Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สํยุตฺตนิกาย (อฎฺฐกถา) • Saṃyuttanikāya (aṭṭhakathā) |
๙. เวสาลีสุตฺตวณฺณนา
9. Vesālīsuttavaṇṇanā
๙๘๕. นวเม เวสาลิยนฺติ เอวํนามเก อิตฺถิลิงฺควเสน ปวตฺตโวหาเร นคเรฯ ตญฺหิ นครํ ติกฺขตฺตุํ ปาการปริเกฺขปวฑฺฒเนน วิสาลีภูตตฺตา เวสาลีติ วุจฺจติฯ อิทมฺปิ จ นครํ สพฺพญฺญุตํ ปเตฺตเยว สมฺมาสมฺพุเทฺธ สพฺพาการเวปุลฺลตํ ปตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ เอวํ โคจรคามํ ทเสฺสตฺวา นิวาสฎฺฐานมาห มหาวเน กูฎาคารสาลายนฺติฯ ตตฺถ มหาวนํ นาม สยํชาตํ อโรปิมํ สปริเจฺฉทํ มหนฺตํ วนํฯ กปิลวตฺถุสามนฺตา ปน มหาวนํ หิมวเนฺตน สห เอกาพทฺธํ อปริเจฺฉทํ หุตฺวา มหาสมุทฺทํ อาหจฺจ ฐิตํฯ อิทํ ตาทิสํ น โหติ, สปริเจฺฉทํ มหนฺตํ วนนฺติ มหาวนํฯ กูฎาคารสาลา ปน มหาวนํ นิสฺสาย กเต อาราเม กูฎาคารํ อโนฺตกตฺวา หํสวฎฺฎกจฺฉเนฺนน กตา สพฺพาการสมฺปนฺนา พุทฺธสฺส ภควโต คนฺธกุฎีติ เวทิตพฺพาฯ
985. Navame vesāliyanti evaṃnāmake itthiliṅgavasena pavattavohāre nagare. Tañhi nagaraṃ tikkhattuṃ pākāraparikkhepavaḍḍhanena visālībhūtattā vesālīti vuccati. Idampi ca nagaraṃ sabbaññutaṃ patteyeva sammāsambuddhe sabbākāravepullataṃ pattanti veditabbaṃ. Evaṃ gocaragāmaṃ dassetvā nivāsaṭṭhānamāha mahāvane kūṭāgārasālāyanti. Tattha mahāvanaṃ nāma sayaṃjātaṃ aropimaṃ saparicchedaṃ mahantaṃ vanaṃ. Kapilavatthusāmantā pana mahāvanaṃ himavantena saha ekābaddhaṃ aparicchedaṃ hutvā mahāsamuddaṃ āhacca ṭhitaṃ. Idaṃ tādisaṃ na hoti, saparicchedaṃ mahantaṃ vananti mahāvanaṃ. Kūṭāgārasālā pana mahāvanaṃ nissāya kate ārāme kūṭāgāraṃ antokatvā haṃsavaṭṭakacchannena katā sabbākārasampannā buddhassa bhagavato gandhakuṭīti veditabbā.
อเนกปริยาเยน อสุภกถํ กเถตีติ อเนเกหิ การเณหิ อสุภาการสนฺทสฺสนปฺปวตฺตํ กายวิจฺฉนฺทนียกถํ กเถติฯ เสยฺยถิทํ – อตฺถิ อิมสฺมิํ กาเย เกสา โลมา นขา ทนฺตา…เป.… มุตฺตนฺติฯ กิํ วุตฺตํ โหติ? ภิกฺขเว, อิมสฺมิํ พฺยามมเตฺต กเฬวเร สพฺพากาเรนปิ วิจินโนฺต น โกจิ กิญฺจิ มุตฺตํ วา มณิํ วา เวฬุริยํ วา อครุํ วา จนฺทนํ วา กุงฺกุมํ วา กปฺปุรํ วา วาสจุณฺณาทิํ วา อณุมตฺตมฺปิ สุจิภาวํ ปสฺสติ, อถ โข ปรมทุคฺคนฺธํ เชคุจฺฉอสฺสิริกทสฺสนํ เกสโลมาทินานปฺปการํ อสุจิเมว ปสฺสติ, ตสฺมา น เอตฺถ ฉโนฺท วา ราโค วา กรณีโยฯ เยปิ อุตฺตมเงฺค สิรสิ ชาตา เกสา นาม, เตปิ อสุภา เจว อสุจิโน จ ปฎิกูลา จฯ โส จ เนสํ อสุภาสุจิปฎิกูลภาโว วณฺณโตปิ สณฺฐานโตปิ คนฺธโตปิ อาสยโตปิ โอกาสโตปีติ ปญฺจหากาเรหิ เวทิตโพฺพฯ เอวํ โลมาทีนมฺปีติ อยเมตฺถ สเงฺขโป, วิตฺถาโร ปน วิสุทฺธิมเคฺค (วิสุทฺธิ. ๑.๓๐๗) วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพฯ อิติ ภควา เอกเมกสฺมิํ โกฎฺฐาเส ปญฺจปญฺจปฺปเภเทน อเนกปริยาเยน อสุภกถํ กเถติฯ
Anekapariyāyena asubhakathaṃ kathetīti anekehi kāraṇehi asubhākārasandassanappavattaṃ kāyavicchandanīyakathaṃ katheti. Seyyathidaṃ – atthi imasmiṃ kāye kesā lomā nakhā dantā…pe… muttanti. Kiṃ vuttaṃ hoti? Bhikkhave, imasmiṃ byāmamatte kaḷevare sabbākārenapi vicinanto na koci kiñci muttaṃ vā maṇiṃ vā veḷuriyaṃ vā agaruṃ vā candanaṃ vā kuṅkumaṃ vā kappuraṃ vā vāsacuṇṇādiṃ vā aṇumattampi sucibhāvaṃ passati, atha kho paramaduggandhaṃ jegucchaassirikadassanaṃ kesalomādinānappakāraṃ asucimeva passati, tasmā na ettha chando vā rāgo vā karaṇīyo. Yepi uttamaṅge sirasi jātā kesā nāma, tepi asubhā ceva asucino ca paṭikūlā ca. So ca nesaṃ asubhāsucipaṭikūlabhāvo vaṇṇatopi saṇṭhānatopi gandhatopi āsayatopi okāsatopīti pañcahākārehi veditabbo. Evaṃ lomādīnampīti ayamettha saṅkhepo, vitthāro pana visuddhimagge (visuddhi. 1.307) vuttanayeneva veditabbo. Iti bhagavā ekamekasmiṃ koṭṭhāse pañcapañcappabhedena anekapariyāyena asubhakathaṃ katheti.
อสุภาย วณฺณํ ภาสตีติ อุทฺธุมาตกาทิวเสน อสุภมาติกํ นิกฺขิปิตฺวา ปทภาชนีเยน ตํ วิภชโนฺต วเณฺณโนฺต อสุภาย วณฺณํ ภาสติฯ อสุภภาวนาย วณฺณํ ภาสตีติ ยา อยํ เกสาทีสุ วา อุทฺธุมาตกาทีสุ วา อชฺฌตฺตพหิทฺธาวตฺถูสุ อสุภาการํ คเหตฺวา ปวตฺตสฺส จิตฺตสฺส ภาวนา วฑฺฒนา ผาติกมฺมํ, ตสฺสา อสุภภาวนาย อานิสํสํ ทเสฺสโนฺต วณฺณํ ภาสติ, คุณํ ปริกิเตฺตติฯ เสยฺยถิทํ – ‘‘อสุภภาวนาภิยุโตฺต, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ เกสาทีสุ วา วตฺถูสุ อุทฺธุมาตกาทีสุ วา ปญฺจงฺควิปฺปหีนํ ปญฺจงฺคสมนฺนาคตํ ติวิธกลฺยาณํ ทสลกฺขณสมฺปนฺนํ ปฐมชฺฌานํ ปฎิลภติฯ โส ตํ ปฐมชฺฌานสงฺขาตํ จิตฺตมญฺชูสํ นิสฺสาย วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา อุตฺตมตฺถํ อรหตฺตํ ปาปุณาตี’’ติฯ
Asubhāya vaṇṇaṃ bhāsatīti uddhumātakādivasena asubhamātikaṃ nikkhipitvā padabhājanīyena taṃ vibhajanto vaṇṇento asubhāya vaṇṇaṃ bhāsati. Asubhabhāvanāya vaṇṇaṃ bhāsatīti yā ayaṃ kesādīsu vā uddhumātakādīsu vā ajjhattabahiddhāvatthūsu asubhākāraṃ gahetvā pavattassa cittassa bhāvanā vaḍḍhanā phātikammaṃ, tassā asubhabhāvanāya ānisaṃsaṃ dassento vaṇṇaṃ bhāsati, guṇaṃ parikitteti. Seyyathidaṃ – ‘‘asubhabhāvanābhiyutto, bhikkhave, bhikkhu kesādīsu vā vatthūsu uddhumātakādīsu vā pañcaṅgavippahīnaṃ pañcaṅgasamannāgataṃ tividhakalyāṇaṃ dasalakkhaṇasampannaṃ paṭhamajjhānaṃ paṭilabhati. So taṃ paṭhamajjhānasaṅkhātaṃ cittamañjūsaṃ nissāya vipassanaṃ vaḍḍhetvā uttamatthaṃ arahattaṃ pāpuṇātī’’ti.
อิจฺฉามหํ, ภิกฺขเว, อฑฺฒมาสํ ปฎิสลฺลียิตุนฺติ อหํ, ภิกฺขเว, เอกํ อฑฺฒมาสํ ปฎิสลฺลียิตุํ นิลียิตุํ เอกโกว หุตฺวา วิหริตุํ อิจฺฉามีติ อโตฺถฯ นามฺหิ เกนจิ อุปสงฺกมิตโพฺพ อญฺญตฺร เอเกน ปิณฺฑปาตนีหารเกนาติ โย อตฺตนา ปยุตฺตวาจํ อกตฺวา มมตฺถาย สเทฺธสุ กุเลสุ ปฎิยตฺตปิณฺฑปาตํ นีหริตฺวา มยฺหํ อุปนาเมติ, ตํ ปิณฺฑปาตนีหารกํ เอกํ ภิกฺขุํ ฐเปตฺวา นามฺหิ อเญฺญน เกนจิ ภิกฺขุนา วา คหเฎฺฐน วา อุปสงฺกมิตโพฺพติฯ
Icchāmahaṃ, bhikkhave, aḍḍhamāsaṃ paṭisallīyitunti ahaṃ, bhikkhave, ekaṃ aḍḍhamāsaṃ paṭisallīyituṃ nilīyituṃ ekakova hutvā viharituṃ icchāmīti attho. Nāmhi kenaci upasaṅkamitabbo aññatra ekena piṇḍapātanīhārakenāti yo attanā payuttavācaṃ akatvā mamatthāya saddhesu kulesu paṭiyattapiṇḍapātaṃ nīharitvā mayhaṃ upanāmeti, taṃ piṇḍapātanīhārakaṃ ekaṃ bhikkhuṃ ṭhapetvā nāmhi aññena kenaci bhikkhunā vā gahaṭṭhena vā upasaṅkamitabboti.
กสฺมา ปน เอวมาหาติ? อตีเต กิร ปญฺจสตา มิคลุทฺทกา มหตีหิ ทณฺฑวาคุราทีหิ อรญฺญํ ปริกฺขิปิตฺวา หฎฺฐตุฎฺฐา เอกโตเยว ยาวชีวํ มิคปกฺขิฆาตกเมฺมน ชีวิกํ กเปฺปตฺวา นิรเย อุปฺปนฺนาฯ เต ตตฺถ ปจฺจิตฺวา ปุเพฺพ กเตน เกนจิเทว กุสลกเมฺมน มนุเสฺสสุ อุปฺปนฺนา กลฺยาณูปนิสฺสยวเสน สเพฺพปิ ภควโต สนฺติเก ปพฺพชฺชญฺจ อุปสมฺปทญฺจ ลภิํสุฯ เตสํ ตโต มูลากุสลกมฺมโต อวิปกฺกวิปากา อปราปรเจตนา ตสฺมิํ อฑฺฒมาสพฺภนฺตเร อตฺตูปกฺกเมน จ ปรูปกฺกเมน จ ชีวิตูปเจฺฉทาย โอกาสมกาสิฯ ตํ ภควา อทฺทสฯ กมฺมวิปาโก จ นาม น สกฺกา เกนจิ ปฎิพาหิตุํฯ เตสุ จ ภิกฺขูสุ ปุถุชฺชนาปิ อตฺถิ, โสตาปนฺนสกทาคามิอนาคามิขีณาสวาปิฯ ตตฺถ ขีณาสวา อปฺปฎิสนฺธิกา, อิตเร อริยสาวกา นิยตคติกา สุคติปรายณา, ปุถุชฺชนานํ คติ อนิยตาฯ
Kasmā pana evamāhāti? Atīte kira pañcasatā migaluddakā mahatīhi daṇḍavāgurādīhi araññaṃ parikkhipitvā haṭṭhatuṭṭhā ekatoyeva yāvajīvaṃ migapakkhighātakammena jīvikaṃ kappetvā niraye uppannā. Te tattha paccitvā pubbe katena kenacideva kusalakammena manussesu uppannā kalyāṇūpanissayavasena sabbepi bhagavato santike pabbajjañca upasampadañca labhiṃsu. Tesaṃ tato mūlākusalakammato avipakkavipākā aparāparacetanā tasmiṃ aḍḍhamāsabbhantare attūpakkamena ca parūpakkamena ca jīvitūpacchedāya okāsamakāsi. Taṃ bhagavā addasa. Kammavipāko ca nāma na sakkā kenaci paṭibāhituṃ. Tesu ca bhikkhūsu puthujjanāpi atthi, sotāpannasakadāgāmianāgāmikhīṇāsavāpi. Tattha khīṇāsavā appaṭisandhikā, itare ariyasāvakā niyatagatikā sugatiparāyaṇā, puthujjanānaṃ gati aniyatā.
อถ ภควา จิเนฺตสิ – ‘‘อิเม อตฺตภาเว ฉนฺทราเคน มรณภยภีตา น สกฺขิสฺสนฺติ คติํ วิโสเธตุํ, หนฺท เนสํ ฉนฺทราคปฺปหานาย อสุภกถํ กเถมิฯ ตํ สุตฺวา อตฺตภาเว วิคตจฺฉนฺทราคตาย คติวิโสธนํ กตฺวา สเคฺค ปฎิสนฺธิํ คณฺหิสฺสนฺติ, เอวํ เตสํ มม สนฺติเก ปพฺพชฺชา สาตฺถิกา ภวิสฺสตี’’ติฯ ตโต เตสํ อนุคฺคหาย อสุภกถํ กเถสิ กมฺมฎฺฐานสีเสน, โน มรณวณฺณสํวณฺณนาธิปฺปาเยนฯ กเถตฺวา จ ปนสฺส เอตทโหสิ – ‘‘สเจ อิมํ อฑฺฒมาสํ มํ ภิกฺขู ปสฺสิสฺสนฺติ, ‘อชฺช เอโก ภิกฺขุ มโต, อชฺช เทฺว…เป.… อชฺช ทสา’ติ อาคนฺตฺวา อาโรเจสฺสนฺติ, อยญฺจ กมฺมวิปาโก น สกฺกา มยา วา อเญฺญน วา ปฎิพาหิตุํ, สฺวาหํ ตํ สุตฺวาปิ กิํ กริสฺสามิ, กิํ เม อนตฺถเกน อนยพฺยสเนน สุเตน, หนฺทาหํ ภิกฺขูนํ อทสฺสนํ อุปคจฺฉามี’’ติฯ ตสฺมา เอวมาห – ‘‘อิจฺฉามหํ, ภิกฺขเว, อฑฺฒมาสํ ปฎิสลฺลียิตุํ, นามฺหิ เกนจิ อุปสงฺกมิตโพฺพ อญฺญตฺร เอเกน ปิณฺฑปาตนีหารเกนา’’ติฯ
Atha bhagavā cintesi – ‘‘ime attabhāve chandarāgena maraṇabhayabhītā na sakkhissanti gatiṃ visodhetuṃ, handa nesaṃ chandarāgappahānāya asubhakathaṃ kathemi. Taṃ sutvā attabhāve vigatacchandarāgatāya gativisodhanaṃ katvā sagge paṭisandhiṃ gaṇhissanti, evaṃ tesaṃ mama santike pabbajjā sātthikā bhavissatī’’ti. Tato tesaṃ anuggahāya asubhakathaṃ kathesi kammaṭṭhānasīsena, no maraṇavaṇṇasaṃvaṇṇanādhippāyena. Kathetvā ca panassa etadahosi – ‘‘sace imaṃ aḍḍhamāsaṃ maṃ bhikkhū passissanti, ‘ajja eko bhikkhu mato, ajja dve…pe… ajja dasā’ti āgantvā ārocessanti, ayañca kammavipāko na sakkā mayā vā aññena vā paṭibāhituṃ, svāhaṃ taṃ sutvāpi kiṃ karissāmi, kiṃ me anatthakena anayabyasanena sutena, handāhaṃ bhikkhūnaṃ adassanaṃ upagacchāmī’’ti. Tasmā evamāha – ‘‘icchāmahaṃ, bhikkhave, aḍḍhamāsaṃ paṭisallīyituṃ, nāmhi kenaci upasaṅkamitabbo aññatra ekena piṇḍapātanīhārakenā’’ti.
อปเร ปนาหุ – ‘‘ปรูปวาทวิวชฺชนตฺถํ เอวํ วตฺวา ปฎิสลฺลีโน’’ติฯ ปเร กิร ภควนฺตํ อุปวทิสฺสนฺติ – ‘‘อยํ ‘สพฺพญฺญู อหํ สทฺธมฺมวรจกฺกวตฺตี’ติ ปฎิชานมาโน อตฺตโนปิ สาวเก อญฺญมญฺญํ ฆาเตเนฺต นิวาเรตุํ น สโกฺกติ, กิํ อญฺญํ สกฺขิสฺสตี’’ติ? ตตฺร ปณฺฑิตา วกฺขนฺติ – ‘‘ภควา ปฎิสลฺลานมนุยุโตฺต น อิมํ ปวตฺติํ ชานาติ, โกจิสฺส อาโรจยิตาปิ นตฺถิ , สเจ ชาเนยฺย อทฺธา นิวาเรยฺยา’’ติฯ อิทํ ปน อิจฺฉามตฺตํ, ปฐมเมเวตฺถ การณํฯ นาสฺสุธาติ เอตฺถ อสฺสุธาติ ปทปูรณมเตฺต อวธารณเตฺถ วา นิปาโต, เนว โกจิ ภควนฺตํ อุปสงฺกมีติ อโตฺถฯ
Apare panāhu – ‘‘parūpavādavivajjanatthaṃ evaṃ vatvā paṭisallīno’’ti. Pare kira bhagavantaṃ upavadissanti – ‘‘ayaṃ ‘sabbaññū ahaṃ saddhammavaracakkavattī’ti paṭijānamāno attanopi sāvake aññamaññaṃ ghātente nivāretuṃ na sakkoti, kiṃ aññaṃ sakkhissatī’’ti? Tatra paṇḍitā vakkhanti – ‘‘bhagavā paṭisallānamanuyutto na imaṃ pavattiṃ jānāti, kocissa ārocayitāpi natthi , sace jāneyya addhā nivāreyyā’’ti. Idaṃ pana icchāmattaṃ, paṭhamamevettha kāraṇaṃ. Nāssudhāti ettha assudhāti padapūraṇamatte avadhāraṇatthe vā nipāto, neva koci bhagavantaṃ upasaṅkamīti attho.
อเนเกหิ วณฺณสณฺฐานาทีหิ การเณหิ โวกาโร อสฺสาติ อเนกาการโวกาโรฯ อเนกาการโวกิโณฺณ อเนกากาเรน สมฺมิโสฺสติ วุตฺตํ โหติฯ โก โส? อสุภภาวนานุโยโค, ตํ อเนกาการโวการํฯ อสุภภาวนานุโยคมนุยุตฺตา วิหรนฺตีติ ยุตฺตปฺปยุตฺตา วิหรนฺติฯ อฎฺฎียมานาติ เตน กาเยน อฎฺฎา ทุกฺขิตา โหนฺติฯ หรายมานาติ ลชฺชมานาฯ ชิคุจฺฉมานาติ ชิคุจฺฉํ อุปฺปาทยมานาฯ สตฺถหารกํ ปริเยสนฺตีติ ชีวิตหรณกสตฺถํ ปริเยสนฺติฯ น เกวลญฺจ เต สตฺถํ ปริเยสิตฺวา อตฺตนา วา อตฺตานํ ชีวิตา โวโรเปนฺติ, มิคลณฺฑิกมฺปิ ปน สมณกุตฺตกํ อุปสงฺกมิตฺวา, ‘‘สาธุ โน, อาวุโส, ชีวิตา โวโรเปหี’’ติ วทนฺติฯ เอตฺถ จ อริยา เนว ปาณาติปาตํ กริํสุ, น สมาทเปสุํ, น สมนุญฺญา อเหสุํฯ ปุถุชฺชนา ปน สพฺพมกํสุฯ
Anekehi vaṇṇasaṇṭhānādīhi kāraṇehi vokāro assāti anekākāravokāro. Anekākāravokiṇṇo anekākārena sammissoti vuttaṃ hoti. Ko so? Asubhabhāvanānuyogo, taṃ anekākāravokāraṃ. Asubhabhāvanānuyogamanuyuttā viharantīti yuttappayuttā viharanti. Aṭṭīyamānāti tena kāyena aṭṭā dukkhitā honti. Harāyamānāti lajjamānā. Jigucchamānāti jigucchaṃ uppādayamānā. Satthahārakaṃ pariyesantīti jīvitaharaṇakasatthaṃ pariyesanti. Na kevalañca te satthaṃ pariyesitvā attanā vā attānaṃ jīvitā voropenti, migalaṇḍikampi pana samaṇakuttakaṃ upasaṅkamitvā, ‘‘sādhu no, āvuso, jīvitā voropehī’’ti vadanti. Ettha ca ariyā neva pāṇātipātaṃ kariṃsu, na samādapesuṃ, na samanuññā ahesuṃ. Puthujjanā pana sabbamakaṃsu.
ปฎิสลฺลานา วุฎฺฐิโตติ เตสํ ปญฺจนฺนํ ภิกฺขุสตานํ ชีวิตกฺขยปฺปตฺตภาวํ ญตฺวา ตโต เอกีภาวโต วุฎฺฐิโต ชานโนฺตปิ อชานโนฺต วิย กถาสมุฎฺฐาปนตฺถํ อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ อามเนฺตสิฯ กิํ นุ โข, อานนฺท, ตนุภูโต วิย ภิกฺขุสโงฺฆติ อิโต, อานนฺท, ปุเพฺพ พหู ภิกฺขู เอกโต อุปฎฺฐานํ อาคจฺฉนฺติ, อุเทฺทสํ ปริปุจฺฉํ คณฺหนฺติ, สชฺฌายนฺติ, เอกปโชฺชโต วิย อาราโม ทิสฺสติฯ อิทานิ ปน อฑฺฒมาสมตฺตสฺส อจฺจเยน ตนุภูโต วิย ตนุโก มโนฺท อปฺปโก วิรโฬ วิย ชาโต ภิกฺขุสโงฺฆฯ กิํ นุ โข การณํ? กิํ ทิสาสุ ปกฺกนฺตา ภิกฺขูติ?
Paṭisallānā vuṭṭhitoti tesaṃ pañcannaṃ bhikkhusatānaṃ jīvitakkhayappattabhāvaṃ ñatvā tato ekībhāvato vuṭṭhito jānantopi ajānanto viya kathāsamuṭṭhāpanatthaṃ āyasmantaṃ ānandaṃ āmantesi. Kiṃ nu kho, ānanda, tanubhūto viya bhikkhusaṅghoti ito, ānanda, pubbe bahū bhikkhū ekato upaṭṭhānaṃ āgacchanti, uddesaṃ paripucchaṃ gaṇhanti, sajjhāyanti, ekapajjoto viya ārāmo dissati. Idāni pana aḍḍhamāsamattassa accayena tanubhūto viya tanuko mando appako viraḷo viya jāto bhikkhusaṅgho. Kiṃ nu kho kāraṇaṃ? Kiṃ disāsu pakkantā bhikkhūti?
อถายสฺมา อานโนฺท กมฺมวิปาเกน เตสํ ชีวิตกฺขยปฺปตฺติํ อสลฺลเกฺขโนฺต อสุภกมฺมฎฺฐานานุโยคปจฺจยา ปน สลฺลเกฺขโนฺต ตถา หิ ปน, ภเนฺต ภควาติอาทิํ วตฺวา ภิกฺขูนํ อรหตฺตปฺปตฺติยา อญฺญํ กมฺมฎฺฐานํ ยาจโนฺต, สาธุ, ภเนฺต, ภควาติอาทิมาหฯ ตสฺสโตฺถ – สาธุ, ภเนฺต, ภควา อญฺญํ การณํ อาจิกฺขตุ, เยน ภิกฺขุสโงฺฆ อรหเตฺต ปติฎฺฐเหยฺย ฯ มหาสมุทฺทํ โอโรหณติตฺถานิ วิย อญฺญานิปิ ทสานุสฺสติ, ทสกสิณ, จตุธาตุววตฺถาน, พฺรหฺมวิหาร, อานาปานสฺสติปเภทานิ พหูนิ นิพฺพาโนโรหณกมฺมฎฺฐานานิ สนฺติ, เตสุ ภควา ภิกฺขู สมสฺสาเสตฺวา อญฺญตรํ กมฺมฎฺฐานํ อาจิกฺขตูติ อธิปฺปาโยฯ
Athāyasmā ānando kammavipākena tesaṃ jīvitakkhayappattiṃ asallakkhento asubhakammaṭṭhānānuyogapaccayā pana sallakkhento tathā hi pana, bhante bhagavātiādiṃ vatvā bhikkhūnaṃ arahattappattiyā aññaṃ kammaṭṭhānaṃ yācanto, sādhu, bhante, bhagavātiādimāha. Tassattho – sādhu, bhante, bhagavā aññaṃ kāraṇaṃ ācikkhatu, yena bhikkhusaṅgho arahatte patiṭṭhaheyya . Mahāsamuddaṃ orohaṇatitthāni viya aññānipi dasānussati, dasakasiṇa, catudhātuvavatthāna, brahmavihāra, ānāpānassatipabhedāni bahūni nibbānorohaṇakammaṭṭhānāni santi, tesu bhagavā bhikkhū samassāsetvā aññataraṃ kammaṭṭhānaṃ ācikkhatūti adhippāyo.
อถ ภควา ตถา กาตุกาโม เถรํ อุโยฺยเชโนฺต เตนหานนฺทาติอาทิมาหฯ ตตฺถ เวสาลิํ อุปนิสฺสายาติ เวสาลิยํ อุปนิสฺสาย สมนฺตา คาวุเตปิ อฑฺฒโยชเนปิ ยาวติกา วิหรนฺติ, เต สเพฺพ สนฺนิปาเตหีติ อโตฺถฯ สเพฺพ อุปฎฺฐานสาลายํ สนฺนิปาเตตฺวาติ อตฺตนา คนฺตุํ ยุตฺตฎฺฐานํ สยํ คนฺตฺวา อญฺญตฺถ ทหรภิกฺขู ปหิณิตฺวา มุหุเตฺตเนว อนวเสเส ภิกฺขู อุปฎฺฐานสาลายํ สมูหํ กตฺวาฯ ยสฺสทานิ, ภเนฺต, ภควา กาลํ มญฺญตีติ เอตฺถ อยมธิปฺปาโย – ภควา ภิกฺขุสโงฺฆ สนฺนิปติโต, เอส กาโล ภิกฺขูนํ ธมฺมกถํ กาตุํ, อนุสาสนิํ ทาตุํ, อิทานิ ยสฺส ตุเมฺห กาลํ ชานาถ, ตํ กาตพฺพนฺติฯ
Atha bhagavā tathā kātukāmo theraṃ uyyojento tenahānandātiādimāha. Tattha vesāliṃ upanissāyāti vesāliyaṃ upanissāya samantā gāvutepi aḍḍhayojanepi yāvatikā viharanti, te sabbe sannipātehīti attho. Sabbe upaṭṭhānasālāyaṃ sannipātetvāti attanā gantuṃ yuttaṭṭhānaṃ sayaṃ gantvā aññattha daharabhikkhū pahiṇitvā muhutteneva anavasese bhikkhū upaṭṭhānasālāyaṃ samūhaṃ katvā. Yassadāni, bhante, bhagavā kālaṃ maññatīti ettha ayamadhippāyo – bhagavā bhikkhusaṅgho sannipatito, esa kālo bhikkhūnaṃ dhammakathaṃ kātuṃ, anusāsaniṃ dātuṃ, idāni yassa tumhe kālaṃ jānātha, taṃ kātabbanti.
อถ โข ภควา ภิกฺขู อามเนฺตสิ, อยมฺปิ โข, ภิกฺขเวติฯ อามเนฺตตฺวา จ ปน ภิกฺขูนํ อรหตฺตปฺปตฺติยา ปุเพฺพ อาจิกฺขิตอสุภกมฺมฎฺฐานโต อญฺญํ ปริยายํ อาจิกฺขโนฺต อานาปานสฺสติสมาธีติอาทิมาหฯ ตตฺถ อานาปานสฺสติสมาธีติ อานาปานปริคฺคาหิกาย สติยา สทฺธิํ สมฺปยุโตฺต สมาธิ, อานาปานสฺสติยํ วา สมาธิ, อานาปานสฺสติสมาธิฯ ภาวิโตติ อุปฺปาทิโต วฑฺฒิโต วาฯ พหุลีกโตติ ปุนปฺปุนํ กโตฯ สโนฺต เจว ปณีโต จาติ สโนฺต เจว ปณีโต เจวฯ อุภยตฺถ เอวสเทฺทน นิยโม เวทิตโพฺพฯ กิํ วุตฺตํ โหติ? อยญฺหิ ยถา อสุภกมฺมฎฺฐานํ เกวลํ ปฎิเวธวเสน สนฺตญฺจ ปณีตญฺจ, โอฬาริการมฺมณตฺตา ปน ปฎิกูลารมฺมณตฺตา จ อารมฺมณวเสน เนว สนฺตํ น ปณีตํ, น เอวํ เกนจิ ปริยาเยน อสโนฺต วา อปฺปณีโต วา, อปิจ โข อารมฺมณสนฺตตายปิ สโนฺต วูปสโนฺต นิพฺพุโต, ปฎิเวธสงฺขาตาย องฺคสนฺตตายปิ, อารมฺมณปณีตตาย ปณีโต อติตฺติกโร, องฺคปณีตตายปีติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘สโนฺต เจว ปณีโต จา’’ติฯ
Atha kho bhagavā bhikkhū āmantesi, ayampi kho, bhikkhaveti. Āmantetvā ca pana bhikkhūnaṃ arahattappattiyā pubbe ācikkhitaasubhakammaṭṭhānato aññaṃ pariyāyaṃ ācikkhanto ānāpānassatisamādhītiādimāha. Tattha ānāpānassatisamādhīti ānāpānapariggāhikāya satiyā saddhiṃ sampayutto samādhi, ānāpānassatiyaṃ vā samādhi, ānāpānassatisamādhi. Bhāvitoti uppādito vaḍḍhito vā. Bahulīkatoti punappunaṃ kato. Santo ceva paṇīto cāti santo ceva paṇīto ceva. Ubhayattha evasaddena niyamo veditabbo. Kiṃ vuttaṃ hoti? Ayañhi yathā asubhakammaṭṭhānaṃ kevalaṃ paṭivedhavasena santañca paṇītañca, oḷārikārammaṇattā pana paṭikūlārammaṇattā ca ārammaṇavasena neva santaṃ na paṇītaṃ, na evaṃ kenaci pariyāyena asanto vā appaṇīto vā, apica kho ārammaṇasantatāyapi santo vūpasanto nibbuto, paṭivedhasaṅkhātāya aṅgasantatāyapi, ārammaṇapaṇītatāya paṇīto atittikaro, aṅgapaṇītatāyapīti. Tena vuttaṃ ‘‘santo ceva paṇīto cā’’ti.
อเสจนโก จ สุโข จ วิหาโรติ เอตฺถ ปน นาสฺส เสจนนฺติ อเสจนโก, อนาสิตฺตโก อโพฺพกิโณฺณ ปาฎิเยโกฺก อาเวณิโก, นตฺถิ เอตฺถ ปริกเมฺมน วา อุปจาเรน วา สนฺตตา, อาทิสมนฺนาหารโต ปภุติ อตฺตโน สภาเวเนว สโนฺต จ ปณีโต จาติ อโตฺถฯ เกจิ ‘‘อเสจนโก’’ติ อนาสิตฺตโก โอชวโนฺต, สภาเวเนว มธุโร’’ติ วทนฺติฯ เอวมยํ อเสจนโก จ อปฺปิตปฺปิตกฺขเณ กายิกเจตสิกสุขปฺปฎิลาภาย สํวตฺตนโต สุโข จ วิหาโรติ เวทิตโพฺพฯ
Asecanakoca sukho ca vihāroti ettha pana nāssa secananti asecanako, anāsittako abbokiṇṇo pāṭiyekko āveṇiko, natthi ettha parikammena vā upacārena vā santatā, ādisamannāhārato pabhuti attano sabhāveneva santo ca paṇīto cāti attho. Keci ‘‘asecanako’’ti anāsittako ojavanto, sabhāveneva madhuro’’ti vadanti. Evamayaṃ asecanako ca appitappitakkhaṇe kāyikacetasikasukhappaṭilābhāya saṃvattanato sukho ca vihāroti veditabbo.
อุปฺปนฺนุปฺปเนฺนติ อวิกฺขมฺภิเตฯ ปาปเกติ ลามเกฯ อกุสเล ธเมฺมติ อโกสลฺลสมฺภูเต ธเมฺมฯ ฐานโส อนฺตรธาเปตีติ ขเณเนว อนฺตรธาเปติ วิกฺขเมฺภติฯ วูปสเมตีติ สุฎฺฐุ อุปสเมติ, นิเพฺพธภาคิยตฺตา อนุปุเพฺพน อริยมคฺควุทฺธิปฺปโตฺต สมุจฺฉินฺทติ, ปฎิปฺปสฺสเมฺภตีติ วุตฺตํ โหติฯ คิมฺหานํ ปจฺฉิเม มาเสติ อาสาฬฺหมาเสฯ อูหตํ รโชชลฺลนฺติ อฎฺฐ มาเส วาตาตปสุกฺขาย โคมหิํสาทิปาทปฺปหารสมฺภินฺนาย ปถวิยา อุทฺธํ หตํ อูหตํ อากาเส สมุฎฺฐิตํ รชญฺจ เรณุญฺจฯ มหา อกาลเมโฆติ สพฺพํ นภํ อโชฺฌตฺถริตฺวา อุฎฺฐิโต อาสาฬฺหชุณฺหปเกฺข สกลํ อฑฺฒมาสํ วสฺสนกเมโฆฯ โส หิ อสมฺปเตฺต วสฺสกาเล อุปฺปนฺนตฺตา อกาลเมโฆติ อิธ อธิเปฺปโตฯ ฐานโส อนฺตราธาเปติ วูปสเมตีติ ขเณเนว อทสฺสนํ เนติ ปถวิยํ สนฺนิสีทาเปติฯ เอวเมว โขติ โอปมฺมนิทสฺสนเมตํฯ ตโต ปรํ วุตฺตนยเมวฯ
Uppannuppanneti avikkhambhite. Pāpaketi lāmake. Akusale dhammeti akosallasambhūte dhamme. Ṭhānaso antaradhāpetīti khaṇeneva antaradhāpeti vikkhambheti. Vūpasametīti suṭṭhu upasameti, nibbedhabhāgiyattā anupubbena ariyamaggavuddhippatto samucchindati, paṭippassambhetīti vuttaṃ hoti. Gimhānaṃ pacchime māseti āsāḷhamāse. Ūhataṃ rajojallanti aṭṭha māse vātātapasukkhāya gomahiṃsādipādappahārasambhinnāya pathaviyā uddhaṃ hataṃ ūhataṃ ākāse samuṭṭhitaṃ rajañca reṇuñca. Mahā akālameghoti sabbaṃ nabhaṃ ajjhottharitvā uṭṭhito āsāḷhajuṇhapakkhe sakalaṃ aḍḍhamāsaṃ vassanakamegho. So hi asampatte vassakāle uppannattā akālameghoti idha adhippeto. Ṭhānaso antarādhāpeti vūpasametīti khaṇeneva adassanaṃ neti pathaviyaṃ sannisīdāpeti. Evameva khoti opammanidassanametaṃ. Tato paraṃ vuttanayameva.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / สํยุตฺตนิกาย • Saṃyuttanikāya / ๙. เวสาลีสุตฺตํ • 9. Vesālīsuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / สํยุตฺตนิกาย (ฎีกา) • Saṃyuttanikāya (ṭīkā) / ๙. เวสาลีสุตฺตวณฺณนา • 9. Vesālīsuttavaṇṇanā