Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) |
๗. วีมํสกสุตฺตวณฺณนา
7. Vīmaṃsakasuttavaṇṇanā
๔๘๗. เอวํ เม สุตนฺติ วีมํสกสุตฺตํฯ ตตฺถ วีมํสเกนาติ ตโย วีมํสกา – อตฺถวีมํสโก สงฺขารวีมํสโก สตฺถุวีมํสโกติฯ เตสุ, ‘‘ปณฺฑิตา หาวุโส, มนุสฺสา วีมํสกา’’ติ (สํ. นิ. ๓.๒) เอตฺถ อตฺถวีมํสโก อาคโตฯ ‘‘ยโต โข, อานนฺท, ภิกฺขุ ธาตุกุสโล จ โหติ, อายตนกุสโล จ โหติ, ปฎิจฺจสมุปฺปาทกุสโล จ โหติ, ฐานาฎฺฐานกุสโล จ โหติ, เอตฺตาวตา โข, อานนฺท, ปณฺฑิโต ภิกฺขุ วีมํสโกติ อลํ วจนายา’’ติ (ม. นิ. ๓.๑๒๔) เอตฺถ สงฺขารวีมํสโก อาคโตฯ อิมสฺมิํ ปน สุเตฺต สตฺถุวีมํสโก อธิเปฺปโตฯ เจโตปริยายนฺติ จิตฺตวารํ จิตฺตปริเจฺฉทํฯ สมเนฺนสนาติ เอสนา ปริเยสนา อุปปริกฺขาฯ อิติ วิญฺญาณายาติ เอวํ วิชานนตฺถายฯ
487.Evaṃme sutanti vīmaṃsakasuttaṃ. Tattha vīmaṃsakenāti tayo vīmaṃsakā – atthavīmaṃsako saṅkhāravīmaṃsako satthuvīmaṃsakoti. Tesu, ‘‘paṇḍitā hāvuso, manussā vīmaṃsakā’’ti (saṃ. ni. 3.2) ettha atthavīmaṃsako āgato. ‘‘Yato kho, ānanda, bhikkhu dhātukusalo ca hoti, āyatanakusalo ca hoti, paṭiccasamuppādakusalo ca hoti, ṭhānāṭṭhānakusalo ca hoti, ettāvatā kho, ānanda, paṇḍito bhikkhu vīmaṃsakoti alaṃ vacanāyā’’ti (ma. ni. 3.124) ettha saṅkhāravīmaṃsako āgato. Imasmiṃ pana sutte satthuvīmaṃsako adhippeto. Cetopariyāyanti cittavāraṃ cittaparicchedaṃ. Samannesanāti esanā pariyesanā upaparikkhā. Iti viññāṇāyāti evaṃ vijānanatthāya.
๔๘๘. ทฺวีสุ ธเมฺมสุ ตถาคโต สมเนฺนสิตโพฺพติ อิธ กลฺยาณมิตฺตูปนิสฺสยํ ทเสฺสติฯ มหา หิ เอส กลฺยาณมิตฺตูปนิสฺสโย นามฯ ตสฺส มหนฺตภาโว เอวํ เวทิตโพฺพ – เอกสฺมิํ หิ สมเย อายสฺมา อานโนฺท อุปฑฺฒํ อตฺตโน อานุภาเวน โหติ, อุปฑฺฒํ กลฺยาณมิตฺตานุภาเวนาติ จิเนฺตตฺวา อตฺตโน ธมฺมตาย นิเจฺฉตุํ อสโกฺกโนฺต ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา ปุจฺฉิ, – ‘‘อุปฑฺฒมิทํ, ภเนฺต, พฺรหฺมจริยสฺส, ยทิทํ กลฺยาณมิตฺตตา กลฺยาณสหายตา กลฺยาณสมฺปวงฺกตา’’ติฯ ภควา อาห – ‘‘มา เหวํ, อานนฺท, มา เหวํ, อานนฺท, สกลเมวิทํ, อานนฺท, พฺรหฺมจริยํ ยทิทํ กลฺยาณมิตฺตตา กลฺยาณสหายตา, กลฺยาณสมฺปวงฺกตาฯ กลฺยาณมิตฺตเสฺสตํ, อานนฺท, ภิกฺขุโน ปาฎิกงฺขํ กลฺยาณสหายสฺส กลฺยาณสมฺปวงฺกสฺส, อริยํ อฎฺฐงฺคิกํ มคฺคํ ภาเวสฺสติ, อริยํ อฎฺฐงฺคิกํ มคฺคํ พหุลีกริสฺสติฯ กถญฺจานนฺท, ภิกฺขุ กลฺยาณมิโตฺต…เป.… อริยํ อฎฺฐงฺคิกํ มคฺคํ ภาเวติ, อริยํ อฎฺฐงฺคิกํ มคฺคํ พหุลีกโรติฯ อิธานนฺท, ภิกฺขุ สมฺมาทิฎฺฐิํ ภาเวติ…เป.… สมฺมาสมาธิํ ภาเวติ วิเวกนิสฺสิตํ เอวํ โข, อานนฺท, ภิกฺขุ กลฺยาณมิโตฺต…เป.… พหุลีกโรติ, ตทมินาเปตํ, อานนฺท, ปริยาเยน เวทิตพฺพํฯ ยถา สกลเมวิทํ พฺรหฺมจริยํ ยทิทํ กลฺยาณมิตฺตตา กลฺยาณสหายตา กลฺยาณสมฺปวงฺกตาฯ มมญฺหิ, อานนฺท, กลฺยาณมิตฺตํ อาคมฺม ชาติธมฺมา สตฺตา ชาติยา ปริมุจฺจนฺติฯ ชราธมฺมา…เป.… โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสธมฺมา สตฺตา โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาเสหิ ปริมุจฺจนฺตี’’ติ (สํ. นิ. ๕.๒)ฯ
488.Dvīsu dhammesu tathāgato samannesitabboti idha kalyāṇamittūpanissayaṃ dasseti. Mahā hi esa kalyāṇamittūpanissayo nāma. Tassa mahantabhāvo evaṃ veditabbo – ekasmiṃ hi samaye āyasmā ānando upaḍḍhaṃ attano ānubhāvena hoti, upaḍḍhaṃ kalyāṇamittānubhāvenāti cintetvā attano dhammatāya nicchetuṃ asakkonto bhagavantaṃ upasaṅkamitvā pucchi, – ‘‘upaḍḍhamidaṃ, bhante, brahmacariyassa, yadidaṃ kalyāṇamittatā kalyāṇasahāyatā kalyāṇasampavaṅkatā’’ti. Bhagavā āha – ‘‘mā hevaṃ, ānanda, mā hevaṃ, ānanda, sakalamevidaṃ, ānanda, brahmacariyaṃ yadidaṃ kalyāṇamittatā kalyāṇasahāyatā, kalyāṇasampavaṅkatā. Kalyāṇamittassetaṃ, ānanda, bhikkhuno pāṭikaṅkhaṃ kalyāṇasahāyassa kalyāṇasampavaṅkassa, ariyaṃ aṭṭhaṅgikaṃ maggaṃ bhāvessati, ariyaṃ aṭṭhaṅgikaṃ maggaṃ bahulīkarissati. Kathañcānanda, bhikkhu kalyāṇamitto…pe… ariyaṃ aṭṭhaṅgikaṃ maggaṃ bhāveti, ariyaṃ aṭṭhaṅgikaṃ maggaṃ bahulīkaroti. Idhānanda, bhikkhu sammādiṭṭhiṃ bhāveti…pe… sammāsamādhiṃ bhāveti vivekanissitaṃ evaṃ kho, ānanda, bhikkhu kalyāṇamitto…pe… bahulīkaroti, tadamināpetaṃ, ānanda, pariyāyena veditabbaṃ. Yathā sakalamevidaṃ brahmacariyaṃ yadidaṃ kalyāṇamittatā kalyāṇasahāyatā kalyāṇasampavaṅkatā. Mamañhi, ānanda, kalyāṇamittaṃ āgamma jātidhammā sattā jātiyā parimuccanti. Jarādhammā…pe… sokaparidevadukkhadomanassupāyāsadhammā sattā sokaparidevadukkhadomanassupāyāsehi parimuccantī’’ti (saṃ. ni. 5.2).
ภิกฺขูนํ พาหิรงฺคสมฺปตฺติํ กเถโนฺตปิ อาห – ‘‘พาหิรํ, ภิกฺขเว, องฺคนฺติ กริตฺวา นาญฺญํ เอกงฺคมฺปิ สมนุปสฺสามิ, ยํ เอวํ มหโต อตฺถาย สํวตฺตติ, ยถยิทํ, ภิกฺขเว, กลฺยาณมิตฺตตาฯ กลฺยาณมิตฺตตา, ภิกฺขเว, มหโต อตฺถาย สํวตฺตตี’’ติ (อ. นิ. ๑.๑๑๓)ฯ มหาจุนฺทสฺส กิเลสสเลฺลขปฎิปทํ กเถโนฺตปิ, ‘‘ปเร ปาปมิตฺตา ภวิสฺสนฺติ, มยเมตฺถ กลฺยาณมิตฺตา ภวิสฺสามาติ สเลฺลโข กรณีโย’’ติ (ม. นิ. ๑.๘๓) อาหฯ เมฆิยเตฺถรสฺส วิมุตฺติปริปาจนิยธเมฺม กเถโนฺตปิ, ‘‘อปริปกฺกาย, เมฆิย, เจโตวิมุตฺติยา ปญฺจ ธมฺมา ปริปากาย สํวตฺตนฺติฯ กตเม ปญฺจ? อิธ, เมฆิย, ภิกฺขุ กลฺยาณมิโตฺต โหติ’’ติ (อุทา. ๓๑) กลฺยาณมิตฺตูปนิสฺสยเมว วิเสเสสิฯ ปิยปุตฺตสฺส ราหุลเตฺถรสฺส อภิโณฺหวาทํ เทโนฺตปิ –
Bhikkhūnaṃ bāhiraṅgasampattiṃ kathentopi āha – ‘‘bāhiraṃ, bhikkhave, aṅganti karitvā nāññaṃ ekaṅgampi samanupassāmi, yaṃ evaṃ mahato atthāya saṃvattati, yathayidaṃ, bhikkhave, kalyāṇamittatā. Kalyāṇamittatā, bhikkhave, mahato atthāya saṃvattatī’’ti (a. ni. 1.113). Mahācundassa kilesasallekhapaṭipadaṃ kathentopi, ‘‘pare pāpamittā bhavissanti, mayamettha kalyāṇamittā bhavissāmāti sallekho karaṇīyo’’ti (ma. ni. 1.83) āha. Meghiyattherassa vimuttiparipācaniyadhamme kathentopi, ‘‘aparipakkāya, meghiya, cetovimuttiyā pañca dhammā paripākāya saṃvattanti. Katame pañca? Idha, meghiya, bhikkhu kalyāṇamitto hoti’’ti (udā. 31) kalyāṇamittūpanissayameva visesesi. Piyaputtassa rāhulattherassa abhiṇhovādaṃ dentopi –
‘‘มิเตฺต ภชสฺสุ กลฺยาเณ, ปนฺตญฺจ สยนาสนํ;
‘‘Mitte bhajassu kalyāṇe, pantañca sayanāsanaṃ;
วิวิตฺตํ อปฺปนิโคฺฆสํ, มตฺตญฺญู โหหิ โภชเนฯ
Vivittaṃ appanigghosaṃ, mattaññū hohi bhojane.
จีวเร ปิณฺฑปาเต จ, ปจฺจเย สยนาสเน;
Cīvare piṇḍapāte ca, paccaye sayanāsane;
เอเตสุ ตณฺหํ มากาสิ, มา โลกํ ปุนราคมี’’ติฯ (สุ. นิ. ๓๔๐, ๓๔๑) –
Etesu taṇhaṃ mākāsi, mā lokaṃ punarāgamī’’ti. (su. ni. 340, 341) –
กลฺยาณมิตฺตูปนิสฺสยเมว สพฺพปฐมํ กเถสิฯ เอวํ มหา เอส กลฺยาณมิตฺตูปนิสฺสโย นามฯ อิธาปิ ตํ ทเสฺสโนฺต ภควา ทฺวีสุ ธเมฺมสุ ตถาคโต สมเนฺนสิตโพฺพติ เทสนํ อารภิฯ ปณฺฑิโต ภิกฺขุ ทฺวีสุ ธเมฺมสุ ตถาคตํ เอสตุ คเวสตูติ อโตฺถฯ เอเตน ภควา อยํ มหาชโจฺจติ วา, ลกฺขณสมฺปโนฺนติ วา, อภิรูโป ทสฺสนีโยติ วา, อภิญฺญาโต อภิลกฺขิโตติ วา, อิมํ นิสฺสายาหํ จีวราทโย ปจฺจเย ลภิสฺสามีติ วา, เอวํ จิเนฺตตฺวา มํ นิสฺสาย วสนกิจฺจํ นตฺถิฯ โย ปน เอวํ สลฺลเกฺขติ, ‘‘ปโหติ เม เอส สตฺถา หุตฺวา สตฺถุกิจฺจํ สาเธตุ’’นฺติ, โส มํ ภชตูติ สีหนาทํ นทติฯ พุทฺธสีหนาโท กิร นาเมส สุตฺตโนฺตติฯ
Kalyāṇamittūpanissayameva sabbapaṭhamaṃ kathesi. Evaṃ mahā esa kalyāṇamittūpanissayo nāma. Idhāpi taṃ dassento bhagavā dvīsu dhammesu tathāgato samannesitabboti desanaṃ ārabhi. Paṇḍito bhikkhu dvīsu dhammesu tathāgataṃ esatu gavesatūti attho. Etena bhagavā ayaṃ mahājaccoti vā, lakkhaṇasampannoti vā, abhirūpo dassanīyoti vā, abhiññāto abhilakkhitoti vā, imaṃ nissāyāhaṃ cīvarādayo paccaye labhissāmīti vā, evaṃ cintetvā maṃ nissāya vasanakiccaṃ natthi. Yo pana evaṃ sallakkheti, ‘‘pahoti me esa satthā hutvā satthukiccaṃ sādhetu’’nti, so maṃ bhajatūti sīhanādaṃ nadati. Buddhasīhanādo kira nāmesa suttantoti.
อิทานิ เต เทฺว ธเมฺม ทเสฺสโนฺต จกฺขุโสตวิเญฺญเยฺยสูติ อาหฯ ตตฺถ สตฺถุ กายิโก สมาจาโร วีมํสกสฺส จกฺขุวิเญฺญโยฺย ธโมฺม นามฯ วาจสิโก สมาจาโร โสตวิเญฺญโยฺย ธโมฺม นามฯ อิทานิ เตสุ สมเนฺนสิตพฺพาการํ ทเสฺสโนฺต เย สํกิลิฎฺฐาติอาทิมาหฯ ตตฺถ สํกิลิฎฺฐาติ กิเลสสมฺปยุตฺตาฯ เต จ น จกฺขุโสตวิเญฺญยฺยาฯ ยถา ปน อุทเก จลเนฺต วา ปุปฺผุฬเก วา มุญฺจเนฺต อโนฺต มโจฺฉ อตฺถีติ วิญฺญายติ, เอวํ ปาณาติปาตาทีนิ วา กโรนฺตสฺส, มุสาวาทาทีนิ วา ภณนฺตสฺส กายวจีสมาจาเร ทิสฺวา จ สุตฺวา จ ตํสมุฎฺฐาปกจิตฺตํ สํกิลิฎฺฐนฺติ วิญฺญายติฯ ตสฺมา เอวมาหฯ สํกิลิฎฺฐจิตฺตสฺส หิ กายวจีสมาจาราปิ สํกิลิฎฺฐาเยว นามฯ น เต ตถาคตสฺส สํวิชฺชนฺตีติ น เต ตถาคตสฺส อตฺถิฯ น อุปลพฺภนฺตีติ เอวํ ชานาตีติ อโตฺถฯ นตฺถิตาเยว หิ เต น อุปลพฺภนฺติ น ปฎิจฺฉนฺนตายฯ ตถา หิ ภควา เอกทิวสํ อิเมสุ ธเมฺมสุ ภิกฺขุสงฺฆํ ปวาเรโนฺต อาห – ‘‘หนฺท ทานิ, ภิกฺขเว, ปวาเรมิ โว, น จ เม กิญฺจิ ครหถ กายิกํ วา วาจสิกํ วา’’ติฯ เอวํ วุเตฺต อายสฺมา สาริปุโตฺต อุฎฺฐายาสนา เอกํสํ อุตฺตราสงฺคํ กริตฺวา เยน ภควา เตนญฺชลิํ ปณาเมตฺวา ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘น โข มยํ, ภเนฺต, ภควโต กิญฺจิ ครหาม กายิกํ วา วาจสิกํ วาฯ ภควา หิ, ภเนฺต, อนุปฺปนฺนสฺส มคฺคสฺส อุปฺปาเทตา, อสญฺชาตสฺส มคฺคสฺส สญฺชาเนตา, อนกฺขาตสฺส มคฺคสฺส อกฺขาตา, มคฺคญฺญู มคฺควิทู มคฺคโกวิโทฯ มคฺคานุคา จ, ภเนฺต, เอตรหิ สาวกา วิหรนฺติ ปจฺฉาสมนฺนาคตา’’ติ (สํ. นิ. ๑.๒๑๕)ฯ เอวํ ปริสุทฺธา ตถาคตสฺส กายวจีสมาจาราฯ อุตฺตโรปิ สุทํ มาณโว ตถาคตสฺส กายวจีทฺวาเร อนาราธนียํ กิญฺจิ ปสฺสิสฺสามีติ สตฺต มาเส อนุพนฺธิตฺวา ลิกฺขามตฺตมฺปิ น อทฺทสฯ มนุสฺสภูโต วา เอส พุทฺธภูตสฺส กายวจีทฺวาเร กิํ อนาราธนียํ ปสฺสิสฺสติ? มาโรปิ เทวปุโตฺต โพธิสตฺตสฺส สโต มหาภินิกฺขมนโต ปฎฺฐาย ฉพฺพสฺสานิ คเวสมาโน กิญฺจิ อนาราธนียํ นาทฺทส, อนฺตมโส เจโตปริวิตกฺกมตฺตมฺปิฯ มาโร กิร จิเนฺตสิ – ‘‘สจสฺส วิตกฺกิตมตฺตมฺปิ อกุสลํ ปสฺสิสฺสามิ, ตเตฺถว นํ มุทฺธนิ ปหริตฺวา ปกฺกมิสฺสามี’’ติฯ โส ฉพฺพสฺสานิ อทิสฺวา พุทฺธภูตมฺปิ เอกํ วสฺสํ อนุพนฺธิตฺวา กิญฺจิ วชฺชํ อปสฺสโนฺต คมนสมเย วนฺทิตฺวา –
Idāni te dve dhamme dassento cakkhusotaviññeyyesūti āha. Tattha satthu kāyiko samācāro vīmaṃsakassa cakkhuviññeyyo dhammo nāma. Vācasiko samācāro sotaviññeyyo dhammo nāma. Idāni tesu samannesitabbākāraṃ dassento ye saṃkiliṭṭhātiādimāha. Tattha saṃkiliṭṭhāti kilesasampayuttā. Te ca na cakkhusotaviññeyyā. Yathā pana udake calante vā pupphuḷake vā muñcante anto maccho atthīti viññāyati, evaṃ pāṇātipātādīni vā karontassa, musāvādādīni vā bhaṇantassa kāyavacīsamācāre disvā ca sutvā ca taṃsamuṭṭhāpakacittaṃ saṃkiliṭṭhanti viññāyati. Tasmā evamāha. Saṃkiliṭṭhacittassa hi kāyavacīsamācārāpi saṃkiliṭṭhāyeva nāma. Na te tathāgatassa saṃvijjantīti na te tathāgatassa atthi. Na upalabbhantīti evaṃ jānātīti attho. Natthitāyeva hi te na upalabbhanti na paṭicchannatāya. Tathā hi bhagavā ekadivasaṃ imesu dhammesu bhikkhusaṅghaṃ pavārento āha – ‘‘handa dāni, bhikkhave, pavāremi vo, na ca me kiñci garahatha kāyikaṃ vā vācasikaṃ vā’’ti. Evaṃ vutte āyasmā sāriputto uṭṭhāyāsanā ekaṃsaṃ uttarāsaṅgaṃ karitvā yena bhagavā tenañjaliṃ paṇāmetvā bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘na kho mayaṃ, bhante, bhagavato kiñci garahāma kāyikaṃ vā vācasikaṃ vā. Bhagavā hi, bhante, anuppannassa maggassa uppādetā, asañjātassa maggassa sañjānetā, anakkhātassa maggassa akkhātā, maggaññū maggavidū maggakovido. Maggānugā ca, bhante, etarahi sāvakā viharanti pacchāsamannāgatā’’ti (saṃ. ni. 1.215). Evaṃ parisuddhā tathāgatassa kāyavacīsamācārā. Uttaropi sudaṃ māṇavo tathāgatassa kāyavacīdvāre anārādhanīyaṃ kiñci passissāmīti satta māse anubandhitvā likkhāmattampi na addasa. Manussabhūto vā esa buddhabhūtassa kāyavacīdvāre kiṃ anārādhanīyaṃ passissati? Māropi devaputto bodhisattassa sato mahābhinikkhamanato paṭṭhāya chabbassāni gavesamāno kiñci anārādhanīyaṃ nāddasa, antamaso cetoparivitakkamattampi. Māro kira cintesi – ‘‘sacassa vitakkitamattampi akusalaṃ passissāmi, tattheva naṃ muddhani paharitvā pakkamissāmī’’ti. So chabbassāni adisvā buddhabhūtampi ekaṃ vassaṃ anubandhitvā kiñci vajjaṃ apassanto gamanasamaye vanditvā –
‘‘มหาวีร มหาปุญฺญํ, อิทฺธิยา ยสสา ชลํ;
‘‘Mahāvīra mahāpuññaṃ, iddhiyā yasasā jalaṃ;
สพฺพเวรภยาตีตํ, ปาเท วนฺทามิ โคตม’’นฺติฯ (สํ. นิ. ๑.๑๕๙) –
Sabbaverabhayātītaṃ, pāde vandāmi gotama’’nti. (saṃ. ni. 1.159) –
คาถํ วตฺวา คโตฯ
Gāthaṃ vatvā gato.
วีติมิสฺสาติ กาเล กณฺหา, กาเล สุกฺกาติ เอวํ โวมิสฺสกาฯ โวทาตาติ ปริสุทฺธา นิกฺกิเลสาฯ สํวิชฺชนฺตีติ โวทาตา ธมฺมา อตฺถิ อุปลพฺภนฺติฯ ตถาคตสฺส หิ ปริสุทฺธา กายสมาจาราทโยฯ เตนาห – ‘‘จตฺตาริมานิ, ภิกฺขเว, ตถาคตสฺส อรเกฺขยฺยานิฯ กตมานิ จตฺตาริ? ปริสุทฺธกายสมาจาโร, ภิกฺขเว, ตถาคโต, นตฺถิ ตถาคตสฺส กายทุจฺจริตํ, ยํ ตถาคโต รเกฺขยฺย, ‘มา เม อิทํ ปโร อญฺญาสี’ติฯ ปริสุทฺธวจีสมาจาโร… ปริสุทฺธมโนสมาจาโร… ปริสุทฺธาชีโว, ภิกฺขเว, ตถาคโต , นตฺถิ ตถาคตสฺส มิจฺฉาชีโว, ยํ ตถาคโต รเกฺขยฺย, มา เม อิทํ ปโร อญฺญาสี’’ติ (อ. นิ. ๗.๕๘)ฯ
Vītimissāti kāle kaṇhā, kāle sukkāti evaṃ vomissakā. Vodātāti parisuddhā nikkilesā. Saṃvijjantīti vodātā dhammā atthi upalabbhanti. Tathāgatassa hi parisuddhā kāyasamācārādayo. Tenāha – ‘‘cattārimāni, bhikkhave, tathāgatassa arakkheyyāni. Katamāni cattāri? Parisuddhakāyasamācāro, bhikkhave, tathāgato, natthi tathāgatassa kāyaduccaritaṃ, yaṃ tathāgato rakkheyya, ‘mā me idaṃ paro aññāsī’ti. Parisuddhavacīsamācāro… parisuddhamanosamācāro… parisuddhājīvo, bhikkhave, tathāgato , natthi tathāgatassa micchājīvo, yaṃ tathāgato rakkheyya, mā me idaṃ paro aññāsī’’ti (a. ni. 7.58).
อิมํ กุสลํ ธมฺมนฺติ อิมํ อนวชฺชํ อาชีวฎฺฐมกสีลํฯ ‘‘อยมายสฺมา สตฺถา กิํ นุ โข ทีฆรตฺตํ สมาปโนฺน อติจิรกาลโต ปฎฺฐาย อิมินา สมนฺนาคโต, อุทาหุ อิตฺตรสมาปโนฺน หิโยฺย วา ปเร วา ปรสุเว วา ทิวเส สมาปโนฺน’’ติ เอวํ คเวสตูติ อโตฺถฯ เอกเจฺจน หิ เอกสฺมิํ ฐาเน วสเนฺตน พหุ มิจฺฉาชีวกมฺมํ กตํ, ตํ ตตฺถ กาลาติกฺกเม ปญฺญายติ, ปากฎํ โหติฯ โส อญฺญตรํ ปจฺจนฺตคามํ วา สมุทฺทตีรํ วา คนฺตฺวา ปณฺณสาลํ กาเรตฺวา อารญฺญโก วิย หุตฺวา วิหรติฯ มนุสฺสา สมฺภาวนํ อุปฺปาเทตฺวา ตสฺส ปณีเต ปจฺจเย เทนฺติฯ ชนปทวาสิโน ภิกฺขู ตสฺส ปริหารํ ทิสฺวา, ‘‘อติทปฺปิโต วตายํ อายสฺมา, โก นุ โข เอโส’’ติ ปริคฺคณฺหนฺตา, ‘‘อสุกฎฺฐาเน อสุกํ นาม มิจฺฉาชีวํ กตฺวา ปกฺกนฺตภิกฺขู’’ติ ญตฺวา น สกฺกา อิมินา สทฺธิํ อุโปสโถ วา ปวารณา วา กาตุนฺติ สนฺนิปติตฺวา ธเมฺมน สเมน อุเกฺขปนียาทีสุ อญฺญตรํ กมฺมํ กโรนฺติฯ เอวรูปาย ปฎิจฺฉนฺนปฎิปตฺติยา อตฺถิภาวํ วา นตฺถิภาวํ วา วีมํสาเปตุํ เอวมาหฯ
Imaṃ kusalaṃ dhammanti imaṃ anavajjaṃ ājīvaṭṭhamakasīlaṃ. ‘‘Ayamāyasmā satthā kiṃ nu kho dīgharattaṃ samāpanno aticirakālato paṭṭhāya iminā samannāgato, udāhu ittarasamāpanno hiyyo vā pare vā parasuve vā divase samāpanno’’ti evaṃ gavesatūti attho. Ekaccena hi ekasmiṃ ṭhāne vasantena bahu micchājīvakammaṃ kataṃ, taṃ tattha kālātikkame paññāyati, pākaṭaṃ hoti. So aññataraṃ paccantagāmaṃ vā samuddatīraṃ vā gantvā paṇṇasālaṃ kāretvā āraññako viya hutvā viharati. Manussā sambhāvanaṃ uppādetvā tassa paṇīte paccaye denti. Janapadavāsino bhikkhū tassa parihāraṃ disvā, ‘‘atidappito vatāyaṃ āyasmā, ko nu kho eso’’ti pariggaṇhantā, ‘‘asukaṭṭhāne asukaṃ nāma micchājīvaṃ katvā pakkantabhikkhū’’ti ñatvā na sakkā iminā saddhiṃ uposatho vā pavāraṇā vā kātunti sannipatitvā dhammena samena ukkhepanīyādīsu aññataraṃ kammaṃ karonti. Evarūpāya paṭicchannapaṭipattiyā atthibhāvaṃ vā natthibhāvaṃ vā vīmaṃsāpetuṃ evamāha.
เอวํ ชานาตีติ ทีฆรตฺตํ สมาปโนฺน, น อิตฺตรสมาปโนฺนติ ชานาติฯ อนจฺฉริยํ เจตํฯ ยํ ตถาคตสฺส เอตรหิ สพฺพญฺญุตํ ปตฺตสฺส ทีฆรตฺตํ อาชีวฎฺฐมกสีลํ ปริสุทฺธํ ภเวยฺยฯ ยสฺส โพธิสตฺตกาเลปิ เอวํ อโหสิฯ
Evaṃjānātīti dīgharattaṃ samāpanno, na ittarasamāpannoti jānāti. Anacchariyaṃ cetaṃ. Yaṃ tathāgatassa etarahi sabbaññutaṃ pattassa dīgharattaṃ ājīvaṭṭhamakasīlaṃ parisuddhaṃ bhaveyya. Yassa bodhisattakālepi evaṃ ahosi.
อตีเต กิร คนฺธารราชา จ เวเทหราชา จ เทฺวปิ สหายกา หุตฺวา กาเมสุ อาทีนวํ ทิสฺวา รชฺชานิ ปุตฺตานํ นิยฺยาเตตฺวา อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา เอกสฺมิํ อรญฺญคามเก ปิณฺฑาย จรนฺติฯ ปจฺจโนฺต นาม ทุลฺลภโลโณ โหติฯ ตโต อโลณํ ยาคุํ ลภิตฺวา เอกิสฺสาย สาลาย นิสีทิตฺวา ปิวนฺติฯ อนฺตรนฺตเร มนุสฺสา โลณจุณฺณํ อาหริตฺวา เทนฺติฯ เอกทิวสํ เอโก เวเทหิสิสฺส ปเณฺณ ปกฺขิปิตฺวา โลณจุณฺณํ อทาสิ ฯ เวเทหิสิ คเหตฺวา อุปฑฺฒํ คนฺธาริสิสฺส-สนฺติเก ฐเปตฺวา อุปฑฺฒํ อตฺตโน สนฺติเก ฐเปสิฯ ตโต โถกํ ปริภุตฺตาวเสสํ ทิสฺวา, ‘‘มา อิทํ นสฺสี’’ติ ปเณฺณน เวเฐตฺวา ติณคหเน ฐเปสิฯ ปุน เอกสฺมิํ ทิวเส ยาคุปานกาเล สติํ กตฺวา โอโลเกโนฺต ตํ ทิสฺวา คนฺธาริสิํ อุปสงฺกมิตฺวา, ‘‘อิโต โถกํ คณฺหถ อาจริยา’’ติ อาหฯ กุโต เต ลทฺธํ เวเทหิสีติ? ตสฺมิํ ทิวเส ปริภุตฺตาวเสสํ ‘‘มา นสฺสี’’ติ มยา ฐปิตนฺติฯ คนฺธาริสิ คเหตุํ น อิจฺฉติ, อโลณกํเยว ยาคุํ ปิวิตฺวา เวเทหํ อิสิํ อโวจ –
Atīte kira gandhārarājā ca vedeharājā ca dvepi sahāyakā hutvā kāmesu ādīnavaṃ disvā rajjāni puttānaṃ niyyātetvā isipabbajjaṃ pabbajitvā ekasmiṃ araññagāmake piṇḍāya caranti. Paccanto nāma dullabhaloṇo hoti. Tato aloṇaṃ yāguṃ labhitvā ekissāya sālāya nisīditvā pivanti. Antarantare manussā loṇacuṇṇaṃ āharitvā denti. Ekadivasaṃ eko vedehisissa paṇṇe pakkhipitvā loṇacuṇṇaṃ adāsi . Vedehisi gahetvā upaḍḍhaṃ gandhārisissa-santike ṭhapetvā upaḍḍhaṃ attano santike ṭhapesi. Tato thokaṃ paribhuttāvasesaṃ disvā, ‘‘mā idaṃ nassī’’ti paṇṇena veṭhetvā tiṇagahane ṭhapesi. Puna ekasmiṃ divase yāgupānakāle satiṃ katvā olokento taṃ disvā gandhārisiṃ upasaṅkamitvā, ‘‘ito thokaṃ gaṇhatha ācariyā’’ti āha. Kuto te laddhaṃ vedehisīti? Tasmiṃ divase paribhuttāvasesaṃ ‘‘mā nassī’’ti mayā ṭhapitanti. Gandhārisi gahetuṃ na icchati, aloṇakaṃyeva yāguṃ pivitvā vedehaṃ isiṃ avoca –
‘‘หิตฺวา คามสหสฺสานิ, ปริปุณฺณานิ โสฬส;
‘‘Hitvā gāmasahassāni, paripuṇṇāni soḷasa;
โกฎฺฐาคารานิ ผีตานิ, สนฺนิธิํ ทานิ กุพฺพสี’’ติฯ (ชา. ๑.๗.๗๖);
Koṭṭhāgārāni phītāni, sannidhiṃ dāni kubbasī’’ti. (jā. 1.7.76);
เวเทหิสิ อโวจ – ‘‘ตุเมฺห รชฺชํ ปหาย ปพฺพชิตา, อิทานิ กสฺมา โลณจุณฺณมตฺตสนฺนิธิการณา ปพฺพชฺชาย อนุจฺฉวิกํ น กโรถา’’ติ? กิํ มยา กตํ เวเทหิสีติ? อถ นํ อาห –
Vedehisi avoca – ‘‘tumhe rajjaṃ pahāya pabbajitā, idāni kasmā loṇacuṇṇamattasannidhikāraṇā pabbajjāya anucchavikaṃ na karothā’’ti? Kiṃ mayā kataṃ vedehisīti? Atha naṃ āha –
‘‘หิตฺวา คนฺธารวิสยํ, ปหูตธนธาริยํ;
‘‘Hitvā gandhāravisayaṃ, pahūtadhanadhāriyaṃ;
ปสาสนโต นิกฺขโนฺต, อิธ ทานิ ปสาสสี’’ติฯ (ชา. ๑.๗.๗๗);
Pasāsanato nikkhanto, idha dāni pasāsasī’’ti. (jā. 1.7.77);
คนฺธาโร อาห –
Gandhāro āha –
‘‘ธมฺมํ ภณามิ เวเทห, อธโมฺม เม น รุจฺจติ;
‘‘Dhammaṃ bhaṇāmi vedeha, adhammo me na ruccati;
ธมฺมํ เม ภณมานสฺส, น ปาปมุปลิมฺปตี’’ติฯ (ชา. ๑.๗.๗๘);
Dhammaṃ me bhaṇamānassa, na pāpamupalimpatī’’ti. (jā. 1.7.78);
เวเทโห อาห –
Vedeho āha –
‘‘เยน เกนจิ วเณฺณน, ปโร ลภติ รุปฺปนํ;
‘‘Yena kenaci vaṇṇena, paro labhati ruppanaṃ;
มหตฺถิยมฺปิ เจ วาจํ, น ตํ ภาเสยฺย ปณฺฑิโต’’ติฯ (ชา. ๑.๗.๗๙);
Mahatthiyampi ce vācaṃ, na taṃ bhāseyya paṇḍito’’ti. (jā. 1.7.79);
คนฺธาโร อาห –
Gandhāro āha –
‘‘กามํ รุปฺปตุ วา มา วา, ภุสํว วิกิรียตุ;
‘‘Kāmaṃ ruppatu vā mā vā, bhusaṃva vikirīyatu;
ธมฺมํ เม ภณมานสฺส, น ปาปมุปลิมฺปตี’’ติฯ (ชา. ๑.๗.๘๐);
Dhammaṃ me bhaṇamānassa, na pāpamupalimpatī’’ti. (jā. 1.7.80);
ตโต เวเทหิสิ ยสฺส สกาปิ พุทฺธิ นตฺถิ, อาจริยสนฺติเก วินยํ น สิกฺขติ, โส อนฺธมหิํโส วิย วเน จรตีติ จิเนฺตตฺวา อาห –
Tato vedehisi yassa sakāpi buddhi natthi, ācariyasantike vinayaṃ na sikkhati, so andhamahiṃso viya vane caratīti cintetvā āha –
‘‘โน เจ อสฺส สกา พุทฺธิ, วินโย วา สุสิกฺขิโต;
‘‘No ce assa sakā buddhi, vinayo vā susikkhito;
วเน อนฺธมหิํโสว, จเรยฺย พหุโก ชโนฯ
Vane andhamahiṃsova, careyya bahuko jano.
ยสฺมา จ ปนิเธกเจฺจ, อาเจรมฺหิ สุสิกฺขิตา;
Yasmā ca panidhekacce, āceramhi susikkhitā;
ตสฺมา วินีตวินยา, จรนฺติ สุสมาหิตา’’ติฯ (ชา. ๑.๗.๘๑-๘๒);
Tasmā vinītavinayā, caranti susamāhitā’’ti. (jā. 1.7.81-82);
เอวญฺจ ปน วตฺวา เวเทหิสิ อชานิตฺวา มยา กตนฺติ คนฺธาริสิํ ขมาเปสิฯ เต อุโภปิ ตปํ จริตฺวา พฺรหฺมโลกํ อคมํสุฯ เอวํ ตถาคตสฺส โพธิสตฺตกาเลปิ ทีฆรตฺตํ อาชีวฎฺฐมกสีลํ ปริสุทฺธํ อโหสิฯ
Evañca pana vatvā vedehisi ajānitvā mayā katanti gandhārisiṃ khamāpesi. Te ubhopi tapaṃ caritvā brahmalokaṃ agamaṃsu. Evaṃ tathāgatassa bodhisattakālepi dīgharattaṃ ājīvaṭṭhamakasīlaṃ parisuddhaṃ ahosi.
อุตฺตชฺฌาปโนฺน อยมายสฺมา ภิกฺขุ ยสปโตฺตติ อยมายสฺมา อมฺหากํ สตฺถา ภิกฺขุ ญตฺตํ ปญฺญาตภาวํ ปากฎภาวํ อชฺฌาปโนฺน นุ โข, สยญฺจ ปริวารสมฺปตฺติํ ปโตฺต นุ โข โนติฯ เตน จสฺส ปญฺญาตชฺฌาปนฺนภาเวน ยสสนฺนิสฺสิตภาเวน จ กิํ เอกเจฺจ อาทีนวา สนฺทิสฺสนฺติ อุทาหุ โนติ เอวํ สมเนฺนสนฺตูติ ทเสฺสติฯ น ตาว, ภิกฺขเวติ, ภิกฺขเว, ยาว ภิกฺขุ น ราชราชมหามตฺตาทีสุ อภิญฺญาตภาวํ วา ปริวารสมฺปตฺติํ วา อาปโนฺน โหติ, ตาว เอกเจฺจ มานาติมานาทโย อาทีนวา น สํวิชฺชนฺติ อุปสนฺตูปสโนฺต วิย โสตาปโนฺน วิย สกทาคามี วิย จ วิหรติฯ อริโย นุ โข ปุถุชฺชโน นุ โขติปิ ญาตุํ น สกฺกา โหติฯ
Uttajjhāpanno ayamāyasmā bhikkhu yasapattoti ayamāyasmā amhākaṃ satthā bhikkhu ñattaṃ paññātabhāvaṃ pākaṭabhāvaṃ ajjhāpanno nu kho, sayañca parivārasampattiṃ patto nu kho noti. Tena cassa paññātajjhāpannabhāvena yasasannissitabhāvena ca kiṃ ekacce ādīnavā sandissanti udāhu noti evaṃ samannesantūti dasseti. Na tāva, bhikkhaveti, bhikkhave, yāva bhikkhu na rājarājamahāmattādīsu abhiññātabhāvaṃ vā parivārasampattiṃ vā āpanno hoti, tāva ekacce mānātimānādayo ādīnavā na saṃvijjanti upasantūpasanto viya sotāpanno viya sakadāgāmī viya ca viharati. Ariyo nu kho puthujjano nu khotipi ñātuṃ na sakkā hoti.
ยโต จ โข, ภิกฺขเวติ ยทา ปน อิเธกโจฺจ ภิกฺขุ ญาโต โหติ ปริวารสมฺปโนฺน วา, ตทา ติเณฺหน สิเงฺคน โคคณํ วิชฺฌโนฺต ทุฎฺฐโคโณ วิย, มิคสงฺฆํ อภิมทฺทมาโน ทีปิ วิย จ อเญฺญ ภิกฺขู ตตฺถ ตตฺถ วิชฺฌโนฺต อคารโว อสภาควุตฺติ อคฺคปาเทน ภูมิํ ผุสโนฺต วิย จรติฯ เอกโจฺจ ปน กุลปุโตฺต ยถา ยถา ญาโต โหติ ยสสฺสี, ตถา ตถา ผลภารภริโต วิย สาลิ สุฎฺฐุตรํ โอนมติ, ราชราชมหามตฺตาทีสุ อุปสงฺกมเนฺตสุ อกิญฺจนภาวํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา สมณสญฺญํ อุปฎฺฐเปตฺวา ฉินฺนวิสาณอุสโภ วิย, จณฺฑาลทารโก วิย จ โสรโต นิวาโต นีจจิโตฺต หุตฺวา ภิกฺขุสงฺฆสฺส เจว สเทวกสฺส จ โลกสฺส, หิตาย สุขาย ปฎิปชฺชติฯ เอวรูปํ ปฎิปตฺติํ สนฺธาย ‘‘นาสฺส อิเธกเจฺจ อาทีนวา’’ติ อาหฯ
Yatoca kho, bhikkhaveti yadā pana idhekacco bhikkhu ñāto hoti parivārasampanno vā, tadā tiṇhena siṅgena gogaṇaṃ vijjhanto duṭṭhagoṇo viya, migasaṅghaṃ abhimaddamāno dīpi viya ca aññe bhikkhū tattha tattha vijjhanto agāravo asabhāgavutti aggapādena bhūmiṃ phusanto viya carati. Ekacco pana kulaputto yathā yathā ñāto hoti yasassī, tathā tathā phalabhārabharito viya sāli suṭṭhutaraṃ onamati, rājarājamahāmattādīsu upasaṅkamantesu akiñcanabhāvaṃ paccavekkhitvā samaṇasaññaṃ upaṭṭhapetvā chinnavisāṇausabho viya, caṇḍāladārako viya ca sorato nivāto nīcacitto hutvā bhikkhusaṅghassa ceva sadevakassa ca lokassa, hitāya sukhāya paṭipajjati. Evarūpaṃ paṭipattiṃ sandhāya ‘‘nāssa idhekacce ādīnavā’’ti āha.
ตถาคโต ปน อฎฺฐสุ โลกธเมฺมสุ ตาที, โส หิ ลาเภปิ ตาที, อลาเภปิ ตาที, ยเสปิ ตาที, อยเสปิ ตาที, ปสํสายปิ ตาที, นินฺทายปิ ตาที, สุเขปิ ตาที, ทุเกฺขปิ ตาที, ตสฺมา สพฺพากาเรน นาสฺส อิเธกเจฺจ อาทีนวา สํวิชฺชนฺติฯ อภยูปรโตติ อภโย หุตฺวา อุปรโต, อจฺจนฺตูปรโต สตตูปรโตติ อโตฺถฯ น วา ภเยน อุปรโตติปิ อภยูปรโตฯ จตฺตาริ หิ ภยานิ กิเลสภยํ วฎฺฎภยํ ทุคฺคติภยํ อุปวาทภยนฺติฯ ปุถุชฺชโน จตูหิปิ ภเยหิ ภายติฯ เสกฺขา ตีหิ, เตสญฺหิ ทุคฺคติภยํ ปหีนํ, อิติ สตฺต เสกฺขา ภยูปรตา, ขีณาสโว อภยูปรโต นาม, ตสฺส หิ เอกมฺปิ ภยํ นตฺถิฯ กิํ ปรวาทภยํ นตฺถีติ? นตฺถิฯ ปรานุทฺทยํ ปน ปฎิจฺจ, ‘‘มาทิสํ ขีณาสวํ ปฎิจฺจ สตฺตา มา นสฺสนฺตู’’ติ อุปวาทํ รกฺขติฯ มูลุปฺปลวาปิวิหารวาสี ยสเตฺถโร วิยฯ
Tathāgato pana aṭṭhasu lokadhammesu tādī, so hi lābhepi tādī, alābhepi tādī, yasepi tādī, ayasepi tādī, pasaṃsāyapi tādī, nindāyapi tādī, sukhepi tādī, dukkhepi tādī, tasmā sabbākārena nāssa idhekacce ādīnavā saṃvijjanti. Abhayūparatoti abhayo hutvā uparato, accantūparato satatūparatoti attho. Na vā bhayena uparatotipi abhayūparato. Cattāri hi bhayāni kilesabhayaṃ vaṭṭabhayaṃ duggatibhayaṃ upavādabhayanti. Puthujjano catūhipi bhayehi bhāyati. Sekkhā tīhi, tesañhi duggatibhayaṃ pahīnaṃ, iti satta sekkhā bhayūparatā, khīṇāsavo abhayūparato nāma, tassa hi ekampi bhayaṃ natthi. Kiṃ paravādabhayaṃ natthīti? Natthi. Parānuddayaṃ pana paṭicca, ‘‘mādisaṃ khīṇāsavaṃ paṭicca sattā mā nassantū’’ti upavādaṃ rakkhati. Mūluppalavāpivihāravāsī yasatthero viya.
เถโร กิร มูลุปฺปลวาปิคามํ ปิณฺฑาย ปาวิสิฯ อถสฺส อุปฎฺฐากกุลทฺวารํ ปตฺตสฺส ปตฺตํ คเหตฺวา ถณฺฑิลปีฐกํ นิสฺสาย อาสนํ ปญฺญเปสุํฯ อมจฺจธีตาปิ ตํเยว ปีฐกํ นิสฺสาย ปรโตภาเค นีจตรํ อาสนํ ปญฺญาเปตฺวา นิสีทิฯ เอโก เนวาสิโก ภิกฺขุ ปจฺฉา ปิณฺฑาย ปวิโฎฺฐ ทฺวาเร ฐตฺวาว โอโลเกโนฺต เถโร อมจฺจธีตรา สทฺธิํ เอกมเญฺจ นิสิโนฺนติ สลฺลเกฺขตฺวา, ‘‘อยํ ปํสุกูลิโก วิหาเรว อุปสนฺตูปสโนฺต วิย วิหรติ, อโนฺตคาเม ปน อุปฎฺฐายิกาหิ สทฺธิํ เอกมเญฺจ นิสีทตี’’ติ จิเนฺตตฺวา, ‘‘กิํ นุ โข มยา ทุทฺทิฎฺฐ’’นฺติ ปุนปฺปุนํ โอโลเกตฺวา ตถาสญฺญีว หุตฺวา ปกฺกามิฯ เถโรปิ ภตฺตกิจฺจํ กตฺวา วิหารํ คนฺตฺวา วสนฎฺฐานํ ปวิสิตฺวา ทฺวารํ ปิธาย นิสีทิฯ เนวาสิโกปิ กตภตฺตกิโจฺจ วิหารํ คนฺตฺวา, ‘‘ตํ ปํสุกูลิกํ นิคฺคณฺหิตฺวา วิหารา นิกฺกฑฺฒิสฺสามี’’ติ อสญฺญตนีหาเรน เถรสฺส วสนฎฺฐานํ คนฺตฺวา ปริโภคฆฎโต อุลุเงฺกน อุทกํ คเหตฺวา มหาสทฺทํ กโรโนฺต ปาเท โธวิฯ เถโร, ‘‘โก นุ โข อยํ อสญฺญตจาริโก’’ติ อาวชฺชโนฺต สพฺพํ ญตฺวา, ‘‘อยํ มยิ มนํ ปโทเสตฺวา อปายูปโค มา อโหสี’’ติ เวหาสํ อพฺภุคฺคนฺตฺวา กณฺณิกามณฺฑลสมีเป ปลฺลเงฺกน นิสีทิฯ เนวาสิโก ทุฎฺฐากาเรน ฆฎิกํ อุกฺขิปิตฺวา ทฺวารํ วิวริตฺวา อโนฺต ปวิโฎฺฐ เถรํ อปสฺสโนฺต, ‘‘เหฎฺฐามญฺจํ ปวิโฎฺฐ ภวิสฺสตี’’ติ โอโลเกตฺวา ตตฺถาปิ อปสฺสโนฺต นิกฺขมิตุํ อารภิฯ เถโร อุกฺกาสิฯ อิตโร อุทฺธํ โอโลเกโนฺต ทิสฺวา อธิวาเสตุํ อสโกฺกโนฺต เอวมาห – ‘‘ปติรูปํ เต, อาวุโส, ปํสุกูลิก เอวํ อานุภาวสมฺปนฺนสฺส อุปฎฺฐายิกาย สทฺธิํ เอกมเญฺจ นิสีทิตุ’’นฺติฯ ปพฺพชิตา นาม, ภเนฺต, มาตุคาเมน สทฺธิํ น เอกมเญฺจ นิสีทนฺติ, ตุเมฺหหิ ปน ทุทฺทิฎฺฐเมตนฺติฯ เอวํ ขีณาสวา ปรานุทฺทยาย อุปวาทํ รกฺขนฺติฯ
Thero kira mūluppalavāpigāmaṃ piṇḍāya pāvisi. Athassa upaṭṭhākakuladvāraṃ pattassa pattaṃ gahetvā thaṇḍilapīṭhakaṃ nissāya āsanaṃ paññapesuṃ. Amaccadhītāpi taṃyeva pīṭhakaṃ nissāya paratobhāge nīcataraṃ āsanaṃ paññāpetvā nisīdi. Eko nevāsiko bhikkhu pacchā piṇḍāya paviṭṭho dvāre ṭhatvāva olokento thero amaccadhītarā saddhiṃ ekamañce nisinnoti sallakkhetvā, ‘‘ayaṃ paṃsukūliko vihāreva upasantūpasanto viya viharati, antogāme pana upaṭṭhāyikāhi saddhiṃ ekamañce nisīdatī’’ti cintetvā, ‘‘kiṃ nu kho mayā duddiṭṭha’’nti punappunaṃ oloketvā tathāsaññīva hutvā pakkāmi. Theropi bhattakiccaṃ katvā vihāraṃ gantvā vasanaṭṭhānaṃ pavisitvā dvāraṃ pidhāya nisīdi. Nevāsikopi katabhattakicco vihāraṃ gantvā, ‘‘taṃ paṃsukūlikaṃ niggaṇhitvā vihārā nikkaḍḍhissāmī’’ti asaññatanīhārena therassa vasanaṭṭhānaṃ gantvā paribhogaghaṭato uluṅkena udakaṃ gahetvā mahāsaddaṃ karonto pāde dhovi. Thero, ‘‘ko nu kho ayaṃ asaññatacāriko’’ti āvajjanto sabbaṃ ñatvā, ‘‘ayaṃ mayi manaṃ padosetvā apāyūpago mā ahosī’’ti vehāsaṃ abbhuggantvā kaṇṇikāmaṇḍalasamīpe pallaṅkena nisīdi. Nevāsiko duṭṭhākārena ghaṭikaṃ ukkhipitvā dvāraṃ vivaritvā anto paviṭṭho theraṃ apassanto, ‘‘heṭṭhāmañcaṃ paviṭṭho bhavissatī’’ti oloketvā tatthāpi apassanto nikkhamituṃ ārabhi. Thero ukkāsi. Itaro uddhaṃ olokento disvā adhivāsetuṃ asakkonto evamāha – ‘‘patirūpaṃ te, āvuso, paṃsukūlika evaṃ ānubhāvasampannassa upaṭṭhāyikāya saddhiṃ ekamañce nisīditu’’nti. Pabbajitā nāma, bhante, mātugāmena saddhiṃ na ekamañce nisīdanti, tumhehi pana duddiṭṭhametanti. Evaṃ khīṇāsavā parānuddayāya upavādaṃ rakkhanti.
ขยา ราคสฺสาติ ราคสฺส ขเยเนวฯ วีตราคตฺตา กาเม น ปฎิเสวติ, น ปฎิสงฺขาย วาเรตฺวาติฯ ตเญฺจติ เอวํ ตถาคตสฺส กิเลสปฺปหานํ ญตฺวา ตตฺถ ตตฺถ ฐิตนิสินฺนกาลาทีสุปิ จตุปริสมเชฺฌ อลงฺกตธมฺมาสเน นิสีทิตฺวาปิ อิติปิ สตฺถา วีตราโค วีตโทโส วีตโมโห วนฺตกิเลโส ปหีนมโล อพฺภา มุตฺตปุณฺณจโนฺท วิย สุปริสุโทฺธติ เอวํ ตถาคตสฺส กิเลสปฺปหาเน วณฺณํ กถยมานํ ตํ วีมํสกํ ภิกฺขุํ ปเร เอวํ ปุเจฺฉยฺยุํ เจติ อโตฺถฯ
Khayā rāgassāti rāgassa khayeneva. Vītarāgattā kāme na paṭisevati, na paṭisaṅkhāya vāretvāti. Tañceti evaṃ tathāgatassa kilesappahānaṃ ñatvā tattha tattha ṭhitanisinnakālādīsupi catuparisamajjhe alaṅkatadhammāsane nisīditvāpi itipi satthā vītarāgo vītadoso vītamoho vantakileso pahīnamalo abbhā muttapuṇṇacando viya suparisuddhoti evaṃ tathāgatassa kilesappahāne vaṇṇaṃ kathayamānaṃ taṃ vīmaṃsakaṃ bhikkhuṃ pare evaṃ puccheyyuṃ ceti attho.
อาการาติ การณานิฯ อนฺวยาติ อนุพุทฺธิโยฯ สเงฺฆ วา วิหรโนฺตติ อเปฺปกทา อปริจฺฉินฺนคณนสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส มเชฺฌ วิหรโนฺตฯ เอโก วา วิหรโนฺตติ อิจฺฉามหํ, ภิกฺขเว , อฑฺฒมาสํ ปฎิสลฺลียิตุนฺติ, เตมาสํ ปฎิสลฺลียิตุนฺติ เอวํ ปฎิสลฺลาเน เจว ปาลิเลยฺยกวนสเณฺฑ จ เอกโก วิหรโนฺตฯ สุคตาติ สุฎฺฐุคตา สุปฺปฎิปนฺนา การกา ยุตฺตปยุตฺตาฯ เอวรูปาปิ หิ เอกเจฺจ ภิกฺขู อตฺถิฯ ทุคฺคตาติ ทุฎฺฐุคตา ทุปฺปฎิปนฺนา กายทฬฺหิพหุลา วิสฺสฎฺฐกมฺมฎฺฐานาฯ เอวรูปาปิ เอกเจฺจ อตฺถิฯ คณมนุสาสนฺตีติ คณพนฺธเนน พทฺธา คณารามา คณพหุลิกา หุตฺวา คณํ ปริหรนฺติฯ เอวรูปาปิ เอกเจฺจ อตฺถิฯ เตสํ ปฎิปกฺขภูตา คณโต นิสฺสฎา วิสํสฎฺฐา วิปฺปมุตฺตวิหาริโนปิ อตฺถิฯ
Ākārāti kāraṇāni. Anvayāti anubuddhiyo. Saṅghe vā viharantoti appekadā aparicchinnagaṇanassa bhikkhusaṅghassa majjhe viharanto. Eko vā viharantoti icchāmahaṃ, bhikkhave , aḍḍhamāsaṃ paṭisallīyitunti, temāsaṃ paṭisallīyitunti evaṃ paṭisallāne ceva pālileyyakavanasaṇḍe ca ekako viharanto. Sugatāti suṭṭhugatā suppaṭipannā kārakā yuttapayuttā. Evarūpāpi hi ekacce bhikkhū atthi. Duggatāti duṭṭhugatā duppaṭipannā kāyadaḷhibahulā vissaṭṭhakammaṭṭhānā. Evarūpāpi ekacce atthi. Gaṇamanusāsantīti gaṇabandhanena baddhā gaṇārāmā gaṇabahulikā hutvā gaṇaṃ pariharanti. Evarūpāpi ekacce atthi. Tesaṃ paṭipakkhabhūtā gaṇato nissaṭā visaṃsaṭṭhā vippamuttavihārinopi atthi.
อามิเสสุ สนฺทิสฺสนฺตีติ อามิสคิทฺธา อามิสจกฺขุกา จตุปจฺจยอามิสตฺถเมว อาหิณฺฑมานา อามิเสสุ สนฺทิสฺสมานกภิกฺขูปิ อตฺถิฯ อามิเสน อนุปลิตฺตา จตูหิ ปจฺจเยหิ วินิวตฺตมานสา อพฺภา มุตฺตจนฺทสทิสา หุตฺวา วิหรมานาปิ อตฺถิฯ นายมายสฺมา ตํ เตน อวชานาตีติ อยํ อายสฺมา สตฺถา ตาย ตาย ปฎิปตฺติยา ตํ ตํ ปุคฺคลํ นาวชานาติ, อยํ ปฎิปโนฺน การโก, อยํ คณโต นิสฺสโฎ วิสํสโฎฺฐฯ อยํ อามิเสน อนุปลิโตฺต ปจฺจเยหิ วินิวตฺตมานโส อพฺภา มุโตฺต จนฺทิมา วิยาติ เอวมสฺส เคหสิตวเสน อุสฺสาทนาปิ นตฺถิฯ อยํ ทุปฺปฎิปโนฺน อการโก กายทฬฺหิพหุโล วิสฺสฎฺฐกมฺมฎฺฐาโน, อยํ คณพนฺธนพโทฺธ, อยํ อามิสคิโทฺธ โลโล อามิสจกฺขุโกติ เอวมสฺส เคหสิตวเสน อปสาทนาปิ นตฺถีติ อโตฺถฯ อิมินา กิํ กถิตํ โหติ? ตถาคตสฺส สเตฺตสุ ตาทิภาโว กถิโต โหติฯ อยญฺหิ –
Āmisesu sandissantīti āmisagiddhā āmisacakkhukā catupaccayaāmisatthameva āhiṇḍamānā āmisesu sandissamānakabhikkhūpi atthi. Āmisena anupalittā catūhi paccayehi vinivattamānasā abbhā muttacandasadisā hutvā viharamānāpi atthi. Nāyamāyasmā taṃ tena avajānātīti ayaṃ āyasmā satthā tāya tāya paṭipattiyā taṃ taṃ puggalaṃ nāvajānāti, ayaṃ paṭipanno kārako, ayaṃ gaṇato nissaṭo visaṃsaṭṭho. Ayaṃ āmisena anupalitto paccayehi vinivattamānaso abbhā mutto candimā viyāti evamassa gehasitavasena ussādanāpi natthi. Ayaṃ duppaṭipanno akārako kāyadaḷhibahulo vissaṭṭhakammaṭṭhāno, ayaṃ gaṇabandhanabaddho, ayaṃ āmisagiddho lolo āmisacakkhukoti evamassa gehasitavasena apasādanāpi natthīti attho. Iminā kiṃ kathitaṃ hoti? Tathāgatassa sattesu tādibhāvo kathito hoti. Ayañhi –
‘‘วธกสฺส เทวทตฺตสฺส, โจรสฺสงฺคุลิมาลิโน;
‘‘Vadhakassa devadattassa, corassaṅgulimālino;
ธนปาเล ราหุเล จ, สเพฺพสํ สมโก มุนี’’ติฯ (มิ. ป. ๖.๖.๕);
Dhanapāle rāhule ca, sabbesaṃ samako munī’’ti. (mi. pa. 6.6.5);
๔๘๙. ตตฺร, ภิกฺขเวติ เตสุ ทฺวีสุ วีมํสเกสุฯ โย, ‘‘เก ปนายสฺมโต อาการา’’ติ ปุจฺฉายํ อาคโต คณฺฐิวีมํสโก จ, โย ‘‘อภยูปรโต อยมายสฺมา’’ติ อาคโต มูลวีมํสโก จฯ เตสุ มูลวีมํสเกน ตถาคโตว อุตฺตริ ปฎิปุจฺฉิตโพฺพฯ โส หิ ปุเพฺพ ปรเสฺสว กถาย นิฎฺฐงฺคโตฯ ปโร จ นาม ชานิตฺวาปิ กเถยฺย อชานิตฺวาปิฯ เอวมสฺส กถา ภูตาปิ โหติ อภูตาปิ, ตสฺมา ปรเสฺสว กถาย นิฎฺฐํ อคนฺตฺวา ตโต อุตฺตริ ตถาคโตว ปฎิปุจฺฉิตโพฺพติ อโตฺถฯ
489.Tatra, bhikkhaveti tesu dvīsu vīmaṃsakesu. Yo, ‘‘ke panāyasmato ākārā’’ti pucchāyaṃ āgato gaṇṭhivīmaṃsako ca, yo ‘‘abhayūparato ayamāyasmā’’ti āgato mūlavīmaṃsako ca. Tesu mūlavīmaṃsakena tathāgatova uttari paṭipucchitabbo. So hi pubbe parasseva kathāya niṭṭhaṅgato. Paro ca nāma jānitvāpi katheyya ajānitvāpi. Evamassa kathā bhūtāpi hoti abhūtāpi, tasmā parasseva kathāya niṭṭhaṃ agantvā tato uttari tathāgatova paṭipucchitabboti attho.
พฺยากรมาโนติ เอตฺถ ยสฺมา ตถาคตสฺส มิจฺฉาพฺยากรณํ นาม นตฺถิ, ตสฺมา สมฺมา มิจฺฉาติ อวตฺวา พฺยากรมาโนเตฺวว วุตฺตํฯ เอตํ ปโถหมสฺมิ เอตํ โคจโรติ เอส มยฺหํ ปโถ เอส โคจโรติ อโตฺถฯ ‘‘เอตาปาโถ’’ติปิ ปาโฐ, ตสฺสโตฺถ มยฺหํ อาชีวฎฺฐมกสีลํ ปริสุทฺธํ, สฺวาหํ ตสฺส ปริสุทฺธภาเวน วีมํสกสฺส ภิกฺขุโน ญาณมุเข เอตาปาโถ, เอวํ อาปาถํ คจฺฉามีติ วุตฺตํ โหติฯ โน จ เตน ตมฺมโยติ เตนปิ จาหํ ปริสุเทฺธน สีเลน น ตมฺมโย, น สตโณฺห, ปริสุทฺธสีลตฺตาว นิตฺตโณฺหหมสฺมีติ ทีเปติฯ
Byākaramānoti ettha yasmā tathāgatassa micchābyākaraṇaṃ nāma natthi, tasmā sammā micchāti avatvā byākaramānotveva vuttaṃ. Etaṃ pathohamasmietaṃ gocaroti esa mayhaṃ patho esa gocaroti attho. ‘‘Etāpātho’’tipi pāṭho, tassattho mayhaṃ ājīvaṭṭhamakasīlaṃ parisuddhaṃ, svāhaṃ tassa parisuddhabhāvena vīmaṃsakassa bhikkhuno ñāṇamukhe etāpātho, evaṃ āpāthaṃ gacchāmīti vuttaṃ hoti. No ca tena tammayoti tenapi cāhaṃ parisuddhena sīlena na tammayo, na sataṇho, parisuddhasīlattāva nittaṇhohamasmīti dīpeti.
อุตฺตรุตฺตริํ ปณีตปณีตนฺติ อุตฺตรุตฺตริํ เจว ปณีตตรญฺจ กตฺวา เทเสติฯ กณฺหสุกฺกสปฺปฎิภาคนฺติ กณฺหํ เจว สุกฺกญฺจ, ตญฺจ โข สปฺปฎิภาคํ สวิปกฺขํ กตฺวา, กณฺหํ ปฎิพาหิตฺวา สุกฺกนฺติ สุกฺกํ ปฎิพาหิตฺวา กณฺหนฺติ เอวํ สปฺปฎิภาคํ กตฺวา กณฺหสุกฺกํ เทเสติฯ กณฺหํ เทเสโนฺตปิ สอุสฺสาหํ สวิปากํ เทเสติ, สุกฺกํ เทเสโนฺตปิ สอุสฺสาหํ สวิปากํ เทเสติฯ อภิญฺญาย อิเธกจฺจํ ธมฺมํ ธเมฺมสุ นิฎฺฐํ คจฺฉตีติ ตสฺมิํ เทสิเต ธเมฺม เอกจฺจํ ปฎิเวธธมฺมํ อภิญฺญาย เตน ปฎิเวธธเมฺมน เทสนาธเมฺม นิฎฺฐํ คจฺฉติฯ สตฺถริ ปสีทตีติ เอวํ ธเมฺม นิฎฺฐํ คนฺตฺวา ภิโยฺยโสมตฺตาย สมฺมาสมฺพุโทฺธ โส ภควาติ สตฺถริ ปสีทติฯ เตน ปน ภควตา โย ธโมฺม อกฺขาโต, โสปิ สฺวากฺขาโต ภควตา ธโมฺม นิยฺยานิกตฺตาฯ ยฺวาสฺส ตํ ธมฺมํ ปฎิปโนฺน สโงฺฆ, โสปิ สุปฺปฎิปโนฺน วงฺกาทิโทสรหิตํ ปฎิปทํ ปฎิปนฺนตฺตาติ เอวํ ธเมฺม สเงฺฆปิ ปสีทติฯ ตเญฺจติ ตํ เอวํ ปสนฺนํ ตตฺถ ตตฺถ ติณฺณํ รตนานํ วณฺณํ กเถนฺตํ ภิกฺขุํฯ
Uttaruttariṃpaṇītapaṇītanti uttaruttariṃ ceva paṇītatarañca katvā deseti. Kaṇhasukkasappaṭibhāganti kaṇhaṃ ceva sukkañca, tañca kho sappaṭibhāgaṃ savipakkhaṃ katvā, kaṇhaṃ paṭibāhitvā sukkanti sukkaṃ paṭibāhitvā kaṇhanti evaṃ sappaṭibhāgaṃ katvā kaṇhasukkaṃ deseti. Kaṇhaṃ desentopi saussāhaṃ savipākaṃ deseti, sukkaṃ desentopi saussāhaṃ savipākaṃ deseti. Abhiññāya idhekaccaṃ dhammaṃ dhammesu niṭṭhaṃ gacchatīti tasmiṃ desite dhamme ekaccaṃ paṭivedhadhammaṃ abhiññāya tena paṭivedhadhammena desanādhamme niṭṭhaṃ gacchati. Satthari pasīdatīti evaṃ dhamme niṭṭhaṃ gantvā bhiyyosomattāya sammāsambuddho so bhagavāti satthari pasīdati. Tena pana bhagavatā yo dhammo akkhāto, sopi svākkhāto bhagavatā dhammo niyyānikattā. Yvāssa taṃ dhammaṃ paṭipanno saṅgho, sopi suppaṭipanno vaṅkādidosarahitaṃ paṭipadaṃ paṭipannattāti evaṃ dhamme saṅghepi pasīdati. Tañceti taṃ evaṃ pasannaṃ tattha tattha tiṇṇaṃ ratanānaṃ vaṇṇaṃ kathentaṃ bhikkhuṃ.
๔๙๐. อิเมหิ อากาเรหีติ อิเมหิ สตฺถุวีมํสนการเณหิฯ อิเมหิ ปเทหีติ อิเมหิ อกฺขรสมฺปิณฺฑนปเทหิฯ อิเมหิ พฺยญฺชเนหีติ อิเมหิ อิธ วุเตฺตหิ อกฺขเรหิฯ สทฺธา นิวิฎฺฐาติ โอกปฺปนา ปติฎฺฐิตาฯ มูลชาตาติ โสตาปตฺติมคฺควเสน สญฺชาตมูลาฯ โสตาปตฺติมโคฺค หิ สทฺธาย มูลํ นามฯ อาการวตีติ การณํ ปริเยสิตฺวา คหิตตฺตา สการณาฯ ทสฺสนมูลิกาติ โสตาปตฺติมคฺคมูลิกาฯ โส หิ ทสฺสนนฺติ วุจฺจติฯ ทฬฺหาติ ถิราฯ อสํหาริยาติ หริตุํ น สกฺกาฯ สมเณน วาติ สมิตปาปสมเณน วาฯ พฺราหฺมเณน วาติ พาหิตปาปพฺราหฺมเณน วาฯ เทเวน วาติ อุปปตฺติเทเวน วาฯ มาเรน วาติ วสวตฺติมาเรน วา, โสตาปนฺนสฺส หิ วสวตฺติมาเรนาปิ สทฺธา อสํหาริยา โหติ สูรมฺพฎฺฐสฺส วิยฯ
490.Imehi ākārehīti imehi satthuvīmaṃsanakāraṇehi. Imehi padehīti imehi akkharasampiṇḍanapadehi. Imehi byañjanehīti imehi idha vuttehi akkharehi. Saddhā niviṭṭhāti okappanā patiṭṭhitā. Mūlajātāti sotāpattimaggavasena sañjātamūlā. Sotāpattimaggo hi saddhāya mūlaṃ nāma. Ākāravatīti kāraṇaṃ pariyesitvā gahitattā sakāraṇā. Dassanamūlikāti sotāpattimaggamūlikā. So hi dassananti vuccati. Daḷhāti thirā. Asaṃhāriyāti harituṃ na sakkā. Samaṇena vāti samitapāpasamaṇena vā. Brāhmaṇena vāti bāhitapāpabrāhmaṇena vā. Devena vāti upapattidevena vā. Mārena vāti vasavattimārena vā, sotāpannassa hi vasavattimārenāpi saddhā asaṃhāriyā hoti sūrambaṭṭhassa viya.
โส กิร สตฺถุ ธมฺมเทสนํ สุตฺวา โสตาปโนฺน หุตฺวา เคหํ อาคโตฯ อถ มาโร ทฺวตฺติํสวรลกฺขณปฺปฎิมณฺฑิตํ พุทฺธรูปํ มาเปตฺวา ตสฺส ฆรทฺวาเร ฐตฺวา – ‘‘สตฺถา อาคโต’’ติ สาสนํ ปหิณิฯ สูโร จิเนฺตสิ, ‘‘อหํ อิทาเนว สตฺถุ สนฺติกา ธมฺมํ สุตฺวา อาคโต, กิํ นุ โข ภวิสฺสตี’’ติ อุปสงฺกมิตฺวา สตฺถุสญฺญาย วนฺทิตฺวา อฎฺฐาสิฯ มาโร อาห – ‘‘ยํ เต มยา, สูรมฺพฎฺฐ, รูปํ อนิจฺจํ…เป.… วิญฺญาณํ อนิจฺจนฺติ กถิตํ, ตํ อนุปธาเรตฺวาว สหสา มยา เอวํ วุตฺตํฯ ตสฺมา ตฺวํ รูปํ นิจฺจํ…เป.… วิญฺญาณํ นิจฺจนฺติ คณฺหาหี’’ติฯ สูโร จิเนฺตสิ – ‘‘อฎฺฐานเมตํ, ยํ พุทฺธา อนุปธาเรตฺวา อปจฺจกฺขํ กตฺวา กิญฺจิ กเถยฺยุํ, อทฺธา อยํ มยฺหํ วิพาธนตฺถํ มาโร อาคโต’’ติฯ ตโต นํ ตฺวํ มาโรติ อาหฯ โส มุสาวาทํ กาตุํ นาสกฺขิ, อาม มาโรสฺมีติ ปฎิชานิฯ กสฺมา อาคโตสีติ วุเตฺต ตว สทฺธาจาลนตฺถนฺติ อาหฯ กณฺห ปาปิม, ตฺวํ ตาว เอกโก ติฎฺฐ, ตาทิสานํ มารานํ สตมฺปิ สหสฺสมฺปิ มม สทฺธํ จาเลตุํ อสมตฺถํ, มเคฺคน อาคตา สทฺธา นาม สิลาปถวิยํ ปติฎฺฐิตสิเนรุ วิย อจลา โหติ, กิํ ตฺวํ เอตฺถาติ อจฺฉรํ ปหริฯ โส ฐาตุํ อสโกฺกโนฺต ตเตฺถวนฺตรธายิฯ พฺรหฺมุนา วาติ พฺรหฺมกายิกาทีสุ อญฺญตรพฺรหฺมุนา วาฯ เกนจิ วา โลกสฺมินฺติ เอเต สมณาทโย ฐเปตฺวา อเญฺญนปิ เกนจิ วา โลกสฺมิํ หริตุํ น สกฺกาฯ ธมฺมสมเนฺนสนาติ สภาวสมเนฺนสนาฯ ธมฺมตาสุสมนฺนิโฎฺฐติ ธมฺมตาย สุสมนฺนิโฎฺฐ, สภาเวเนว สุฎฺฐุ สมเนฺนสิโต โหตีติ อโตฺถฯ เสสํ สพฺพตฺถ อุตฺตานเมวาติฯ
So kira satthu dhammadesanaṃ sutvā sotāpanno hutvā gehaṃ āgato. Atha māro dvattiṃsavaralakkhaṇappaṭimaṇḍitaṃ buddharūpaṃ māpetvā tassa gharadvāre ṭhatvā – ‘‘satthā āgato’’ti sāsanaṃ pahiṇi. Sūro cintesi, ‘‘ahaṃ idāneva satthu santikā dhammaṃ sutvā āgato, kiṃ nu kho bhavissatī’’ti upasaṅkamitvā satthusaññāya vanditvā aṭṭhāsi. Māro āha – ‘‘yaṃ te mayā, sūrambaṭṭha, rūpaṃ aniccaṃ…pe… viññāṇaṃ aniccanti kathitaṃ, taṃ anupadhāretvāva sahasā mayā evaṃ vuttaṃ. Tasmā tvaṃ rūpaṃ niccaṃ…pe… viññāṇaṃ niccanti gaṇhāhī’’ti. Sūro cintesi – ‘‘aṭṭhānametaṃ, yaṃ buddhā anupadhāretvā apaccakkhaṃ katvā kiñci katheyyuṃ, addhā ayaṃ mayhaṃ vibādhanatthaṃ māro āgato’’ti. Tato naṃ tvaṃ māroti āha. So musāvādaṃ kātuṃ nāsakkhi, āma mārosmīti paṭijāni. Kasmā āgatosīti vutte tava saddhācālanatthanti āha. Kaṇha pāpima, tvaṃ tāva ekako tiṭṭha, tādisānaṃ mārānaṃ satampi sahassampi mama saddhaṃ cāletuṃ asamatthaṃ, maggena āgatā saddhā nāma silāpathaviyaṃ patiṭṭhitasineru viya acalā hoti, kiṃ tvaṃ etthāti accharaṃ pahari. So ṭhātuṃ asakkonto tatthevantaradhāyi. Brahmunā vāti brahmakāyikādīsu aññatarabrahmunā vā. Kenaci vā lokasminti ete samaṇādayo ṭhapetvā aññenapi kenaci vā lokasmiṃ harituṃ na sakkā. Dhammasamannesanāti sabhāvasamannesanā. Dhammatāsusamanniṭṭhoti dhammatāya susamanniṭṭho, sabhāveneva suṭṭhu samannesito hotīti attho. Sesaṃ sabbattha uttānamevāti.
ปปญฺจสูทนิยา มชฺฌิมนิกายฎฺฐกถาย
Papañcasūdaniyā majjhimanikāyaṭṭhakathāya
วีมํสกสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Vīmaṃsakasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๗. วีมํสกสุตฺตํ • 7. Vīmaṃsakasuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๗. วีมํสกสุตฺตวณฺณนา • 7. Vīmaṃsakasuttavaṇṇanā