Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / เนตฺติปฺปกรณ-อฎฺฐกถา • Nettippakaraṇa-aṭṭhakathā

    ๒. วิจยหารสมฺปาตวณฺณนา

    2. Vicayahārasampātavaṇṇanā

    ๕๓. เอวํ เทสนาหารสมฺปาตํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ วิจยหารสมฺปาตํ ทเสฺสโนฺต ยสฺมา เทสนาหารปทตฺถวิจโย วิจยหาโร, ตสฺมา เทสนาหาเร วิปลฺลาสเหตุภาเวน นิทฺธาริตาย ตณฺหาย กุสลาทิวิภาคปวิจยมุเขน วิจยหารสมฺปาตํ ทเสฺสตุํ ‘‘ตตฺถ ตณฺหา ทุวิธา’’ติอาทิ อารทฺธํฯ ตตฺถ กุสลาติ กุสลธมฺมารมฺมณาฯ กุสล-สโทฺท เจตฺถ พาหิติกสุเตฺต (ม. นิ. ๒.๓๕๘ อาทโย) วิย อนวชฺชเตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ กสฺมา ปเนตฺถ ตณฺหา กุสลปริยาเยน อุทฺธฎา? เหฎฺฐา เทสนาหาเร วิปลฺลาสเหตุภาเวน ตณฺหํ อุทฺธริตฺวา ตสฺสา วเสน สํกิเลสปโกฺข ทสฺสิโตฯ วิจิตฺตปฎิภานตาย ปน อิธาปิ ตณฺหามุเขเนว โวทานปกฺขํ ทเสฺสตุํ กุสลปริยาเยน ตณฺหา อุทฺธฎาฯ ตตฺถ สํสารํ คเมตีติ สํสารคามินี, สํสารนายิกาติ อโตฺถฯ อปจยํ นิพฺพานํ คเมตีติ อปจยคามินีฯ กถํ ปน ตณฺหา อปจยคามินีติ? อาห ‘‘ปหานตณฺหา’’ติฯ ตทงฺคาทิปฺปหานสฺส เหตุภูตา ตณฺหาฯ กถํ ปน เอกนฺตสาวชฺชาย ตณฺหาย กุสลภาโวติ? เสวิตพฺพภาวโตฯ ยถา ตณฺหา, เอวํ มาโนปิ ทุวิโธ กุสโลปิ อกุสโลปิ, น ตณฺหา เอวาติ ตณฺหาย นิทสฺสนภาเวน มาโน วุโตฺตฯ

    53. Evaṃ desanāhārasampātaṃ dassetvā idāni vicayahārasampātaṃ dassento yasmā desanāhārapadatthavicayo vicayahāro, tasmā desanāhāre vipallāsahetubhāvena niddhāritāya taṇhāya kusalādivibhāgapavicayamukhena vicayahārasampātaṃ dassetuṃ ‘‘tattha taṇhā duvidhā’’tiādi āraddhaṃ. Tattha kusalāti kusaladhammārammaṇā. Kusala-saddo cettha bāhitikasutte (ma. ni. 2.358 ādayo) viya anavajjatthe daṭṭhabbo. Kasmā panettha taṇhā kusalapariyāyena uddhaṭā? Heṭṭhā desanāhāre vipallāsahetubhāvena taṇhaṃ uddharitvā tassā vasena saṃkilesapakkho dassito. Vicittapaṭibhānatāya pana idhāpi taṇhāmukheneva vodānapakkhaṃ dassetuṃ kusalapariyāyena taṇhā uddhaṭā. Tattha saṃsāraṃ gametīti saṃsāragāminī, saṃsāranāyikāti attho. Apacayaṃ nibbānaṃ gametīti apacayagāminī. Kathaṃ pana taṇhā apacayagāminīti? Āha ‘‘pahānataṇhā’’ti. Tadaṅgādippahānassa hetubhūtā taṇhā. Kathaṃ pana ekantasāvajjāya taṇhāya kusalabhāvoti? Sevitabbabhāvato. Yathā taṇhā, evaṃ mānopi duvidho kusalopi akusalopi, na taṇhā evāti taṇhāya nidassanabhāvena māno vutto.

    ตตฺถ มานสฺส ยถาธิเปฺปตํ กุสลาทิภาวํ ทเสฺสตุํ ‘‘ยํ มานํ นิสฺสายา’’ติอาทิมาหฯ วุตฺตเญฺหตํ ภควตา – ‘‘มานมหํ, เทวานมินฺท, ทุวิเธน วทามิ เสวิตพฺพมฺปิ อเสวิตพฺพมฺปี’’ติอาทิฯ ยํ เนกฺขมฺมสฺสิตํ โทมนสฺสนฺติอาทิ ‘‘กุสลา’’ติ วุตฺตตณฺหาย สรูปทสฺสนตฺถํ วุตฺตํฯ ตตฺถ เนกฺขมฺมสฺสิตํ โทมนสฺสํ นาม –

    Tattha mānassa yathādhippetaṃ kusalādibhāvaṃ dassetuṃ ‘‘yaṃ mānaṃ nissāyā’’tiādimāha. Vuttañhetaṃ bhagavatā – ‘‘mānamahaṃ, devānaminda, duvidhena vadāmi sevitabbampi asevitabbampī’’tiādi. Yaṃ nekkhammassitaṃ domanassantiādi ‘‘kusalā’’ti vuttataṇhāya sarūpadassanatthaṃ vuttaṃ. Tattha nekkhammassitaṃ domanassaṃ nāma –

    ‘‘ตตฺถ กตมานิ ฉ เนกฺขมฺมสฺสิตานิ โทมนสฺสานิ? รูปานํเตฺวว อนิจฺจตํ วิทิตฺวา วิปริณามวิราคนิโรธํ ‘ปุเพฺพ เจว รูปา เอตรหิ จ, สเพฺพเต รูปา อนิจฺจา ทุกฺขา วิปริณามธมฺมา’ติ เอวเมตํ ยถาภูตํ สมฺมปฺปญฺญาย ทิสฺวา อนุตฺตเรสุ วิโมเกฺขสุ ปิหํ อุปฎฺฐาเปติ ‘กุทาสฺสุ นามาหํ ตทายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหริสฺสามิ, ยทริยา เอตรหิ อายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหรนฺตี’ติฯ อิติ อนุตฺตเรสุ วิโมเกฺขสุ ปิหํ อุปฎฺฐาปยโต อุปฺปชฺชติ ปิหา, ปิหาปจฺจยา โทมนสฺสํฯ ยํ เอวรูปํ โทมนสฺสํ, อิทํ วุจฺจติ เนกฺขมฺมสฺสิตํ โทมนสฺส’’นฺติ (ม. นิ. ๓.๓๐๗) –

    ‘‘Tattha katamāni cha nekkhammassitāni domanassāni? Rūpānaṃtveva aniccataṃ viditvā vipariṇāmavirāganirodhaṃ ‘pubbe ceva rūpā etarahi ca, sabbete rūpā aniccā dukkhā vipariṇāmadhammā’ti evametaṃ yathābhūtaṃ sammappaññāya disvā anuttaresu vimokkhesu pihaṃ upaṭṭhāpeti ‘kudāssu nāmāhaṃ tadāyatanaṃ upasampajja viharissāmi, yadariyā etarahi āyatanaṃ upasampajja viharantī’ti. Iti anuttaresu vimokkhesu pihaṃ upaṭṭhāpayato uppajjati pihā, pihāpaccayā domanassaṃ. Yaṃ evarūpaṃ domanassaṃ, idaṃ vuccati nekkhammassitaṃ domanassa’’nti (ma. ni. 3.307) –

    เอวํ ฉสุ ทฺวาเรสุ อิฎฺฐารมฺมเณ อาปาถคเต อนุตฺตรวิโมกฺขสงฺขาตอริยผลธเมฺมสุ ปิหํ อุปฎฺฐาเปตฺวา ตทธิคมาย อนิจฺจาทิวเสน วิปสฺสนํ อุปฎฺฐาเปตฺวา อุสฺสุกฺกาเปตุํ อสโกฺกนฺตสฺส ‘‘อิมมฺปิ ปกฺขํ อิมมฺปิ มาสํ, อิมมฺปิ สํวจฺฉรํ, วิปสฺสนํ อุสฺสุกฺกาเปตฺวา อริยภูมิํ สมฺปาปุณิตุํ นาสกฺขิ’’นฺติ อนุโสจโต อุปฺปนฺนํ โทมนสฺสํ เนกฺขมฺมวเสน วิปสฺสนาวเสน อนุสฺสติวเสน ปฐมชฺฌานาทิวเสน ปฎิปตฺติยา เหตุภาเวน อุปฺปชฺชนโต เนกฺขมฺมสฺสิตํ โทมนสฺสํ นามฯ อยํ ตณฺหา กุสลาติ อยํ ‘‘ปิหา’’ติ วุตฺตา ตณฺหา กุสลาฯ กถํ? ราควิราคา เจโตวิมุตฺติ, ตทารมฺมณา กุสลาติฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ราควิราคา เจโตวิมุตฺติ, น สภาเวน กุสลา, อนวชฺชเฎฺฐน กุสลาฯ ตํ อุทฺทิสฺส ปวตฺติยา ตทารมฺมณา ปน ตณฺหา กุสลารมฺมณตาย กุสลาติฯ อวิชฺชาวิราคา ปญฺญาวิมุตฺติ อนวชฺชเฎฺฐน กุสลาฯ ตสฺสาติ ปญฺญาวิมุตฺติยา ฯ ยาย วเสน ‘‘ตสฺมา รกฺขิตจิตฺตสฺสา’’ติ คาถายํ ‘‘สพฺพา ทุคฺคติโย ชเห’’ติ วุตฺตํฯ

    Evaṃ chasu dvāresu iṭṭhārammaṇe āpāthagate anuttaravimokkhasaṅkhātaariyaphaladhammesu pihaṃ upaṭṭhāpetvā tadadhigamāya aniccādivasena vipassanaṃ upaṭṭhāpetvā ussukkāpetuṃ asakkontassa ‘‘imampi pakkhaṃ imampi māsaṃ, imampi saṃvaccharaṃ, vipassanaṃ ussukkāpetvā ariyabhūmiṃ sampāpuṇituṃ nāsakkhi’’nti anusocato uppannaṃ domanassaṃ nekkhammavasena vipassanāvasena anussativasena paṭhamajjhānādivasena paṭipattiyā hetubhāvena uppajjanato nekkhammassitaṃ domanassaṃ nāma. Ayaṃ taṇhā kusalāti ayaṃ ‘‘pihā’’ti vuttā taṇhā kusalā. Kathaṃ? Rāgavirāgā cetovimutti, tadārammaṇā kusalāti. Idaṃ vuttaṃ hoti – rāgavirāgā cetovimutti, na sabhāvena kusalā, anavajjaṭṭhena kusalā. Taṃ uddissa pavattiyā tadārammaṇā pana taṇhā kusalārammaṇatāya kusalāti. Avijjāvirāgā paññāvimutti anavajjaṭṭhena kusalā. Tassāti paññāvimuttiyā . Yāya vasena ‘‘tasmā rakkhitacittassā’’ti gāthāyaṃ ‘‘sabbā duggatiyo jahe’’ti vuttaṃ.

    อิติ จิรตรํ วิปสฺสนาปริวาสํ ปริวสิตฺวา ทุกฺขาปฎิปทาทนฺธาภิญฺญาย อธิคตาย ปญฺญาวิมุตฺติยา วเสน วิจยหารสมฺปาตํ ทเสฺสตุํ ‘‘ตสฺสา โก ปวิจโย’’ติอาทิ อารทฺธํฯ ตตฺถ ยสฺมา ปญฺญาวิมุตฺติ อริยมคฺคมูลิกา, ตสฺมา จตุตฺถชฺฌานปาทเก อริยมคฺคธเมฺม อุทฺทิสิตฺวา เตสํ อาคมนปฎิปทํ ทเสฺสตุํ ‘‘กตฺถ ทฎฺฐโพฺพ, จตุเตฺถ ฌาเน’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ ปารมิตายาติ อุกฺกํสคตาย จตุตฺถชฺฌานภาวนายฯ เยหิ อฎฺฐหิ อเงฺคหิ สมนฺนาคตํ จตุตฺถชฺฌานจิตฺตํ วุตฺตํ, ตานิ องฺคานิ ทเสฺสตุํ ‘‘ปริสุทฺธ’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ

    Iti cirataraṃ vipassanāparivāsaṃ parivasitvā dukkhāpaṭipadādandhābhiññāya adhigatāya paññāvimuttiyā vasena vicayahārasampātaṃ dassetuṃ ‘‘tassā ko pavicayo’’tiādi āraddhaṃ. Tattha yasmā paññāvimutti ariyamaggamūlikā, tasmā catutthajjhānapādake ariyamaggadhamme uddisitvā tesaṃ āgamanapaṭipadaṃ dassetuṃ ‘‘kattha daṭṭhabbo, catutthe jhāne’’tiādi vuttaṃ. Tattha pāramitāyāti ukkaṃsagatāya catutthajjhānabhāvanāya. Yehi aṭṭhahi aṅgehi samannāgataṃ catutthajjhānacittaṃ vuttaṃ, tāni aṅgāni dassetuṃ ‘‘parisuddha’’ntiādi vuttaṃ.

    ตตฺถ อุเปกฺขาสติปาริสุทฺธิภาเวน ปริสุทฺธํฯ ปริสุทฺธตฺตา เอว ปริโยทาตํ, ปภสฺสรนฺติ วุตฺตํ โหติฯ สุขาทีนํ ปจฺจยฆาเตน วีตราคาทิองฺคณตฺตา อนงฺคณํฯ อนงฺคณตฺตา เอว วิคตูปกฺกิเลสํ, องฺคเณน หิ จิตฺตํ อุปกฺกิลิสฺสติ, สุภาวิตตฺตา มุทุภูตํ วสิภาวปฺปตฺตนฺติ อโตฺถฯ วเส วตฺตมานญฺหิ จิตฺตํ ‘‘มุทู’’ติ วุจฺจติฯ มุทุตฺตา เอว จ กมฺมนิยํ, กมฺมกฺขมํ กมฺมโยคฺคนฺติ อโตฺถฯ มุทุญฺหิ จิตฺตํ กมฺมนิยํ โหติ , เอวํ ภาวิตํ มุทุญฺจ โหติ กมฺมนิยญฺจ, ยถยิทํ, ภิกฺขเว, จิตฺต’’นฺติ (อ. นิ. ๑.๒๒)ฯ เอเตสุ ปริสุทฺธภาวาทีสุ ฐิตตฺตา ฐิตํฯ ฐิตตฺตาเยว อาเนญฺชปฺปตฺตํ, อจลํ นิริญฺชนนฺติ อโตฺถฯ มุทุกมฺมญฺญภาเวน วา อตฺตโน วเส ฐิตตฺตา ฐิตํฯ สทฺธาทีหิ ปริคฺคหิตตฺตา อาเนญฺชปฺปตฺตํฯ สทฺธาปริคฺคหิตญฺหิ จิตฺตํ อสฺสทฺธิเยน น อิญฺชติ, วีริยปริคฺคหิตํ โกสเชฺชน น อิญฺชติ, สติปริคฺคหิตํ ปมาเทน น อิญฺชติ, สมาธิปริคฺคหิตํ อุทฺธเจฺจน น อิญฺชติ, ปญฺญาปริคฺคหิตํ อวิชฺชาย น อิญฺชติ, โอภาสคตํ กิเลสนฺธกาเรน น อิญฺชติฯ อิเมหิ ฉหิ ธเมฺมหิ ปริคฺคหิตํ อาเนญฺชปฺปตฺตํ โหติฯ เอวํ อฎฺฐงฺคสมนฺนาคตํ จิตฺตํ อภินีหารกฺขมํ โหติฯ อภิญฺญาสจฺฉิกรณียานํ ธมฺมานํ อภิญฺญาสจฺฉิกิริยายฯ

    Tattha upekkhāsatipārisuddhibhāvena parisuddhaṃ. Parisuddhattā eva pariyodātaṃ, pabhassaranti vuttaṃ hoti. Sukhādīnaṃ paccayaghātena vītarāgādiaṅgaṇattā anaṅgaṇaṃ. Anaṅgaṇattā eva vigatūpakkilesaṃ, aṅgaṇena hi cittaṃ upakkilissati, subhāvitattā mudubhūtaṃ vasibhāvappattanti attho. Vase vattamānañhi cittaṃ ‘‘mudū’’ti vuccati. Muduttā eva ca kammaniyaṃ, kammakkhamaṃ kammayogganti attho. Muduñhi cittaṃ kammaniyaṃ hoti , evaṃ bhāvitaṃ muduñca hoti kammaniyañca, yathayidaṃ, bhikkhave, citta’’nti (a. ni. 1.22). Etesu parisuddhabhāvādīsu ṭhitattā ṭhitaṃ. Ṭhitattāyeva āneñjappattaṃ, acalaṃ niriñjananti attho. Mudukammaññabhāvena vā attano vase ṭhitattā ṭhitaṃ. Saddhādīhi pariggahitattā āneñjappattaṃ. Saddhāpariggahitañhi cittaṃ assaddhiyena na iñjati, vīriyapariggahitaṃ kosajjena na iñjati, satipariggahitaṃ pamādena na iñjati, samādhipariggahitaṃ uddhaccena na iñjati, paññāpariggahitaṃ avijjāya na iñjati, obhāsagataṃ kilesandhakārena na iñjati. Imehi chahi dhammehi pariggahitaṃ āneñjappattaṃ hoti. Evaṃ aṭṭhaṅgasamannāgataṃ cittaṃ abhinīhārakkhamaṃ hoti. Abhiññāsacchikaraṇīyānaṃ dhammānaṃ abhiññāsacchikiriyāya.

    อปโร นโย – จตุตฺถชฺฌานสมาธินา สมาหิตํ จิตฺตํ นีวรณทูรีภาเวน ปริสุทฺธํฯ วิตกฺกาทิสมติกฺกเมน ปริโยทาตํฯ ฌานปฎิลาภปจฺจนีกานํ ปาปกานํ อิจฺฉาวจรานํ อภาเวน อนงฺคณํฯ อิจฺฉาวจรานนฺติ อิจฺฉาย อวจรานํ อิจฺฉาวเสน โอติณฺณานํ ปวตฺตานํ นานปฺปการานํ โกปอปจฺจยานนฺติ อโตฺถฯ อภิชฺฌาทีนํ จิตฺตุปกฺกิเลสานํ วิคเมน วิคตูปกฺกิเลสํฯ อุภยมฺปิ เจตํ อนงฺคณสุตฺตวตฺถสุตฺตานํ (ม. นิ. ๑.๕๗ อาทโย; ๗๐ อาทโย) วเสน เวทิตพฺพํฯ วสิปฺปตฺติยา มุทุภูตํฯ อิทฺธิปาทภาวูปคเมน กมฺมนิยํฯ ภาวนาปาริปูริยา ปณีตภาวูปคเมน ฐิตํ อาเนญฺชปฺปตฺตํฯ ยถา อาเนญฺชภาวปฺปตฺตํ อาเนญฺชปฺปตฺตํ โหติ, เอวํ ฐิตนฺติ อโตฺถฯ เอวมฺปิ อฎฺฐงฺคสมนฺนาคตํ จิตฺตํ อภินีหารกฺขมํ โหติฯ อภิญฺญาสจฺฉิกรณียานํ ธมฺมานํ อภิญฺญาสจฺฉิกิริยาย ปาทกํ ปทฎฺฐานภูตํฯ เตเนวาห – ‘‘โส ตตฺถ อฎฺฐวิธํ อธิคจฺฉติ ฉ อภิญฺญา เทฺว จ วิเสเส’’ติฯ

    Aparo nayo – catutthajjhānasamādhinā samāhitaṃ cittaṃ nīvaraṇadūrībhāvena parisuddhaṃ. Vitakkādisamatikkamena pariyodātaṃ. Jhānapaṭilābhapaccanīkānaṃ pāpakānaṃ icchāvacarānaṃ abhāvena anaṅgaṇaṃ. Icchāvacarānanti icchāya avacarānaṃ icchāvasena otiṇṇānaṃ pavattānaṃ nānappakārānaṃ kopaapaccayānanti attho. Abhijjhādīnaṃ cittupakkilesānaṃ vigamena vigatūpakkilesaṃ. Ubhayampi cetaṃ anaṅgaṇasuttavatthasuttānaṃ (ma. ni. 1.57 ādayo; 70 ādayo) vasena veditabbaṃ. Vasippattiyā mudubhūtaṃ. Iddhipādabhāvūpagamena kammaniyaṃ. Bhāvanāpāripūriyā paṇītabhāvūpagamena ṭhitaṃ āneñjappattaṃ. Yathā āneñjabhāvappattaṃ āneñjappattaṃ hoti, evaṃ ṭhitanti attho. Evampi aṭṭhaṅgasamannāgataṃ cittaṃ abhinīhārakkhamaṃ hoti. Abhiññāsacchikaraṇīyānaṃ dhammānaṃ abhiññāsacchikiriyāya pādakaṃ padaṭṭhānabhūtaṃ. Tenevāha – ‘‘so tattha aṭṭhavidhaṃ adhigacchati cha abhiññā dve ca visese’’ti.

    ตตฺถ โสติ อธิคตจตุตฺถชฺฌาโน โยคีฯ ตตฺถาติ ตสฺมิํ จตุตฺถชฺฌาเน อธิฎฺฐานภูเตฯ อฎฺฐวิธํ อธิคจฺฉตีติ อฎฺฐวิธํ คุณํ อธิคจฺฉติฯ โก ปน โส อฎฺฐวิโธ คุโณติ? อาห ‘‘ฉ อภิญฺญา เทฺว จ วิเสเส’’ติฯ มโนมยิทฺธิ วิปสฺสนาญาณญฺจฯ ตํ จิตฺตนฺติ จตุตฺถชฺฌานจิตฺตํฯ ‘‘ยโต ปริสุทฺธํ, ตโต ปริโยทาต’’นฺติอาทินา ปุริมํ ปุริมํ ปจฺฉิมสฺส ปจฺฉิมสฺส การณวจนนฺติ ทเสฺสติฯ ตทุภยนฺติ เยสํ ราคาทิองฺคณานํ อภิชฺฌาทิอุปกฺกิเลสานญฺจ อภาเวน ‘‘อนงฺคณํ วิคตูปกฺกิเลส’’นฺติ จ วุตฺตํฯ ตานิ องฺคณานิ อุปกฺกิเลสา จาติ ตํ อุภยํฯ ตทุภยํ ตณฺหาสภาวตฺตา ตณฺหาย อนุโลมนโต จ ตณฺหาปโกฺขฯ ยา จ อิญฺชนาติ ยา จ จิตฺตสฺส อสมาทาเนน ผนฺทนาฯ อฎฺฐิตีติ อนวฎฺฐานํฯ อยํ ทิฎฺฐิปโกฺขติ ยา อิญฺชนา อฎฺฐิติ จ, อยํ มิจฺฉาภินิเวสเหตุตาย ทิฎฺฐิปโกฺขฯ

    Tattha soti adhigatacatutthajjhāno yogī. Tatthāti tasmiṃ catutthajjhāne adhiṭṭhānabhūte. Aṭṭhavidhaṃ adhigacchatīti aṭṭhavidhaṃ guṇaṃ adhigacchati. Ko pana so aṭṭhavidho guṇoti? Āha ‘‘cha abhiññā dve ca visese’’ti. Manomayiddhi vipassanāñāṇañca. Taṃ cittanti catutthajjhānacittaṃ. ‘‘Yato parisuddhaṃ, tato pariyodāta’’ntiādinā purimaṃ purimaṃ pacchimassa pacchimassa kāraṇavacananti dasseti. Tadubhayanti yesaṃ rāgādiaṅgaṇānaṃ abhijjhādiupakkilesānañca abhāvena ‘‘anaṅgaṇaṃ vigatūpakkilesa’’nti ca vuttaṃ. Tāni aṅgaṇāni upakkilesā cāti taṃ ubhayaṃ. Tadubhayaṃ taṇhāsabhāvattā taṇhāya anulomanato ca taṇhāpakkho. Yā ca iñjanāti yā ca cittassa asamādānena phandanā. Aṭṭhitīti anavaṭṭhānaṃ. Ayaṃ diṭṭhipakkhoti yā iñjanā aṭṭhiti ca, ayaṃ micchābhinivesahetutāya diṭṭhipakkho.

    ‘‘จตฺตาริ อินฺทฺริยานี’’ติอาทินา เวทนาโตปิ จตุตฺถชฺฌานํ วิภาเวติฯ เอวํ อฎฺฐงฺคสมนฺนาคตํ จตุตฺถชฺฌานจิตฺตํ อุปริ อภิญฺญาธิคมาย อภินีหารกฺขมํ โหติฯ สา จ อภินีหารกฺขมตา จุทฺทสหิ อากาเรหิ จิณฺณวสิภาวเสฺสว โหติฯ โส จ วสิภาโว อฎฺฐสมาปตฺติลาภิโน, น รูปาวจรชฺฌานมตฺตลาภิโนติ อารุปฺปสมาปตฺติยา มนสิการวิธิํ ทเสฺสโนฺต ‘‘โส อุปริมํ สมาปตฺติํ สนฺตโต มนสิกโรตี’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ อุปริมํ สมาปตฺตินฺติ อากาสานญฺจายตนสมาปตฺติํฯ สนฺตโต มนสิกโรตีติ องฺคสนฺตตายปิ อารมฺมณสนฺตตายปิ ‘‘สนฺตา’’ติ มนสิกโรติฯ ยโต ยโต หิ อารุปฺปสมาปตฺติํ สนฺตโต มนสิกโรติ, ตโต ตโต รูปาวจรชฺฌานํ อวูปสนฺตํ หุตฺวา อุปฎฺฐาติฯ เตเนวาห – ‘‘ตสฺส อุปริมํ…เป.… สณฺฐหตี’’ติฯ อุกฺกณฺฐา จ ปฎิฆสญฺญาติ ปฎิฆสญฺญาสงฺขาตาสุ ปญฺจวิญฺญาณสญฺญาสุ อนภิรติ สณฺฐหติฯ ‘‘โส สพฺพโส’’ติอาทินา เอกเทเสน อารุปฺปสมาปตฺติํ ทเสฺสติฯ อภิญฺญาภินีหาโร รูปสญฺญาติ รูปาวจรสญฺญา นาเมตา ยาวเทว อภิญฺญตฺถาภินีหารมตฺตํ, น ปน อรูปาวจรสมาปตฺติโย วิย สนฺตาติ อธิปฺปาโยฯ โวกาโร นานตฺตสญฺญาติ นานตฺตสญฺญา นาเมตา นานารมฺมเณสุ โวกาโร, ตตฺถ จิตฺตสฺส อากุลปฺปวตฺตีติ อโตฺถฯ สมติกฺกมตีติ เอวํ ตตฺถ อาทีนวทสฺสี หุตฺวา ตา สมติกฺกมติฯ ปฎิฆสญฺญา จสฺส อพฺภตฺถํ คจฺฉตีติ อสฺส อากาสานญฺจายตนสมาปตฺติํ อธิคจฺฉนฺตสฺส โยคิโน ทสปิ ปฎิฆสญฺญา วิคจฺฉนฺติฯ อิมินา ปฐมารุปฺปสมาปตฺติมาหฯ

    ‘‘Cattāri indriyānī’’tiādinā vedanātopi catutthajjhānaṃ vibhāveti. Evaṃ aṭṭhaṅgasamannāgataṃ catutthajjhānacittaṃ upari abhiññādhigamāya abhinīhārakkhamaṃ hoti. Sā ca abhinīhārakkhamatā cuddasahi ākārehi ciṇṇavasibhāvasseva hoti. So ca vasibhāvo aṭṭhasamāpattilābhino, na rūpāvacarajjhānamattalābhinoti āruppasamāpattiyā manasikāravidhiṃ dassento ‘‘so uparimaṃ samāpattiṃ santato manasikarotī’’tiādimāha. Tattha uparimaṃ samāpattinti ākāsānañcāyatanasamāpattiṃ. Santato manasikarotīti aṅgasantatāyapi ārammaṇasantatāyapi ‘‘santā’’ti manasikaroti. Yato yato hi āruppasamāpattiṃ santato manasikaroti, tato tato rūpāvacarajjhānaṃ avūpasantaṃ hutvā upaṭṭhāti. Tenevāha – ‘‘tassa uparimaṃ…pe… saṇṭhahatī’’ti. Ukkaṇṭhā ca paṭighasaññāti paṭighasaññāsaṅkhātāsu pañcaviññāṇasaññāsu anabhirati saṇṭhahati. ‘‘So sabbaso’’tiādinā ekadesena āruppasamāpattiṃ dasseti. Abhiññābhinīhāro rūpasaññāti rūpāvacarasaññā nāmetā yāvadeva abhiññatthābhinīhāramattaṃ, na pana arūpāvacarasamāpattiyo viya santāti adhippāyo. Vokāro nānattasaññāti nānattasaññā nāmetā nānārammaṇesu vokāro, tattha cittassa ākulappavattīti attho. Samatikkamatīti evaṃ tattha ādīnavadassī hutvā tā samatikkamati. Paṭighasaññā cassa abbhatthaṃ gacchatīti assa ākāsānañcāyatanasamāpattiṃ adhigacchantassa yogino dasapi paṭighasaññā vigacchanti. Iminā paṭhamāruppasamāpattimāha.

    เอวํ สมาหิตสฺสาติ เอวํ อิมินา วุตฺตนเยน รูปาวจรชฺฌาเน จิเตฺตกคฺคตายปิ สมติกฺกเมน สมาหิตสฺสฯ สมาหิตสฺสาติ อารุปฺปสมาธินา สนฺตวุตฺตินา สมาหิตสฺสฯ โอภาโสติ โย ปุเร รูปาวจรชฺฌาโนภาโสฯ อนฺตรธายตีติ โส รูปาวจรชฺฌาโนภาโส อรูปาวจรชฺฌานสมาปชฺชนกาเล วิคจฺฉติฯ ทสฺสนญฺจาติ รูปาวจรชฺฌานจกฺขุนา ทสฺสนญฺจ อนฺตรธายติฯ โส สมาธีติ โส ยถาวุโตฺต รูปารูปสมาธิฯ ฉฬงฺคสมนฺนาคโตติ อุปการกปริกฺขารสภาวภูเตหิ ฉหิ อเงฺคหิ สมนฺนาคโตฯ ปจฺจเวกฺขิตโพฺพติ ปติ อเวกฺขิตโพฺพ, ปุนปฺปุนํ จิเนฺตตโพฺพติ อโตฺถฯ ปจฺจเวกฺขณาการํ สห วิสเยน ทเสฺสตุํ ‘‘อนภิชฺฌาสหคต’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ สพฺพโลเกติ สพฺพสฺมิํ ปิยรูเป สาตรูเป สตฺตโลเก สงฺขารโลเก จฯ เตน กามจฺฉนฺทสฺส ปหานมาหฯ ตถา ‘‘อพฺยาปนฺน’’นฺติอาทินา พฺยาปาทโกสชฺชสารมฺภสาเฐยฺยวิเกฺขปสโมฺมสานํ ปหานํฯ ปุน ตานิ ฉ องฺคานิ สมถวิปสฺสนาวเสน วิภชิตฺวา ทเสฺสตุํ ‘‘ยญฺจ อนภิชฺฌาสหคต’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ ตํ สพฺพํ สุวิเญฺญยฺยํฯ

    Evaṃ samāhitassāti evaṃ iminā vuttanayena rūpāvacarajjhāne cittekaggatāyapi samatikkamena samāhitassa. Samāhitassāti āruppasamādhinā santavuttinā samāhitassa. Obhāsoti yo pure rūpāvacarajjhānobhāso. Antaradhāyatīti so rūpāvacarajjhānobhāso arūpāvacarajjhānasamāpajjanakāle vigacchati. Dassanañcāti rūpāvacarajjhānacakkhunā dassanañca antaradhāyati. So samādhīti so yathāvutto rūpārūpasamādhi. Chaḷaṅgasamannāgatoti upakārakaparikkhārasabhāvabhūtehi chahi aṅgehi samannāgato. Paccavekkhitabboti pati avekkhitabbo, punappunaṃ cintetabboti attho. Paccavekkhaṇākāraṃ saha visayena dassetuṃ ‘‘anabhijjhāsahagata’’ntiādi vuttaṃ. Tattha sabbaloketi sabbasmiṃ piyarūpe sātarūpe sattaloke saṅkhāraloke ca. Tena kāmacchandassa pahānamāha. Tathā ‘‘abyāpanna’’ntiādinā byāpādakosajjasārambhasāṭheyyavikkhepasammosānaṃ pahānaṃ. Puna tāni cha aṅgāni samathavipassanāvasena vibhajitvā dassetuṃ ‘‘yañca anabhijjhāsahagata’’ntiādi vuttaṃ. Taṃ sabbaṃ suviññeyyaṃ.

    ๕๔. เอตฺตาวตา ‘‘ปญฺญาวิมุตฺตี’’ติ วุตฺตสฺส อรหตฺตผลสฺส สมาธิมุเขน ปุพฺพภาคปฎิปทํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ อรหตฺตผลสมาธิํ ทเสฺสตุํ ‘‘โส สมาธี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ โส สมาธีติ โย โส สมฺมาสมาธิฯ ปุเพฺพ วุตฺตสฺส อริยมคฺคสมาธิสฺส ผลภูโต สมาธิ ปญฺจวิเธน เวทิตโพฺพ อิทานิ วุจฺจมาเนหิ ปญฺจหิ ปจฺจเวกฺขณญาเณหิ อตฺตโน ปจฺจเวกฺขิตพฺพาการสงฺขาเตน ปญฺจวิเธน เวทิตโพฺพฯ ‘‘อยํ สมาธิ ปจฺจุปฺปนฺนสุโข’’ติอาทีสุ อรหตฺตผลสมาธิ อปฺปิตปฺปิตกฺขเณ สุขตฺตา ปจฺจุปฺปนฺนสุโขฯ ปุริโม ปุริโม ปจฺฉิมสฺส ปจฺฉิมสฺส สมาธิสุขสฺส ปจฺจยตฺตา อายติํ สุขวิปาโกฯ กิเลเสหิ อารกตฺตา อริโยฯ กามามิสวฎฺฎามิสโลกามิสานํ อภาวา นิรามิโสฯ พุทฺธาทีหิ มหาปุริเสหิ เสวิตตฺตา อกาปุริสเสวิโตฯ องฺคสนฺตตาย สพฺพกิเลสทรถสนฺตตาย จ สโนฺตฯ อติตฺติกรเฎฺฐน ปณีโตฯ กิเลสปฎิปฺปสฺสทฺธิยา ลทฺธตฺตา, กิเลสปฎิปฺปสฺสทฺธิภาเวน วา ลทฺธตฺตา ปฎิปฺปสฺสทฺธิลโทฺธฯ ปสฺสทฺธํ ปสฺสทฺธีติ หิ อิทํ อตฺถโต เอกํฯ ปฎิปฺปสฺสทฺธิกิเลเสน วา อรหตา ลทฺธตฺตาปิ ปฎิปฺปสฺสทฺธิลโทฺธ ฯ เอโกทิภาเวน อธิคตตฺตา, เอโกทิภาวเมว วา อธิคตตฺตา เอโกทิภาวาธิคโตฯ อปฺปคุณสาสวสมาธิ วิย สสงฺขาเรน สปฺปโยเคน ปจฺจนีกธเมฺม นิคฺคยฺห กิเลเส วาเรตฺวา อนธิคตตฺตา นสสงฺขารนิคฺคยฺหวาริตคโตติฯ

    54. Ettāvatā ‘‘paññāvimuttī’’ti vuttassa arahattaphalassa samādhimukhena pubbabhāgapaṭipadaṃ dassetvā idāni arahattaphalasamādhiṃ dassetuṃ ‘‘so samādhī’’tiādi vuttaṃ. Tattha so samādhīti yo so sammāsamādhi. Pubbe vuttassa ariyamaggasamādhissa phalabhūto samādhi pañcavidhena veditabbo idāni vuccamānehi pañcahi paccavekkhaṇañāṇehi attano paccavekkhitabbākārasaṅkhātena pañcavidhena veditabbo. ‘‘Ayaṃ samādhi paccuppannasukho’’tiādīsu arahattaphalasamādhi appitappitakkhaṇe sukhattā paccuppannasukho. Purimo purimo pacchimassa pacchimassa samādhisukhassa paccayattā āyatiṃ sukhavipāko. Kilesehi ārakattā ariyo. Kāmāmisavaṭṭāmisalokāmisānaṃ abhāvā nirāmiso. Buddhādīhi mahāpurisehi sevitattā akāpurisasevito. Aṅgasantatāya sabbakilesadarathasantatāya ca santo. Atittikaraṭṭhena paṇīto. Kilesapaṭippassaddhiyā laddhattā, kilesapaṭippassaddhibhāvena vā laddhattā paṭippassaddhiladdho. Passaddhaṃ passaddhīti hi idaṃ atthato ekaṃ. Paṭippassaddhikilesena vā arahatā laddhattāpi paṭippassaddhiladdho. Ekodibhāvena adhigatattā, ekodibhāvameva vā adhigatattā ekodibhāvādhigato. Appaguṇasāsavasamādhi viya sasaṅkhārena sappayogena paccanīkadhamme niggayha kilese vāretvā anadhigatattā nasasaṅkhāraniggayhavāritagatoti.

    ยโต ยโต ภาคโต ตญฺจ สมาธิํ สมาปชฺชโนฺต, ตโต วา วุฎฺฐหโนฺต สติเวปุลฺลปฺปโตฺต สโตว สมาปชฺชติ สโตว วุฎฺฐหติ, ยถาปริจฺฉินฺนกาลวเสน วา สโต สมาปชฺชติ สโต วุฎฺฐหติฯ ตสฺมา ยเทตฺถ ‘‘อยํ สมาธิ ปจฺจุปฺปนฺนสุโข เจว อายติญฺจ สุขวิปาโก’’ติ เอวํ ปจฺจเวกฺขนฺตสฺส ปจฺจตฺตเมว อปรปฺปจฺจยญาณํ อุปฺปชฺชติ, อยเมโก อากาโรฯ เอส นโย เสเสสุปิฯ เอวเมเตสํ ปญฺจนฺนํ ปจฺจเวกฺขิตพฺพาการานํ วเสน สมาธิ ปญฺจวิเธน เวทิตโพฺพฯ

    Yato yato bhāgato tañca samādhiṃ samāpajjanto, tato vā vuṭṭhahanto sativepullappatto satova samāpajjati satova vuṭṭhahati, yathāparicchinnakālavasena vā sato samāpajjati sato vuṭṭhahati. Tasmā yadettha ‘‘ayaṃ samādhi paccuppannasukho ceva āyatiñca sukhavipāko’’ti evaṃ paccavekkhantassa paccattameva aparappaccayañāṇaṃ uppajjati, ayameko ākāro. Esa nayo sesesupi. Evametesaṃ pañcannaṃ paccavekkhitabbākārānaṃ vasena samādhi pañcavidhena veditabbo.

    ปุน ‘‘โย จ สมาธี’’ติอาทินา อรหตฺตผเล สมถวิปสฺสนาวิภาคํ ทเสฺสติฯ ตตฺถ สมาธิสุขสฺส ‘‘สุข’’นฺติ อธิเปฺปตตฺตา ‘‘โย จ สมาธิ ปจฺจุปฺปนฺนสุโข, โย จ สมาธิ อายติํ สุขวิปาโก, อยํ สมโถ’’ติ วุตฺตํฯ อริยนิรามิสาทิภาโว ปน ปญฺญานุภาเวน นิปฺผชฺชตีติ อาห – ‘‘โย จ สมาธิ อริโย…เป.… อยํ วิปสฺสนา’’ติฯ

    Puna ‘‘yo ca samādhī’’tiādinā arahattaphale samathavipassanāvibhāgaṃ dasseti. Tattha samādhisukhassa ‘‘sukha’’nti adhippetattā ‘‘yo ca samādhi paccuppannasukho, yo ca samādhi āyatiṃ sukhavipāko, ayaṃ samatho’’ti vuttaṃ. Ariyanirāmisādibhāvo pana paññānubhāvena nipphajjatīti āha – ‘‘yo ca samādhi ariyo…pe… ayaṃ vipassanā’’ti.

    เอวํ อรหตฺตผลสมาธิํ วิภาเคน ทเสฺสตฺวา อิทานิ ตสฺส ปุพฺพภาคปฎิปทํ สมาธิวิภาเคน ทเสฺสตุํ ‘‘โส สมาธี’’ติ วุตฺตํฯ ตตฺถ โส สมาธีติ โย โส อรหตฺตผลสมาธิสฺส ปุพฺพภาคปฎิปทายํ วุโตฺต รูปาวจรจตุตฺถชฺฌานสมาธิ, โส สมาธิฯ ปญฺจวิเธนาติ วกฺขมาเนน ปญฺจปฺปกาเรน เวทิตโพฺพฯ ‘‘ปีติผรณตา’’ติอาทีสุ ปีติํ ผรมานา อุปฺปชฺชตีติ ทฺวีสุ ฌาเนสุ ปญฺญา ปีติผรณตา นามฯ สุขํ ผรมานา อุปฺปชฺชตีติ ตีสุ ฌาเนสุ ปญฺญา สุขผรณตา นามฯ ปเรสํ เจโต ผรมานา อุปฺปชฺชตีติ เจโตปริยปญฺญา เจโตผรณตา นามฯ อาโลกผรเณ อุปฺปชฺชตีติ ทิพฺพจกฺขุปญฺญา อาโลกผรณตา นามฯ ปจฺจเวกฺขณญาณํ ปจฺจเวกฺขณานิมิตฺตํ นามฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ ‘‘ทฺวีสุ ฌาเนสุ ปญฺญา ปีติผรณตา, ตีสุ ฌาเนสุ ปญฺญา สุขผรณตา, ปรจิเตฺต ญาณํ เจโตผรณตา, ทิพฺพจกฺขุ อาโลกผรณตา, ตมฺหา ตมฺหา สมาธิมฺหา วุฎฺฐิตสฺส ปจฺจเวกฺขณญาณํ ปจฺจเวกฺขณนิมิตฺต’’นฺติ (วิภ. ๘๐๔)ฯ

    Evaṃ arahattaphalasamādhiṃ vibhāgena dassetvā idāni tassa pubbabhāgapaṭipadaṃ samādhivibhāgena dassetuṃ ‘‘so samādhī’’ti vuttaṃ. Tattha so samādhīti yo so arahattaphalasamādhissa pubbabhāgapaṭipadāyaṃ vutto rūpāvacaracatutthajjhānasamādhi, so samādhi. Pañcavidhenāti vakkhamānena pañcappakārena veditabbo. ‘‘Pītipharaṇatā’’tiādīsu pītiṃ pharamānā uppajjatīti dvīsu jhānesu paññā pītipharaṇatā nāma. Sukhaṃ pharamānā uppajjatīti tīsu jhānesu paññā sukhapharaṇatā nāma. Paresaṃ ceto pharamānā uppajjatīti cetopariyapaññā cetopharaṇatā nāma. Ālokapharaṇe uppajjatīti dibbacakkhupaññā ālokapharaṇatā nāma. Paccavekkhaṇañāṇaṃ paccavekkhaṇānimittaṃ nāma. Vuttampi cetaṃ ‘‘dvīsu jhānesu paññā pītipharaṇatā, tīsu jhānesu paññā sukhapharaṇatā, paracitte ñāṇaṃ cetopharaṇatā, dibbacakkhu ālokapharaṇatā, tamhā tamhā samādhimhā vuṭṭhitassa paccavekkhaṇañāṇaṃ paccavekkhaṇanimitta’’nti (vibha. 804).

    อิธ สมถวิปสฺสนาวิภาคํ ทเสฺสตุํ ‘‘โย จ ปีติผรโณ’’ติอาทิ วุตฺตํฯ เอตฺถ จ ปญฺญาสีเสน เทสนา กตาติ ปญฺญาวเสน สํวณฺณนา กตาฯ ปญฺญา ปีติผรณตาติอาทีสุ สมาธิสหคตา เอวาติ ตตฺถ สมาธิวเสน สมโถ อุทฺธโฎฯ ตสฺมา ปีติสุขเจโตผรณตา วิเสสโต สมาธิวิปฺผารวเสน อิชฺฌนฺตีติ ตา ‘‘สมโถ’’ติ วุตฺตาฯ อิตรานิ ญาณวิปฺผารวเสนาติ ตานิ ‘‘วิปสฺสนา’’ติ วุตฺตานิฯ

    Idha samathavipassanāvibhāgaṃ dassetuṃ ‘‘yo ca pītipharaṇo’’tiādi vuttaṃ. Ettha ca paññāsīsena desanā katāti paññāvasena saṃvaṇṇanā katā. Paññā pītipharaṇatātiādīsu samādhisahagatā evāti tattha samādhivasena samatho uddhaṭo. Tasmā pītisukhacetopharaṇatā visesato samādhivipphāravasena ijjhantīti tā ‘‘samatho’’ti vuttā. Itarāni ñāṇavipphāravasenāti tāni ‘‘vipassanā’’ti vuttāni.

    ๕๕. อิทานิ ตํ สมาธิํ อารมฺมณวเสน วิภชิตฺวา ทเสฺสตุํ ‘‘ทส กสิณายตนานี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ กสิณชฺฌานสงฺขาตานิ กสิณานิ จ ตานิ โยคิโน สุขวิเสสานํ อธิฎฺฐานภาวโต, มนายตนธมฺมายตนภาวโต จ อายตนานิ จาติ กสิณายตนานิฯ ปถวีกสิณนฺติ กตปริกมฺมํ ปถวีมณฺฑลมฺปิ, ตตฺถ ปวตฺตํ อุคฺคหปฎิภาคนิมิตฺตมฺปิ, ตสฺมิํ นิมิเตฺต อุปฺปนฺนชฺฌานมฺปิ วุจฺจติฯ เตสุ ฌานํ อิธาธิเปฺปตํฯ อากาสกสิณนฺติ กสิณุคฺฆาฎิมากาเส ปวตฺตปฐมารุปฺปชฺฌานํฯ วิญฺญาณกสิณนฺติ ปฐมารุปฺปวิญฺญาณารมฺมณํ ทุติยารุปฺปชฺฌานํฯ ปถวีกสิณาทิเก สุทฺธสมถภาวนาวเสน ปวตฺติเต สนฺธาย ‘‘อิมานิ อฎฺฐ กสิณานิ สมโถ’’ติ วุตฺตํฯ เสสกสิณทฺวยํ วิปสฺสนาธิฎฺฐานภาเวน ปวตฺตํ ‘‘วิปสฺสนา’’ติ วุตฺตํฯ

    55. Idāni taṃ samādhiṃ ārammaṇavasena vibhajitvā dassetuṃ ‘‘dasa kasiṇāyatanānī’’tiādi vuttaṃ. Tattha kasiṇajjhānasaṅkhātāni kasiṇāni ca tāni yogino sukhavisesānaṃ adhiṭṭhānabhāvato, manāyatanadhammāyatanabhāvato ca āyatanāni cāti kasiṇāyatanāni. Pathavīkasiṇanti kataparikammaṃ pathavīmaṇḍalampi, tattha pavattaṃ uggahapaṭibhāganimittampi, tasmiṃ nimitte uppannajjhānampi vuccati. Tesu jhānaṃ idhādhippetaṃ. Ākāsakasiṇanti kasiṇugghāṭimākāse pavattapaṭhamāruppajjhānaṃ. Viññāṇakasiṇanti paṭhamāruppaviññāṇārammaṇaṃ dutiyāruppajjhānaṃ. Pathavīkasiṇādike suddhasamathabhāvanāvasena pavattite sandhāya ‘‘imāni aṭṭha kasiṇāni samatho’’ti vuttaṃ. Sesakasiṇadvayaṃ vipassanādhiṭṭhānabhāvena pavattaṃ ‘‘vipassanā’’ti vuttaṃ.

    เอวนฺติ อิมินา นเยนฯ สโพฺพ อริยมโคฺคติ สมฺมาทิฎฺฐิอาทิภาเวน อภิโนฺนปิ อริยมโคฺค สติปฎฺฐานาทิปุพฺพภาคปฎิปทาเภเทน อเนกเภทภิโนฺน นิรวเสโส อริยมโคฺคฯ เยน เยน อากาเรนาติ อนภิชฺฌาทีสุ, ปจฺจุปฺปนฺนสุขตาทีสุ จ อากาเรสุ เยน เยน อากาเรน วุโตฺตฯ เตน เตนาติ เตสุ เตสุ อากาเรสุ เย เย สมถวเสน, เย จ เย จ วิปสฺสนาวเสน โยเชตุํ สมฺภวนฺติ, เตน เตน อากาเรน สมถวิปสฺสนาหิ อริยมโคฺค วิจินิตฺวา โยเชตโพฺพฯ เตติ สมถาธิฎฺฐานวิปสฺสนาธมฺมาฯ ตีหิ ธเมฺมหิ สงฺคหิตาติ ตีหิ อนุปสฺสนาธเมฺมหิ สงฺคหิตา, คณนํ คตาติ อโตฺถฯ กตเมหิ ตีหีติ? อาห ‘‘อนิจฺจตาย ทุกฺขตาย อนตฺตตายา’’ติฯ อนิจฺจตาย สหจรณโต วิปสฺสนา ‘‘อนิจฺจตา’’ติ วุตฺตาฯ เอส นโย เสเสสุปิฯ

    Evanti iminā nayena. Sabbo ariyamaggoti sammādiṭṭhiādibhāvena abhinnopi ariyamaggo satipaṭṭhānādipubbabhāgapaṭipadābhedena anekabhedabhinno niravaseso ariyamaggo. Yena yena ākārenāti anabhijjhādīsu, paccuppannasukhatādīsu ca ākāresu yena yena ākārena vutto. Tena tenāti tesu tesu ākāresu ye ye samathavasena, ye ca ye ca vipassanāvasena yojetuṃ sambhavanti, tena tena ākārena samathavipassanāhi ariyamaggo vicinitvā yojetabbo. Teti samathādhiṭṭhānavipassanādhammā. Tīhi dhammehi saṅgahitāti tīhi anupassanādhammehi saṅgahitā, gaṇanaṃ gatāti attho. Katamehi tīhīti? Āha ‘‘aniccatāya dukkhatāya anattatāyā’’ti. Aniccatāya sahacaraṇato vipassanā ‘‘aniccatā’’ti vuttā. Esa nayo sesesupi.

    โส สมถวิปสฺสนํ ภาวยมาโน ตีณิ วิโมกฺขมุขานิ ภาวยตีติ โส อริยมคฺคาธิคมาย ยุตฺตปฺปยุโตฺต โยคี กาเลน สมถํ สมาปชฺชนวเสน กาเลน วิปสฺสนํ สมฺมสนวเสน วฑฺฒยมาโน อนิมิตฺตวิโมกฺขมุขาทิสงฺขาตา ติโสฺส อนุปสฺสนา พฺรูเหติฯ ตโย ขเนฺธ ภาวยตีติ ติโสฺส อนุปสฺสนา อุปรูปริวิเสสํ ปาเปโนฺต สีลกฺขโนฺธ สมาธิกฺขโนฺธ ปญฺญากฺขโนฺธติ เอเต ตโย ขเนฺธ วเฑฺฒติฯ ยสฺมา ปน ตีหิ ขเนฺธหิ อริโย อฎฺฐงฺคิโก มโคฺค สงฺคหิโต, ตสฺมา ‘‘ตโย ขเนฺธ ภาวยโนฺต อริยํ อฎฺฐงฺคิกํ มคฺคํ ภาวยตี’’ติ วุตฺตํฯ

    So samathavipassanaṃ bhāvayamāno tīṇi vimokkhamukhāni bhāvayatīti so ariyamaggādhigamāya yuttappayutto yogī kālena samathaṃ samāpajjanavasena kālena vipassanaṃ sammasanavasena vaḍḍhayamāno animittavimokkhamukhādisaṅkhātā tisso anupassanā brūheti. Tayo khandhe bhāvayatīti tisso anupassanā uparūparivisesaṃ pāpento sīlakkhandho samādhikkhandho paññākkhandhoti ete tayo khandhe vaḍḍheti. Yasmā pana tīhi khandhehi ariyo aṭṭhaṅgiko maggo saṅgahito, tasmā ‘‘tayo khandhe bhāvayanto ariyaṃ aṭṭhaṅgikaṃ maggaṃ bhāvayatī’’ti vuttaṃ.

    อิทานิ เยสํ ปุคฺคลานํ ยตฺถ สิกฺขนฺตานํ วิเสสโต นิยฺยานมุขานิ เยสญฺจ กิเลสานํ ปฎิปกฺขภูตานิ ตีณิ วิโมกฺขมุขานิ, เตหิ สทฺธิํ ตานิ ทเสฺสตุํ ‘‘ราคจริโต’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ อนิมิเตฺตน วิโมกฺขมุเขนาติ อนิจฺจานุปสฺสนายฯ สา หิ นิจฺจนิมิตฺตาทิสมุคฺฆาฎเนน อนิมิโตฺต, ราคาทีนํ สมุเจฺฉทวิมุตฺติยา วิโมโกฺขติ ลทฺธนามสฺส อริยมคฺคสฺส มุขภาวโต ทฺวารภาวโต ‘‘อนิมิตฺตวิโมกฺขมุข’’นฺติ วุจฺจติฯ อธิจิตฺตสิกฺขายาติ สมาธิสฺมิํฯ สุขเวทนียํ ผสฺสํ อนุปคจฺฉโนฺตติ สุขเวทนาย หิตํ สุขเวทนาการณโต ผสฺสํ ตณฺหาย อนุปคจฺฉโนฺตฯ สุขํ เวทนํ ปริชานโนฺตติ ‘‘อยํ สุขา เวทนา วิปริณามาทินา ทุกฺขา’’ติ ปริชานโนฺต, สวิสยํ ราคํ สมติกฺกโนฺตฯ ‘‘ราคมลํ ปวาเหโนฺต’’ติอาทินา เตหิ ปริยาเยหิ ราคเสฺสว ปหานมาหฯ ‘‘โทสจริโต ปุคฺคโล’’ติอาทีสุปิ วุตฺตนยานุสาเรน อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ

    Idāni yesaṃ puggalānaṃ yattha sikkhantānaṃ visesato niyyānamukhāni yesañca kilesānaṃ paṭipakkhabhūtāni tīṇi vimokkhamukhāni, tehi saddhiṃ tāni dassetuṃ ‘‘rāgacarito’’tiādi vuttaṃ. Tattha animittena vimokkhamukhenāti aniccānupassanāya. Sā hi niccanimittādisamugghāṭanena animitto, rāgādīnaṃ samucchedavimuttiyā vimokkhoti laddhanāmassa ariyamaggassa mukhabhāvato dvārabhāvato ‘‘animittavimokkhamukha’’nti vuccati. Adhicittasikkhāyāti samādhismiṃ. Sukhavedanīyaṃ phassaṃ anupagacchantoti sukhavedanāya hitaṃ sukhavedanākāraṇato phassaṃ taṇhāya anupagacchanto. Sukhaṃ vedanaṃ parijānantoti ‘‘ayaṃ sukhā vedanā vipariṇāmādinā dukkhā’’ti parijānanto, savisayaṃ rāgaṃ samatikkanto. ‘‘Rāgamalaṃ pavāhento’’tiādinā tehi pariyāyehi rāgasseva pahānamāha. ‘‘Dosacarito puggalo’’tiādīsupi vuttanayānusārena attho veditabbo.

    ปญฺญาธิกสฺส สนฺตติสมูหกิจฺจารมฺมณาทิฆนวินิโพฺภเคน สงฺขาเรสุ อตฺตสุญฺญตา ปากฎา โหตีติ วิเสสโต อนตฺตานุปสฺสนา ปญฺญาปธานาติ อาห – ‘‘สุญฺญตวิโมกฺขมุขํ ปญฺญากฺขโนฺธ’’ติฯ ตถา สงฺขารานํ สรสปภงฺคุตาย อิตฺตรขณตฺตา อุปฺปนฺนานํ ตตฺถ ตเตฺถว ภิชฺชนํ สมฺมา สมาหิตเสฺสว ปากฎํ โหตีติ วิเสสโต อนิจฺจานุปสฺสนา สมาธิปฺปธานาติ อาห – ‘‘อนิมิตฺตวิโมกฺขมุขํ สมาธิกฺขโนฺธ’’ติฯ ตถา สีเลสุ ปริปูรการิโน ขนฺติพหุลสฺส อุปฺปนฺนํ ทุกฺขํ อรติญฺจ อภิภุยฺย วิหรโต สงฺขารานํ ทุกฺขตา วิภูตา โหตีติ ทุกฺขานุปสฺสนา สีลปฺปธานาติ อาห – ‘‘อปฺปณิหิตวิโมกฺขมุขํ สีลกฺขโนฺธ’’ติฯ อิติ ตีหิ วิโมกฺขมุเขหิ ติณฺณํ ขนฺธานํ สงฺคหิตตฺตา วุตฺตํ – ‘‘โส ตีณิ วิโมกฺขมุขานิ ภาวยโนฺต ตโย ขเนฺธ ภาวยตี’’ติฯ ยสฺมา จ ตีหิ จ ขเนฺธหิ อริยสฺส อฎฺฐงฺคิกสฺส มคฺคสฺส สงฺคหิตตฺตา ตโย ขเนฺธ ภาวยโนฺต ‘‘อริยํ อฎฺฐงฺคิกํ มคฺคํ ภาวยตี’’ติ วุตฺตํฯ ตสฺมา เตหิ ตสฺส สงฺคหํ ทเสฺสโนฺต ‘‘ยา จ สมฺมาวาจา’’ติอาทิมาหฯ

    Paññādhikassa santatisamūhakiccārammaṇādighanavinibbhogena saṅkhāresu attasuññatā pākaṭā hotīti visesato anattānupassanā paññāpadhānāti āha – ‘‘suññatavimokkhamukhaṃ paññākkhandho’’ti. Tathā saṅkhārānaṃ sarasapabhaṅgutāya ittarakhaṇattā uppannānaṃ tattha tattheva bhijjanaṃ sammā samāhitasseva pākaṭaṃ hotīti visesato aniccānupassanā samādhippadhānāti āha – ‘‘animittavimokkhamukhaṃ samādhikkhandho’’ti. Tathā sīlesu paripūrakārino khantibahulassa uppannaṃ dukkhaṃ aratiñca abhibhuyya viharato saṅkhārānaṃ dukkhatā vibhūtā hotīti dukkhānupassanā sīlappadhānāti āha – ‘‘appaṇihitavimokkhamukhaṃ sīlakkhandho’’ti. Iti tīhi vimokkhamukhehi tiṇṇaṃ khandhānaṃ saṅgahitattā vuttaṃ – ‘‘so tīṇi vimokkhamukhāni bhāvayanto tayo khandhe bhāvayatī’’ti. Yasmā ca tīhi ca khandhehi ariyassa aṭṭhaṅgikassa maggassa saṅgahitattā tayo khandhe bhāvayanto ‘‘ariyaṃ aṭṭhaṅgikaṃ maggaṃ bhāvayatī’’ti vuttaṃ. Tasmā tehi tassa saṅgahaṃ dassento ‘‘yā ca sammāvācā’’tiādimāha.

    ปุน ติณฺณํ ขนฺธานํ สมถวิปสฺสนาภาวํ ทเสฺสตุํ ‘‘สีลกฺขโนฺธ’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ สีลกฺขนฺธสฺส ขนฺติปธานตฺตา, สมาธิสฺส พหูปการตฺตา จ สมถปกฺขภชนํ ทฎฺฐพฺพํฯ ภวงฺคานีติ อุปปตฺติภวสฺส องฺคานิฯ เทฺว ปทานีติ เทฺว ปาทาฯ เยภุเยฺยน หิ ปญฺจทส จรณธมฺมา สีลสมาธิสงฺคหิตาติฯ ภาวิตกาโยติ อาภิสมาจาริกสีลสฺส ปาริปูริยา ภาวิตกาโยฯ อาทิพฺรหฺมจริยกสีลสฺส ปาริปูริยา ภาวิตสีโลฯ อถ วา ภาวิตกาโยติ อินฺทฺริยสํวเรน ภาวิตปญฺจทฺวารกาโยฯ ภาวิตสีโลติ อวสิฎฺฐสีลวเสน ภาวิตสีโลฯ สมฺมา กายภาวนาย สติ อจฺจนฺตํ กายทุจฺจริตปฺปหานํ อนวชฺชญฺจ อุฎฺฐานํ สมฺปชฺชติฯ ตถา อนุตฺตเร สีเล สิชฺฌมาเน อนวเสสโต มิจฺฉาวาจาย มิจฺฉาชีวสฺส จ ปหานํ สมฺปชฺชติฯ จิตฺตปญฺญาสุ จ ภาวิตาสุ สมฺมาสติสมฺมาสมาธิสมฺมาทิฎฺฐิสมฺมาสงฺกปฺปา ภาวนาปาริปูริํ คตา เอว โหนฺติ ตํสภาวตฺตา ตทุภยการณตฺตา จาติ อิมมตฺถํ ทเสฺสติ ‘‘กาเย ภาวิยมาเน’’ติอาทินาฯ

    Puna tiṇṇaṃ khandhānaṃ samathavipassanābhāvaṃ dassetuṃ ‘‘sīlakkhandho’’tiādi vuttaṃ. Tattha sīlakkhandhassa khantipadhānattā, samādhissa bahūpakārattā ca samathapakkhabhajanaṃ daṭṭhabbaṃ. Bhavaṅgānīti upapattibhavassa aṅgāni. Dve padānīti dve pādā. Yebhuyyena hi pañcadasa caraṇadhammā sīlasamādhisaṅgahitāti. Bhāvitakāyoti ābhisamācārikasīlassa pāripūriyā bhāvitakāyo. Ādibrahmacariyakasīlassa pāripūriyā bhāvitasīlo. Atha vā bhāvitakāyoti indriyasaṃvarena bhāvitapañcadvārakāyo. Bhāvitasīloti avasiṭṭhasīlavasena bhāvitasīlo. Sammā kāyabhāvanāya sati accantaṃ kāyaduccaritappahānaṃ anavajjañca uṭṭhānaṃ sampajjati. Tathā anuttare sīle sijjhamāne anavasesato micchāvācāya micchājīvassa ca pahānaṃ sampajjati. Cittapaññāsu ca bhāvitāsu sammāsatisammāsamādhisammādiṭṭhisammāsaṅkappā bhāvanāpāripūriṃ gatā eva honti taṃsabhāvattā tadubhayakāraṇattā cāti imamatthaṃ dasseti ‘‘kāye bhāviyamāne’’tiādinā.

    ปญฺจวิธํ อธิคมํ คจฺฉตีติ อริยมคฺคาธิคมเมว อวตฺถาวิเสสวเสน ปญฺจธา วิภชิตฺวา ทเสฺสติฯ อริยมโคฺค หิ ขิปฺปํ สกิํ เอกจิตฺตกฺขเณเนว จตูสุ สเจฺจสุ อตฺตนา อธิคนฺตพฺพํ อธิคจฺฉตีติ น ตสฺส โลกิยสมาปตฺติยา วิย วสิภาวนากิจฺจํ อตฺถีติ ขิปฺปาธิคโม จ โหติฯ ปชหิตพฺพานํ อจฺจนฺตวิมุตฺติวเสน ปชหนโต วิมุตฺตาธิคโม จฯ โลกิเยหิ มหนฺตานํ สีลกฺขนฺธาทีนํ อธิคมนภาวโต มหาธิคโม จฯ เตสํเยว วิปุลผลานํ อธิคมนโต วิปุลาธิคโม จฯ อตฺตนา กตฺตพฺพสฺส กสฺสจิ อนวเสสโต อนวเสสาธิคโม จ โหตีติฯ เก ปเนเต อธิคมา? เกจิ สมถานุภาเวน, เกจิ วิปสฺสนานุภาเวนาติ อิมํ วิภาคํ ทเสฺสตุํ ‘‘ตตฺถ สมเถนา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ

    Pañcavidhaṃ adhigamaṃ gacchatīti ariyamaggādhigamameva avatthāvisesavasena pañcadhā vibhajitvā dasseti. Ariyamaggo hi khippaṃ sakiṃ ekacittakkhaṇeneva catūsu saccesu attanā adhigantabbaṃ adhigacchatīti na tassa lokiyasamāpattiyā viya vasibhāvanākiccaṃ atthīti khippādhigamo ca hoti. Pajahitabbānaṃ accantavimuttivasena pajahanato vimuttādhigamo ca. Lokiyehi mahantānaṃ sīlakkhandhādīnaṃ adhigamanabhāvato mahādhigamo ca. Tesaṃyeva vipulaphalānaṃ adhigamanato vipulādhigamo ca. Attanā kattabbassa kassaci anavasesato anavasesādhigamo ca hotīti. Ke panete adhigamā? Keci samathānubhāvena, keci vipassanānubhāvenāti imaṃ vibhāgaṃ dassetuṃ ‘‘tattha samathenā’’tiādi vuttaṃ.

    ๕๖. อิติ มหาเถโร ‘‘ตสฺมา รกฺขิตจิตฺตสฺสา’’ติ คาถาย วเสน อรหตฺตผลวิมุตฺติมุเขน วิจยหารสมฺปาตํ นิทฺทิสโนฺต เทสนากุสลตาย อเนเกหิ สุตฺตปฺปเทเสหิ ตสฺสา ปุพฺพภาคปฎิปทาย ภาวนาวิเสสานํ ภาวนานิสํสานญฺจ วิภชนวเสน นานปฺปการโต วิจยหารํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ทสนฺนํ ตถาคตพลานมฺปิ วเสน ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘ตตฺถ โย เทสยตี’’ติอาทิมาหฯ โอวาเทน สาวเก น วิสํวาทยตีติ อตฺตโน อนุสิฎฺฐิยา ธมฺมสฺส สวนโต ‘‘สาวกา’’ติ ลทฺธนาเม เวเนเยฺย น วิปฺปลเมฺภติ น วเญฺจติ, วิสํวาทนเหตูนํ ปาปธมฺมานํ อริยมเคฺคน โพธิมูเล เอว สุปฺปหีนตฺตาฯ ติวิธนฺติ ติปฺปการํ, ตีหิ อากาเรหีติ อโตฺถฯ อิทํ กโรถาติ อิมํ สรณคมนํ สีลาทิญฺจ อุปสมฺปชฺช วิหรถฯ อิมินา อุปาเยน กโรถาติ อเนนปิ วิธินา สรณานิ โสเธนฺตา สีลาทีนิ ปริปูเรนฺตา สมฺปาเทถฯ อิทํ โว กุรุมานานนฺติ อิทํ สรณคมนํ สีลาทิญฺจ ตุมฺหากํ อนุติฎฺฐนฺตานํ ทิฎฺฐธมฺมสมฺปรายนิพฺพานานํ วเสน หิตาย สุขาย จ ภวิสฺสติ, ตานิ สมฺปาเทถาติ อโตฺถฯ

    56. Iti mahāthero ‘‘tasmā rakkhitacittassā’’ti gāthāya vasena arahattaphalavimuttimukhena vicayahārasampātaṃ niddisanto desanākusalatāya anekehi suttappadesehi tassā pubbabhāgapaṭipadāya bhāvanāvisesānaṃ bhāvanānisaṃsānañca vibhajanavasena nānappakārato vicayahāraṃ dassetvā idāni dasannaṃ tathāgatabalānampi vasena taṃ dassetuṃ ‘‘tattha yo desayatī’’tiādimāha. Ovādena sāvake na visaṃvādayatīti attano anusiṭṭhiyā dhammassa savanato ‘‘sāvakā’’ti laddhanāme veneyye na vippalambheti na vañceti, visaṃvādanahetūnaṃ pāpadhammānaṃ ariyamaggena bodhimūle eva suppahīnattā. Tividhanti tippakāraṃ, tīhi ākārehīti attho. Idaṃ karothāti imaṃ saraṇagamanaṃ sīlādiñca upasampajja viharatha. Iminā upāyena karothāti anenapi vidhinā saraṇāni sodhentā sīlādīni paripūrentā sampādetha. Idaṃ vo kurumānānanti idaṃ saraṇagamanaṃ sīlādiñca tumhākaṃ anutiṭṭhantānaṃ diṭṭhadhammasamparāyanibbānānaṃ vasena hitāya sukhāya ca bhavissati, tāni sampādethāti attho.

    เอวํ โอวทนาการํ ทเสฺสตฺวา ยํ วุตฺตํ – ‘‘โอวาเทน สาวเก น วิสํวาทยตี’’ติ, ตํ ตถาคตพเลหิ วิภชิตฺวา ทเสฺสตุํ ‘‘โส ตถา โอวทิโต’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ตถาติ เตน ปกาเรน ‘‘อิทํ กโรถ, อิมินา อุปาเยน กโรถา’’ติอาทินา วุตฺตปฺปกาเรนฯ โอวทิโตติ ธมฺมเทสนาย สาสิโตฯ อนุสิโฎฺฐติ ตเสฺสว เววจนํฯ ตถา กโรโนฺตติ ยถานุสิฎฺฐํ ตถา กโรโนฺตฯ ตํ ภูมินฺติ ยสฺสา ภูมิยา อธิคมตฺถาย โอวทิโต, ตํ ทสฺสนภูมิญฺจ ภาวนาภูมิญฺจฯ เนตํ ฐานํ วิชฺชตีติ เอตํ การณํ น วิชฺชติฯ การณญฺหิ ติฎฺฐติ เอตฺถ ผลํ ตทายตฺตวุตฺติตายาติ ‘‘ฐาน’’นฺติ วุจฺจติฯ ทุติยวาเร ภูมินฺติ สีลกฺขเนฺธน ปตฺตพฺพํ สมฺปตฺติภวสงฺขาตํ ภูมิํฯ

    Evaṃ ovadanākāraṃ dassetvā yaṃ vuttaṃ – ‘‘ovādena sāvake na visaṃvādayatī’’ti, taṃ tathāgatabalehi vibhajitvā dassetuṃ ‘‘so tathā ovadito’’tiādimāha. Tattha tathāti tena pakārena ‘‘idaṃ karotha, iminā upāyena karothā’’tiādinā vuttappakārena. Ovaditoti dhammadesanāya sāsito. Anusiṭṭhoti tasseva vevacanaṃ. Tathā karontoti yathānusiṭṭhaṃ tathā karonto. Taṃ bhūminti yassā bhūmiyā adhigamatthāya ovadito, taṃ dassanabhūmiñca bhāvanābhūmiñca. Netaṃ ṭhānaṃ vijjatīti etaṃ kāraṇaṃ na vijjati. Kāraṇañhi tiṭṭhati ettha phalaṃ tadāyattavuttitāyāti ‘‘ṭhāna’’nti vuccati. Dutiyavāre bhūminti sīlakkhandhena pattabbaṃ sampattibhavasaṅkhātaṃ bhūmiṃ.

    อิทานิ ยสฺมา ภควโต จตุเวสารชฺชานิปิ อวิปรีตสภาวตาย ปฐมผลญาณสฺส วิสยวิเสโส โหติ, ตสฺมา ตานิปิ ตสฺส วิสยภาเวน ทเสฺสตุํ ‘‘สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส เต สโต’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส เต สโตติ อหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ, มยา สเพฺพ ธมฺมา อภิสมฺพุทฺธาติ ปฎิชานเนน สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส เต สโตฯ อิเม ธมฺมา อนภิสมฺพุทฺธาติ เนตํ ฐานํ วิชฺชตีติ ‘‘อิเม นาม ตยา ธมฺมา อนภิสมฺพุทฺธา’’ติ โกจิ สหธเมฺมน สเหตุนา สการเณน วจเนน, สุนกฺขโตฺต (ที. นิ. ๓.๑ อาทโย; ม. นิ. ๑.๑๔๖ อาทโย) วิย วิปฺปลปนฺตา ปน อปฺปมาณํฯ ตสฺมา สหธเมฺมน ปฎิโจเทสฺสตีติ เอตํ การณํ น วิชฺชติฯ เอส นโย เสสปเทสุปิฯ ยสฺส เต อตฺถาย ธโมฺม เทสิโตติ ราคาทีสุ ยสฺส ยสฺส ปหานตฺถาย อสุภภาวนาทิธโมฺม กถิโตฯ ตกฺกรสฺสาติ ตถา ปฎิปนฺนสฺสฯ วิเสสาธิคมนฺติ อภิญฺญาปฎิสมฺภิทาทิวิเสสาธิคมํฯ

    Idāni yasmā bhagavato catuvesārajjānipi aviparītasabhāvatāya paṭhamaphalañāṇassa visayaviseso hoti, tasmā tānipi tassa visayabhāvena dassetuṃ ‘‘sammāsambuddhassa te sato’’tiādi vuttaṃ. Tattha sammāsambuddhassa te satoti ahaṃ sammāsambuddho, mayā sabbe dhammā abhisambuddhāti paṭijānanena sammāsambuddhassa te sato. Ime dhammā anabhisambuddhāti netaṃ ṭhānaṃ vijjatīti ‘‘ime nāma tayā dhammā anabhisambuddhā’’ti koci sahadhammena sahetunā sakāraṇena vacanena, sunakkhatto (dī. ni. 3.1 ādayo; ma. ni. 1.146 ādayo) viya vippalapantā pana appamāṇaṃ. Tasmā sahadhammena paṭicodessatīti etaṃ kāraṇaṃ na vijjati. Esa nayo sesapadesupi. Yassa te atthāya dhammo desitoti rāgādīsu yassa yassa pahānatthāya asubhabhāvanādidhammo kathito. Takkarassāti tathā paṭipannassa. Visesādhigamanti abhiññāpaṭisambhidādivisesādhigamaṃ.

    อนฺตรายิกาติ อนฺตรายกรณํ อนฺตราโย, โส สีลํ เอเตสนฺติ อนฺตรายิกาฯ อนฺตราเย นิยุตฺตา, อนฺตรายํ วา ผลํ อรหนฺติ, อนฺตรายปฺปโยชนาติ วา อนฺตรายิกาฯ เต ปน กมฺมกิเลสาทิเภเทน ปญฺจวิธาฯ อนิยฺยานิกาติ อริยมคฺควชฺชา สเพฺพ ธมฺมาฯ

    Antarāyikāti antarāyakaraṇaṃ antarāyo, so sīlaṃ etesanti antarāyikā. Antarāye niyuttā, antarāyaṃ vā phalaṃ arahanti, antarāyappayojanāti vā antarāyikā. Te pana kammakilesādibhedena pañcavidhā. Aniyyānikāti ariyamaggavajjā sabbe dhammā.

    ทิฎฺฐิสมฺปโนฺนติ มคฺคทิฎฺฐิยา สมฺปโนฺน โสตาปโนฺน อริยสาวโกฯ สุหตนฺติ อติวธิตํฯ อิทมฺปิ เอกเทสกถนเมวฯ มตกเปตาทิทานมฺปิ โส น กโรติ เอวฯ ปุถุชฺชโนติ ปุถูนํ กิเลสาภิสงฺขาราทีนํ ชนนาทีหิ การเณหิ ปุถุชฺชโนฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    Diṭṭhisampannoti maggadiṭṭhiyā sampanno sotāpanno ariyasāvako. Suhatanti ativadhitaṃ. Idampi ekadesakathanameva. Matakapetādidānampi so na karoti eva. Puthujjanoti puthūnaṃ kilesābhisaṅkhārādīnaṃ jananādīhi kāraṇehi puthujjano. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘ปุถูนํ ชนนาทีหิ, การเณหิ ปุถุชฺชโน;

    ‘‘Puthūnaṃ jananādīhi, kāraṇehi puthujjano;

    ปุถุชฺชนโนฺตคธตฺตา, ปุถุวายํ ชโน อิตี’’ติฯ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.๗; ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.๒; อ. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑.๕๑; ธ. ส. อฎฺฐ. ๑๐๐๗; ปฎิ. ม. อฎฺฐ. ๒.๑.๑๓๐);

    Puthujjanantogadhattā, puthuvāyaṃ jano itī’’ti. (dī. ni. aṭṭha. 1.7; ma. ni. aṭṭha. 1.2; a. ni. aṭṭha. 1.1.51; dha. sa. aṭṭha. 1007; paṭi. ma. aṭṭha. 2.1.130);

    ‘‘มาตร’’นฺติอาทีสุ ชนิกา มาตาฯ ชนโก จ ปิตาฯ มนุสฺสภูโต ขีณาสโว อรหาติ อธิเปฺปโตฯ กิํ ปน อริยสาวโก อเญฺญ ชีวิตา โวโรเปยฺยาติ? เอตมฺปิ อฎฺฐานํฯ สเจปิ ภวนฺตรคตํ อริยสาวกํ อตฺตโน อริยสาวกภาวํ อชานนฺตมฺปิ โกจิ เอวํ วเทยฺย ‘‘อิทํ กุนฺถกิปิลฺลิกํ ชีวิตา โวโรเปตฺวา สกลจกฺกวาฬคเพฺภ จกฺกวตฺติรชฺชํ ปฎิปชฺชาหี’’ติ, เนว โส นํ ชีวิตา โวโรเปยฺยฯ อถาปิ เอวํ วเทยฺยุํ – ‘‘สเจ อิมํ น ฆาเตสฺสสิ, สีสํ เต ฉินฺทิสฺสามา’’ติ, สีสเมวสฺส ฉิเนฺทยฺยุํ, เนว โส ตํ ฆาเตยฺยฯ ปุถุชฺชนภาวสฺส ปน มหาสาวชฺชภาวทสฺสนตฺถํ อริยภาวสฺส จ พลทีปนตฺถํ เอวํ วุตฺตํฯ อยเญฺหตฺถ อธิปฺปาโย – สาวโชฺช วต ปุถุชฺชนภาโวฯ ยตฺร หิ นาม มาตุฆากาทีนิปิ อานนฺตริยานิ กริสฺสติ, มหาพโลว จ อริยภาโว, โย เอตานิ กมฺมานิ น กโรตีติฯ

    ‘‘Mātara’’ntiādīsu janikā mātā. Janako ca pitā. Manussabhūto khīṇāsavo arahāti adhippeto. Kiṃ pana ariyasāvako aññe jīvitā voropeyyāti? Etampi aṭṭhānaṃ. Sacepi bhavantaragataṃ ariyasāvakaṃ attano ariyasāvakabhāvaṃ ajānantampi koci evaṃ vadeyya ‘‘idaṃ kunthakipillikaṃ jīvitā voropetvā sakalacakkavāḷagabbhe cakkavattirajjaṃ paṭipajjāhī’’ti, neva so naṃ jīvitā voropeyya. Athāpi evaṃ vadeyyuṃ – ‘‘sace imaṃ na ghātessasi, sīsaṃ te chindissāmā’’ti, sīsamevassa chindeyyuṃ, neva so taṃ ghāteyya. Puthujjanabhāvassa pana mahāsāvajjabhāvadassanatthaṃ ariyabhāvassa ca baladīpanatthaṃ evaṃ vuttaṃ. Ayañhettha adhippāyo – sāvajjo vata puthujjanabhāvo. Yatra hi nāma mātughākādīnipi ānantariyāni karissati, mahābalova ca ariyabhāvo, yo etāni kammāni na karotīti.

    สงฺฆํ ภิเนฺทยฺยาติ สมานสํวาสกํ สมานสีมายํ ฐิตํ ปญฺจหิ การเณหิ สงฺฆํ ภิเนฺทยฺยฯ วุตฺตเญฺหตํ – ‘‘ปญฺจหุปาลิ, อากาเรหิ สโงฺฆ ภิชฺชติ กเมฺมน อุเทฺทเสน โวหรโนฺต อนุสฺสาวเนน สลากคฺคาเหนา’’ติ (ปริ. ๔๕๘)ฯ

    Saṅghaṃ bhindeyyāti samānasaṃvāsakaṃ samānasīmāyaṃ ṭhitaṃ pañcahi kāraṇehi saṅghaṃ bhindeyya. Vuttañhetaṃ – ‘‘pañcahupāli, ākārehi saṅgho bhijjati kammena uddesena voharanto anussāvanena salākaggāhenā’’ti (pari. 458).

    ตตฺถ กเมฺมนาติ อปโลกนาทีสุ จตูสุ กเมฺมสุ อญฺญตรกเมฺมนฯ อุเทฺทเสนาติ ปญฺจสุ ปาติโมกฺขุเทฺทเสสุ อญฺญตเรน อุเทฺทเสนฯ โวหรโนฺตติ กถยโนฺต, ตาหิ ตาหิ อุปปตฺตีหิ ‘‘อธมฺมํ ธโมฺม’’ติอาทีนิ อฎฺฐารสเภทกรวตฺถูนิ ทีปยโนฺตฯ อนุสฺสาวเนนาติ ‘‘นนุ ตุเมฺห ชานาถ มยฺหํ อุจฺจกุลา ปพฺพชิตภาวํ พหุสฺสุตภาวญฺจ, มาทิโส นาม อุทฺธมฺมํ อุพฺพินยํ สตฺถุสาสนํ คาเหยฺยาติ กิํ ตุมฺหากํ จิตฺตมฺปิ อุปฺปาเทตุํ ยุตฺตํ, กิมหํ อปายโต น ภายามี’’ติอาทินา นเยน กณฺณมูเล วจีเภทํ กตฺวา อนุสฺสาวเนนฯ สลากคฺคาเหนาติ เอวํ อนุสฺสาเวตฺวา เตสํ จิตฺตํ อุปตฺถเมฺภตฺวา อนิวตฺติธมฺมํ กตฺวา ‘‘คณฺหถ อิมํ สลาก’’นฺติ สลากคฺคาเหนฯ

    Tattha kammenāti apalokanādīsu catūsu kammesu aññatarakammena. Uddesenāti pañcasu pātimokkhuddesesu aññatarena uddesena. Voharantoti kathayanto, tāhi tāhi upapattīhi ‘‘adhammaṃ dhammo’’tiādīni aṭṭhārasabhedakaravatthūni dīpayanto. Anussāvanenāti ‘‘nanu tumhe jānātha mayhaṃ uccakulā pabbajitabhāvaṃ bahussutabhāvañca, mādiso nāma uddhammaṃ ubbinayaṃ satthusāsanaṃ gāheyyāti kiṃ tumhākaṃ cittampi uppādetuṃ yuttaṃ, kimahaṃ apāyato na bhāyāmī’’tiādinā nayena kaṇṇamūle vacībhedaṃ katvā anussāvanena. Salākaggāhenāti evaṃ anussāvetvā tesaṃ cittaṃ upatthambhetvā anivattidhammaṃ katvā ‘‘gaṇhatha imaṃ salāka’’nti salākaggāhena.

    เอตฺถ จ กมฺมเมว อุเทฺทโส วา ปมาณํ, โวหารานุสฺสาวนสลากคฺคาหาปนํ ปน ปุพฺพภาโค ฯ อฎฺฐารสวตฺถุทีปนวเสน หิ โวหรเนฺตน ตตฺถ รุจิชนนตฺถํ อนุสฺสาเวตฺวา สลากาย คาหิตายปิ อภิโนฺน เอว โหติ สโงฺฆฯ ยทา ปน เอวํ จตฺตาโร วา อติเรกา วา สลากํ คาเหตฺวา อาเวณิกํ กมฺมํ วา อุเทฺทสํ วา กโรนฺติ, ตทา สโงฺฆ ภิโนฺน นาม โหติฯ เอวํ ทิฎฺฐิสมฺปโนฺน ปุคฺคโล สงฺฆํ ภิเนฺทยฺย สงฺฆราชิํ วา ชเนยฺยาติ เนตํ ฐานํ วิชฺชตีติฯ

    Ettha ca kammameva uddeso vā pamāṇaṃ, vohārānussāvanasalākaggāhāpanaṃ pana pubbabhāgo . Aṭṭhārasavatthudīpanavasena hi voharantena tattha rucijananatthaṃ anussāvetvā salākāya gāhitāyapi abhinno eva hoti saṅgho. Yadā pana evaṃ cattāro vā atirekā vā salākaṃ gāhetvā āveṇikaṃ kammaṃ vā uddesaṃ vā karonti, tadā saṅgho bhinno nāma hoti. Evaṃ diṭṭhisampanno puggalo saṅghaṃ bhindeyya saṅgharājiṃ vā janeyyāti netaṃ ṭhānaṃ vijjatīti.

    ทุฎฺฐจิโตฺตติ วธกจิเตฺตน ปทุฎฺฐจิโตฺตฯ โลหิตํ อุปฺปาเทยฺยาติ ชีวมานกสรีเร ขุทฺทกมกฺขิกาย ปิวนมตฺตมฺปิ โลหิตํ อุปฺปาเทยฺยฯ เอตฺตาวตา หิ มาตุฆาตาทีนิ ปญฺจานนฺตริยกมฺมานิ ทสฺสิตานิ โหนฺติฯ ยานิ ปุถุชฺชโน กโรติ, น อริยสาวโกฯ ทุฎฺฐจิโตฺตติ วินาสจิเตฺตน ปทุฎฺฐจิโตฺตฯ ถูปนฺติ เจติยํฯ ภิเนฺทยฺยาติ นาเสยฺยฯ

    Duṭṭhacittoti vadhakacittena paduṭṭhacitto. Lohitaṃ uppādeyyāti jīvamānakasarīre khuddakamakkhikāya pivanamattampi lohitaṃ uppādeyya. Ettāvatā hi mātughātādīni pañcānantariyakammāni dassitāni honti. Yāni puthujjano karoti, na ariyasāvako. Duṭṭhacittoti vināsacittena paduṭṭhacitto. Thūpanti cetiyaṃ. Bhindeyyāti nāseyya.

    อญฺญํ สตฺถารนฺติ ‘‘อยํ เม สตฺถา สตฺถุ กิจฺจํ กาตุํ สมโตฺถ’’ติ ภวนฺตเรปิ อญฺญํ ติตฺถกรํฯ อปทิเสยฺยาติ ‘‘อยํ เม สตฺถา’’ติ เอวํ คเณฺหยฺยาติ เนตํ ฐานํ วิชฺชติฯ อิโต พหิทฺธา อญฺญํ ทกฺขิเณยฺยํ ปริเยเสยฺยาติ สาสนโต พหิทฺธา อญฺญํ พาหิรกํ สมณํ วา พฺราหฺมณํ วา ‘‘อยํ ทกฺขิณารโห, อิมสฺมิํ กตา การา มหปฺผลา ภวิสฺสนฺตี’’ติ อธิปฺปาเยน ตสฺมิํ ปฎิปเชฺชยฺยาติ อโตฺถฯ กุตูหลมงฺคเลน สุทฺธิํ ปเจฺจยฺยาติ ‘‘อิมินา อิทํ ภวิสฺสตี’’ติ เอวํ ปวตฺตตฺตา กุตูหลสงฺขาเตน ทิฎฺฐสุตมุตมงฺคเลน อตฺตโน สุทฺธิํ โวทานํ สทฺทเหยฺยฯ

    Aññaṃ satthāranti ‘‘ayaṃ me satthā satthu kiccaṃ kātuṃ samattho’’ti bhavantarepi aññaṃ titthakaraṃ. Apadiseyyāti ‘‘ayaṃ me satthā’’ti evaṃ gaṇheyyāti netaṃ ṭhānaṃ vijjati. Ito bahiddhā aññaṃ dakkhiṇeyyaṃ pariyeseyyāti sāsanato bahiddhā aññaṃ bāhirakaṃ samaṇaṃ vā brāhmaṇaṃ vā ‘‘ayaṃ dakkhiṇāraho, imasmiṃ katā kārā mahapphalā bhavissantī’’ti adhippāyena tasmiṃ paṭipajjeyyāti attho. Kutūhalamaṅgalena suddhiṃ pacceyyāti ‘‘iminā idaṃ bhavissatī’’ti evaṃ pavattattā kutūhalasaṅkhātena diṭṭhasutamutamaṅgalena attano suddhiṃ vodānaṃ saddaheyya.

    ๕๗. อิตฺถี ราชา จกฺกวตฺตี สิยาติ เนตํ ฐานํ วิชฺชตีติ ยสฺมา อิตฺถิยา โกโสหิตวตฺถคุยฺหาทีนํ อภาเวน ลกฺขณานิ น ปริปูรนฺติ, อิตฺถิรตนาภาเวน จ สตฺตรตนสมงฺคิตา น สมฺปชฺชติฯ สพฺพมนุสฺสานมฺปิ จ น อธิโก อตฺตภาโว โหติ, ตสฺมา ‘‘อิตฺถี…เป.… วิชฺชตี’’ติ วุตฺตํฯ ยสฺมา สกฺกตฺตาทีนิ ตีณิ ฐานานิ อุตฺตมานิ, อิตฺถิลิงฺคญฺจ หีนํ, ตสฺมา ตสฺสา สกฺกตฺตาทีนิปิ ปฎิสิทฺธานีติฯ นนุ จ ยถา อิตฺถิลิงฺคํ, เอวํ ปุริสลิงฺคมฺปิ พฺรหฺมโลเก นตฺถิ, ตสฺมา ปุริโส มหาพฺรหฺมา สิยาติ น วตฺตพฺพนฺติ? โน น วตฺตพฺพํฯ กสฺมา? อิธ ปุริสสฺส ตตฺถ นิพฺพตฺตนโตฯ อิตฺถิโย หิ อิธ ฌานํ ภาเวตฺวา กาลํ กตฺวา พฺรหฺมปาริสชฺชานํ สหพฺยตํ อุปปชฺชนฺติ, น มหาพฺรหฺมานํฯ ปุริโส ปน กตฺถจิ น อุปฺปชฺชตีติ น วตฺตโพฺพฯ สมาเนปิ ตตฺถ อุภยลิงฺคาภาเว ปุริสสณฺฐานาว ตตฺถ พฺรหฺมาโน, น อิตฺถิสณฺฐานา, ตสฺมา สุวุตฺตเมตํฯ อิตฺถี ตถาคโตติ เอตฺถ ติฎฺฐตุ ตาว สพฺพญฺญุคุเณ นิพฺพเตฺตตฺวา โลกานํ ตารณสมโตฺถ พุทฺธภาโว, ปณิธานมตฺตมฺปิ อิตฺถิยา น สมฺปชฺชติฯ

    57.Itthī rājā cakkavattī siyāti netaṃ ṭhānaṃ vijjatīti yasmā itthiyā kosohitavatthaguyhādīnaṃ abhāvena lakkhaṇāni na paripūranti, itthiratanābhāvena ca sattaratanasamaṅgitā na sampajjati. Sabbamanussānampi ca na adhiko attabhāvo hoti, tasmā ‘‘itthī…pe… vijjatī’’ti vuttaṃ. Yasmā sakkattādīni tīṇi ṭhānāni uttamāni, itthiliṅgañca hīnaṃ, tasmā tassā sakkattādīnipi paṭisiddhānīti. Nanu ca yathā itthiliṅgaṃ, evaṃ purisaliṅgampi brahmaloke natthi, tasmā puriso mahābrahmā siyāti na vattabbanti? No na vattabbaṃ. Kasmā? Idha purisassa tattha nibbattanato. Itthiyo hi idha jhānaṃ bhāvetvā kālaṃ katvā brahmapārisajjānaṃ sahabyataṃ upapajjanti, na mahābrahmānaṃ. Puriso pana katthaci na uppajjatīti na vattabbo. Samānepi tattha ubhayaliṅgābhāve purisasaṇṭhānāva tattha brahmāno, na itthisaṇṭhānā, tasmā suvuttametaṃ. Itthī tathāgatoti ettha tiṭṭhatu tāva sabbaññuguṇe nibbattetvā lokānaṃ tāraṇasamattho buddhabhāvo, paṇidhānamattampi itthiyā na sampajjati.

    ‘‘มนุสฺสตฺตํ ลิงฺคสมฺปตฺติ, เหตุ สตฺถารทสฺสนํ;

    ‘‘Manussattaṃ liṅgasampatti, hetu satthāradassanaṃ;

    ปพฺพชฺชา คุณสมฺปตฺติ, อธิกาโร จ ฉนฺทตา;

    Pabbajjā guṇasampatti, adhikāro ca chandatā;

    อฎฺฐธมฺมสโมธานา, อภินีหาโร สมิชฺฌตี’’ติฯ (พุ. วํ. ๒.๕๙) –

    Aṭṭhadhammasamodhānā, abhinīhāro samijjhatī’’ti. (bu. vaṃ. 2.59) –

    อิมานิ หิ ปณิธานสมฺปตฺติการณานิฯ อิติ ปณิธานมตฺตมฺปิ สมฺปาเทตุํ อสมตฺถาย อิตฺถิยา กุโต พุทฺธภาโวติ ‘‘อิตฺถี ตถาคโต อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ สิยาติ เนตํ ฐานํ วิชฺชตี’’ติ วุตฺตํฯ สพฺพาการปริปูโร ปุญฺญุสฺสโย สพฺพาการปริปูรเมว อตฺตภาวํ นิพฺพเตฺตตีติ ปุริโสว อรหํ โหติ สมฺมาสมฺพุโทฺธฯ

    Imāni hi paṇidhānasampattikāraṇāni. Iti paṇidhānamattampi sampādetuṃ asamatthāya itthiyā kuto buddhabhāvoti ‘‘itthī tathāgato arahaṃ sammāsambuddho siyāti netaṃ ṭhānaṃ vijjatī’’ti vuttaṃ. Sabbākāraparipūro puññussayo sabbākāraparipūrameva attabhāvaṃ nibbattetīti purisova arahaṃ hoti sammāsambuddho.

    เอกิสฺสา โลกธาตุยาติ ทสสหสฺสิโลกธาตุยา, ยา ชาติเขตฺตนฺติ วุจฺจติฯ สา หิ ตถาคตสฺส คโพฺภกฺกนฺติกาลาทีสุ กมฺปติฯ อาณาเขตฺตํ ปน โกฎิสตสหสฺสจกฺกวาฬํฯ ยา เอกโต สํวฎฺฎติ จ วิวฎฺฎติ จ, ยตฺถ จ อาฎานาฎิยปริตฺตาทีนํ (ที. นิ. ๓.๒๗๗ อาทโย) อาณา ปวตฺตติฯ วิสยเขตฺตสฺส ปริมาณํ นตฺถิฯ พุทฺธานญฺหิ ‘‘ยาวตกํ ญาณํ ตาวตกํ เนยฺยํ, ยาวตกํ เนยฺยํ ตาวตกํ ญาณํ, เนยฺยปริยนฺติกํ ญาณํ, ญาณปริยนฺติกํ เนยฺย’’นฺติ (มหานิ. ๖๙; จูฬนิ. โมฆราชมาณวปุจฺฉานิเทฺทส ๘๕; ปฎิ. ม. ๓.๕) วจนโต อวิสโย นาม นตฺถิฯ อิติ อิเมสุ ตีสุ เขเตฺตสุ ติโสฺส สงฺคีติโย อารุเฬฺห เตปิฎเก พุทฺธวจเน ‘‘ฐเปตฺวา อิมํ จกฺกวาฬํ อญฺญสฺมิํ จกฺกวาเฬ พุทฺธา อุปฺปชฺชนฺตี’’ติ สุตฺตํ นตฺถิ, น อุปฺปชฺชนฺตีติ ปน อตฺถิฯ

    Ekissā lokadhātuyāti dasasahassilokadhātuyā, yā jātikhettanti vuccati. Sā hi tathāgatassa gabbhokkantikālādīsu kampati. Āṇākhettaṃ pana koṭisatasahassacakkavāḷaṃ. Yā ekato saṃvaṭṭati ca vivaṭṭati ca, yattha ca āṭānāṭiyaparittādīnaṃ (dī. ni. 3.277 ādayo) āṇā pavattati. Visayakhettassa parimāṇaṃ natthi. Buddhānañhi ‘‘yāvatakaṃ ñāṇaṃ tāvatakaṃ neyyaṃ, yāvatakaṃ neyyaṃ tāvatakaṃ ñāṇaṃ, neyyapariyantikaṃ ñāṇaṃ, ñāṇapariyantikaṃ neyya’’nti (mahāni. 69; cūḷani. mogharājamāṇavapucchāniddesa 85; paṭi. ma. 3.5) vacanato avisayo nāma natthi. Iti imesu tīsu khettesu tisso saṅgītiyo āruḷhe tepiṭake buddhavacane ‘‘ṭhapetvā imaṃ cakkavāḷaṃ aññasmiṃ cakkavāḷe buddhā uppajjantī’’ti suttaṃ natthi, na uppajjantīti pana atthi.

    อปุพฺพํ อจริมนฺติ อปุเร อปจฺฉา เอกโต น อุปฺปชฺชนฺติ, ปุเร วา ปจฺฉา วา อุปฺปชฺชนฺตีติ วุตฺตํ โหติฯ ตตฺถ คโพฺภกฺกนฺติโต ปุเพฺพ ปุเรติ เวทิตพฺพํฯ ตโต ปฎฺฐาย หิ ทสสหสฺสิจกฺกวาฬกมฺปเนน เขตฺตปริคฺคโห กโต นาม โหติ, อญฺญสฺส พุทฺธสฺส อุปฺปตฺติ นตฺถิฯ ธาตุปรินิพฺพานโต ปรํ ปน ปจฺฉา, ตโต เหฎฺฐาปิ อญฺญสฺส พุทฺธสฺส อุปฺปตฺติ นตฺถิ, อุทฺธํ น วาริตาฯ

    Apubbaṃacarimanti apure apacchā ekato na uppajjanti, pure vā pacchā vā uppajjantīti vuttaṃ hoti. Tattha gabbhokkantito pubbe pureti veditabbaṃ. Tato paṭṭhāya hi dasasahassicakkavāḷakampanena khettapariggaho kato nāma hoti, aññassa buddhassa uppatti natthi. Dhātuparinibbānato paraṃ pana pacchā, tato heṭṭhāpi aññassa buddhassa uppatti natthi, uddhaṃ na vāritā.

    กสฺมา ปน อปุพฺพํ อจริมํ น อุปฺปชฺชนฺตีติ? อนจฺฉริยตฺตาฯ อจฺฉริยมนุสฺสา หิ พุทฺธา ภควโนฺตฯ ยถาห – ‘‘เอกปุคฺคโล, ภิกฺขเว, โลเก อุปฺปชฺชมาโน อุปฺปชฺชติ อจฺฉริยมนุโสฺส’’ติอาทิ (อ. นิ. ๑.๑๗๑)ฯ ยทิ จ อเนเก พุทฺธา เอกโต อุปฺปเชฺชยฺยุํ, อนจฺฉริยา ภเวยฺยุํฯ เทสนาย จ วิเสสาภาวโตฯ ยญฺหิ สติปฎฺฐานาทิเภทํ ธมฺมํ เอโก เทเสติ, อเญฺญนปิ โส เอว เทเสตโพฺพ สิยา, วิวาทภาวโต จฯ พหูสุ หิ พุเทฺธสุ เอกโต อุปฺปเนฺนสุ พหูนํ อาจริยานํ อเนฺตวาสิกา วิย ‘‘อมฺหากํ พุโทฺธ ปาสาทิโก’’ติอาทินา เตสํ สาวกา วิวเทยฺยุํฯ กิํ วา เอเตน การณคเวสเนน, ธมฺมตาเวสา ยํ เอกิสฺสา โลกธาตุยา เทฺว ตถาคตา เอกโต น อุปฺปชฺชนฺตีติ (มิ. ป. ๕.๑.๑)ฯ

    Kasmā pana apubbaṃ acarimaṃ na uppajjantīti? Anacchariyattā. Acchariyamanussā hi buddhā bhagavanto. Yathāha – ‘‘ekapuggalo, bhikkhave, loke uppajjamāno uppajjati acchariyamanusso’’tiādi (a. ni. 1.171). Yadi ca aneke buddhā ekato uppajjeyyuṃ, anacchariyā bhaveyyuṃ. Desanāya ca visesābhāvato. Yañhi satipaṭṭhānādibhedaṃ dhammaṃ eko deseti, aññenapi so eva desetabbo siyā, vivādabhāvato ca. Bahūsu hi buddhesu ekato uppannesu bahūnaṃ ācariyānaṃ antevāsikā viya ‘‘amhākaṃ buddho pāsādiko’’tiādinā tesaṃ sāvakā vivadeyyuṃ. Kiṃ vā etena kāraṇagavesanena, dhammatāvesā yaṃ ekissā lokadhātuyā dve tathāgatā ekato na uppajjantīti (mi. pa. 5.1.1).

    ยถา นิมฺพพีชโกสาตกิพีชาทีนิ มธุรํ ผลํ น นิพฺพเตฺตนฺติ, อสาตํ อมธุรเมว ผลํ นิพฺพเตฺตนฺติ, เอวํ กายทุจฺจริตาทีนิ มธุรวิปากํ น นิพฺพเตฺตนฺติ อมธุรเมว นิพฺพเตฺตนฺติฯ ยถา จ อุจฺฉุพีชสาลิพีชาทีนิ มธุรํ สาทุรสเมว ผลํ นิพฺพเตฺตนฺติ น อสาตํ กฎุกํฯ เอวํ กายสุจริตาทีนิ มธุรเมว วิปากํ นิพฺพเตฺตนฺติ น อมธุรํฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ –

    Yathā nimbabījakosātakibījādīni madhuraṃ phalaṃ na nibbattenti, asātaṃ amadhurameva phalaṃ nibbattenti, evaṃ kāyaduccaritādīni madhuravipākaṃ na nibbattenti amadhurameva nibbattenti. Yathā ca ucchubījasālibījādīni madhuraṃ sādurasameva phalaṃ nibbattenti na asātaṃ kaṭukaṃ. Evaṃ kāyasucaritādīni madhurameva vipākaṃ nibbattenti na amadhuraṃ. Vuttampi cetaṃ –

    ‘‘ยาทิสํ วปเต พีชํ, ตาทิสํ หรเต ผลํ;

    ‘‘Yādisaṃ vapate bījaṃ, tādisaṃ harate phalaṃ;

    กลฺยาณการี กลฺยาณํ, ปาปการี จ ปาปก’’นฺติฯ (สํ. นิ. ๑.๒๕๖; เนตฺติ. ๑๒๒);

    Kalyāṇakārī kalyāṇaṃ, pāpakārī ca pāpaka’’nti. (saṃ. ni. 1.256; netti. 122);

    ตสฺมา ‘‘ติณฺณํ ทุจฺจริตาน’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ

    Tasmā ‘‘tiṇṇaṃ duccaritāna’’ntiādi vuttaṃ.

    อญฺญตโร สมโณ วา พฺราหฺมโณ วาติ โย โกจิ ปพฺพชฺชามเตฺตน สมโณ วา ชาติมเตฺตน พฺราหฺมโณ วาฯ ปาปิโจฺฉ สมฺภาวนาธิปฺปาเยน วิมฺหาปนโต กุหโกฯ ปจฺจยสนฺนิสฺสิตาย ปยุตฺตวาจาย วเสน ลปโกฯ ปจฺจยนิพฺพตฺตกนิมิตฺตาวจรโต เนมิตฺตโกฯ กุหนลปนเนมิตฺตกตฺตํ ปุพฺพงฺคมํ กตฺวาติ กุหนาทิภาวเมว ปุรกฺขตฺวา สนฺตินฺทฺริโย สนฺตมานโส วิย จรโนฺตฯ ปญฺจ นีวรเณติ กามจฺฉนฺทาทิเก ปญฺจ นีวรเณฯ อปฺปหาย อสมุจฺฉินฺทิตฺวา, เจตโส อุปกฺกิเลเสติ นีวรเณฯ นีวรณา หิ จิตฺตํ อุปกฺกิเลเสนฺติ กิลิฎฺฐํ กโรนฺติ วิพาเธนฺติ อุปตาเปนฺติ จฯ ตสฺมา ‘‘เจตโส อุปกฺกิเลสา’’ติ วุจฺจนฺติฯ ปญฺญาย ทุพฺพลีกรเณติ นีวรเณฯ นีวรณา หิ อุปฺปชฺชมานา อนุปฺปนฺนาย ปญฺญาย อุปฺปชฺชิตุํ น เทนฺติฯ ตสฺมา ‘‘ปญฺญาย ทุพฺพลีกรณา’’ติ วุจฺจนฺติฯ อนุปฎฺฐิตสฺสตีติ จตูสุ สติปฎฺฐาเนสุ น อุปฎฺฐิตสฺสติฯ อภาวยิตฺวาติ อวฑฺฒยิตฺวาฯ อนุตฺตรํ สมฺมาสโมฺพธินฺติ อรหตฺตปทฎฺฐานํ สพฺพญฺญุตญฺญาณํฯ

    Aññataro samaṇo vā brāhmaṇo vāti yo koci pabbajjāmattena samaṇo vā jātimattena brāhmaṇo vā. Pāpiccho sambhāvanādhippāyena vimhāpanato kuhako. Paccayasannissitāya payuttavācāya vasena lapako. Paccayanibbattakanimittāvacarato nemittako. Kuhanalapananemittakattaṃ pubbaṅgamaṃ katvāti kuhanādibhāvameva purakkhatvā santindriyo santamānaso viya caranto. Pañca nīvaraṇeti kāmacchandādike pañca nīvaraṇe. Appahāya asamucchinditvā, cetaso upakkileseti nīvaraṇe. Nīvaraṇā hi cittaṃ upakkilesenti kiliṭṭhaṃ karonti vibādhenti upatāpenti ca. Tasmā ‘‘cetaso upakkilesā’’ti vuccanti. Paññāya dubbalīkaraṇeti nīvaraṇe. Nīvaraṇā hi uppajjamānā anuppannāya paññāya uppajjituṃ na denti. Tasmā ‘‘paññāya dubbalīkaraṇā’’ti vuccanti. Anupaṭṭhitassatīti catūsu satipaṭṭhānesu na upaṭṭhitassati. Abhāvayitvāti avaḍḍhayitvā. Anuttaraṃ sammāsambodhinti arahattapadaṭṭhānaṃ sabbaññutaññāṇaṃ.

    ปจฺฉิมวาเร อญฺญตโร สมโณ วา พฺราหฺมโณ วาติ สพฺพญฺญุโพธิสตฺตํ สนฺธาย วทติฯ ตตฺถ สพฺพโทสาปคโตติ สเพฺพหิ ปารมิตาปฎิปกฺขภูเตหิ โทเสหิ อปคโตฯ เอเตน ปริปูริตปารมิภาวํ ทเสฺสติฯ สติปฎฺฐานานิ วิปสฺสนา, โพชฺฌโงฺค มโคฺค, อนุตฺตรา สมฺมาสโมฺพธิ อรหตฺตํฯ สติปฎฺฐานานิ วา วิปสฺสนา, โพชฺฌงฺคา มิสฺสกา, สมฺมาสโมฺพธิ อรหตฺตเมวฯ เสสํ อนนฺตรวาเร วุตฺตปฎิปกฺขโต เวทิตพฺพํฯ ยํ เอตฺถ ญาณนฺติ ยํ เอตสฺมิํ ยถาวุเตฺต ฐาเน จ ฐานํ, อฎฺฐาเน จ อฎฺฐานนฺติ ปวตฺตํ ญาณํฯ เหตุโสติ ตสฺส ฐานสฺส อฎฺฐานสฺส จ เหตุโตฯ ฐานโสติ ตงฺขเณ เอว อาวชฺชนสมนนฺตรํฯ อโนธิโสติ โอธิอภาเวน, กิญฺจิ อนวเสเสตฺวาติ อโตฺถฯ

    Pacchimavāre aññataro samaṇo vā brāhmaṇo vāti sabbaññubodhisattaṃ sandhāya vadati. Tattha sabbadosāpagatoti sabbehi pāramitāpaṭipakkhabhūtehi dosehi apagato. Etena paripūritapāramibhāvaṃ dasseti. Satipaṭṭhānāni vipassanā, bojjhaṅgo maggo, anuttarā sammāsambodhi arahattaṃ. Satipaṭṭhānāni vā vipassanā, bojjhaṅgā missakā, sammāsambodhi arahattameva. Sesaṃ anantaravāre vuttapaṭipakkhato veditabbaṃ. Yaṃ ettha ñāṇanti yaṃ etasmiṃ yathāvutte ṭhāne ca ṭhānaṃ, aṭṭhāne ca aṭṭhānanti pavattaṃ ñāṇaṃ. Hetusoti tassa ṭhānassa aṭṭhānassa ca hetuto. Ṭhānasoti taṅkhaṇe eva āvajjanasamanantaraṃ. Anodhisoti odhiabhāvena, kiñci anavasesetvāti attho.

    อิติ ฐานาฎฺฐานคตาติอาทีสุ เอวํ ฐานาฎฺฐานภาวํ คตาฯ สเพฺพติ ขยวยวิรชฺชนนิรุชฺฌนสภาวา สงฺขตธมฺมา, เต เอว จ สตฺตปญฺญตฺติยา อุปาทานภูตา เกจิ สคฺคูปคา เย ธมฺมจาริโน, เกจิ อปายูปคา เย อธมฺมจาริโน, เกจิ นิพฺพานูปคา เย กมฺมกฺขยกรํ อริยมคฺคํ ปฎิปนฺนาฯ

    Iti ṭhānāṭṭhānagatātiādīsu evaṃ ṭhānāṭṭhānabhāvaṃ gatā. Sabbeti khayavayavirajjananirujjhanasabhāvā saṅkhatadhammā, te eva ca sattapaññattiyā upādānabhūtā keci saggūpagā ye dhammacārino, keci apāyūpagā ye adhammacārino, keci nibbānūpagā ye kammakkhayakaraṃ ariyamaggaṃ paṭipannā.

    ๕๘. อิทานิ ยถาวุตฺตมตฺถํ วิวรโนฺต ‘‘สเพฺพ สตฺตา มริสฺสนฺตี’’ติ คาถาทฺวยมาหฯ ตสฺส อตฺถํ ‘‘สเพฺพ สตฺตาติ อริยา จ อนริยา จา’’ติอาทินา สยเมว นิทฺทิสติฯ ตตฺถ ชีวิตปริยโนฺต มรณปริยโนฺตติ ชีวิตสฺส ปริยโนฺต นาม มรณสงฺขาโต อโนฺตฯ ยถากมฺมํ คมิสฺสนฺตีติ เอตฺถ ยเทตํ สตฺตานํ ยถากมฺมํ คมนํ, อยํ กมฺมสฺสกตาติ อโตฺถ ฯ กมฺมานํ ผลทสฺสาวิตา จ อวิปฺปวาโส จาติ ‘‘ปุญฺญปาปผลูปคา’’ติ อิมินา วจเนน กมฺมานํ ผลสฺส ปจฺจกฺขการิตา, กตูปจิตานํ กมฺมานํ อตฺตโน ผลสฺส อปฺปทานาภาโว จ ทสฺสิโตติ อโตฺถฯ

    58. Idāni yathāvuttamatthaṃ vivaranto ‘‘sabbe sattā marissantī’’ti gāthādvayamāha. Tassa atthaṃ ‘‘sabbe sattāti ariyā ca anariyā cā’’tiādinā sayameva niddisati. Tattha jīvitapariyanto maraṇapariyantoti jīvitassa pariyanto nāma maraṇasaṅkhāto anto. Yathākammaṃ gamissantīti ettha yadetaṃ sattānaṃ yathākammaṃ gamanaṃ, ayaṃ kammassakatāti attho . Kammānaṃ phaladassāvitā ca avippavāso cāti ‘‘puññapāpaphalūpagā’’ti iminā vacanena kammānaṃ phalassa paccakkhakāritā, katūpacitānaṃ kammānaṃ attano phalassa appadānābhāvo ca dassitoti attho.

    กมฺมเมว กมฺมนฺตํ, ปาปํ กมฺมนฺตํ เอเตสนฺติ ปาปกมฺมนฺตา, ตสฺส อตฺถํ ทเสฺสตุํ ‘‘อปุญฺญสงฺขารา’’ติ วุตฺตํฯ อปุโญฺญ สงฺขาโร เอเตสนฺติ อปุญฺญสงฺขาราฯ ปาปกมฺมนฺตาติ วา นิสฺสกฺกวจนํ, ปาปกมฺมนฺตเหตูติ อโตฺถฯ ตถา ปุญฺญสงฺขาราติอาทีสุปิฯ ปุน ‘‘นิรยํ ปาปกมฺมนฺตา’’ติอาทินา อนฺตทฺวเยน สทฺธิํ มชฺฌิมปฎิปทํ ทเสฺสติฯ ตถา ‘‘อยํ สํกิเลโส’’ติอาทินา วฎฺฎวิวฎฺฎวเสน อาทีนวสฺสาทนิสฺสรณวเสน เหตุผลวเสน จ คาถายํ ตโย อตฺถวิกปฺปา ทสฺสิตาฯ ปุน ‘‘นิรยํ ปาปกมฺมนฺตาติ อยํ สํกิเลโส’’ติอาทินา โวทานวเสน คาถาย อตฺถํ ทเสฺสติฯ

    Kammameva kammantaṃ, pāpaṃ kammantaṃ etesanti pāpakammantā, tassa atthaṃ dassetuṃ ‘‘apuññasaṅkhārā’’ti vuttaṃ. Apuñño saṅkhāro etesanti apuññasaṅkhārā. Pāpakammantāti vā nissakkavacanaṃ, pāpakammantahetūti attho. Tathā puññasaṅkhārātiādīsupi. Puna ‘‘nirayaṃ pāpakammantā’’tiādinā antadvayena saddhiṃ majjhimapaṭipadaṃ dasseti. Tathā ‘‘ayaṃ saṃkileso’’tiādinā vaṭṭavivaṭṭavasena ādīnavassādanissaraṇavasena hetuphalavasena ca gāthāyaṃ tayo atthavikappā dassitā. Puna ‘‘nirayaṃ pāpakammantāti ayaṃ saṃkileso’’tiādinā vodānavasena gāthāya atthaṃ dasseti.

    ๕๙. เตน เตนาติ เตน เตน อโชฺฌสิตวตฺถุนา รูปภวอรูปภวาทินาฯ ฉตฺติํสาติ กามตณฺหา ตาว รูปาทิวิสยเภเทน ฉ, ตถา ภวตณฺหา วิภวตณฺหา จาติ อฎฺฐารสฯ ตา เอว อชฺฌตฺติเกสุ รูปาทีสุ อฎฺฐารส, พาหิเรสุ รูปาทีสุ อฎฺฐารสาติ เอวํ ฉตฺติํสฯ เยน เยนาติ ‘‘สุภํ สุข’’นฺติอาทินาฯ

    59.Tenatenāti tena tena ajjhositavatthunā rūpabhavaarūpabhavādinā. Chattiṃsāti kāmataṇhā tāva rūpādivisayabhedena cha, tathā bhavataṇhā vibhavataṇhā cāti aṭṭhārasa. Tā eva ajjhattikesu rūpādīsu aṭṭhārasa, bāhiresu rūpādīsu aṭṭhārasāti evaṃ chattiṃsa. Yena yenāti ‘‘subhaṃ sukha’’ntiādinā.

    โวทานํ ติวิธํ ขนฺธตฺตยวเสนาติ ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘ตณฺหาสํกิเลโส’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ปุน ‘‘สเพฺพ สตฺตา มริสฺสนฺตี’’ติอาทิ ปฎิปทาวิภาเคน คาถานมตฺถํ ทเสฺสตุํ วุตฺตํฯ ตตฺถ ตตฺถ คามินีติ ตตฺถ ตเตฺถว นิพฺพาเน คามินี, นิพฺพานสฺส คมนสีลาติ อโตฺถฯ

    Vodānaṃ tividhaṃ khandhattayavasenāti taṃ dassetuṃ ‘‘taṇhāsaṃkileso’’tiādi vuttaṃ. Puna ‘‘sabbe sattā marissantī’’tiādi paṭipadāvibhāgena gāthānamatthaṃ dassetuṃ vuttaṃ. Tattha tattha gāminīti tattha tattheva nibbāne gāminī, nibbānassa gamanasīlāti attho.

    ปุน ตตฺถตตฺถคามินีสพฺพตฺถคามินีนํ ปฎิปทานํ วิภาคํ ทเสฺสตุํ ‘‘ตโย ราสี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ นฺติ ยํ นิรยาทิฯ ตํ ตํ ฐานํ ยถารหํ คเมตีติ สพฺพตฺถคามินีฯ ปฎิปทาสงฺขาเต อปุญฺญกเมฺม ปุญฺญกเมฺม จ กมฺมกฺขยกรณกเมฺม จ วิภาคโส ภควโต ปวตฺตนญาณํฯ อิทํ สพฺพตฺถคามินี ปฎิปทาญาณํ นาม ตถาคตพลํฯ อิมินา หิ ญาเณน ภควา สพฺพมฺปิ ปฎิปทํ ยถาภูตํ ปชานาติฯ

    Puna tatthatatthagāminīsabbatthagāminīnaṃ paṭipadānaṃ vibhāgaṃ dassetuṃ ‘‘tayo rāsī’’tiādi vuttaṃ. Yanti yaṃ nirayādi. Taṃ taṃ ṭhānaṃ yathārahaṃ gametīti sabbatthagāminī. Paṭipadāsaṅkhāte apuññakamme puññakamme ca kammakkhayakaraṇakamme ca vibhāgaso bhagavato pavattanañāṇaṃ. Idaṃ sabbatthagāminī paṭipadāñāṇaṃ nāma tathāgatabalaṃ. Iminā hi ñāṇena bhagavā sabbampi paṭipadaṃ yathābhūtaṃ pajānāti.

    กถํ? สกลคามวาสิเกสุปิ เอกํ สูกรํ วา มิคํ วา มาเรเนฺตสุ สเพฺพสํ เจตนา ปรสฺส ชีวิตินฺทฺริยารมฺมณาว โหติ, ตํ ปน กมฺมํ เตสํ อายูหนกฺขเณเยว นานา โหติฯ เตสุ หิ เอโก อาทเรน กโรติ, เอโก ‘‘ตฺวมฺปิ กโรหี’’ติ ปเรหิ นิปฺปีฬิโต กโรติ , เอโก สมานจฺฉโนฺท วิย หุตฺวา อปฺปฎิพาหมาโน วิจรติฯ เตสุ เอโก เตเนว กเมฺมน นิรเย นิพฺพตฺตติ, เอโก ติรจฺฉานโยนิยํ, เอโก เปตฺติวิสเย, ตํ ตถาคโต อายูหนกฺขเณ เอว ‘‘อิมินา นีหาเรน อายูหิตตฺตา เอส นิรเย นิพฺพตฺติสฺสติ, เอส ติรจฺฉานโยนิยํ, เอส เปตฺติวิสเย’’ติ ชานาติฯ นิรเย นิพฺพตฺตนกมฺปิ ‘‘เอส อฎฺฐสุ มหานิรเยสุ นิพฺพตฺติสฺสติ, เอส โสฬสสุ อุสฺสเทสู’’ติ ชานาติฯ ติรจฺฉานโยนิยํ นิพฺพตฺตนกมฺปิ ‘‘เอส อปาทโก ภวิสฺสติ, เอส ทฺวิปาทโก, เอส จตุปฺปาทโก, เอส พหุปฺปาทโก’’ติ ชานาติฯ เปตฺติวิสเย นิพฺพตฺตนกมฺปิ ‘‘เอส นิชฺฌามตณฺหิโก ภวิสฺสติ, เอส ขุปฺปิปาสิโก, เอส ปรทตฺตูปชีวี’’ติ ชานาติฯ

    Kathaṃ? Sakalagāmavāsikesupi ekaṃ sūkaraṃ vā migaṃ vā mārentesu sabbesaṃ cetanā parassa jīvitindriyārammaṇāva hoti, taṃ pana kammaṃ tesaṃ āyūhanakkhaṇeyeva nānā hoti. Tesu hi eko ādarena karoti, eko ‘‘tvampi karohī’’ti parehi nippīḷito karoti , eko samānacchando viya hutvā appaṭibāhamāno vicarati. Tesu eko teneva kammena niraye nibbattati, eko tiracchānayoniyaṃ, eko pettivisaye, taṃ tathāgato āyūhanakkhaṇe eva ‘‘iminā nīhārena āyūhitattā esa niraye nibbattissati, esa tiracchānayoniyaṃ, esa pettivisaye’’ti jānāti. Niraye nibbattanakampi ‘‘esa aṭṭhasu mahānirayesu nibbattissati, esa soḷasasu ussadesū’’ti jānāti. Tiracchānayoniyaṃ nibbattanakampi ‘‘esa apādako bhavissati, esa dvipādako, esa catuppādako, esa bahuppādako’’ti jānāti. Pettivisaye nibbattanakampi ‘‘esa nijjhāmataṇhiko bhavissati, esa khuppipāsiko, esa paradattūpajīvī’’ti jānāti.

    ‘‘เตสุ จ กเมฺมสุ อิทํ กมฺมํ ปฎิสนฺธิํ อากฑฺฒิสฺสติ, อิทํ นากฑฺฒิสฺสติ ทุพฺพลํ ทินฺนาย ปฎิสนฺธิยา อุปธิเวปกฺกมตฺตํ ภวิสฺสตี’’ติ ชานาติฯ ตถา สกลคามวาสิเกสุ เอกโต ทานํ ททมาเนสุ สเพฺพสมฺปิ เจตนา เทยฺยธมฺมารมฺมณาว โหติ, ตํ ปน กมฺมํ เตสํ อายูหนกฺขเณ เอว นานํ โหติฯ เตสุ หิ เกจิ เทวโลเก นิพฺพตฺตนฺติ, เกจิ มนุสฺสโลเก, ตํ ตถาคโต อายูหนกฺขเณ เอว ‘‘อิมินา นีหาเรน อายูหิตตฺตา เอส มนุสฺสโลเก นิพฺพตฺติสฺสติ, เอส เทวโลเก’’ติ ชานาติฯ ตตฺถปิ ‘‘เอส ปรนิมฺมิตวสวตฺตีสุ นิพฺพตฺติสฺสติ, เอส ภุมฺมเทเวสุ นิพฺพตฺติสฺสติ, เอส เชฎฺฐกเทวราชา หุตฺวา, เอส ตสฺส ทุติยํ ตติยํ วา ฐานนฺตรํ กโรโนฺต ปริจารโก หุตฺวา นิพฺพตฺติสฺสตี’’ติ ชานาติฯ

    ‘‘Tesu ca kammesu idaṃ kammaṃ paṭisandhiṃ ākaḍḍhissati, idaṃ nākaḍḍhissati dubbalaṃ dinnāya paṭisandhiyā upadhivepakkamattaṃ bhavissatī’’ti jānāti. Tathā sakalagāmavāsikesu ekato dānaṃ dadamānesu sabbesampi cetanā deyyadhammārammaṇāva hoti, taṃ pana kammaṃ tesaṃ āyūhanakkhaṇe eva nānaṃ hoti. Tesu hi keci devaloke nibbattanti, keci manussaloke, taṃ tathāgato āyūhanakkhaṇe eva ‘‘iminā nīhārena āyūhitattā esa manussaloke nibbattissati, esa devaloke’’ti jānāti. Tatthapi ‘‘esa paranimmitavasavattīsu nibbattissati, esa bhummadevesu nibbattissati, esa jeṭṭhakadevarājā hutvā, esa tassa dutiyaṃ tatiyaṃ vā ṭhānantaraṃ karonto paricārako hutvā nibbattissatī’’ti jānāti.

    ‘‘เตสุ จ กเมฺมสุ อิทํ ปฎิสนฺธิํ อากฑฺฒิตุํ สกฺขิสฺสติ, อิทํ น สกฺขิสฺสติ ทุพฺพลํ ทินฺนาย ปฎิสนฺธิยา อุปธิเวปกฺกมตฺตํ ภวิสฺสตี’’ติ ชานาติฯ ตถา ‘‘วิปสฺสนํ ปฎฺฐเปเนฺตสุ จ เอส อิมินา นีหาเรน วิปสฺสนาย อารทฺธตฺตา อรหา ภวิสฺสติ, เอส อนาคามี, เอส สกทาคามี, เอส โสตาปโนฺน, เอกพีชี โกลํโกโล สตฺตกฺขตฺตุปรโม, เอส มคฺคํ ปตฺตุํ น สกฺขิสฺสติ ลกฺขณารมฺมณิกวิปสฺสนายเมว ฐสฺสติ, เอส ปจฺจยปริคฺคเห, เอส นามรูปปริคฺคเห, อรูปปริคฺคเห จ ฐสฺสติ, เอส มหาภูตมตฺตเมว ววตฺถเปสฺสติ, เอส กิญฺจิ สลฺลเกฺขตุํ น สกฺขิสฺสตี’’ติ ชานาติฯ ‘‘กสิณปริกมฺมํ กโรเนฺตสุปิ เอส ปริกมฺมมเตฺต เอว ฐสฺสติ, เอส นิมิตฺตํ อุปฺปาเทตุํ สกฺขิสฺสติ, น อปฺปนํฯ เอส อปฺปนมฺปิ อุปฺปาเทสฺสติ, เอส ฌานํ อธิคมิสฺสติ, น อุปริวิเสสํฯ เอส อุปริวิเสสมฺปิ อธิคมิสฺสตี’’ติ ชานาติฯ

    ‘‘Tesu ca kammesu idaṃ paṭisandhiṃ ākaḍḍhituṃ sakkhissati, idaṃ na sakkhissati dubbalaṃ dinnāya paṭisandhiyā upadhivepakkamattaṃ bhavissatī’’ti jānāti. Tathā ‘‘vipassanaṃ paṭṭhapentesu ca esa iminā nīhārena vipassanāya āraddhattā arahā bhavissati, esa anāgāmī, esa sakadāgāmī, esa sotāpanno, ekabījī kolaṃkolo sattakkhattuparamo, esa maggaṃ pattuṃ na sakkhissati lakkhaṇārammaṇikavipassanāyameva ṭhassati, esa paccayapariggahe, esa nāmarūpapariggahe, arūpapariggahe ca ṭhassati, esa mahābhūtamattameva vavatthapessati, esa kiñci sallakkhetuṃ na sakkhissatī’’ti jānāti. ‘‘Kasiṇaparikammaṃ karontesupi esa parikammamatte eva ṭhassati, esa nimittaṃ uppādetuṃ sakkhissati, na appanaṃ. Esa appanampi uppādessati, esa jhānaṃ adhigamissati, na uparivisesaṃ. Esa uparivisesampi adhigamissatī’’ti jānāti.

    อเนกธาตูติ อเนกา จกฺขาทโย ปถวาทโย จ ธาตุโย เอตสฺสาติ อเนกธาตุ, พหุธาตูติ อโตฺถฯ โลโกติ ขนฺธายตนาทิโลโกฯ จกฺขุธาตูติอาทิ ยาหิ ธาตูหิ ‘‘อเนกธาตู’’ติ โลโก วุโตฺต, ตาสํ สรูปโต ทสฺสนํฯ ตตฺถ สภาวเฎฺฐน นิสฺสตฺตเฎฺฐน จ ธาตุฯ จกฺขุ เอว ธาตุ จกฺขุธาตุฯ เสสปเทสุปิ เอเสว นโยฯ กามธาตูติ เอตฺถ เทฺว กามา กิเลสกาโม จ วตฺถุกาโม จฯ กิเลสกามปเกฺข กามปฎิสํยุโตฺต ธาตุ กามธาตุ, กามวิตกฺกเสฺสตํ นามํฯ วตฺถุกามปเกฺข ปน กามาวจรธมฺมา กาโม อุตฺตรปทโลเปน, กาโม จ โส ธาตุ จาติ กามธาตุฯ พฺยาปาทปฎิสํยุโตฺต ธาตุ พฺยาปาทธาตุ, พฺยาปาทวิตกฺกเสฺสตํ นามํฯ พฺยาปาโทว ธาตุ พฺยาปาทธาตุ, ทสอาฆาตวตฺถุวิสยสฺส ปฎิฆเสฺสตํ นามํฯ วิหิํสาปฎิสํยุโตฺต ธาตุ วิหิํสาธาตุ, วิหิํสาวิตโกฺกฯ วิหิํสา เอว วา ธาตุ วิหิํสาธาตุ, ปรสตฺตวิเหสนเสฺสตํ นามํฯ เนกฺขมฺมอพฺยาปาทอวิหิํสาธาตุโย เนกฺขมฺมวิตกฺกาทโย สพฺพกุสลธมฺมา เมตฺตากรุณา จาติ เวทิตพฺพํฯ รูปธาตูติ รูปภโว, สเพฺพ วา รูปธมฺมาฯ อรูปธาตูติ อรูปภโว, อรูปธมฺมา วาฯ นิโรธธาตูติ นิโรธตณฺหาฯ สงฺขารธาตูติ สเพฺพ สงฺขตธมฺมาฯ เสสํ สุวิเญฺญยฺยํฯ

    Anekadhātūti anekā cakkhādayo pathavādayo ca dhātuyo etassāti anekadhātu, bahudhātūti attho. Lokoti khandhāyatanādiloko. Cakkhudhātūtiādi yāhi dhātūhi ‘‘anekadhātū’’ti loko vutto, tāsaṃ sarūpato dassanaṃ. Tattha sabhāvaṭṭhena nissattaṭṭhena ca dhātu. Cakkhu eva dhātu cakkhudhātu. Sesapadesupi eseva nayo. Kāmadhātūti ettha dve kāmā kilesakāmo ca vatthukāmo ca. Kilesakāmapakkhe kāmapaṭisaṃyutto dhātu kāmadhātu, kāmavitakkassetaṃ nāmaṃ. Vatthukāmapakkhe pana kāmāvacaradhammā kāmo uttarapadalopena, kāmo ca so dhātu cāti kāmadhātu. Byāpādapaṭisaṃyutto dhātu byāpādadhātu, byāpādavitakkassetaṃ nāmaṃ. Byāpādova dhātu byāpādadhātu, dasaāghātavatthuvisayassa paṭighassetaṃ nāmaṃ. Vihiṃsāpaṭisaṃyutto dhātu vihiṃsādhātu, vihiṃsāvitakko. Vihiṃsā eva vā dhātu vihiṃsādhātu, parasattavihesanassetaṃ nāmaṃ. Nekkhammaabyāpādaavihiṃsādhātuyo nekkhammavitakkādayo sabbakusaladhammā mettākaruṇā cāti veditabbaṃ. Rūpadhātūti rūpabhavo, sabbe vā rūpadhammā. Arūpadhātūti arūpabhavo, arūpadhammā vā. Nirodhadhātūti nirodhataṇhā. Saṅkhāradhātūti sabbe saṅkhatadhammā. Sesaṃ suviññeyyaṃ.

    อญฺญมญฺญวิลกฺขณตฺตา นานปฺปการา ธาตุโย เอตสฺมินฺติ นานาธาตุ, โลโกฯ เตเนวาห – ‘‘อญฺญา จกฺขุธาตุ ยาว อญฺญา นิพฺพานธาตู’’ติ, ยถา จ อิทํ ญาณํ จกฺขุธาตุอาทิเภเทน อุปาทินฺนกสงฺขารโลกสฺส วเสน อเนกธาตุนานาธาตุโลกํ ปชานาติ, เอวํ อนุปาทินฺนกสงฺขารโลกสฺสปิ วเสน ตํ ปชานาติฯ ปเจฺจกพุทฺธา หิ เทฺว จ อคฺคสาวกา อุปาทินฺนกสงฺขารโลกเสฺสว นานตฺตํ ชานนฺติ, ตมฺปิ เอกเทเสเนว, น นิปฺปเทสโตฯ อนุปาทินฺนกสงฺขารโลกสฺส ปน นานตฺตํ น ชานนฺติฯ ภควา ปน ‘‘อิมาย นาม ธาตุยา อุสฺสนฺนาย อิมสฺส รุกฺขสฺส ขโนฺธ เสโต โหติ, อิมสฺส กาโฬ, อิมสฺส มโฎฺฐ, อิมสฺส ผรุโส, อิมสฺส พหโล, อิมสฺส ตนุตฺตโจฯ อิมาย นาม ธาตุยา อุสฺสนฺนาย อิมสฺส รุกฺขสฺส ปตฺตํ วณฺณสณฺฐานาทิวเสน เอวรูปํ นาม โหติ, อิมาย นาม ธาตุยา อุสฺสนฺนตฺตา อิมสฺส รุกฺขสฺส ปุปฺผํ นีลํ โหติ ปีตกํ โลหิตกํ โอทาตํ สุคนฺธํ ทุคฺคนฺธํ, อิมาย นาม ธาตุยา อุสฺสนฺนาย ผลํ ขุทฺทกํ มหนฺตํ ทีฆํ วฎฺฎํ สุสณฺฐานํ ทุสฺสณฺฐานํ มฎฺฐํ ผรุสํ สุคนฺธํ ทุคฺคนฺธํ ติตฺตํ มธุรํ กฎุกํ อมฺพิลํ กสาวํ โหติ, อิมาย นาม ธาตุยา อุสฺสนฺนาย อิมสฺส รุกฺขสฺส กณฺฎโก ติขิโณ โหติ, อติขิโณ อุชุโก กุฎิโล กโณฺห นีโล โอทาโต โหตี’’ติ เอวํ อนุปาทินฺนสงฺขารโลกสฺสาปิ วเสน อเนกธาตุนานาธาตุภาวํ ชานาติฯ สพฺพญฺญุพุทฺธานํ เอว หิ เอตํ พลํ, น อเญฺญสํฯ

    Aññamaññavilakkhaṇattā nānappakārā dhātuyo etasminti nānādhātu, loko. Tenevāha – ‘‘aññā cakkhudhātu yāva aññā nibbānadhātū’’ti, yathā ca idaṃ ñāṇaṃ cakkhudhātuādibhedena upādinnakasaṅkhāralokassa vasena anekadhātunānādhātulokaṃ pajānāti, evaṃ anupādinnakasaṅkhāralokassapi vasena taṃ pajānāti. Paccekabuddhā hi dve ca aggasāvakā upādinnakasaṅkhāralokasseva nānattaṃ jānanti, tampi ekadeseneva, na nippadesato. Anupādinnakasaṅkhāralokassa pana nānattaṃ na jānanti. Bhagavā pana ‘‘imāya nāma dhātuyā ussannāya imassa rukkhassa khandho seto hoti, imassa kāḷo, imassa maṭṭho, imassa pharuso, imassa bahalo, imassa tanuttaco. Imāya nāma dhātuyā ussannāya imassa rukkhassa pattaṃ vaṇṇasaṇṭhānādivasena evarūpaṃ nāma hoti, imāya nāma dhātuyā ussannattā imassa rukkhassa pupphaṃ nīlaṃ hoti pītakaṃ lohitakaṃ odātaṃ sugandhaṃ duggandhaṃ, imāya nāma dhātuyā ussannāya phalaṃ khuddakaṃ mahantaṃ dīghaṃ vaṭṭaṃ susaṇṭhānaṃ dussaṇṭhānaṃ maṭṭhaṃ pharusaṃ sugandhaṃ duggandhaṃ tittaṃ madhuraṃ kaṭukaṃ ambilaṃ kasāvaṃ hoti, imāya nāma dhātuyā ussannāya imassa rukkhassa kaṇṭako tikhiṇo hoti, atikhiṇo ujuko kuṭilo kaṇho nīlo odāto hotī’’ti evaṃ anupādinnasaṅkhāralokassāpi vasena anekadhātunānādhātubhāvaṃ jānāti. Sabbaññubuddhānaṃ eva hi etaṃ balaṃ, na aññesaṃ.

    ๖๐. ยํ ยเทว ธาตุนฺติ ยํ กิญฺจิ หีนาทิสภาวํฯ ยสฺมา อธิมุตฺติ นาม อชฺฌาสยธาตุ, ตสฺมา อธิมุจฺจนํ อชฺฌาสยสฺส หีนาทิสภาเวน ปวตฺตนํฯ ตํ ปน ตสฺส ตํ ตํ อธิฎฺฐหนํ อภินิวิสนญฺจ โหตีติ อาห – ‘‘อธิมุจฺจนฺติ, ตํ ตเทว อธิฎฺฐหนฺติ อภินิวิสนฺตี’’ติฯ อธิมุจฺจนสฺส วิสยํ วิภาเคน ทเสฺสตุํ ‘‘เกจิ รูปาธิมุตฺตา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตํ สุวิเญฺญยฺยเมวฯ นานาธิมุตฺติกตาญาณนฺติ หีนาทิวเสน นานาธิมุตฺติกตาย ญาณํฯ

    60.Yaṃ yadeva dhātunti yaṃ kiñci hīnādisabhāvaṃ. Yasmā adhimutti nāma ajjhāsayadhātu, tasmā adhimuccanaṃ ajjhāsayassa hīnādisabhāvena pavattanaṃ. Taṃ pana tassa taṃ taṃ adhiṭṭhahanaṃ abhinivisanañca hotīti āha – ‘‘adhimuccanti, taṃ tadeva adhiṭṭhahanti abhinivisantī’’ti. Adhimuccanassa visayaṃ vibhāgena dassetuṃ ‘‘keci rūpādhimuttā’’tiādi vuttaṃ. Taṃ suviññeyyameva. Nānādhimuttikatāñāṇanti hīnādivasena nānādhimuttikatāya ñāṇaṃ.

    เต ยถาธิมุตฺตา จ ภวนฺตีติ เต หีนาธิมุตฺติกา ปณีตาธิมุตฺติกา สตฺตา ยถา ยถา อธิมุตฺตา โหนฺติฯ ตํ ตํ กมฺมสมาทานํ สมาทิยนฺตีติ อธิมุตฺติอนุรูปํ ตํ ตํ อตฺตนา สมาทิยิตพฺพํ กตฺตพฺพํ กมฺมํ กโรนฺติ, ตานิ กมฺมสมาทานานิ สมุฎฺฐานวเสน วิภชโนฺต ‘‘เต ฉพฺพิธํ กมฺม’’นฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ เกจิ โลภวเสน กมฺมํ สมาทิยนฺตีติ สมฺพนฺธิตพฺพํฯ เอส นโย เสเสสุปิฯ ตํ วิภชฺชมานนฺติ ตํ สมุฎฺฐานวเสน ฉพฺพิธํ ปุน ปวตฺตินิวตฺติวเสน วิภชฺชมานํ ทุวิธํฯ

    Te yathādhimuttā ca bhavantīti te hīnādhimuttikā paṇītādhimuttikā sattā yathā yathā adhimuttā honti. Taṃ taṃ kammasamādānaṃ samādiyantīti adhimuttianurūpaṃ taṃ taṃ attanā samādiyitabbaṃ kattabbaṃ kammaṃ karonti, tāni kammasamādānāni samuṭṭhānavasena vibhajanto ‘‘te chabbidhaṃ kamma’’ntiādimāha. Tattha keci lobhavasena kammaṃ samādiyantīti sambandhitabbaṃ. Esa nayo sesesupi. Taṃ vibhajjamānanti taṃ samuṭṭhānavasena chabbidhaṃ puna pavattinivattivasena vibhajjamānaṃ duvidhaṃ.

    ยํ โลภวเสน โทสวเสน โมหวเสน จ กมฺมํ กโรตีติ ทสอกุสลกมฺมปถกมฺมํ สนฺธาย วทติฯ ตญฺหิ สํกิลิฎฺฐตาย กาฬกนฺติ กณฺหํฯ อปาเยสุ นิพฺพตฺตาปนโต กาฬกวิปากนฺติ กณฺหวิปากํฯ ยํ สทฺธาวเสน กมฺมํ กโรตีติ ทสกุสลกมฺมปถกมฺมํฯ ตญฺหิ อสํกิลิฎฺฐตฺตา ปณฺฑรนฺติ สุกฺกํฯ สเคฺค นิพฺพตฺตาปนโต ปณฺฑรวิปากตฺตา สุกฺกวิปากํฯ ยํ โลภวเสน โทสวเสน โมหวเสน สทฺธาวเสน จ กมฺมํ กโรติ, อิทํ กณฺหสุกฺกนฺติ โวมิสฺสกกมฺมํฯ กณฺหสุกฺกวิปากนฺติ สุขทุกฺขวิปากํฯ มิสฺสกกมฺมญฺหิ กตฺวา อกุสลวเลน ติรจฺฉานโยนิยํ มงฺคลหตฺถิภาวํ อุปปโนฺน กุสเลน ปวเตฺต สุขํ อนุภวติ, กุสเลน ราชกุเล นิพฺพโตฺตปิ อกุสเลน ทุกฺขํ เวทยติฯ ยํ วีริยวเสน ปญฺญาวเสน จ กมฺมํ กโรติ, อิทํ กมฺมํ อกณฺหํ อสุกฺกํ อกณฺหอสุกฺกวิปากนฺติ กมฺมกฺขยกรา จตุมคฺคเจตนาฯ ตญฺหิ ยทิ กณฺหํ ภเวยฺย, กณฺหวิปากํ ทเทยฺยฯ ยทิ สุกฺกํ ภเวยฺย, สุกฺกอุปปตฺติปริยาปนฺนํ วิปากํ ทเทยฺยฯ อุภยวิปากสฺส ปน อปฺปทานโต อกณฺหอสุกฺกวิปากนฺติ อยเมตฺถ อโตฺถฯ

    Yaṃ lobhavasena dosavasena mohavasena ca kammaṃ karotīti dasaakusalakammapathakammaṃ sandhāya vadati. Tañhi saṃkiliṭṭhatāya kāḷakanti kaṇhaṃ. Apāyesu nibbattāpanato kāḷakavipākanti kaṇhavipākaṃ. Yaṃ saddhāvasena kammaṃ karotīti dasakusalakammapathakammaṃ. Tañhi asaṃkiliṭṭhattā paṇḍaranti sukkaṃ. Sagge nibbattāpanato paṇḍaravipākattā sukkavipākaṃ. Yaṃ lobhavasena dosavasena mohavasena saddhāvasena ca kammaṃ karoti, idaṃ kaṇhasukkanti vomissakakammaṃ. Kaṇhasukkavipākanti sukhadukkhavipākaṃ. Missakakammañhi katvā akusalavalena tiracchānayoniyaṃ maṅgalahatthibhāvaṃ upapanno kusalena pavatte sukhaṃ anubhavati, kusalena rājakule nibbattopi akusalena dukkhaṃ vedayati. Yaṃ vīriyavasena paññāvasena ca kammaṃ karoti, idaṃ kammaṃ akaṇhaṃ asukkaṃ akaṇhaasukkavipākanti kammakkhayakarā catumaggacetanā. Tañhi yadi kaṇhaṃ bhaveyya, kaṇhavipākaṃ dadeyya. Yadi sukkaṃ bhaveyya, sukkaupapattipariyāpannaṃ vipākaṃ dadeyya. Ubhayavipākassa pana appadānato akaṇhaasukkavipākanti ayamettha attho.

    กมฺมสมาทาเน ปฐมํ อเจลกปฎิปทา กาเมสุ ปาตพฺยตา, ทุติยํ ติพฺพกิเลสสฺส อสฺสุมุขสฺสาปิ รุทโต ปริสุทฺธพฺรหฺมจริยจรณํ, ตติยํ กาเมสุ อปาตพฺยตา อเจลกปฎิปทา, จตุตฺถํ ปจฺจเย อลภมานสฺสาปิ ฌานวิปสฺสนาสุขสมงฺคิโน สาสนพฺรหฺมจริยจรณํฯ ยํ เอวํ ชาติยํ กมฺมสมาทานนฺติ ยํ อญฺญมฺปิ เอวํปการํ กมฺมํฯ อิมินา ปุคฺคเลนาติอาทิ ตสฺมิํ กมฺมวิปาเก ภควโต ญาณสฺส ปวตฺตนาการทสฺสนํฯ ตตฺถ อุปจิตนฺติ ยถา กตํ กมฺมํ ผลทานสมตฺถํ โหติ, ตถา กตํ อุปจิตํฯ อวิปกฺกนฺติ น วิปกฺกวิปากํฯ วิปากาย ปจฺจุปฎฺฐิตนฺติ วิปากทานาย กโตกาสํฯ น จ ภโพฺพ อภินิพฺพิธา คนฺตุนฺติ กิเลสาภิสงฺขารานํ อภินิพฺพิชฺฌนโต อภินิพฺพิธาสงฺขาตํ อริยมคฺคํ อธิคนฺตุํ น จ ภโพฺพฯ ตํ ภควา น โอวทตีติ ตํ วิปากาวรเณน นิวุตํ ปุคฺคลํ ภควา สจฺจปฎิเวธํ ปุรกฺขตฺวา น โอวทติ, วาสนตฺถํ ปน ตาทิสานมฺปิ ธมฺมํ เทเสติ เอว, อชาตสตฺตุอาทีนํ วิยฯ

    Kammasamādāne paṭhamaṃ acelakapaṭipadā kāmesu pātabyatā, dutiyaṃ tibbakilesassa assumukhassāpi rudato parisuddhabrahmacariyacaraṇaṃ, tatiyaṃ kāmesu apātabyatā acelakapaṭipadā, catutthaṃ paccaye alabhamānassāpi jhānavipassanāsukhasamaṅgino sāsanabrahmacariyacaraṇaṃ. Yaṃ evaṃ jātiyaṃ kammasamādānanti yaṃ aññampi evaṃpakāraṃ kammaṃ. Iminā puggalenātiādi tasmiṃ kammavipāke bhagavato ñāṇassa pavattanākāradassanaṃ. Tattha upacitanti yathā kataṃ kammaṃ phaladānasamatthaṃ hoti, tathā kataṃ upacitaṃ. Avipakkanti na vipakkavipākaṃ. Vipākāya paccupaṭṭhitanti vipākadānāya katokāsaṃ. Na ca bhabbo abhinibbidhā gantunti kilesābhisaṅkhārānaṃ abhinibbijjhanato abhinibbidhāsaṅkhātaṃ ariyamaggaṃ adhigantuṃ na ca bhabbo. Taṃ bhagavā na ovadatīti taṃ vipākāvaraṇena nivutaṃ puggalaṃ bhagavā saccapaṭivedhaṃ purakkhatvā na ovadati, vāsanatthaṃ pana tādisānampi dhammaṃ deseti eva, ajātasattuādīnaṃ viya.

    อุปจิตนฺติ กาตุํ อารทฺธํฯ เตเนวาห – ‘‘น จ ตาว ปาริปูริํ คต’’นฺติฯ เตน มิจฺฉตฺตนิยามสฺส อสมตฺถตํ ทเสฺสติฯ ปุรา ปาริปูริํ คจฺฉตีติ ปาริปูริํ ผลนิปฺผาทนสมตฺถตํ คจฺฉติ ปุรา อธิคเจฺฉยฺยฯ มิจฺฉตฺตนิยตตาย สชฺชุกํ ผลธมฺมสฺส อภาชนภาวํ นิพฺพตฺตยติ ปุราฯ เตเนวาห – ‘‘ปุรา เวเนยฺยตฺตํ สมติกฺกมตี’’ติฯ ‘‘ปุรา อนิยตํ สมติกฺกมตี’’ติปิ ปาโฐ, โส เอวโตฺถฯ อสมเตฺตติ กเมฺม อสมฺปุเณฺณ, เต อสมฺปุเณฺณ วาฯ

    Upacitanti kātuṃ āraddhaṃ. Tenevāha – ‘‘na ca tāva pāripūriṃ gata’’nti. Tena micchattaniyāmassa asamatthataṃ dasseti. Purā pāripūriṃ gacchatīti pāripūriṃ phalanipphādanasamatthataṃ gacchati purā adhigaccheyya. Micchattaniyatatāya sajjukaṃ phaladhammassa abhājanabhāvaṃ nibbattayati purā. Tenevāha – ‘‘purā veneyyattaṃ samatikkamatī’’ti. ‘‘Purā aniyataṃ samatikkamatī’’tipi pāṭho, so evattho. Asamatteti kamme asampuṇṇe, te asampuṇṇe vā.

    ๖๑. เอวํ กิเลสนฺตรายมิสฺสกํ กมฺมนฺตรายํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ อมิสฺสกํ กมฺมนฺตรายํ ทเสฺสตุํ ‘‘อิมสฺส จ ปุคฺคลสฺสา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตํ วุตฺตนยเมวฯ

    61. Evaṃ kilesantarāyamissakaṃ kammantarāyaṃ dassetvā idāni amissakaṃ kammantarāyaṃ dassetuṃ ‘‘imassa ca puggalassā’’tiādi vuttaṃ. Taṃ vuttanayameva.

    สเพฺพสนฺติ อิมสฺมิํ พลนิเทฺทเส วุตฺตานํ สเพฺพสํ กมฺมานํฯ มุทุมชฺฌาธิมตฺตตาติ มุทุมชฺฌติพฺพภาโวฯ กมฺมานญฺหิ มุทุอาทิภาเวน ตํวิปากานํ มุทุมชฺฌติกฺขภาโว วิญฺญายตีติ อธิปฺปาโยฯ ทิฎฺฐธมฺมเวทนียนฺติอาทีสุ ทิฎฺฐธเมฺม อิมสฺมิํ อตฺตภาเว เวทิตพฺพํ ผลํ ทิฎฺฐธมฺมเวทนียํฯ อุปปเชฺช อนนฺตเร อตฺตภาเว เวทิตพฺพํ ผลํ อุปปชฺชเวทนียํฯ อปรสฺมิํ อตฺตภาเว อิโต อญฺญสฺมิํ ยสฺมิํ กสฺมิญฺจิ อตฺตภาเว เวทิตพฺพํ ผลํ อปราปริยเวทนียํฯ เอกชวนวารสฺมิญฺหิ สตฺตสุ เจตนาสุ ปฐมเจตนา ทิฎฺฐธมฺมเวทนียํ นามฯ ปริโยสานเจตนา อุปปชฺชเวทนียํ นามฯ มเชฺฌ ปญฺจ เจตนา อปราปริยเวทนียํ นามฯ วิปากเวมตฺตตาญาณนฺติ วิปากเวมตฺตตาย วิปากวิเสเส ญาณํฯ อิมสฺส ปน กมฺมวิปากสฺส คติสมฺปตฺติ คติวิปตฺติ, อุปธิสมฺปตฺติ อุปธิวิปตฺติ, กาลสมฺปตฺติ กาลวิปตฺติ, ปโยคสมฺปตฺติ ปโยควิปตฺติโย การณํฯ โส จ เนสํ การณภาโว ‘‘อเตฺถกจฺจานิ ปาปกานิ กมฺมสมาทานานิ คติสมฺปตฺติปฎิพาฬฺหานิ น วิปจฺจนฺตี’’ติอาทิปาฬิวเสน (วิภ. ๘๑๐) เวทิตโพฺพฯ

    Sabbesanti imasmiṃ balaniddese vuttānaṃ sabbesaṃ kammānaṃ. Mudumajjhādhimattatāti mudumajjhatibbabhāvo. Kammānañhi muduādibhāvena taṃvipākānaṃ mudumajjhatikkhabhāvo viññāyatīti adhippāyo. Diṭṭhadhammavedanīyantiādīsu diṭṭhadhamme imasmiṃ attabhāve veditabbaṃ phalaṃ diṭṭhadhammavedanīyaṃ. Upapajje anantare attabhāve veditabbaṃ phalaṃ upapajjavedanīyaṃ. Aparasmiṃ attabhāve ito aññasmiṃ yasmiṃ kasmiñci attabhāve veditabbaṃ phalaṃ aparāpariyavedanīyaṃ. Ekajavanavārasmiñhi sattasu cetanāsu paṭhamacetanā diṭṭhadhammavedanīyaṃ nāma. Pariyosānacetanā upapajjavedanīyaṃ nāma. Majjhe pañca cetanā aparāpariyavedanīyaṃ nāma. Vipākavemattatāñāṇanti vipākavemattatāya vipākavisese ñāṇaṃ. Imassa pana kammavipākassa gatisampatti gativipatti, upadhisampatti upadhivipatti, kālasampatti kālavipatti, payogasampatti payogavipattiyo kāraṇaṃ. So ca nesaṃ kāraṇabhāvo ‘‘atthekaccāni pāpakāni kammasamādānāni gatisampattipaṭibāḷhāni na vipaccantī’’tiādipāḷivasena (vibha. 810) veditabbo.

    ๖๒. อนนฺตรพลนิเทฺทเส วุตฺตกมฺมสมาทานปเทเนว ฌานาทีนิ สงฺคเหตฺวา ทเสฺสตุํ ‘‘ตถา สมาทินฺนานํ กมฺมาน’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ เสกฺขปุถุชฺชนสนฺตาเนสุ ปวตฺตานิ ฌานาทีนิ กมฺมํ โหนฺติฯ ตตฺถ ตถา สมาทินฺนานนฺติ ‘‘สุกฺกํ สุกฺกวิปากํ ปจฺจุปฺปนฺนสุขํ, อายติํ สุขวิปาก’’นฺติ เอวมาทิปฺปกาเรหิ สมาทิเนฺนสุ กเมฺมสุฯ สํกิเลโสติ ปฎิปกฺขธมฺมวเสน กิลิฎฺฐภาโวฯ โวทานํ ปฎิปกฺขธเมฺมหิ วิสุชฺฌนํฯ วุฎฺฐานํ ปคุณโวทานํ ภวงฺควุฎฺฐานญฺจฯ เอวํ สํกิลิสฺสตีติอาทีสุ อยเมวโตฺถ – อิมินา อากาเรน ฌานาทิ สํกิลิสฺสติ โวทายติ วุฎฺฐหตีติ ชานนญาณํ ภควโต อนาวรณญาณํ, น ตสฺส อาวรณํ อตฺถีติฯ

    62. Anantarabalaniddese vuttakammasamādānapadeneva jhānādīni saṅgahetvā dassetuṃ ‘‘tathā samādinnānaṃ kammāna’’ntiādi vuttaṃ. Sekkhaputhujjanasantānesu pavattāni jhānādīni kammaṃ honti. Tattha tathā samādinnānanti ‘‘sukkaṃ sukkavipākaṃ paccuppannasukhaṃ, āyatiṃ sukhavipāka’’nti evamādippakārehi samādinnesu kammesu. Saṃkilesoti paṭipakkhadhammavasena kiliṭṭhabhāvo. Vodānaṃ paṭipakkhadhammehi visujjhanaṃ. Vuṭṭhānaṃ paguṇavodānaṃ bhavaṅgavuṭṭhānañca. Evaṃ saṃkilissatītiādīsu ayamevattho – iminā ākārena jhānādi saṃkilissati vodāyati vuṭṭhahatīti jānanañāṇaṃ bhagavato anāvaraṇañāṇaṃ, na tassa āvaraṇaṃ atthīti.

    กติ ฌานานีติอาทิ ฌานาทโย วิภาเคน ทเสฺสตุํ อารทฺธํฯ จตฺตาริ ฌานานีติ จตุกฺกนยวเสน รูปาวจรชฺฌานานิ สนฺธายาหฯ เอกาทสาติ ‘‘รูปี รูปานิ ปสฺสตี’’ติอาทินา (ที. นิ. ๒.๑๒๙, ๑๗๔; ๓.๓๓๙, ๓๕๘; ม. นิ. ๒.๒๔๘; ๓.๓๑๒) อฎฺฐนฺนํ ติณฺณญฺจ สุญฺญตวิโมกฺขาทีนํ วเสน วุตฺตํฯ อฎฺฐาติ เตสุ ฐเปตฺวา โลกุตฺตเร วิโมเกฺข อฎฺฐฯ สตฺตาติ เตสุ เอว นิโรธสมาปตฺติํ ฐเปตฺวา สตฺตฯ ตโยติ สุตฺตนฺตปริยาเยน สุญฺญตวิโมกฺขาทโย ตโยฯ เทฺวติ อภิธมฺมปริยาเยน อนิมิตฺตวิโมกฺขสฺสาสมฺภวโต อวเสสา เทฺวฯ เอตฺถ จ ปฎิปาฎิยา สตฺต อปฺปิตปฺปิตกฺขเณ วิกฺขมฺภนวเสน ปจฺจนีกธเมฺมหิ วิมุจฺจนโต , อารมฺมเณ อธิมุจฺจนโต จ วิโมกฺขาฯ นิโรธสมาปตฺติ ปน สพฺพโส สญฺญาเวทยิเตหิ วิมุตฺตตฺตา อปคมวิโมโกฺข นามฯ โลกุตฺตรา จ ตํตํมคฺควชฺฌกิเลเสหิ สมุเจฺฉทวเสน วิมุตฺตตฺตา วิโมโกฺขติ อยํ วิเสโส เวทิตโพฺพฯ

    Kati jhānānītiādi jhānādayo vibhāgena dassetuṃ āraddhaṃ. Cattāri jhānānīti catukkanayavasena rūpāvacarajjhānāni sandhāyāha. Ekādasāti ‘‘rūpī rūpāni passatī’’tiādinā (dī. ni. 2.129, 174; 3.339, 358; ma. ni. 2.248; 3.312) aṭṭhannaṃ tiṇṇañca suññatavimokkhādīnaṃ vasena vuttaṃ. Aṭṭhāti tesu ṭhapetvā lokuttare vimokkhe aṭṭha. Sattāti tesu eva nirodhasamāpattiṃ ṭhapetvā satta. Tayoti suttantapariyāyena suññatavimokkhādayo tayo. Dveti abhidhammapariyāyena animittavimokkhassāsambhavato avasesā dve. Ettha ca paṭipāṭiyā satta appitappitakkhaṇe vikkhambhanavasena paccanīkadhammehi vimuccanato , ārammaṇe adhimuccanato ca vimokkhā. Nirodhasamāpatti pana sabbaso saññāvedayitehi vimuttattā apagamavimokkho nāma. Lokuttarā ca taṃtaṃmaggavajjhakilesehi samucchedavasena vimuttattā vimokkhoti ayaṃ viseso veditabbo.

    สมาธีสุ จตุกฺกนยปญฺจกนเยสุ ปฐมชฺฌานสมาธิ สวิตโกฺก สวิจาโร สมาธิ นามฯ ปญฺจกนเย ทุติยชฺฌานสมาธิ อวิตโกฺก วิจารมโตฺต สมาธิ นามฯ จตุกฺกนเย ปญฺจกนเยปิ เสสฌาเนสุ สมาธิ อวิตโกฺก อวิจาโร สมาธิ นามฯ

    Samādhīsu catukkanayapañcakanayesu paṭhamajjhānasamādhi savitakko savicāro samādhi nāma. Pañcakanaye dutiyajjhānasamādhi avitakko vicāramatto samādhi nāma. Catukkanaye pañcakanayepi sesajhānesu samādhi avitakko avicāro samādhi nāma.

    สมาปตฺตีสุ ปฎิปาฎิยา อฎฺฐนฺนํ สมาปตฺตีนํ ‘‘สมาธี’’ติปิ นามํ ‘‘สมาปตฺตี’’ติปิฯ กสฺมา? จิเตฺตกคฺคตาสพฺภาวโตฯ นิโรธสมาปตฺติยา ตทภาวโต น ‘‘สมาธี’’ติ นามํฯ สญฺญาสมาปตฺติอาทิ เหฎฺฐา วุตฺตเมวฯ

    Samāpattīsu paṭipāṭiyā aṭṭhannaṃ samāpattīnaṃ ‘‘samādhī’’tipi nāmaṃ ‘‘samāpattī’’tipi. Kasmā? Cittekaggatāsabbhāvato. Nirodhasamāpattiyā tadabhāvato na ‘‘samādhī’’ti nāmaṃ. Saññāsamāpattiādi heṭṭhā vuttameva.

    หานภาคิโย สมาธีติ อปฺปคุเณหิ ปฐมชฺฌานาทีหิ วุฎฺฐิตสฺส สญฺญามนสิการานํ กามาทิอนุปกฺขนฺทนํ ปฐมชฺฌานาทิสมาธิสฺส หานภาคิยตาฯ ‘‘ปฐมชฺฌานสฺส กามราคพฺยาปาทา สํกิเลโส’’ติ วุตฺตตฺตา ทุติยชฺฌานาทิวเสน โยเชตพฺพํฯ กุกฺกุฎํ วุจฺจติ อชญฺญาชิคุจฺฉนมุเขน ตปฺปรมตาฯ กุกฺกุฎฌายีติ ปุคฺคลาธิฎฺฐาเนน ฌานานิ วุตฺตานิ, เทฺว ปฐมทุติยชฺฌานานีติ วุตฺตํ โหติฯ โย ปฐมํ ทุติยํ วา ฌานํ นิพฺพเตฺตตฺวา ‘‘อลเมตฺตาวตา’’ติ สโงฺกจํ อาปชฺชติ, อุตฺตริ น วายมติ, ตสฺส ตานิ ฌานานิ จตฺตาริปิ ‘‘กุกฺกุฎฌานานี’’ติ วุจฺจนฺติ, ตํสมงฺคิโน จ กุกฺกุฎฌายีฯ เตสุ ปุริมานิ เทฺว อาสนฺนพลวปจฺจตฺถิกตฺตา วิเสสภาคิยตาภาวโต จ สํกิเลสภาเวน วุตฺตานิฯ อิตรานิ ปน วิเสสภาคิยตาภาเวปิ มนฺทปจฺจตฺถิกตฺตา โวทานภาเวน วุตฺตานีติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    Hānabhāgiyo samādhīti appaguṇehi paṭhamajjhānādīhi vuṭṭhitassa saññāmanasikārānaṃ kāmādianupakkhandanaṃ paṭhamajjhānādisamādhissa hānabhāgiyatā. ‘‘Paṭhamajjhānassa kāmarāgabyāpādā saṃkileso’’ti vuttattā dutiyajjhānādivasena yojetabbaṃ. Kukkuṭaṃ vuccati ajaññājigucchanamukhena tapparamatā. Kukkuṭajhāyīti puggalādhiṭṭhānena jhānāni vuttāni, dve paṭhamadutiyajjhānānīti vuttaṃ hoti. Yo paṭhamaṃ dutiyaṃ vā jhānaṃ nibbattetvā ‘‘alamettāvatā’’ti saṅkocaṃ āpajjati, uttari na vāyamati, tassa tāni jhānāni cattāripi ‘‘kukkuṭajhānānī’’ti vuccanti, taṃsamaṅgino ca kukkuṭajhāyī. Tesu purimāni dve āsannabalavapaccatthikattā visesabhāgiyatābhāvato ca saṃkilesabhāvena vuttāni. Itarāni pana visesabhāgiyatābhāvepi mandapaccatthikattā vodānabhāvena vuttānīti daṭṭhabbaṃ.

    วิเสสภาคิโย สมาธีติ ปคุเณหิ ปฐมชฺฌานาทีหิ วุฎฺฐิตสฺส สญฺญามนสิการานํ ทุติยชฺฌานาทิปกฺขนฺทนํ, ปคุณโวทานํ ภวงฺควุฎฺฐานญฺจ ‘‘วุฎฺฐาน’’นฺติ วุตฺตํฯ เหฎฺฐิมํ เหฎฺฐิมญฺหิ ปคุณชฺฌานํ อุปริมสฺส อุปริมสฺส ปทฎฺฐานํ โหติฯ ตสฺมา โวทานมฺปิ ‘‘วุฎฺฐาน’’นฺติ วุตฺตํฯ ภวงฺควเสน สพฺพฌาเนหิ วุฎฺฐานํ โหตีติ ภวงฺคญฺจ โวทานํ วุฎฺฐานํฯ ยสฺมา ปน วุฎฺฐานวสิภาเวน ยถาปริจฺฉินฺนกาลํ สมาปตฺติโต วุฎฺฐานํ โหติ, ตสฺมา สมาปตฺติวุฎฺฐานโกสลฺลํ อิธ ‘‘วุฎฺฐาน’’นฺติ วุตฺตํฯ

    Visesabhāgiyo samādhīti paguṇehi paṭhamajjhānādīhi vuṭṭhitassa saññāmanasikārānaṃ dutiyajjhānādipakkhandanaṃ, paguṇavodānaṃ bhavaṅgavuṭṭhānañca ‘‘vuṭṭhāna’’nti vuttaṃ. Heṭṭhimaṃ heṭṭhimañhi paguṇajjhānaṃ uparimassa uparimassa padaṭṭhānaṃ hoti. Tasmā vodānampi ‘‘vuṭṭhāna’’nti vuttaṃ. Bhavaṅgavasena sabbajhānehi vuṭṭhānaṃ hotīti bhavaṅgañca vodānaṃ vuṭṭhānaṃ. Yasmā pana vuṭṭhānavasibhāvena yathāparicchinnakālaṃ samāpattito vuṭṭhānaṃ hoti, tasmā samāpattivuṭṭhānakosallaṃ idha ‘‘vuṭṭhāna’’nti vuttaṃ.

    ๖๓. ตเสฺสว สมาธิสฺสาติ ตสฺส อนนฺตรพลนิเทฺทเส ฌานาทิปริยาเยหิ วุตฺตสมาธิสฺสฯ ปริวาราติ ปริกฺขาราฯ อินฺทฺริยานีติ สทฺธาสติปญฺญินฺทฺริยานิฯ พลานีติ หิโรตฺตเปฺปหิ สทฺธิํ ตานิเยวฯ วีริยสฺส วิสุํ คหณํ พลานํ พหูปการทสฺสนตฺถํฯ วีริยุปตฺถเมฺภน หิ สทฺธาทโย ปฎิปเกฺขน อกมฺปนียา โหนฺติฯ เตเนวาห – ‘‘วีริยวเสน พลานิ ภวนฺตี’’ติฯ เตสนฺติ อินฺทฺริยานํฯ มุทุมชฺฌาธิมตฺตตาติ อวิสทํ มุทุฯ นาติวิสทํ มชฺฌํฯ อติวิสทํ อธิมตฺตํ พลวํ ‘‘ติกฺข’’นฺติ วุจฺจติฯ

    63.Tassevasamādhissāti tassa anantarabalaniddese jhānādipariyāyehi vuttasamādhissa. Parivārāti parikkhārā. Indriyānīti saddhāsatipaññindriyāni. Balānīti hirottappehi saddhiṃ tāniyeva. Vīriyassa visuṃ gahaṇaṃ balānaṃ bahūpakāradassanatthaṃ. Vīriyupatthambhena hi saddhādayo paṭipakkhena akampanīyā honti. Tenevāha – ‘‘vīriyavasena balāni bhavantī’’ti. Tesanti indriyānaṃ. Mudumajjhādhimattatāti avisadaṃ mudu. Nātivisadaṃ majjhaṃ. Ativisadaṃ adhimattaṃ balavaṃ ‘‘tikkha’’nti vuccati.

    เวเนยฺยานํ อินฺทฺริยานุรูปํ ภควโต เทสนาปวตฺตีติ ทเสฺสตุํ ‘‘ตตฺถ ภควา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ สํขิตฺตวิตฺถาเรนาติ สํขิตฺตสฺส วิตฺถาเรนฯ อถ วา สํขิเตฺตนาติ อุทฺทิฎฺฐมเตฺตนฯ สํขิตฺตวิตฺถาเรนาติ อุเทฺทเสน นิเทฺทเสน จฯ วิตฺถาเรนาติ อุเทฺทสนิเทฺทสปฎินิเทฺทเสหิฯ มุทุกนฺติ ลหุกํ อปายภยวฎฺฎภยาทีหิ สนฺตชฺชนวเสน ภาริยํ อกตฺวาฯ มุทุติกฺขนฺติ นาติติกฺขํฯ สํเวควตฺถูหิ สํเวคชนนาทิวเสน ภาริยํ กตฺวาฯ สมถํ อุปทิสตีติ สมถํ อธิกํ กตฺวา อุปทิสติ, น ตถา วิปสฺสนนฺติ อธิปฺปาโยฯ น หิ เกวเลน สมเถน สจฺจปฺปฎิเวโธ สมฺภวติฯ สมถวิปสฺสนนฺติ สมธุรํ สมถวิปสฺสนํฯ วิปสฺสนนฺติ สาติสยํ วิปสฺสนํ อุปทิสติฯ ยสฺมา เจตฺถ ติกฺขินฺทฺริยาทโย อุคฺฆฎิตญฺญุอาทโยว, ตสฺมา ‘‘ติกฺขินฺทฺริยสฺส นิสฺสรณํ อุปทิสตี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ อธิปญฺญาสิกฺขายาติ อธิปญฺญาสิกฺขํฯ

    Veneyyānaṃ indriyānurūpaṃ bhagavato desanāpavattīti dassetuṃ ‘‘tattha bhagavā’’tiādi vuttaṃ. Tattha saṃkhittavitthārenāti saṃkhittassa vitthārena. Atha vā saṃkhittenāti uddiṭṭhamattena. Saṃkhittavitthārenāti uddesena niddesena ca. Vitthārenāti uddesaniddesapaṭiniddesehi. Mudukanti lahukaṃ apāyabhayavaṭṭabhayādīhi santajjanavasena bhāriyaṃ akatvā. Mudutikkhanti nātitikkhaṃ. Saṃvegavatthūhi saṃvegajananādivasena bhāriyaṃ katvā. Samathaṃ upadisatīti samathaṃ adhikaṃ katvā upadisati, na tathā vipassananti adhippāyo. Na hi kevalena samathena saccappaṭivedho sambhavati. Samathavipassananti samadhuraṃ samathavipassanaṃ. Vipassananti sātisayaṃ vipassanaṃ upadisati. Yasmā cettha tikkhindriyādayo ugghaṭitaññuādayova, tasmā ‘‘tikkhindriyassa nissaraṇaṃ upadisatī’’tiādi vuttaṃ. Tattha adhipaññāsikkhāyāti adhipaññāsikkhaṃ.

    ยํ เอตฺถ ญาณนฺติ เอตฺถ อินฺทฺริยานํ มุทุมชฺฌาธิมตฺตตาย ยํ ญาณํ, อิทํ วุจฺจติ ปรสตฺตานํ ปรปุคฺคลานํ อินฺทฺริยปโรปริยตฺตเวมตฺตตาญาณนฺติ สมฺพนฺธิตพฺพํฯ ตสฺส ญาณสฺส ปวตฺตนาการํ ทเสฺสตุํ ‘‘อยํ อิมํ ภูมิ’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ อยํ อิมํ ภูมิํ ภาวนญฺจ คโตติ อยํ ปุคฺคโล เอวมิมํ สํกิเลสวาสนํ โวทานํ ภวงฺคญฺจ คโต คจฺฉติ คมิสฺสติ จ, กาลวจนิจฺฉาย อภาวโต, ยถา ทุทฺธนฺติฯ อิมาย เวลาย อิมสฺมิํ สมเย อิมาย มุทุมชฺฌติกฺขเภทาย อนุสาสนิยาฯ เอวํธาตุโกติ หีนาทิวเสน เอวํอชฺฌาสโย เอวํอธิมุตฺติโกฯ อยญฺจสฺส อาสโยติ อิมสฺส ปุคฺคลสฺส อยํ สสฺสตุเจฺฉทปฺปกาโร, ยถาภูตญาณานุโลมขนฺติปฺปกาโร วา อาสโยฯ อิทญฺหิ จตุพฺพิธํ อาสยนฺติ เอตฺถ สตฺตา วสนฺตีติ อาสโยติ วุจฺจติฯ อิมํ ปน ภควา สตฺตานํ อาสยํ ชานโนฺต เตสํ ทิฎฺฐิคตานํ วิปสฺสนาญาณกมฺมสฺสกตญฺญาณานญฺจ อปฺปวตฺติกฺขเณปิ ชานาติ เอวฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ – ‘‘กามํ เสวนฺตเญฺญว ชานาติ ‘อยํ ปุคฺคโล กามครุโก กามาสโย กามาธิมุโตฺต’ติฯ กามํ เสวนฺตเญฺญว ชานาติ ‘อยํ ปุคฺคโล เนกฺขมฺมครุโก เนกฺขมฺมาสโย เนกฺขมฺมาธิมุโตฺต’ติฯ เนกฺขมฺมํ เสวนฺตเญฺญว ชานาติ… พฺยาปาทํ… อพฺยาปาทํ… ถินมิทฺธํ… อาโลกสญฺญํ เสวนฺตเญฺญว ชานาติ ‘อยํ ปุคฺคโล ถินมิทฺธครุโก ถินมิทฺธาสโย ถินมิทฺธาธิมุโตฺต’’’ติ (ปฎิ. ม. ๑.๑๑๓)ฯ

    Yaṃ ettha ñāṇanti ettha indriyānaṃ mudumajjhādhimattatāya yaṃ ñāṇaṃ, idaṃ vuccati parasattānaṃ parapuggalānaṃ indriyaparopariyattavemattatāñāṇanti sambandhitabbaṃ. Tassa ñāṇassa pavattanākāraṃ dassetuṃ ‘‘ayaṃ imaṃ bhūmi’’ntiādi vuttaṃ. Tattha ayaṃ imaṃ bhūmiṃ bhāvanañca gatoti ayaṃ puggalo evamimaṃ saṃkilesavāsanaṃ vodānaṃ bhavaṅgañca gato gacchati gamissati ca, kālavacanicchāya abhāvato, yathā duddhanti. Imāya velāya imasmiṃ samaye imāya mudumajjhatikkhabhedāya anusāsaniyā. Evaṃdhātukoti hīnādivasena evaṃajjhāsayo evaṃadhimuttiko. Ayañcassa āsayoti imassa puggalassa ayaṃ sassatucchedappakāro, yathābhūtañāṇānulomakhantippakāro vā āsayo. Idañhi catubbidhaṃ āsayanti ettha sattā vasantīti āsayoti vuccati. Imaṃ pana bhagavā sattānaṃ āsayaṃ jānanto tesaṃ diṭṭhigatānaṃ vipassanāñāṇakammassakataññāṇānañca appavattikkhaṇepi jānāti eva. Vuttampi cetaṃ – ‘‘kāmaṃ sevantaññeva jānāti ‘ayaṃ puggalo kāmagaruko kāmāsayo kāmādhimutto’ti. Kāmaṃ sevantaññeva jānāti ‘ayaṃ puggalo nekkhammagaruko nekkhammāsayo nekkhammādhimutto’ti. Nekkhammaṃ sevantaññeva jānāti… byāpādaṃ… abyāpādaṃ… thinamiddhaṃ… ālokasaññaṃ sevantaññeva jānāti ‘ayaṃ puggalo thinamiddhagaruko thinamiddhāsayo thinamiddhādhimutto’’’ti (paṭi. ma. 1.113).

    อยํ อนุสโยติ อยํ อิมสฺส ปุคฺคลสฺส กามราคาทิโก อปฺปหีโนเยว อนุสยิตกิเลโสฯ อปฺปหีโนเยว หิ ถามคโต กิเลโส อนุสโยฯ ปรสตฺตานนฺติ ปธานสตฺตานํฯ ปรปุคฺคลานนฺติ ตโต ปเรสํ สตฺตานํ, หีนสตฺตานนฺติ อโตฺถฯ เอกตฺถเมว วา เอตํ ปททฺวยํ เวเนยฺยวเสน ทฺวิธา วุตฺตํฯ อินฺทฺริยปโรปริยตฺตเวมตฺตตาญาณนฺติ ปรภาโว จ อปรภาโว จ ปโรปริยตฺตํ อ-การสฺส โอการํ กตฺวา, ตสฺส เวมตฺตตา ปโรปริยตฺตเวมตฺตตาฯ สทฺธาทีนํ อินฺทฺริยานํ ปโรปริยตฺตเวมตฺตตาย ญาณํ อินฺทฺริยปโรปริยตฺตเวมตฺตตาญาณนฺติ ปทวิภาโค เวทิตโพฺพฯ

    Ayaṃ anusayoti ayaṃ imassa puggalassa kāmarāgādiko appahīnoyeva anusayitakileso. Appahīnoyeva hi thāmagato kileso anusayo. Parasattānanti padhānasattānaṃ. Parapuggalānanti tato paresaṃ sattānaṃ, hīnasattānanti attho. Ekatthameva vā etaṃ padadvayaṃ veneyyavasena dvidhā vuttaṃ. Indriyaparopariyattavemattatāñāṇanti parabhāvo ca aparabhāvo ca paropariyattaṃ a-kārassa okāraṃ katvā, tassa vemattatā paropariyattavemattatā. Saddhādīnaṃ indriyānaṃ paropariyattavemattatāya ñāṇaṃ indriyaparopariyattavemattatāñāṇanti padavibhāgo veditabbo.

    ตตฺถ นฺติ ยํ อเนกวิหิตสฺส ปุเพฺพนิวาสสฺส อนุสฺสรณวเสน ภควโต ญาณํ, อิทํ อฎฺฐมํ ตถาคตพลนฺติ สมฺพโนฺธฯ อเนกวิหิตนฺติ อเนกวิธํ, อเนเกหิ วา ปกาเรหิ ปวตฺติตํฯ ปุเพฺพนิวาสนฺติ อนุสฺสริตุํ อิจฺฉิตํ อตฺตโน ปเรสญฺจ สมนนฺตราตีตํ ภวํ อาทิํ กตฺวา ตตฺถ ตตฺถ นิวุตฺถสนฺตานํฯ อนุสฺสรตีติ ‘‘เอกมฺปิ ชาติํ เทฺวปิ ชาติโย’’ติ เอวํ ชาติปฎิปาฎิยา อนุคนฺตฺวา สรติ, อนุเทว วา สรติ, จิเตฺต อภินินฺนามิตมเตฺต เอว สรตีติ อโตฺถฯ ภควโต หิ ปริกมฺมกิจฺจํ นตฺถิ, อาวชฺชนมเตฺตเนว สรติฯ เสยฺยถิทนฺติ อารทฺธปฺปการนิทสฺสนเตฺถ นิปาโตฯ เอกมฺปิ ชาตินฺติ เอกมฺปิ ปฎิสนฺธิมูลํ จุติปริโยสานํ เอกภวปริยาปนฺนํ ขนฺธสนฺตานํฯ เอส นโย เทฺวปิ ชาติโยติอาทีสุปิฯ

    Tattha yanti yaṃ anekavihitassa pubbenivāsassa anussaraṇavasena bhagavato ñāṇaṃ, idaṃ aṭṭhamaṃ tathāgatabalanti sambandho. Anekavihitanti anekavidhaṃ, anekehi vā pakārehi pavattitaṃ. Pubbenivāsanti anussarituṃ icchitaṃ attano paresañca samanantarātītaṃ bhavaṃ ādiṃ katvā tattha tattha nivutthasantānaṃ. Anussaratīti ‘‘ekampi jātiṃ dvepi jātiyo’’ti evaṃ jātipaṭipāṭiyā anugantvā sarati, anudeva vā sarati, citte abhininnāmitamatte eva saratīti attho. Bhagavato hi parikammakiccaṃ natthi, āvajjanamatteneva sarati. Seyyathidanti āraddhappakāranidassanatthe nipāto. Ekampi jātinti ekampi paṭisandhimūlaṃ cutipariyosānaṃ ekabhavapariyāpannaṃ khandhasantānaṃ. Esa nayo dvepi jātiyotiādīsupi.

    อเนเกปิ สํวฎฺฎกเปฺปติอาทีสุ ปน ปริหายมาโน กโปฺป สํวฎฺฎกโปฺป, วฑฺฒมาโน วิวฎฺฎกโปฺปติ เวทิตโพฺพฯ ตตฺถ สํวเฎฺฎน สํวฎฺฎฎฺฐายี คหิโต ตํมูลตฺตา, วิวเฎฺฎน จ วิวฎฺฎฎฺฐายีฯ เอวญฺหิ สติ ยานิ ‘‘จตฺตาริมานิ, ภิกฺขเว, กปฺปสฺส อสเงฺขฺยยฺยานิฯ กตมานิ จตฺตาริ? สํวโฎฺฎ สํวฎฺฎฎฺฐายี วิวโฎฺฎ วิวฎฺฎฎฺฐายี’’ติ (อ. นิ. ๔.๑๕๖) วุตฺตานิ , ตานิ สพฺพานิ ปริคฺคหิตานิ โหนฺติฯ อมุตฺราสินฺติอาทิ สรณาการทสฺสนํฯ ตตฺถ อมุตฺราสินฺติ อมุมฺหิ สํวฎฺฎกเปฺป, อมุมฺหิ ภเว วา โยนิยํ วา คติยํ วา วิญฺญาณฎฺฐิติยํ วา สตฺตาวาเส วา สตฺตนิกาเย วาฯ เอวํนาโมติ ติโสฺส วา ผุโสฺส วาฯ เอวํโคโตฺตติ ภคฺคโว วา โคตโม วาฯ เอวํวโณฺณติ โอทาโต วา สาโม วาฯ เอวมาหาโรติ สาลิมํโสทนาหาโร วา ปวตฺตผลโภชโน วาฯ เอวํสุขทุกฺขปฺปฎิสํเวทีติ อเนกปฺปกาเรน กายิกเจตสิกานํ สามิสนิรามิสปฺปเภทานํ วา สุขทุกฺขานํ ปฎิสํเวทีฯ เอวมายุปริยโนฺตติ เอวํ วสฺสสตปรมายุปริยโนฺต วา จตุราสีติกปฺปสหสฺสปรมายุปริยโนฺต วาฯ โส ตโต จุโต อมุตฺร อุทปาทินฺติ โส ตโต ภวโต, สตฺตนิกายโต วา จุโต ปุน อมุกสฺมิํ นาม สตฺตนิกาเย อุทปาทิํฯ อถ วา ตตฺราปิ ภเว วา สตฺตนิกาเย วา อโหสิํฯ เอวํนาโมติอาทิ วุตฺตตฺถเมวฯ

    Anekepi saṃvaṭṭakappetiādīsu pana parihāyamāno kappo saṃvaṭṭakappo, vaḍḍhamāno vivaṭṭakappoti veditabbo. Tattha saṃvaṭṭena saṃvaṭṭaṭṭhāyī gahito taṃmūlattā, vivaṭṭena ca vivaṭṭaṭṭhāyī. Evañhi sati yāni ‘‘cattārimāni, bhikkhave, kappassa asaṅkhyeyyāni. Katamāni cattāri? Saṃvaṭṭo saṃvaṭṭaṭṭhāyī vivaṭṭo vivaṭṭaṭṭhāyī’’ti (a. ni. 4.156) vuttāni , tāni sabbāni pariggahitāni honti. Amutrāsintiādi saraṇākāradassanaṃ. Tattha amutrāsinti amumhi saṃvaṭṭakappe, amumhi bhave vā yoniyaṃ vā gatiyaṃ vā viññāṇaṭṭhitiyaṃ vā sattāvāse vā sattanikāye vā. Evaṃnāmoti tisso vā phusso vā. Evaṃgottoti bhaggavo vā gotamo vā. Evaṃvaṇṇoti odāto vā sāmo vā. Evamāhāroti sālimaṃsodanāhāro vā pavattaphalabhojano vā. Evaṃsukhadukkhappaṭisaṃvedīti anekappakārena kāyikacetasikānaṃ sāmisanirāmisappabhedānaṃ vā sukhadukkhānaṃ paṭisaṃvedī. Evamāyupariyantoti evaṃ vassasataparamāyupariyanto vā caturāsītikappasahassaparamāyupariyanto vā. So tato cuto amutra udapādinti so tato bhavato, sattanikāyato vā cuto puna amukasmiṃ nāma sattanikāye udapādiṃ. Atha vā tatrāpi bhave vā sattanikāye vā ahosiṃ. Evaṃnāmotiādi vuttatthameva.

    ๖๔. ทิเพฺพนาติอาทีสุ ทิพฺพสทิสตฺตา ทิพฺพํฯ เทวตานญฺหิ สุจริตกมฺมนิพฺพตฺตมฺปิ ปิตฺตเสมฺหรุหิราทีหิ อปลิพุทฺธํ อุปกฺกิเลสวิมุตฺตตฺตา ทูเรปิ อารมฺมณคฺคหณสมตฺถํ ทิพฺพํ ปสาทจกฺขุ โหติฯ อิทมฺปิ วีริยภาวนาพลนิพฺพตฺตํ ญาณจกฺขุ ตาทิสเมวาติ ทิพฺพสทิสตฺตา ทิพฺพํ, ทิพฺพวิหารวเสน วา ปฎิลทฺธตฺตา, อตฺตนา จ ทิพฺพวิหารสนฺนิสฺสิตตฺตาปิ ทิพฺพํ, อาโลกปริคฺคเหน มหาชุติกตฺตาปิ ทิพฺพํ, ติโรกุฎฺฎาทิคตรูปทสฺสเนน มหาคติกตฺตาปิ ทิพฺพํฯ ตํ สพฺพํ สทฺทสตฺถานุสาเรน เวทิตพฺพํฯ ทสฺสนเฎฺฐน จกฺขุฯ จกฺขุกิจฺจกรเณน จกฺขุมิวาติปิ จกฺขุฯ จุตูปปาตทสฺสเนน ทิฎฺฐิวิสุทฺธิเหตุตฺตา วิสุทฺธํฯ โย หิ จุติมตฺตเมว ปสฺสติ, น อุปปาตํ, โส อุเจฺฉททิฎฺฐิํ คณฺหาติฯ โย อุปปาตมตฺตเมว ปสฺสติ น จุติํ, โส นวสตฺตปาตุภาวทิฎฺฐิํ คณฺหาติฯ โย ปน ตทุภยํ ปสฺสติ, โส ยสฺมา ทุวิธมฺปิ ตํ ทิฎฺฐิคตํ อติวตฺตติฯ ตสฺมาสฺส ตํ ทสฺสนํ ทิฎฺฐิวิสุทฺธิเหตุ โหติฯ ตทุภยญฺจ ภควา ปสฺสติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘จุตูปปาตทสฺสเนน ทิฎฺฐิวิสุทฺธิเหตุตฺตา วิสุทฺธ’’นฺติฯ

    64.Dibbenātiādīsu dibbasadisattā dibbaṃ. Devatānañhi sucaritakammanibbattampi pittasemharuhirādīhi apalibuddhaṃ upakkilesavimuttattā dūrepi ārammaṇaggahaṇasamatthaṃ dibbaṃ pasādacakkhu hoti. Idampi vīriyabhāvanābalanibbattaṃ ñāṇacakkhu tādisamevāti dibbasadisattā dibbaṃ, dibbavihāravasena vā paṭiladdhattā, attanā ca dibbavihārasannissitattāpi dibbaṃ, ālokapariggahena mahājutikattāpi dibbaṃ, tirokuṭṭādigatarūpadassanena mahāgatikattāpi dibbaṃ. Taṃ sabbaṃ saddasatthānusārena veditabbaṃ. Dassanaṭṭhena cakkhu. Cakkhukiccakaraṇena cakkhumivātipi cakkhu. Cutūpapātadassanena diṭṭhivisuddhihetuttā visuddhaṃ. Yo hi cutimattameva passati, na upapātaṃ, so ucchedadiṭṭhiṃ gaṇhāti. Yo upapātamattameva passati na cutiṃ, so navasattapātubhāvadiṭṭhiṃ gaṇhāti. Yo pana tadubhayaṃ passati, so yasmā duvidhampi taṃ diṭṭhigataṃ ativattati. Tasmāssa taṃ dassanaṃ diṭṭhivisuddhihetu hoti. Tadubhayañca bhagavā passati. Tena vuttaṃ – ‘‘cutūpapātadassanena diṭṭhivisuddhihetuttā visuddha’’nti.

    เอกาทสอุปกฺกิเลสวิรหโต วา วิสุทฺธํฯ ยถาห –

    Ekādasaupakkilesavirahato vā visuddhaṃ. Yathāha –

    ‘‘โส โข อหํ อนุรุทฺธา ‘วิจิกิจฺฉา จิตฺตสฺส อุปกฺกิเลโส’ติ อิติ วิทิตฺวา วิจิกิจฺฉํ จิตฺตสฺส อุปกฺกิเลสํ ปชหิํฯ ‘อมนสิกาโร จิตฺตสฺส อุปกฺกิเลโส… ถินมิทฺธํ… ฉมฺภิตตฺตํ… อุปฺปิลํ… ทุฎฺฐุลฺลํ… อจฺจารทฺธวีริยํ… อติลีนวีริยํ… อภิชปฺปา… นานตฺตสญฺญา… อตินิชฺฌายิตตฺตํ รูปานํ จิตฺตสฺส อุปกฺกิเลโส’ติ อิติ วิทิตฺวา อตินิชฺฌายิตตฺตํ รูปานํ จิตฺตสฺส อุปกฺกิเลสํ ปชหิ’’นฺติ (ม. นิ. ๓.๒๔๒) เอวมาทิฯ

    ‘‘So kho ahaṃ anuruddhā ‘vicikicchā cittassa upakkileso’ti iti viditvā vicikicchaṃ cittassa upakkilesaṃ pajahiṃ. ‘Amanasikāro cittassa upakkileso… thinamiddhaṃ… chambhitattaṃ… uppilaṃ… duṭṭhullaṃ… accāraddhavīriyaṃ… atilīnavīriyaṃ… abhijappā… nānattasaññā… atinijjhāyitattaṃ rūpānaṃ cittassa upakkileso’ti iti viditvā atinijjhāyitattaṃ rūpānaṃ cittassa upakkilesaṃ pajahi’’nti (ma. ni. 3.242) evamādi.

    ตเทวํ เอกาทสอุปกฺกิเลสวิรหโต วา วิสุทฺธํฯ มนุสฺสูปจารํ อติกฺกมิตฺวา รูปทสฺสเนน อติกฺกนฺตมานุสกํ, มํสจกฺขุํ อติกฺกนฺตตฺตา วา อติกฺกนฺตมานุสกํฯ เตน ทิเพฺพน จกฺขุนา วิสุเทฺธน อติกฺกนฺตมานุสเกนฯ

    Tadevaṃ ekādasaupakkilesavirahato vā visuddhaṃ. Manussūpacāraṃ atikkamitvā rūpadassanena atikkantamānusakaṃ, maṃsacakkhuṃ atikkantattā vā atikkantamānusakaṃ. Tena dibbena cakkhunā visuddhena atikkantamānusakena.

    สเตฺต ปสฺสตีติ มนุโสฺส มนุสฺสํ มํสจกฺขุนา วิย สเตฺต ปสฺสติ โอโลเกติฯ จวมาเน อุปปชฺชมาเนติ เอตฺถ จุติกฺขเณ อุปปตฺติกฺขเณ วา ทิพฺพจกฺขุนาปิ ทฎฺฐุํ น สกฺกาฯ เย ปน อาสนฺนจุติกา อิทานิ จวิสฺสนฺติ, เย จ คหิตปฎิสนฺธิกา สมฺปติ นิพฺพตฺตา, เต ‘‘จวมานา อุปปชฺชมานา’’ติ อธิเปฺปตาฯ เต เอวรูเป จวมาเน อุปปชฺชมาเนฯ หีเนติ โมหนิสฺสนฺทยุตฺตตฺตา หีนชาติกุลโภคาทิวเสน หีฬิเต ปริภูเตฯ ปณีเตติ อโมหนิสฺสนฺทยุตฺตตฺตา ตพฺพิปรีเตฯ สุวเณฺณติ อโทสนิสฺสนฺทยุตฺตตฺตา อิฎฺฐกนฺตมนาปวณฺณยุเตฺตฯ ทุพฺพเณฺณติ โทสนิสฺสนฺทยุตฺตตฺตา อนิฎฺฐากนฺตามนาปวณฺณยุเตฺต อภิรูเป วิรูเป วาติ อโตฺถฯ สุคเตติ สุคติคเต, อโลภนิสฺสนฺทยุตฺตตฺตา วา อเฑฺฒ มหทฺธเนฯ ทุคฺคเตติ ทุคฺคติคเต, โลภนิสฺสนฺทยุตฺตตฺตา วา ทลิเทฺท อปฺปนฺนปานโภชเนฯ ยถากมฺมูปเคติ ยํ ยํ กมฺมํ อุปจิตํ, เตน เตน อุปคเตฯ ตตฺถ ปุริเมหิ ‘‘จวมาเน’’ติอาทีหิ ทิพฺพจกฺขุกิจฺจํ วุตฺตํฯ อิมินา ปน ปเทน ยถากมฺมูปคญาณกิจฺจํฯ ยถากมฺมูปคญาณอนาคตํสญาณานิ จ ทิพฺพจกฺขุปาทกาเนว ทิพฺพจกฺขุนา สเหว อิชฺฌนฺติฯ

    Satte passatīti manusso manussaṃ maṃsacakkhunā viya satte passati oloketi. Cavamāne upapajjamāneti ettha cutikkhaṇe upapattikkhaṇe vā dibbacakkhunāpi daṭṭhuṃ na sakkā. Ye pana āsannacutikā idāni cavissanti, ye ca gahitapaṭisandhikā sampati nibbattā, te ‘‘cavamānā upapajjamānā’’ti adhippetā. Te evarūpe cavamāne upapajjamāne. Hīneti mohanissandayuttattā hīnajātikulabhogādivasena hīḷite paribhūte. Paṇīteti amohanissandayuttattā tabbiparīte. Suvaṇṇeti adosanissandayuttattā iṭṭhakantamanāpavaṇṇayutte. Dubbaṇṇeti dosanissandayuttattā aniṭṭhākantāmanāpavaṇṇayutte abhirūpe virūpe vāti attho. Sugateti sugatigate, alobhanissandayuttattā vā aḍḍhe mahaddhane. Duggateti duggatigate, lobhanissandayuttattā vā dalidde appannapānabhojane. Yathākammūpageti yaṃ yaṃ kammaṃ upacitaṃ, tena tena upagate. Tattha purimehi ‘‘cavamāne’’tiādīhi dibbacakkhukiccaṃ vuttaṃ. Iminā pana padena yathākammūpagañāṇakiccaṃ. Yathākammūpagañāṇaanāgataṃsañāṇāni ca dibbacakkhupādakāneva dibbacakkhunā saheva ijjhanti.

    กายทุจฺจริเตนาติอาทีสุ ทุฎฺฐุ จริตํ, ทุฎฺฐํ วา จริตํ กิเลสปูติกตฺตา ทุจฺจริตํฯ กาเยน ทุจฺจริตํ, กายโต วา ปวตฺตํ ทุจฺจริตํ กายทุจฺจริตํฯ เอวํ วจีมโนทุจฺจริตานิปิ ทฎฺฐพฺพานิฯ สมนฺนาคตาติ สมงฺคีภูตาฯ อริยานํ อุปวาทกาติ พุทฺธาทีนํ อริยานํ, อนฺตมโส คิหิโสตาปนฺนานมฺปิ อนฺติมวตฺถุนา วา คุณปริธํสเนน วา อุปวาทกา อโกฺกสกา ครหกาฯ มิจฺฉาทิฎฺฐิกาติ วิปรีตทสฺสนาฯ มิจฺฉาทิฎฺฐิกมฺมสมาทานาติ มิจฺฉาทิฎฺฐิเหตุภูตสมาทินฺนนานาวิธกมฺมาฯ เย จ มิจฺฉาทิฎฺฐิมูลเกสุ กายกมฺมาทีสุ อเญฺญปิ สมาทเปนฺติฯ ตตฺถ วจีมโนทุจฺจริตคฺคหเณน อริยูปวาทมิจฺฉาทิฎฺฐีสุ คหิตาสุปิ เตสํ ปุน วจนํ มหาสาวชฺชภาวทสฺสนตฺถํฯ มหาสาวโชฺช หิ อริยูปวาโท อานนฺตริยสทิโสฯ ยถาห –

    Kāyaduccaritenātiādīsu duṭṭhu caritaṃ, duṭṭhaṃ vā caritaṃ kilesapūtikattā duccaritaṃ. Kāyena duccaritaṃ, kāyato vā pavattaṃ duccaritaṃ kāyaduccaritaṃ. Evaṃ vacīmanoduccaritānipi daṭṭhabbāni. Samannāgatāti samaṅgībhūtā. Ariyānaṃupavādakāti buddhādīnaṃ ariyānaṃ, antamaso gihisotāpannānampi antimavatthunā vā guṇaparidhaṃsanena vā upavādakā akkosakā garahakā. Micchādiṭṭhikāti viparītadassanā. Micchādiṭṭhikammasamādānāti micchādiṭṭhihetubhūtasamādinnanānāvidhakammā. Ye ca micchādiṭṭhimūlakesu kāyakammādīsu aññepi samādapenti. Tattha vacīmanoduccaritaggahaṇena ariyūpavādamicchādiṭṭhīsu gahitāsupi tesaṃ puna vacanaṃ mahāsāvajjabhāvadassanatthaṃ. Mahāsāvajjo hi ariyūpavādo ānantariyasadiso. Yathāha –

    ‘‘เสยฺยถาปิ , สาริปุตฺต, ภิกฺขุ สีลสมฺปโนฺน สมาธิสมฺปโนฺน ปญฺญาสมฺปโนฺน ทิเฎฺฐว ธเมฺม อญฺญํ อาราเธยฺย, เอวํสมฺปทมิทํ, สาริปุตฺต, วทามิ ตํ วาจํ อปฺปหาย ตํ จิตฺตํ อปฺปหาย ตํ ทิฎฺฐิํ อปฺปฎินิสฺสชฺชิตฺวา ยถาภตํ นิกฺขิโตฺต เอวํ นิรเย’’ติ (ม. นิ. ๑.๑๔๙)ฯ

    ‘‘Seyyathāpi , sāriputta, bhikkhu sīlasampanno samādhisampanno paññāsampanno diṭṭheva dhamme aññaṃ ārādheyya, evaṃsampadamidaṃ, sāriputta, vadāmi taṃ vācaṃ appahāya taṃ cittaṃ appahāya taṃ diṭṭhiṃ appaṭinissajjitvā yathābhataṃ nikkhitto evaṃ niraye’’ti (ma. ni. 1.149).

    มิจฺฉาทิฎฺฐิโต จ มหาสาวชฺชตรํ นาม อญฺญํ นตฺถิฯ ยถาห –

    Micchādiṭṭhito ca mahāsāvajjataraṃ nāma aññaṃ natthi. Yathāha –

    ‘‘นาหํ, ภิกฺขเว, อญฺญํ เอกธมฺมมฺปิ สมนุปสฺสามิ เอวํ มหาสาวชฺชตรํ, ยถยิทํ, ภิกฺขเว, มิจฺฉาทิฎฺฐิฯ มิจฺฉาทิฎฺฐิปรมานิ, ภิกฺขเว, วชฺชานี’’ติ (อ. นิ. ๑.๓๑๐)ฯ

    ‘‘Nāhaṃ, bhikkhave, aññaṃ ekadhammampi samanupassāmi evaṃ mahāsāvajjataraṃ, yathayidaṃ, bhikkhave, micchādiṭṭhi. Micchādiṭṭhiparamāni, bhikkhave, vajjānī’’ti (a. ni. 1.310).

    กายสฺส เภทาติ อุปาทินฺนกฺขนฺธปริจฺจาคาฯ ปรํ มรณาติ ตทนนฺตรํ อภินิพฺพตฺตกฺขนฺธคฺคหเณฯ อถ วา กายสฺส เภทาติ ชีวิตินฺทฺริยสฺส อุปเจฺฉทาฯ ปรํ มรณาติ จุติโต อุทฺธํฯ อปายนฺติอาทิ สพฺพํ นิรยเววจนํฯ นิรโย หิ สคฺคโมกฺขเหตุภูตา ปุญฺญสมฺมตา อยา อเปตตฺตา, สุขานํ วา อายสฺส อภาวา อปาโยฯ ทุกฺขสฺส คติ ปฎิสรณนฺติ ทุคฺคติ, โทสพหุลตาย วา ทุเฎฺฐน กมฺมุนา นิพฺพตฺตา คติ ทุคฺคติฯ วิวสา นิปตนฺติ ตตฺถ ทุกฺกฎการิโนติ วินิปาโตฯ นตฺถิ เอตฺถ อสฺสาทสญฺญิโต อโยติ นิรโย

    Kāyassa bhedāti upādinnakkhandhapariccāgā. Paraṃ maraṇāti tadanantaraṃ abhinibbattakkhandhaggahaṇe. Atha vā kāyassa bhedāti jīvitindriyassa upacchedā. Paraṃ maraṇāti cutito uddhaṃ. Apāyantiādi sabbaṃ nirayavevacanaṃ. Nirayo hi saggamokkhahetubhūtā puññasammatā ayā apetattā, sukhānaṃ vā āyassa abhāvā apāyo. Dukkhassa gati paṭisaraṇanti duggati, dosabahulatāya vā duṭṭhena kammunā nibbattā gati duggati. Vivasā nipatanti tattha dukkaṭakārinoti vinipāto. Natthi ettha assādasaññito ayoti nirayo.

    อถ วา อปายคฺคหเณน ติรจฺฉานโยนิํ ทีเปติ, ติรจฺฉานโยนิ หิ อปาโย, สุคติโต อเปตตฺตาฯ น ทุคฺคติ, มเหสกฺขานํ นาคราชาทีนํ สมฺภวโตฯ ทุคฺคติคฺคหเณน เปตฺติวิสยํ ทีเปติ, โส หิ อปาโย เจว ทุคฺคติ จ สุคติโต อเปตตฺตา, ทุกฺขสฺส จ คติภูตตฺตาฯ น ตุ วินิปาโต อสุรสทิสํ อวินิปติตตฺตาฯ เปตมหิทฺธิกานญฺหิ วิมานานิปิ นิพฺพตฺตนฺติฯ วินิปาตคฺคหเณน อสุรกายํ ทีเปติ, โส หิ ยถาวุเตฺตนเตฺถน อปาโย เจว ทุคฺคติ จ สุขสมุสฺสเยหิ วินิปาตตฺตา วินิปาโตติ วุจฺจติฯ นิรยคฺคหเณน อวีจิอาทิอเนกปฺปการํ นิรยเมว ทีเปติฯ อุปปนฺนาติ อุปคตา, ตตฺถ อภินิพฺพตฺตาติ อธิปฺปาโยฯ วุตฺตวิปริยาเยน สุกฺกปโกฺข เวทิตโพฺพฯ

    Atha vā apāyaggahaṇena tiracchānayoniṃ dīpeti, tiracchānayoni hi apāyo, sugatito apetattā. Na duggati, mahesakkhānaṃ nāgarājādīnaṃ sambhavato. Duggatiggahaṇena pettivisayaṃ dīpeti, so hi apāyo ceva duggati ca sugatito apetattā, dukkhassa ca gatibhūtattā. Na tu vinipāto asurasadisaṃ avinipatitattā. Petamahiddhikānañhi vimānānipi nibbattanti. Vinipātaggahaṇena asurakāyaṃ dīpeti, so hi yathāvuttenatthena apāyo ceva duggati ca sukhasamussayehi vinipātattā vinipātoti vuccati. Nirayaggahaṇena avīciādianekappakāraṃ nirayameva dīpeti. Upapannāti upagatā, tattha abhinibbattāti adhippāyo. Vuttavipariyāyena sukkapakkho veditabbo.

    อยํ ปน วิเสโส – เอตฺถ สุคติคฺคหเณน มนุสฺสคติมฺปิ สงฺคณฺหาติฯ สคฺคคฺคหเณน เทวคติํ เอวฯ ตตฺถ สุนฺทรา คตีติ สุคติฯ รูปาทีหิ วิสเยหิ สุฎฺฐุ อโคฺคติ สโคฺคฯ โส สโพฺพปิ ลุชฺชนปลุชฺชนเฎฺฐน โลโกติ อยํ วจนโตฺถฯ อมุกาย กปฺปโกฎิยํ อุปจิตํ เตนายํ เอตรหิ, อนาคเต วา สคฺคูปโค อปายูปโค จาติ อฎฺฐมนวมพลญาณกิจฺจํ เอกชฺฌํ กตฺวา ทสฺสิตํฯ ตถา กปฺปสตสหเสฺสวาติอาทีสุปิฯ เตเนวาห – ‘‘อิมานิ ภควโต เทฺว ญาณานี’’ติฯ

    Ayaṃ pana viseso – ettha sugatiggahaṇena manussagatimpi saṅgaṇhāti. Saggaggahaṇena devagatiṃ eva. Tattha sundarā gatīti sugati. Rūpādīhi visayehi suṭṭhu aggoti saggo. So sabbopi lujjanapalujjanaṭṭhena lokoti ayaṃ vacanattho. Amukāya kappakoṭiyaṃ upacitaṃ tenāyaṃ etarahi, anāgate vā saggūpago apāyūpago cāti aṭṭhamanavamabalañāṇakiccaṃ ekajjhaṃ katvā dassitaṃ. Tathā kappasatasahassevātiādīsupi. Tenevāha – ‘‘imāni bhagavato dve ñāṇānī’’ti.

    นิหโต มาโร โพธิมูเลติ นิหโต สมุจฺฉิโนฺน กิเลสมาโร โพธิรุกฺขมูเลฯ อิทํ ภควโต ทสมํ พลนฺติ อิทํ กิเลสมารสฺส หนนํ สมุจฺฉินฺทนํ ภควโต ทสมํ พลํฯ เตเนวาห – ‘‘สพฺพาสวปริกฺขยํ ญาณ’’นฺติฯ ยสฺมา ปน ยทา อรหตฺตมเคฺคน สวาสนา สเพฺพ อาสวา เขปิตา, ตทา ภควตา สพฺพญฺญุตญฺญาณํ อธิคตํ นาม, ตสฺมา ‘‘ยํ สพฺพญฺญุตา ปตฺตา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ

    Nihato māro bodhimūleti nihato samucchinno kilesamāro bodhirukkhamūle. Idaṃ bhagavato dasamaṃ balanti idaṃ kilesamārassa hananaṃ samucchindanaṃ bhagavato dasamaṃ balaṃ. Tenevāha – ‘‘sabbāsavaparikkhayaṃ ñāṇa’’nti. Yasmā pana yadā arahattamaggena savāsanā sabbe āsavā khepitā, tadā bhagavatā sabbaññutaññāṇaṃ adhigataṃ nāma, tasmā ‘‘yaṃ sabbaññutā pattā’’tiādi vuttaṃ.

    อยํ ตาเวตฺถ อาจริยานํ สมานตฺถกถาฯ ปรวาที ปนาห – ‘‘ทสพลญาณํ นาม ปาฎิเอกฺกํ นตฺถิ, ยสฺมา ‘สพฺพญฺญุตา ปตฺตา วิทิตา สพฺพธมฺมา’ติ วุตฺตํ, ตสฺมา สพฺพญฺญุตญฺญาณเสฺสวายํ ปเภโท’’ติ, ตํ น ตถา ทฎฺฐพฺพํฯ อญฺญเมว หิ ทสพลญาณํ, อญฺญํ สพฺพญฺญุตญฺญาณํฯ ทสพลญาณญฺหิ สกสกกิจฺจเมว ชานาติ, สพฺพญฺญุตญฺญาณํ ตมฺปิ ตโต อวเสสมฺปิ ชานาติฯ ทสพลญาเณสุ หิ ปฐมํ การณาการณเมว ชานาติฯ ทุติยํ กมฺมปริเจฺฉทเมว, ตติยํ ธาตุนานตฺตการณเมว, จตุตฺถํ อชฺฌาสยาธิมุตฺติเมว, ปญฺจมํ กมฺมวิปากนฺตรเมว, ฉฎฺฐํ ฌานาทีหิ สทฺธิํ เตสํ สํกิเลสาทิเมว, สตฺตมํ อินฺทฺริยานํ ติกฺขมุทุภาวเมว, อฎฺฐมํ ปุเพฺพนิวุตฺถกฺขนฺธสนฺตติเมว, นวมํ สตฺตานํ จุตูปปาตเมว, ทสมํ สจฺจปริเจฺฉทเมวฯ สพฺพญฺญุตญฺญาณํ ปน เอเตหิ ชานิตพฺพญฺจ ตโต อุตฺตริญฺจ ปชานาติฯ เอเตสํ ปน กิจฺจํ สพฺพํ น กโรติ ฯ ตญฺหิ ฌานํ หุตฺวา อเปฺปตุํ น สโกฺกติ, อิทฺธิ หุตฺวา วิกุพฺพิตุํ น สโกฺกติ, มโคฺค หุตฺวา กิเลเส เขเปตุํ น สโกฺกติฯ

    Ayaṃ tāvettha ācariyānaṃ samānatthakathā. Paravādī panāha – ‘‘dasabalañāṇaṃ nāma pāṭiekkaṃ natthi, yasmā ‘sabbaññutā pattā viditā sabbadhammā’ti vuttaṃ, tasmā sabbaññutaññāṇassevāyaṃ pabhedo’’ti, taṃ na tathā daṭṭhabbaṃ. Aññameva hi dasabalañāṇaṃ, aññaṃ sabbaññutaññāṇaṃ. Dasabalañāṇañhi sakasakakiccameva jānāti, sabbaññutaññāṇaṃ tampi tato avasesampi jānāti. Dasabalañāṇesu hi paṭhamaṃ kāraṇākāraṇameva jānāti. Dutiyaṃ kammaparicchedameva, tatiyaṃ dhātunānattakāraṇameva, catutthaṃ ajjhāsayādhimuttimeva, pañcamaṃ kammavipākantarameva, chaṭṭhaṃ jhānādīhi saddhiṃ tesaṃ saṃkilesādimeva, sattamaṃ indriyānaṃ tikkhamudubhāvameva, aṭṭhamaṃ pubbenivutthakkhandhasantatimeva, navamaṃ sattānaṃ cutūpapātameva, dasamaṃ saccaparicchedameva. Sabbaññutaññāṇaṃ pana etehi jānitabbañca tato uttariñca pajānāti. Etesaṃ pana kiccaṃ sabbaṃ na karoti . Tañhi jhānaṃ hutvā appetuṃ na sakkoti, iddhi hutvā vikubbituṃ na sakkoti, maggo hutvā kilese khepetuṃ na sakkoti.

    อปิจ ปรวาที เอวํ ปุจฺฉิตโพฺพ ‘‘ทสพลญาณํ นาเมตํ สวิตกฺกสวิจารํ อวิตกฺกวิจารมตฺตํ อวิตกฺกอวิจารํ กามาวจรํ รูปาวจรํ อรูปาวจรํ โลกิยํ โลกุตฺตร’’นฺติฯ ชานโนฺต ‘‘ปฎิปาฎิยา สตฺต สวิตกฺกสวิจารานี’’ติ วกฺขติ, ตโต ปรานิ เทฺว อวิตกฺกอวิจารานีติ, อาสวกฺขยญาณํ สิยา สวิตกฺกสวิจารํ, สิยา อวิตกฺกวิจารมตฺตํ, สิยา อวิตกฺกอวิจารนฺติฯ ตถา ปฎิปาฎิยา สตฺต กามาวจรานิ, ตโต เทฺว รูปาวจรานิ, อวสาเน เอกํ โลกุตฺตรนฺติ วกฺขติฯ สพฺพญฺญุตญฺญาณํ ปน สวิตกฺกสวิจารเมว กามาวจรเมว โลกิยเมวาติ นิฎฺฐเมตฺถ คนฺตพฺพํฯ

    Apica paravādī evaṃ pucchitabbo ‘‘dasabalañāṇaṃ nāmetaṃ savitakkasavicāraṃ avitakkavicāramattaṃ avitakkaavicāraṃ kāmāvacaraṃ rūpāvacaraṃ arūpāvacaraṃ lokiyaṃ lokuttara’’nti. Jānanto ‘‘paṭipāṭiyā satta savitakkasavicārānī’’ti vakkhati, tato parāni dve avitakkaavicārānīti, āsavakkhayañāṇaṃ siyā savitakkasavicāraṃ, siyā avitakkavicāramattaṃ, siyā avitakkaavicāranti. Tathā paṭipāṭiyā satta kāmāvacarāni, tato dve rūpāvacarāni, avasāne ekaṃ lokuttaranti vakkhati. Sabbaññutaññāṇaṃ pana savitakkasavicārameva kāmāvacarameva lokiyamevāti niṭṭhamettha gantabbaṃ.

    วิจยหารสมฺปาตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Vicayahārasampātavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / เนตฺติปฺปกรณปาฬิ • Nettippakaraṇapāḷi / ๒. วิจยหารสมฺปาโต • 2. Vicayahārasampāto

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / ขุทฺทกนิกาย (ฎีกา) • Khuddakanikāya (ṭīkā) / เนตฺติปฺปกรณ-ฎีกา • Nettippakaraṇa-ṭīkā / ๒. วิจยหารสมฺปาตวณฺณนา • 2. Vicayahārasampātavaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / ขุทฺทกนิกาย (ฎีกา) • Khuddakanikāya (ṭīkā) / เนตฺติวิภาวินี • Nettivibhāvinī / ๒. วิจยหารสมฺปาตวิภาวนา • 2. Vicayahārasampātavibhāvanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact