Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๓๙๑] ๖. วิชฺชาธรชาตกวณฺณนา
[391] 6. Vijjādharajātakavaṇṇanā
ทุพฺพณฺณรูปนฺติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต โลกตฺถจริยํ อารพฺภ กเถสิฯ วตฺถุ มหากณฺหชาตเก (ชา. ๑.๑๒.๖๑ อาทโย) อาวิ ภวิสฺสติฯ ตทา ปน สตฺถา ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว, ปุเพฺพปิ ตถาคโต โลกตฺถจริยํ จริเยวา’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Dubbaṇṇarūpanti idaṃ satthā jetavane viharanto lokatthacariyaṃ ārabbha kathesi. Vatthu mahākaṇhajātake (jā. 1.12.61 ādayo) āvi bhavissati. Tadā pana satthā ‘‘na, bhikkhave, idāneva, pubbepi tathāgato lokatthacariyaṃ cariyevā’’ti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต สโกฺก อโหสิฯ ตทา เอโก วิชฺชาธโร วิชฺชํ ปริวเตฺตตฺวา อฑฺฒรตฺตสมเย อาคนฺตฺวา พาราณสิรโญฺญ อคฺคมเหสิยา สทฺธิํ อติจรติ, ตสฺสา ปริจาริกาโย สญฺชานิํสุฯ สา สยเมว ราชานํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘เทว, เอโก ปุริโส อฑฺฒรตฺตสมเย สิริคพฺภํ ปวิสิตฺวา มํ ทูเสตี’’ติ อาหฯ ‘‘สกฺขิสฺสสิ ปน กิญฺจิ สญฺญาณํ กาตุ’’นฺติ? ‘‘สโกฺกมิ, เทวา’’ติ สา ชาติหิงฺคุลิกปาติํ อาหราเปตฺวา ตสฺส ปุริสสฺส รตฺติํ อาคนฺตฺวา อภิรมิตฺวา คจฺฉนฺตสฺส ปิฎฺฐิยํ ปญฺจงฺคุลิกํ ทตฺวา ปาโตว รโญฺญ อาโรเจสิฯ ราชา มนุเสฺส อาณาเปสิ ‘‘คจฺฉถ, สพฺพทิสาสุ โอโลเกตฺวา ปิฎฺฐิยํ กตชาติหิงฺคุลปญฺจงฺคุลิกปุริสํ คณฺหถา’’ติฯ วิชฺชาธโรปิ รตฺติํ อนาจารํ กตฺวา ทิวา สุสาเน สูริยํ นมสฺสโนฺต เอกปาเทน ติฎฺฐติฯ ราชปุริสา ตํ ทิสฺวา ปริวารยิํสุฯ โส ‘‘ปากฎํ เม กมฺมํ ชาต’’นฺติ วิชฺชํ ปริวเตฺตตฺวา อากาเสน อุปฺปติตฺวา คโตฯ
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto sakko ahosi. Tadā eko vijjādharo vijjaṃ parivattetvā aḍḍharattasamaye āgantvā bārāṇasirañño aggamahesiyā saddhiṃ aticarati, tassā paricārikāyo sañjāniṃsu. Sā sayameva rājānaṃ upasaṅkamitvā ‘‘deva, eko puriso aḍḍharattasamaye sirigabbhaṃ pavisitvā maṃ dūsetī’’ti āha. ‘‘Sakkhissasi pana kiñci saññāṇaṃ kātu’’nti? ‘‘Sakkomi, devā’’ti sā jātihiṅgulikapātiṃ āharāpetvā tassa purisassa rattiṃ āgantvā abhiramitvā gacchantassa piṭṭhiyaṃ pañcaṅgulikaṃ datvā pātova rañño ārocesi. Rājā manusse āṇāpesi ‘‘gacchatha, sabbadisāsu oloketvā piṭṭhiyaṃ katajātihiṅgulapañcaṅgulikapurisaṃ gaṇhathā’’ti. Vijjādharopi rattiṃ anācāraṃ katvā divā susāne sūriyaṃ namassanto ekapādena tiṭṭhati. Rājapurisā taṃ disvā parivārayiṃsu. So ‘‘pākaṭaṃ me kammaṃ jāta’’nti vijjaṃ parivattetvā ākāsena uppatitvā gato.
ราชา ตํ ทิสฺวา อาคตปุริเส ‘‘อทฺทสถา’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘อาม, อทฺทสามา’’ติฯ ‘‘โก นาเมโส’’ติ? ‘‘ปพฺพชิโต, เทวา’’ติฯ ‘‘โส หิ รตฺติํ อนาจารํ กตฺวา ทิวา ปพฺพชิตเวเสน วสติ’’ฯ ราชา ‘‘อิเม ทิวา สมณเวเสน จริตฺวา รตฺติํ อนาจารํ กโรนฺตี’’ติ ปพฺพชิตานํ กุชฺฌิตฺวา มิจฺฉาคหณํ คเหตฺวา ‘‘มยฺหํ วิชิตา อิเม สเพฺพ ปพฺพชิตา ปลายนฺตุ, ทิฎฺฐทิฎฺฐฎฺฐาเน ราชาณํ กริสฺสนฺตู’’ติ เภริํ จราเปสิฯ ติโยชนสติกา กาสิรฎฺฐา ปลายิตฺวา สเพฺพ ปพฺพชิตา อญฺญราชธานิโย อคมิํสุฯ สกลกาสิรเฎฺฐ มนุสฺสานํ โอวาททายโก เอโกปิ ธมฺมิกสมณพฺราหฺมโณ นาโหสิฯ อโนวาทกา มนุสฺสา ผรุสา อเหสุํ, ทานสีลวิมุขา มตมตา เยภุเยฺยน อปาเย นิพฺพตฺติํสุ, สเคฺค นิพฺพตฺตนกา นาม นาเหสุํฯ
Rājā taṃ disvā āgatapurise ‘‘addasathā’’ti pucchi. ‘‘Āma, addasāmā’’ti. ‘‘Ko nāmeso’’ti? ‘‘Pabbajito, devā’’ti. ‘‘So hi rattiṃ anācāraṃ katvā divā pabbajitavesena vasati’’. Rājā ‘‘ime divā samaṇavesena caritvā rattiṃ anācāraṃ karontī’’ti pabbajitānaṃ kujjhitvā micchāgahaṇaṃ gahetvā ‘‘mayhaṃ vijitā ime sabbe pabbajitā palāyantu, diṭṭhadiṭṭhaṭṭhāne rājāṇaṃ karissantū’’ti bheriṃ carāpesi. Tiyojanasatikā kāsiraṭṭhā palāyitvā sabbe pabbajitā aññarājadhāniyo agamiṃsu. Sakalakāsiraṭṭhe manussānaṃ ovādadāyako ekopi dhammikasamaṇabrāhmaṇo nāhosi. Anovādakā manussā pharusā ahesuṃ, dānasīlavimukhā matamatā yebhuyyena apāye nibbattiṃsu, sagge nibbattanakā nāma nāhesuṃ.
สโกฺก นเว เทวปุเตฺต อปสฺสโนฺต ‘‘กิํ นุ โข การณ’’นฺติ อาวเชฺชตฺวา วิชฺชาธรํ นิสฺสาย พาราณสิรญฺญา กุเทฺธน มิจฺฉาคหณํ คเหตฺวา ปพฺพชิตานํ รฎฺฐา ปพฺพาชิตภาวํ ญตฺวา ‘‘ฐเปตฺวา มํ อโญฺญ อิมสฺส รโญฺญ มิจฺฉาคหณํ ภินฺทิตุํ สมโตฺถ นาม นตฺถิ, รโญฺญ จ รฎฺฐวาสีนญฺจ อวสฺสโย ภวิสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา นนฺทมูลปพฺภาเร ปเจฺจกพุทฺธานํ สนฺติกํ คนฺตฺวา วนฺทิตฺวา ‘‘ภเนฺต, มยฺหํ เอกํ มหลฺลกํ ปเจฺจกพุทฺธํ เทถ, กาสิรฎฺฐํ ปสาเทสฺสามี’’ติ อาหฯ โส สงฺฆเตฺถรเมว ลภิ, อถสฺส ปตฺตจีวรํ คเหตฺวา ตํ ปุรโต กตฺวา สยํ ปจฺฉโต หุตฺวา สิรสฺมิํ อญฺชลิํ ฐเปตฺวา ปเจฺจกพุทฺธํ นมสฺสโนฺต อุตฺตมรูปธโร มาณวโก หุตฺวา สกลนครสฺส มตฺถเกน ติกฺขตฺตุํ วิจริตฺวา ราชทฺวารํ อาคนฺตฺวา อากาเส อฎฺฐาสิฯ อมจฺจา รโญฺญ อาโรเจสุํ ‘‘เทว, อภิรูโป มาณวโก เอกํ สมณํ อาเนตฺวา ราชทฺวาเร อากาเส ฐิโต’’ติฯ ราชา อาสนา อุฎฺฐาย สีหปญฺชเร ฐตฺวา ‘‘มาณวก, กสฺมา ตฺวํ อภิรูโป สมาโน เอตสฺส วิรูปสฺส สมณสฺส ปตฺตจีวรํ คเหตฺวา นมสฺสมาโน ฐิโต’’ติ เตน สทฺธิํ สลฺลปโนฺต ปฐมํ คาถมาห –
Sakko nave devaputte apassanto ‘‘kiṃ nu kho kāraṇa’’nti āvajjetvā vijjādharaṃ nissāya bārāṇasiraññā kuddhena micchāgahaṇaṃ gahetvā pabbajitānaṃ raṭṭhā pabbājitabhāvaṃ ñatvā ‘‘ṭhapetvā maṃ añño imassa rañño micchāgahaṇaṃ bhindituṃ samattho nāma natthi, rañño ca raṭṭhavāsīnañca avassayo bhavissāmī’’ti cintetvā nandamūlapabbhāre paccekabuddhānaṃ santikaṃ gantvā vanditvā ‘‘bhante, mayhaṃ ekaṃ mahallakaṃ paccekabuddhaṃ detha, kāsiraṭṭhaṃ pasādessāmī’’ti āha. So saṅghattherameva labhi, athassa pattacīvaraṃ gahetvā taṃ purato katvā sayaṃ pacchato hutvā sirasmiṃ añjaliṃ ṭhapetvā paccekabuddhaṃ namassanto uttamarūpadharo māṇavako hutvā sakalanagarassa matthakena tikkhattuṃ vicaritvā rājadvāraṃ āgantvā ākāse aṭṭhāsi. Amaccā rañño ārocesuṃ ‘‘deva, abhirūpo māṇavako ekaṃ samaṇaṃ ānetvā rājadvāre ākāse ṭhito’’ti. Rājā āsanā uṭṭhāya sīhapañjare ṭhatvā ‘‘māṇavaka, kasmā tvaṃ abhirūpo samāno etassa virūpassa samaṇassa pattacīvaraṃ gahetvā namassamāno ṭhito’’ti tena saddhiṃ sallapanto paṭhamaṃ gāthamāha –
๑๐๘.
108.
‘‘ทุพฺพณฺณรูปํ ตุวมริยวณฺณี, ปุรกฺขตฺวา ปญฺชลิโก นมสฺสสิ;
‘‘Dubbaṇṇarūpaṃ tuvamariyavaṇṇī, purakkhatvā pañjaliko namassasi;
เสโยฺย นุ เตโส อุทวา สริโกฺข, นามํ ปรสฺสตฺตโน จาปิ พฺรูหี’’ติฯ
Seyyo nu teso udavā sarikkho, nāmaṃ parassattano cāpi brūhī’’ti.
ตตฺถ อริยวณฺณีติ สุนฺทรรูโปฯ เสโยฺย นุ เตโสติ เอโส วิรูโป ปพฺพชิโต กิํ นุ ตยา อุตฺตริตโร, อุทาหุ สริโกฺขฯ นามํ ปรสฺสตฺตโน จาปีติ เอตสฺส ปรสฺส จ อตฺตโน จ นามํ พฺรูหีติ ปุจฺฉติฯ
Tattha ariyavaṇṇīti sundararūpo. Seyyo nu tesoti eso virūpo pabbajito kiṃ nu tayā uttaritaro, udāhu sarikkho. Nāmaṃ parassattano cāpīti etassa parassa ca attano ca nāmaṃ brūhīti pucchati.
อถ นํ สโกฺก ‘‘มหาราช, สมณา นาม ครุฎฺฐานิยา, เตน เม นามํ ลปิตุํ น ลพฺภติ, มยฺหํ ปน เต นามํ กเถสฺสามี’’ติ วตฺวา ทุติยํ คาถมาห –
Atha naṃ sakko ‘‘mahārāja, samaṇā nāma garuṭṭhāniyā, tena me nāmaṃ lapituṃ na labbhati, mayhaṃ pana te nāmaṃ kathessāmī’’ti vatvā dutiyaṃ gāthamāha –
๑๐๙.
109.
‘‘น นามโคตฺตํ คณฺหนฺติ ราช, สมฺมคฺคตานุชฺชุคตาน เทวา;
‘‘Na nāmagottaṃ gaṇhanti rāja, sammaggatānujjugatāna devā;
อหญฺจ เต นามเธยฺยํ วทามิ, สโกฺกหมสฺมี ติทสานมิโนฺท’’ติฯ
Ahañca te nāmadheyyaṃ vadāmi, sakkohamasmī tidasānamindo’’ti.
ตตฺถ สมฺมคฺคตานุชฺชุคตาน เทวาติ มหาราช, สพฺพสงฺขาเร ยถา สภาวสรสวเสน สมฺมสิตฺวา อคฺคผลํ อรหตฺตํ ปตฺตตฺตา สมฺมคฺคตานํ, อุชุนา จ อฎฺฐงฺคิเกน มเคฺคน นิพฺพานํ คตตฺตา อุชุคตานํ มหาขีณาสวานํ อุปปตฺติเทเวหิ อุตฺตริตรานํ วิสุทฺธิเทวานํ อุปปตฺติเทวา นามโคตฺตํ น คณฺหนฺติฯ อหญฺจ เต นามเธยฺยนฺติ อปิจ อหํ อตฺตโน นามเธยฺยํ ตุยฺหํ กเถมิฯ
Tattha sammaggatānujjugatāna devāti mahārāja, sabbasaṅkhāre yathā sabhāvasarasavasena sammasitvā aggaphalaṃ arahattaṃ pattattā sammaggatānaṃ, ujunā ca aṭṭhaṅgikena maggena nibbānaṃ gatattā ujugatānaṃ mahākhīṇāsavānaṃ upapattidevehi uttaritarānaṃ visuddhidevānaṃ upapattidevā nāmagottaṃ na gaṇhanti. Ahañca te nāmadheyyanti apica ahaṃ attano nāmadheyyaṃ tuyhaṃ kathemi.
ตํ สุตฺวา ราชา ตติยคาถาย ภิกฺขุนมสฺสเน อานิสํสํ ปุจฺฉิ –
Taṃ sutvā rājā tatiyagāthāya bhikkhunamassane ānisaṃsaṃ pucchi –
๑๑๐.
110.
‘‘โย ทิสฺวา ภิกฺขุํ จรณูปปนฺนํ, ปุรกฺขตฺวา ปญฺชลิโก นมสฺสติ;
‘‘Yo disvā bhikkhuṃ caraṇūpapannaṃ, purakkhatvā pañjaliko namassati;
ปุจฺฉามิ ตํ เทวราเชตมตฺถํ, อิโต จุโต กิํ ลภเต สุขํ โส’’ติฯ
Pucchāmi taṃ devarājetamatthaṃ, ito cuto kiṃ labhate sukhaṃ so’’ti.
สโกฺก จตุตฺถคาถาย กเถสิ –
Sakko catutthagāthāya kathesi –
๑๑๑.
111.
‘‘โย ทิสฺวา ภิกฺขุํ จรณูปปนฺนํ, ปุรกฺขตฺวา ปญฺชลิโก นมสฺสติ;
‘‘Yo disvā bhikkhuṃ caraṇūpapannaṃ, purakkhatvā pañjaliko namassati;
ทิเฎฺฐว ธเมฺม ลภเต ปสํสํ, สคฺคญฺจ โส ยาติ สรีรเภทา’’ติฯ
Diṭṭheva dhamme labhate pasaṃsaṃ, saggañca so yāti sarīrabhedā’’ti.
ตตฺถ ภิกฺขุนฺติ ภินฺนกิเลสํ ปริสุทฺธปุคฺคลํฯ จรณูปปนฺนนฺติ สีลจรเณน อุเปตํฯ ทิเฎฺฐว ธเมฺมติ น เกวลํ อิโต จุโตเยว, อิมสฺมิํ ปน อตฺตภาเว โส ปสํสํ ลภติ, ปสํสาสุขํ วินฺทตีติฯ
Tattha bhikkhunti bhinnakilesaṃ parisuddhapuggalaṃ. Caraṇūpapannanti sīlacaraṇena upetaṃ. Diṭṭheva dhammeti na kevalaṃ ito cutoyeva, imasmiṃ pana attabhāve so pasaṃsaṃ labhati, pasaṃsāsukhaṃ vindatīti.
ราชา สกฺกสฺส กถํ สุตฺวา อตฺตโน มิจฺฉาคหณํ ภินฺทิตฺวา ตุฎฺฐมานโส ปญฺจมํ คาถมาห –
Rājā sakkassa kathaṃ sutvā attano micchāgahaṇaṃ bhinditvā tuṭṭhamānaso pañcamaṃ gāthamāha –
๑๑๒.
112.
‘‘ลกฺขี วต เม อุทปาทิ อชฺช, ยํ วาสวํ ภูตปติทฺทสาม;
‘‘Lakkhī vata me udapādi ajja, yaṃ vāsavaṃ bhūtapatiddasāma;
ภิกฺขุญฺจ ทิสฺวาน ตุวญฺจ สกฺก, กาหามิ ปุญฺญานิ อนปฺปกานี’’ติฯ
Bhikkhuñca disvāna tuvañca sakka, kāhāmi puññāni anappakānī’’ti.
ตตฺถ ลกฺขีติ สิรี, ปญฺญาติปิ วทนฺติฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – อชฺช มม ตว วจนํ สุณนฺตเสฺสว กุสลากุสลวิปากชานนปญฺญา อุทปาทีติฯ ยนฺติ นิปาตมตฺตํฯ ภูตปติทฺทสามาติ ภูตปติํ อทฺทสามฯ
Tattha lakkhīti sirī, paññātipi vadanti. Idaṃ vuttaṃ hoti – ajja mama tava vacanaṃ suṇantasseva kusalākusalavipākajānanapaññā udapādīti. Yanti nipātamattaṃ. Bhūtapatiddasāmāti bhūtapatiṃ addasāma.
ตํ สุตฺวา สโกฺก ปณฺฑิตสฺส ถุติํ กโรโนฺต ฉฎฺฐํ คาถมาห –
Taṃ sutvā sakko paṇḍitassa thutiṃ karonto chaṭṭhaṃ gāthamāha –
๑๑๓.
113.
‘‘อทฺธา หเว เสวิตพฺพา สปญฺญา, พหุสฺสุตา เย พหุฐานจินฺติโน;
‘‘Addhā have sevitabbā sapaññā, bahussutā ye bahuṭhānacintino;
ภิกฺขุญฺจ ทิสฺวาน มมญฺจ ราช, กโรหิ ปุญฺญานิ อนปฺปกานี’’ติฯ
Bhikkhuñca disvāna mamañca rāja, karohi puññāni anappakānī’’ti.
ตตฺถ พหุฐานจินฺติโนติ พหูนิ การณานิ จินฺตนสมตฺถาฯ
Tattha bahuṭhānacintinoti bahūni kāraṇāni cintanasamatthā.
ตํ สุตฺวา ราชา โอสานคาถมาห –
Taṃ sutvā rājā osānagāthamāha –
๑๑๔.
114.
‘‘อโกฺกธโน นิจฺจปสนฺนจิโตฺต, สพฺพาติถียาจโยโค ภวิตฺวา;
‘‘Akkodhano niccapasannacitto, sabbātithīyācayogo bhavitvā;
นิหจฺจ มานํ อภิวาทยิสฺสํ, สุตฺวาน เทวินฺท สุภาสิตานี’’ติฯ
Nihacca mānaṃ abhivādayissaṃ, sutvāna devinda subhāsitānī’’ti.
ตตฺถ สพฺพาติถียาจโยโค ภวิตฺวาติ สเพฺพสํ อติถีนํ อาคตานํ อาคนฺตุกานํ ยํ ยํ เต ยาจนฺติ, ตสฺส ตสฺส ยุโตฺต อนุจฺฉวิโก ภวิตฺวา, สพฺพํ เตหิ ยาจิตยาจิตํ ททมาโนติ อโตฺถฯ สุตฺวาน เทวินฺท สุภาสิตานีติ ตว สุภาสิตานิ สุตฺวา อหํ เอวรูโป ภวิสฺสามีติ วทติฯ
Tattha sabbātithīyācayogo bhavitvāti sabbesaṃ atithīnaṃ āgatānaṃ āgantukānaṃ yaṃ yaṃ te yācanti, tassa tassa yutto anucchaviko bhavitvā, sabbaṃ tehi yācitayācitaṃ dadamānoti attho. Sutvāna devinda subhāsitānīti tava subhāsitāni sutvā ahaṃ evarūpo bhavissāmīti vadati.
เอวญฺจ ปน วตฺวา ปาสาทา โอรุยฺห ปเจฺจกพุทฺธํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ อฎฺฐาสิฯ ปเจฺจกพุโทฺธ อากาเส ปลฺลเงฺกน นิสีทิตฺวา ‘‘มหาราช, วิชฺชาธโร น สมโณ, ตฺวํ อิโต ปฎฺฐาย ‘อตุโจฺฉ โลโก, อตฺถิ ธมฺมิกสมณพฺราหฺมณา’ติ ญตฺวา ทานํ เทหิ, สีลํ รกฺข, อุโปสถกมฺมํ กโรหี’’ติ ราชานํ โอวทิฯ สโกฺกปิ สกฺกานุภาเวน อากาเส ฐตฺวา ‘‘อิโต ปฎฺฐาย อปฺปมตฺตา โหถา’’ติ นาครานํ โอวาทํ ทตฺวา ‘‘ปลาตา สมณพฺราหฺมณา อาคจฺฉนฺตู’’ติ เภริํ จราเปสิฯ อถ เต อุโภปิ สกฎฺฐานเมว อคมํสุฯ ราชา ตสฺส โอวาเท ฐตฺวา ทานาทีนิ ปุญฺญานิ อกาสิฯ
Evañca pana vatvā pāsādā oruyha paccekabuddhaṃ vanditvā ekamantaṃ aṭṭhāsi. Paccekabuddho ākāse pallaṅkena nisīditvā ‘‘mahārāja, vijjādharo na samaṇo, tvaṃ ito paṭṭhāya ‘atuccho loko, atthi dhammikasamaṇabrāhmaṇā’ti ñatvā dānaṃ dehi, sīlaṃ rakkha, uposathakammaṃ karohī’’ti rājānaṃ ovadi. Sakkopi sakkānubhāvena ākāse ṭhatvā ‘‘ito paṭṭhāya appamattā hothā’’ti nāgarānaṃ ovādaṃ datvā ‘‘palātā samaṇabrāhmaṇā āgacchantū’’ti bheriṃ carāpesi. Atha te ubhopi sakaṭṭhānameva agamaṃsu. Rājā tassa ovāde ṭhatvā dānādīni puññāni akāsi.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา ปเจฺจกพุโทฺธ ปรินิพฺพุโต, ราชา อานโนฺท อโหสิ, สโกฺก ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā paccekabuddho parinibbuto, rājā ānando ahosi, sakko pana ahameva ahosi’’nti.
วิชฺชาธรชาตกวณฺณนา ฉฎฺฐาฯ
Vijjādharajātakavaṇṇanā chaṭṭhā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๓๙๑. วิชฺชาธรชาตกํ • 391. Vijjādharajātakaṃ