Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / จริยาปิฎก-อฎฺฐกถา • Cariyāpiṭaka-aṭṭhakathā

    ๙. เวสฺสนฺตรจริยาวณฺณนา

    9. Vessantaracariyāvaṇṇanā

    ๖๗. นวเม ยา เม อโหสิ ชนิกาติ เอตฺถ เมติ เวสฺสนฺตรภูตํ อตฺตานํ สนฺธาย สตฺถา วทติฯ เตเนวาห – ‘‘ผุสฺสตี นาม ขตฺติยา’’ติฯ ตทา หิสฺส มาตา ‘‘ผุสฺสตี’’ติ เอวํนามิกา ขตฺติยานี อโหสิฯ สา อตีตาสุ ชาตีสูติ สา ตโต อนนฺตราตีตชาติยํฯ เอกเตฺถ หิ เอตํ พหุวจนํฯ สกฺกสฺส มเหสี ปิยา อโหสีติ สมฺพโนฺธฯ อถ วา ยา เม อโหสิ ชนิกา อิมสฺมิํ จริมตฺตภาเว, สา อตีตาสุ ชาตีสุ ผุสฺสตี นาม, ตตฺถ อตีตาย ชาติยา ขตฺติยา, ยตฺถาหํ ตสฺสา กุจฺฉิมฺหิ เวสฺสนฺตโร หุตฺวา นิพฺพตฺติํ, ตโต อนนฺตราตีตาย สกฺกสฺส มเหสี ปิยา อโหสีติฯ ตตฺรายํ อนุปุพฺพิกถา –

    67. Navame yā me ahosi janikāti ettha meti vessantarabhūtaṃ attānaṃ sandhāya satthā vadati. Tenevāha – ‘‘phussatī nāma khattiyā’’ti. Tadā hissa mātā ‘‘phussatī’’ti evaṃnāmikā khattiyānī ahosi. Sā atītāsu jātīsūti sā tato anantarātītajātiyaṃ. Ekatthe hi etaṃ bahuvacanaṃ. Sakkassa mahesī piyā ahosīti sambandho. Atha vā yā me ahosi janikā imasmiṃ carimattabhāve, sā atītāsu jātīsu phussatī nāma, tattha atītāya jātiyā khattiyā, yatthāhaṃ tassā kucchimhi vessantaro hutvā nibbattiṃ, tato anantarātītāya sakkassa mahesī piyā ahosīti. Tatrāyaṃ anupubbikathā –

    อิโต หิ เอกนวุเต กเปฺป วิปสฺสี นาม สตฺถา โลเก อุทปาทิฯ ตสฺมิํ พนฺธุมตีนครํ อุปนิสฺสาย เขเม มิคทาเย วิหรเนฺต พนฺธุมา ราชา เกนจิ รญฺญา เปสิตํ มหคฺฆํ จนฺทนสารํ อตฺตโน เชฎฺฐธีตาย อทาสิฯ สา เตน สุขุมํ จนฺทนจุณฺณํ กาเรตฺวา สมุคฺคํ ปูเรตฺวา วิหารํ คนฺตฺวา สตฺถุ สุวณฺณวณฺณํ สรีรํ ปูเชตฺวา เสสจุณฺณานิ คนฺธกุฎิยํ วิกิริตฺวา ‘‘ภเนฺต, อนาคเต ตุมฺหาทิสสฺส พุทฺธสฺส มาตา ภเวยฺย’’นฺติ ปตฺถนํ อกาสิฯ สา ตโต จุตา ตสฺสา จนฺทนจุณฺณปูชาย ผเลน รตฺตจนฺทนปริโปฺผสิเตน วิย สรีเรน เทเวสุ จ มนุเสฺสสุ จ สํสรนฺตี ตาวติํสภวเน สกฺกสฺส เทวรโญฺญ อคฺคมเหสี หุตฺวา นิพฺพตฺติฯ อถสฺสา อายุปริโยสาเน ปุพฺพนิมิเตฺตสุ อุปฺปเนฺนสุ สโกฺก เทวราชา ตสฺสา ปริกฺขีณายุกตํ ญตฺวา ตสฺสา อนุกมฺปาย ‘‘ภเทฺท, ผุสฺสติ ทส เต วเร ทมฺมิ, เต คณฺหสฺสู’’ติ อาหฯ เตน วุตฺตํ –

    Ito hi ekanavute kappe vipassī nāma satthā loke udapādi. Tasmiṃ bandhumatīnagaraṃ upanissāya kheme migadāye viharante bandhumā rājā kenaci raññā pesitaṃ mahagghaṃ candanasāraṃ attano jeṭṭhadhītāya adāsi. Sā tena sukhumaṃ candanacuṇṇaṃ kāretvā samuggaṃ pūretvā vihāraṃ gantvā satthu suvaṇṇavaṇṇaṃ sarīraṃ pūjetvā sesacuṇṇāni gandhakuṭiyaṃ vikiritvā ‘‘bhante, anāgate tumhādisassa buddhassa mātā bhaveyya’’nti patthanaṃ akāsi. Sā tato cutā tassā candanacuṇṇapūjāya phalena rattacandanaparipphositena viya sarīrena devesu ca manussesu ca saṃsarantī tāvatiṃsabhavane sakkassa devarañño aggamahesī hutvā nibbatti. Athassā āyupariyosāne pubbanimittesu uppannesu sakko devarājā tassā parikkhīṇāyukataṃ ñatvā tassā anukampāya ‘‘bhadde, phussati dasa te vare dammi, te gaṇhassū’’ti āha. Tena vuttaṃ –

    ๖๘.

    68.

    ‘‘ตสฺสา อายุกฺขยํ ญตฺวา, เทวิโนฺท เอตทพฺรวิ;

    ‘‘Tassā āyukkhayaṃ ñatvā, devindo etadabravi;

    ‘ททามิ เต ทส วเร, วร ภเทฺท ยทิจฺฉสี’’’ติฯ

    ‘Dadāmi te dasa vare, vara bhadde yadicchasī’’’ti.

    ตตฺถ วราติ วรสฺสุ วรํ คณฺหฯ ภเทฺท, ยทิจฺฉสีติ, ภเทฺท, ผุสฺสติ ยํ อิจฺฉสิ ยํ ตว ปิยํ, ตํ ทสหิ โกฎฺฐาเสหิ ‘‘วรํ วรสฺสุ ปฎิคฺคณฺหาหี’’ติ วทติฯ

    Tattha varāti varassu varaṃ gaṇha. Bhadde, yadicchasīti, bhadde, phussati yaṃ icchasi yaṃ tava piyaṃ, taṃ dasahi koṭṭhāsehi ‘‘varaṃ varassu paṭiggaṇhāhī’’ti vadati.

    ๖๙. ปุนิทมพฺรวีติ ปุน อิทํ สา อตฺตโน จวนธมฺมตํ อชานนฺตี ‘‘กิํ นุ เม อปราธตฺถี’’ติอาทิกํ อภาสิฯ สา หิ ปมตฺตา หุตฺวา อตฺตโน อายุกฺขยํ อชานนฺตี อยํ ‘‘วรํ คณฺหา’’ติ วทโนฺต ‘‘กตฺถจิ มม อุปฺปชฺชนํ อิจฺฉตี’’ติ ญตฺวา เอวมาหฯ ตตฺถ อปราธตฺถีติ อปราโธ อตฺถิฯ กิํ นุ เทสฺสา อหํ ตวาติ กิํ การณํ อหํ ตว เทสฺสา กุชฺฌิตพฺพา อปฺปิยา ชาตาฯ รมฺมา จาเวสิ มํ ฐานาติ รมณียา อิมสฺมา ฐานา จาเวสิฯ วาโตว ธรณีรุหนฺติ เยน พลวา มาลุโต วิย รุกฺขํ อุมฺมูเลโนฺต อิมมฺหา เทวโลกา จาเวตุกาโมสิ กิํ นุ การณนฺติ ตํ ปุจฺฉติฯ

    69.Punidamabravīti puna idaṃ sā attano cavanadhammataṃ ajānantī ‘‘kiṃ nu me aparādhatthī’’tiādikaṃ abhāsi. Sā hi pamattā hutvā attano āyukkhayaṃ ajānantī ayaṃ ‘‘varaṃ gaṇhā’’ti vadanto ‘‘katthaci mama uppajjanaṃ icchatī’’ti ñatvā evamāha. Tattha aparādhatthīti aparādho atthi. Kiṃ nu dessā ahaṃ tavāti kiṃ kāraṇaṃ ahaṃ tava dessā kujjhitabbā appiyā jātā. Rammā cāvesi maṃ ṭhānāti ramaṇīyā imasmā ṭhānā cāvesi. Vātova dharaṇīruhanti yena balavā māluto viya rukkhaṃ ummūlento imamhā devalokā cāvetukāmosi kiṃ nu kāraṇanti taṃ pucchati.

    ๗๐. ตสฺสิทนฺติ ตสฺสา อิทํฯ น เจว เต กตํ ปาปนฺติ น เจว ตยา กิญฺจิ ปาปํ กตํ เยน เต อปราโธ สิยาฯ น จ เม ตฺวํสิ อปฺปิยาติ มม ตฺวํ น จาปิ อปฺปิยา, เยน เทสฺสา นาม มม อปฺปิยาติ อธิปฺปาโยฯ

    70.Tassidanti tassā idaṃ. Na ceva te kataṃ pāpanti na ceva tayā kiñci pāpaṃ kataṃ yena te aparādho siyā. Na ca me tvaṃsi appiyāti mama tvaṃ na cāpi appiyā, yena dessā nāma mama appiyāti adhippāyo.

    ๗๑. อิทานิ เยน อธิปฺปาเยน วเร ทาตุกาโม, ตํ ทเสฺสโนฺต ‘‘เอตฺตกํเยว เต อายุ, จวนกาโล ภวิสฺสตี’’ติ วตฺวา วเร คณฺหาเปโนฺต ‘‘ปฎิคฺคณฺห มยา ทิเนฺน, วเร ทส วรุตฺตเม’’ติ อาหฯ

    71. Idāni yena adhippāyena vare dātukāmo, taṃ dassento ‘‘ettakaṃyeva te āyu, cavanakālo bhavissatī’’ti vatvā vare gaṇhāpento ‘‘paṭiggaṇha mayā dinne, vare dasa varuttame’’ti āha.

    ตตฺถ วรุตฺตเมติ วเรสุ อุตฺตเม อคฺควเรฯ

    Tattha varuttameti varesu uttame aggavare.

    ๗๒. ทินฺนวราติ ‘‘วเร ทสฺสามี’’ติ ปฎิญฺญาทานวเสน ทินฺนวราฯ ตุฎฺฐหฎฺฐาติ อิจฺฉิตลาภปริโตเสน ตุฎฺฐา เจว ตสฺส จ สิขาปฺปตฺติทสฺสเนน หาสวเสน หฎฺฐา จฯ ปโมทิตาติ พลวปาโมเชฺชน ปมุทิตาฯ มมํ อพฺภนฺตรํ กตฺวาติ เตสุ วเรสุ มํ อพฺภนฺตรํ กริตฺวาฯ ทส วเร วรีติ สา อตฺตโน ขีณายุกภาวํ ญตฺวา สเกฺกน วรทานตฺถํ กโตกาสา สกลชมฺพุทีปตลํ โอโลเกนฺตี อตฺตโน อนุจฺฉวิกํ สิวิรโญฺญ นิเวสนํ ทิสฺวา ตตฺถ ตสฺส อคฺคมเหสิภาโว นีลเนตฺตตา นีลภมุกตา ผุสฺสตีตินามํ คุณวิเสสยุตฺตปุตฺตปฎิลาโภ อนุนฺนตกุจฺฉิภาโว อลมฺพตฺถนตา อปลิตภาโว สุขุมจฺฉวิตา วชฺฌชนานํ โมจนสมตฺถตา จาติ อิเม ทส วเร คณฺหิฯ

    72.Dinnavarāti ‘‘vare dassāmī’’ti paṭiññādānavasena dinnavarā. Tuṭṭhahaṭṭhāti icchitalābhaparitosena tuṭṭhā ceva tassa ca sikhāppattidassanena hāsavasena haṭṭhā ca. Pamoditāti balavapāmojjena pamuditā. Mamaṃ abbhantaraṃ katvāti tesu varesu maṃ abbhantaraṃ karitvā. Dasa vare varīti sā attano khīṇāyukabhāvaṃ ñatvā sakkena varadānatthaṃ katokāsā sakalajambudīpatalaṃ olokentī attano anucchavikaṃ sivirañño nivesanaṃ disvā tattha tassa aggamahesibhāvo nīlanettatā nīlabhamukatā phussatītināmaṃ guṇavisesayuttaputtapaṭilābho anunnatakucchibhāvo alambatthanatā apalitabhāvo sukhumacchavitā vajjhajanānaṃ mocanasamatthatā cāti ime dasa vare gaṇhi.

    อิติ สา ทส วเร คเหตฺวา ตโต จุตา มทฺทรโญฺญ อคฺคมเหสิยา กุจฺฉิมฺหิ นิพฺพตฺติฯ ชายมานา จ สา จนฺทนจุณฺณปริโปฺผสิเตน วิย สรีเรน ชาตาฯ เตนสฺสา นามคฺคหณทิวเส ‘‘ผุสฺสตี’’ เตฺวว นามํ กริํสุฯ สา มหเนฺตน ปริวาเรน วฑฺฒิตฺวา โสฬสวสฺสกาเล อุตฺตมรูปธรา อโหสิฯ อถ นํ เชตุตฺตรนคเร สิวิมหาราชา ปุตฺตสฺส สญฺชยกุมารสฺสตฺถาย อาเนตฺวา เสตจฺฉตฺตํ อุสฺสาเปตฺวา ตํ โสฬสนฺนํ อิตฺถิสหสฺสานํ เชฎฺฐกํ กตฺวา อคฺคมเหสิฎฺฐาเน ฐเปสิฯ เตน วุตฺตํ –

    Iti sā dasa vare gahetvā tato cutā maddarañño aggamahesiyā kucchimhi nibbatti. Jāyamānā ca sā candanacuṇṇaparipphositena viya sarīrena jātā. Tenassā nāmaggahaṇadivase ‘‘phussatī’’ tveva nāmaṃ kariṃsu. Sā mahantena parivārena vaḍḍhitvā soḷasavassakāle uttamarūpadharā ahosi. Atha naṃ jetuttaranagare sivimahārājā puttassa sañjayakumārassatthāya ānetvā setacchattaṃ ussāpetvā taṃ soḷasannaṃ itthisahassānaṃ jeṭṭhakaṃ katvā aggamahesiṭṭhāne ṭhapesi. Tena vuttaṃ –

    ๗๓.

    73.

    ‘‘ตโต จุตา สา ผุสฺสตี, ขตฺติเย อุปปชฺชถ;

    ‘‘Tato cutā sā phussatī, khattiye upapajjatha;

    เชตุตฺตรมฺหิ นคเร, สญฺชเยน สมาคมี’’ติฯ

    Jetuttaramhi nagare, sañjayena samāgamī’’ti.

    สา สญฺชยรโญฺญ ปิยา อโหสิ มนาปาฯ อถ สโกฺก อาวเชฺชโนฺต ‘‘มยา ผุสฺสติยา ทินฺนวเรสุ นว วรา สมิทฺธา’’ติ ทิสฺวา ‘‘ปุตฺตวโร น สมิโทฺธ, ตมฺปิสฺสา สมิชฺฌาเปสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา โพธิสตฺตํ ตทา ตาวติํสเทวโลเก ขีณายุกํ ทิสฺวา ตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘มาริส, ตยา มนุสฺสโลเก สิวิสญฺชยรโญฺญ อคฺคมเหสิยา กุจฺฉิมฺหิ ปฎิสนฺธิํ คณฺหิตุํ วฎฺฎตี’’ติ ตสฺส เจว อเญฺญสญฺจ จวนธมฺมานํ สฎฺฐิสหสฺสานํ เทวปุตฺตานํ ปฎิญฺญํ คเหตฺวา สกฎฺฐานเมว คโตฯ มหาสโตฺตปิ ตโต จวิตฺวา ตตฺถุปฺปโนฺนฯ เสสา เทวปุตฺตาปิ สฎฺฐิสหสฺสานํ อมจฺจานํ เคเหสุ นิพฺพตฺติํสุฯ มหาสเตฺต กุจฺฉิคเต ผุสฺสติเทวี จตูสุ นครทฺวาเรสุ นครมเชฺฌ นิเวสนทฺวาเรติ ฉ ทานสาลาโย กาเรตฺวา เทวสิกํ ฉสตสหสฺสานิ วิสฺสเชฺชตฺวา ทานํ ทาตุํ โทหฬินี อโหสิฯ ราชา ตสฺสา โทหฬํ สุตฺวา เนมิตฺตเก พฺราหฺมเณ ปโกฺกสาเปตฺวา ปุจฺฉิตฺวา ‘‘มหาราช, เทวิยา กุจฺฉิมฺหิ ทานาภิรโต อุฬาโร สโตฺต อุปฺปโนฺน, ทาเนน ติตฺติํ น ปาปุณิสฺสตี’’ติ สุตฺวา ตุฎฺฐมานโส วุตฺตปฺปการํ ทานํ ปฎฺฐเปสิฯ สมณพฺราหฺมณชิณฺณาตุรกปณทฺธิกวนิพฺพกยาจเก สนฺตเปฺปสิฯ โพธิสตฺตสฺส ปฎิสนฺธิคฺคหณโต ปฎฺฐาย รโญฺญ อายสฺส ปมาณํ นาโหสิฯ ตสฺส ปุญฺญานุภาเวน สกลชมฺพุทีเป ราชาโน ปณฺณาการํ ปหิณนฺติฯ เตน วุตฺตํ –

    Sā sañjayarañño piyā ahosi manāpā. Atha sakko āvajjento ‘‘mayā phussatiyā dinnavaresu nava varā samiddhā’’ti disvā ‘‘puttavaro na samiddho, tampissā samijjhāpessāmī’’ti cintetvā bodhisattaṃ tadā tāvatiṃsadevaloke khīṇāyukaṃ disvā tassa santikaṃ gantvā ‘‘mārisa, tayā manussaloke sivisañjayarañño aggamahesiyā kucchimhi paṭisandhiṃ gaṇhituṃ vaṭṭatī’’ti tassa ceva aññesañca cavanadhammānaṃ saṭṭhisahassānaṃ devaputtānaṃ paṭiññaṃ gahetvā sakaṭṭhānameva gato. Mahāsattopi tato cavitvā tatthuppanno. Sesā devaputtāpi saṭṭhisahassānaṃ amaccānaṃ gehesu nibbattiṃsu. Mahāsatte kucchigate phussatidevī catūsu nagaradvāresu nagaramajjhe nivesanadvāreti cha dānasālāyo kāretvā devasikaṃ chasatasahassāni vissajjetvā dānaṃ dātuṃ dohaḷinī ahosi. Rājā tassā dohaḷaṃ sutvā nemittake brāhmaṇe pakkosāpetvā pucchitvā ‘‘mahārāja, deviyā kucchimhi dānābhirato uḷāro satto uppanno, dānena tittiṃ na pāpuṇissatī’’ti sutvā tuṭṭhamānaso vuttappakāraṃ dānaṃ paṭṭhapesi. Samaṇabrāhmaṇajiṇṇāturakapaṇaddhikavanibbakayācake santappesi. Bodhisattassa paṭisandhiggahaṇato paṭṭhāya rañño āyassa pamāṇaṃ nāhosi. Tassa puññānubhāvena sakalajambudīpe rājāno paṇṇākāraṃ pahiṇanti. Tena vuttaṃ –

    ๗๔.

    74.

    ‘‘ยทาหํ ผุสฺสติยา กุจฺฉิํ, โอกฺกโนฺต ปิยมาตุยา;

    ‘‘Yadāhaṃ phussatiyā kucchiṃ, okkanto piyamātuyā;

    มม เตเชน เม มาตา, ตทา ทานรตา อหุฯ

    Mama tejena me mātā, tadā dānaratā ahu.

    ๗๕.

    75.

    ‘‘อธเน อาตุเร ชิเณฺณ, ยาจเก อทฺธิเก ชเน;

    ‘‘Adhane āture jiṇṇe, yācake addhike jane;

    สมเณ พฺราหฺมเณ ขีเณ, เทติ ทานํ อกิญฺจเน’’ติ;

    Samaṇe brāhmaṇe khīṇe, deti dānaṃ akiñcane’’ti;

    ตตฺถ มม เตเชนาติ มม ทานชฺฌาสยานุภาเวนฯ ขีเณติ โภคาทีหิ ปริกฺขีเณ ปาริชุญฺญปฺปเตฺตฯ อกิญฺจเนติ อปริคฺคเหฯ สพฺพตฺถ วิสเย ภุมฺมํฯ อธนาทโย หิ ทานธมฺมสฺส ปวตฺติยา วิสโยฯ

    Tattha mama tejenāti mama dānajjhāsayānubhāvena. Khīṇeti bhogādīhi parikkhīṇe pārijuññappatte. Akiñcaneti apariggahe. Sabbattha visaye bhummaṃ. Adhanādayo hi dānadhammassa pavattiyā visayo.

    เทวี มหเนฺตน ปริหาเรน คพฺภํ ธาเรนฺตี ทสมาเส ปริปุเณฺณ นครํ ทฎฺฐุกามา หุตฺวา รโญฺญ อาโรเจสิฯ ราชา เทวนครํ วิย นครํ อลงฺการาเปตฺวา เทวิํ รถวรํ อาโรเปตฺวา นครํ ปทกฺขิณํ กาเรสิฯ ตสฺสา เวสฺสวีถิยา มชฺฌปฺปตฺตกาเล กมฺมชวาตา จลิํสุฯ อมจฺจา รโญฺญ อาโรเจสุํฯ โส เวสฺสวีถิยํเยวสฺสา สูติฆรํ กาเรตฺวา อารกฺขํ คณฺหาเปสิฯ สา ตตฺถ ปุตฺตํ วิชายิฯ เตนาห –

    Devī mahantena parihārena gabbhaṃ dhārentī dasamāse paripuṇṇe nagaraṃ daṭṭhukāmā hutvā rañño ārocesi. Rājā devanagaraṃ viya nagaraṃ alaṅkārāpetvā deviṃ rathavaraṃ āropetvā nagaraṃ padakkhiṇaṃ kāresi. Tassā vessavīthiyā majjhappattakāle kammajavātā caliṃsu. Amaccā rañño ārocesuṃ. So vessavīthiyaṃyevassā sūtigharaṃ kāretvā ārakkhaṃ gaṇhāpesi. Sā tattha puttaṃ vijāyi. Tenāha –

    ๗๖.

    76.

    ‘‘ทสมาเส ธารยิตฺวาน, กโรเนฺต ปุรํ ปทกฺขิณํ;

    ‘‘Dasamāse dhārayitvāna, karonte puraṃ padakkhiṇaṃ;

    เวสฺสานํ วีถิยา มเชฺฌ, ชเนสิ ผุสฺสตี มมํฯ

    Vessānaṃ vīthiyā majjhe, janesi phussatī mamaṃ.

    ๗๗. ‘‘น มยฺหํ มตฺติกํ นามํ, นาปิ เปตฺติกสมฺภวํฯ

    77. ‘‘Na mayhaṃ mattikaṃ nāmaṃ, nāpi pettikasambhavaṃ.

    ชาเตตฺถ เวสฺสวีถิยํ, ตสฺมา เวสฺสนฺตโร อหู’’ติฯ

    Jātettha vessavīthiyaṃ, tasmā vessantaro ahū’’ti.

    ตตฺถ กโรเนฺต ปุรํ ปทกฺขิณนฺติ เทวิํ คเหตฺวา สญฺชยมหาราเช นครํ ปทกฺขิณํ กุรุมาเนฯ เวสฺสานนฺติ วาณิชานํฯ

    Tattha karonte puraṃ padakkhiṇanti deviṃ gahetvā sañjayamahārāje nagaraṃ padakkhiṇaṃ kurumāne. Vessānanti vāṇijānaṃ.

    น มตฺติกํ นามนฺติ น มาตุอาคตํ มาตามหาทีนํ นามํฯ เปตฺติกสมฺภวนฺติ ปิตุ อิทนฺติ เปตฺติกํ , สมฺภวติ เอตสฺมาติ สมฺภโว, ตํ เปตฺติกํ สมฺภโว เอตสฺสาติ เปตฺติกสมฺภวํ, นามํฯ มาตาปิตุสมฺพนฺธวเสน น กตนฺติ ทเสฺสติฯ ชาเตตฺถาติ ชาโต เอตฺถฯ ‘‘ชาโตมฺหี’’ติปิ ปาโฐฯ ตสฺมา เวสฺสนฺตโร อหูติ ยสฺมา ตทา เวสฺสวีถิยํ ชาโต, ตสฺมา เวสฺสนฺตโร นาม อโหสิ, เวสฺสนฺตโรติ นามํ อกํสูติ อโตฺถฯ

    Na mattikaṃ nāmanti na mātuāgataṃ mātāmahādīnaṃ nāmaṃ. Pettikasambhavanti pitu idanti pettikaṃ , sambhavati etasmāti sambhavo, taṃ pettikaṃ sambhavo etassāti pettikasambhavaṃ, nāmaṃ. Mātāpitusambandhavasena na katanti dasseti. Jātetthāti jāto ettha. ‘‘Jātomhī’’tipi pāṭho. Tasmā vessantaro ahūti yasmā tadā vessavīthiyaṃ jāto, tasmā vessantaro nāma ahosi, vessantaroti nāmaṃ akaṃsūti attho.

    มหาสโตฺต มาตุ กุจฺฉิโต นิกฺขมโนฺต วิสโท หุตฺวา อกฺขีนิ อุมฺมีเลตฺวาว นิกฺขมิฯ นิกฺขนฺตมเตฺต เอว มาตุ หตฺถํ ปสาเรตฺวา ‘‘อมฺม, ทานํ ทสฺสามิ, อตฺถิ กิญฺจี’’ติ อาหฯ อถสฺส มาตา ‘‘ตาต, ยถาชฺฌาสยํ ทานํ เทหี’’ติ หตฺถสมีเป สหสฺสตฺถวิกํ ฐเปสิฯ โพธิสโตฺต หิ อุมฺมงฺคชาตเก (ชา. ๒.๒๒.๕๙๐ อาทโย) อิมสฺมิํ ชาตเก ปจฺฉิมตฺตภาเวติ ตีสุ ฐาเนสุ ชาตมโตฺตว กเถสิฯ ราชา มหาสตฺตสฺส อติทีฆาทิโทสวิวชฺชิตา มธุรขีรา จตุสฎฺฐิธาติโย อุปฎฺฐาเปสิฯ เตน สทฺธิํ ชาตานํ สฎฺฐิยา ทารกสหสฺสานมฺปิ ธาติโย ทาเปสิฯ โส สฎฺฐิทารกสหเสฺสหิ สทฺธิํ มหเนฺตน ปริวาเรน วฑฺฒติฯ ตสฺส ราชา สตสหสฺสคฺฆนกํ กุมารปิฬนฺธนํ การาเปตฺวา อทาสิฯ โส จตุปญฺจวสฺสิกกาเล ตํ โอมุญฺจิตฺวา ธาตีนํ ทตฺวา ปุน ตาหิ ทียมานํ น คณฺหาติฯ ตํ สุตฺวา ราชา ‘‘มม ปุเตฺตน ทินฺนํ สุทินฺน’’นฺติ วตฺวา อปรมฺปิ กาเรสิฯ ตมฺปิ เทติฯ ทารกกาเลเยว ธาตีนํ นววาเร ปิฬนฺธนํ อทาสิฯ

    Mahāsatto mātu kucchito nikkhamanto visado hutvā akkhīni ummīletvāva nikkhami. Nikkhantamatte eva mātu hatthaṃ pasāretvā ‘‘amma, dānaṃ dassāmi, atthi kiñcī’’ti āha. Athassa mātā ‘‘tāta, yathājjhāsayaṃ dānaṃ dehī’’ti hatthasamīpe sahassatthavikaṃ ṭhapesi. Bodhisatto hi ummaṅgajātake (jā. 2.22.590 ādayo) imasmiṃ jātake pacchimattabhāveti tīsu ṭhānesu jātamattova kathesi. Rājā mahāsattassa atidīghādidosavivajjitā madhurakhīrā catusaṭṭhidhātiyo upaṭṭhāpesi. Tena saddhiṃ jātānaṃ saṭṭhiyā dārakasahassānampi dhātiyo dāpesi. So saṭṭhidārakasahassehi saddhiṃ mahantena parivārena vaḍḍhati. Tassa rājā satasahassagghanakaṃ kumārapiḷandhanaṃ kārāpetvā adāsi. So catupañcavassikakāle taṃ omuñcitvā dhātīnaṃ datvā puna tāhi dīyamānaṃ na gaṇhāti. Taṃ sutvā rājā ‘‘mama puttena dinnaṃ sudinna’’nti vatvā aparampi kāresi. Tampi deti. Dārakakāleyeva dhātīnaṃ navavāre piḷandhanaṃ adāsi.

    อฎฺฐวสฺสิกกาเล ปน สยนปีเฐ นิสิโนฺน จิเนฺตสิ – ‘‘อหํ พาหิรกทานํ เทมิ, น ตํ มํ ปริโตเสติ, อชฺฌตฺติกทานํ ทาตุกาโมมฺหิฯ สเจ หิ มํ โกจิ หทยํ ยาเจยฺย, หทยํ นีหริตฺวา ทเทยฺยํฯ สเจ อกฺขีนิ ยาเจยฺย, อกฺขีนิ อุปฺปาเฎตฺวา ทเทยฺยํฯ สเจ สกลสรีเร มํสํ รุธิรมฺปิ วา ยาเจยฺย, สกลสรีรโต มํสํ ฉินฺทิตฺวา รุธิรมฺปิ อสินา วิชฺฌิตฺวา ทเทยฺยํฯ อถาปิ โกจิ ‘ทาโส เม โหหี’ติ วเทยฺย, อตฺตานํ ตสฺส สาเวตฺวา ทเทยฺย’’นฺติฯ ตเสฺสวํ สภาวํ สรสํ จิเนฺตนฺตสฺส จตุนหุตาธิกทฺวิโยชนสตสหสฺสพหลา อยํ มหาปถวี อุทกปริยนฺตํ กตฺวา กมฺปิฯ สิเนรุปพฺพตราชา โอนมิตฺวา เชตุตฺตรนคราภิมุโข อฎฺฐาสิฯ เตน วุตฺตํ –

    Aṭṭhavassikakāle pana sayanapīṭhe nisinno cintesi – ‘‘ahaṃ bāhirakadānaṃ demi, na taṃ maṃ paritoseti, ajjhattikadānaṃ dātukāmomhi. Sace hi maṃ koci hadayaṃ yāceyya, hadayaṃ nīharitvā dadeyyaṃ. Sace akkhīni yāceyya, akkhīni uppāṭetvā dadeyyaṃ. Sace sakalasarīre maṃsaṃ rudhirampi vā yāceyya, sakalasarīrato maṃsaṃ chinditvā rudhirampi asinā vijjhitvā dadeyyaṃ. Athāpi koci ‘dāso me hohī’ti vadeyya, attānaṃ tassa sāvetvā dadeyya’’nti. Tassevaṃ sabhāvaṃ sarasaṃ cintentassa catunahutādhikadviyojanasatasahassabahalā ayaṃ mahāpathavī udakapariyantaṃ katvā kampi. Sinerupabbatarājā onamitvā jetuttaranagarābhimukho aṭṭhāsi. Tena vuttaṃ –

    ๗๘.

    78.

    ‘‘ยทาหํ ทารโก โหมิ, ชาติยา อฎฺฐวสฺสิโก;

    ‘‘Yadāhaṃ dārako homi, jātiyā aṭṭhavassiko;

    ตทา นิสชฺช ปาสาเท, ทานํ ทาตุํ วิจินฺตยิํฯ

    Tadā nisajja pāsāde, dānaṃ dātuṃ vicintayiṃ.

    ๗๙.

    79.

    ‘‘หทยํ ทเทยฺยํ จกฺขุํ, มํสมฺปิ รุธิรมฺปิ จ;

    ‘‘Hadayaṃ dadeyyaṃ cakkhuṃ, maṃsampi rudhirampi ca;

    ทเทยฺยํ กายํ สาเวตฺวา, ยทิ โกจิ ยาจเย มมํฯ

    Dadeyyaṃ kāyaṃ sāvetvā, yadi koci yācaye mamaṃ.

    ๘๐.

    80.

    ‘‘สภาวํ จินฺตยนฺตสฺส, อกมฺปิตมสณฺฐิตํ;

    ‘‘Sabhāvaṃ cintayantassa, akampitamasaṇṭhitaṃ;

    อกมฺปิ ตตฺถ ปถวี, สิเนรุวนวฎํสกา’’ติฯ

    Akampi tattha pathavī, sineruvanavaṭaṃsakā’’ti.

    ตตฺถ สาเวตฺวาติ ‘‘อชฺช ปฎฺฐาย อหํ อิมสฺส ทาโส’’ติ ทาสภาวํ สาเวตฺวาฯ ยทิ โกจิ ยาจเย มมนฺติ โกจิ มํ ยทิ ยาเจยฺยฯ สภาวํ จินฺตยนฺตสฺสาติ อวิปรีตํ อตฺตโน ยถาภูตํ สภาวํ อติตฺติมํ ยถาชฺฌาสยํ จิเนฺตนฺตสฺส มม, มยิ จิเนฺตเนฺตติ อโตฺถฯ อกมฺปิตนฺติ กมฺปิตรหิตํฯ อสณฺฐิตนฺติ สโงฺกจรหิตํฯ เยน หิ โลภาทินา อโพธิสตฺตานํ จกฺขาทิทาเน จิตฺตุตฺราสสงฺขาตํ กมฺปิตํ สโงฺกจสงฺขาตํ สณฺฐิตญฺจ สิยา, เตน วินาติ อโตฺถฯ อกมฺปีติ อจลิฯ สิเนรุวนวฎํสกาติ สิเนรุมฺหิ อุฎฺฐิตนนฺทนวนผารุสกวนมิสฺสกวนจิตฺตลตาวนาทิกปฺปกตรุวนํ สิเนรุวนํฯ อถ วา สิเนรุ จ ชมฺพุทีปาทีสุ รมณียวนญฺจ สิเนรุวนํ , ตํ วนํ วฎํสกํ เอติสฺสาติ สิเนรุวนวฎํสกาฯ

    Tattha sāvetvāti ‘‘ajja paṭṭhāya ahaṃ imassa dāso’’ti dāsabhāvaṃ sāvetvā. Yadi koci yācaye mamanti koci maṃ yadi yāceyya. Sabhāvaṃ cintayantassāti aviparītaṃ attano yathābhūtaṃ sabhāvaṃ atittimaṃ yathājjhāsayaṃ cintentassa mama, mayi cintenteti attho. Akampitanti kampitarahitaṃ. Asaṇṭhitanti saṅkocarahitaṃ. Yena hi lobhādinā abodhisattānaṃ cakkhādidāne cittutrāsasaṅkhātaṃ kampitaṃ saṅkocasaṅkhātaṃ saṇṭhitañca siyā, tena vināti attho. Akampīti acali. Sineruvanavaṭaṃsakāti sinerumhi uṭṭhitanandanavanaphārusakavanamissakavanacittalatāvanādikappakataruvanaṃ sineruvanaṃ. Atha vā sineru ca jambudīpādīsu ramaṇīyavanañca sineruvanaṃ , taṃ vanaṃ vaṭaṃsakaṃ etissāti sineruvanavaṭaṃsakā.

    เอวญฺจ ปถวิกมฺปเน วตฺตมาเน มธุรคมฺภีรเทโว คชฺชโนฺต ขณิกวสฺสํ วสฺสิ, วิชฺชุลตา นิจฺฉริํสุ, มหาสมุโทฺท อุพฺภิชฺชิ, สโกฺก เทวราชา อโปฺผเฎสิ, มหาพฺรหฺมา สาธุการมทาสิ, ยาว พฺรหฺมโลกา เอกโกลาหลํ อโหสิฯ มหาสโตฺต โสฬสวสฺสกาเลเยว สพฺพสิปฺปานํ นิปฺผตฺติํ ปาปุณิฯ ตสฺส ปิตา รชฺชํ ทาตุกาโม มาตรา สทฺธิํ มเนฺตตฺวา มทฺทราชกุลโต มาตุลธีตรํ มทฺทิํ นาม ราชกญฺญํ อาเนตฺวา โสฬสนฺนํ อิตฺถิสหสฺสานํ เชฎฺฐกํ อคฺคมเหสิํ กตฺวา มหาสตฺตํ รเชฺช อภิสิญฺจิฯ มหาสโตฺต รเชฺช ปติฎฺฐิตกาลโต ปฎฺฐาย เทวสิกํ ฉสตสหสฺสานิ วิสฺสเชฺชตฺวา มหาทานํ ปวเตฺตโนฺต อนฺวทฺธมาสํ ทานํ โอโลเกตุํ อุปสงฺกมติฯ อปรภาเค มทฺทิเทวี ปุตฺตํ วิชายิฯ ตํ กญฺจนชาเลน สมฺปฎิจฺฉิํสุ, เตนสฺส ‘‘ชาลิกุมาโร’’เตฺวว นามํ กริํสุฯ ตสฺส ปทสา คมนกาเล สา ธีตรํ วิชายิฯ ตํ กณฺหาชิเนน สมฺปฎิจฺฉิํสุ, เตนสฺสา ‘‘กณฺหาชินา’’เตฺวว นามํ กริํสุฯ เตน วุตฺตํ –

    Evañca pathavikampane vattamāne madhuragambhīradevo gajjanto khaṇikavassaṃ vassi, vijjulatā nicchariṃsu, mahāsamuddo ubbhijji, sakko devarājā apphoṭesi, mahābrahmā sādhukāramadāsi, yāva brahmalokā ekakolāhalaṃ ahosi. Mahāsatto soḷasavassakāleyeva sabbasippānaṃ nipphattiṃ pāpuṇi. Tassa pitā rajjaṃ dātukāmo mātarā saddhiṃ mantetvā maddarājakulato mātuladhītaraṃ maddiṃ nāma rājakaññaṃ ānetvā soḷasannaṃ itthisahassānaṃ jeṭṭhakaṃ aggamahesiṃ katvā mahāsattaṃ rajje abhisiñci. Mahāsatto rajje patiṭṭhitakālato paṭṭhāya devasikaṃ chasatasahassāni vissajjetvā mahādānaṃ pavattento anvaddhamāsaṃ dānaṃ oloketuṃ upasaṅkamati. Aparabhāge maddidevī puttaṃ vijāyi. Taṃ kañcanajālena sampaṭicchiṃsu, tenassa ‘‘jālikumāro’’tveva nāmaṃ kariṃsu. Tassa padasā gamanakāle sā dhītaraṃ vijāyi. Taṃ kaṇhājinena sampaṭicchiṃsu, tenassā ‘‘kaṇhājinā’’tveva nāmaṃ kariṃsu. Tena vuttaṃ –

    ๘๑.

    81.

    ‘‘อนฺวทฺธมาเส ปนฺนรเส, ปุณฺณมาเส อุโปสเถ;

    ‘‘Anvaddhamāse pannarase, puṇṇamāse uposathe;

    ปจฺจยํ นาคมารุยฺห, ทานํ ทาตุํ อุปาคมิ’’นฺติฯ

    Paccayaṃ nāgamāruyha, dānaṃ dātuṃ upāgami’’nti.

    ตตฺถ อนฺวทฺธมาเสติ อนุอทฺธมาเส, อทฺธมาเส อทฺธมาเสติ อโตฺถฯ ปุณฺณมาเสติ ปุณฺณมาสิยํ, มาสปริปูริยา จนฺทปริปูริยา จ สมนฺนาคเต ปนฺนรเส ทานํ ทาตุํ อุปาคมินฺติ สมฺพโนฺธฯ ตตฺรายํ โยชนา – ปจฺจยํ นาคมารุยฺห อทฺธมาเส อทฺธมาเส ทานํ ทาตุํ ทานสาลํ อุปาคมิํ, เอวํ อุปคจฺฉโนฺต จ ยทา เอกสฺมิํ ปนฺนรเส ปุณฺณมาสิอุโปสเถ ทานํ ทาตุํ อุปาคมิํ, ตทา กลิงฺครฎฺฐวิสยา พฺราหฺมณา อุปคญฺฉุ นฺติ ตตฺถ ปจฺจยํ นาคนฺติ ปจฺจยนามกํ มงฺคลหตฺถิํฯ โพธิสตฺตสฺส หิ ชาตทิวเส เอกา อากาสจารินี กเรณุกา อภิมงฺคลสมฺมตํ สพฺพเสตหตฺถิโปตกํ อาเนตฺวา มงฺคลหตฺถิฎฺฐาเน ฐเปตฺวา ปกฺกามิฯ ตสฺส มหาสตฺตํ ปจฺจยํ กตฺวา ลทฺธตฺตา ‘‘ปจฺจโย’’เตฺวว นามํ กริํสุฯ ตํ ปจฺจยนามกํ โอปวยฺหํ หตฺถินาคํ อารุยฺห ทานํ ทาตุํ อุปาคมินฺติฯ เตน วุตฺตํ –

    Tattha anvaddhamāseti anuaddhamāse, addhamāse addhamāseti attho. Puṇṇamāseti puṇṇamāsiyaṃ, māsaparipūriyā candaparipūriyā ca samannāgate pannarase dānaṃ dātuṃ upāgaminti sambandho. Tatrāyaṃ yojanā – paccayaṃ nāgamāruyha addhamāse addhamāse dānaṃ dātuṃ dānasālaṃ upāgamiṃ, evaṃ upagacchanto ca yadā ekasmiṃ pannarase puṇṇamāsiuposathe dānaṃ dātuṃ upāgamiṃ, tadā kaliṅgaraṭṭhavisayā brāhmaṇā upagañchumanti tattha paccayaṃ nāganti paccayanāmakaṃ maṅgalahatthiṃ. Bodhisattassa hi jātadivase ekā ākāsacārinī kareṇukā abhimaṅgalasammataṃ sabbasetahatthipotakaṃ ānetvā maṅgalahatthiṭṭhāne ṭhapetvā pakkāmi. Tassa mahāsattaṃ paccayaṃ katvā laddhattā ‘‘paccayo’’tveva nāmaṃ kariṃsu. Taṃ paccayanāmakaṃ opavayhaṃ hatthināgaṃ āruyha dānaṃ dātuṃ upāgaminti. Tena vuttaṃ –

    ๘๒.

    82.

    ‘‘กลิงฺครฎฺฐวิสยา, พฺราหฺมณา อุปคญฺฉุ มํ;

    ‘‘Kaliṅgaraṭṭhavisayā, brāhmaṇā upagañchu maṃ;

    อยาจุํ มํ หตฺถินาคํ, ธญฺญํ มงฺคลสมฺมตํฯ

    Ayācuṃ maṃ hatthināgaṃ, dhaññaṃ maṅgalasammataṃ.

    ๘๓.

    83.

    ‘‘อวุฎฺฐิโก ชนปโท, ทุพฺภิโกฺข ฉาตโก มหา;

    ‘‘Avuṭṭhiko janapado, dubbhikkho chātako mahā;

    ททาหิ ปวรํ นาคํ, สพฺพเสตํ คชุตฺตม’’นฺติฯ

    Dadāhi pavaraṃ nāgaṃ, sabbasetaṃ gajuttama’’nti.

    ตตฺถ ‘‘กลิงฺครฎฺฐวิสยา’’ติอาทิคาถา เหฎฺฐา กุรุราชจริเตปิ (จริยา. ๑.๒๑-๒๒) อาคตา เอว, ตสฺมา ตาสํ อโตฺถ กถามโคฺค จ ตตฺถ วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพฯ อิธ ปน มงฺคลหตฺถิโน เสตตฺตา ‘‘สพฺพเสตํ คชุตฺตม’’นฺติ วุตฺตํฯ โพธิสโตฺต หตฺถิกฺขนฺธวรคโต –

    Tattha ‘‘kaliṅgaraṭṭhavisayā’’tiādigāthā heṭṭhā kururājacaritepi (cariyā. 1.21-22) āgatā eva, tasmā tāsaṃ attho kathāmaggo ca tattha vuttanayeneva veditabbo. Idha pana maṅgalahatthino setattā ‘‘sabbasetaṃ gajuttama’’nti vuttaṃ. Bodhisatto hatthikkhandhavaragato –

    ๘๔.

    84.

    ‘‘ททามิ น วิกมฺปามิ, ยํ มํ ยาจนฺติ พฺราหฺมณา;

    ‘‘Dadāmi na vikampāmi, yaṃ maṃ yācanti brāhmaṇā;

    สนฺตํ นปฺปฎิคูหามิ, ทาเน เม รมเต มโน’’ติฯ –

    Santaṃ nappaṭigūhāmi, dāne me ramate mano’’ti. –

    อตฺตโน ทานาภิรติํ ปเวเทโนฺต –

    Attano dānābhiratiṃ pavedento –

    ๘๕.

    85.

    ‘‘น เม ยาจกมนุปฺปเตฺต, ปฎิเกฺขโป อนุจฺฉโว;

    ‘‘Na me yācakamanuppatte, paṭikkhepo anucchavo;

    มา เม ภิชฺชิ สมาทานํ, ทสฺสามิ วิปุลํ คช’’นฺติฯ (จริยา. ๑.๒๓) –

    Mā me bhijji samādānaṃ, dassāmi vipulaṃ gaja’’nti. (cariyā. 1.23) –

    ปฎิชานิตฺวา หตฺถิกฺขนฺธโต โอรุยฺห อนลงฺกตฎฺฐานํ โอโลกนตฺถํ อนุปริยายิตฺวา อนลงฺกตฎฺฐานํ อทิสฺวา กุสุมมิสฺสคโนฺธทกภริตํ สุวณฺณภิงฺคารํ คเหตฺวา ‘‘โภโนฺต อิโต เอถา’’ติ อลงฺกตรชตทามสทิสํ หตฺถิโสณฺฑํ เตสํ หเตฺถ ฐเปตฺวา อุทกํ ปาเตตฺวา อลงฺกตวารณํ อทาสิฯ เตน วุตฺตํ –

    Paṭijānitvā hatthikkhandhato oruyha analaṅkataṭṭhānaṃ olokanatthaṃ anupariyāyitvā analaṅkataṭṭhānaṃ adisvā kusumamissagandhodakabharitaṃ suvaṇṇabhiṅgāraṃ gahetvā ‘‘bhonto ito ethā’’ti alaṅkatarajatadāmasadisaṃ hatthisoṇḍaṃ tesaṃ hatthe ṭhapetvā udakaṃ pātetvā alaṅkatavāraṇaṃ adāsi. Tena vuttaṃ –

    ๘๖.

    86.

    ‘‘นาคํ คเหตฺวา โสณฺฑาย, ภิงฺคาเร รตนามเย;

    ‘‘Nāgaṃ gahetvā soṇḍāya, bhiṅgāre ratanāmaye;

    ชลํ หเตฺถ อากิริตฺวา, พฺราหฺมณานํ อทํ คช’’นฺติฯ (จริยา. ๑.๒๔);

    Jalaṃ hatthe ākiritvā, brāhmaṇānaṃ adaṃ gaja’’nti. (cariyā. 1.24);

    ตตฺถ สนฺตนฺติ วิชฺชมานํ เทยฺยธมฺมํฯ นปฺปฎิคูหามีติ น ปฎิจฺฉาเทมิฯ โย หิ อตฺตโน สนฺตกํ ‘‘มยฺหเมว โหตู’’ติ จิเนฺตติ, ยาจิโต วา ปฎิกฺขิปติ, โส ยาจกานํ อภิมุเข ฐิตมฺปิ อตฺถโต ปฎิจฺฉาเทติ นามฯ มหาสโตฺต ปน อตฺตโน สีสํ อาทิํ กตฺวา อชฺฌตฺติกทานํ ทาตุกาโมว, กถํ พาหิรํ ปฎิกฺขิปติ, ตสฺมา อาห ‘‘สนฺตํ นปฺปฎิคูหามี’’ติฯ เตเนวาห ‘‘ทาเน เม รมเต มโน’’ติฯ เสสํ เหฎฺฐา วุตฺตตฺถเมวฯ

    Tattha santanti vijjamānaṃ deyyadhammaṃ. Nappaṭigūhāmīti na paṭicchādemi. Yo hi attano santakaṃ ‘‘mayhameva hotū’’ti cinteti, yācito vā paṭikkhipati, so yācakānaṃ abhimukhe ṭhitampi atthato paṭicchādeti nāma. Mahāsatto pana attano sīsaṃ ādiṃ katvā ajjhattikadānaṃ dātukāmova, kathaṃ bāhiraṃ paṭikkhipati, tasmā āha ‘‘santaṃ nappaṭigūhāmī’’ti. Tenevāha ‘‘dāne me ramate mano’’ti. Sesaṃ heṭṭhā vuttatthameva.

    ตสฺส ปน หตฺถิโน จตูสุ ปาเทสุ อลงฺการา จตฺตาริ สตสหสฺสานิ อคฺฆนฺติ, อุโภสุ ปเสฺสสุ อลงฺการา เทฺว สตสหสฺสานิ, เหฎฺฐา อุทเร กมฺพลํ สตสหสฺสํ, ปิฎฺฐิยํ มุตฺตาชาลํ มณิชาลํ กญฺจนชาลนฺติ ตีณิ ชาลานิ ตีณิ สตสหสฺสานิ, อุโภ กณฺณาลงฺการา เทฺว สตสหสฺสานิ, ปิฎฺฐิยํ อตฺถตกมฺพลํ สตสหสฺสํ, กุมฺภาลงฺกาโร สตสหสฺสํ, ตโย วฎํสกา ตีณิ สตสหสฺสานิ, กณฺณจูฬาลงฺกาโร สตสหสฺสํ, ทฺวินฺนํ ทนฺตานํ อลงฺการา เทฺว สตสหสฺสานิ, โสณฺฑาย โสวตฺถิกาลงฺกาโร สตสหสฺสํ, นงฺคุฎฺฐาลงฺกาโร สตสหสฺสํ, อาโรหณนิเสฺสณิ สตสหสฺสํ, ภุญฺชนกฎาหํ สตสหสฺสํ, ฐเปตฺวา อนคฺฆภณฺฑํ อิทํ ตาว เอตฺตกํ จตุวีสติ สตสหสฺสานิ อคฺฆติฯ ฉตฺตปิณฺฑิยํ ปน มณิ, จูฬามณิ, มุตฺตาหาเร มณิ, องฺกุเส มณิ, หตฺถิกณฺฐเวฐนมุตฺตาหาเร มณิ, หตฺถิกุเมฺภ มณีติ อิมานิ ฉ อนคฺฆานิ, หตฺถีปิ อนโคฺฆ เอวาติ หตฺถินา สทฺธิํ สตฺต อนคฺฆานิ, ตานิ สพฺพานิ พฺราหฺมณานํ อทาสิฯ ตถา หตฺถิโน ปริจารกานิ ปญฺจ กุลสตานิ หตฺถิเมณฺฑหตฺถิโคปเกหิ สทฺธิํ อทาสิฯ สห ทาเนน ปนสฺส เหฎฺฐา วุตฺตนเยเนว ภูมิกมฺปาทโย อเหสุํฯ เตน วุตฺตํ –

    Tassa pana hatthino catūsu pādesu alaṅkārā cattāri satasahassāni agghanti, ubhosu passesu alaṅkārā dve satasahassāni, heṭṭhā udare kambalaṃ satasahassaṃ, piṭṭhiyaṃ muttājālaṃ maṇijālaṃ kañcanajālanti tīṇi jālāni tīṇi satasahassāni, ubho kaṇṇālaṅkārā dve satasahassāni, piṭṭhiyaṃ atthatakambalaṃ satasahassaṃ, kumbhālaṅkāro satasahassaṃ, tayo vaṭaṃsakā tīṇi satasahassāni, kaṇṇacūḷālaṅkāro satasahassaṃ, dvinnaṃ dantānaṃ alaṅkārā dve satasahassāni, soṇḍāya sovatthikālaṅkāro satasahassaṃ, naṅguṭṭhālaṅkāro satasahassaṃ, ārohaṇanisseṇi satasahassaṃ, bhuñjanakaṭāhaṃ satasahassaṃ, ṭhapetvā anagghabhaṇḍaṃ idaṃ tāva ettakaṃ catuvīsati satasahassāni agghati. Chattapiṇḍiyaṃ pana maṇi, cūḷāmaṇi, muttāhāre maṇi, aṅkuse maṇi, hatthikaṇṭhaveṭhanamuttāhāre maṇi, hatthikumbhe maṇīti imāni cha anagghāni, hatthīpi anaggho evāti hatthinā saddhiṃ satta anagghāni, tāni sabbāni brāhmaṇānaṃ adāsi. Tathā hatthino paricārakāni pañca kulasatāni hatthimeṇḍahatthigopakehi saddhiṃ adāsi. Saha dānena panassa heṭṭhā vuttanayeneva bhūmikampādayo ahesuṃ. Tena vuttaṃ –

    ๘๗.

    87.

    ‘‘ปุนาปรํ ททนฺตสฺส, สพฺพเสตํ คชุตฺตมํ;

    ‘‘Punāparaṃ dadantassa, sabbasetaṃ gajuttamaṃ;

    ตทาปิ ปถวี กมฺปิ, สิเนรุวนวฎํสกา’’ติฯ

    Tadāpi pathavī kampi, sineruvanavaṭaṃsakā’’ti.

    ชาตเกปิ (ชา. ๒.๒๒.๑๖๗๓) วุตฺตํ –

    Jātakepi (jā. 2.22.1673) vuttaṃ –

    ‘‘ตทาสิ ยํ ภิํสนกํ, ตทาสิ โลมหํสนํ;

    ‘‘Tadāsi yaṃ bhiṃsanakaṃ, tadāsi lomahaṃsanaṃ;

    หตฺถินาเค ปทินฺนมฺหิ, เมทนี สมฺปกมฺปถา’’ติฯ

    Hatthināge padinnamhi, medanī sampakampathā’’ti.

    ๘๘. ตสฺส นาคสฺส ทาเนนาติ ฉหิ อนเคฺฆหิ สทฺธิํ จตุวีสติสตสหสฺสคฺฆนิกอลงฺการภณฺฑสหิตสฺส ตสฺส มงฺคลหตฺถิสฺส ปริจฺจาเคนฯ สิวโยติ สิวิราชกุมารา เจว สิวิรฎฺฐวาสิโน จฯ ‘‘สิวโย’’ติ จ เทสนาสีสเมตํฯ ตตฺถ หิ อมจฺจา ปาริสชฺชา พฺราหฺมณคหปติกา เนคมชานปทา นาครา สกลรฎฺฐวาสิโน จ สญฺชยมหาราชํ ผุสฺสติเทวิํ มทฺทิเทวิญฺจ ฐเปตฺวา สเพฺพ เอวฯ กุทฺธาติ เทวตาวตฺตเนน โพธิสตฺตสฺส กุทฺธาฯ สมาคตาติ สนฺนิปติตาฯ เต กิร พฺราหฺมณา หตฺถิํ ลภิตฺวา ตํ อภิรุหิตฺวา มหาทฺวาเรน ปวิสิตฺวา นครมเชฺฌน ปายิํสุฯ มหาชเนน จ ‘‘อโมฺภ พฺราหฺมณา, อมฺหากํ หตฺถี กุโต อภิรุโฬฺห’’ติ วุเตฺต ‘‘เวสฺสนฺตรมหาราเชน โน หตฺถี ทิโนฺน, เก ตุเมฺห’’ติ หตฺถวิการาทีหิ ฆเฎฺฎนฺตา อคมํสุฯ อถ อมเจฺจ อาทิํ กตฺวา มหาชนา ราชทฺวาเร สนฺนิปติตฺวา ‘‘รญฺญา นาม พฺราหฺมณานํ ธนํ วา ธญฺญํ วา เขตฺตํ วา วตฺถุ วา ทาสิทาสปริจาริกา วา ทาตพฺพา สิยา, กถญฺหิ นามายํ เวสฺสนฺตรมหาราชา ราชารหํ มงฺคลหตฺถิํ ทสฺสติ, น อิทานิ เอวํ รชฺชํ วินาเสตุํ ทสฺสามา’’ติ อุชฺฌายิตฺวา สญฺชยมหาราชสฺส ตมตฺถํ อาโรเจตฺวา เตน อนุนียมานา อนนุยนฺตา อคมํสุฯ เกวลํ ปน –

    88.Tassanāgassa dānenāti chahi anagghehi saddhiṃ catuvīsatisatasahassagghanikaalaṅkārabhaṇḍasahitassa tassa maṅgalahatthissa pariccāgena. Sivayoti sivirājakumārā ceva siviraṭṭhavāsino ca. ‘‘Sivayo’’ti ca desanāsīsametaṃ. Tattha hi amaccā pārisajjā brāhmaṇagahapatikā negamajānapadā nāgarā sakalaraṭṭhavāsino ca sañjayamahārājaṃ phussatideviṃ maddideviñca ṭhapetvā sabbe eva. Kuddhāti devatāvattanena bodhisattassa kuddhā. Samāgatāti sannipatitā. Te kira brāhmaṇā hatthiṃ labhitvā taṃ abhiruhitvā mahādvārena pavisitvā nagaramajjhena pāyiṃsu. Mahājanena ca ‘‘ambho brāhmaṇā, amhākaṃ hatthī kuto abhiruḷho’’ti vutte ‘‘vessantaramahārājena no hatthī dinno, ke tumhe’’ti hatthavikārādīhi ghaṭṭentā agamaṃsu. Atha amacce ādiṃ katvā mahājanā rājadvāre sannipatitvā ‘‘raññā nāma brāhmaṇānaṃ dhanaṃ vā dhaññaṃ vā khettaṃ vā vatthu vā dāsidāsaparicārikā vā dātabbā siyā, kathañhi nāmāyaṃ vessantaramahārājā rājārahaṃ maṅgalahatthiṃ dassati, na idāni evaṃ rajjaṃ vināsetuṃ dassāmā’’ti ujjhāyitvā sañjayamahārājassa tamatthaṃ ārocetvā tena anunīyamānā ananuyantā agamaṃsu. Kevalaṃ pana –

    ‘‘มา นํ ทเณฺฑน สเตฺถน, น หิ โส พนฺธนารโห;

    ‘‘Mā naṃ daṇḍena satthena, na hi so bandhanāraho;

    ปพฺพาเชหิ จ นํ รฎฺฐา, วเงฺก วสตุ ปพฺพเต’’ติฯ (ชา. ๒.๒๒.๑๖๘๗) –

    Pabbājehi ca naṃ raṭṭhā, vaṅke vasatu pabbate’’ti. (jā. 2.22.1687) –

    วทิํสุฯ เตน วุตฺตํ –

    Vadiṃsu. Tena vuttaṃ –

    ‘‘ปพฺพาเชสุํ สกา รฎฺฐา, วงฺกํ คจฺฉตุ ปพฺพต’’นฺติฯ

    ‘‘Pabbājesuṃ sakā raṭṭhā, vaṅkaṃ gacchatu pabbata’’nti.

    ตตฺถ ปพฺพาเชสุนฺติ รชฺชโต พหิ วาสตฺถาย อุสฺสุกฺกมกํสุ; –

    Tattha pabbājesunti rajjato bahi vāsatthāya ussukkamakaṃsu; –

    ราชาปิ ‘‘มหา โข อยํ ปฎิปโกฺข, หนฺท มม ปุโตฺต กติปาหํ รชฺชโต พหิ วสตู’’ติ จิเนฺตตฺวา –

    Rājāpi ‘‘mahā kho ayaṃ paṭipakkho, handa mama putto katipāhaṃ rajjato bahi vasatū’’ti cintetvā –

    ‘‘เอโส เจ สิวีนํ ฉโนฺท, ฉนฺทํ นปฺปนุทามเส;

    ‘‘Eso ce sivīnaṃ chando, chandaṃ nappanudāmase;

    อิมํ โส วสตุ รตฺติํ, กาเม จ ปริภุญฺชตุฯ

    Imaṃ so vasatu rattiṃ, kāme ca paribhuñjatu.

    ‘‘ตโต รตฺยา วิวสาเน, สูริยุคฺคมนํ ปติ;

    ‘‘Tato ratyā vivasāne, sūriyuggamanaṃ pati;

    สมคฺคา สิวโย หุตฺวา, รฎฺฐา ปพฺพาชยนฺตุ น’’นฺติฯ (ชา. ๒.๒๒.๑๖๘๘-๑๖๘๙) –

    Samaggā sivayo hutvā, raṭṭhā pabbājayantu na’’nti. (jā. 2.22.1688-1689) –

    วตฺวา ปุตฺตสฺส สนฺติเก กตฺตารํ เปเสสิ ‘‘อิมํ ปวตฺติํ มม ปุตฺตสฺส อาโรเจหี’’ติฯ โส ตถา อกาสิฯ

    Vatvā puttassa santike kattāraṃ pesesi ‘‘imaṃ pavattiṃ mama puttassa ārocehī’’ti. So tathā akāsi.

    มหาสโตฺตปิ ตํ สุตฺวา –

    Mahāsattopi taṃ sutvā –

    ‘‘กิสฺมิํ เม สิวโย กุทฺธา, นาหํ ปสฺสามิ ทุกฺกฎํ;

    ‘‘Kismiṃ me sivayo kuddhā, nāhaṃ passāmi dukkaṭaṃ;

    ตํ เม กเตฺต วิยาจิกฺข, กสฺมา ปพฺพาชยนฺติ ม’’นฺติฯ (ชา. ๒.๒๒.๑๗๐๑) –

    Taṃ me katte viyācikkha, kasmā pabbājayanti ma’’nti. (jā. 2.22.1701) –

    การณํ ปุจฺฉิฯ เตน ‘‘ตุมฺหากํ หตฺถิทาเนนา’’ติ วุเตฺต โสมนสฺสปฺปโตฺต หุตฺวา –

    Kāraṇaṃ pucchi. Tena ‘‘tumhākaṃ hatthidānenā’’ti vutte somanassappatto hutvā –

    ‘‘หทยํ จกฺขุมฺปหํ ทชฺชํ, กิํ เม พาหิรกํ ธนํ;

    ‘‘Hadayaṃ cakkhumpahaṃ dajjaṃ, kiṃ me bāhirakaṃ dhanaṃ;

    หิรญฺญํ วา สุวณฺณํ วา, มุตฺตา เวฬุริยา มณิฯ

    Hiraññaṃ vā suvaṇṇaṃ vā, muttā veḷuriyā maṇi.

    ‘‘ทกฺขิณํ วาปหํ พาหุํ, ทิสฺวา ยาจกมาคเต;

    ‘‘Dakkhiṇaṃ vāpahaṃ bāhuṃ, disvā yācakamāgate;

    ทเทยฺยํ น วิกเมฺปยฺยํ, ทาเน เม รมเต มโนฯ

    Dadeyyaṃ na vikampeyyaṃ, dāne me ramate mano.

    ‘‘กามํ มํ สิวโย สเพฺพ, ปพฺพาเชนฺตุ หนนฺตุ วา;

    ‘‘Kāmaṃ maṃ sivayo sabbe, pabbājentu hanantu vā;

    เนว ทานา วิรมิสฺสํ, กามํ ฉินฺทนฺตุ สตฺตธา’’ติฯ (ชา. ๒.๒๒.๑๗๐๓-๑๗๐๕) –

    Neva dānā viramissaṃ, kāmaṃ chindantu sattadhā’’ti. (jā. 2.22.1703-1705) –

    วตฺวา ‘‘นาครา เม เอกทิวสํ ทานํ ทาตุํ โอกาสํ เทนฺตุ, เสฺว ทานํ ทตฺวา ตติยทิวเส คมิสฺสามี’’ติ วตฺวา กตฺตารํ เตสํ สนฺติเก เปเสตฺวา ‘‘อหํ เสฺว สตฺตสตกํ นาม มหาทานํ ทสฺสามิ , สตฺตหตฺถิสตานิ สตฺตอสฺสสตานิ สตฺตรถสตานิ สตฺตอิตฺถิสตานิ สตฺตทาสสตานิ สตฺตทาสิสตานิ สตฺตเธนุสตานิ ปฎิยาเทหิ, นานปฺปการญฺจ อนฺนปานาทิํ สพฺพํ ทาตพฺพยุตฺตกํ อุปฎฺฐเปหี’’ติ สพฺพกมฺมิกํ อมจฺจํ อาณาเปตฺวา เอกโกว มทฺทิเทวิยา วสนฎฺฐานํ คนฺตฺวา ‘‘ภเทฺท มทฺทิ, อนุคามิกนิธิํ นิทหมานา, สีลวเนฺตสุ ทเทยฺยาสี’’ติ ตมฺปิ ทาเน นิโยเชตฺวา ตสฺสา อตฺตโน คมนการณํ อาจิกฺขิตฺวา ‘‘อหํ วนํ วสนตฺถาย คมิสฺสามิ, ตฺวํ อิเธว อนุกฺกณฺฐิตา วสาหี’’ติ อาหฯ สา ‘‘นาหํ, มหาราช, ตุเมฺหหิ วินา เอกทิวสมฺปิ วสิสฺสามี’’ติ อาหฯ

    Vatvā ‘‘nāgarā me ekadivasaṃ dānaṃ dātuṃ okāsaṃ dentu, sve dānaṃ datvā tatiyadivase gamissāmī’’ti vatvā kattāraṃ tesaṃ santike pesetvā ‘‘ahaṃ sve sattasatakaṃ nāma mahādānaṃ dassāmi , sattahatthisatāni sattaassasatāni sattarathasatāni sattaitthisatāni sattadāsasatāni sattadāsisatāni sattadhenusatāni paṭiyādehi, nānappakārañca annapānādiṃ sabbaṃ dātabbayuttakaṃ upaṭṭhapehī’’ti sabbakammikaṃ amaccaṃ āṇāpetvā ekakova maddideviyā vasanaṭṭhānaṃ gantvā ‘‘bhadde maddi, anugāmikanidhiṃ nidahamānā, sīlavantesu dadeyyāsī’’ti tampi dāne niyojetvā tassā attano gamanakāraṇaṃ ācikkhitvā ‘‘ahaṃ vanaṃ vasanatthāya gamissāmi, tvaṃ idheva anukkaṇṭhitā vasāhī’’ti āha. Sā ‘‘nāhaṃ, mahārāja, tumhehi vinā ekadivasampi vasissāmī’’ti āha.

    ทุติยทิวเส สตฺตสตกํ มหาทานํ ปวเตฺตสิฯ ตสฺส สตฺตสตกํ ทานํ เทนฺตเสฺสว สายํ อโหสิฯ อลงฺกตรเถน มาตาปิตูนํ วสนฎฺฐานํ คนฺตฺวา ‘‘อหํ เสฺว คมิสฺสามี’’ติ เต อาปุจฺฉิตฺวา อกามกานํ เตสํ อสฺสุมุขานํ โรทนฺตานํเยว วนฺทิตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา ตโต นิกฺขมิตฺวา ตํ ทิวสํ อตฺตโน นิเวสเน วสิตฺวา ปุนทิวเส ‘‘คมิสฺสามี’’ติ ปาสาทโต โอตริฯ มทฺทิเทวี สสฺสุสสุเรหิ นานานเยหิ ยาจิตฺวา นิวตฺติยมานาปิ เตสํ วจนํ อนาทิยิตฺวา เต วนฺทิตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา เสสิตฺถิโย อปโลเกตฺวา เทฺว ปุเตฺต อาทาย เวสฺสนฺตรสฺส ปฐมตรํ คนฺตฺวา รเถ อฎฺฐาสิฯ

    Dutiyadivase sattasatakaṃ mahādānaṃ pavattesi. Tassa sattasatakaṃ dānaṃ dentasseva sāyaṃ ahosi. Alaṅkatarathena mātāpitūnaṃ vasanaṭṭhānaṃ gantvā ‘‘ahaṃ sve gamissāmī’’ti te āpucchitvā akāmakānaṃ tesaṃ assumukhānaṃ rodantānaṃyeva vanditvā padakkhiṇaṃ katvā tato nikkhamitvā taṃ divasaṃ attano nivesane vasitvā punadivase ‘‘gamissāmī’’ti pāsādato otari. Maddidevī sassusasurehi nānānayehi yācitvā nivattiyamānāpi tesaṃ vacanaṃ anādiyitvā te vanditvā padakkhiṇaṃ katvā sesitthiyo apaloketvā dve putte ādāya vessantarassa paṭhamataraṃ gantvā rathe aṭṭhāsi.

    มหาปุริโส รถํ อภิรุหิตฺวา รเถ ฐิโต มหาชนํ อาปุจฺฉิตฺวา ‘‘อปฺปมตฺตา ทานาทีนิ ปุญฺญานิ กโรถา’’ติ โอวาทมสฺส ทตฺวา นครโต นิกฺขมิฯ โพธิสตฺตสฺส มาตา ‘‘ปุโตฺต เม ทานวิตฺตโก ทานํ เทตู’’ติ อาภรเณหิ สทฺธิํ สตฺตรตนปูรานิ สกฎานิ อุโภสุ ปเสฺสสุ เปเสสิฯ โสปิ อตฺตโน กายารุฬฺหเมว อาภรณภณฺฑํ สมฺปตฺตยาจกานํ อฎฺฐารส วาเร ทตฺวา เสสํ สพฺพมทาสิฯ นครา นิกฺขมิตฺวาว นิวตฺติตฺวา โอโลเกตุกาโม อโหสิฯ อถสฺส ปุญฺญานุภาเวน รถปฺปมาเณ ฐาเน มหาปถวี ภิชฺชิตฺวา ปริวตฺติตฺวา รถํ นคราภิมุขํ อกาสิฯ โส มาตาปิตูนํ วสนฎฺฐานํ โอโลเกสิฯ เตน การุเญฺญน ปถวิกโมฺป อโหสิฯ เตน วุตฺตํ ‘‘เตสํ นิจฺฉุภมานาน’’นฺติอาทิฯ

    Mahāpuriso rathaṃ abhiruhitvā rathe ṭhito mahājanaṃ āpucchitvā ‘‘appamattā dānādīni puññāni karothā’’ti ovādamassa datvā nagarato nikkhami. Bodhisattassa mātā ‘‘putto me dānavittako dānaṃ detū’’ti ābharaṇehi saddhiṃ sattaratanapūrāni sakaṭāni ubhosu passesu pesesi. Sopi attano kāyāruḷhameva ābharaṇabhaṇḍaṃ sampattayācakānaṃ aṭṭhārasa vāre datvā sesaṃ sabbamadāsi. Nagarā nikkhamitvāva nivattitvā oloketukāmo ahosi. Athassa puññānubhāvena rathappamāṇe ṭhāne mahāpathavī bhijjitvā parivattitvā rathaṃ nagarābhimukhaṃ akāsi. So mātāpitūnaṃ vasanaṭṭhānaṃ olokesi. Tena kāruññena pathavikampo ahosi. Tena vuttaṃ ‘‘tesaṃ nicchubhamānāna’’ntiādi.

    ๘๙-๙๐. ตตฺถ นิจฺฉุภมานานนฺติ เตสุ สิวีสุ นิกฺกฑฺฒเนฺตสุ, ปพฺพาเชเนฺตสูติ อโตฺถฯ เตสํ วา นิกฺขมนฺตานํฯ มหาทานํ ปวเตฺตตุนฺติ สตฺตสตกมหาทานํ ทาตุํฯ อายาจิสฺสนฺติ ยาจิํฯ สาวยิตฺวาติ โฆสาเปตฺวาฯ กณฺณเภรินฺติ ยุคลมหาเภริํฯ ททามหนฺติ ททามิ อหํฯ

    89-90. Tattha nicchubhamānānanti tesu sivīsu nikkaḍḍhantesu, pabbājentesūti attho. Tesaṃ vā nikkhamantānaṃ. Mahādānaṃ pavattetunti sattasatakamahādānaṃ dātuṃ. Āyācissanti yāciṃ. Sāvayitvāti ghosāpetvā. Kaṇṇabherinti yugalamahābheriṃ. Dadāmahanti dadāmi ahaṃ.

    ๙๑. อเถตฺถาติ อเถวํ ทาเน ทียมาเน เอตสฺมิํ ทานเคฺคฯ ตุมูโลติ เอกโกลาหลีภูโตฯ เภรโวติ ภยาวโหฯ มหาสตฺตญฺหิ ฐเปตฺวา อเญฺญสํ โส ภยํ ชเนติ, ตสฺส ภยชนนาการํ ทเสฺสตุํฯ ‘‘ทาเนนิม’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ อิมํ เวสฺสนฺตรมหาราชานํ ทาเนน เหตุนา สิวโย รฎฺฐโต นีหรนฺติ ปพฺพาเชนฺติ, ตถาปิ ปุน จ เอวรูปํ ทานํ เทติ อยนฺติฯ

    91.Athetthāti athevaṃ dāne dīyamāne etasmiṃ dānagge. Tumūloti ekakolāhalībhūto. Bheravoti bhayāvaho. Mahāsattañhi ṭhapetvā aññesaṃ so bhayaṃ janeti, tassa bhayajananākāraṃ dassetuṃ. ‘‘Dānenima’’ntiādi vuttaṃ. Imaṃ vessantaramahārājānaṃ dānena hetunā sivayo raṭṭhato nīharanti pabbājenti, tathāpi puna ca evarūpaṃ dānaṃ deti ayanti.

    ๙๒-๙๔. อิทานิ ตํ ทานํ ทเสฺสตุํ ‘‘หตฺถิ’’นฺติ คาถมาหฯ ตตฺถ ควนฺติ เธนุํฯ จตุวาหิํ รถํ ทตฺวาติ วหนฺตีติ วาหิโน, อสฺสา, จตุโร อาชญฺญสินฺธเว รถญฺจ พฺราหฺมณานํ ทตฺวาติ อโตฺถฯ มหาสโตฺต หิ ตถา นครโต นิกฺขมโนฺต สหชาเต สฎฺฐิสหเสฺส อมเจฺจ เสสชนญฺจ อสฺสุปุณฺณมุขํ อนุพทฺธนฺตํ นิวเตฺตตฺวา รถํ ปาเชโนฺต มทฺทิํ อาห – ‘‘สเจ, ภเทฺท, ปจฺฉโต ยาจกา อาคจฺฉนฺติ, อุปธาเรยฺยาสี’’ติฯ สา โอโลเกนฺตี นิสีทิฯ อถสฺส สตฺตสตกมหาทานํ คมนกาเล กตทานญฺจ สมฺปาปุณิตุํ อสโกฺกนฺตา จตฺตาโร พฺราหฺมณา อาคนฺตฺวา ‘‘เวสฺสนฺตโร กุหิ’’นฺติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘ทานํ ทตฺวา รเถน คโต’’ติ วุเตฺต ‘‘อเสฺส ยาจิสฺสามา’’ติ อนุพนฺธิํสุฯ มทฺที เต อาคจฺฉเนฺต ทิสฺวา ‘‘ยาจกา, เทวา’’ติ อาโรเจสิฯ มหาสโตฺต รถํ ฐเปสิฯ เต อาคนฺตฺวา อเสฺส ยาจิํสุฯ มหาสโตฺต อเสฺส อทาสิฯ เต เต คเหตฺวา คตาฯ อเสฺสสุ ปน ทิเนฺนสุ รถธุรํ อากาเสเยว อฎฺฐาสิฯ อถ จตฺตาโร เทวปุตฺตา โรหิตมิควเณฺณนาคนฺตฺวา รถธุรํ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา อคมํสุฯ มหาสโตฺต เตสํ เทวปุตฺตภาวํ ญตฺวา –

    92-94. Idāni taṃ dānaṃ dassetuṃ ‘‘hatthi’’nti gāthamāha. Tattha gavanti dhenuṃ. Catuvāhiṃ rathaṃ datvāti vahantīti vāhino, assā, caturo ājaññasindhave rathañca brāhmaṇānaṃ datvāti attho. Mahāsatto hi tathā nagarato nikkhamanto sahajāte saṭṭhisahasse amacce sesajanañca assupuṇṇamukhaṃ anubaddhantaṃ nivattetvā rathaṃ pājento maddiṃ āha – ‘‘sace, bhadde, pacchato yācakā āgacchanti, upadhāreyyāsī’’ti. Sā olokentī nisīdi. Athassa sattasatakamahādānaṃ gamanakāle katadānañca sampāpuṇituṃ asakkontā cattāro brāhmaṇā āgantvā ‘‘vessantaro kuhi’’nti pucchitvā ‘‘dānaṃ datvā rathena gato’’ti vutte ‘‘asse yācissāmā’’ti anubandhiṃsu. Maddī te āgacchante disvā ‘‘yācakā, devā’’ti ārocesi. Mahāsatto rathaṃ ṭhapesi. Te āgantvā asse yāciṃsu. Mahāsatto asse adāsi. Te te gahetvā gatā. Assesu pana dinnesu rathadhuraṃ ākāseyeva aṭṭhāsi. Atha cattāro devaputtā rohitamigavaṇṇenāgantvā rathadhuraṃ sampaṭicchitvā agamaṃsu. Mahāsatto tesaṃ devaputtabhāvaṃ ñatvā –

    ‘‘อิงฺฆ มทฺทิ นิสาเมหิ, จิตฺตรูปํว ทิสฺสติ;

    ‘‘Iṅgha maddi nisāmehi, cittarūpaṃva dissati;

    มิคโรหิจฺจวเณฺณน, ทกฺขิณสฺสา วหนฺติ ม’’นฺติฯ (ชา. ๒.๒๒.๑๘๖๔) –

    Migarohiccavaṇṇena, dakkhiṇassā vahanti ma’’nti. (jā. 2.22.1864) –

    มทฺทิยา อาหฯ

    Maddiyā āha.

    ตตฺถ จิตฺตรูปํวาติ อจฺฉริยรูปํ วิยฯ ทกฺขิณสฺสาติ สุสิกฺขิตอสฺสา วิย มํ วหนฺติ

    Tattha cittarūpaṃvāti acchariyarūpaṃ viya. Dakkhiṇassāti susikkhitaassā viya maṃ vahanti.

    อถ นํ เอวํ คจฺฉนฺตํ อปโร พฺราหฺมโณ อาคนฺตฺวา รถํ ยาจิฯ มหาสโตฺต ปุตฺตทารํ โอตาเรตฺวา รถํ อทาสิฯ รเถ ปน ทิเนฺน เทวปุตฺตา อนฺตรธายิํสุฯ ตโต ปฎฺฐาย ปน สเพฺพปิ ปตฺติกาว อเหสุํฯ อถ มหาสโตฺต ‘‘มทฺทิ, ตฺวํ กณฺหาชินํ คณฺหาหิ, อหํ ชาลิกุมารํ คณฺหามี’’ติ อุโภปิ เทฺว ทารเก อเงฺกนาทาย อญฺญมญฺญํ ปิยสลฺลาปา ปฎิปถํ อาคจฺฉเนฺต มนุเสฺส วงฺกปพฺพตสฺส มคฺคํ ปุจฺฉนฺตา สยเมว โอนเตสุ ผลรุเกฺขสุ ผลานิ ทารกานํ ททนฺตา อตฺถกามาหิ เทวตาหิ มคฺคสฺส สงฺขิปิตตฺตา ตทเหว เจตรฎฺฐํ สมฺปาปุณิํสุฯ เตน วุตฺตํ ‘‘จตุวาหิํ รถํ ทตฺวา’’ติอาทิฯ

    Atha naṃ evaṃ gacchantaṃ aparo brāhmaṇo āgantvā rathaṃ yāci. Mahāsatto puttadāraṃ otāretvā rathaṃ adāsi. Rathe pana dinne devaputtā antaradhāyiṃsu. Tato paṭṭhāya pana sabbepi pattikāva ahesuṃ. Atha mahāsatto ‘‘maddi, tvaṃ kaṇhājinaṃ gaṇhāhi, ahaṃ jālikumāraṃ gaṇhāmī’’ti ubhopi dve dārake aṅkenādāya aññamaññaṃ piyasallāpā paṭipathaṃ āgacchante manusse vaṅkapabbatassa maggaṃ pucchantā sayameva onatesu phalarukkhesu phalāni dārakānaṃ dadantā atthakāmāhi devatāhi maggassa saṅkhipitattā tadaheva cetaraṭṭhaṃ sampāpuṇiṃsu. Tena vuttaṃ ‘‘catuvāhiṃ rathaṃ datvā’’tiādi.

    ตตฺถ ฐตฺวา จาตุมฺมหาปเถติ อตฺตโน คมนมเคฺคน ปสฺสโต อาคเตน เตน พฺราหฺมเณน อาคตมเคฺคน จ วินิวิชฺฌิตฺวา คตฎฺฐานตฺตา จตุกฺกสงฺขาเต จตุมหาปเถ ฐตฺวา ตสฺส พฺราหฺมณสฺส รถํ ทตฺวาฯ เอกากิโยติ อมจฺจเสวกาทิสหายาภาเวน เอกโกฯ เตเนวาห ‘‘อทุติโย’’ติฯ มทฺทิเทวิํ อิทมพฺรวีติ มทฺทิเทวิํ อิทํ อภาสิฯ

    Tattha ṭhatvā cātummahāpatheti attano gamanamaggena passato āgatena tena brāhmaṇena āgatamaggena ca vinivijjhitvā gataṭṭhānattā catukkasaṅkhāte catumahāpathe ṭhatvā tassa brāhmaṇassa rathaṃ datvā. Ekākiyoti amaccasevakādisahāyābhāvena ekako. Tenevāha ‘‘adutiyo’’ti. Maddideviṃ idamabravīti maddideviṃ idaṃ abhāsi.

    ๙๖-๙๙. ปทุมํ ปุณฺฑรีกํวาติ ปทุมํ วิย, ปุณฺฑรีกํ วิย จฯ กณฺหาชินคฺคหีติ กณฺหาชินํ อคฺคเหสิฯ อภิชาตาติ ชาติสมฺปนฺนาฯ วิสมํ สมนฺติ วิสมํ สมญฺจ ภูมิปฺปเทสํฯ เอนฺตีติ อาคจฺฉนฺติฯ อนุมเคฺค ปฎิปฺปเถติ อนุมเคฺค วา ปฎิปเถ วาติ วา-สทฺทสฺส โลโป ทฎฺฐโพฺพฯ กรุณนฺติ ภาวนปุํสกนิเทฺทโส, กรุณายิตตฺตนฺติ อโตฺถฯ ทุกฺขํ เต ปฎิเวเทนฺตีติ อิเม เอวํ สุขุมาลา ปทสา คจฺฉนฺติ, ทูเรว อิโต วงฺกปพฺพโตติ เต ตทา อเมฺหสุ การุญฺญวเสน อตฺตนา ทุกฺขํ ปฎิลภนฺติ, ตถา อตฺตโน อุปฺปนฺนทุกฺขํ ปฎิเวเทนฺติ วาติ อโตฺถฯ

    96-99.Padumaṃ puṇḍarīkaṃvāti padumaṃ viya, puṇḍarīkaṃ viya ca. Kaṇhājinaggahīti kaṇhājinaṃ aggahesi. Abhijātāti jātisampannā. Visamaṃ samanti visamaṃ samañca bhūmippadesaṃ. Entīti āgacchanti. Anumagge paṭippatheti anumagge vā paṭipathe vāti -saddassa lopo daṭṭhabbo. Karuṇanti bhāvanapuṃsakaniddeso, karuṇāyitattanti attho. Dukkhaṃ te paṭivedentīti ime evaṃ sukhumālā padasā gacchanti, dūreva ito vaṅkapabbatoti te tadā amhesu kāruññavasena attanā dukkhaṃ paṭilabhanti, tathā attano uppannadukkhaṃ paṭivedenti vāti attho.

    ๑๐๐-๑. ปวเนติ มหาวเนฯ ผลิเนติ ผลวเนฺตฯ อุพฺพิทฺธาติ อุทฺธํ อุคฺคตา อุจฺจาฯ อุปคจฺฉนฺติ ทารเกติ ยถา ผลานิ ทารกานํ หตฺถูปคยฺหกานิ โหนฺติ, เอวํ รุกฺขา สยเมว สาขาหิ โอนมิตฺวา ทารเก อุเปนฺติฯ

    100-1.Pavaneti mahāvane. Phalineti phalavante. Ubbiddhāti uddhaṃ uggatā uccā. Upagacchanti dāraketi yathā phalāni dārakānaṃ hatthūpagayhakāni honti, evaṃ rukkhā sayameva sākhāhi onamitvā dārake upenti.

    ๑๐๒. อจฺฉริยนฺติ อจฺฉราโยคฺคํ, อจฺฉรํ ปหริตุํ ยุตฺตํฯ อภูตปุพฺพํ ภูตนฺติ อพฺภุตํฯ โลมานํ หํสนสมตฺถตาย โลมหํสนํฯ สาหุการนฺติ สาธุการํ, อยเมว วา ปาโฐฯ อิตฺถิรตนภาเวน สเพฺพหิ อเงฺคหิ อวยเวหิ โสภตีติ สพฺพงฺคโสภนา

    102.Acchariyanti accharāyoggaṃ, accharaṃ paharituṃ yuttaṃ. Abhūtapubbaṃ bhūtanti abbhutaṃ. Lomānaṃ haṃsanasamatthatāya lomahaṃsanaṃ. Sāhukāranti sādhukāraṃ, ayameva vā pāṭho. Itthiratanabhāvena sabbehi aṅgehi avayavehi sobhatīti sabbaṅgasobhanā.

    ๑๐๓-๔. อเจฺฉรํ วตาติ อจฺฉริยํ วตฯ เวสฺสนฺตรสฺส เตเชนาติ เวสฺสนฺตรสฺส ปุญฺญานุภาเวนฯ สงฺขิปิํสุ ปถํ ยกฺขาติ เทวตา มหาสตฺตสฺส ปุญฺญเตเชน โจทิตา ตํ มคฺคํ ปริกฺขยํ ปาเปสุํ, อปฺปกํ อกํสุ, ตํ ปน ทารเกสุ กรุณาย กตํ วิย กตฺวา วุตฺตํ ‘‘อนุกมฺปาย ทารเก’’ติฯ เชตุตฺตรนครโต หิ สุวณฺณคิริตาโล นาม ปพฺพโต ปญฺจ โยชนานิ, ตโต โกนฺติมารา นาม นที ปญฺจ โยชนานิ, ตโต มารญฺชนาคิริ นาม ปพฺพโต ปญฺจ โยชนานิ, ตโต ทณฺฑพฺราหฺมณคาโม นาม ปญฺจ โยชนานิ, ตโต มาตุลนครํ ทส โยชนานิ, อิติ ตํ รฎฺฐํ เชตุตฺตรนครโต ติํส โยชนานิ โหติฯ เทวตา โพธิสตฺตสฺส ปุญฺญเตเชน โจทิตา มคฺคํ ปริกฺขยํ ปาเปสุํฯ ตํ สพฺพํ เอกาเหเนว อติกฺกมิํสุฯ เตน วุตฺตํ ‘‘นิกฺขนฺตทิวเสเนว, เจตรฎฺฐมุปาคมุ’’นฺติฯ

    103-4.Accheraṃ vatāti acchariyaṃ vata. Vessantarassa tejenāti vessantarassa puññānubhāvena. Saṅkhipiṃsu pathaṃ yakkhāti devatā mahāsattassa puññatejena coditā taṃ maggaṃ parikkhayaṃ pāpesuṃ, appakaṃ akaṃsu, taṃ pana dārakesu karuṇāya kataṃ viya katvā vuttaṃ ‘‘anukampāya dārake’’ti. Jetuttaranagarato hi suvaṇṇagiritālo nāma pabbato pañca yojanāni, tato kontimārā nāma nadī pañca yojanāni, tato mārañjanāgiri nāma pabbato pañca yojanāni, tato daṇḍabrāhmaṇagāmo nāma pañca yojanāni, tato mātulanagaraṃ dasa yojanāni, iti taṃ raṭṭhaṃ jetuttaranagarato tiṃsa yojanāni hoti. Devatā bodhisattassa puññatejena coditā maggaṃ parikkhayaṃ pāpesuṃ. Taṃ sabbaṃ ekāheneva atikkamiṃsu. Tena vuttaṃ ‘‘nikkhantadivaseneva, cetaraṭṭhamupāgamu’’nti.

    เอวํ มหาสโตฺต สายนฺหสมยํ เจตรเฎฺฐ มาตุลนครํ ปตฺวา ตสฺส นครสฺส ทฺวารสมีเป สาลายํ นิสีทิฯ อถสฺส มทฺทิเทวี ปาเทสุ รชํ ปุญฺฉิตฺวา ปาเท สมฺพาหิตฺวา ‘‘เวสฺสนฺตรสฺส อาคตภาวํ ชานาเปสฺสามี’’ติ สาลโต นิกฺขมิตฺวา ตสฺส จกฺขุปเถ สาลทฺวาเร อฎฺฐาสิฯ นครํ ปวิสนฺติโย จ นิกฺขมนฺติโย จ อิตฺถิโย ตํ ทิสฺวา ปริวาเรสุํฯ มหาชโน ตญฺจ เวสฺสนฺตรญฺจ ปุเตฺต จสฺส ตถา อาคเต ทิสฺวา ราชูนํ อาจิกฺขิฯ สฎฺฐิสหสฺสา ราชาโน โรทนฺตา ปริเทวนฺตา ตสฺส สนฺติกํ อาคนฺตฺวา มคฺคปริสฺสมํ วิโนเทตฺวา ตถา อาคมนการณํ ปุจฺฉิํสุฯ

    Evaṃ mahāsatto sāyanhasamayaṃ cetaraṭṭhe mātulanagaraṃ patvā tassa nagarassa dvārasamīpe sālāyaṃ nisīdi. Athassa maddidevī pādesu rajaṃ puñchitvā pāde sambāhitvā ‘‘vessantarassa āgatabhāvaṃ jānāpessāmī’’ti sālato nikkhamitvā tassa cakkhupathe sāladvāre aṭṭhāsi. Nagaraṃ pavisantiyo ca nikkhamantiyo ca itthiyo taṃ disvā parivāresuṃ. Mahājano tañca vessantarañca putte cassa tathā āgate disvā rājūnaṃ ācikkhi. Saṭṭhisahassā rājāno rodantā paridevantā tassa santikaṃ āgantvā maggaparissamaṃ vinodetvā tathā āgamanakāraṇaṃ pucchiṃsu.

    มหาสโตฺต หตฺถิทานํ อาทิํ กตฺวา สพฺพํ กเถสิฯ ตํ สุตฺวา เต อตฺตโน รเชฺชน นิมนฺตยิํสุฯ มหาปุริโส ‘‘มยา ตุมฺหากํ รชฺชํ ปฎิคฺคหิตเมว โหตุ, ราชา ปน มํ รฎฺฐา ปพฺพาเชติ, ตสฺมา วงฺกปพฺพตเมว คมิสฺสามี’’ติ วตฺวา เตหิ นานปฺปการํ ตตฺถ วาสํ ยาจิยมาโนปิ ตํ อนลงฺกริตฺวา เตหิ คหิตารโกฺข ตํ รตฺติํ สาลายเมว วสิตฺวา ปุนทิวเส ปาโตว นานคฺครสโภชนํ ภุญฺชิตฺวา เตหิ ปริวุโต นิกฺขมิตฺวา ปนฺนรสโยชนมคฺคํ คนฺตฺวา วนทฺวาเร ฐตฺวา เต นิวเตฺตตฺวา ปุรโต ปนฺนรสโยชนมคฺคํ เตหิ อาจิกฺขิตนิยาเมเนว อคมาสิฯ เตน วุตฺตํ –

    Mahāsatto hatthidānaṃ ādiṃ katvā sabbaṃ kathesi. Taṃ sutvā te attano rajjena nimantayiṃsu. Mahāpuriso ‘‘mayā tumhākaṃ rajjaṃ paṭiggahitameva hotu, rājā pana maṃ raṭṭhā pabbājeti, tasmā vaṅkapabbatameva gamissāmī’’ti vatvā tehi nānappakāraṃ tattha vāsaṃ yāciyamānopi taṃ analaṅkaritvā tehi gahitārakkho taṃ rattiṃ sālāyameva vasitvā punadivase pātova nānaggarasabhojanaṃ bhuñjitvā tehi parivuto nikkhamitvā pannarasayojanamaggaṃ gantvā vanadvāre ṭhatvā te nivattetvā purato pannarasayojanamaggaṃ tehi ācikkhitaniyāmeneva agamāsi. Tena vuttaṃ –

    ๑๐๕.

    105.

    ‘‘สฎฺฐิราชสหสฺสานิ, ตทา วสนฺติ มาตุเล;

    ‘‘Saṭṭhirājasahassāni, tadā vasanti mātule;

    สเพฺพ ปญฺชลิกา หุตฺวา, โรทมานา อุปาคมุํฯ

    Sabbe pañjalikā hutvā, rodamānā upāgamuṃ.

    ๑๐๖.

    106.

    ‘‘ตตฺถ วเตฺตตฺวา สลฺลาปํ, เจเตหิ เจตปุเตฺตหิ;

    ‘‘Tattha vattetvā sallāpaṃ, cetehi cetaputtehi;

    เต ตโต นิกฺขมิตฺวาน, วงฺกํ อคมุ ปพฺพต’’นฺติฯ

    Te tato nikkhamitvāna, vaṅkaṃ agamu pabbata’’nti.

    ตตฺถ ตตฺถ วเตฺตตฺวา สลฺลาปนฺติ ตตฺถ เตหิ ราชูหิ สมาคเมหิ สทฺธิํ ปฎิสโมฺมทมานา กถํ ปวเตฺตตฺวาฯ เจตปุเตฺตหีติ เจตราชปุเตฺตหิฯ เต ตโต นิกฺขมิตฺวานาติ เต ราชาโน ตโต วนทฺวารฎฺฐาเน นิวเตฺตตฺวาฯ วงฺกํ อคมุ ปพฺพตนฺติ อเมฺห จตฺตาโร ชนา วงฺกปพฺพตํ อุทฺทิสฺส อคมมฺหาฯ

    Tattha tattha vattetvā sallāpanti tattha tehi rājūhi samāgamehi saddhiṃ paṭisammodamānā kathaṃ pavattetvā. Cetaputtehīti cetarājaputtehi. Te tato nikkhamitvānāti te rājāno tato vanadvāraṭṭhāne nivattetvā. Vaṅkaṃ agamu pabbatanti amhe cattāro janā vaṅkapabbataṃ uddissa agamamhā.

    อถ มหาสโตฺต เตหิ อาจิกฺขิตมเคฺคน คจฺฉโนฺต คนฺธมาทนปพฺพตํ ปตฺวา ตํ ทิวสํ ตตฺถ วสิตฺวา ตโต อุตฺตรทิสาภิมุโข เวปุลฺลปพฺพตปาเทน คนฺตฺวา เกตุมตีนทีตีเร นิสีทิตฺวา วนจรเกน ทินฺนํ มธุมํสํ ขาทิตฺวา ตสฺส สุวณฺณสูจิํ ทตฺวา นฺหตฺวา ปิวิตฺวา ปฎิปฺปสฺสทฺธทรโถ นทิํ อุตฺตริตฺวา สานุปพฺพตสิขเร ฐิตสฺส นิโคฺรธสฺส มูเล โถกํ นิสีทิตฺวา อุฎฺฐาย คจฺฉโนฺต นาลิกปพฺพตํ ปริหรโนฺต มุจลินฺทสรํ คนฺตฺวา สรตีเรน ปุพฺพุตฺตรกณฺณํ ปตฺวา เอกปทิกมเคฺคเนว วนฆฎํ ปวิสิตฺวา ตํ อติกฺกมฺม คิริวิทุคฺคานํ นทีปภวานํ ปุรโต จตุรสฺสโปกฺขรณิํ ปาปุณิฯ

    Atha mahāsatto tehi ācikkhitamaggena gacchanto gandhamādanapabbataṃ patvā taṃ divasaṃ tattha vasitvā tato uttaradisābhimukho vepullapabbatapādena gantvā ketumatīnadītīre nisīditvā vanacarakena dinnaṃ madhumaṃsaṃ khāditvā tassa suvaṇṇasūciṃ datvā nhatvā pivitvā paṭippassaddhadaratho nadiṃ uttaritvā sānupabbatasikhare ṭhitassa nigrodhassa mūle thokaṃ nisīditvā uṭṭhāya gacchanto nālikapabbataṃ pariharanto mucalindasaraṃ gantvā saratīrena pubbuttarakaṇṇaṃ patvā ekapadikamaggeneva vanaghaṭaṃ pavisitvā taṃ atikkamma girividuggānaṃ nadīpabhavānaṃ purato caturassapokkharaṇiṃ pāpuṇi.

    ๑๐๗. ตสฺมิํ ขเณ สโกฺก อาวเชฺชโนฺต ‘‘มหาสโตฺต หิมวนฺตํ ปวิโฎฺฐ, วสนฎฺฐานํ ลทฺธุํ วฎฺฎตี’’ติ จิเนฺตตฺวา วิสฺสกมฺมํ เปเสสิ – ‘‘คจฺฉ วงฺกปพฺพตกุจฺฉิมฺหิ รมณีเย ฐาเน อสฺสมปทํ มาเปหี’’ติฯ โส ตตฺถ เทฺว ปณฺณสาลาโย เทฺว จงฺกเม เทฺว จ รตฺติฎฺฐานทิวาฎฺฐานานิ มาเปตฺวา เตสุ เตสุ ฐาเนสุ นานาปุปฺผวิจิเตฺต รุเกฺข ผลิเต รุเกฺข ปุปฺผคเจฺฉ กทลิวนาทีนิ จ ทเสฺสตฺวา สเพฺพ ปพฺพชิตปริกฺขาเร ปฎิยาเทตฺวา ‘‘เยเกจิ ปพฺพชิตุกามา, เต คณฺหนฺตู’’ติ อกฺขรานิ ลิขิตฺวา อมนุเสฺส จ เภรวสเทฺท มิคปกฺขิโน จ ปฎิกฺกมาเปตฺวา สกฎฺฐานเมว คโตฯ

    107. Tasmiṃ khaṇe sakko āvajjento ‘‘mahāsatto himavantaṃ paviṭṭho, vasanaṭṭhānaṃ laddhuṃ vaṭṭatī’’ti cintetvā vissakammaṃ pesesi – ‘‘gaccha vaṅkapabbatakucchimhi ramaṇīye ṭhāne assamapadaṃ māpehī’’ti. So tattha dve paṇṇasālāyo dve caṅkame dve ca rattiṭṭhānadivāṭṭhānāni māpetvā tesu tesu ṭhānesu nānāpupphavicitte rukkhe phalite rukkhe pupphagacche kadalivanādīni ca dassetvā sabbe pabbajitaparikkhāre paṭiyādetvā ‘‘yekeci pabbajitukāmā, te gaṇhantū’’ti akkharāni likhitvā amanusse ca bheravasadde migapakkhino ca paṭikkamāpetvā sakaṭṭhānameva gato.

    มหาสโตฺต เอกปทิกมคฺคํ ทิสฺวา ‘‘ปพฺพชิตานํ วสนฎฺฐานํ ภวิสฺสตี’’ติ มทฺทิญฺจ ปุเตฺต จ ตเตฺถว ฐเปตฺวา อสฺสมปทํ ปวิสิตฺวา อกฺขรานิ โอโลเกตฺวา ‘‘สเกฺกน ทิโนฺนสฺมี’’ติ ปณฺณสาลทฺวารํ วิวริตฺวา ปวิโฎฺฐ ขคฺคญฺจ ธนุญฺจ อปเนตฺวา สาฎเก โอมุญฺจิตฺวา อิสิเวสํ คเหตฺวา กตฺตรทณฺฑํ อาทาย นิกฺขมิตฺวา ปเจฺจกพุทฺธสทิเสน อุปสเมน ทารกานํ สนฺติกํ อคมาสิฯ มทฺทิเทวีปิ มหาสตฺตํ ทิสฺวา ปาเทสุ ปติตฺวา โรทิตฺวา เตเนว สทฺธิํ อสฺสมํ ปวิสิตฺวา อตฺตโน ปณฺณสาลํ คนฺตฺวา อิสิเวสํ คณฺหิฯ ปจฺฉา ปุเตฺตปิ ตาปสกุมารเก กริํสุฯ โพธิสโตฺต มทฺทิํ วรํ ยาจิ ‘‘มยํ อิโต ปฎฺฐาย ปพฺพชิตา นาม, อิตฺถี จ นาม พฺรหฺมจริยสฺส มลํ, มา ทานิ อกาเล มม สนฺติกํ อาคจฺฉา’’ติฯ สา ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา มหาสตฺตมฺปิ วรํ ยาจิ ‘‘เทว, ตุเมฺห ปุเตฺต คเหตฺวา อิเธว โหถ, อหํ ผลาผลํ อาหริสฺสามี’’ติฯ สา ตโต ปฎฺฐาย อรญฺญโต ผลาผลานิ อาหริตฺวา ตโย ชเน ปฎิชคฺคิฯ อิติ จตฺตาโร ขตฺติยา วงฺกปพฺพตกุจฺฉิยํ สตฺตมาสมตฺตํ วสิํสุฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อามนฺตยิตฺวา เทวิโนฺท, วิสฺสกมฺมํ มหิทฺธิก’’นฺติอาทิฯ

    Mahāsatto ekapadikamaggaṃ disvā ‘‘pabbajitānaṃ vasanaṭṭhānaṃ bhavissatī’’ti maddiñca putte ca tattheva ṭhapetvā assamapadaṃ pavisitvā akkharāni oloketvā ‘‘sakkena dinnosmī’’ti paṇṇasāladvāraṃ vivaritvā paviṭṭho khaggañca dhanuñca apanetvā sāṭake omuñcitvā isivesaṃ gahetvā kattaradaṇḍaṃ ādāya nikkhamitvā paccekabuddhasadisena upasamena dārakānaṃ santikaṃ agamāsi. Maddidevīpi mahāsattaṃ disvā pādesu patitvā roditvā teneva saddhiṃ assamaṃ pavisitvā attano paṇṇasālaṃ gantvā isivesaṃ gaṇhi. Pacchā puttepi tāpasakumārake kariṃsu. Bodhisatto maddiṃ varaṃ yāci ‘‘mayaṃ ito paṭṭhāya pabbajitā nāma, itthī ca nāma brahmacariyassa malaṃ, mā dāni akāle mama santikaṃ āgacchā’’ti. Sā ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā mahāsattampi varaṃ yāci ‘‘deva, tumhe putte gahetvā idheva hotha, ahaṃ phalāphalaṃ āharissāmī’’ti. Sā tato paṭṭhāya araññato phalāphalāni āharitvā tayo jane paṭijaggi. Iti cattāro khattiyā vaṅkapabbatakucchiyaṃ sattamāsamattaṃ vasiṃsu. Tena vuttaṃ ‘‘āmantayitvā devindo, vissakammaṃ mahiddhika’’ntiādi.

    ตตฺถ อามนฺตยิตฺวาติ ปโกฺกสาเปตฺวาฯ มหิทฺธิกนฺติ มหติยา เทวิทฺธิยา สมนฺนาคตํฯ อสฺสมํ สุกตนฺติ อสฺสมปทํ สุกตํ กตฺวาฯ รมฺมํ เวสฺสนฺตรสฺส วสนานุจฺฉวิกํ ปณฺณสาลํฯ สุมาปยาติ สุฎฺฐุ มาปยฯ อาณาเปสีติ วจนเสโสฯ สุมาปยีติ สมฺมา มาเปสิฯ

    Tattha āmantayitvāti pakkosāpetvā. Mahiddhikanti mahatiyā deviddhiyā samannāgataṃ. Assamaṃ sukatanti assamapadaṃ sukataṃ katvā. Rammaṃ vessantarassa vasanānucchavikaṃ paṇṇasālaṃ. Sumāpayāti suṭṭhu māpaya. Āṇāpesīti vacanaseso. Sumāpayīti sammā māpesi.

    ๑๑๑. อสุโญฺญติ ยถา โส อสฺสโม อสุโญฺญ โหติ, เอวํ ตสฺส อสุญฺญภาวกรเณน อสุโญฺญ โหมิฯ ‘‘อสุเญฺญ’’ติ วา ปาโฐ, มม วสเนเนว อสุเญฺญ อสฺสเม ทารเก อนุรกฺขโนฺต วสามิ ตตฺถ ติฎฺฐามิฯ โพธิสตฺตสฺส เมตฺตานุภาเวน สมนฺตา ติโยชเน สเพฺพ ติรจฺฉานาปิ เมตฺตํ ปฎิลภิํสุฯ

    111.Asuññoti yathā so assamo asuñño hoti, evaṃ tassa asuññabhāvakaraṇena asuñño homi. ‘‘Asuññe’’ti vā pāṭho, mama vasaneneva asuññe assame dārake anurakkhanto vasāmi tattha tiṭṭhāmi. Bodhisattassa mettānubhāvena samantā tiyojane sabbe tiracchānāpi mettaṃ paṭilabhiṃsu.

    เอวํ เตสุ ตตฺถ วสเนฺตสุ กลิงฺครฎฺฐวาสี ชูชโก นาม พฺราหฺมโณ อมิตฺตตาปนาย นาม ภริยาย ‘‘นาหํ เต นิจฺจํ ธญฺญโกฎฺฎนอุทกาหรณยาคุภตฺตปจนาทีนิ กาตุํ สโกฺกมิ, ปริจารกํ เม ทาสํ วา ทาสิํ วา อาเนหี’’ติ วุเตฺต ‘‘กุโตหํ เต โภติ ทุคฺคโต ทาสํ วา ทาสิํ วา ลภิสฺสามี’’ติ วตฺวา ตาย ‘‘เอส เวสฺสนฺตโร ราชา วงฺกปพฺพเต วสติฯ ตสฺส ปุเตฺต มยฺหํ ปริจารเก ยาจิตฺวา อาเนหี’’ติ วุเตฺต กิเลสวเสน ตสฺสา ปฎิพทฺธจิตฺตตาย ตสฺสา วจนํ อติกฺกมิตุํ อสโกฺกโนฺต ปาเถยฺยํ ปฎิยาทาเปตฺวา อนุกฺกเมน เชตุตฺตรนครํ ปตฺวา ‘‘กุหิํ เวสฺสนฺตรมหาราชา’’ติ ปุจฺฉิฯ

    Evaṃ tesu tattha vasantesu kaliṅgaraṭṭhavāsī jūjako nāma brāhmaṇo amittatāpanāya nāma bhariyāya ‘‘nāhaṃ te niccaṃ dhaññakoṭṭanaudakāharaṇayāgubhattapacanādīni kātuṃ sakkomi, paricārakaṃ me dāsaṃ vā dāsiṃ vā ānehī’’ti vutte ‘‘kutohaṃ te bhoti duggato dāsaṃ vā dāsiṃ vā labhissāmī’’ti vatvā tāya ‘‘esa vessantaro rājā vaṅkapabbate vasati. Tassa putte mayhaṃ paricārake yācitvā ānehī’’ti vutte kilesavasena tassā paṭibaddhacittatāya tassā vacanaṃ atikkamituṃ asakkonto pātheyyaṃ paṭiyādāpetvā anukkamena jetuttaranagaraṃ patvā ‘‘kuhiṃ vessantaramahārājā’’ti pucchi.

    มหาชโน ‘‘อิเมสํ ยาจกานํ อติทาเนน อมฺหากํ ราชา รฎฺฐา ปพฺพาชิโต, เอวํ อมฺหากํ ราชานํ นาเสตฺวา ปุนปิ อิเธว อาคจฺฉตี’’ติ เลฑฺฑุทณฺฑาทิหโตฺถ อุปโกฺกสโนฺต พฺราหฺมณํ อนุพนฺธิฯ โส เทวตาวิคฺคหิโต หุตฺวา ตโต นิกฺขมิตฺวา วงฺกปพฺพตคามิมคฺคํ อภิรุโฬฺห อนุกฺกเมน วนทฺวารํ ปตฺวา มหาวนํ อโชฺฌคาเหตฺวา มคฺคมูโฬฺห หุตฺวา วิจรโนฺต เตหิ ราชูหิ โพธิสตฺตสฺส อารกฺขณตฺถาย ฐปิเตน เจตปุเตฺตน สมาคญฺฉิฯ เตน ‘‘กหํ, โภ พฺราหฺมณ, คจฺฉสี’’ติ ปุโฎฺฐ ‘‘เวสฺสนฺตรมหาราชสฺส สนฺติก’’นฺติ วุเตฺต ‘‘อทฺธา อยํ พฺราหฺมโณ ตสฺส ปุเตฺต วา เทวิํ วา ยาจิตุํ คจฺฉตี’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘มา โข, ตฺวํ พฺราหฺมณ, ตตฺถ คญฺฉิ, สเจ คจฺฉสิ, เอเตฺถว เต สีสํ ฉินฺทิตฺวา มยฺหํ สุนขานํ ฆาสํ กริสฺสามี’’ติ เตน สนฺตชฺชิโต มรณภยภีโต ‘‘อหมสฺส ปิตรา เปสิโต ทูโต, ‘ตํ อาเนสฺสามี’ติ อาคโต’’ติ มุสาวาทํ อภาสิฯ ตํ สุตฺวา เจตปุโตฺต ตุฎฺฐหโฎฺฐ พฺราหฺมณสฺส สกฺการสมฺมานํ กตฺวา วงฺกปพฺพตคามิมคฺคํ อาจิกฺขิฯ โส ตโต ปรํ คจฺฉโนฺต อนฺตรามเคฺค อจฺจุเตน นาม ตาปเสน สทฺธิํ สมาคนฺตฺวา ตมฺปิ มคฺคํ ปุจฺฉิตฺวา เตนาปิ มเคฺค อาจิกฺขิเต เตน อาจิกฺขิตสญฺญาย มคฺคํ คจฺฉโนฺต อนุกฺกเมน โพธิสตฺตสฺส อสฺสมปทฎฺฐานสมีปํ คนฺตฺวา มทฺทิเทวิยา ผลาผลตฺถํ คตกาเล โพธิสตฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา อุโภ ทารเก ยาจิฯ เตน วุตฺตํ –

    Mahājano ‘‘imesaṃ yācakānaṃ atidānena amhākaṃ rājā raṭṭhā pabbājito, evaṃ amhākaṃ rājānaṃ nāsetvā punapi idheva āgacchatī’’ti leḍḍudaṇḍādihattho upakkosanto brāhmaṇaṃ anubandhi. So devatāviggahito hutvā tato nikkhamitvā vaṅkapabbatagāmimaggaṃ abhiruḷho anukkamena vanadvāraṃ patvā mahāvanaṃ ajjhogāhetvā maggamūḷho hutvā vicaranto tehi rājūhi bodhisattassa ārakkhaṇatthāya ṭhapitena cetaputtena samāgañchi. Tena ‘‘kahaṃ, bho brāhmaṇa, gacchasī’’ti puṭṭho ‘‘vessantaramahārājassa santika’’nti vutte ‘‘addhā ayaṃ brāhmaṇo tassa putte vā deviṃ vā yācituṃ gacchatī’’ti cintetvā ‘‘mā kho, tvaṃ brāhmaṇa, tattha gañchi, sace gacchasi, ettheva te sīsaṃ chinditvā mayhaṃ sunakhānaṃ ghāsaṃ karissāmī’’ti tena santajjito maraṇabhayabhīto ‘‘ahamassa pitarā pesito dūto, ‘taṃ ānessāmī’ti āgato’’ti musāvādaṃ abhāsi. Taṃ sutvā cetaputto tuṭṭhahaṭṭho brāhmaṇassa sakkārasammānaṃ katvā vaṅkapabbatagāmimaggaṃ ācikkhi. So tato paraṃ gacchanto antarāmagge accutena nāma tāpasena saddhiṃ samāgantvā tampi maggaṃ pucchitvā tenāpi magge ācikkhite tena ācikkhitasaññāya maggaṃ gacchanto anukkamena bodhisattassa assamapadaṭṭhānasamīpaṃ gantvā maddideviyā phalāphalatthaṃ gatakāle bodhisattaṃ upasaṅkamitvā ubho dārake yāci. Tena vuttaṃ –

    ๑๑๒.

    112.

    ‘‘ปวเน วสมานสฺส, อทฺธิโก มํ อุปาคมิ;

    ‘‘Pavane vasamānassa, addhiko maṃ upāgami;

    อยาจิ ปุตฺตเก มยฺหํ, ชาลิํ กณฺหาชินํ จุโภ’’ติฯ

    Ayāci puttake mayhaṃ, jāliṃ kaṇhājinaṃ cubho’’ti.

    เอวํ พฺราหฺมเณน ทารเกสุ ยาจิเตสุ มหาสโตฺต ‘‘จิรสฺสํ วต เม ยาจโก อธิคโต, อชฺชาหํ อนวเสสโต ทานปารมิํ ปูเรสฺสามี’’ติ อธิปฺปาเยน โสมนสฺสชาโต ปสาริตหเตฺถ สหสฺสตฺถวิกํ ฐเปโนฺต วิย พฺราหฺมณสฺส จิตฺตํ ปริโตเสโนฺต สกลญฺจ ตํ ปพฺพตกุจฺฉิํ อุนฺนาเทโนฺต ‘‘ททามิ ตว มยฺหํ ปุตฺตเก, อปิ จ มทฺทิเทวี ปน ปาโตว ผลาผลตฺถาย วนํ คนฺตฺวา สายํ อาคมิสฺสติ, ตาย อาคตาย เต ปุตฺตเก ทเสฺสตฺวา ตฺวญฺจ มูลผลาผลํ ขาทิตฺวา เอกรตฺติํ วสิตฺวา วิคตปริสฺสโม ปาโตว คมิสฺสสี’’ติ อาหฯ พฺราหฺมโณ ‘‘กามเญฺจส อุฬารชฺฌาสยตาย ปุตฺตเก ททาติ, มาตา ปน วจฺฉคิทฺธา อาคนฺตฺวา ทานสฺส อนฺตรายมฺปิ กเรยฺย, ยํนูนาหํ อิมํ นิปฺปีเฬตฺวา ทารเก คเหตฺวา อเชฺชว คเจฺฉยฺย’’นฺติ จิเนฺตตฺวา ‘‘ปุตฺตา เจ เต มยฺหํ ทินฺนา, กิํ ทานิ มาตรํ ทเสฺสตฺวา เปสิเตหิ, ทารเก คเหตฺวา อเชฺชว คมิสฺสามี’’ติ อาหฯ ‘‘สเจ, ตฺวํ พฺราหฺมณ, ราชปุตฺติํ มาตรํ ทฎฺฐุํ น อิจฺฉสิ, อิเม ทารเก คเหตฺวา เชตุตฺตรนครํ คจฺฉ, ตตฺถ สญฺชยมหาราชา ทารเก คเหตฺวา มหนฺตํ เต ธนํ ทสฺสติ, เตน ทาสทาสิโย คณฺหิสฺสสิ, สุขญฺจ ชีวิสฺสสิ, อญฺญถา อิเม สุขุมาลา ราชทารกา, กิํ เต เวยฺยาวจฺจํ กริสฺสนฺตี’’ติ อาหฯ

    Evaṃ brāhmaṇena dārakesu yācitesu mahāsatto ‘‘cirassaṃ vata me yācako adhigato, ajjāhaṃ anavasesato dānapāramiṃ pūressāmī’’ti adhippāyena somanassajāto pasāritahatthe sahassatthavikaṃ ṭhapento viya brāhmaṇassa cittaṃ paritosento sakalañca taṃ pabbatakucchiṃ unnādento ‘‘dadāmi tava mayhaṃ puttake, api ca maddidevī pana pātova phalāphalatthāya vanaṃ gantvā sāyaṃ āgamissati, tāya āgatāya te puttake dassetvā tvañca mūlaphalāphalaṃ khāditvā ekarattiṃ vasitvā vigataparissamo pātova gamissasī’’ti āha. Brāhmaṇo ‘‘kāmañcesa uḷārajjhāsayatāya puttake dadāti, mātā pana vacchagiddhā āgantvā dānassa antarāyampi kareyya, yaṃnūnāhaṃ imaṃ nippīḷetvā dārake gahetvā ajjeva gaccheyya’’nti cintetvā ‘‘puttā ce te mayhaṃ dinnā, kiṃ dāni mātaraṃ dassetvā pesitehi, dārake gahetvā ajjeva gamissāmī’’ti āha. ‘‘Sace, tvaṃ brāhmaṇa, rājaputtiṃ mātaraṃ daṭṭhuṃ na icchasi, ime dārake gahetvā jetuttaranagaraṃ gaccha, tattha sañjayamahārājā dārake gahetvā mahantaṃ te dhanaṃ dassati, tena dāsadāsiyo gaṇhissasi, sukhañca jīvissasi, aññathā ime sukhumālā rājadārakā, kiṃ te veyyāvaccaṃ karissantī’’ti āha.

    พฺราหฺมโณ ‘‘เอวมฺปิ มยา น สกฺกา กาตุํ, ราชทณฺฑโต ภายามิ, มยฺหเมว คามํ เนสฺสามี’’ติ อาหฯ อิมํ เตสํ กถาสลฺลาปํ สุตฺวา ทารกา ‘‘ปิตา โน โข อเมฺห พฺราหฺมณสฺส ทาตุกาโม’’ติ ปกฺกมิตฺวา โปกฺขรณิํ คนฺตฺวา ปทุมินิคเจฺฉ นิลียิํสุฯ พฺราหฺมโณ เต อทิสฺวาว ‘‘ตฺวํ ‘ทารเก ททามี’ติ วตฺวา เต อปกฺกมาเปสิ, เอโส เต สาธุภาโว’’ติ อาหฯ อถ มหาสโตฺต สหสาว อุฎฺฐหิตฺวา ทารเก คเวสโนฺต ปทุมินิคเจฺฉ นิลีเน ทิสฺวา ‘‘เอถ, ตาตา, มา มยฺหํ ทานปารมิยา อนฺตรายํ อกตฺถ, มม ทานชฺฌาสยํ มตฺถกํ ปาเปถ, อยญฺจ พฺราหฺมโณ ตุเมฺห คเหตฺวา ตุมฺหากํ อยฺยกสฺส สญฺชยมหาราชสฺส สนฺติกํ คมิสฺสติ , ตาต ชาลิ, ตฺวํ ภุชิโสฺส โหตุกาโม พฺราหฺมณสฺส นิกฺขสหสฺสํ ทตฺวา ภุชิโสฺส ภเวยฺยาสิ, กณฺหาชิเน ตฺวํ ทาสสตํ ทาสิสตํ หตฺถิสตํ อสฺสสตํ อุสภสตํ นิกฺขสตนฺติ สพฺพสตํ ทตฺวา ภุชิสฺสา ภเวยฺยาสี’’ติ กุมาเร อคฺฆาเปตฺวา สมสฺสาเสตฺวา คเหตฺวา อสฺสมปทํ คนฺตฺวา กมณฺฑลุนา อุทกํ คเหตฺวา สพฺพญฺญุตญฺญาณสฺส ปจฺจยํ กตฺวา พฺราหฺมณสฺส หเตฺถ อุทกํ ปาเตตฺวา อติวิย ปีติโสมนสฺสชาโต หุตฺวา ปถวิํ อุนฺนาเทโนฺต ปิยปุตฺตทานํ อทาสิฯ อิธาปิ ปุเพฺพ วุตฺตนเยเนว ปถวิกมฺปาทโย อเหสุํฯ เตน วุตฺตํ –

    Brāhmaṇo ‘‘evampi mayā na sakkā kātuṃ, rājadaṇḍato bhāyāmi, mayhameva gāmaṃ nessāmī’’ti āha. Imaṃ tesaṃ kathāsallāpaṃ sutvā dārakā ‘‘pitā no kho amhe brāhmaṇassa dātukāmo’’ti pakkamitvā pokkharaṇiṃ gantvā paduminigacche nilīyiṃsu. Brāhmaṇo te adisvāva ‘‘tvaṃ ‘dārake dadāmī’ti vatvā te apakkamāpesi, eso te sādhubhāvo’’ti āha. Atha mahāsatto sahasāva uṭṭhahitvā dārake gavesanto paduminigacche nilīne disvā ‘‘etha, tātā, mā mayhaṃ dānapāramiyā antarāyaṃ akattha, mama dānajjhāsayaṃ matthakaṃ pāpetha, ayañca brāhmaṇo tumhe gahetvā tumhākaṃ ayyakassa sañjayamahārājassa santikaṃ gamissati , tāta jāli, tvaṃ bhujisso hotukāmo brāhmaṇassa nikkhasahassaṃ datvā bhujisso bhaveyyāsi, kaṇhājine tvaṃ dāsasataṃ dāsisataṃ hatthisataṃ assasataṃ usabhasataṃ nikkhasatanti sabbasataṃ datvā bhujissā bhaveyyāsī’’ti kumāre agghāpetvā samassāsetvā gahetvā assamapadaṃ gantvā kamaṇḍalunā udakaṃ gahetvā sabbaññutaññāṇassa paccayaṃ katvā brāhmaṇassa hatthe udakaṃ pātetvā ativiya pītisomanassajāto hutvā pathaviṃ unnādento piyaputtadānaṃ adāsi. Idhāpi pubbe vuttanayeneva pathavikampādayo ahesuṃ. Tena vuttaṃ –

    ๑๑๓.

    113.

    ‘‘ยาจกํ อุปคตํ ทิสฺวา, หาโส เม อุปปชฺชถ;

    ‘‘Yācakaṃ upagataṃ disvā, hāso me upapajjatha;

    อุโภ ปุเตฺต คเหตฺวาน, อทาสิํ พฺราหฺมเณ ตทาฯ

    Ubho putte gahetvāna, adāsiṃ brāhmaṇe tadā.

    ๑๑๔.

    114.

    ‘‘สเก ปุเตฺต จชนฺตสฺส, ชูชเก พฺราหฺมเณ ยทา;

    ‘‘Sake putte cajantassa, jūjake brāhmaṇe yadā;

    ตทาปิ ปถวี กมฺปิ, สิเนรุวนวฎํสกา’’ติฯ

    Tadāpi pathavī kampi, sineruvanavaṭaṃsakā’’ti.

    อถ พฺราหฺมโณ ทารเก อคนฺตุกาเม ลตาย หเตฺถสุ พนฺธิตฺวา อากฑฺฒิฯ เตสํ พนฺธฎฺฐาเน ฉวิํ ฉินฺทิตฺวา โลหิตํ ปคฺฆริฯ โส ลตาทเณฺฑน ปหรโนฺต อากฑฺฒิฯ เต ปิตรํ โอโลเกตฺวาฯ

    Atha brāhmaṇo dārake agantukāme latāya hatthesu bandhitvā ākaḍḍhi. Tesaṃ bandhaṭṭhāne chaviṃ chinditvā lohitaṃ pagghari. So latādaṇḍena paharanto ākaḍḍhi. Te pitaraṃ oloketvā.

    ‘‘อมฺมา จ ตาต นิกฺขนฺตา, ตฺวญฺจ โน ตาต ทสฺสสิ;

    ‘‘Ammā ca tāta nikkhantā, tvañca no tāta dassasi;

    มา โน ตฺวํ ตาต อททา, ยาว อมฺมาปิ เอตุ โน;

    Mā no tvaṃ tāta adadā, yāva ammāpi etu no;

    ตทายํ พฺราหฺมโณ กามํ, วิกฺกิณาตุ หนาตุ วา’’ติฯ (ชา. ๒.๒๒.๒๑๒๖) –

    Tadāyaṃ brāhmaṇo kāmaṃ, vikkiṇātu hanātu vā’’ti. (jā. 2.22.2126) –

    วตฺวา ปุนปิ อยํ เอวรูโป โฆรทสฺสโน กุรูรกมฺมโนฺต –

    Vatvā punapi ayaṃ evarūpo ghoradassano kurūrakammanto –

    ‘‘มนุโสฺส อุทาหุ ยโกฺข, มํสโลหิตโภชโน;

    ‘‘Manusso udāhu yakkho, maṃsalohitabhojano;

    คามา อรญฺญมาคมฺม, ธนํ ตํ ตาต ยาจติ;

    Gāmā araññamāgamma, dhanaṃ taṃ tāta yācati;

    นียมาเน ปิสาเจน, กิํ นุ ตาต อุทิกฺขสี’’ติฯ (ชา. ๒.๒๒.๒๑๓๐-๒๑๓๑) –

    Nīyamāne pisācena, kiṃ nu tāta udikkhasī’’ti. (jā. 2.22.2130-2131) –

    อาทีนิ วทนฺตา ปริเทวิํสุฯ ตตฺถ ธนนฺติ ปุตฺตธนํฯ

    Ādīni vadantā parideviṃsu. Tattha dhananti puttadhanaṃ.

    ชูชโก ทารเก ตถา ปริเทวเนฺตเยว โปเถโนฺตว คเหตฺวา ปกฺกามิฯ มหาสตฺตสฺส ทารกานํ กรุณํ ปริเทวิเตน ตสฺส จ พฺราหฺมณสฺส อการุญฺญภาเวน พลวโสโก อุปฺปชฺชิ, วิปฺปฎิสาโร จ อุทปาทิฯ โส ตงฺขณเญฺญว โพธิสตฺตานํ ปเวณิํ อนุสฺสริฯ ‘‘สเพฺพว หิ โพธิสตฺตา ปญฺจ มหาปริจฺจาเค ปริจฺจชิตฺวา พุทฺธา ภวิสฺสนฺติ, อหมฺปิ เตสํ อพฺภนฺตโร, ปุตฺตทานญฺจ มหาปริจฺจาคานํ อญฺญตรํ, ตสฺมา เวสฺสนฺตร ทานํ ทตฺวา ปจฺฉานุตาโป น เต อนุจฺฉวิโก’’ติ อตฺตานํ ปริภาเสตฺวา ‘‘ทินฺนกาลโต ปฎฺฐาย มม เต น กิญฺจิ โหนฺตี’’ติ อตฺตานํ อุปตฺถเมฺภตฺวา ทฬฺหสมาทานํ อธิฎฺฐาย ปณฺณสาลทฺวาเร ปาสาณผลเก กญฺจนปฎิมา วิย นิสีทิฯ

    Jūjako dārake tathā paridevanteyeva pothentova gahetvā pakkāmi. Mahāsattassa dārakānaṃ karuṇaṃ paridevitena tassa ca brāhmaṇassa akāruññabhāvena balavasoko uppajji, vippaṭisāro ca udapādi. So taṅkhaṇaññeva bodhisattānaṃ paveṇiṃ anussari. ‘‘Sabbeva hi bodhisattā pañca mahāpariccāge pariccajitvā buddhā bhavissanti, ahampi tesaṃ abbhantaro, puttadānañca mahāpariccāgānaṃ aññataraṃ, tasmā vessantara dānaṃ datvā pacchānutāpo na te anucchaviko’’ti attānaṃ paribhāsetvā ‘‘dinnakālato paṭṭhāya mama te na kiñci hontī’’ti attānaṃ upatthambhetvā daḷhasamādānaṃ adhiṭṭhāya paṇṇasāladvāre pāsāṇaphalake kañcanapaṭimā viya nisīdi.

    อถ มทฺทิเทวี อรญฺญโต ผลาผลํ คเหตฺวา นิวตฺตนฺตี ‘‘มา มหาสตฺตสฺส ทานนฺตราโย โหตู’’ติ วาฬมิครูปธราหิ เทวตาหิ อุปรุทฺธมคฺคา เตสุ อปคเตสุ จิเรน อสฺสมํ ปตฺวา ‘‘อชฺช เม ทุสฺสุปินํ ทิฎฺฐํ, ทุนฺนิมิตฺตานิ จ อุปฺปนฺนานิ, กิํ นุ โข ภวิสฺสตี’’ติ จิเนฺตนฺตี อสฺสมํ ปวิสิตฺวา ปุตฺตเก อปสฺสนฺตี โพธิสตฺตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘เทว, น โข อมฺหากํ ปุตฺตเก ปสฺสามิ, กุหิํ เต คตา’’ติ อาหฯ โส ตุณฺหี อโหสิฯ สา ปุตฺตเก อุปธาเรนฺตี ตหิํ ตหิํ อุปธาวิตฺวา คเวสนฺตี อทิสฺวา ปุนปิ คนฺตฺวา ปุจฺฉิฯ โพธิสโตฺต ‘‘กกฺขฬกถาย นํ ปุตฺตโสกํ ชหาเปสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา –

    Atha maddidevī araññato phalāphalaṃ gahetvā nivattantī ‘‘mā mahāsattassa dānantarāyo hotū’’ti vāḷamigarūpadharāhi devatāhi uparuddhamaggā tesu apagatesu cirena assamaṃ patvā ‘‘ajja me dussupinaṃ diṭṭhaṃ, dunnimittāni ca uppannāni, kiṃ nu kho bhavissatī’’ti cintentī assamaṃ pavisitvā puttake apassantī bodhisattassa santikaṃ gantvā ‘‘deva, na kho amhākaṃ puttake passāmi, kuhiṃ te gatā’’ti āha. So tuṇhī ahosi. Sā puttake upadhārentī tahiṃ tahiṃ upadhāvitvā gavesantī adisvā punapi gantvā pucchi. Bodhisatto ‘‘kakkhaḷakathāya naṃ puttasokaṃ jahāpessāmī’’ti cintetvā –

    ‘‘นูน มทฺที วราโรหา, ราชปุตฺตี ยสสฺสินี;

    ‘‘Nūna maddī varārohā, rājaputtī yasassinī;

    ปาโต คตาสิ อุญฺฉาย, กิมิทํ สายมาคตา’’ติฯ (ชา. ๒.๒๒.๒๒๒๕) –

    Pāto gatāsi uñchāya, kimidaṃ sāyamāgatā’’ti. (jā. 2.22.2225) –

    วตฺวา ตาย จิรายนการเณ กถิเต ปุนปิ ทารเก สนฺธาย น กิญฺจิ อาหฯ สา ปุตฺตโสเกน เต อุปธาเรนฺตี ปุนปิ วาตเวเคน วนานิ วิจริฯ ตาย เอกรตฺติยํ วิจริตฎฺฐานํ ปริคฺคณฺหนฺตํ ปนฺนรสโยชนมตฺตํ อโหสิฯ อถ วิภาตาย รตฺติยา มหาสตฺตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ฐิตา ทารกานํ อทสฺสเนน พลวโสกาภิภูตา ตสฺส ปาทมูเล ฉินฺนกทลี วิย ภูมิยํ วิสญฺญี หุตฺวา ปติฯ โส ‘‘มตา’’ติ สญฺญาย กมฺปมาโน อุปฺปนฺนพลวโสโกปิ สติํ ปจฺจุปฎฺฐเปตฺวา ‘‘ชานิสฺสามิ ตาว ชีวติ, น ชีวตี’’ติ สตฺตมาเส กายสํสคฺคํ อนาปนฺนปุโพฺพปิ อญฺญสฺส อภาเวน ตสฺสา สีสํ อุกฺขิปิตฺวา อูรูสุ ฐเปตฺวา อุทเกน ปริโปฺผสิตฺวา อุรญฺจ มุขญฺจ หทยญฺจ ปริมชฺชิฯ มทฺทีปิ โข โถกํ วีตินาเมตฺวา สติํ ปฎิลภิตฺวา หิโรตฺตปฺปํ ปจฺจุปฎฺฐเปตฺวา ‘‘เทว, ทารกา เต กุหิํ คตา’’ติ ปุจฺฉิฯ โส อาห – ‘‘เทวิ, เอกสฺส เม พฺราหฺมณสฺส มํ ยาจิตฺวา อาคตสฺส ทาสตฺถาย ทินฺนา’’ติ วตฺวา ตาย ‘‘กสฺมา, เทว, ปุเตฺต พฺราหฺมณสฺส ทตฺวา มม สพฺพรตฺติํ ปริเทวิตฺวา วิจรนฺติยา นาจิกฺขี’’ติ วุเตฺต ‘‘ปฐมเมว วุเตฺต ตว จิตฺตทุกฺขํ พหุ ภวิสฺสติ, อิทานิ ปน สรีรทุเกฺขน ตนุกํ ภวิสฺสตี’’ติ วตฺวา –

    Vatvā tāya cirāyanakāraṇe kathite punapi dārake sandhāya na kiñci āha. Sā puttasokena te upadhārentī punapi vātavegena vanāni vicari. Tāya ekarattiyaṃ vicaritaṭṭhānaṃ pariggaṇhantaṃ pannarasayojanamattaṃ ahosi. Atha vibhātāya rattiyā mahāsattassa santikaṃ gantvā ṭhitā dārakānaṃ adassanena balavasokābhibhūtā tassa pādamūle chinnakadalī viya bhūmiyaṃ visaññī hutvā pati. So ‘‘matā’’ti saññāya kampamāno uppannabalavasokopi satiṃ paccupaṭṭhapetvā ‘‘jānissāmi tāva jīvati, na jīvatī’’ti sattamāse kāyasaṃsaggaṃ anāpannapubbopi aññassa abhāvena tassā sīsaṃ ukkhipitvā ūrūsu ṭhapetvā udakena paripphositvā urañca mukhañca hadayañca parimajji. Maddīpi kho thokaṃ vītināmetvā satiṃ paṭilabhitvā hirottappaṃ paccupaṭṭhapetvā ‘‘deva, dārakā te kuhiṃ gatā’’ti pucchi. So āha – ‘‘devi, ekassa me brāhmaṇassa maṃ yācitvā āgatassa dāsatthāya dinnā’’ti vatvā tāya ‘‘kasmā, deva, putte brāhmaṇassa datvā mama sabbarattiṃ paridevitvā vicarantiyā nācikkhī’’ti vutte ‘‘paṭhamameva vutte tava cittadukkhaṃ bahu bhavissati, idāni pana sarīradukkhena tanukaṃ bhavissatī’’ti vatvā –

    ‘‘มํ ปสฺส มทฺทิ มา ปุเตฺต, มา พาฬฺหํ ปริเทวสิ;

    ‘‘Maṃ passa maddi mā putte, mā bāḷhaṃ paridevasi;

    ลจฺฉาม ปุเตฺต ชีวนฺตา, อโรคา จ ภวามเส’’ติฯ (ชา. ๒.๒๒.๒๒๖๐) –

    Lacchāma putte jīvantā, arogā ca bhavāmase’’ti. (jā. 2.22.2260) –

    โส สมสฺสาเสตฺวา ปุน –

    So samassāsetvā puna –

    ‘‘ปุเตฺต ปสุญฺจ ธญฺญญฺจ, ยญฺจ อญฺญํ ฆเร ธนํ;

    ‘‘Putte pasuñca dhaññañca, yañca aññaṃ ghare dhanaṃ;

    ทชฺชา สปฺปุริโส ทานํ, ทิสฺวา ยาจกมาคตํ;

    Dajjā sappuriso dānaṃ, disvā yācakamāgataṃ;

    อนุโมทาหิ เม มทฺทิ, ปุตฺตเก ทานมุตฺตม’’นฺติฯ (ชา. ๒.๒๒.๒๒๖๑) –

    Anumodāhi me maddi, puttake dānamuttama’’nti. (jā. 2.22.2261) –

    วตฺวา อตฺตโน ปุตฺตทานํ ตํ อนุโมทาเปสิฯ

    Vatvā attano puttadānaṃ taṃ anumodāpesi.

    สาปิ –

    Sāpi –

    ‘‘อนุโมทามิ เต เทว, ปุตฺตเก ทานมุตฺตมํ;

    ‘‘Anumodāmi te deva, puttake dānamuttamaṃ;

    ทตฺวา จิตฺตํ ปสาเทหิ, ภิโยฺย ทานํ ทโท ภวา’’ติฯ (ชา. ๒.๒๒.๒๒๖๒) –

    Datvā cittaṃ pasādehi, bhiyyo dānaṃ dado bhavā’’ti. (jā. 2.22.2262) –

    วตฺวา อนุโมทิฯ

    Vatvā anumodi.

    เอวํ เตสุ อญฺญมญฺญํ สโมฺมทนียํ กถํ กเถเนฺตสุ สโกฺก จิเนฺตสิ – ‘‘มหาปุริโส หิโยฺย ชูชกสฺส ปถวิํ อุนฺนาเทตฺวา ทารเก อทาสิฯ อิทานิ นํ โกจิ หีนปุริโส อุปสงฺกมิตฺวา มทฺทิเทวิํ ยาจิตฺวา คเหตฺวา คเจฺฉยฺย, ตโต ราชา นิปฺปจฺจโย ภเวยฺย, หนฺทาหํ พฺราหฺมณวเณฺณน นํ อุปสงฺกมิตฺวา มทฺทิํ ยาจิตฺวา ปารมิกูฎํ คาหาเปตฺวา กสฺสจิ อวิสฺสชฺชิยํ กตฺวา ปุน นํ ตเสฺสว ทตฺวา อาคมิสฺสามี’’ติฯ โส สูริยุคฺคมนเวลายํ พฺราหฺมณวเณฺณน ตสฺส สนฺติกํ อคมาสิฯ ตํ ทิสฺวา มหาปุริโส ‘‘อติถิ โน อาคโต’’ติ ปีติโสมนสฺสชาโต เตน สทฺธิํ มธุรปฎิสนฺถารํ กตฺวา ‘‘พฺราหฺมณ, เกนเตฺถน อิธาคโตสี’’ติ ปุจฺฉิฯ อถ นํ สโกฺก มทฺทิเทวิํ ยาจิฯ เตน วุตฺตํ –

    Evaṃ tesu aññamaññaṃ sammodanīyaṃ kathaṃ kathentesu sakko cintesi – ‘‘mahāpuriso hiyyo jūjakassa pathaviṃ unnādetvā dārake adāsi. Idāni naṃ koci hīnapuriso upasaṅkamitvā maddideviṃ yācitvā gahetvā gaccheyya, tato rājā nippaccayo bhaveyya, handāhaṃ brāhmaṇavaṇṇena naṃ upasaṅkamitvā maddiṃ yācitvā pāramikūṭaṃ gāhāpetvā kassaci avissajjiyaṃ katvā puna naṃ tasseva datvā āgamissāmī’’ti. So sūriyuggamanavelāyaṃ brāhmaṇavaṇṇena tassa santikaṃ agamāsi. Taṃ disvā mahāpuriso ‘‘atithi no āgato’’ti pītisomanassajāto tena saddhiṃ madhurapaṭisanthāraṃ katvā ‘‘brāhmaṇa, kenatthena idhāgatosī’’ti pucchi. Atha naṃ sakko maddideviṃ yāci. Tena vuttaṃ –

    ๑๑๕.

    115.

    ‘‘ปุนเทว สโกฺก โอรุยฺห, หุตฺวา พฺราหฺมณสนฺนิโภ;

    ‘‘Punadeva sakko oruyha, hutvā brāhmaṇasannibho;

    อยาจิ มํ มทฺทิเทวิํ, สีลวนฺติํ ปติพฺพต’’นฺติฯ

    Ayāci maṃ maddideviṃ, sīlavantiṃ patibbata’’nti.

    ตตฺถ ปุนเทวาติ ทารเก ทินฺนทิวสโต ปจฺฉา เอวฯ ตทนนฺตรเมวาติ อโตฺถฯ โอรุยฺหาติ เทวโลกโต โอตริตฺวาฯ พฺราหฺมณสนฺนิโภติ พฺราหฺมณสมานวโณฺณฯ

    Tattha punadevāti dārake dinnadivasato pacchā eva. Tadanantaramevāti attho. Oruyhāti devalokato otaritvā. Brāhmaṇasannibhoti brāhmaṇasamānavaṇṇo.

    อถ มหาสโตฺต ‘‘หิโยฺย เม เทฺวปิ ทารเก พฺราหฺมณสฺส ทินฺนา, อหมฺปิ อรเญฺญ เอกโกว, กถํ เต มทฺทิํ สีลวนฺติํ ปติพฺพตํ ทสฺสามี’’ติ อวตฺวาว ปสาริตหเตฺถ อนคฺฆรตนํ ฐเปโนฺต วิย อสชฺชิตฺวา อพชฺฌิตฺวา อโนลีนมานโส ‘‘อชฺช เม ทานปารมี มตฺถกํ ปาปุณิสฺสตี’’ติ หฎฺฐตุโฎฺฐ คิริํ อุนฺนาเทโนฺต วิย –

    Atha mahāsatto ‘‘hiyyo me dvepi dārake brāhmaṇassa dinnā, ahampi araññe ekakova, kathaṃ te maddiṃ sīlavantiṃ patibbataṃ dassāmī’’ti avatvāva pasāritahatthe anaggharatanaṃ ṭhapento viya asajjitvā abajjhitvā anolīnamānaso ‘‘ajja me dānapāramī matthakaṃ pāpuṇissatī’’ti haṭṭhatuṭṭho giriṃ unnādento viya –

    ‘‘ททามิ น วิกมฺปามิ, ยํ มํ ยาจสิ พฺราหฺมณ;

    ‘‘Dadāmi na vikampāmi, yaṃ maṃ yācasi brāhmaṇa;

    สนฺตํ นปฺปฎิคูหามิ, ทาเน เม รมตี มโน’’ติฯ (ชา. ๒.๒๒.๒๒๗๘) –

    Santaṃ nappaṭigūhāmi, dāne me ramatī mano’’ti. (jā. 2.22.2278) –

    วตฺวา สีฆเมว กมณฺฑลุนา อุทกํ อาหริตฺวา พฺราหฺมณสฺส หเตฺถ อุทกํ ปาเตตฺวา ภริยมทาสิฯ เตน วุตฺตํ –

    Vatvā sīghameva kamaṇḍalunā udakaṃ āharitvā brāhmaṇassa hatthe udakaṃ pātetvā bhariyamadāsi. Tena vuttaṃ –

    ๑๑๖.

    116.

    ‘‘มทฺทิํ หเตฺถ คเหตฺวาน, อุทกญฺชลิ ปูริย;

    ‘‘Maddiṃ hatthe gahetvāna, udakañjali pūriya;

    ปสนฺนมนสงฺกโปฺป, ตสฺส มทฺทิํ อทาสห’’นฺติฯ

    Pasannamanasaṅkappo, tassa maddiṃ adāsaha’’nti.

    ตตฺถ อุทกญฺชลีติ อุทกํ อญฺชลิํ, ‘‘อุทก’’นฺติ จ กรณเตฺถ ปจฺจตฺตวจนํ, อุทเกน ตสฺส พฺราหฺมณสฺส อญฺชลิํ ปสาริตหตฺถตลํ ปูเรตฺวาติ อโตฺถฯ ปสนฺนมนสงฺกโปฺปติ ‘‘อทฺธา อิมินา ปริจฺจาเคน ทานปารมิํ มตฺถกํ ปาเปตฺวา สมฺมาสโมฺพธิํ อธิคมิสฺสามี’’ติ อุปนฺนสทฺธาปสาเทน ปสนฺนจิตฺตสงฺกโปฺปฯ ตงฺขณเญฺญว เหฎฺฐา วุตฺตปฺปการานิ สพฺพปาฎิหาริยานิ ปาตุรเหสุํฯ ‘‘อิทานิสฺส น ทูเร สมฺมาสโมฺพธี’’ติ เทวคณา พฺรหฺมคณา อติวิย ปีติโสมนสฺสชาตา อเหสุํฯ เตน วุตฺตํ –

    Tattha udakañjalīti udakaṃ añjaliṃ, ‘‘udaka’’nti ca karaṇatthe paccattavacanaṃ, udakena tassa brāhmaṇassa añjaliṃ pasāritahatthatalaṃ pūretvāti attho. Pasannamanasaṅkappoti ‘‘addhā iminā pariccāgena dānapāramiṃ matthakaṃ pāpetvā sammāsambodhiṃ adhigamissāmī’’ti upannasaddhāpasādena pasannacittasaṅkappo. Taṅkhaṇaññeva heṭṭhā vuttappakārāni sabbapāṭihāriyāni pāturahesuṃ. ‘‘Idānissa na dūre sammāsambodhī’’ti devagaṇā brahmagaṇā ativiya pītisomanassajātā ahesuṃ. Tena vuttaṃ –

    ๑๑๗.

    117.

    ‘‘มทฺทิยา ทียมานาย, คคเน เทวา ปโมทิตา;

    ‘‘Maddiyā dīyamānāya, gagane devā pamoditā;

    ตทาปิ ปถวี กมฺปิ, สิเนรุวนวฎํสกา’’ติฯ

    Tadāpi pathavī kampi, sineruvanavaṭaṃsakā’’ti.

    ตโต ปน ทียมานาย มทฺทิยา เทวิยา รุณฺณํ วา ทุมฺมุขํ วา ภากุฎิมตฺตํ วา นาโหสิ, เอวํ จสฺสา อโหสิ ‘‘ยํ เทโว อิจฺฉติ, ตํ กโรตู’’ติฯ

    Tato pana dīyamānāya maddiyā deviyā ruṇṇaṃ vā dummukhaṃ vā bhākuṭimattaṃ vā nāhosi, evaṃ cassā ahosi ‘‘yaṃ devo icchati, taṃ karotū’’ti.

    ‘‘โกมารี ยสฺสาหํ ภริยา, สามิโก มม อิสฺสโร;

    ‘‘Komārī yassāhaṃ bhariyā, sāmiko mama issaro;

    ยสฺสิเจฺฉ ตสฺส มํ ทชฺชา, วิกฺกิเณยฺย หเนยฺย วา’’ติฯ (ชา. ๒.๒๒.๒๒๘๒) –

    Yassicche tassa maṃ dajjā, vikkiṇeyya haneyya vā’’ti. (jā. 2.22.2282) –

    อาหฯ

    Āha.

    มหาปุริโสปิ ‘‘อโมฺภ, พฺราหฺมณ, มทฺทิโต เม สตคุเณน สหสฺสคุเณน สตสหสฺสคุเณน สพฺพญฺญุตญฺญาณเมว ปิยตรํ, อิทํ เม ทานํ สพฺพญฺญุตญฺญาณปฺปฎิเวธสฺส ปจฺจโย โหตู’’ติ วตฺวา อทาสิฯ เตน วุตฺตํ –

    Mahāpurisopi ‘‘ambho, brāhmaṇa, maddito me sataguṇena sahassaguṇena satasahassaguṇena sabbaññutaññāṇameva piyataraṃ, idaṃ me dānaṃ sabbaññutaññāṇappaṭivedhassa paccayo hotū’’ti vatvā adāsi. Tena vuttaṃ –

    ๑๑๘.

    118.

    ‘‘ชาลิํ กณฺหาชินํ ธีตํ, มทฺทิเทวิํ ปติพฺพตํ;

    ‘‘Jāliṃ kaṇhājinaṃ dhītaṃ, maddideviṃ patibbataṃ;

    จชมาโน น จิเนฺตสิํ, โพธิยาเยว การณาฯ

    Cajamāno na cintesiṃ, bodhiyāyeva kāraṇā.

    ๑๑๙.

    119.

    น เม เทสฺสา อุโภ ปุตฺตา, มทฺทิเทวี น เทสฺสิยา;

    Na me dessā ubho puttā, maddidevī na dessiyā;

    สพฺพญฺญุตํ ปิยํ มยฺหํ, ตสฺมา ปิเย อทาสห’’นฺติฯ

    Sabbaññutaṃ piyaṃ mayhaṃ, tasmā piye adāsaha’’nti.

    ตตฺถ จชมาโน น จิเนฺตสินฺติ ปริจฺจชโนฺต สนฺตาปวเสน น จิเนฺตสิํ, วิสฺสโฎฺฐ หุตฺวา ปริจฺจชินฺติ อโตฺถฯ

    Tattha cajamāno na cintesinti pariccajanto santāpavasena na cintesiṃ, vissaṭṭho hutvā pariccajinti attho.

    เอตฺถาห – กสฺมา ปนายํ มหาปุริโส อตฺตโน ปุตฺตทาเร ชาติสมฺปเนฺน ขตฺติเย ปรสฺส ทาสภาเวน ปริจฺจชิ, น หิ เยสํ เกสญฺจิปิ ภุชิสฺสานํ อภุชิสฺสภาวกรณํ สาธุธโมฺมติ? วุจฺจเต – อนุธมฺมภาวโตฯ อยญฺหิ พุทฺธการเก ธเมฺม อนุคตธมฺมตา, ยทิทํ สพฺพสฺส อตฺตนิยสฺส มมนฺติ ปริคฺคหิตวตฺถุโน อนวเสสปริจฺจาโค, น หิ เทยฺยธมฺมปฎิคฺคาหกวิกปฺปรหิตํ ทานปารมิํ ปริปูเรตุํ อุสฺสุกฺกมาปนฺนานํ โพธิสตฺตานํ มมนฺติ ปริคฺคหิตวตฺถุํ ยาจนฺตสฺส ยาจกสฺส น ปริจฺจชิตุํ ยุตฺตํ, โปราโณปิ จายมนุธโมฺมฯ สเพฺพสญฺหิ โพธิสตฺตานํ อยํ อาจิณฺณสมาจิณฺณธโมฺม กุลวํโส กุลปฺปเวณี, ยทิทํ สพฺพสฺส ปริจฺจาโคฯ ตตฺถ จ วิเสสโต ปิยตรวตฺถุปริจฺจาโค, น หิ เกจิ โพธิสตฺตา วํสานุคตํ รชฺชิสฺสริยาทิธนปริจฺจาคํ, อตฺตโน สีสนยนาทิองฺคปริจฺจาคํ, ปิยชีวิตปริจฺจาคํ, กุลวํสปติฎฺฐาปกปิยปุตฺตปริจฺจาคํ, มนาปจารินีปิยภริยาปริจฺจาคนฺติ อิเม ปญฺจ มหาปริจฺจาเค อปริจฺจชิตฺวา พุทฺธา นาม ภูตปุพฺพา อตฺถิฯ ตถา หิ มงฺคเล ภควติ โพธิสตฺตภูเต โพธิปริเยสนํ จรมาเน จ จริมตฺตภาวโต ตติเย อตฺตภาเว สปุตฺตทาเร เอกสฺมิํ ปพฺพเต วสเนฺต ขรทาฐิโก นาม ยโกฺข มหาปุริสสฺส ทานชฺฌาสยตํ สุตฺวา พฺราหฺมณวเณฺณน อุปสงฺกมิตฺวา มหาสตฺตํ เทฺว ทารเก ยาจิฯ

    Etthāha – kasmā panāyaṃ mahāpuriso attano puttadāre jātisampanne khattiye parassa dāsabhāvena pariccaji, na hi yesaṃ kesañcipi bhujissānaṃ abhujissabhāvakaraṇaṃ sādhudhammoti? Vuccate – anudhammabhāvato. Ayañhi buddhakārake dhamme anugatadhammatā, yadidaṃ sabbassa attaniyassa mamanti pariggahitavatthuno anavasesapariccāgo, na hi deyyadhammapaṭiggāhakavikapparahitaṃ dānapāramiṃ paripūretuṃ ussukkamāpannānaṃ bodhisattānaṃ mamanti pariggahitavatthuṃ yācantassa yācakassa na pariccajituṃ yuttaṃ, porāṇopi cāyamanudhammo. Sabbesañhi bodhisattānaṃ ayaṃ āciṇṇasamāciṇṇadhammo kulavaṃso kulappaveṇī, yadidaṃ sabbassa pariccāgo. Tattha ca visesato piyataravatthupariccāgo, na hi keci bodhisattā vaṃsānugataṃ rajjissariyādidhanapariccāgaṃ, attano sīsanayanādiaṅgapariccāgaṃ, piyajīvitapariccāgaṃ, kulavaṃsapatiṭṭhāpakapiyaputtapariccāgaṃ, manāpacārinīpiyabhariyāpariccāganti ime pañca mahāpariccāge apariccajitvā buddhā nāma bhūtapubbā atthi. Tathā hi maṅgale bhagavati bodhisattabhūte bodhipariyesanaṃ caramāne ca carimattabhāvato tatiye attabhāve saputtadāre ekasmiṃ pabbate vasante kharadāṭhiko nāma yakkho mahāpurisassa dānajjhāsayataṃ sutvā brāhmaṇavaṇṇena upasaṅkamitvā mahāsattaṃ dve dārake yāci.

    มหาสโตฺต ‘‘ททามิ พฺราหฺมณสฺส ปุตฺตเก’’ติ หฎฺฐปหโฎฺฐ อุทกปริยนฺตํ ปถวิํ กเมฺปโนฺต เทฺวปิ ทารเก อทาสิฯ ยโกฺข จงฺกมนโกฎิยํ อาลมฺพนผลกํ นิสฺสาย ฐิโต มหาสตฺตสฺส ปสฺสนฺตเสฺสว มุฬาลกลาปํ วิย เทฺว ทารเก ขาทิฯ อคฺคิชาลํ วิย โลหิตธารํ อุคฺคิรมานํ ยกฺขสฺส มุขํ โอโลเกนฺตสฺส มหาปุริสสฺส ‘‘วเญฺจสิ วต มํ ยโกฺข’’ติ อุปฺปชฺชนกจิตฺตุปฺปาทสฺส โอกาสํ อเทนฺตสฺส อุปายโกสลฺลสฺส สุภาวิตตฺตา อตีตธมฺมานํ อปฺปฎิสนฺธิสภาวโต อนิจฺจาทิวเสน สงฺขารานํ สุปริมทฺทิตภาวโต จ เอวํ อิตฺตรฎฺฐิติเกน ปภงฺคุนา อสาเรน สงฺขารกลาเปน ‘‘ปูริตา วต เม ทานปารมี, มหนฺตํ วต เม อตฺถํ สาเธตฺวา อิทํ อธิคต’’นฺติ โสมนสฺสเมว อุปฺปชฺชิฯ โส อิทํ อนญฺญสาธารณํ ตสฺมิํ ขเณ อตฺตโน จิตฺตาจารํ ญตฺวา ‘‘อิมสฺส นิสฺสเนฺทน อนาคเต อิมินาว นีหาเรน สรีรโต รสฺมิโย นิกฺขมนฺตู’’ติ ปตฺถนมกาสิฯ ตสฺส ตํ ปตฺถนํ นิสฺสาย พุทฺธภูตสฺส สรีรปฺปภา นิจฺจเมว ทสสหสฺสิโลกธาตุํ ผริตฺวา อฎฺฐาสิ (ธ. ส. อฎฺฐ. นิทานกถา)ฯ เอวํ อเญฺญปิ โพธิสตฺตา อตฺตโน ปิยตรํ ปุตฺตทารํ ปริจฺจชิตฺวา สพฺพญฺญุตญฺญาณํ ปฎิวิชฺฌิํสุฯ

    Mahāsatto ‘‘dadāmi brāhmaṇassa puttake’’ti haṭṭhapahaṭṭho udakapariyantaṃ pathaviṃ kampento dvepi dārake adāsi. Yakkho caṅkamanakoṭiyaṃ ālambanaphalakaṃ nissāya ṭhito mahāsattassa passantasseva muḷālakalāpaṃ viya dve dārake khādi. Aggijālaṃ viya lohitadhāraṃ uggiramānaṃ yakkhassa mukhaṃ olokentassa mahāpurisassa ‘‘vañcesi vata maṃ yakkho’’ti uppajjanakacittuppādassa okāsaṃ adentassa upāyakosallassa subhāvitattā atītadhammānaṃ appaṭisandhisabhāvato aniccādivasena saṅkhārānaṃ suparimadditabhāvato ca evaṃ ittaraṭṭhitikena pabhaṅgunā asārena saṅkhārakalāpena ‘‘pūritā vata me dānapāramī, mahantaṃ vata me atthaṃ sādhetvā idaṃ adhigata’’nti somanassameva uppajji. So idaṃ anaññasādhāraṇaṃ tasmiṃ khaṇe attano cittācāraṃ ñatvā ‘‘imassa nissandena anāgate imināva nīhārena sarīrato rasmiyo nikkhamantū’’ti patthanamakāsi. Tassa taṃ patthanaṃ nissāya buddhabhūtassa sarīrappabhā niccameva dasasahassilokadhātuṃ pharitvā aṭṭhāsi (dha. sa. aṭṭha. nidānakathā). Evaṃ aññepi bodhisattā attano piyataraṃ puttadāraṃ pariccajitvā sabbaññutaññāṇaṃ paṭivijjhiṃsu.

    อปิ จ ยถา นาม โกจิ ปุริโส กสฺสจิ สนฺติเก คามํ วา ชนปทํ วา เกณิยา คเหตฺวา กมฺมํ กโรโนฺต อตฺตโน อเนฺตวาสิกานํ วา ปมาเทน ปูติภูตํ ธนํ ธาเรยฺย, ตเมนํ โส คาหาเปตฺวา พนฺธนาคารํ ปเวเสยฺยฯ ตสฺส เอวมสฺส ‘‘อหํ โข อิมสฺส รโญฺญ กมฺมํ กโรโนฺต เอตฺตกํ นาม ธนํ ธาเรมิ, เตนาหํ รญฺญา พนฺธนาคาเร ปเวสิโต, สจาหํ อิเธว โหมิ, อตฺตานญฺจ ชีเยยฺย, ปุตฺตทารกมฺมกรโปริสา จ เม ชีวิกาปคตา มหนฺตํ อนยพฺยสนํ อาปเชฺชยฺยุํฯ ยํนูนาหํ รโญฺญ อาโรเจตฺวา อตฺตโน ปุตฺตํ วา กนิฎฺฐภาตรํ วา อิธ ฐเปตฺวา นิกฺขเมยฺยํ ฯ เอวาหํ อิโต พนฺธนโต มุโตฺต นจิรเสฺสว ยถามิตฺตํ ยถาสนฺทิฎฺฐํ ธนํ สํหริตฺวา รโญฺญ ทตฺวา ตมฺปิ พนฺธนโต โมเจมิ, อปฺปมโตฺตว หุตฺวา อุฎฺฐานพเลน อตฺตโน สมฺปตฺติํ ปฎิปากติกํ กริสฺสามี’’ติฯ โส ตถา กเรยฺยฯ เอวํ สมฺปทมิทํ ทฎฺฐพฺพํฯ

    Api ca yathā nāma koci puriso kassaci santike gāmaṃ vā janapadaṃ vā keṇiyā gahetvā kammaṃ karonto attano antevāsikānaṃ vā pamādena pūtibhūtaṃ dhanaṃ dhāreyya, tamenaṃ so gāhāpetvā bandhanāgāraṃ paveseyya. Tassa evamassa ‘‘ahaṃ kho imassa rañño kammaṃ karonto ettakaṃ nāma dhanaṃ dhāremi, tenāhaṃ raññā bandhanāgāre pavesito, sacāhaṃ idheva homi, attānañca jīyeyya, puttadārakammakaraporisā ca me jīvikāpagatā mahantaṃ anayabyasanaṃ āpajjeyyuṃ. Yaṃnūnāhaṃ rañño ārocetvā attano puttaṃ vā kaniṭṭhabhātaraṃ vā idha ṭhapetvā nikkhameyyaṃ . Evāhaṃ ito bandhanato mutto nacirasseva yathāmittaṃ yathāsandiṭṭhaṃ dhanaṃ saṃharitvā rañño datvā tampi bandhanato mocemi, appamattova hutvā uṭṭhānabalena attano sampattiṃ paṭipākatikaṃ karissāmī’’ti. So tathā kareyya. Evaṃ sampadamidaṃ daṭṭhabbaṃ.

    ตตฺริทํ โอปมฺมสํสนฺทนํ – ราชา วิย กมฺมํ, พนฺธนาคาโร วิย สํสาโร, รญฺญา พนฺธนาคาเร ฐปิตปุริโส วิย กมฺมวเสน สํสารจารเก ฐิโต มหาปุริโส, ตสฺส พนฺธนาคาเร ฐิตปุริสสฺส ตตฺถ ปุตฺตสฺส วา ภาตุโน วา ปราธีนภาวกรเณน เตสํ อตฺตโน จ ทุกฺขปฺปโมจนํ วิย มหาปุริสสฺส อตฺตโน ปุตฺตาทิเก ปเรสํ ทตฺวา สพฺพญฺญุตญฺญาณปฺปฎิลาเภน สพฺพสตฺตานํ วฎฺฎทุกฺขปฺปโมจนํ, ตสฺส วิคตทุกฺขสฺส เตหิ สทฺธิํ ยถาธิเปฺปตสมฺปตฺติยํ ปติฎฺฐานํ วิย มหาปุริสสฺส อรหตฺตมเคฺคน อปคตวฎฺฎทุกฺขสฺส พุทฺธภาเวน ทสพลาทิสพฺพญฺญุตญฺญาณสมฺปตฺติสมนฺนาคโม อตฺตโน วจนการกานํ วิชฺชตฺตยาทิสมฺปตฺติสมนฺนาคโม จาติ เอวํ อนวชฺชสภาโว เอว มหาปุริสานํ ปุตฺตทารปริจฺจาโคฯ เอเตเนว นเยน เนสํ องฺคชีวิตปริจฺจาเค ยา โจทนา, สาปิ วิโสธิตาติ เวทิตพฺพาติฯ

    Tatridaṃ opammasaṃsandanaṃ – rājā viya kammaṃ, bandhanāgāro viya saṃsāro, raññā bandhanāgāre ṭhapitapuriso viya kammavasena saṃsāracārake ṭhito mahāpuriso, tassa bandhanāgāre ṭhitapurisassa tattha puttassa vā bhātuno vā parādhīnabhāvakaraṇena tesaṃ attano ca dukkhappamocanaṃ viya mahāpurisassa attano puttādike paresaṃ datvā sabbaññutaññāṇappaṭilābhena sabbasattānaṃ vaṭṭadukkhappamocanaṃ, tassa vigatadukkhassa tehi saddhiṃ yathādhippetasampattiyaṃ patiṭṭhānaṃ viya mahāpurisassa arahattamaggena apagatavaṭṭadukkhassa buddhabhāvena dasabalādisabbaññutaññāṇasampattisamannāgamo attano vacanakārakānaṃ vijjattayādisampattisamannāgamo cāti evaṃ anavajjasabhāvo eva mahāpurisānaṃ puttadārapariccāgo. Eteneva nayena nesaṃ aṅgajīvitapariccāge yā codanā, sāpi visodhitāti veditabbāti.

    เอวํ ปน มหาสเตฺตน มทฺทิเทวิยา ทินฺนาย สโกฺก อจฺฉริยพฺภุตจิตฺตชาโต หุตฺวา –

    Evaṃ pana mahāsattena maddideviyā dinnāya sakko acchariyabbhutacittajāto hutvā –

    ‘‘สเพฺพ ชิตา เต ปจฺจูหา, เย ทิพฺพา เย จ มานุสา;

    ‘‘Sabbe jitā te paccūhā, ye dibbā ye ca mānusā;

    นินฺนาทิตา เต ปถวี, สโทฺท เต ติทิวํ คโตฯ (ชา. ๒.๒๒.๒๒๘๓-๒๒๘๔);

    Ninnāditā te pathavī, saddo te tidivaṃ gato. (jā. 2.22.2283-2284);

    ‘‘ทุทฺททํ ททมานานํ, ทุกฺกรํ กมฺม กุพฺพตํ;

    ‘‘Duddadaṃ dadamānānaṃ, dukkaraṃ kamma kubbataṃ;

    อสโนฺต นานุกุพฺพนฺติ, สตํ ธโมฺม ทุรนฺนโยฯ

    Asanto nānukubbanti, sataṃ dhammo durannayo.

    ‘‘ตสฺมา สตญฺจ อสตํ, นานา โหติ อิโต คติ;

    ‘‘Tasmā satañca asataṃ, nānā hoti ito gati;

    อสโนฺต นิรยํ ยนฺติ, สโนฺต สคฺคปรายนา’’ติฯ (ชา. ๒.๒๒.๒๒๘๖-๒๒๘๗) –

    Asanto nirayaṃ yanti, santo saggaparāyanā’’ti. (jā. 2.22.2286-2287) –

    อาทินา นเยน มหาปุริสสฺส ทานานุโมทนวเสน ถุติํ อกาสิฯ

    Ādinā nayena mahāpurisassa dānānumodanavasena thutiṃ akāsi.

    ตตฺถ ปจฺจูหาติ ปจฺจตฺถิกาฯ ทิพฺพาติ ทิพฺพยสปฎิพาหกาฯ มานุสาติ มนุสฺสยสปฎิพาหกาฯ เก ปน เตติ? มจฺฉริยธมฺมา, เต สเพฺพ ปุตฺตทารํ เทเนฺตน มหาสเตฺตน ชิตาติ ทเสฺสติฯ ทุทฺททนฺติ ปุตฺตทาราทิทุทฺททํ ททมานานํ ตเมว ทุกฺกรํ กุพฺพตํ ตุมฺหาทิสานํ กมฺมํ อเญฺญ สาวกปเจฺจกโพธิสตฺตา นานุกุพฺพนฺติ, ปเคว อสโนฺต มจฺฉริโนฯ ตสฺมา สตํ ธโมฺม ทุรนฺนโย สาธูนํ มหาโพธิสตฺตานํ ปฎิปตฺติธโมฺม อเญฺญหิ ทุรนุคโมฯ

    Tattha paccūhāti paccatthikā. Dibbāti dibbayasapaṭibāhakā. Mānusāti manussayasapaṭibāhakā. Ke pana teti? Macchariyadhammā, te sabbe puttadāraṃ dentena mahāsattena jitāti dasseti. Duddadanti puttadārādiduddadaṃ dadamānānaṃ tameva dukkaraṃ kubbataṃ tumhādisānaṃ kammaṃ aññe sāvakapaccekabodhisattā nānukubbanti, pageva asanto maccharino. Tasmā sataṃ dhammo durannayo sādhūnaṃ mahābodhisattānaṃ paṭipattidhammo aññehi duranugamo.

    เอวํ สโกฺก มหาปุริสสฺส อนุโมทนวเสน ถุติํ กตฺวา มทฺทิเทวิํ นิยฺยาเตโนฺต –

    Evaṃ sakko mahāpurisassa anumodanavasena thutiṃ katvā maddideviṃ niyyātento –

    ‘‘ททามิ โภโต ภริยํ, มทฺทิํ สพฺพงฺคโสภนํ;

    ‘‘Dadāmi bhoto bhariyaṃ, maddiṃ sabbaṅgasobhanaṃ;

    ตฺวเญฺจว มทฺทิยา ฉโนฺน, มทฺที จ ปติโน ตวา’’ติฯ (ชา. ๒.๒๒.๒๒๘๙) –

    Tvañceva maddiyā channo, maddī ca patino tavā’’ti. (jā. 2.22.2289) –

    วตฺวา ตํ มทฺทิํ ปฎิทตฺวา ทิพฺพตฺตภาเวน ชลโนฺต ตรุณสูริโย วิย อากาเส ฐตฺวา อตฺตานํ อาจิกฺขโนฺต –

    Vatvā taṃ maddiṃ paṭidatvā dibbattabhāvena jalanto taruṇasūriyo viya ākāse ṭhatvā attānaṃ ācikkhanto –

    ‘‘สโกฺกหมสฺมิ เทวิโนฺท, อาคโตสฺมิ ตวนฺติเก;

    ‘‘Sakkohamasmi devindo, āgatosmi tavantike;

    วรํ วรสฺสุ ราชิสิ, วเร อฎฺฐ ททามิ เต’’ติฯ (ชา. ๒.๒๒.๒๒๙๒) –

    Varaṃ varassu rājisi, vare aṭṭha dadāmi te’’ti. (jā. 2.22.2292) –

    วตฺวา วเรหิ นิมเนฺตสิฯ มหาสโตฺตปิ ‘‘ปิตา มํ ปุนเทว รเชฺช ปติฎฺฐาเปตุ, วชฺฌปฺปตฺตํ วธโต โมเจยฺยํ, สพฺพสตฺตานํ อวสฺสโย ภเวยฺยํ, ปรทารํ น คเจฺฉยฺยํ, อิตฺถีนํ วสํ น คเจฺฉยฺยํ, ปุโตฺต เม ทีฆายุโก สิยา, อนฺนปานาทิเทยฺยธโมฺม พหุโก สิยา, ตญฺจ อปริกฺขยํ ปสนฺนจิโตฺต ทเทยฺยํ, เอวํ มหาทานานิ ปวเตฺตตฺวา เทวโลกํ คนฺตฺวา ตโต อิธาคโต สพฺพญฺญุตํ ปาปุเณยฺย’’นฺติ อิเม อฎฺฐ วเร ยาจิฯ สโกฺก ‘‘นจิรเสฺสว ปิตา สญฺชยมหาราชา อิเธว อาคนฺตฺวา ตํ คเหตฺวา รเชฺช ปติฎฺฐาเปสฺสติ, อิตโร จ สโพฺพ เต มโนรโถ มตฺถกํ ปาปุณิสฺสติ, มา จินฺตยิ, อปฺปมโตฺต โหหี’’ติ โอวทิตฺวา สกฎฺฐานเมว คโตฯ โพธิสโตฺต จ มทฺทิเทวี จ สโมฺมทมานา สกฺกทตฺติเย อสฺสเม วสิํสุฯ

    Vatvā varehi nimantesi. Mahāsattopi ‘‘pitā maṃ punadeva rajje patiṭṭhāpetu, vajjhappattaṃ vadhato moceyyaṃ, sabbasattānaṃ avassayo bhaveyyaṃ, paradāraṃ na gaccheyyaṃ, itthīnaṃ vasaṃ na gaccheyyaṃ, putto me dīghāyuko siyā, annapānādideyyadhammo bahuko siyā, tañca aparikkhayaṃ pasannacitto dadeyyaṃ, evaṃ mahādānāni pavattetvā devalokaṃ gantvā tato idhāgato sabbaññutaṃ pāpuṇeyya’’nti ime aṭṭha vare yāci. Sakko ‘‘nacirasseva pitā sañjayamahārājā idheva āgantvā taṃ gahetvā rajje patiṭṭhāpessati, itaro ca sabbo te manoratho matthakaṃ pāpuṇissati, mā cintayi, appamatto hohī’’ti ovaditvā sakaṭṭhānameva gato. Bodhisatto ca maddidevī ca sammodamānā sakkadattiye assame vasiṃsu.

    ชูชเกปิ กุมาเร คเหตฺวา คจฺฉเนฺต เทวตา อารกฺขมกํสุฯ ทิวเส ทิวเส เอกา เทวธีตา รตฺติภาเค อาคนฺตฺวา มทฺทิวเณฺณน กุมาเร ปฎิชคฺคิฯ โส เทวตาวิคฺคหิโต หุตฺวา ‘‘กลิงฺครฎฺฐํ คมิสฺสามี’’ติ อฑฺฒมาเสน เชตุตฺตรนครเมว สมฺปาปุณิฯ ราชา วินิจฺฉเย นิสิโนฺน พฺราหฺมเณน สทฺธิํ ทารเก ราชงฺคเณน คจฺฉเนฺต ทิสฺวา สญฺชานิตฺวา พฺราหฺมเณน สทฺธิํ เต ปโกฺกสาเปตฺวา ตํ ปวตฺติํ สุตฺวา โพธิสเตฺตน กถิตนิยาเมเนว ธนํ ทตฺวา กุมาเร กิณิตฺวา นฺหาเปตฺวา โภเชตฺวา สพฺพาลงฺการปฎิมณฺฑิเต กตฺวา ราชา ทารกํ ผุสฺสติเทวี ทาริกํ อุจฺฉเงฺค กตฺวา โพธิสตฺตสฺส ราชปุตฺติยา จ ปวตฺติํ สุณิํสุฯ

    Jūjakepi kumāre gahetvā gacchante devatā ārakkhamakaṃsu. Divase divase ekā devadhītā rattibhāge āgantvā maddivaṇṇena kumāre paṭijaggi. So devatāviggahito hutvā ‘‘kaliṅgaraṭṭhaṃ gamissāmī’’ti aḍḍhamāsena jetuttaranagarameva sampāpuṇi. Rājā vinicchaye nisinno brāhmaṇena saddhiṃ dārake rājaṅgaṇena gacchante disvā sañjānitvā brāhmaṇena saddhiṃ te pakkosāpetvā taṃ pavattiṃ sutvā bodhisattena kathitaniyāmeneva dhanaṃ datvā kumāre kiṇitvā nhāpetvā bhojetvā sabbālaṅkārapaṭimaṇḍite katvā rājā dārakaṃ phussatidevī dārikaṃ ucchaṅge katvā bodhisattassa rājaputtiyā ca pavattiṃ suṇiṃsu.

    ตํ สุตฺวา ราชา ‘‘ภูนหจฺจํ วต มยา กต’’นฺติ สํวิคฺคมานโส ตาวเทว ทฺวาทสอโกฺขภนีปริมาณํ เสนํ สนฺนยฺหิตฺวา วงฺกปพฺพตาภิมุโข ปายาสิ สทฺธิํ ผุสฺสติเทวิยา เจว ทารเกหิ จฯ อนุกฺกเมน คนฺตฺวา ปุเตฺตน จ สุณิสาย จ สมาคญฺฉิฯ เวสฺสนฺตโร ปิยปุเตฺต ทิสฺวา โสกํ สนฺธาเรตุํ อสโกฺกโนฺต วิสญฺญี หุตฺวา ตเตฺถว ปติ, ตถา มทฺที มาตาปิตโร สหชาตา สฎฺฐิสหสฺสา จ อมจฺจาฯ ตํ การุญฺญํ ปสฺสเนฺตสุ เอโกปิ สกภาเวน สนฺธาเรตุํ นาสกฺขิ, สกลํ อสฺสมปทํ ยุคนฺธรวาตปมทฺทิตํ วิย สาลวนํ อโหสิฯ สโกฺก เทวราชา เตสํ วิสญฺญิภาววิโนทนตฺถํ โปกฺขรวสฺสํ วสฺสาเปสิ, เตเมตุกามา เตเมนฺติ, โปกฺขเร ปติตวสฺสํ วิย วินิวตฺติตฺวา อุทกํ คจฺฉติฯ สเพฺพ สญฺญํ ปฎิลภิํสุฯ ตทาปิ ปถวิกมฺปาทโย เหฎฺฐา วุตฺตปฺปการา อจฺฉริยา ปาตุรเหสุํฯ เตน วุตฺตํ –

    Taṃ sutvā rājā ‘‘bhūnahaccaṃ vata mayā kata’’nti saṃviggamānaso tāvadeva dvādasaakkhobhanīparimāṇaṃ senaṃ sannayhitvā vaṅkapabbatābhimukho pāyāsi saddhiṃ phussatideviyā ceva dārakehi ca. Anukkamena gantvā puttena ca suṇisāya ca samāgañchi. Vessantaro piyaputte disvā sokaṃ sandhāretuṃ asakkonto visaññī hutvā tattheva pati, tathā maddī mātāpitaro sahajātā saṭṭhisahassā ca amaccā. Taṃ kāruññaṃ passantesu ekopi sakabhāvena sandhāretuṃ nāsakkhi, sakalaṃ assamapadaṃ yugandharavātapamadditaṃ viya sālavanaṃ ahosi. Sakko devarājā tesaṃ visaññibhāvavinodanatthaṃ pokkharavassaṃ vassāpesi, temetukāmā tementi, pokkhare patitavassaṃ viya vinivattitvā udakaṃ gacchati. Sabbe saññaṃ paṭilabhiṃsu. Tadāpi pathavikampādayo heṭṭhā vuttappakārā acchariyā pāturahesuṃ. Tena vuttaṃ –

    ๑๒๐.

    120.

    ‘‘ปุนาปรํ พฺรหารเญฺญ, มาตาปิตุสมาคเม;

    ‘‘Punāparaṃ brahāraññe, mātāpitusamāgame;

    กรุณํ ปริเทวเนฺต, สลฺลปเนฺต สุขํ ทุขํฯ

    Karuṇaṃ paridevante, sallapante sukhaṃ dukhaṃ.

    ๑๒๑.

    121.

    ‘‘หิโรตฺตเปฺปน ครุนา, อุภินฺนํ อุปสงฺกมิ;

    ‘‘Hirottappena garunā, ubhinnaṃ upasaṅkami;

    ตทาปิ ปถวี กมฺปิ, สิเนรุวนวฎํสกา’’ติฯ

    Tadāpi pathavī kampi, sineruvanavaṭaṃsakā’’ti.

    ตตฺถ กรุณํ ปริเทวเนฺตติ มาตาปิตโร อาทิํ กตฺวา สพฺพสฺมิํ อาคตชเน กรุณํ ปริเทวมาเนฯ สลฺลปเนฺต สุขํ ทุขนฺติ สุขทุกฺขํ ปุจฺฉิตฺวา ปฎิสนฺถารวเสน อาลาปสลฺลาปํ กโรเนฺตฯ หิโรตฺตเปฺปน ครุนา อุภินฺนนฺติ อิเม สิวีนํ วจนํ คเหตฺวา อทูสกํ ธเมฺม ฐิตํ มํ ปพฺพาชยิํสูติ จิตฺตปฺปโกปํ อกตฺวา อุโภสุ เอเตสุ มาตาปิตูสุ ธมฺมคารวสมุสฺสิเตน หิโรตฺตเปฺปเนว ยถารูเป อุปสงฺกมิฯ เตน เม ธมฺมเตเชน ตทาปิ ปถวี กมฺปิ

    Tattha karuṇaṃ paridevanteti mātāpitaro ādiṃ katvā sabbasmiṃ āgatajane karuṇaṃ paridevamāne. Sallapante sukhaṃ dukhanti sukhadukkhaṃ pucchitvā paṭisanthāravasena ālāpasallāpaṃ karonte. Hirottappena garunā ubhinnanti ime sivīnaṃ vacanaṃ gahetvā adūsakaṃ dhamme ṭhitaṃ maṃ pabbājayiṃsūti cittappakopaṃ akatvā ubhosu etesu mātāpitūsu dhammagāravasamussitena hirottappeneva yathārūpe upasaṅkami. Tena me dhammatejena tadāpi pathavī kampi.

    อถ สญฺชยมหาราชา โพธิสตฺตํ ขมาเปตฺวา รชฺชํ ปฎิจฺฉาเปตฺวา ตงฺขณเญฺญว เกสมสฺสุกมฺมาทีนิ การาเปตฺวา นฺหาเปตฺวา สพฺพาภรณวิภูสิตํ เทวราชานมิว วิโรจมานํ สห มทฺทิเทวิยา รเชฺช อภิสิญฺจิตฺวา ตาวเทว จ ตโต ปฎฺฐาย ทฺวาทสอโกฺขภนีปริมาณาย จตุรงฺคินิยา เสนาย จ ปุตฺตํ ปริวารยิตฺวา วงฺกปพฺพตโต ยาว เชตุตฺตรนครา สฎฺฐิโยชนมคฺคํ อลงฺการาเปตฺวา ทฺวีหิ มาเสหิ สุเขเนว นครํ ปเวเสสิฯ มหาชโน อุฬารํ ปีติโสมนสฺสํ ปฎิสํเวเทสิฯ เจลุเกฺขปาทโย ปวตฺติํสุฯ นคเร จ นนฺทิเภริํ จราเปสุํฯ อนฺตมโส พิฬาเร อุปาทาย สเพฺพสํ พนฺธเน ฐิตานํ พนฺธนโมโกฺข อโหสิฯ โส นครํ ปวิฎฺฐทิวเสเยว ปจฺจูสกาเล จิเนฺตสิ – ‘‘เสฺว วิภาตาย รตฺติยา มมาคตภาวํ สุตฺวา ยาจกา อาคมิสฺสนฺติ, เตสาหํ กิํ ทสฺสามี’’ติฯ ตสฺมิํ ขเณ สกฺกสฺส อาสนํ อุณฺหาการํ ทเสฺสสิฯ โส อาวเชฺชโนฺต ตํ การณํ ญตฺวา ตาวเทว ราชนิเวสนสฺส ปุริมวตฺถุํ ปจฺฉิมวตฺถุญฺจ กฎิปฺปมาณํ ปูเรโนฺต ฆนเมโฆ วิย สตฺตรตนวสฺสํ วสฺสาเปสิฯ สกลนคเร ชณฺณุปฺปมาณํ วสฺสาเปสีติฯ เตน วุตฺตํ –

    Atha sañjayamahārājā bodhisattaṃ khamāpetvā rajjaṃ paṭicchāpetvā taṅkhaṇaññeva kesamassukammādīni kārāpetvā nhāpetvā sabbābharaṇavibhūsitaṃ devarājānamiva virocamānaṃ saha maddideviyā rajje abhisiñcitvā tāvadeva ca tato paṭṭhāya dvādasaakkhobhanīparimāṇāya caturaṅginiyā senāya ca puttaṃ parivārayitvā vaṅkapabbatato yāva jetuttaranagarā saṭṭhiyojanamaggaṃ alaṅkārāpetvā dvīhi māsehi sukheneva nagaraṃ pavesesi. Mahājano uḷāraṃ pītisomanassaṃ paṭisaṃvedesi. Celukkhepādayo pavattiṃsu. Nagare ca nandibheriṃ carāpesuṃ. Antamaso biḷāre upādāya sabbesaṃ bandhane ṭhitānaṃ bandhanamokkho ahosi. So nagaraṃ paviṭṭhadivaseyeva paccūsakāle cintesi – ‘‘sve vibhātāya rattiyā mamāgatabhāvaṃ sutvā yācakā āgamissanti, tesāhaṃ kiṃ dassāmī’’ti. Tasmiṃ khaṇe sakkassa āsanaṃ uṇhākāraṃ dassesi. So āvajjento taṃ kāraṇaṃ ñatvā tāvadeva rājanivesanassa purimavatthuṃ pacchimavatthuñca kaṭippamāṇaṃ pūrento ghanamegho viya sattaratanavassaṃ vassāpesi. Sakalanagare jaṇṇuppamāṇaṃ vassāpesīti. Tena vuttaṃ –

    ๑๒๒.

    122.

    ‘‘ปุนาปรํ พฺรหารญฺญา, นิกฺขมิตฺวา สญาติภิ;

    ‘‘Punāparaṃ brahāraññā, nikkhamitvā sañātibhi;

    ปวิสามิ ปุรํ รมฺมํ, เชตุตฺตรํ ปุรุตฺตมํฯ

    Pavisāmi puraṃ rammaṃ, jetuttaraṃ puruttamaṃ.

    ๑๒๓.

    123.

    ‘‘รตนานิ สตฺต วสฺสิํสุ, มหาเมโฆ ปวสฺสถ;

    ‘‘Ratanāni satta vassiṃsu, mahāmegho pavassatha;

    ตทาปิ ปถวี กมฺปิ, สิเนรุวนวฎํสกาฯ

    Tadāpi pathavī kampi, sineruvanavaṭaṃsakā.

    ๑๒๔.

    124.

    ‘‘อเจตนายํ ปถวี, อวิญฺญาย สุขํ ทุขํ;

    ‘‘Acetanāyaṃ pathavī, aviññāya sukhaṃ dukhaṃ;

    สาปิ ทานพลา มยฺหํ, สตฺตกฺขตฺตุํ ปกมฺปถา’’ติฯ

    Sāpi dānabalā mayhaṃ, sattakkhattuṃ pakampathā’’ti.

    เอวํ สตฺตรตนวเสฺส วุเฎฺฐ ปุนทิวเส มหาสโตฺต ‘‘เยสํ กุลานํ ปุริมปจฺฉิมวตฺถูสุ วุฎฺฐธนํ, เตสเญฺญว โหตู’’ติ ทาเปตฺวา อวเสสํ อาหราเปตฺวา อตฺตโน เคหวตฺถุสฺมิํ ธเนน สทฺธิํ โกฎฺฐาคาเรสุ โอกิราเปตฺวา มหาทานํ ปวเตฺตสิฯ อเจตนายํ ปถวีติ เจตนารหิตา อยํ มหาภูตา ปถวี, เทวตา ปน เจตนาสหิตาฯ อวิญฺญาย สุขํ ทุขนฺติ อเจตนตฺตา เอว สุขํ ทุกฺขํ อชานิตฺวาฯ สติปิ สุขทุกฺขปจฺจยสํโยเค ตํ นานุภวนฺตีฯ สาปิ ทานพลา มยฺหนฺติ เอวํภูตาปิ สา มหาปถวี มม ทานปุญฺญานุภาวเหตุฯ สตฺตกฺขตฺตุํ ปกมฺปถาติ อฎฺฐวสฺสิกกาเล หทยมํสาทีนิปิ ยาจกานํ ทเทยฺยนฺติ ทานชฺฌาสยุปฺปาเท มงฺคลหตฺถิทาเน ปพฺพาชนกาเล ปวตฺติตมหาทาเน ปุตฺตทาเน ภริยาทาเน วงฺกปพฺพเต ญาติสมาคเม นครํ ปวิฎฺฐทิวเส รตนวสฺสกาเลติ อิเมสุ ฐาเนสุ สตฺตวารํ อกมฺปิตฺถฯ เอวํ เอกสฺมิํเยว อตฺตภาเว สตฺตกฺขตฺตุํ มหาปถวิกมฺปนาทิอจฺฉริยปาตุภาวเหตุภูตานิ ยาวตายุกํ มหาทานานิ ปวเตฺตตฺวา มหาสโตฺต อายุปริโยสาเน ตุสิตปุเร อุปฺปชฺชิฯ เตนาห ภควา –

    Evaṃ sattaratanavasse vuṭṭhe punadivase mahāsatto ‘‘yesaṃ kulānaṃ purimapacchimavatthūsu vuṭṭhadhanaṃ, tesaññeva hotū’’ti dāpetvā avasesaṃ āharāpetvā attano gehavatthusmiṃ dhanena saddhiṃ koṭṭhāgāresu okirāpetvā mahādānaṃ pavattesi. Acetanāyaṃ pathavīti cetanārahitā ayaṃ mahābhūtā pathavī, devatā pana cetanāsahitā. Aviññāya sukhaṃ dukhanti acetanattā eva sukhaṃ dukkhaṃ ajānitvā. Satipi sukhadukkhapaccayasaṃyoge taṃ nānubhavantī. Sāpi dānabalā mayhanti evaṃbhūtāpi sā mahāpathavī mama dānapuññānubhāvahetu. Sattakkhattuṃ pakampathāti aṭṭhavassikakāle hadayamaṃsādīnipi yācakānaṃ dadeyyanti dānajjhāsayuppāde maṅgalahatthidāne pabbājanakāle pavattitamahādāne puttadāne bhariyādāne vaṅkapabbate ñātisamāgame nagaraṃ paviṭṭhadivase ratanavassakāleti imesu ṭhānesu sattavāraṃ akampittha. Evaṃ ekasmiṃyeva attabhāve sattakkhattuṃ mahāpathavikampanādiacchariyapātubhāvahetubhūtāni yāvatāyukaṃ mahādānāni pavattetvā mahāsatto āyupariyosāne tusitapure uppajji. Tenāha bhagavā –

    ‘‘ตโต เวสฺสนฺตโร ราชา, ทานํ ทตฺวาน ขตฺติโย;

    ‘‘Tato vessantaro rājā, dānaṃ datvāna khattiyo;

    กายสฺส เภทา สปฺปโญฺญ, สคฺคํ โส อุปปชฺชถา’’ติฯ (ชา. ๒.๒๒.๒๔๔๐);

    Kāyassa bhedā sappañño, saggaṃ so upapajjathā’’ti. (jā. 2.22.2440);

    ตทา ชูชโก เทวทโตฺต อโหสิ, อมิตฺตตาปนา จิญฺจมาณวิกา , เจตปุโตฺต ฉโนฺน, อจฺจุตตาปโส สาริปุโตฺต, สโกฺก อนุรุโทฺธ, มทฺที ราหุลมาตา, ชาลิกุมาโร ราหุโล, กณฺหาชินา อุปฺปลวณฺณา, มาตาปิตโร มหาราชกุลานิ, เสสปริสา พุทฺธปริสา, เวสฺสนฺตโร ราชา โลกนาโถฯ

    Tadā jūjako devadatto ahosi, amittatāpanā ciñcamāṇavikā , cetaputto channo, accutatāpaso sāriputto, sakko anuruddho, maddī rāhulamātā, jālikumāro rāhulo, kaṇhājinā uppalavaṇṇā, mātāpitaro mahārājakulāni, sesaparisā buddhaparisā, vessantaro rājā lokanātho.

    อิธาปิ เหฎฺฐา วุตฺตนเยเนว ยถารหํ เสสปารมิโย นิทฺธาเรตพฺพาฯ ตถา มหาสเตฺต กุจฺฉิคเต มาตุ เทวสิกํ ฉสตสหสฺสานิ วิสฺสเชฺชตฺวา ทานํ ทาตุกามตาโทหโฬ, ตถา ทียมาเนปิ ธนสฺส ปริกฺขยาภาโว, ชาตกฺขเณ เอว หตฺถํ ปสาเรตฺวา ‘‘ทานํ ทสฺสามิ, อตฺถิ กิญฺจี’’ติ วาจานิจฺฉารณํ, จตุปญฺจวสฺสิกกาเล อตฺตโน อลงฺการสฺส ธาตีนํ หตฺถคตสฺส ปุน อคฺคเหตุกามตา, อฎฺฐวสฺสิกกาเล หทยมํสาทิกสฺส อตฺตโน สรีราวยวสฺส ทาตุกามตาติ เอวมาทิกา สตฺตกฺขตฺตุํ มหาปถวิกมฺปนาทิอเนกจฺฉริยปาตุภาวเหตุภูตา อิธ มหาปุริสสฺส คุณานุภาวา วิภาเวตพฺพาฯ เตเนตํ วุจฺจติ –

    Idhāpi heṭṭhā vuttanayeneva yathārahaṃ sesapāramiyo niddhāretabbā. Tathā mahāsatte kucchigate mātu devasikaṃ chasatasahassāni vissajjetvā dānaṃ dātukāmatādohaḷo, tathā dīyamānepi dhanassa parikkhayābhāvo, jātakkhaṇe eva hatthaṃ pasāretvā ‘‘dānaṃ dassāmi, atthi kiñcī’’ti vācānicchāraṇaṃ, catupañcavassikakāle attano alaṅkārassa dhātīnaṃ hatthagatassa puna aggahetukāmatā, aṭṭhavassikakāle hadayamaṃsādikassa attano sarīrāvayavassa dātukāmatāti evamādikā sattakkhattuṃ mahāpathavikampanādianekacchariyapātubhāvahetubhūtā idha mahāpurisassa guṇānubhāvā vibhāvetabbā. Tenetaṃ vuccati –

    ‘‘เอวํ อจฺฉริยา เหเต, อพฺภุตา จ มเหสิโน…เป.…;

    ‘‘Evaṃ acchariyā hete, abbhutā ca mahesino…pe…;

    เตสุ จิตฺตปฺปสาโทปิ, ทุกฺขโต ปริโมจเย;

    Tesu cittappasādopi, dukkhato parimocaye;

    ปเควานุกิริยา เตสํ, ธมฺมสฺส อนุธมฺมโต’’ติฯ

    Pagevānukiriyā tesaṃ, dhammassa anudhammato’’ti.

    เวสฺสนฺตรจริยาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Vessantaracariyāvaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / จริยาปิฎกปาฬิ • Cariyāpiṭakapāḷi / ๙. เวสฺสนฺตรจริยา • 9. Vessantaracariyā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact