Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถา • Suttanipāta-aṭṭhakathā

    ๑๑. วิชยสุตฺตวณฺณนา

    11. Vijayasuttavaṇṇanā

    จรํ วา ยทิ วา ติฎฺฐนฺติ นนฺทสุตฺตํฯ ‘‘วิชยสุตฺตํ กายวิจฺฉนฺทนิกสุตฺต’’นฺติปิ วุจฺจติฯ กา อุปฺปตฺติ? อิทํ กิร สุตฺตํ ทฺวีสุ ฐาเนสุ วุตฺตํ, ตสฺมา อสฺส ทุวิธา อุปฺปตฺติฯ ตตฺถ ภควตา อนุปุเพฺพน กปิลวตฺถุํ อนุปฺปตฺวา, สากิเย วิเนตฺวา นนฺทาทโย ปพฺพาเชตฺวา, อนุญฺญาตาย มาตุคามสฺส ปพฺพชฺชาย อานนฺทเตฺถรสฺส ภคินี นนฺทา, เขมกสกฺกรโญฺญ ธีตา อภิรูปนนฺทา, ชนปทกลฺยาณี นนฺทาติ ติโสฺส นนฺทาโย ปพฺพชิํสุฯ เตน จ สมเยน ภควา สาวตฺถิยํ วิหรติฯ อภิรูปนนฺทา อภิรูปา เอว อโหสิ ทสฺสนียา ปาสาทิกา, เตเนวสฺสา อภิรูปนนฺทาติ นามมกํสุฯ ชนปทกลฺยาณี นนฺทาปิ รูเปน อตฺตนา สทิสํ น ปสฺสติฯ ตา อุโภปิ รูปมทมตฺตา ‘‘ภควา รูปํ วิวเณฺณติ, ครหติ, อเนกปริยาเยน รูเป อาทีนวํ ทเสฺสตี’’ติ ภควโต อุปฎฺฐานํ น คจฺฉนฺติ, ทฎฺฐุมฺปิ น อิจฺฉนฺติฯ เอวํ อปฺปสนฺนา กสฺมา ปพฺพชิตาติ เจ? อคติยาฯ อภิรูปนนฺทาย หิ วาเรยฺยทิวเสเยว สามิโก สกฺยกุมาโร กาลมกาสิฯ อถ นํ มาตาปิตโร อกามกํ ปพฺพาเชสุํฯ ชนปทกลฺยาณี นนฺทาปิ อายสฺมเนฺต นเนฺท อรหตฺตํ ปเตฺต นิราสา หุตฺวา ‘‘มยฺหํ สามิโก จ มาตา จ มหาปชาปติ อเญฺญ จ ญาตกา ปพฺพชิตา, ญาตีหิ วินา ทุโกฺข ฆราวาโส’’ติ ฆราวาเส อสฺสาทมลภนฺตี ปพฺพชิตา, น สทฺธายฯ

    Caraṃvā yadi vā tiṭṭhanti nandasuttaṃ. ‘‘Vijayasuttaṃ kāyavicchandanikasutta’’ntipi vuccati. Kā uppatti? Idaṃ kira suttaṃ dvīsu ṭhānesu vuttaṃ, tasmā assa duvidhā uppatti. Tattha bhagavatā anupubbena kapilavatthuṃ anuppatvā, sākiye vinetvā nandādayo pabbājetvā, anuññātāya mātugāmassa pabbajjāya ānandattherassa bhaginī nandā, khemakasakkarañño dhītā abhirūpanandā, janapadakalyāṇī nandāti tisso nandāyo pabbajiṃsu. Tena ca samayena bhagavā sāvatthiyaṃ viharati. Abhirūpanandā abhirūpā eva ahosi dassanīyā pāsādikā, tenevassā abhirūpanandāti nāmamakaṃsu. Janapadakalyāṇī nandāpi rūpena attanā sadisaṃ na passati. Tā ubhopi rūpamadamattā ‘‘bhagavā rūpaṃ vivaṇṇeti, garahati, anekapariyāyena rūpe ādīnavaṃ dassetī’’ti bhagavato upaṭṭhānaṃ na gacchanti, daṭṭhumpi na icchanti. Evaṃ appasannā kasmā pabbajitāti ce? Agatiyā. Abhirūpanandāya hi vāreyyadivaseyeva sāmiko sakyakumāro kālamakāsi. Atha naṃ mātāpitaro akāmakaṃ pabbājesuṃ. Janapadakalyāṇī nandāpi āyasmante nande arahattaṃ patte nirāsā hutvā ‘‘mayhaṃ sāmiko ca mātā ca mahāpajāpati aññe ca ñātakā pabbajitā, ñātīhi vinā dukkho gharāvāso’’ti gharāvāse assādamalabhantī pabbajitā, na saddhāya.

    อถ ภควา ตาสํ ญาณปริปากํ วิทิตฺวา มหาปชาปติํ อาณาเปสิ ‘‘สพฺพาปิ ภิกฺขุนิโย ปฎิปาฎิยา โอวาทํ อาคจฺฉนฺตู’’ติ ฯ ตา อตฺตโน วาเร สมฺปเตฺต อญฺญํ เปเสนฺติฯ ตโต ภควา ‘‘สมฺปเตฺต วาเร อตฺตนาว อาคนฺตพฺพํ, น อญฺญา เปเสตพฺพา’’ติ อาหฯ อเถกทิวสํ อภิรูปนนฺทา อคมาสิฯ ตํ ภควา นิมฺมิตรูเปน สํเวเชตฺวา ‘‘อฎฺฐีนํ นครํ กต’’นฺติ อิมาย ธมฺมปทคาถาย –

    Atha bhagavā tāsaṃ ñāṇaparipākaṃ viditvā mahāpajāpatiṃ āṇāpesi ‘‘sabbāpi bhikkhuniyo paṭipāṭiyā ovādaṃ āgacchantū’’ti . Tā attano vāre sampatte aññaṃ pesenti. Tato bhagavā ‘‘sampatte vāre attanāva āgantabbaṃ, na aññā pesetabbā’’ti āha. Athekadivasaṃ abhirūpanandā agamāsi. Taṃ bhagavā nimmitarūpena saṃvejetvā ‘‘aṭṭhīnaṃ nagaraṃ kata’’nti imāya dhammapadagāthāya –

    ‘‘อาตุรํ อสุจิํ ปูติํ, ปสฺส นเนฺท สมุสฺสยํ;

    ‘‘Āturaṃ asuciṃ pūtiṃ, passa nande samussayaṃ;

    อุคฺฆรนฺตํ ปคฺฆรนฺตํ, พาลานํ อภิปตฺถิตํฯ (เถรีคา. ๑๙);

    Uggharantaṃ paggharantaṃ, bālānaṃ abhipatthitaṃ. (therīgā. 19);

    ‘‘อนิมิตฺตญฺจ ภาเวหิ, มานานุสยมุชฺชห;

    ‘‘Animittañca bhāvehi, mānānusayamujjaha;

    ตโต มานาภิสมยา, อุปสนฺตา จริสฺสสี’’ติฯ (สุ. นิ. ๓๔๔; เถรีคา. ๒๐) –

    Tato mānābhisamayā, upasantā carissasī’’ti. (su. ni. 344; therīgā. 20) –

    อิมาหิ เถรีคาถาหิ จ อนุปุเพฺพน อรหเตฺต ปติฎฺฐาเปสิฯ อเถกทิวสํ สาวตฺถิวาสิโน ปุเรภตฺตํ ทานํ ทตฺวา สมาทินฺนุโปสถา สุนิวตฺถา สุปารุตา คนฺธปุปฺผาทีนิ อาทาย ธมฺมสฺสวนตฺถาย เชตวนํ คนฺตฺวา ธมฺมสฺสวนปริโยสาเน ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา นครํ ปวิสนฺติฯ ภิกฺขุนิสโงฺฆปิ ธมฺมกถํ สุตฺวา ภิกฺขุนิอุปสฺสยํ คจฺฉติฯ ตตฺถ มนุสฺสา จ ภิกฺขุนิโย จ ภควโต วณฺณํ ภาสนฺติฯ จตุปฺปมาณิเก หิ โลกสนฺนิวาเส สมฺมาสมฺพุทฺธํ ทิสฺวา อปฺปสีทโนฺต นาม นตฺถิฯ รูปปฺปมาณิกา หิ ปุคฺคลา ภควโต ลกฺขณขจิตมนุพฺยญฺชนวิจิตฺรํ สมุชฺชลิตเกตุมาลาพฺยามปฺปภาวินทฺธมลงฺการตฺถมิว โลกสฺส สมุปฺปนฺนํ รูปํ ทิสฺวา ปสีทนฺติ, โฆสปฺปมาณิกา อเนกสเตสุ ชาตเกสุ กิตฺติโฆสํ อฎฺฐงฺคสมนฺนาคตํ กรวีกมธุรนิโคฺฆสํ พฺรหฺมสฺสรญฺจ สุตฺวา, ลูขปฺปมาณิกา ปตฺตจีวราทิลูขตํ ทุกฺกรการิกลูขตํ วา ทิสฺวา, ธมฺมปฺปมาณิกา สีลกฺขนฺธาทีสุ ยํกิญฺจิ ธมฺมกฺขนฺธํ อุปปริกฺขิตฺวาฯ ตสฺมา สพฺพฎฺฐาเนสุ ภควโต วณฺณํ ภาสนฺติฯ ชนปทกลฺยาณี นนฺทา ภิกฺขุนิปสฺสยํ ปตฺวาปิ อเนกปริยาเยน ภควโต วณฺณํ ภาสนฺตานํ เตสํ สุตฺวา ภควนฺตํ อุปคนฺตุกามา หุตฺวา ภิกฺขุนีนํ อาโรเจสิฯ ภิกฺขุนิโย ตํ คเหตฺวา ภควนฺตํ อุปสงฺกมิํสุฯ

    Imāhi therīgāthāhi ca anupubbena arahatte patiṭṭhāpesi. Athekadivasaṃ sāvatthivāsino purebhattaṃ dānaṃ datvā samādinnuposathā sunivatthā supārutā gandhapupphādīni ādāya dhammassavanatthāya jetavanaṃ gantvā dhammassavanapariyosāne bhagavantaṃ vanditvā nagaraṃ pavisanti. Bhikkhunisaṅghopi dhammakathaṃ sutvā bhikkhuniupassayaṃ gacchati. Tattha manussā ca bhikkhuniyo ca bhagavato vaṇṇaṃ bhāsanti. Catuppamāṇike hi lokasannivāse sammāsambuddhaṃ disvā appasīdanto nāma natthi. Rūpappamāṇikā hi puggalā bhagavato lakkhaṇakhacitamanubyañjanavicitraṃ samujjalitaketumālābyāmappabhāvinaddhamalaṅkāratthamiva lokassa samuppannaṃ rūpaṃ disvā pasīdanti, ghosappamāṇikā anekasatesu jātakesu kittighosaṃ aṭṭhaṅgasamannāgataṃ karavīkamadhuranigghosaṃ brahmassarañca sutvā, lūkhappamāṇikā pattacīvarādilūkhataṃ dukkarakārikalūkhataṃ vā disvā, dhammappamāṇikā sīlakkhandhādīsu yaṃkiñci dhammakkhandhaṃ upaparikkhitvā. Tasmā sabbaṭṭhānesu bhagavato vaṇṇaṃ bhāsanti. Janapadakalyāṇī nandā bhikkhunipassayaṃ patvāpi anekapariyāyena bhagavato vaṇṇaṃ bhāsantānaṃ tesaṃ sutvā bhagavantaṃ upagantukāmā hutvā bhikkhunīnaṃ ārocesi. Bhikkhuniyo taṃ gahetvā bhagavantaṃ upasaṅkamiṃsu.

    ภควา ปฎิกเจฺจว ตสฺสาคมนํ วิทิตฺวา กณฺฎเกน กณฺฎกํ, อาณิยา จ อาณิํ นีหริตุกาโม ปุริโส วิย รูเปเนว รูปมทํ วิเนตุํ อตฺตโน อิทฺธิพเลน ปนฺนรสโสฬสวสฺสุเทฺทสิกํ อติทสฺสนียํ อิตฺถิํ ปเสฺส ฐตฺวา พีชมานํ อภินิมฺมินิฯ นนฺทา ภิกฺขุนีหิ สทฺธิํ อุปสงฺกมิตฺวา, ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา, ภิกฺขุนิสงฺฆสฺส อนฺตเร นิสีทิตฺวา, ปาทตลา ปภุติ ยาว เกสคฺคา ภควโต รูปสมฺปตฺติํ ทิสฺวา ปุน ตํ ภควโต ปเสฺส ฐิตํ นิมฺมตรูปญฺจ ทิสฺวา ‘‘อโห อยํ อิตฺถี รูปวตี’’ติ อตฺตโน รูปมทํ ชหิตฺวา ตสฺสา รูเป อภิรตฺตภาวา อโหสิฯ ตโต ภควา ตํ อิตฺถิํ วีสติวสฺสปฺปมาณํ กตฺวา ทเสฺสสิฯ มาตุคาโม หิ โสฬสวสฺสุเทฺทสิโกเยว โสภติ, น ตโต อุทฺธํฯ อถ ตสฺสา รูปปริหานิํ ทิสฺวา นนฺทาย ตสฺมิํ รูเป ฉนฺทราโค ตนุโก อโหสิฯ ตโต ภควา อวิชาตวณฺณํ, สกิํวิชาตวณฺณํ, มชฺฌิมิตฺถิวณฺณํ, มหิตฺถิวณฺณนฺติ เอวํ ยาว วสฺสสติกํ โอภคฺคํ ทณฺฑปรายณํ ติลกาหตคตฺตํ กตฺวา, ทเสฺสตฺวา ปสฺสมานาเยว นนฺทาย ตสฺสา มรณํ อุทฺธุมาตกาทิเภทํ กากาทีหิ สมฺปริวาเรตฺวา ขชฺชมานํ ทุคฺคนฺธํ เชคุจฺฉปฎิกูลภาวญฺจ ทเสฺสสิ ฯ นนฺทาย ตํ กมํ ทิสฺวา ‘‘เอวเมวํ มมปิ อเญฺญสมฺปิ สพฺพสาธารโณ อยํ กโม’’ติ อนิจฺจสญฺญา สณฺฐาสิ, ตทนุสาเรน จ ทุกฺขนตฺตสญฺญาปิ, ตโย ภวา อาทิตฺตมิว อคารํ อปฺปฎิสรณา หุตฺวา อุปฎฺฐหิํสุฯ อถ ภควา ‘‘กมฺมฎฺฐาเน ปกฺขนฺตํ นนฺทาย จิตฺต’’นฺติ ญตฺวา ตสฺสา สปฺปายวเสน อิมา คาถาโย อภาสิ –

    Bhagavā paṭikacceva tassāgamanaṃ viditvā kaṇṭakena kaṇṭakaṃ, āṇiyā ca āṇiṃ nīharitukāmo puriso viya rūpeneva rūpamadaṃ vinetuṃ attano iddhibalena pannarasasoḷasavassuddesikaṃ atidassanīyaṃ itthiṃ passe ṭhatvā bījamānaṃ abhinimmini. Nandā bhikkhunīhi saddhiṃ upasaṅkamitvā, bhagavantaṃ vanditvā, bhikkhunisaṅghassa antare nisīditvā, pādatalā pabhuti yāva kesaggā bhagavato rūpasampattiṃ disvā puna taṃ bhagavato passe ṭhitaṃ nimmatarūpañca disvā ‘‘aho ayaṃ itthī rūpavatī’’ti attano rūpamadaṃ jahitvā tassā rūpe abhirattabhāvā ahosi. Tato bhagavā taṃ itthiṃ vīsativassappamāṇaṃ katvā dassesi. Mātugāmo hi soḷasavassuddesikoyeva sobhati, na tato uddhaṃ. Atha tassā rūpaparihāniṃ disvā nandāya tasmiṃ rūpe chandarāgo tanuko ahosi. Tato bhagavā avijātavaṇṇaṃ, sakiṃvijātavaṇṇaṃ, majjhimitthivaṇṇaṃ, mahitthivaṇṇanti evaṃ yāva vassasatikaṃ obhaggaṃ daṇḍaparāyaṇaṃ tilakāhatagattaṃ katvā, dassetvā passamānāyeva nandāya tassā maraṇaṃ uddhumātakādibhedaṃ kākādīhi samparivāretvā khajjamānaṃ duggandhaṃ jegucchapaṭikūlabhāvañca dassesi . Nandāya taṃ kamaṃ disvā ‘‘evamevaṃ mamapi aññesampi sabbasādhāraṇo ayaṃ kamo’’ti aniccasaññā saṇṭhāsi, tadanusārena ca dukkhanattasaññāpi, tayo bhavā ādittamiva agāraṃ appaṭisaraṇā hutvā upaṭṭhahiṃsu. Atha bhagavā ‘‘kammaṭṭhāne pakkhantaṃ nandāya citta’’nti ñatvā tassā sappāyavasena imā gāthāyo abhāsi –

    ‘‘อาตุรํ อสุจิํ ปูติํ, ปสฺส นเนฺท สมุสฺสยํ;

    ‘‘Āturaṃ asuciṃ pūtiṃ, passa nande samussayaṃ;

    อุคฺฆรนฺตํ ปคฺฆรนฺตํ, พาลานํ อภิปตฺถิตํฯ (เถรีคา. ๑๙);

    Uggharantaṃ paggharantaṃ, bālānaṃ abhipatthitaṃ. (therīgā. 19);

    ‘‘ยถา อิทํ ตถา เอตํ, ยถา เอตํ ตถา อิทํ;

    ‘‘Yathā idaṃ tathā etaṃ, yathā etaṃ tathā idaṃ;

    ธาตุโส สุญฺญโต ปสฺส, มา โลกํ ปุนราคมิ;

    Dhātuso suññato passa, mā lokaṃ punarāgami;

    ภเว ฉนฺทํ วิราเชตฺวา, อุปสนฺตา จริสฺสสี’’ติฯ (สุ. นิ. ๒๐๕);

    Bhave chandaṃ virājetvā, upasantā carissasī’’ti. (su. ni. 205);

    คาถาปริโยสาเน นนฺทา โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาสิฯ อถสฺสา ภควา อุปริมคฺคาธิคมตฺถํ สุญฺญตปริวารํ วิปสฺสนากมฺมฎฺฐานํ กเถโนฺต อิมํ สุตฺตมภาสิฯ อยํ ตาวสฺส เอกา อุปฺปตฺติฯ

    Gāthāpariyosāne nandā sotāpattiphale patiṭṭhāsi. Athassā bhagavā uparimaggādhigamatthaṃ suññataparivāraṃ vipassanākammaṭṭhānaṃ kathento imaṃ suttamabhāsi. Ayaṃ tāvassa ekā uppatti.

    ภควติ ปน ราชคเห วิหรเนฺต ยา สา จีวรกฺขนฺธเก (มหาว. ๓๒๖) วิตฺถารโต วุตฺตสมุฎฺฐานาย สาลวติยา คณิกาย ธีตา ชีวกสฺส กนิฎฺฐา สิริมา นาม มาตุ อจฺจเยน ตํ ฐานํ ลภิตฺวา ‘‘อโกฺกเธน ชิเน โกธ’’นฺติ (ธ. ป. ๒๒๓; ชา. ๑.๒.๑) อิมิสฺสา คาถาย วตฺถุมฺหิ ปุณฺณกเสฎฺฐิธีตรํ อวมญฺญิตฺวา, ภควนฺตํ ขมาเปนฺตี ธมฺมเทสนํ สุตฺวา, โสตาปนฺนา หุตฺวา อฎฺฐ นิจฺจภตฺตานิ ปวเตฺตสิฯ ตํ อารพฺภ อญฺญตโร นิจฺจภตฺติโก ภิกฺขุ ราคํ อุปฺปาเทสิฯ อาหารกิจฺจมฺปิ จ กาตุํ อสโกฺกโนฺต นิราหาโร นิปชฺชีติ ธมฺมปทคาถาวตฺถุมฺหิ วุตฺตํฯ ตสฺมิํ ตถานิปเนฺนเยว สิริมา กาลํ กตฺวา ยามภวเน สุยามสฺส เทวี อโหสิฯ อถ ตสฺสา สรีรสฺส อคฺคิกิจฺจํ นิวาเรตฺวา อามกสุสาเน รญฺญา นิกฺขิปาปิตํ สรีรํ ทสฺสนาย ภควา ภิกฺขุสงฺฆปริวุโต อคมาสิ, ตมฺปิ ภิกฺขุํ อาทาย, ตถา นาครา จ ราชา จฯ ตตฺถ มนุสฺสา ภณนฺติ ‘‘ปุเพฺพ สิริมาย อฎฺฐุตฺตรสหเสฺสนาปิ ทสฺสนํ ทุลฺลภํ , ตํ ทานชฺช กากณิกายาปิ ทฎฺฐุกาโม นตฺถี’’ติฯ สิริมาปิ เทวกญฺญา ปญฺจหิ รถสเตหิ ปริวุตา ตตฺราคมาสิฯ ตตฺราปิ ภควา สนฺนิปติตานํ ธมฺมเทสนตฺถํ อิมํ สุตฺตํ ตสฺส ภิกฺขุโน โอวาทตฺถํ ‘‘ปสฺส จิตฺตกตํ พิมฺพ’’นฺติ (ธ. ป. ๑๔๗) อิมญฺจ ธมฺมปทคาถํ อภาสิฯ อยมสฺส ทุติยา อุปฺปตฺติฯ

    Bhagavati pana rājagahe viharante yā sā cīvarakkhandhake (mahāva. 326) vitthārato vuttasamuṭṭhānāya sālavatiyā gaṇikāya dhītā jīvakassa kaniṭṭhā sirimā nāma mātu accayena taṃ ṭhānaṃ labhitvā ‘‘akkodhena jine kodha’’nti (dha. pa. 223; jā. 1.2.1) imissā gāthāya vatthumhi puṇṇakaseṭṭhidhītaraṃ avamaññitvā, bhagavantaṃ khamāpentī dhammadesanaṃ sutvā, sotāpannā hutvā aṭṭha niccabhattāni pavattesi. Taṃ ārabbha aññataro niccabhattiko bhikkhu rāgaṃ uppādesi. Āhārakiccampi ca kātuṃ asakkonto nirāhāro nipajjīti dhammapadagāthāvatthumhi vuttaṃ. Tasmiṃ tathānipanneyeva sirimā kālaṃ katvā yāmabhavane suyāmassa devī ahosi. Atha tassā sarīrassa aggikiccaṃ nivāretvā āmakasusāne raññā nikkhipāpitaṃ sarīraṃ dassanāya bhagavā bhikkhusaṅghaparivuto agamāsi, tampi bhikkhuṃ ādāya, tathā nāgarā ca rājā ca. Tattha manussā bhaṇanti ‘‘pubbe sirimāya aṭṭhuttarasahassenāpi dassanaṃ dullabhaṃ , taṃ dānajja kākaṇikāyāpi daṭṭhukāmo natthī’’ti. Sirimāpi devakaññā pañcahi rathasatehi parivutā tatrāgamāsi. Tatrāpi bhagavā sannipatitānaṃ dhammadesanatthaṃ imaṃ suttaṃ tassa bhikkhuno ovādatthaṃ ‘‘passa cittakataṃ bimba’’nti (dha. pa. 147) imañca dhammapadagāthaṃ abhāsi. Ayamassa dutiyā uppatti.

    ๑๙๕. ตตฺถ จรํ วาติ สกลรูปกายสฺส คนฺตพฺพทิสาภิมุเขนาภินีหาเรน คจฺฉโนฺต วาฯ ยทิ วา ติฎฺฐนฺติ ตเสฺสว อุสฺสาปนภาเวน ติฎฺฐโนฺต วาฯ นิสิโนฺน อุท วา สยนฺติ ตเสฺสว เหฎฺฐิมภาคสมิญฺชนอุปริมภาคสมุสฺสาปนภาเวน นิสิโนฺน วา, ติริยํ ปสารณภาเวน สยโนฺต วาฯ สมิเญฺชติ ปสาเรตีติ ตานิ ตานิ ปพฺพานิ สมิเญฺชติ จ ปสาเรติ จฯ

    195. Tattha caraṃ vāti sakalarūpakāyassa gantabbadisābhimukhenābhinīhārena gacchanto vā. Yadi vā tiṭṭhanti tasseva ussāpanabhāvena tiṭṭhanto vā. Nisinno uda vā sayanti tasseva heṭṭhimabhāgasamiñjanauparimabhāgasamussāpanabhāvena nisinno vā, tiriyaṃ pasāraṇabhāvena sayanto vā. Samiñjeti pasāretīti tāni tāni pabbāni samiñjeti ca pasāreti ca.

    เอสา กายสฺส อิญฺชนาติ สพฺพาเปสา อิมเสฺสว สวิญฺญาณกสฺส กายสฺส อิญฺชนา จลนา ผนฺทนา, นเตฺถตฺถ อโญฺญ โกจิ จรโนฺต วา ปสาเรโนฺต วา, อปิจ โข ปน ‘‘จรามี’’ติ จิเตฺต อุปฺปชฺชเนฺต ตํสมุฎฺฐานา วาโยธาตุ กายํ ผรติ, เตนสฺส คนฺตพฺพทิสาภิมุโข อภินีหาโร โหติ, เทสนฺตเร รูปนฺตรปาตุภาโวติ อโตฺถฯ เตน ‘‘จร’’นฺติ วุจฺจติฯ ตถา ‘‘ติฎฺฐามี’’ติ จิเตฺต อุปฺปชฺชเนฺต ตํสมุฎฺฐานา วาโยธาตุ กายํ ผรติ, เตนสฺส สมุสฺสาปนํ โหติ, อุปรูปริฎฺฐาเนน รูปปาตุภาโวติ อโตฺถฯ เตน ‘‘ติฎฺฐ’’นฺติ วุจฺจติฯ ตถา ‘‘นิสีทามี’’ติ จิเตฺต อุปฺปชฺชเนฺต ตํสมุฎฺฐานา วาโยธาตุ กายํ ผรติ, เตนสฺส เหฎฺฐิมภาคสมิญฺชนญฺจ อุปริมภาคสมุสฺสาปนญฺจ โหติ, ตถาภาเวน รูปปาตุภาโวติ อโตฺถฯ เตน ‘‘นิสิโนฺน’’ติ วุจฺจติฯ ตถา ‘‘สยามี’’ติ จิเตฺต อุปฺปชฺชเนฺต ตํสมุฎฺฐานา วาโยธาตุ กายํ ผรติ, เตนสฺส ติริยํ ปสารณํ โหติ, ตถาภาเวน รูปปาตุภาโวติ อโตฺถฯ เตน ‘‘สย’’นฺติ วุจฺจติฯ

    Esā kāyassa iñjanāti sabbāpesā imasseva saviññāṇakassa kāyassa iñjanā calanā phandanā, natthettha añño koci caranto vā pasārento vā, apica kho pana ‘‘carāmī’’ti citte uppajjante taṃsamuṭṭhānā vāyodhātu kāyaṃ pharati, tenassa gantabbadisābhimukho abhinīhāro hoti, desantare rūpantarapātubhāvoti attho. Tena ‘‘cara’’nti vuccati. Tathā ‘‘tiṭṭhāmī’’ti citte uppajjante taṃsamuṭṭhānā vāyodhātu kāyaṃ pharati, tenassa samussāpanaṃ hoti, uparūpariṭṭhānena rūpapātubhāvoti attho. Tena ‘‘tiṭṭha’’nti vuccati. Tathā ‘‘nisīdāmī’’ti citte uppajjante taṃsamuṭṭhānā vāyodhātu kāyaṃ pharati, tenassa heṭṭhimabhāgasamiñjanañca uparimabhāgasamussāpanañca hoti, tathābhāvena rūpapātubhāvoti attho. Tena ‘‘nisinno’’ti vuccati. Tathā ‘‘sayāmī’’ti citte uppajjante taṃsamuṭṭhānā vāyodhātu kāyaṃ pharati, tenassa tiriyaṃ pasāraṇaṃ hoti, tathābhāvena rūpapātubhāvoti attho. Tena ‘‘saya’’nti vuccati.

    เอวํ จายมายสฺมา โย โกจิ อิตฺถนฺนาโม จรํ วา ยทิ วา ติฎฺฐํ, นิสิโนฺน อุท วา สยํ ยเมตํ ตตฺถ ตตฺถ อิริยาปเถ เตสํ เตสํ ปพฺพานํ สมิญฺชนปฺปสารณวเสน สมิเญฺชติ ปสาเรตีติ วุจฺจติฯ ตมฺปิ ยสฺมา สมิญฺชนปฺปสารณจิเตฺต อุปฺปชฺชมาเน ยถาวุเตฺตเนว นเยน โหติ, ตสฺมา เอสา กายสฺส อิญฺชนา, นเตฺถตฺถ อโญฺญ โกจิ, สุญฺญมิทํ เกนจิ จรเนฺตน วา ปสาเรเนฺตน วา สเตฺตน วา ปุคฺคเลน วาฯ เกวลํ ปน –

    Evaṃ cāyamāyasmā yo koci itthannāmo caraṃ vā yadi vā tiṭṭhaṃ, nisinno uda vā sayaṃ yametaṃ tattha tattha iriyāpathe tesaṃ tesaṃ pabbānaṃ samiñjanappasāraṇavasena samiñjeti pasāretīti vuccati. Tampi yasmā samiñjanappasāraṇacitte uppajjamāne yathāvutteneva nayena hoti, tasmā esā kāyassa iñjanā, natthettha añño koci, suññamidaṃ kenaci carantena vā pasārentena vā sattena vā puggalena vā. Kevalaṃ pana –

    ‘‘จิตฺตนานตฺตมาคมฺม, นานตฺตํ โหติ วายุโน;

    ‘‘Cittanānattamāgamma, nānattaṃ hoti vāyuno;

    วายุนานตฺตโต นานา, โหติ กายสฺส อิญฺชนา’’ติฯ –

    Vāyunānattato nānā, hoti kāyassa iñjanā’’ti. –

    อยเมตฺถ ปรมโตฺถฯ

    Ayamettha paramattho.

    เอวเมตาย คาถาย ภควา ยสฺมา เอกสฺมิํ อิริยาปเถ จิรวินิโยเคน กายปีฬนํ โหติ, ตสฺส จ วิโนทนตฺถํ อิริยาปถปริวตฺตนํ กรียติ, ตสฺมา ‘‘จรํ วา’’ติอาทีหิ อิริยาปถปฎิจฺฉนฺนํ ทุกฺขลกฺขณํ ทีเปติ, ตถา จรณกาเล ฐานาทีนมภาวโต สพฺพเมตํ จรณาทิเภทํ ‘‘เอสา กายสฺส อิญฺชนา’’ติ ภณโนฺต สนฺตติปฎิจฺฉนฺนํ อนิจฺจลกฺขณํฯ ตาย ตาย สามคฺคิยา ปวตฺตาย ‘‘เอสา กายสฺส อิญฺชนา’’ติ จ อตฺตปฎิเกฺขเปน ภณโนฺต อตฺตสญฺญาฆนปฎิจฺฉนฺนํ อนตฺตลกฺขณํ ทีเปติฯ

    Evametāya gāthāya bhagavā yasmā ekasmiṃ iriyāpathe ciraviniyogena kāyapīḷanaṃ hoti, tassa ca vinodanatthaṃ iriyāpathaparivattanaṃ karīyati, tasmā ‘‘caraṃ vā’’tiādīhi iriyāpathapaṭicchannaṃ dukkhalakkhaṇaṃ dīpeti, tathā caraṇakāle ṭhānādīnamabhāvato sabbametaṃ caraṇādibhedaṃ ‘‘esā kāyassa iñjanā’’ti bhaṇanto santatipaṭicchannaṃ aniccalakkhaṇaṃ. Tāya tāya sāmaggiyā pavattāya ‘‘esā kāyassa iñjanā’’ti ca attapaṭikkhepena bhaṇanto attasaññāghanapaṭicchannaṃ anattalakkhaṇaṃ dīpeti.

    ๑๙๖. เอวํ ลกฺขณตฺตยทีปเนน สุญฺญตกมฺมฎฺฐานํ กเถตฺวา ปุน สวิญฺญาณกาวิญฺญาณกอสุภทสฺสนตฺถํ ‘‘อฎฺฐินหารุสํยุโตฺต’’ติ อารภิฯ ตสฺสโตฺถ – ยสฺส เจสา กายสฺส อิญฺชนา, สฺวายํ กาโย วิสุทฺธิมเคฺค ทฺวตฺติํสาการวณฺณนายํ วณฺณสณฺฐานทิโสกาสปริเจฺฉทเภเทน อพฺยาปารนเยน จ ปกาสิเตหิ สฎฺฐาธิเกหิ ตีหิ อฎฺฐิสเตหิ นวหิ นฺหารุสเตหิ จ สํยุตฺตตฺตา อฎฺฐินหารุสํยุโตฺตฯ ตเตฺถว ปกาสิเตน อคฺคปาทงฺคุลิตจาทินา ตเจน จ นวเปสิสตปฺปเภเทน จ มํเสน อวลิตฺตตฺตา ตจมํสาวเลปโน ปรมทุคฺคนฺธเชคุจฺฉปฎิกูโลติ เวทิตโพฺพ ฯ กิเญฺจตฺถ เวทิตพฺพํ สิยา, ยทิ เอส ยา สา มชฺฌิมสฺส ปุริสสฺส สกลสรีรโต สํกฑฺฒิตา พทรฎฺฐิปฺปมาณา ภเวยฺย, ตาย มกฺขิกาปตฺตสุขุมจฺฉวิยา นีลาทิรงฺคชาเตน เคหภิตฺติ วิย ปฎิจฺฉโนฺน น ภเวยฺย, อยํ ปน เอวํ สุขุมายปิ ฉวิยา กาโย ปฎิจฺฉโนฺน ปญฺญาจกฺขุวิรหิเตหิ พาลปุถุชฺชเนหิ ยถาภูตํ น ทิสฺสติฯ ฉวิราครญฺชิโต หิสฺส ปรมเชคุจฺฉปฎิกูลธมฺมสงฺขาโต ตโจปิ ตจปลิเวฐิตํ ยํ ตํ ปเภทโต –

    196. Evaṃ lakkhaṇattayadīpanena suññatakammaṭṭhānaṃ kathetvā puna saviññāṇakāviññāṇakaasubhadassanatthaṃ ‘‘aṭṭhinahārusaṃyutto’’ti ārabhi. Tassattho – yassa cesā kāyassa iñjanā, svāyaṃ kāyo visuddhimagge dvattiṃsākāravaṇṇanāyaṃ vaṇṇasaṇṭhānadisokāsaparicchedabhedena abyāpāranayena ca pakāsitehi saṭṭhādhikehi tīhi aṭṭhisatehi navahi nhārusatehi ca saṃyuttattā aṭṭhinahārusaṃyutto. Tattheva pakāsitena aggapādaṅgulitacādinā tacena ca navapesisatappabhedena ca maṃsena avalittattā tacamaṃsāvalepano paramaduggandhajegucchapaṭikūloti veditabbo . Kiñcettha veditabbaṃ siyā, yadi esa yā sā majjhimassa purisassa sakalasarīrato saṃkaḍḍhitā badaraṭṭhippamāṇā bhaveyya, tāya makkhikāpattasukhumacchaviyā nīlādiraṅgajātena gehabhitti viya paṭicchanno na bhaveyya, ayaṃ pana evaṃ sukhumāyapi chaviyā kāyo paṭicchanno paññācakkhuvirahitehi bālaputhujjanehi yathābhūtaṃ na dissati. Chavirāgarañjito hissa paramajegucchapaṭikūladhammasaṅkhāto tacopi tacapaliveṭhitaṃ yaṃ taṃ pabhedato –

    ‘‘นวเปสิสตา มํสา, อวลิตฺตา กเฬวเร;

    ‘‘Navapesisatā maṃsā, avalittā kaḷevare;

    นานากิมิกุลากิณฺณํ, มิฬฺหฎฺฐานํว ปูติกา’’ติฯ –

    Nānākimikulākiṇṇaṃ, miḷhaṭṭhānaṃva pūtikā’’ti. –

    เอวํ วุตฺตํ นวมํสสตมฺปิ, มํสาวลิตฺตา เย เต –

    Evaṃ vuttaṃ navamaṃsasatampi, maṃsāvalittā ye te –

    ‘‘นวนฺหารุสตา โหนฺติ, พฺยามมเตฺต กเฬวเร;

    ‘‘Navanhārusatā honti, byāmamatte kaḷevare;

    พนฺธนฺติ อฎฺฐิสงฺฆาตํ, อคารมิว วลฺลิยา’’ติฯ –

    Bandhanti aṭṭhisaṅghātaṃ, agāramiva valliyā’’ti. –

    เตปิ, นฺหารุสมุฎฺฐิตานิ ปฎิปาฎิยา อวฎฺฐิตานิ ปูตีนิ ทุคฺคนฺธานิ ตีณิ สฎฺฐาธิกานิ อฎฺฐิสตานิปิ ยถาภูตํ น ทิสฺสนฺติ ยโต อนาทิยิตฺวา ตํ มกฺขิกาปตฺตสุขุมจฺฉวิํฯ ยานิ ปนสฺส ฉวิราครเตฺตน ตเจน ปลิเวฐิตตฺตา สพฺพโลกสฺส อปากฎานิ นานปฺปการานิ อพฺภนฺตรกุณปานิ ปรมาสุจิทุคฺคนฺธเชคุจฺฉนียปฎิกูลานิ, ตานิปิ ปญฺญาจกฺขุนา ปฎิวิชฺฌิตฺวา เอวํ ปสฺสิตโพฺพ ‘‘อนฺตปูโร อุทรปูโร…เป.… ปิตฺตสฺส จ วสาย จา’’ติฯ

    Tepi, nhārusamuṭṭhitāni paṭipāṭiyā avaṭṭhitāni pūtīni duggandhāni tīṇi saṭṭhādhikāni aṭṭhisatānipi yathābhūtaṃ na dissanti yato anādiyitvā taṃ makkhikāpattasukhumacchaviṃ. Yāni panassa chavirāgarattena tacena paliveṭhitattā sabbalokassa apākaṭāni nānappakārāni abbhantarakuṇapāni paramāsuciduggandhajegucchanīyapaṭikūlāni, tānipi paññācakkhunā paṭivijjhitvā evaṃ passitabbo ‘‘antapūro udarapūro…pe… pittassa ca vasāya cā’’ti.

    ๑๙๗. ตตฺถ อนฺตสฺส ปูโร อนฺตปูโรฯ อุทรสฺส ปูโร อุทรปูโรฯ อุทรนฺติ จ อุทริยเสฺสตํ อธิวจนํฯ ตญฺหิ ฐานนาเมน ‘‘อุทร’’นฺติ วุตฺตํฯ ยกนเปฬสฺสาติ ยกนปิณฺฑสฺสฯ วตฺถิโนติ มุตฺตสฺสฯ ฐานูปจาเรน ปเนตํ ‘‘วตฺถี’’ติ วุตฺตํฯ ปูโรติ อธิกาโร, ตสฺมา ยกนเปฬสฺส ปูโร วตฺถิโน ปูโรติ เอวํ โยเชตพฺพํฯ เอส นโย หทยสฺสาติอาทีสุฯ สพฺพาเนว เจตานิ อนฺตาทีนิ วณฺณสณฺฐานทิโสกาสปริเจฺฉทเภเทน อพฺยาปารนเยน จ วิสุทฺธิมเคฺค วุตฺตนยวเสเนว เวทิตพฺพานิฯ

    197. Tattha antassa pūro antapūro. Udarassa pūro udarapūro. Udaranti ca udariyassetaṃ adhivacanaṃ. Tañhi ṭhānanāmena ‘‘udara’’nti vuttaṃ. Yakanapeḷassāti yakanapiṇḍassa. Vatthinoti muttassa. Ṭhānūpacārena panetaṃ ‘‘vatthī’’ti vuttaṃ. Pūroti adhikāro, tasmā yakanapeḷassa pūro vatthino pūroti evaṃ yojetabbaṃ. Esa nayo hadayassātiādīsu. Sabbāneva cetāni antādīni vaṇṇasaṇṭhānadisokāsaparicchedabhedena abyāpāranayena ca visuddhimagge vuttanayavaseneva veditabbāni.

    ๑๙๙-๒๐๐. เอวํ ภควา ‘‘น กิเญฺจตฺถ เอกมฺปิ คยฺหูปคํ มุตฺตามณิสทิสํ อตฺถิ, อญฺญทตฺถุ อสุจิปริปูโรวายํ กาโย’’ติ อพฺภนฺตรกุณปํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ตเมว อพฺภนฺตรกุณปํ พหินิกฺขมนกุณเปน ปากฎํ กตฺวา ทเสฺสโนฺต ปุเพฺพ วุตฺตญฺจ สงฺคณฺหิตฺวา ‘‘อถสฺส นวหิ โสเตหี’’ติ คาถาทฺวยมาหฯ

    199-200. Evaṃ bhagavā ‘‘na kiñcettha ekampi gayhūpagaṃ muttāmaṇisadisaṃ atthi, aññadatthu asuciparipūrovāyaṃ kāyo’’ti abbhantarakuṇapaṃ dassetvā idāni tameva abbhantarakuṇapaṃ bahinikkhamanakuṇapena pākaṭaṃ katvā dassento pubbe vuttañca saṅgaṇhitvā ‘‘athassa navahi sotehī’’ti gāthādvayamāha.

    ตตฺถ อถาติ ปริยายนฺตรนิทสฺสนํ, อปเรนาปิ ปริยาเยน อสุจิภาวํ ปสฺสาติ วุตฺตํ โหติฯ อสฺสาติ อิมสฺส กายสฺสฯ นวหิ โสเตหีติ อุโภอกฺขิจฺฉิทฺทกณฺณจฺฉิทฺทนาสาฉิทฺทมุขวจฺจมคฺคปสฺสาวมเคฺคหิฯ อสุจิ สวตีติ สพฺพโลกปากฎนานปฺปการปรมทุคฺคนฺธเชคุจฺฉอสุจิเยว สวติ, สนฺทติ, ปคฺฆรติ, น อญฺญํ กิญฺจิ อครุจนฺทนาทิคนฺธชาตํ วา มณิมุตฺตาทิรตนชาตํ วาฯ สพฺพทาติ ตญฺจ โข สพฺพทา รตฺติมฺปิ ทิวาปิ ปุพฺพเณฺหปิ สายเนฺหปิ ติฎฺฐโตปิ คจฺฉโตปีติฯ กิํ ตํ อสุจีติ เจ? ‘‘อกฺขิมฺหา อกฺขิคูถโก’’ติอาทิฯ เอตสฺส หิ ทฺวีหิ อกฺขิจฺฉิเทฺทหิ อปนีตตจมํสสทิโส อกฺขิคูถโก, กณฺณจฺฉิเทฺทหิ รโชชลฺลสทิโส กณฺณคูถโก, นาสาฉิเทฺทหิ ปุพฺพสทิสา สิงฺฆาณิกา จ สวติ, มุเขน จ วมติฯ กิํ วมตีติ เจ? เอกทา ปิตฺตํ, ยทา อพทฺธปิตฺตํ กุปฺปิตํ โหติ, ตทา ตํ วมตีติ อธิปฺปาโยฯ เสมฺหญฺจาติ น เกวลญฺจ ปิตฺตํ, ยมฺปิ อุทรปฎเล เอกปตฺถปูรปฺปมาณํ เสมฺหํ ติฎฺฐติ, ตมฺปิ เอกทา วมติฯ ตํ ปเนตํ วณฺณาทิโต วิสุทฺธิมเคฺค (วิสุทฺธิ. ๑.๒๐๓-๒๐๔, ๒๑๐-๒๑๑) วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ ‘‘เสมฺหญฺจา’’ติ จ-สเทฺทน เสมฺหญฺจ อญฺญญฺจ เอวรูปํ อุทริยโลหิตาทิอสุจิํ วมตีติ ทเสฺสติฯ เอวํ สตฺตหิ ทฺวาเรหิ อสุจิวมนํ ทเสฺสตฺวา กาลญฺญู ปุคฺคลญฺญู ปริสญฺญู จ ภควา ตทุตฺตริ เทฺว ทฺวารานิ วิเสสวจเนน อนามสิตฺวา อปเรน ปริยาเยน สพฺพสฺมาปิ กายา อสุจิสวนํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘กายมฺหา เสทชลฺลิกา’’ติฯ ตตฺถ เสทชลฺลิกาติ เสโท จ โลณปฎลมลเภทา ชลฺลิกา จ, ตสฺส ‘‘สวติ สพฺพทา’’ติ อิมินา สทฺธิํ สมฺพโนฺธฯ

    Tattha athāti pariyāyantaranidassanaṃ, aparenāpi pariyāyena asucibhāvaṃ passāti vuttaṃ hoti. Assāti imassa kāyassa. Navahi sotehīti ubhoakkhicchiddakaṇṇacchiddanāsāchiddamukhavaccamaggapassāvamaggehi. Asuci savatīti sabbalokapākaṭanānappakāraparamaduggandhajegucchaasuciyeva savati, sandati, paggharati, na aññaṃ kiñci agarucandanādigandhajātaṃ vā maṇimuttādiratanajātaṃ vā. Sabbadāti tañca kho sabbadā rattimpi divāpi pubbaṇhepi sāyanhepi tiṭṭhatopi gacchatopīti. Kiṃ taṃ asucīti ce? ‘‘Akkhimhā akkhigūthako’’tiādi. Etassa hi dvīhi akkhicchiddehi apanītatacamaṃsasadiso akkhigūthako, kaṇṇacchiddehi rajojallasadiso kaṇṇagūthako, nāsāchiddehi pubbasadisā siṅghāṇikā ca savati, mukhena ca vamati. Kiṃ vamatīti ce? Ekadā pittaṃ, yadā abaddhapittaṃ kuppitaṃ hoti, tadā taṃ vamatīti adhippāyo. Semhañcāti na kevalañca pittaṃ, yampi udarapaṭale ekapatthapūrappamāṇaṃ semhaṃ tiṭṭhati, tampi ekadā vamati. Taṃ panetaṃ vaṇṇādito visuddhimagge (visuddhi. 1.203-204, 210-211) vuttanayeneva veditabbaṃ. ‘‘Semhañcā’’ti ca-saddena semhañca aññañca evarūpaṃ udariyalohitādiasuciṃ vamatīti dasseti. Evaṃ sattahi dvārehi asucivamanaṃ dassetvā kālaññū puggalaññū parisaññū ca bhagavā taduttari dve dvārāni visesavacanena anāmasitvā aparena pariyāyena sabbasmāpi kāyā asucisavanaṃ dassento āha ‘‘kāyamhā sedajallikā’’ti. Tattha sedajallikāti sedo ca loṇapaṭalamalabhedā jallikā ca, tassa ‘‘savati sabbadā’’ti iminā saddhiṃ sambandho.

    ๒๐๑. เอวํ ภควา ยถา นาม ภเตฺต ปจฺจมาเน ตณฺฑุลมลญฺจ อุทกมลญฺจ เผเณน สทฺธิํ อุฎฺฐหิตฺวา อุกฺขลิมุขํ มเกฺขตฺวา พหิ คฬติ, ตถา อสิตปีตาทิเภเท อาหาเร กมฺมเชน อคฺคินา ปจฺจมาเน ยํ อสิตปีตาทิมลํ อุฎฺฐหิตฺวา ‘‘อกฺขิมฺหา อกฺขิคูถโก’’ติอาทินา เภเทน นิกฺขมนฺตํ อกฺขิอาทีนิ มเกฺขตฺวา พหิ คฬติ, ตสฺสาปิ วเสน อิมสฺส กายสฺส อสุจิภาวํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ยํ โลเก อุตฺตมงฺคสมฺมตํ สีสํ อติวิสิฎฺฐภาวโต ปเจฺจนฺตา วนฺทเนยฺยานมฺปิ วนฺทนํ น กโรนฺติ, ตสฺสาปิ นิสฺสารตาย อสุจิตาย จสฺส อสุจิภาวํ ทเสฺสโนฺต ‘‘อถสฺส สุสิรํ สีส’’นฺติ อิมํ คาถมาหฯ

    201. Evaṃ bhagavā yathā nāma bhatte paccamāne taṇḍulamalañca udakamalañca pheṇena saddhiṃ uṭṭhahitvā ukkhalimukhaṃ makkhetvā bahi gaḷati, tathā asitapītādibhede āhāre kammajena agginā paccamāne yaṃ asitapītādimalaṃ uṭṭhahitvā ‘‘akkhimhā akkhigūthako’’tiādinā bhedena nikkhamantaṃ akkhiādīni makkhetvā bahi gaḷati, tassāpi vasena imassa kāyassa asucibhāvaṃ dassetvā idāni yaṃ loke uttamaṅgasammataṃ sīsaṃ ativisiṭṭhabhāvato paccentā vandaneyyānampi vandanaṃ na karonti, tassāpi nissāratāya asucitāya cassa asucibhāvaṃ dassento ‘‘athassa susiraṃ sīsa’’nti imaṃ gāthamāha.

    ตตฺถ สุสิรนฺติ ฉิทฺทํฯ มตฺถลุงฺคสฺส ปูริตนฺติ ทธิภริตอลาพุกํ วิย มตฺถลุงฺคภริตํฯ ตญฺจ ปเนตํ มตฺถลุงฺคํ วิสุทฺธิมเคฺค วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ สุภโต นํ มญฺญติ พาโลติ ตเมนํ เอวํ นานาวิธกุณปภริตมฺปิ กายํ ทุจฺจินฺติตจินฺตี พาโล สุภโต มญฺญติ, สุภํ สุจิํ อิฎฺฐํ กนฺตํ มนาปนฺติ ตีหิปิ ตณฺหาทิฎฺฐิมานมญฺญนาหิ มญฺญติฯ กสฺมา? ยสฺมา อวิชฺชาย ปุรกฺขโต จตุสจฺจปฎิจฺฉาทเกน โมเหน ปุรกฺขโต, โจทิโต, ปวตฺติโต, ‘‘เอวํ อาทิย, เอวํ อภินิวิส เอวํ มญฺญาหี’’ติ คาหิโตติ อธิปฺปาโยฯ ปสฺส ยาว อนตฺถกรา จายํ อวิชฺชาติฯ

    Tattha susiranti chiddaṃ. Matthaluṅgassa pūritanti dadhibharitaalābukaṃ viya matthaluṅgabharitaṃ. Tañca panetaṃ matthaluṅgaṃ visuddhimagge vuttanayeneva veditabbaṃ. Subhato naṃ maññati bāloti tamenaṃ evaṃ nānāvidhakuṇapabharitampi kāyaṃ duccintitacintī bālo subhato maññati, subhaṃ suciṃ iṭṭhaṃ kantaṃ manāpanti tīhipi taṇhādiṭṭhimānamaññanāhi maññati. Kasmā? Yasmā avijjāya purakkhato catusaccapaṭicchādakena mohena purakkhato, codito, pavattito, ‘‘evaṃ ādiya, evaṃ abhinivisa evaṃ maññāhī’’ti gāhitoti adhippāyo. Passa yāva anatthakarā cāyaṃ avijjāti.

    ๒๐๒. เอวํ ภควา สวิญฺญาณกวเสน อสุภํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ อวิญฺญาณกวเสน ทเสฺสตุํ, ยสฺมา วา จกฺกวตฺติรโญฺญปิ กาโย ยถาวุตฺตกุณปภริโตเยว โหติ, ตสฺมา สพฺพปฺปกาเรนปิ สมฺปตฺติภเว อสุภํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ วิปตฺติภเว ทเสฺสตุํ ‘‘ยทา จ โส มโต เสตี’’ติ คาถมาหฯ

    202. Evaṃ bhagavā saviññāṇakavasena asubhaṃ dassetvā idāni aviññāṇakavasena dassetuṃ, yasmā vā cakkavattiraññopi kāyo yathāvuttakuṇapabharitoyeva hoti, tasmā sabbappakārenapi sampattibhave asubhaṃ dassetvā idāni vipattibhave dassetuṃ ‘‘yadā ca so mato setī’’ti gāthamāha.

    ตสฺสโตฺถ – สฺวายเมวํวิโธ กาโย ยทา อายุอุสฺมาวิญฺญาณาปคเมน มโต วาตภริตภสฺตา วิย อุทฺธุมาตโก วณฺณปริเภเทน วินีลโก สุสานสฺมิํ นิรตฺถํว กลิงฺครํ ฉฑฺฑิตตฺตา อปวิโทฺธ เสติ, อถ ‘‘น ทานิสฺส ปุน อุฎฺฐานํ ภวิสฺสตี’’ติ เอกํสโตเยว อนเปกฺขา โหนฺติ ญาตโยฯ ตตฺถ มโตติ อนิจฺจตํ ทเสฺสติ, เสตีติ นิรีหกตฺตํฯ ตทุภเยน จ ชีวิตพลมทปฺปหาเน นิโยเชติฯ อุทฺธุมาโตติ สณฺฐานวิปตฺติํ ทเสฺสติ, วินีลโกติ ฉวิราควิปตฺติํฯ ตทุภเยน จ รูปมทปฺปหาเน วณฺณโปกฺขรตํ ปฎิจฺจ มานปฺปหาเน จ นิโยเชติฯ อปวิโทฺธติ คเหตพฺพาภาวํ ทเสฺสติ, สุสานสฺมินฺติ อโนฺต อธิวาเสตุมนรหํ ชิคุจฺฉนียภาวํฯ ตทุภเยนปิ ‘‘มม’’นฺติ คาหสฺส สุภสญฺญาย จ ปหาเน นิโยเชติฯ อนเปกฺขา โหนฺติ ญาตโยติ ปฎิกิริยาภาวํ ทเสฺสติ, เตน จ ปริวารมทปฺปหาเน นิโยเชติฯ

    Tassattho – svāyamevaṃvidho kāyo yadā āyuusmāviññāṇāpagamena mato vātabharitabhastā viya uddhumātako vaṇṇaparibhedena vinīlako susānasmiṃ niratthaṃva kaliṅgaraṃ chaḍḍitattā apaviddho seti, atha ‘‘na dānissa puna uṭṭhānaṃ bhavissatī’’ti ekaṃsatoyeva anapekkhā honti ñātayo. Tattha matoti aniccataṃ dasseti, setīti nirīhakattaṃ. Tadubhayena ca jīvitabalamadappahāne niyojeti. Uddhumātoti saṇṭhānavipattiṃ dasseti, vinīlakoti chavirāgavipattiṃ. Tadubhayena ca rūpamadappahāne vaṇṇapokkharataṃ paṭicca mānappahāne ca niyojeti. Apaviddhoti gahetabbābhāvaṃ dasseti, susānasminti anto adhivāsetumanarahaṃ jigucchanīyabhāvaṃ. Tadubhayenapi ‘‘mama’’nti gāhassa subhasaññāya ca pahāne niyojeti. Anapekkhā honti ñātayoti paṭikiriyābhāvaṃ dasseti, tena ca parivāramadappahāne niyojeti.

    ๒๐๓. เอวมิมาย คาถาย อปริภินฺนาวิญฺญาณกวเสน อสุภํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ปริภินฺนวเสนาปิ ทเสฺสตุํ ‘‘ขาทนฺติ น’’นฺติ คาถมาหฯ ตตฺถ เย จเญฺญติ เย จ อเญฺญปิ กากกุลลาทโย กุณปภกฺขา ปาณิโน สนฺติ, เตปิ นํ ขาทนฺตีติ อโตฺถฯ เสสํ อุตฺตานเมวฯ

    203. Evamimāya gāthāya aparibhinnāviññāṇakavasena asubhaṃ dassetvā idāni paribhinnavasenāpi dassetuṃ ‘‘khādanti na’’nti gāthamāha. Tattha ye caññeti ye ca aññepi kākakulalādayo kuṇapabhakkhā pāṇino santi, tepi naṃ khādantīti attho. Sesaṃ uttānameva.

    ๒๐๔. เอวํ ‘‘จรํ วา’’ติอาทินา นเยน สุญฺญตกมฺมฎฺฐานวเสน, ‘‘อฎฺฐินหารุสํยุโตฺต’’ติอาทินา สวิญฺญาณกาสุภวเสน ‘‘ยทา จ โส มโต เสตี’’ติอาทินา อวิญฺญาณกาสุภวเสน กายํ ทเสฺสตฺวา เอวํ นิจฺจสุขตฺตภาวสุเญฺญ เอกนฺตอสุเภ จาปิ กายสฺมิํ ‘‘สุภโต นํ มญฺญติ พาโล, อวิชฺชาย ปุรกฺขโต’’ติ อิมินา พาลสฺส วุตฺติํ ปกาเสตฺวา อวิชฺชามุเขน จ วฎฺฎํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ตตฺถ ปณฺฑิตสฺส วุตฺติํ ปริญฺญามุเขน จ วิวฎฺฎํ ทเสฺสตุํ ‘‘สุตฺวาน พุทฺธวจน’’นฺติ อารภิฯ

    204. Evaṃ ‘‘caraṃ vā’’tiādinā nayena suññatakammaṭṭhānavasena, ‘‘aṭṭhinahārusaṃyutto’’tiādinā saviññāṇakāsubhavasena ‘‘yadā ca so mato setī’’tiādinā aviññāṇakāsubhavasena kāyaṃ dassetvā evaṃ niccasukhattabhāvasuññe ekantaasubhe cāpi kāyasmiṃ ‘‘subhato naṃ maññati bālo, avijjāya purakkhato’’ti iminā bālassa vuttiṃ pakāsetvā avijjāmukhena ca vaṭṭaṃ dassetvā idāni tattha paṇḍitassa vuttiṃ pariññāmukhena ca vivaṭṭaṃ dassetuṃ ‘‘sutvāna buddhavacana’’nti ārabhi.

    ตตฺถ สุตฺวานาติ โยนิโส นิสาเมตฺวาฯ พุทฺธวจนนฺติ กายวิจฺฉนฺทนกรํ พุทฺธวจนํฯ ภิกฺขูติ เสโกฺข วา ปุถุชฺชโน วาฯ ปญฺญาณวาติ ปญฺญาณํ วุจฺจติ วิปสฺสนา อนิจฺจาทิปฺปกาเรสุ ปวตฺตตฺตา, ตาย สมนฺนาคโตติ อโตฺถฯ อิธาติ สาสเนฯ โส โข นํ ปริชานาตีติ โส อิมํ กายํ ตีหิ ปริญฺญาหิ ปริชานาติฯ กถํ? ยถา นาม กุสโล วาณิโช อิทญฺจิทญฺจาติ ภณฺฑํ โอโลเกตฺวา ‘‘เอตฺตเกน คหิเต เอตฺตโก นาม อุทโย ภวิสฺสตี’’ติ ตุลยิตฺวา ตถา กตฺวา ปุน สอุทยํ มูลํ คณฺหโนฺต ตํ ภณฺฑํ ฉเฑฺฑติ, เอวเมวํ ‘‘อฎฺฐินฺหารุอาทโย อิเม เกสโลมาทโย จา’’ติ ญาณจกฺขุนา โอโลเกโนฺต ญาตปริญฺญาย ปริชานาติ, ‘‘อนิจฺจา เอเต ธมฺมา ทุกฺขา อนตฺตา’’ติ ตุลยโนฺต ตีรณปริญฺญาย ปริชานาติ, เอวํ ตีรยิตฺวา อริยมคฺคํ ปาปุณโนฺต ตตฺถ ฉนฺทราคปฺปหาเนน ปหานปริญฺญาย ปริชานาติฯ สวิญฺญาณกาวิญฺญาณกอสุภวเสน วา ปสฺสโนฺต ญาตปริญฺญาย ปริชานาติ, อนิจฺจาทิวเสน ปสฺสโนฺต ตีรณปริญฺญาย, อรหตฺตมเคฺคน ตโต ฉนฺทราคํ อปกฑฺฒิตฺวา ตํ ปชหโนฺต ปหานปริญฺญาย ปริชานาติฯ

    Tattha sutvānāti yoniso nisāmetvā. Buddhavacananti kāyavicchandanakaraṃ buddhavacanaṃ. Bhikkhūti sekkho vā puthujjano vā. Paññāṇavāti paññāṇaṃ vuccati vipassanā aniccādippakāresu pavattattā, tāya samannāgatoti attho. Idhāti sāsane. So kho naṃ parijānātīti so imaṃ kāyaṃ tīhi pariññāhi parijānāti. Kathaṃ? Yathā nāma kusalo vāṇijo idañcidañcāti bhaṇḍaṃ oloketvā ‘‘ettakena gahite ettako nāma udayo bhavissatī’’ti tulayitvā tathā katvā puna saudayaṃ mūlaṃ gaṇhanto taṃ bhaṇḍaṃ chaḍḍeti, evamevaṃ ‘‘aṭṭhinhāruādayo ime kesalomādayo cā’’ti ñāṇacakkhunā olokento ñātapariññāya parijānāti, ‘‘aniccā ete dhammā dukkhā anattā’’ti tulayanto tīraṇapariññāya parijānāti, evaṃ tīrayitvā ariyamaggaṃ pāpuṇanto tattha chandarāgappahānena pahānapariññāya parijānāti. Saviññāṇakāviññāṇakaasubhavasena vā passanto ñātapariññāya parijānāti, aniccādivasena passanto tīraṇapariññāya, arahattamaggena tato chandarāgaṃ apakaḍḍhitvā taṃ pajahanto pahānapariññāya parijānāti.

    กสฺมา โส เอวํ ปริชานาตีติ เจ? ยถาภูตญฺหิ ปสฺสติ, ยสฺมา ยถาภูตํ ปสฺสตีติ อโตฺถฯ ‘‘ปญฺญาณวา’’ติอาทินา เอว จ เอตสฺมิํ อเตฺถ สิเทฺธ ยสฺมา พุทฺธวจนํ สุตฺวา ตสฺส ปญฺญาณวตฺตํ โหติ, ยสฺมา จ สพฺพชนสฺส ปากโฎปายํ กาโย อสุตฺวา พุทฺธวจนํ น สกฺกา ปริชานิตุํ, ตสฺมา ตสฺส ญาณเหตุํ อิโต พาหิรานํ เอวํ ทฎฺฐุํ อสมตฺถตญฺจ ทเสฺสตุํ ‘‘สุตฺวาน พุทฺธวจน’’นฺติ อาหฯ นนฺทาภิกฺขุนิํ ตญฺจ วิปลฺลตฺถจิตฺตํ ภิกฺขุํ อารพฺภ เทสนาปวตฺติโต อคฺคปริสโต ตปฺปฎิปตฺติปฺปตฺตานํ ภิกฺขุภาวทสฺสนโต จ ‘‘ภิกฺขู’’ติ อาหฯ

    Kasmā so evaṃ parijānātīti ce? Yathābhūtañhi passati, yasmā yathābhūtaṃ passatīti attho. ‘‘Paññāṇavā’’tiādinā eva ca etasmiṃ atthe siddhe yasmā buddhavacanaṃ sutvā tassa paññāṇavattaṃ hoti, yasmā ca sabbajanassa pākaṭopāyaṃ kāyo asutvā buddhavacanaṃ na sakkā parijānituṃ, tasmā tassa ñāṇahetuṃ ito bāhirānaṃ evaṃ daṭṭhuṃ asamatthatañca dassetuṃ ‘‘sutvāna buddhavacana’’nti āha. Nandābhikkhuniṃ tañca vipallatthacittaṃ bhikkhuṃ ārabbha desanāpavattito aggaparisato tappaṭipattippattānaṃ bhikkhubhāvadassanato ca ‘‘bhikkhū’’ti āha.

    ๒๐๕. อิทานิ ‘‘ยถาภูตญฺหิ ปสฺสตี’’ติ เอตฺถ ยถา ปสฺสโนฺต ยถาภูตํ ปสฺสติ, ตํ ทเสฺสตุํ อาห ‘‘ยถา อิทํ ตถา เอตํ, ยถา เอตํ ตถา อิท’’นฺติฯ ตสฺสโตฺถ – ยถา อิทํ สวิญฺญาณกาสุภํ อายุอุสฺมาวิญฺญาณานํ อนปคมา จรติ, ติฎฺฐติ, นิสีทติ, สยติ; ตถา เอตํ เอตรหิ สุสาเน สยิตํ อวิญฺญาณกมฺปิ ปุเพฺพ เตสํ ธมฺมานํ อนปคมา อโหสิฯ ยถา จ เอตํ เอตรหิ มตสรีรํ เตสํ ธมฺมานํ อปคมา น จรติ, น ติฎฺฐติ, น นิสีทติ, น เสยฺยํ กเปฺปติ, ตถา อิทํ สวิญฺญาณกมฺปิ เตสํ ธมฺมานํ อปคมา ภวิสฺสติฯ ยถา จ อิทํ สวิญฺญาณกํ เอตรหิ น สุสาเน มตํ เสติ, น อุทฺธุมาตกาทิภาวมุปคตํ, ตถา เอตํ เอตรหิ มตสรีรมฺปิ ปุเพฺพ อโหสิฯ ยถา ปเนตํ เอตรหิ อวิญฺญาณกาสุภํ มตํ สุสาเน เสติ, อุทฺธุมาตกาทิภาวญฺจ อุปคตํ, ตถา อิทํ สวิญฺญาณกมฺปิ ภวิสฺสตีติฯ

    205. Idāni ‘‘yathābhūtañhi passatī’’ti ettha yathā passanto yathābhūtaṃ passati, taṃ dassetuṃ āha ‘‘yathā idaṃ tathā etaṃ, yathā etaṃ tathā ida’’nti. Tassattho – yathā idaṃ saviññāṇakāsubhaṃ āyuusmāviññāṇānaṃ anapagamā carati, tiṭṭhati, nisīdati, sayati; tathā etaṃ etarahi susāne sayitaṃ aviññāṇakampi pubbe tesaṃ dhammānaṃ anapagamā ahosi. Yathā ca etaṃ etarahi matasarīraṃ tesaṃ dhammānaṃ apagamā na carati, na tiṭṭhati, na nisīdati, na seyyaṃ kappeti, tathā idaṃ saviññāṇakampi tesaṃ dhammānaṃ apagamā bhavissati. Yathā ca idaṃ saviññāṇakaṃ etarahi na susāne mataṃ seti, na uddhumātakādibhāvamupagataṃ, tathā etaṃ etarahi matasarīrampi pubbe ahosi. Yathā panetaṃ etarahi aviññāṇakāsubhaṃ mataṃ susāne seti, uddhumātakādibhāvañca upagataṃ, tathā idaṃ saviññāṇakampi bhavissatīti.

    ตตฺถ ยถา อิทํ ตถา เอตนฺติ อตฺตนา มตสฺส สรีรสฺส สมานภาวํ กโรโนฺต พาหิเร โทสํ ปชหติฯ ยถา เอตํ ตถา อิทนฺติ มตสรีเรน อตฺตโน สมานภาวํ กโรโนฺต อชฺฌตฺติเก ราคํ ปชหติฯ เยนากาเรน อุภยํ สภํ กโรติ, ตํ ปชานโนฺต อุภยตฺถ โมหํ ปชหติฯ เอวํ ยถาภูตทสฺสเนน ปุพฺพภาเคเยว อกุสลมูลปฺปหานํ สาเธตฺวา, ยสฺมา เอวํ ปฎิปโนฺน ภิกฺขุ อนุปุเพฺพน อรหตฺตมคฺคํ ปตฺวา สพฺพํ ฉนฺทราคํ วิราเชตุํ สมโตฺถ โหติ, ตสฺมา อาห ‘‘อชฺฌตฺตญฺจ พหิทฺธา จ, กาเย ฉนฺทํ วิราชเย’’ติฯ เอวํ ปฎิปโนฺน ภิกฺขุ อนุปุเพฺพนาติ ปาฐเสโสฯ

    Tattha yathā idaṃ tathā etanti attanā matassa sarīrassa samānabhāvaṃ karonto bāhire dosaṃ pajahati. Yathā etaṃ tathā idanti matasarīrena attano samānabhāvaṃ karonto ajjhattike rāgaṃ pajahati. Yenākārena ubhayaṃ sabhaṃ karoti, taṃ pajānanto ubhayattha mohaṃ pajahati. Evaṃ yathābhūtadassanena pubbabhāgeyeva akusalamūlappahānaṃ sādhetvā, yasmā evaṃ paṭipanno bhikkhu anupubbena arahattamaggaṃ patvā sabbaṃ chandarāgaṃ virājetuṃ samattho hoti, tasmā āha ‘‘ajjhattañca bahiddhā ca, kāye chandaṃ virājaye’’ti. Evaṃ paṭipanno bhikkhu anupubbenāti pāṭhaseso.

    ๒๐๖. เอวํ เสกฺขภูมิํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ อเสกฺขภูมิํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘ฉนฺทราควิรโตฺต โส’’ติฯ ตสฺสโตฺถ – โส ภิกฺขุ อรหตฺตมคฺคญาเณน ปญฺญาณวา มคฺคานนฺตรํ ผลํ ปาปุณาติ, อถ สพฺพโส ฉนฺทราคสฺส ปหีนตฺตา ‘‘ฉนฺทราควิรโตฺต’’ติ จ, มรณาภาเวน ปณีตเฎฺฐน วา อมตํ สพฺพสงฺขารวูปสมนโต สนฺติํ ตณฺหาสงฺขาตวานาภาวโต นิพฺพานํ, จวนาภาวโต อจฺจุตนฺติ สํวณฺณิตํ ปทมชฺฌคาติ จ วุจฺจติฯ อถ วา โส ภิกฺขุ อรหตฺตมคฺคญาเณน ปญฺญาณวา มคฺคานนฺตรผเล ฐิโต ฉนฺทราควิรโตฺต นาม โหติ, วุตฺตปฺปการญฺจ ปทมชฺฌคาติ เวทิตโพฺพฯ เตน ‘‘อิทมสฺส ปหีนํ, อิทญฺจาเนน ลทฺธ’’นฺติ ทีเปติฯ

    206. Evaṃ sekkhabhūmiṃ dassetvā idāni asekkhabhūmiṃ dassento āha ‘‘chandarāgaviratto so’’ti. Tassattho – so bhikkhu arahattamaggañāṇena paññāṇavā maggānantaraṃ phalaṃ pāpuṇāti, atha sabbaso chandarāgassa pahīnattā ‘‘chandarāgaviratto’’ti ca, maraṇābhāvena paṇītaṭṭhena vā amataṃ sabbasaṅkhāravūpasamanato santiṃ taṇhāsaṅkhātavānābhāvato nibbānaṃ, cavanābhāvato accutanti saṃvaṇṇitaṃ padamajjhagāti ca vuccati. Atha vā so bhikkhu arahattamaggañāṇena paññāṇavā maggānantaraphale ṭhito chandarāgaviratto nāma hoti, vuttappakārañca padamajjhagāti veditabbo. Tena ‘‘idamassa pahīnaṃ, idañcānena laddha’’nti dīpeti.

    ๒๐๗-๒๐๘. เอวํ สวิญฺญาณกาวิญฺญาณกวเสน อสุภกมฺมฎฺฐานํ สห นิปฺผตฺติยา กเถตฺวา ปุน สเงฺขปเทสนาย เอวํ มหโต อานิสํสสฺส อนฺตรายกรํ ปมาทวิหารํ ครหโนฺต ‘‘ทฺวิปาทโกย’’นฺติ คาถาทฺวยมาหฯ ตตฺถ กิญฺจาปิ อปาทกาทโยปิ กายา อสุจีเยว, อิธาธิการวเสน ปน อุกฺกฎฺฐปริเจฺฉทวเสน วา, ยสฺมา วา อเญฺญ อสุจิภูตาปิ กายา โลณมฺพิลาทีหิ อภิสงฺขริตฺวา มนุสฺสานํ โภชเนปิ อุปนียนฺติ, น เตฺวว มนุสฺสกาโย, ตสฺมา อสุจิตรภาวมสฺส ทเสฺสโนฺตปิ ‘‘ทฺวิปาทโก’’ติ อาหฯ

    207-208. Evaṃ saviññāṇakāviññāṇakavasena asubhakammaṭṭhānaṃ saha nipphattiyā kathetvā puna saṅkhepadesanāya evaṃ mahato ānisaṃsassa antarāyakaraṃ pamādavihāraṃ garahanto ‘‘dvipādakoya’’nti gāthādvayamāha. Tattha kiñcāpi apādakādayopi kāyā asucīyeva, idhādhikāravasena pana ukkaṭṭhaparicchedavasena vā, yasmā vā aññe asucibhūtāpi kāyā loṇambilādīhi abhisaṅkharitvā manussānaṃ bhojanepi upanīyanti, na tveva manussakāyo, tasmā asucitarabhāvamassa dassentopi ‘‘dvipādako’’ti āha.

    อยนฺติ มนุสฺสกายํ ทเสฺสติฯ ทุคฺคโนฺธ ปริหีรตีติ ทุคฺคโนฺธ สมาโน ปุปฺผคนฺธาทีหิ อภิสงฺขริตฺวา ปริหีรติฯ นานากุณปปริปูโรติ เกสาทิอเนกปฺปการกุณปภริโตฯ วิสฺสวโนฺต ตโต ตโตติ ปุปฺผคนฺธาทีหิ ปฎิจฺฉาเทตุํ ฆเฎนฺตานมฺปิ ตํ วายามํ นิปฺผลํ กตฺวา นวหิ ทฺวาเรหิ เขฬสิงฺฆาณิกาทีนิ, โลมกูเปหิ จ เสทชลฺลิกํ วิสฺสวโนฺตเยวฯ ตตฺถ ทานิ ปสฺสถ – เอตาทิเสน กาเยน โย ปุริโส วา อิตฺถี วา โกจิ พาโล มเญฺญ อุณฺณเมตเว ตณฺหาทิฎฺฐิมานมญฺญนาหิ ‘‘อห’’นฺติ วา ‘‘มม’’นฺติ วา ‘‘นิโจฺจ’’ติ วาติอาทินา นเยน โย อุณฺณมิตุํ มเญฺญยฺย, ปรํ วา ชาติอาทีหิ อวชาเนยฺย อตฺตานํ อุเจฺจ ฐาเน ฐเปโนฺต, กิมญฺญตฺร อทสฺสนา ฐเปตฺวา อริยมเคฺคน อริยสจฺจทสฺสนาภาวํ กิมญฺญํ ตสฺส เอวํ อุณฺณมาวชานนการณํ สิยาติฯ

    Ayanti manussakāyaṃ dasseti. Duggandho parihīratīti duggandho samāno pupphagandhādīhi abhisaṅkharitvā parihīrati. Nānākuṇapaparipūroti kesādianekappakārakuṇapabharito. Vissavanto tato tatoti pupphagandhādīhi paṭicchādetuṃ ghaṭentānampi taṃ vāyāmaṃ nipphalaṃ katvā navahi dvārehi kheḷasiṅghāṇikādīni, lomakūpehi ca sedajallikaṃ vissavantoyeva. Tattha dāni passatha – etādisena kāyena yo puriso vā itthī vā koci bālo maññe uṇṇametave taṇhādiṭṭhimānamaññanāhi ‘‘aha’’nti vā ‘‘mama’’nti vā ‘‘nicco’’ti vātiādinā nayena yo uṇṇamituṃ maññeyya, paraṃ vā jātiādīhi avajāneyya attānaṃ ucce ṭhāne ṭhapento, kimaññatra adassanā ṭhapetvā ariyamaggena ariyasaccadassanābhāvaṃ kimaññaṃ tassa evaṃ uṇṇamāvajānanakāraṇaṃ siyāti.

    เทสนาปริโยสาเน นนฺทา ภิกฺขุนี สํเวคมาปาทิ – ‘‘อโห วต เร, อหํ พาลา, ยา มํเยว อารพฺภ เอวํ วิวิธธมฺมเทสนาปวตฺตกสฺส ภควโต อุปฎฺฐานํ นาคมาสิ’’นฺติฯ เอวํ สํวิคฺคา จ ตเมว ธมฺมเทสนํ สมนฺนาหริตฺวา เตเนว กมฺมฎฺฐาเนน กติปยทิวสพฺภนฺตเร อรหตฺตํ สจฺฉากาสิฯ ทุติยฎฺฐาเนปิ กิร เทสนาปริโยสาเน จตุราสีติยา ปาณสหสฺสานํ ธมฺมาภิสมโย อโหสิ, สิริมา เทวกญฺญา อนาคามิผลํ ปตฺตา, โส จ ภิกฺขุ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหีติฯ

    Desanāpariyosāne nandā bhikkhunī saṃvegamāpādi – ‘‘aho vata re, ahaṃ bālā, yā maṃyeva ārabbha evaṃ vividhadhammadesanāpavattakassa bhagavato upaṭṭhānaṃ nāgamāsi’’nti. Evaṃ saṃviggā ca tameva dhammadesanaṃ samannāharitvā teneva kammaṭṭhānena katipayadivasabbhantare arahattaṃ sacchākāsi. Dutiyaṭṭhānepi kira desanāpariyosāne caturāsītiyā pāṇasahassānaṃ dhammābhisamayo ahosi, sirimā devakaññā anāgāmiphalaṃ pattā, so ca bhikkhu sotāpattiphale patiṭṭhahīti.

    ปรมตฺถโชติกาย ขุทฺทก-อฎฺฐกถาย

    Paramatthajotikāya khuddaka-aṭṭhakathāya

    สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถาย วิชยสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Suttanipāta-aṭṭhakathāya vijayasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / สุตฺตนิปาตปาฬิ • Suttanipātapāḷi / ๑๑. วิชยสุตฺตํ • 11. Vijayasuttaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact