Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā

    ๗. วิหารการสิกฺขาปทวณฺณนา

    7. Vihārakārasikkhāpadavaṇṇanā

    ๓๖๕. สตฺตเม เอวํนามเก นคเรติ โกสมฺพีนามเกฯ ตสฺส กิร นครสฺส อารามโปกฺขรณีอาทีสุ เตสุ เตสุ ฐาเนสุ โกสมฺพรุกฺขาว อุสฺสนฺนา อเหสุํ, ตสฺมา โกสมฺพีติ สงฺขฺยํ อคมาสิฯ กุสุมฺพสฺส นาม อิสิโน อสฺสมโต อวิทูเร มาปิตตฺตาติ เอเกฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – กุสุมฺพสฺส อิสิโน นิวาสภูมิ โกสมฺพี, ตสฺส จ อวิทูเร ภวตฺตา นครํ โกสมฺพีติ สงฺขฺยํ คตนฺติฯ โฆสิตนามเกน กิร เสฎฺฐินา โส การิโตติ เอตฺถ โก โฆสิตเสฎฺฐิ, กถญฺจาเนน โส อาราโม การิโตติ? ปุเพฺพ กิร อทฺทิลรฎฺฐํ นาม อโหสิฯ ตโต โกตูหลโก นาม ทลิโทฺท ฉาตกภเยน สปุตฺตทาโร สุภิกฺขํ รฎฺฐํ คจฺฉโนฺต ปุตฺตํ วหิตุํ อสโกฺกโนฺต ฉเฑฺฑตฺวา อคมาสิฯ มาตา นิวตฺติตฺวา ตํ คเหตฺวา คตาฯ เต เอกํ โคปาลกคามํ ปวิสิํสุฯ โคปาลกานญฺจ ตทา พหุปายาโส ปฎิยโตฺต โหติ, ตโต ปายาสํ ลภิตฺวา ภุญฺชิํสุฯ อถ โส ปุริโส พหุตรํ ปายาสํ ภุโตฺต ชีราเปตุํ อสโกฺกโนฺต รตฺติภาเค กาลํ กตฺวา ตเตฺถว สุนขิยา กุจฺฉิสฺมิํ ปฎิสนฺธิํ คเหตฺวา กุกฺกุโร ชาโต, โส โคปาลกสฺส ปิโย อโหสิฯ โคปาลโก จ ปเจฺจกพุทฺธํ อุปฎฺฐาติฯ ปเจฺจกพุโทฺธปิ ภตฺตกิจฺจกาเล กุกฺกุรสฺส เอกํ ปิณฺฑํ เทติฯ โส ปเจฺจกพุเทฺธ สิเนหํ อุปฺปาเทตฺวา โคปาลเกน สทฺธิํ ปณฺณสาลมฺปิ คจฺฉติ, โคปาลเก อสนฺนิหิเต ภตฺตเวลายํ สยเมว คนฺตฺวา กาลาโรจนตฺถํ ปณฺณสาลทฺวาเร ภุสฺสติ, อนฺตรามเคฺคปิ จณฺฑมิเค ทิสฺวา ภุสฺสิตฺวา ปลาเปติฯ โส ปเจฺจกพุเทฺธ มุทุเกน จิเตฺตน กาลํ กตฺวา เทวโลเก นิพฺพตฺติฯ ตตฺราสฺส ‘‘โฆสกเทวปุโตฺต’’เตฺวว นามํ อโหสิฯ

    365. Sattame evaṃnāmake nagareti kosambīnāmake. Tassa kira nagarassa ārāmapokkharaṇīādīsu tesu tesu ṭhānesu kosambarukkhāva ussannā ahesuṃ, tasmā kosambīti saṅkhyaṃ agamāsi. Kusumbassa nāma isino assamato avidūre māpitattāti eke. Idaṃ vuttaṃ hoti – kusumbassa isino nivāsabhūmi kosambī, tassa ca avidūre bhavattā nagaraṃ kosambīti saṅkhyaṃ gatanti. Ghositanāmakena kira seṭṭhinā so kāritoti ettha ko ghositaseṭṭhi, kathañcānena so ārāmo kāritoti? Pubbe kira addilaraṭṭhaṃ nāma ahosi. Tato kotūhalako nāma daliddo chātakabhayena saputtadāro subhikkhaṃ raṭṭhaṃ gacchanto puttaṃ vahituṃ asakkonto chaḍḍetvā agamāsi. Mātā nivattitvā taṃ gahetvā gatā. Te ekaṃ gopālakagāmaṃ pavisiṃsu. Gopālakānañca tadā bahupāyāso paṭiyatto hoti, tato pāyāsaṃ labhitvā bhuñjiṃsu. Atha so puriso bahutaraṃ pāyāsaṃ bhutto jīrāpetuṃ asakkonto rattibhāge kālaṃ katvā tattheva sunakhiyā kucchismiṃ paṭisandhiṃ gahetvā kukkuro jāto, so gopālakassa piyo ahosi. Gopālako ca paccekabuddhaṃ upaṭṭhāti. Paccekabuddhopi bhattakiccakāle kukkurassa ekaṃ piṇḍaṃ deti. So paccekabuddhe sinehaṃ uppādetvā gopālakena saddhiṃ paṇṇasālampi gacchati, gopālake asannihite bhattavelāyaṃ sayameva gantvā kālārocanatthaṃ paṇṇasāladvāre bhussati, antarāmaggepi caṇḍamige disvā bhussitvā palāpeti. So paccekabuddhe mudukena cittena kālaṃ katvā devaloke nibbatti. Tatrāssa ‘‘ghosakadevaputto’’tveva nāmaṃ ahosi.

    โส เทวโลกโต จวิตฺวา โกสมฺพิยํ เอกสฺมิํ กุลฆเร นิพฺพตฺติฯ ตํ อปุตฺตโก กิร เสฎฺฐิ ตสฺส มาตาปิตูนํ ธนํ ทตฺวา ปุตฺตํ กตฺวา อคฺคเหสิฯ อถ อตฺตโน ปุเตฺต ชาเต สตฺตกฺขตฺตุํ ฆาตาเปตุํ อุปกฺกมิฯ โส ปุญฺญวนฺตตาย สตฺตสุปิ ฐาเนสุ มรณํ อปฺปตฺวา อวสาเน เอกาย เสฎฺฐิธีตาย เวยฺยตฺติเยน ลทฺธชีวิโก อปรภาเค ปิตุ อจฺจเยน เสฎฺฐิฎฺฐานํ ปตฺวา โฆสิตเสฎฺฐิ นาม ชาโตฯ อเญฺญปิ โกสมฺพิยํ กุกฺกุฎเสฎฺฐิ, ปาวาริยเสฎฺฐีติ เทฺว เสฎฺฐิโน อตฺถิ, อิมินา สทฺธิํ ตโย อเหสุํฯ

    So devalokato cavitvā kosambiyaṃ ekasmiṃ kulaghare nibbatti. Taṃ aputtako kira seṭṭhi tassa mātāpitūnaṃ dhanaṃ datvā puttaṃ katvā aggahesi. Atha attano putte jāte sattakkhattuṃ ghātāpetuṃ upakkami. So puññavantatāya sattasupi ṭhānesu maraṇaṃ appatvā avasāne ekāya seṭṭhidhītāya veyyattiyena laddhajīviko aparabhāge pitu accayena seṭṭhiṭṭhānaṃ patvā ghositaseṭṭhi nāma jāto. Aññepi kosambiyaṃ kukkuṭaseṭṭhi, pāvāriyaseṭṭhīti dve seṭṭhino atthi, iminā saddhiṃ tayo ahesuṃ.

    เตน จ สมเยน เตสํ สหายกานํ เสฎฺฐีนํ กุลูปกา ปญฺจสตา อิสโย ปพฺพตปาเท วสิํสุฯ เต กาเลน กาลํ โลณมฺพิลเสวนตฺถํ มนุสฺสปถํ อาคจฺฉนฺติฯ อเถกสฺมิํ วาเร คิมฺหสมเย มนุสฺสปถํ อาคจฺฉนฺตา นิรุทกํ มหากนฺตารํ อติกฺกมิตฺวา กนฺตารปริโยสาเน มหนฺตํ นิโคฺรธรุกฺขํ ทิสฺวา จิเนฺตสุํ ‘‘ยาทิโส อยํ รุโกฺข, อทฺธา เอตฺถ มเหสกฺขาย เทวตาย ภวิตพฺพํ, สาธุ วตสฺส, สเจ โน ปานียํ วา ปริโภชนียํ วา ทเทยฺยา’’ติฯ เทวตา อิสีนํ อชฺฌาสยํ วิทิตฺวา ‘‘อิเมสํ สงฺคหํ กริสฺสามี’’ติ อตฺตโน อานุภาเวน วิฎปนฺตรโต นงฺคลสีสมตฺตํ อุทกธารํ ปวเตฺตสิฯ อิสิคโณ รชตกฺขนฺธสทิสํ อุทกวฎฺฎิํ ทิสฺวา อตฺตโน ภาชเนหิ อุทกํ คเหตฺวา ปริโภคํ กตฺวา จิเนฺตสิ ‘‘เทวตาย อมฺหากํ ปริโภคุทกํ ทินฺนํ, อิทํ ปน อคามกํ มหารญฺญํ, สาธุ วตสฺส, สเจ โน อาหารมฺปิ ทเทยฺยา’’ติฯ เทวตา อิสีนํ อุปกปฺปนวเสน ทิพฺพานิ ยาคุขชฺชกาทีนิ ทตฺวา สนฺตเปฺปสิฯ

    Tena ca samayena tesaṃ sahāyakānaṃ seṭṭhīnaṃ kulūpakā pañcasatā isayo pabbatapāde vasiṃsu. Te kālena kālaṃ loṇambilasevanatthaṃ manussapathaṃ āgacchanti. Athekasmiṃ vāre gimhasamaye manussapathaṃ āgacchantā nirudakaṃ mahākantāraṃ atikkamitvā kantārapariyosāne mahantaṃ nigrodharukkhaṃ disvā cintesuṃ ‘‘yādiso ayaṃ rukkho, addhā ettha mahesakkhāya devatāya bhavitabbaṃ, sādhu vatassa, sace no pānīyaṃ vā paribhojanīyaṃ vā dadeyyā’’ti. Devatā isīnaṃ ajjhāsayaṃ viditvā ‘‘imesaṃ saṅgahaṃ karissāmī’’ti attano ānubhāvena viṭapantarato naṅgalasīsamattaṃ udakadhāraṃ pavattesi. Isigaṇo rajatakkhandhasadisaṃ udakavaṭṭiṃ disvā attano bhājanehi udakaṃ gahetvā paribhogaṃ katvā cintesi ‘‘devatāya amhākaṃ paribhogudakaṃ dinnaṃ, idaṃ pana agāmakaṃ mahāraññaṃ, sādhu vatassa, sace no āhārampi dadeyyā’’ti. Devatā isīnaṃ upakappanavasena dibbāni yāgukhajjakādīni datvā santappesi.

    อิสโย จินฺตยิํสุ ‘‘เทวตาย อมฺหากํ ปริโภคุทกมฺปิ โภชนมฺปิ สพฺพํ ทินฺนํ, สาธุ วตสฺส , สเจ โน อตฺตานํ ทเสฺสยฺยา’’ติฯ เทวตา เตสํ อชฺฌาสยํ วิทิตฺวา อุปฑฺฒกายํ ทเสฺสสิฯ เทวเต มหตี เต สมฺปตฺติ, กิํ กมฺมํ กตฺวา อิมํ สมฺปตฺติํ อธิคตาสีติฯ นาติมหนฺตํ ปริตฺตกํ กมฺมํ กตฺวาติฯ อุปฑฺฒุโปสถกมฺมํ นิสฺสาย หิ เทวตาย สมฺปตฺติ ลทฺธาฯ อนาถปิณฺฑิกสฺส กิร เคเห อยํ เทวปุโตฺต กมฺมกาโร อโหสิฯ เสฎฺฐิสฺส หิ เคเห อุโปสถทิวเสสุ อนฺตมโส ทาสกมฺมกาเร อุปาทาย สโพฺพ ชโน อุโปสถิโก โหติฯ เอกทิวสํ อยํ กมฺมกาโร เอกโกว ปาโต อุฎฺฐาย กมฺมนฺตํ คโตฯ มหาเสฎฺฐิ นิวาปํ ลภมานมนุเสฺส สลฺลเกฺขโนฺต เอตเสฺสเวกสฺส อรญฺญํ คตภาวํ ญตฺวา อสฺส สายมาสตฺถาย นิวาปํ อทาสิฯ ภตฺตการทาสี เอกเสฺสว ภตฺตํ ปจิตฺวา อรญฺญโต อาคตสฺส ภตฺตํ วเฑฺฒตฺวา อทาสิฯ กมฺมกาโร จินฺตยิ ‘‘อเญฺญสุ ทิวเสสุ อิมสฺมิํ กาเล เคหํ เอกสทฺทํ อโหสิ, อชฺช อติวิย สนฺนิสินฺนํ, กิํ นุ โข เอต’’นฺติฯ ตสฺส สา อาจิกฺขิ ‘‘อชฺช อิมสฺมิํ เคเห สเพฺพ มนุสฺสา อุโปสถิกา, มหาเสฎฺฐิ ตุเยฺหเวกสฺส นิวาปํ อทาสี’’ติฯ เอวํ อมฺมาติฯ อาม สามีติฯ ‘‘อิมสฺมิํ กาเล อุโปสถํ สมาทินฺนสฺส อุโปสถกมฺมํ โหติ, น โหตี’’ติ มหาเสฎฺฐิํ ปุจฺฉ อมฺมาติฯ ตาย คนฺตฺวา ปุจฺฉิโต มหาเสฎฺฐิ อาห – ‘‘สกลอุโปสถกมฺมํ น โหติ, อุปฑฺฒกมฺมํ ปน โหติ, อุโปสถิโก โหตี’’ติฯ กมฺมกาโร ภตฺตํ อภุญฺชิตฺวา มุขํ วิกฺขาเลตฺวา อุโปสถิโก หุตฺวา วสนฎฺฐานํ คเหตฺวา นิปชฺชิฯ ตสฺส อาหารปริกฺขีณกายสฺส รตฺติํ วาโต กุปฺปิฯ โส ปจฺจูสสมเย กาลํ กตฺวา อุปฑฺฒุโปสถกมฺมนิสฺสเนฺทน มหาวตฺตนิอฎวิทฺวาเร นิโคฺรธรุกฺขเทวปุโตฺต หุตฺวา นิพฺพตฺติฯ

    Isayo cintayiṃsu ‘‘devatāya amhākaṃ paribhogudakampi bhojanampi sabbaṃ dinnaṃ, sādhu vatassa , sace no attānaṃ dasseyyā’’ti. Devatā tesaṃ ajjhāsayaṃ viditvā upaḍḍhakāyaṃ dassesi. Devate mahatī te sampatti, kiṃ kammaṃ katvā imaṃ sampattiṃ adhigatāsīti. Nātimahantaṃ parittakaṃ kammaṃ katvāti. Upaḍḍhuposathakammaṃ nissāya hi devatāya sampatti laddhā. Anāthapiṇḍikassa kira gehe ayaṃ devaputto kammakāro ahosi. Seṭṭhissa hi gehe uposathadivasesu antamaso dāsakammakāre upādāya sabbo jano uposathiko hoti. Ekadivasaṃ ayaṃ kammakāro ekakova pāto uṭṭhāya kammantaṃ gato. Mahāseṭṭhi nivāpaṃ labhamānamanusse sallakkhento etassevekassa araññaṃ gatabhāvaṃ ñatvā assa sāyamāsatthāya nivāpaṃ adāsi. Bhattakāradāsī ekasseva bhattaṃ pacitvā araññato āgatassa bhattaṃ vaḍḍhetvā adāsi. Kammakāro cintayi ‘‘aññesu divasesu imasmiṃ kāle gehaṃ ekasaddaṃ ahosi, ajja ativiya sannisinnaṃ, kiṃ nu kho eta’’nti. Tassa sā ācikkhi ‘‘ajja imasmiṃ gehe sabbe manussā uposathikā, mahāseṭṭhi tuyhevekassa nivāpaṃ adāsī’’ti. Evaṃ ammāti. Āma sāmīti. ‘‘Imasmiṃ kāle uposathaṃ samādinnassa uposathakammaṃ hoti, na hotī’’ti mahāseṭṭhiṃ puccha ammāti. Tāya gantvā pucchito mahāseṭṭhi āha – ‘‘sakalauposathakammaṃ na hoti, upaḍḍhakammaṃ pana hoti, uposathiko hotī’’ti. Kammakāro bhattaṃ abhuñjitvā mukhaṃ vikkhāletvā uposathiko hutvā vasanaṭṭhānaṃ gahetvā nipajji. Tassa āhāraparikkhīṇakāyassa rattiṃ vāto kuppi. So paccūsasamaye kālaṃ katvā upaḍḍhuposathakammanissandena mahāvattaniaṭavidvāre nigrodharukkhadevaputto hutvā nibbatti.

    โส ตํ ปวตฺติํ อิสีนํ อาโรเจสิฯ อิสโย ปุจฺฉิํสุ ‘‘ตุเมฺหหิ มยํ ‘พุโทฺธ ธโมฺม สโงฺฆ’ติ อสฺสุตปุพฺพํ สาวิตา, อุปฺปโนฺน นุ โข โลเก พุโทฺธ’’ติฯ อาม, ภเนฺต, อุปฺปโนฺนติฯ อิทานิ กุหิํ วสตีติฯ สาวตฺถิยํ นิสฺสาย เชตวเน, ภเนฺตติฯ อิสโย ‘‘ติฎฺฐถ ตุเมฺห, มยํ สตฺถารํ ปสฺสิสฺสามา’’ติ หฎฺฐตุฎฺฐา นิกฺขมิตฺวา อนุปุเพฺพน โกสมฺพีนครํ สมฺปาปุณิํสุฯ มหาเสฎฺฐิโน ‘‘อิสโย อาคตา’’ติ ปจฺจุคฺคมนํ กตฺวา ‘‘เสฺว อมฺหากํ ภิกฺขํ คณฺหถ, ภเนฺต’’ติ นิมเนฺตตฺวา ปุนทิวเส อิสิคณสฺส มหาทานํ อทํสุฯ อิสโย ‘‘ภุตฺวาว คจฺฉามา’’ติ อาปุจฺฉิํสุฯ ภเนฺต, ตุเมฺห อญฺญสฺมิํ กาเล เอกมฺปิ มาสํ เทฺวปิ ตโยปิ จตฺตาโรปิ มาเส วสิตฺวา คจฺฉถ, อิมสฺมิํ ปน วาเร หิโยฺย อาคนฺตฺวา ‘‘อเชฺชว คจฺฉามา’’ติ วทถ, กิํ อิทนฺติฯ อาม คหปตโย พุโทฺธ โลเก อุปฺปโนฺน, น โข ปน สกฺกา ชีวิตนฺตราโย ชานิตุํ, เตน มยํ ตุริตา คจฺฉามาติ ฯ เตน หิ, ภเนฺต, มยมฺปิ อาคจฺฉาม, อเมฺหหิ สทฺธิํเยว คจฺฉถาติฯ ‘‘ตุเมฺห อคาริยา นาม มหาชฎา, ติฎฺฐถ ตุเมฺห, มยํ ปุเรตรํ คมิสฺสามา’’ติ นิกฺขมิตฺวา เอกฎฺฐาเน เทฺว ทิวสานิ อวสิตฺวา ตุริตคมเนน สาวตฺถิํ ปตฺวา เชตวนวิหาเร สตฺถุ สนฺติกเมว อคมํสุฯ ตตฺถ มธุรธมฺมกถํ สุตฺวา สเพฺพว ปพฺพชิตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณิํสุฯ

    So taṃ pavattiṃ isīnaṃ ārocesi. Isayo pucchiṃsu ‘‘tumhehi mayaṃ ‘buddho dhammo saṅgho’ti assutapubbaṃ sāvitā, uppanno nu kho loke buddho’’ti. Āma, bhante, uppannoti. Idāni kuhiṃ vasatīti. Sāvatthiyaṃ nissāya jetavane, bhanteti. Isayo ‘‘tiṭṭhatha tumhe, mayaṃ satthāraṃ passissāmā’’ti haṭṭhatuṭṭhā nikkhamitvā anupubbena kosambīnagaraṃ sampāpuṇiṃsu. Mahāseṭṭhino ‘‘isayo āgatā’’ti paccuggamanaṃ katvā ‘‘sve amhākaṃ bhikkhaṃ gaṇhatha, bhante’’ti nimantetvā punadivase isigaṇassa mahādānaṃ adaṃsu. Isayo ‘‘bhutvāva gacchāmā’’ti āpucchiṃsu. Bhante, tumhe aññasmiṃ kāle ekampi māsaṃ dvepi tayopi cattāropi māse vasitvā gacchatha, imasmiṃ pana vāre hiyyo āgantvā ‘‘ajjeva gacchāmā’’ti vadatha, kiṃ idanti. Āma gahapatayo buddho loke uppanno, na kho pana sakkā jīvitantarāyo jānituṃ, tena mayaṃ turitā gacchāmāti . Tena hi, bhante, mayampi āgacchāma, amhehi saddhiṃyeva gacchathāti. ‘‘Tumhe agāriyā nāma mahājaṭā, tiṭṭhatha tumhe, mayaṃ puretaraṃ gamissāmā’’ti nikkhamitvā ekaṭṭhāne dve divasāni avasitvā turitagamanena sāvatthiṃ patvā jetavanavihāre satthu santikameva agamaṃsu. Tattha madhuradhammakathaṃ sutvā sabbeva pabbajitvā arahattaṃ pāpuṇiṃsu.

    เตปิ ตโย เสฎฺฐิโน ปญฺจหิ ปญฺจหิ สกฎสเตหิ สปฺปิมธุผาณิตาทีนิ เจว ปฎฺฎุณฺณทุกูลาทีนิ จ อาทาย โกสมฺพิโต นิกฺขมิตฺวา อนุปุเพฺพน สาวตฺถิํ ปตฺวา เชตวนสามเนฺต ขนฺธาวารํ พนฺธิตฺวา สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา วนฺทิตฺวา ปฎิสนฺถารํ กตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิํสุฯ สตฺถา ติณฺณมฺปิ สหายานํ มธุรธมฺมกถํ กเถสิฯ เต พลวโสมนสฺสชาตา สตฺถารํ นิมเนฺตตฺวา ปุนทิวเส มหาทานํ อทํสุ, ปุน นิมเนฺตตฺวา ปุนทิวเสติ เอวํ อฑฺฒมาสํ ทานํ ทตฺวา ‘‘ภเนฺต, อมฺหากํ ชนปทํ อาคมนาย ปฎิญฺญํ เทถา’’ติ ปาทมูเล นิปชฺชิํสุฯ ภควา ‘‘สุญฺญาคาเร โข คหปตโย ตถาคตา อภิรมนฺตี’’ติ อาหฯ ‘‘เอตฺตาวตา ปฎิญฺญา ทินฺนา นาม โหตี’’ติ คหปตโย สลฺลเกฺขตฺวา ‘‘ทินฺนา โน ภควตา ปฎิญฺญา’’ติ ปาทมูเล นิปชฺชิตฺวา ทสพลํ วนฺทิตฺวา นิกฺขมิตฺวา อนฺตรามเคฺค โยชเน โยชเน วิหารํ กาเรตฺวา อนุปุเพฺพน โกสมฺพิํ ปตฺวา ‘‘โลเก พุโทฺธ อุปฺปโนฺน’’ติ กถยิํสุฯ ตโย ชนา อตฺตโน อตฺตโน อาราเม มหนฺตํ ธนปริจฺจาคํ กตฺวา ภควโต วิหาเร การาเปสุํฯ ตตฺถ กุกฺกุฎเสฎฺฐินา การิโต กุกฺกุฎาราโม นาม อโหสิฯ ปาวาริกเสฎฺฐินา อมฺพวเน การิโต ปาวาริกมฺพวนํ นามฯ โฆสิเตน การิโต โฆสิตาราโม นาม อโหสิฯ ตํ สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘โฆสิตนามเกน กิร เสฎฺฐินา โส การิโต’’ติฯ

    Tepi tayo seṭṭhino pañcahi pañcahi sakaṭasatehi sappimadhuphāṇitādīni ceva paṭṭuṇṇadukūlādīni ca ādāya kosambito nikkhamitvā anupubbena sāvatthiṃ patvā jetavanasāmante khandhāvāraṃ bandhitvā satthu santikaṃ gantvā vanditvā paṭisanthāraṃ katvā ekamantaṃ nisīdiṃsu. Satthā tiṇṇampi sahāyānaṃ madhuradhammakathaṃ kathesi. Te balavasomanassajātā satthāraṃ nimantetvā punadivase mahādānaṃ adaṃsu, puna nimantetvā punadivaseti evaṃ aḍḍhamāsaṃ dānaṃ datvā ‘‘bhante, amhākaṃ janapadaṃ āgamanāya paṭiññaṃ dethā’’ti pādamūle nipajjiṃsu. Bhagavā ‘‘suññāgāre kho gahapatayo tathāgatā abhiramantī’’ti āha. ‘‘Ettāvatā paṭiññā dinnā nāma hotī’’ti gahapatayo sallakkhetvā ‘‘dinnā no bhagavatā paṭiññā’’ti pādamūle nipajjitvā dasabalaṃ vanditvā nikkhamitvā antarāmagge yojane yojane vihāraṃ kāretvā anupubbena kosambiṃ patvā ‘‘loke buddho uppanno’’ti kathayiṃsu. Tayo janā attano attano ārāme mahantaṃ dhanapariccāgaṃ katvā bhagavato vihāre kārāpesuṃ. Tattha kukkuṭaseṭṭhinā kārito kukkuṭārāmo nāma ahosi. Pāvārikaseṭṭhinā ambavane kārito pāvārikambavanaṃ nāma. Ghositena kārito ghositārāmo nāma ahosi. Taṃ sandhāya vuttaṃ ‘‘ghositanāmakena kira seṭṭhinā so kārito’’ti.

    โย อภินิกฺขมนกาเล สทฺธิํ นิกฺขโนฺต, ยสฺส จ สตฺถารา ปรินิพฺพานกาเล พฺรหฺมทโณฺฑ อาณโตฺต, ตํ สนฺธายาห ‘‘โพธิสตฺตกาเล อุปฎฺฐากฉนฺนสฺสา’’ติฯ อิมินา จ โย มชฺฌิมนิกาเย ฉโนฺนวาทสุเตฺต (ม. นิ. ๓.๓๘๙ อาทโย) คิลาโน หุตฺวา ธมฺมเสนาปตินา โอวทิยมาโนปิ มารณนฺติกเวทนํ อธิวาเสตุํ อสโกฺกโนฺต ติเณฺหน สเตฺถน กณฺฐนาฬิํ ฉินฺทิตฺวา มรณภเย อุปฺปเนฺน คตินิมิเตฺต จ อุปฎฺฐิเต อตฺตโน ปุถุชฺชนภาวํ ญตฺวา สํวิโคฺค วิปสฺสนํ ปฎฺฐเปตฺวา สงฺขาเร ปริคฺคณฺหโนฺต อรหตฺตํ ปตฺวา สมสีสี หุตฺวา ปรินิพฺพายิ, อยํ โส น โหตีติ ทเสฺสติฯ ปูชาวจนปฺปโยเค กตฺตริ สามิวจนสฺสปิ อิจฺฉิตตฺตา อาห ‘‘คามสฺส วา ปูชิต’’นฺติฯ ลกฺขณํ ปเนตฺถ สทฺทสตฺถานุสารโต เวทิตพฺพํฯ เอเกโก โกฎฺฐาโสติ เอเกโก ภาโคฯ

    Yo abhinikkhamanakāle saddhiṃ nikkhanto, yassa ca satthārā parinibbānakāle brahmadaṇḍo āṇatto, taṃ sandhāyāha ‘‘bodhisattakāle upaṭṭhākachannassā’’ti. Iminā ca yo majjhimanikāye channovādasutte (ma. ni. 3.389 ādayo) gilāno hutvā dhammasenāpatinā ovadiyamānopi māraṇantikavedanaṃ adhivāsetuṃ asakkonto tiṇhena satthena kaṇṭhanāḷiṃ chinditvā maraṇabhaye uppanne gatinimitte ca upaṭṭhite attano puthujjanabhāvaṃ ñatvā saṃviggo vipassanaṃ paṭṭhapetvā saṅkhāre pariggaṇhanto arahattaṃ patvā samasīsī hutvā parinibbāyi, ayaṃ so na hotīti dasseti. Pūjāvacanappayoge kattari sāmivacanassapi icchitattā āha ‘‘gāmassa vā pūjita’’nti. Lakkhaṇaṃ panettha saddasatthānusārato veditabbaṃ. Ekeko koṭṭhāsoti ekeko bhāgo.

    ๓๖๖. กิริยโต สมุฎฺฐานภาโวติ เกวลํ กิริยามตฺตโต สมุฎฺฐานภาวํ ปฎิกฺขิปติ, วตฺถุโน ปน อเทสนาย กุฎิกรณกิริยาย จ สมุฎฺฐานโต กิริยากิริยโต สมุฎฺฐาตีติ เวทิตพฺพํ ฯ อิมสฺมิํ สิกฺขาปเท ภิกฺขู วา อนภิเนยฺยาติ เอตฺถ วา-สโทฺท ‘‘อยํ วา โส มหานาโค’’ติอาทีสุ วิย อวธารณโตฺถติ ทฎฺฐโพฺพฯ

    366.Kiriyato samuṭṭhānabhāvoti kevalaṃ kiriyāmattato samuṭṭhānabhāvaṃ paṭikkhipati, vatthuno pana adesanāya kuṭikaraṇakiriyāya ca samuṭṭhānato kiriyākiriyato samuṭṭhātīti veditabbaṃ . Imasmiṃ sikkhāpade bhikkhū vā anabhineyyāti ettha -saddo ‘‘ayaṃ vā so mahānāgo’’tiādīsu viya avadhāraṇatthoti daṭṭhabbo.

    วิหารการสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Vihārakārasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวิภงฺค • Mahāvibhaṅga / ๗. วิหารการสิกฺขาปทํ • 7. Vihārakārasikkhāpadaṃ

    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / วินยปิฎก (อฎฺฐกถา) • Vinayapiṭaka (aṭṭhakathā) / มหาวิภงฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvibhaṅga-aṭṭhakathā / ๗. วิหารการสิกฺขาปทวณฺณนา • 7. Vihārakārasikkhāpadavaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā / ๗. วิหารการสิกฺขาปทวณฺณนา • 7. Vihārakārasikkhāpadavaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / ๗. วิหารการสิกฺขาปทวณฺณนา • 7. Vihārakārasikkhāpadavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact