthe parisuddhapakatibhāvāvijahanākārabhūtā upekkhā chaḷaṅgupekkhā. Nīvaraṇādipaṭisaṅkhāsantiṭṭhanāgahaṇe majjhattabhūtā upekkhā, ayaṃ saṅkhārupekkhā nāma. Vicinane majjhattabhūtā upekkhā vipassanupekkhā nāma. Tattha chaḷaṅgupekkhā brahmavihārupekkhā bojjhaṅgupekkhā tatramajjhattupekkhā jhānupekkhā pārisuddhupekkhā ca atthato ekā tatramajjhattupekkhāva, avatthābhedena bhedo nesaṃ. Saṅkhārupekkhāvipassanupekkhānampi ekatā paññāvasena, kiccavasena pana duvidhatā veditabbā.
ฉฬงฺคุเปกฺขา กามาวจรา, พฺรหฺมวิหารุเปกฺขา รูปาวจราติอาทินา ภูมิวเสนฯ ฉฬงฺคุเปกฺขา ขีณาสวเสฺสว, พฺรหฺมวิหารุเปกฺขา ติณฺณมฺปิ ปุถุชฺชนเสกฺขาเสกฺขานนฺติ เอวํ ปุคฺคลวเสนฯ ฉฬงฺคุเปกฺขา โสมนสฺสุเปกฺขาสหคตจิตฺตสมฺปยุตฺตา, พฺรหฺมวิหารุเปกฺขา อุเปกฺขาสหคตจิตฺตสมฺปยุตฺตา เอวาติ เอวํ จิตฺตวเสนฯ ฉฬงฺคุเปกฺขา ฉฬารมฺมณา, พฺรหฺมวิหารุเปกฺขา ธมฺมารมฺมณาวาติ อารมฺมณวเสนฯ เวทนุเปกฺขา เวทนากฺขเนฺธน สงฺคหิตา, อิตรา นว สงฺขารกฺขเนฺธนาติ ขนฺธสงฺคหวเสนฯ ฉฬงฺคุเปกฺขา พฺรหฺมวิหารโพชฺฌงฺคฌานุเปกฺขา ปาริสุทฺธิตตฺรมชฺฌตฺตุเปกฺขา จ อตฺถโต เอกา, ตสฺมา เอกกฺขเณ เอกาว สิยา, น อิตรา, ตถา สงฺขารุเปกฺขาวิปสฺสนุเปกฺขาปิฯ เวทนาวีริยุเปกฺขานํ เอกกฺขเณ สิยา อุปฺปตฺตีติฯ ฉฬงฺคุเปกฺขา อพฺยากตา, พฺรหฺมวิหารุเปกฺขา กุสลาพฺยากตา, ตถา เสสาฯ เวทนุเปกฺขา ปน สิยา อกุสลาปิฯ เอวํ กุสลตฺติกวเสนฯ ทสเปตา สเงฺขเปน จตฺตาโรว ธมฺมา วีริยเวทนาตตฺรมชฺฌตฺตญาณวเสนฯ ‘‘ทุกฺขโทมนสฺสสุขโสมนสฺสาน’’นฺติ เอวํ ปหานกฺกเมน อวตฺวา วิภเงฺค วุตฺตนเยน กสฺมา วุตฺตานีติ เจ? สุตฺตานุรกฺขณตฺถํฯ อิฎฺฐานิฎฺฐวิปรีตนฺติ เอตฺถ ‘‘อารมฺมณวเสน อคฺคเหตฺวา อิฎฺฐานิฎฺฐวิปรีตากาเรน อนุภวตีติ คเหตพฺพ’’นฺติ วทนฺติฯ กสฺมา? เอกํเยว กสิณํ อารพฺภ สเพฺพสํ ปวตฺติโตฯ ตติยชฺฌานโต ปฎฺฐาย อุปการา หุตฺวา อาคตาติ สติสีเสน เทสนา กตา, วิคตวลาหกาทินา โสมฺมตาย รตฺติยา วลาหกาทินา กาลุสฺสิเย สติปิ ทิวา วิย อนุปการิกา น โหติ รตฺติํ, ตสฺมา ‘‘อตฺตโน อุปการกเตฺตน วา’’ติ วุตฺตํฯ ‘‘สูริยปฺปภาภิภวา, รตฺติยา อลาภาติ อิเม เทฺว เหตู อปริสุทฺธตาย การณํฯ โสมฺมภาเวน, อตฺตโน อุปการกเตฺตน จาติ อิเม เทฺว สภาคตาย การณ’’นฺติ วทนฺติ, ตสฺสา อปริสุทฺธาย ชาติยาติ วุตฺตํ โหติ, ตสฺมา การณวจนนฺติ เอเกฯ
Chaḷaṅgupekkhā kāmāvacarā, brahmavihārupekkhā rūpāvacarātiādinā bhūmivasena. Chaḷaṅgupekkhā khīṇāsavasseva, brahmavihārupekkhā tiṇṇampi puthujjanasekkhāsekkhānanti evaṃ puggalavasena. Chaḷaṅgupekkhā somanassupekkhāsahagatacittasampayuttā, brahmavihārupekkhā upekkhāsahagatacittasampayuttā evāti evaṃ cittavasena. Chaḷaṅgupekkhā chaḷārammaṇā, brahmavihārupekkhā dhammārammaṇāvāti ārammaṇavasena. Vedanupekkhā vedanākkhandhena saṅgahitā, itarā nava saṅkhārakkhandhenāti khandhasaṅgahavasena. Chaḷaṅgupekkhā brahmavihārabojjhaṅgajhānupekkhā pārisuddhitatramajjhattupekkhā ca atthato ekā, tasmā ekakkhaṇe ekāva siyā, na itarā, tathā saṅkhārupekkhāvipassanupekkhāpi. Vedanāvīriyupekkhānaṃ ekakkhaṇe siyā uppattīti. Chaḷaṅgupekkhā abyākatā, brahmavihārupekkhā kusalābyākatā, tathā sesā. Vedanupekkhā pana siyā akusalāpi. Evaṃ kusalattikavasena. Dasapetā saṅkhepena cattārova dhammā vīriyavedanātatramajjhattañāṇavasena. ‘‘Dukkhadomanassasukhasomanassāna’’nti evaṃ pahānakkamena avatvā vibhaṅge vuttanayena kasmā vuttānīti ce? Suttānurakkhaṇatthaṃ. Iṭṭhāniṭṭhaviparītanti ettha ‘‘ārammaṇavasena aggahetvā iṭṭhāniṭṭhaviparītākārena anubhavatīti gahetabba’’nti vadanti. Kasmā? Ekaṃyeva kasiṇaṃ ārabbha sabbesaṃ pavattito. Tatiyajjhānato paṭṭhāya upakārā hutvā āgatāti satisīsena desanā katā, vigatavalāhakādinā sommatāya rattiyā valāhakādinā kālussiye satipi divā viya anupakārikā na hoti rattiṃ, tasmā ‘‘attano upakārakattena vā’’ti vuttaṃ. ‘‘Sūriyappabhābhibhavā, rattiyā alābhāti ime dve hetū aparisuddhatāya kāraṇaṃ. Sommabhāvena, attano upakārakattena cāti ime dve sabhāgatāya kāraṇa’’nti vadanti, tassā aparisuddhāya jātiyāti vuttaṃ hoti, tasmā kāraṇavacananti eke.
ฌานกถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Jhānakathāvaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวิภงฺค • Mahāvibhaṅga / เวรญฺชกณฺฑํ • Verañjakaṇḍaṃ
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / วินยปิฎก (อฎฺฐกถา) • Vinayapiṭaka (aṭṭhakathā) / มหาวิภงฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvibhaṅga-aṭṭhakathā / เวรญฺชกณฺฑวณฺณนา • Verañjakaṇḍavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā / เวรญฺชกณฺฑวณฺณนา • Verañjakaṇḍavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / ปฐมชฺฌานกถาวณฺณนา • Paṭhamajjhānakathāvaṇṇanā