Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā

    วินยปญฺญตฺติยาจนกถา

    Vinayapaññattiyācanakathā

    ๑๘. วินยปญฺญตฺติยาติ ปุเพฺพ อปญฺญตฺตสิกฺขาปทํ สนฺธาย วุตฺตํฯ เถโร หิ ปญฺญตฺตสิกฺขาปทานิ ฐเปตฺวา อิทานิ ปญฺญเปตพฺพสิกฺขาปทานิ ปาติโมกฺขุเทฺทสญฺจ สนฺธาย ‘‘เอตสฺส ภควา กาโล, เอตสฺส สุคต กาโล, ยํ ภควา สาวกานํ สิกฺขาปทํ ปญฺญเปยฺย, อุทฺทิเสยฺย ปาติโมกฺข’’นฺติ (ปารา. ๒๑) อาหฯ ภควตาปิ –

    18.Vinayapaññattiyāti pubbe apaññattasikkhāpadaṃ sandhāya vuttaṃ. Thero hi paññattasikkhāpadāni ṭhapetvā idāni paññapetabbasikkhāpadāni pātimokkhuddesañca sandhāya ‘‘etassa bhagavā kālo, etassa sugata kālo, yaṃ bhagavā sāvakānaṃ sikkhāpadaṃ paññapeyya, uddiseyya pātimokkha’’nti (pārā. 21) āha. Bhagavatāpi –

    ‘‘โก นุ โข, ภเนฺต, เหตุ, โก ปจฺจโย, เยน ปุเพฺพ อปฺปตรานิ เจว สิกฺขาปทานิ อเหสุํ, พหุตรา จ ภิกฺขู อญฺญาย สณฺฐหิํสุฯ โก ปน, ภเนฺต, เหตุ, โก ปจฺจโย, เยน เอตรหิ พหุตรานิ เจว สิกฺขาปทานิ โหนฺติ, อปฺปตรา จ ภิกฺขู อญฺญาย สณฺฐหนฺตีติฯ เอวเมตํ, ภทฺทาลิ, โหติ, สเตฺตสุ หายมาเนสุ สทฺธเมฺม อนฺตรธายมาเน พหุตรานิ เจว สิกฺขาปทานิ โหนฺติ, อปฺปตรา จ ภิกฺขู อญฺญาย สณฺฐหนฺตีติฯ น ตาว, ภทฺทาลิ, สตฺถา สาวกานํ สิกฺขาปทํ ปญฺญเปติ, ยาว น อิเธกเจฺจ อาสวฎฺฐานียา ธมฺมา สเงฺฆ ปาตุภวนฺตี’’ติ –

    ‘‘Ko nu kho, bhante, hetu, ko paccayo, yena pubbe appatarāni ceva sikkhāpadāni ahesuṃ, bahutarā ca bhikkhū aññāya saṇṭhahiṃsu. Ko pana, bhante, hetu, ko paccayo, yena etarahi bahutarāni ceva sikkhāpadāni honti, appatarā ca bhikkhū aññāya saṇṭhahantīti. Evametaṃ, bhaddāli, hoti, sattesu hāyamānesu saddhamme antaradhāyamāne bahutarāni ceva sikkhāpadāni honti, appatarā ca bhikkhū aññāya saṇṭhahantīti. Na tāva, bhaddāli, satthā sāvakānaṃ sikkhāpadaṃ paññapeti, yāva na idhekacce āsavaṭṭhānīyā dhammā saṅghe pātubhavantī’’ti –

    อิมสฺมิํ ภทฺทาลิสุเตฺต (ม. นิ. ๒.๑๔๕) วิย เอกเจฺจสุ ปญฺญเตฺตสุปิ ตโต ปรํ ปญฺญเปตพฺพานิ สนฺธาย ‘‘น ตาว, สาริปุตฺต, สตฺถา สาวกานํ สิกฺขาปทํ ปญฺญเปตี’’ติ วุตฺตํฯ อิเธว จ อฎฺฐกถายํ ‘‘สามมฺปิ ปจนํ สมณสารุปฺปํ น โหติ, น จ วฎฺฎตี’’ติ วจนํ ‘‘รตฺติเจฺฉโท วา วสฺสเจฺฉโท วา น กโต’’ติ วจนญฺจ ปุเพฺพ ปญฺญตฺตสิกฺขาปทานํ สพฺภาเว ปมาณนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ เสสสิกฺขาปทานเญฺจว ปาติโมกฺขุเทฺทสสฺส จ เถรสฺส อายาจเนน ปญฺญตฺตตฺตา ‘‘มูลโต ปภุติ นิทานํ ทเสฺสตุ’’นฺติ อาหฯ รโหคตสฺสาติ รโห ชนวิวิตฺตํ ฐานํ อุปคตสฺสฯ เตน คณสงฺคณิกาภาเวน เถรสฺส กายวิเวกมาหฯ ปฎิสลฺลีนสฺสาติ นานารมฺมณจารโต จิตฺตสฺส นิวตฺติยา ปฎิ สมฺมเทว นิลีนสฺส ตตฺถ อวิสฎจิตฺตสฺสฯ เตน จิตฺตสงฺคณิกาภาเวนสฺส ปุพฺพภาคิยํ จิตฺตวิเวกมาหฯ จิรนฺติ กาลาเปกฺขํ อจฺจนฺตสํโยเค อุปโยควจนํฯ จิราติ จิรกาลยุตฺตา ฐิติ อเภเทน วุตฺตาฯ

    Imasmiṃ bhaddālisutte (ma. ni. 2.145) viya ekaccesu paññattesupi tato paraṃ paññapetabbāni sandhāya ‘‘na tāva, sāriputta, satthā sāvakānaṃ sikkhāpadaṃ paññapetī’’ti vuttaṃ. Idheva ca aṭṭhakathāyaṃ ‘‘sāmampi pacanaṃ samaṇasāruppaṃ na hoti, na ca vaṭṭatī’’ti vacanaṃ ‘‘ratticchedo vā vassacchedo vā na kato’’ti vacanañca pubbe paññattasikkhāpadānaṃ sabbhāve pamāṇanti daṭṭhabbaṃ. Sesasikkhāpadānañceva pātimokkhuddesassa ca therassa āyācanena paññattattā ‘‘mūlato pabhuti nidānaṃ dassetu’’nti āha. Rahogatassāti raho janavivittaṃ ṭhānaṃ upagatassa. Tena gaṇasaṅgaṇikābhāvena therassa kāyavivekamāha. Paṭisallīnassāti nānārammaṇacārato cittassa nivattiyā paṭi sammadeva nilīnassa tattha avisaṭacittassa. Tena cittasaṅgaṇikābhāvenassa pubbabhāgiyaṃ cittavivekamāha. Ciranti kālāpekkhaṃ accantasaṃyoge upayogavacanaṃ. Cirāti cirakālayuttā ṭhiti abhedena vuttā.

    เอตํ น สโกฺกตีติ เอตํ วินิจฺฉินิตุํ น สโกฺกติฯ อฎฺฐกถายํ วุตฺตนยํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ เถรวาทํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘มหาปทุมเตฺถโร ปนา’’ติอาทิฯ อฎฺฐกถายมฺปิ ‘‘น สโกฺกตี’’ติ อิทํ ยสฺมา ชานมาโนปิ สมฺมเทว ปริจฺฉินฺทิตุํ น สโกฺกติ, ตสฺมา วุตฺตนฺติ วทนฺติฯ โสฬสวิธาย ปญฺญาย มตฺถกํ ปตฺตสฺสาติ มชฺฌิมนิกาเย อนุปทสุตฺตนฺตเทสนาย (ม. นิ. ๓.๙๓) –

    Etaṃna sakkotīti etaṃ vinicchinituṃ na sakkoti. Aṭṭhakathāyaṃ vuttanayaṃ dassetvā idāni theravādaṃ dassento āha ‘‘mahāpadumatthero panā’’tiādi. Aṭṭhakathāyampi ‘‘na sakkotī’’ti idaṃ yasmā jānamānopi sammadeva paricchindituṃ na sakkoti, tasmā vuttanti vadanti. Soḷasavidhāya paññāya matthakaṃ pattassāti majjhimanikāye anupadasuttantadesanāya (ma. ni. 3.93) –

    ‘‘มหาปโญฺญ ภิกฺขเว สาริปุโตฺต, ปุถุปโญฺญ ภิกฺขเว สาริปุโตฺต, หาสปโญฺญ ภิกฺขเว สาริปุโตฺต, ชวนปโญฺญ ภิกฺขเว สาริปุโตฺต, ติกฺขปโญฺญ ภิกฺขเว สาริปุโตฺต, นิเพฺพธิกปโญฺญ ภิกฺขเว สาริปุโตฺต’’ติ –

    ‘‘Mahāpañño bhikkhave sāriputto, puthupañño bhikkhave sāriputto, hāsapañño bhikkhave sāriputto, javanapañño bhikkhave sāriputto, tikkhapañño bhikkhave sāriputto, nibbedhikapañño bhikkhave sāriputto’’ti –

    เอวมาคตา มหาปญฺญาทิกา ฉ, ตสฺมิํเยว สุเตฺต อาคตา นวานุปุพฺพวิหารสมาปตฺติปญฺญา, อรหตฺตมคฺคปญฺญาติ อิมาสํ โสฬสปฺปเภทานํ ปญฺญานํ สาวกวิสเย อุกฺกฎฺฐโกฎิปฺปตฺตสฺสฯ

    Evamāgatā mahāpaññādikā cha, tasmiṃyeva sutte āgatā navānupubbavihārasamāpattipaññā, arahattamaggapaññāti imāsaṃ soḷasappabhedānaṃ paññānaṃ sāvakavisaye ukkaṭṭhakoṭippattassa.

    กสฺมา ปเนตฺถ ภควา วิปสฺสีอาทีนํ สตฺตนฺนํเยว พุทฺธานํ พฺรหฺมจริยสฺส จิรฎฺฐิติกาจิรฎฺฐิติกภาวํ กเถสิ, น พุทฺธวํสเทสนายํ วิย ปญฺจวีสติยา พุทฺธานํ, ตโต วา ปน ภิโยฺยติ? เยสํ สมฺมาสมฺพุทฺธานํ ปฎิเวธสาสนํ เอกํสโต นิจฺฉเยน อชฺชาปิ ธรติ, น อนฺตรหิตํ, เต เอว กิเตฺตโนฺต วิปสฺสีอาทีนํเยว ภควนฺตานํ พฺรหฺมจริยสฺส จิรฎฺฐิติกาจิรฎฺฐิติกภาวํ อิธ กเถสิฯ เตสํเยว หิ สาวกา ตทา เจว เอตรหิ จ สุทฺธาวาสภูมิยํ ฐิตา, น อเญฺญสํ ปรินิพฺพุตตฺตาฯ สิทฺธตฺถติสฺสผุสฺสานํ กิร พุทฺธานํ สาวกา สุทฺธาวาเสสุ อุปฺปนฺนา อุปฺปตฺติสมนนฺตรเมว อิมสฺมิํ สาสเน อุปกาทโย วิย อรหตฺตํ อธิคนฺตฺวา น จิรเสฺสว ปรินิพฺพายิํสุ, น ตตฺถ ตตฺถ สาวกา ยาวตายุกํ อฎฺฐํสูติ วทนฺติฯ อปุพฺพาจริมนิยโม ปน อปราปรํ สํสรณกสตฺตาวาสวเสน เอกิสฺสา โลกธาตุยา อิจฺฉิโตติ น เตเนตํ วิรุชฺฌตีติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    Kasmā panettha bhagavā vipassīādīnaṃ sattannaṃyeva buddhānaṃ brahmacariyassa ciraṭṭhitikāciraṭṭhitikabhāvaṃ kathesi, na buddhavaṃsadesanāyaṃ viya pañcavīsatiyā buddhānaṃ, tato vā pana bhiyyoti? Yesaṃ sammāsambuddhānaṃ paṭivedhasāsanaṃ ekaṃsato nicchayena ajjāpi dharati, na antarahitaṃ, te eva kittento vipassīādīnaṃyeva bhagavantānaṃ brahmacariyassa ciraṭṭhitikāciraṭṭhitikabhāvaṃ idha kathesi. Tesaṃyeva hi sāvakā tadā ceva etarahi ca suddhāvāsabhūmiyaṃ ṭhitā, na aññesaṃ parinibbutattā. Siddhatthatissaphussānaṃ kira buddhānaṃ sāvakā suddhāvāsesu uppannā uppattisamanantarameva imasmiṃ sāsane upakādayo viya arahattaṃ adhigantvā na cirasseva parinibbāyiṃsu, na tattha tattha sāvakā yāvatāyukaṃ aṭṭhaṃsūti vadanti. Apubbācarimaniyamo pana aparāparaṃ saṃsaraṇakasattāvāsavasena ekissā lokadhātuyā icchitoti na tenetaṃ virujjhatīti daṭṭhabbaṃ.

    ๑๙. อสาธารโณ เหตุ, สาธารโณ ปจฺจโยติ เอวมาทิวิภาเคน อิธ ปโยชนํ นตฺถิ, วิปสฺสีอาทีนํ ปน พฺรหฺมจริยสฺส อจิรฎฺฐิติกตาย จิรฎฺฐิติกตาย จ การณปุจฺฉาปรตฺตา โจทนายาติ อาห ‘‘เหตุ ปจฺจโยติ อุภยเมตํ การณาธิวจน’’นฺติฯ หิโนติ เตน ผลนฺติ เหตูติ กรณสาธโนยํ เหตุสโทฺทติ อาห ‘‘เตน ตสฺส ผล’’นฺติอาทิฯ กตฺตุสาธโนปิ เหตุสโทฺท โน น ยุชฺชติ หิโนติ ผลสฺส เหตุภาวํ อุปคจฺฉตีติ เหตูติฯ ตํ ปฎิจฺจ เอติ ปวตฺตตีติ ตํ การณํ ปฎิจฺจ ตสฺส ผลํ เอติ ปวตฺตติ นิพฺพตฺตตีติ อโตฺถฯ

    19. Asādhāraṇo hetu, sādhāraṇo paccayoti evamādivibhāgena idha payojanaṃ natthi, vipassīādīnaṃ pana brahmacariyassa aciraṭṭhitikatāya ciraṭṭhitikatāya ca kāraṇapucchāparattā codanāyāti āha ‘‘hetu paccayoti ubhayametaṃ kāraṇādhivacana’’nti. Hinoti tena phalanti hetūti karaṇasādhanoyaṃ hetusaddoti āha ‘‘tena tassa phala’’ntiādi. Kattusādhanopi hetusaddo no na yujjati hinoti phalassa hetubhāvaṃ upagacchatīti hetūti. Taṃ paṭicca eti pavattatīti taṃ kāraṇaṃ paṭicca tassa phalaṃ eti pavattati nibbattatīti attho.

    กิลาสุโน อเหสุนฺติ อโปฺปสฺสุกฺกา อเหสุํ, นิรุสฺสาหา อเหสุนฺติ อโตฺถฯ สา ปน นิรุสฺสาหตา น อาลสิยวเสนาติ อาห ‘‘น อาลสิยกิลาสุโน’’ติ, อาลสิยวเสน กิลาสุโน นาเหสุนฺติ อโตฺถฯ ตตฺถ การณมาห ‘‘น หี’’ติอาทิฯ อาลสิยํ วาติ อิมินา ถินมิทฺธวสปฺปวตฺตานํ อกุสลานํ อภาวมาหฯ โอสนฺนวีริยตา วาติ อิมินา ปน ‘‘อาลสิยาภาเวปิ อนฺตมโส อนฺนภารเนสาทานมฺปิ สกฺกจฺจํเยว ธมฺมํ เทเสตี’’ติ วจนโต ยสฺส กสฺสจิปิ ธมฺมเทสนาย นิรุสฺสาหตา นตฺถีติ ทีเปติ สเพฺพสํ สมเกเนว อุสฺสาเหน ธมฺมเทสนาย ปวตฺตนโตฯ เตนาห ‘‘พุทฺธา หี’’ติอาทิฯ โอสนฺนวีริยาติ โอหีนวีริยา, อโปฺปสฺสุกฺกาติ อโตฺถฯ อุสฺสนฺนวีริยาติ อธิกวีริยา, มหุสฺสาหาติ อโตฺถฯ เวเคนาติ ชเวนฯ ธเมฺม ครุ เอเตสนฺติ ธมฺมครุโนฯ ธเมฺม คารวเมเตสนฺติ ธมฺมคารวาฯ วิปสฺสิสฺส ภควโต กาเล อสีติ วสฺสสหสฺสานิ อายุปฺปมาณํ สิขิสฺส สตฺตติ วสฺสสหสฺสานิ, เวสฺสภุสฺส สฎฺฐิวสฺสสหสฺสานิ อายุปฺปมาณนฺติ อาห ‘‘เตสํ กิร กาเล ทีฆายุกา สตฺตา’’ติฯ อภิสเมนฺตีติ ปฎิวิชฺฌนฺติฯ

    Kilāsunoahesunti appossukkā ahesuṃ, nirussāhā ahesunti attho. Sā pana nirussāhatā na ālasiyavasenāti āha ‘‘na ālasiyakilāsuno’’ti, ālasiyavasena kilāsuno nāhesunti attho. Tattha kāraṇamāha ‘‘na hī’’tiādi. Ālasiyaṃ vāti iminā thinamiddhavasappavattānaṃ akusalānaṃ abhāvamāha. Osannavīriyatā vāti iminā pana ‘‘ālasiyābhāvepi antamaso annabhāranesādānampi sakkaccaṃyeva dhammaṃ desetī’’ti vacanato yassa kassacipi dhammadesanāya nirussāhatā natthīti dīpeti sabbesaṃ samakeneva ussāhena dhammadesanāya pavattanato. Tenāha ‘‘buddhā hī’’tiādi. Osannavīriyāti ohīnavīriyā, appossukkāti attho. Ussannavīriyāti adhikavīriyā, mahussāhāti attho. Vegenāti javena. Dhamme garu etesanti dhammagaruno. Dhamme gāravametesanti dhammagāravā. Vipassissa bhagavato kāle asīti vassasahassāni āyuppamāṇaṃ sikhissa sattati vassasahassāni, vessabhussa saṭṭhivassasahassāni āyuppamāṇanti āha ‘‘tesaṃ kira kāle dīghāyukā sattā’’ti. Abhisamentīti paṭivijjhanti.

    นิโทฺทสตายาติ วีติกฺกมโทสสฺส อภาวโตฯ ‘‘อิมสฺมิํ วีติกฺกเม อยํ นาม อาปตฺตี’’ติ เอวํ อาปตฺติวเสน อปญฺญเปตฺวา ‘‘ปาณาติปาตํ ปหาย ปาณาติปาตา ปฎิวิรโต โหตี’’ติอาทินา (ที. นิ. ๑.๘, ๑๙๔) ธมฺมเทสนาวเสน โอวาทสิกฺขาปทานํเยว ปญฺญตฺตตฺตา วุตฺตํ ‘‘สตฺตาปตฺติกฺขนฺธวเสน อาณาสิกฺขาปทํ อปญฺญตฺต’’นฺติฯ ฉนฺนํ ฉนฺนํ วสฺสานํ อจฺจเยนาติ ปาฐเสโส ทฎฺฐโพฺพฯ อถ วา ฉนฺนํ ฉนฺนํ วสฺสานํ โอสานทิวสํ อเปกฺขิตฺวา ‘‘สกิํ สกิ’’นฺติ วุตฺตตฺตา ตทเปกฺขมิทํ สามิวจนํฯ สกลชมฺพุทีเป สโพฺพปิ ภิกฺขุสโงฺฆ เอกสฺมิํเยว ฐาเน อุโปสถํ อกาสีติ สมฺพโนฺธฯ กตมํ ตํ ฐานนฺติ อาห ‘‘พนฺธุมติยา ราชธานิยา’’ติอาทิฯ อิสิปตนํ เตน สมเยน เขมํ นาม อุยฺยานํ โหติ, มิคานํ ปน อภยวาสตฺถาย ทินฺนตฺตา มิคทาโยติ วุจฺจติฯ ตํ สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘เขเม มิคทาเย’’ติฯ

    Niddosatāyāti vītikkamadosassa abhāvato. ‘‘Imasmiṃ vītikkame ayaṃ nāma āpattī’’ti evaṃ āpattivasena apaññapetvā ‘‘pāṇātipātaṃ pahāya pāṇātipātā paṭivirato hotī’’tiādinā (dī. ni. 1.8, 194) dhammadesanāvasena ovādasikkhāpadānaṃyeva paññattattā vuttaṃ ‘‘sattāpattikkhandhavasena āṇāsikkhāpadaṃ apaññatta’’nti. Channaṃ channaṃ vassānaṃ accayenāti pāṭhaseso daṭṭhabbo. Atha vā channaṃ channaṃ vassānaṃ osānadivasaṃ apekkhitvā ‘‘sakiṃ saki’’nti vuttattā tadapekkhamidaṃ sāmivacanaṃ. Sakalajambudīpe sabbopi bhikkhusaṅgho ekasmiṃyeva ṭhāne uposathaṃ akāsīti sambandho. Katamaṃ taṃ ṭhānanti āha ‘‘bandhumatiyā rājadhāniyā’’tiādi. Isipatanaṃ tena samayena khemaṃ nāma uyyānaṃ hoti, migānaṃ pana abhayavāsatthāya dinnattā migadāyoti vuccati. Taṃ sandhāya vuttaṃ ‘‘kheme migadāye’’ti.

    อโพฺพกิณฺณานิ ทสปิ วีสติปิ ภิกฺขุสหสฺสานิ วสนฺตีติ วิสภาคปุคฺคเลหิ อสํสฎฺฐานิ ทสปิ วีสติปิ ภิกฺขูนํ สหสฺสานิ วสนฺติฯ ทีฆนิกายฎฺฐกถายํ ปน ‘‘เต สเพฺพปิ ทฺวาทสสหสฺสภิกฺขุคณฺหนกา มหาวิหารา อภยคิริเจติยปพฺพตจิตฺตลปพฺพตวิหารสทิสา จ อเหสุ’’นฺติ วุตฺตํฯ อุโปสถาโรจิกาติ อุโปสถาโรจนกาฯ ตา กิร เทวตา เอกมฺหิ วเสฺส นิกฺขเนฺต ตตฺถ ตตฺถ คนฺตฺวา อาโรเจนฺติ ‘‘นิกฺขนฺตํ โข, มาริสา, เอกํ วสฺสํ, ปญฺจ ทานิ วสฺสานิ เสสานิ, ปญฺจนฺนํ วสฺสานํ อจฺจเยน พนฺธุมตี ราชธานี อุปสงฺกมิตพฺพา ปาติโมกฺขุเทฺทสายา’’ติฯ ตถา ทฺวีสุ วเสฺสสุ นิกฺขเนฺตสุ ‘‘นิกฺขนฺตานิ โข, มาริสา, เทฺว วสฺสานิ , จตฺตาริ วสฺสานิ เสสานิ, จตุนฺนํ วสฺสานํ อจฺจเยน พนฺธุมตี ราชธานี อุปสงฺกมิตพฺพา ปาติโมกฺขุเทฺทสายา’’ติ อาโรเจนฺติฯ อิมินาว นเยน ตีสุ จตูสุ ปญฺจสุ วเสฺสสุ อติกฺกเนฺตสุ อาโรเจนฺติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘มาริสา เอกํ วสฺสํ อติกฺกนฺต’’นฺติอาทิฯ สานุภาวาติ อิทฺธานุภาเวน สานุภาวาฯ เต กิร ภิกฺขูติ เย เทวตานุภาเวน คจฺฉนฺติ, เต สนฺธาย วทติฯ ปาจีนสมุทฺทเนฺตติ ปาจีนสมุทฺทสฺส สมีปเทเสฯ คมิยวตฺตนฺติ คมิเกหิ กาตพฺพํ เสนาสนปฎิชคฺคนาทิวตฺตํฯ อุโปสถคฺคนฺติ อุโปสถกรณฎฺฐานํฯ คตาว โหนฺตีติ เทวตานุภาเวน คตา เอว โหนฺติฯ เตติ อตฺตโน อตฺตโน อานุภาเวน เทวตานุภาเวน จ คตา สเพฺพปิฯ

    Abbokiṇṇāni dasapi vīsatipi bhikkhusahassāni vasantīti visabhāgapuggalehi asaṃsaṭṭhāni dasapi vīsatipi bhikkhūnaṃ sahassāni vasanti. Dīghanikāyaṭṭhakathāyaṃ pana ‘‘te sabbepi dvādasasahassabhikkhugaṇhanakā mahāvihārā abhayagiricetiyapabbatacittalapabbatavihārasadisā ca ahesu’’nti vuttaṃ. Uposathārocikāti uposathārocanakā. Tā kira devatā ekamhi vasse nikkhante tattha tattha gantvā ārocenti ‘‘nikkhantaṃ kho, mārisā, ekaṃ vassaṃ, pañca dāni vassāni sesāni, pañcannaṃ vassānaṃ accayena bandhumatī rājadhānī upasaṅkamitabbā pātimokkhuddesāyā’’ti. Tathā dvīsu vassesu nikkhantesu ‘‘nikkhantāni kho, mārisā, dve vassāni , cattāri vassāni sesāni, catunnaṃ vassānaṃ accayena bandhumatī rājadhānī upasaṅkamitabbā pātimokkhuddesāyā’’ti ārocenti. Imināva nayena tīsu catūsu pañcasu vassesu atikkantesu ārocenti. Tena vuttaṃ ‘‘mārisā ekaṃ vassaṃ atikkanta’’ntiādi. Sānubhāvāti iddhānubhāvena sānubhāvā. Te kira bhikkhūti ye devatānubhāvena gacchanti, te sandhāya vadati. Pācīnasamuddanteti pācīnasamuddassa samīpadese. Gamiyavattanti gamikehi kātabbaṃ senāsanapaṭijagganādivattaṃ. Uposathagganti uposathakaraṇaṭṭhānaṃ. Gatāva hontīti devatānubhāvena gatā eva honti. Teti attano attano ānubhāvena devatānubhāvena ca gatā sabbepi.

    ขนฺตี ปรมนฺติอาทีสุ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๒.๙๐; ธ. ป. อฎฺฐ. ๒.๑๘๕) ปรูปวาทํ ปราปการํ สีตุณฺหาทิเภทญฺจ คุโณปโรธํ ขมติ สหติ อธิวาเสตีติ ขนฺติฯ สา ปน สีลาทีนํ ปฎิปกฺขธเมฺม สวิเสสํ ตปติ สนฺตปติ วิธมตีติ ปรมํ อุตฺตมํ ตโปฯ ติติกฺขนํ ขมนํ ติติกฺขาฯ ขนฺติยาเยเวตํ เววจนํฯ อกฺขรจินฺตกา หิ ขมายํ ติติกฺขาสทฺทํ วเณฺณนฺติ, ตสฺมา เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพ ‘‘ติติกฺขาสงฺขาตา อธิวาสนขนฺติ นาม อุตฺตมํ ตโป’’ติฯ นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธาติ ภเวน ภวนฺตรํ วินาติ ภวนิกนฺติภาเวน สํสิพฺพติ, สตณฺหเสฺสว วา อายติํ ปุนพฺภวภาวโต ผเลน สทฺธิํ กมฺมํ วินาติ สํสิพฺพตีติ วานนฺติ สงฺขฺยํ คตาย ตณฺหาย นิกฺขนฺตํ นิพฺพานํ ตตฺถ ตสฺสา สพฺพโส อภาวโตฯ ตํ นิพฺพานํ ปน สนฺตปณีตนิปุณสิวเขมาทินา สพฺพากาเรน ปรมนฺติ วทนฺติ พุทฺธาฯ

    Khantī paramantiādīsu (dī. ni. aṭṭha. 2.90; dha. pa. aṭṭha. 2.185) parūpavādaṃ parāpakāraṃ sītuṇhādibhedañca guṇoparodhaṃ khamati sahati adhivāsetīti khanti. Sā pana sīlādīnaṃ paṭipakkhadhamme savisesaṃ tapati santapati vidhamatīti paramaṃ uttamaṃ tapo. Titikkhanaṃ khamanaṃ titikkhā. Khantiyāyevetaṃ vevacanaṃ. Akkharacintakā hi khamāyaṃ titikkhāsaddaṃ vaṇṇenti, tasmā evamettha attho daṭṭhabbo ‘‘titikkhāsaṅkhātā adhivāsanakhanti nāma uttamaṃ tapo’’ti. Nibbānaṃ paramaṃ vadanti buddhāti bhavena bhavantaraṃ vināti bhavanikantibhāvena saṃsibbati, sataṇhasseva vā āyatiṃ punabbhavabhāvato phalena saddhiṃ kammaṃ vināti saṃsibbatīti vānanti saṅkhyaṃ gatāya taṇhāya nikkhantaṃ nibbānaṃ tattha tassā sabbaso abhāvato. Taṃ nibbānaṃ pana santapaṇītanipuṇasivakhemādinā sabbākārena paramanti vadanti buddhā.

    น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตีติ โย อธิวาสนขนฺติรหิตตฺตา ปรํ อุปฆาเตติ พาธติ วิหิํสติ, โส ปพฺพชิโต นาม น โหติ ปพฺพาเชตพฺพธมฺมสฺส อปพฺพาชนโตฯ จตุตฺถปาโท ปน ตติยปาทเสฺสว เววจนํ อนตฺถนฺตรตฺตาฯ ‘‘น หิ ปพฺพชิโต’’ติ เอตสฺส หิ ‘‘น สมโณ โหตี’’ติ เววจนํฯ ‘‘ปรูปฆาตี’’ติ เอตสฺส ‘‘ปรํ วิเหฐยโนฺต’’ติ เววจนํฯ อถ วา ปรูปฆาตีติ สีลูปฆาตีฯ สีลญฺหิ อุตฺตมเฎฺฐน ‘‘ปร’’นฺติ วุจฺจติ ปรสทฺทสฺส เสฎฺฐวาจกตฺตา ‘‘ปุคฺคลปโรปรญฺญู’’ติอาทีสุ วิยฯ โย จ สมโณ ปรํ ยํ กญฺจิ สตฺตํ วิเหฐยโนฺต ปรูปฆาตี โหติ อตฺตโน สีลวินาสโก, โส ปพฺพชิโต นาม น โหตีติ อโตฺถฯ อถ วา โย อธิวาสนขนฺติยา อภาวา ปรูปฆาตี โหติ, ปรํ อนฺตมโส ฑํสมกสมฺปิ ชีวิตา โวโรเปติ, โส น หิ ปพฺพชิโตฯ กิํ การณา? ปาปมลสฺส อปพฺพาชิตตฺตา อนีหฎตฺตาฯ ‘‘ปพฺพาชยมตฺตโน มลํ, ตสฺมา ปพฺพชิโตติ วุจฺจตี’’ติ (ธ. ป. ๓๘๘) อิทญฺหิ ปพฺพชิตลกฺขณํ ฯ โยปิ นเหว โข อุปฆาเตติ น มาเรติ, อปิจ ทณฺฑาทีหิ วิเหเฐติ, โสปิ ปรํ วิเหฐยโนฺต สมโณ น โหติฯ กิํการณา? วิเหสาย อสมิตตฺตาฯ สมิตตฺตา สมโณติ วุจฺจตีติ อิทญฺหิ สมณลกฺขณํฯ ‘‘สมิตตฺตา หิ ปาปานํ, สมโณติ ปวุจฺจตี’’ติ (ธ. ป. ๒๖๕) หิ วุตฺตํฯ

    Na hi pabbajito parūpaghātīti yo adhivāsanakhantirahitattā paraṃ upaghāteti bādhati vihiṃsati, so pabbajito nāma na hoti pabbājetabbadhammassa apabbājanato. Catutthapādo pana tatiyapādasseva vevacanaṃ anatthantarattā. ‘‘Na hi pabbajito’’ti etassa hi ‘‘na samaṇo hotī’’ti vevacanaṃ. ‘‘Parūpaghātī’’ti etassa ‘‘paraṃ viheṭhayanto’’ti vevacanaṃ. Atha vā parūpaghātīti sīlūpaghātī. Sīlañhi uttamaṭṭhena ‘‘para’’nti vuccati parasaddassa seṭṭhavācakattā ‘‘puggalaparoparaññū’’tiādīsu viya. Yo ca samaṇo paraṃ yaṃ kañci sattaṃ viheṭhayanto parūpaghātī hoti attano sīlavināsako, so pabbajito nāma na hotīti attho. Atha vā yo adhivāsanakhantiyā abhāvā parūpaghātī hoti, paraṃ antamaso ḍaṃsamakasampi jīvitā voropeti, so na hi pabbajito. Kiṃ kāraṇā? Pāpamalassa apabbājitattā anīhaṭattā. ‘‘Pabbājayamattano malaṃ, tasmā pabbajitoti vuccatī’’ti (dha. pa. 388) idañhi pabbajitalakkhaṇaṃ . Yopi naheva kho upaghāteti na māreti, apica daṇḍādīhi viheṭheti, sopi paraṃ viheṭhayanto samaṇo na hoti. Kiṃkāraṇā? Vihesāya asamitattā. Samitattā samaṇoti vuccatīti idañhi samaṇalakkhaṇaṃ. ‘‘Samitattā hi pāpānaṃ, samaṇoti pavuccatī’’ti (dha. pa. 265) hi vuttaṃ.

    อปิจ ภควา ภิกฺขูนํ ปาติโมกฺขํ อุทฺทิสโนฺต ปาติโมกฺขกถาย จ สีลปฺปธานตฺตา สีลสฺส จ วิเสสโต โทโส ปฎิปโกฺขติ ตสฺส นิคฺคณฺหนวิธิํ ทเสฺสตุํ อาทิโต ‘‘ขนฺตี ปรมํ ตโป’’ติ อาหฯ เตน อนิฎฺฐสฺส ปฎิหนนูปาโย วุโตฺต, ติติกฺขาคฺคหเณน ปน อิฎฺฐสฺส, ตทุภเยนปิ อุปฺปนฺนํ อรติํ อุปฺปนฺนํ รติํ อภิภุยฺย วิหรตีติ อยมโตฺถ ทสฺสิโตฯ ตณฺหาวานสฺส วูปสมนโต นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธาฯ ตตฺถ ขนฺติคฺคหเณน ปโยควิปตฺติยา อภาโว ทสฺสิโต, ติติกฺขาคฺคหเณน อาสยวิปตฺติยา อภาโวฯ ตถา ขนฺติคฺคหเณน ปราปราธสหตา, ติติกฺขาคฺคหเณน ปเรสุ อนปรชฺฌนา ทสฺสิตาฯ เอวํ การณมุเขน อนฺวยโต ปาติโมกฺขํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ พฺยติเรกโต ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘น หี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ เตน ยถา สตฺตานํ ชีวิตา โวโรปนํ ปรํ ปาณิเลฑฺฑุทณฺฑาทีหิ วิเหฐนญฺจ ‘‘ปรูปฆาโต ปรํ วิเหฐน’’นฺติ วุจฺจติ, เอวํ เตสํ สาปเตยฺยาวหรณํ ปรามสนํ วิสํวาทนํ อญฺญมญฺญเภทนํ ผรุสวจเนน มมฺมฆฎฺฎนํ นิรตฺถกวิปฺปลาโป ปรสนฺตกาภิชฺฌานํ อุเจฺฉทจินฺตนํ มิจฺฉาภินิเวสนญฺจ อุปฆาโต ปรวิเหฐนญฺจ โหตีติ ยสฺส กสฺสจิ อกุสลสฺส กมฺมปถสฺส กมฺมสฺส จ กรเณน ปพฺพชิโต สมโณ จ น โหตีติ ทเสฺสติฯ

    Apica bhagavā bhikkhūnaṃ pātimokkhaṃ uddisanto pātimokkhakathāya ca sīlappadhānattā sīlassa ca visesato doso paṭipakkhoti tassa niggaṇhanavidhiṃ dassetuṃ ādito ‘‘khantī paramaṃ tapo’’ti āha. Tena aniṭṭhassa paṭihananūpāyo vutto, titikkhāggahaṇena pana iṭṭhassa, tadubhayenapi uppannaṃ aratiṃ uppannaṃ ratiṃ abhibhuyya viharatīti ayamattho dassito. Taṇhāvānassa vūpasamanato nibbānaṃ paramaṃ vadanti buddhā. Tattha khantiggahaṇena payogavipattiyā abhāvo dassito, titikkhāggahaṇena āsayavipattiyā abhāvo. Tathā khantiggahaṇena parāparādhasahatā, titikkhāggahaṇena paresu anaparajjhanā dassitā. Evaṃ kāraṇamukhena anvayato pātimokkhaṃ dassetvā idāni byatirekato taṃ dassetuṃ ‘‘na hī’’tiādi vuttaṃ. Tena yathā sattānaṃ jīvitā voropanaṃ paraṃ pāṇileḍḍudaṇḍādīhi viheṭhanañca ‘‘parūpaghāto paraṃ viheṭhana’’nti vuccati, evaṃ tesaṃ sāpateyyāvaharaṇaṃ parāmasanaṃ visaṃvādanaṃ aññamaññabhedanaṃ pharusavacanena mammaghaṭṭanaṃ niratthakavippalāpo parasantakābhijjhānaṃ ucchedacintanaṃ micchābhinivesanañca upaghāto paraviheṭhanañca hotīti yassa kassaci akusalassa kammapathassa kammassa ca karaṇena pabbajito samaṇo ca na hotīti dasseti.

    ทุติยคาถาย สพฺพปาปสฺสาติ สพฺพากุสลสฺส สพฺพสฺสปิ ทฺวาทสากุสลสฺส สพฺพจิตฺตุปฺปาทสงฺคหิตสฺส สาวชฺชธมฺมสฺสฯ อกรณนฺติ อนุปฺปาทนํฯ กรณญฺหิ นาม ตสฺส อตฺตโน สนฺตาเน อุปฺปาทนนฺติ ตปฺปฎิเกฺขปโต อกรณํ อนุปฺปาทนํฯ กุสลสฺสาติ จตุภูมิกกุสลสฺสฯ ‘‘กุสลสฺสา’’ติ หิ อิทํ ‘‘เอตํ พุทฺธาน สาสน’’นฺติ วกฺขมานตฺตา อริยมคฺคธเมฺม เตสญฺจ สมฺภารภูเต เตภูมิกกุสเล ธเมฺม โพเธติฯ อุปสมฺปทาติ อุปสมฺปาทนํฯ ตํ ปน อตฺถโต ตสฺส กุสลสฺส สมธิคโม ปฎิลาโภฯ สจิตฺตปริโยทปนนฺติ อตฺตโน จิตฺตสฺส โชตนํ จิตฺตสฺส ปภสฺสรภาวกรณํ สพฺพโส ปริโสธนํฯ ตํ ปน อรหเตฺตน โหติฯ เอตฺถ จ ยสฺมา อคฺคมคฺคสมงฺคิโน จิตฺตํ สพฺพโส ปริโยทปียติ นาม, อคฺคผลกฺขเณ ปน ปริโยทปิตํ โหติ ปุน ปริโยทเปตพฺพตาย อภาวโต, ตสฺมา ปรินิฎฺฐิตปริโยทปนตํ สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘ตํ ปน อรหเตฺตน โหตี’’ติฯ อิติ สีลสํวเรน สพฺพปาปํ ปหาย โลกิยโลกุตฺตราหิ สมถวิปสฺสนาหิ กุสลํ สมฺปาเทตฺวา อรหตฺตผเลน จิตฺตํ ปริโยทเปตพฺพนฺติ เอตํ พุทฺธานํ สาสนํ โอวาโท อนุสิฎฺฐิฯ

    Dutiyagāthāya sabbapāpassāti sabbākusalassa sabbassapi dvādasākusalassa sabbacittuppādasaṅgahitassa sāvajjadhammassa. Akaraṇanti anuppādanaṃ. Karaṇañhi nāma tassa attano santāne uppādananti tappaṭikkhepato akaraṇaṃ anuppādanaṃ. Kusalassāti catubhūmikakusalassa. ‘‘Kusalassā’’ti hi idaṃ ‘‘etaṃ buddhāna sāsana’’nti vakkhamānattā ariyamaggadhamme tesañca sambhārabhūte tebhūmikakusale dhamme bodheti. Upasampadāti upasampādanaṃ. Taṃ pana atthato tassa kusalassa samadhigamo paṭilābho. Sacittapariyodapananti attano cittassa jotanaṃ cittassa pabhassarabhāvakaraṇaṃ sabbaso parisodhanaṃ. Taṃ pana arahattena hoti. Ettha ca yasmā aggamaggasamaṅgino cittaṃ sabbaso pariyodapīyati nāma, aggaphalakkhaṇe pana pariyodapitaṃ hoti puna pariyodapetabbatāya abhāvato, tasmā pariniṭṭhitapariyodapanataṃ sandhāya vuttaṃ ‘‘taṃ pana arahattena hotī’’ti. Iti sīlasaṃvarena sabbapāpaṃ pahāya lokiyalokuttarāhi samathavipassanāhi kusalaṃ sampādetvā arahattaphalena cittaṃ pariyodapetabbanti etaṃ buddhānaṃ sāsanaṃ ovādo anusiṭṭhi.

    ตติยคาถาย อนุปวาโทติ วาจาย กสฺสจิ อนุปวทนํฯ อนุปฆาโตติ กาเยน มนสา จ กสฺสจิ อุปฆาตากรณํ มนสาปิ ปเรสํ อนตฺถจินฺตนาทิวเสน อุปฆาตกรณสฺส วเชฺชตพฺพตฺตาฯ ปาติโมเกฺขติ ยํ ตํ ปอติโมกฺขํ อติปโมกฺขํ อุตฺตมํ สีลํ, ปาติ วา สุคติภเยหิ โมเกฺขติ ทุคฺคติภเยหิ, โย วา นํ ปาติ, ตํ โมเกฺขตีติ ปาติโมกฺขนฺติ วุจฺจติ, ตสฺมิํ ปาติโมเกฺข จฯ สํวโรติ สตฺตนฺนํ อาปตฺติกฺขนฺธานํ อวีติกฺกมลกฺขโณ สํวโรฯ มตฺตญฺญุตาติ โภชเน มตฺตญฺญุตา ปฎิคฺคหณปริโภควเสน ปมาณญฺญุตาฯ ปนฺตญฺจ สยนาสนนฺติ ชนสงฺฆฎฺฎวิรหิตํ นิชฺชนสมฺพาธํ วิวิตฺตํ เสนาสนญฺจฯ เอตฺถ ทฺวีหิเยว ปจฺจเยหิ จตุปจฺจยสโนฺตโส ทีปิโตติ เวทิตโพฺพ ปจฺจยสโนฺตสสามเญฺญน อิตรทฺวยสฺสปิ ลกฺขณหารนเยน โชติตภาวโตฯ อธิจิเตฺต จ อาโยโคติ วิปสฺสนาปาทกํ อฎฺฐสมาปตฺติจิตฺตํ อธิจิตฺตํ, ตโตปิ จ มคฺคผลจิตฺตเมว อธิจิตฺตํ, ตสฺมิํ ยถาวุเตฺต อธิจิเตฺต อาโยโค จ, อนุโยโคติ อโตฺถฯ เอตํ พุทฺธาน สาสนนฺติ เอตํ ปรสฺส อนุปวทนํ อนุปฆาตนํ ปาติโมเกฺข สํวโร ปฎิคฺคหณปริโภเคสุ มตฺตญฺญุตา วิวิตฺตเสนาสนเสวนํ อธิจิตฺตานุโยโค จ พุทฺธานํ สาสนํ โอวาโท อนุสิฎฺฐิฯ

    Tatiyagāthāya anupavādoti vācāya kassaci anupavadanaṃ. Anupaghātoti kāyena manasā ca kassaci upaghātākaraṇaṃ manasāpi paresaṃ anatthacintanādivasena upaghātakaraṇassa vajjetabbattā. Pātimokkheti yaṃ taṃ paatimokkhaṃ atipamokkhaṃ uttamaṃ sīlaṃ, pāti vā sugatibhayehi mokkheti duggatibhayehi, yo vā naṃ pāti, taṃ mokkhetīti pātimokkhanti vuccati, tasmiṃ pātimokkhe ca. Saṃvaroti sattannaṃ āpattikkhandhānaṃ avītikkamalakkhaṇo saṃvaro. Mattaññutāti bhojane mattaññutā paṭiggahaṇaparibhogavasena pamāṇaññutā. Pantañca sayanāsananti janasaṅghaṭṭavirahitaṃ nijjanasambādhaṃ vivittaṃ senāsanañca. Ettha dvīhiyeva paccayehi catupaccayasantoso dīpitoti veditabbo paccayasantosasāmaññena itaradvayassapi lakkhaṇahāranayena jotitabhāvato. Adhicitte ca āyogoti vipassanāpādakaṃ aṭṭhasamāpatticittaṃ adhicittaṃ, tatopi ca maggaphalacittameva adhicittaṃ, tasmiṃ yathāvutte adhicitte āyogo ca, anuyogoti attho. Etaṃ buddhāna sāsananti etaṃ parassa anupavadanaṃ anupaghātanaṃ pātimokkhe saṃvaro paṭiggahaṇaparibhogesu mattaññutā vivittasenāsanasevanaṃ adhicittānuyogo ca buddhānaṃ sāsanaṃ ovādo anusiṭṭhi.

    อิมา ปน สพฺพพุทฺธานํ ปาติโมกฺขุเทฺทสคาถา โหนฺตีติ เวทิตพฺพาฯ เตนาห ‘‘เอเตเนว อุปาเยนา’’ติอาทิฯ ยาว สาสนปริยนฺตาติ ธรมานกพุทฺธานํ อนุสาสนปริยนฺตํ สนฺธาย วุตฺตํ, ยาว พุทฺธา ธรนฺติ, ตาว อุทฺทิสิตพฺพตํ อาคจฺฉนฺตีติ วุตฺตํ โหติฯ โอวาทปาติโมกฺขญฺหิ พุทฺธาเยว อุทฺทิสนฺติ, น สาวกาฯ ปฐมโพธิยํเยว อุเทฺทสมาคจฺฉนฺตีติ สมฺพโนฺธฯ ปฐมโพธิ เจตฺถ วีสติวสฺสปริจฺฉินฺนาติ มหาคณฺฐิปเท วุตฺตํฯ ตญฺจ เหฎฺฐา อฎฺฐกถายเมว ‘‘ภควโต หิ ปฐมโพธิยํ วีสติวสฺสนฺตเร นิพทฺธุปฎฺฐาโก นาม นตฺถี’’ติ กถิตตฺตา ‘‘ปฐมโพธิ นาม วีสติวสฺสานี’’ติ คเหตฺวา วุตฺตํฯ อาจริยธมฺมปาลเตฺถเรน ปน ‘‘ปญฺจจตฺตาลีสาย วเสฺสสุ อาทิโต ปนฺนรส วสฺสานิ ปฐมโพธี’’ติ วุตฺตํฯ เอวญฺจ สติ มเชฺฌ ปนฺนรส วสฺสานิ มชฺฌิมโพธิ, อเนฺต ปนฺนรส วสฺสานิ ปจฺฉิมโพธีติ ติณฺณํ โพธีนํ สมปฺปมาณตา สิยาติ ตมฺปิ ยุตฺตํฯ ปนฺนรสตฺติเกน หิ ปญฺจจตฺตาลีส วสฺสานิ ปูเรนฺติฯ อฎฺฐกถายํ ปน ปนฺนรสวสฺสปฺปมาณาย ปฐมโพธิยา วีสติวเสฺสสุเยว อโนฺตคธตฺตา ‘‘ปฐมโพธิยํ วีสติวสฺสนฺตเร’’ติ วุตฺตนฺติ เอวมฺปิ สกฺกา วิญฺญาตุํฯ

    Imā pana sabbabuddhānaṃ pātimokkhuddesagāthā hontīti veditabbā. Tenāha ‘‘eteneva upāyenā’’tiādi. Yāva sāsanapariyantāti dharamānakabuddhānaṃ anusāsanapariyantaṃ sandhāya vuttaṃ, yāva buddhā dharanti, tāva uddisitabbataṃ āgacchantīti vuttaṃ hoti. Ovādapātimokkhañhi buddhāyeva uddisanti, na sāvakā. Paṭhamabodhiyaṃyeva uddesamāgacchantīti sambandho. Paṭhamabodhi cettha vīsativassaparicchinnāti mahāgaṇṭhipade vuttaṃ. Tañca heṭṭhā aṭṭhakathāyameva ‘‘bhagavato hi paṭhamabodhiyaṃ vīsativassantare nibaddhupaṭṭhāko nāma natthī’’ti kathitattā ‘‘paṭhamabodhi nāma vīsativassānī’’ti gahetvā vuttaṃ. Ācariyadhammapālattherena pana ‘‘pañcacattālīsāya vassesu ādito pannarasa vassāni paṭhamabodhī’’ti vuttaṃ. Evañca sati majjhe pannarasa vassāni majjhimabodhi, ante pannarasa vassāni pacchimabodhīti tiṇṇaṃ bodhīnaṃ samappamāṇatā siyāti tampi yuttaṃ. Pannarasattikena hi pañcacattālīsa vassāni pūrenti. Aṭṭhakathāyaṃ pana pannarasavassappamāṇāya paṭhamabodhiyā vīsativassesuyeva antogadhattā ‘‘paṭhamabodhiyaṃ vīsativassantare’’ti vuttanti evampi sakkā viññātuṃ.

    นนุ จ กานิจิ สิกฺขาปทานิ ปญฺญเปตฺวาปิ น ตาว อาณาปาติโมกฺขํ อนุญฺญาตํ ปจฺฉา เถรสฺส อายาจเนน อนุญฺญาตตฺตา, ตสฺมา กถเมตํ วุตฺตํ ‘‘สิกฺขาปทปญฺญตฺติกาลโต ปน ปภุติ อาณาปาติโมกฺขเมว อุทฺทิสียตี’’ติ, ยทิปิ กานิจิ สิกฺขาปทานิ ปญฺญเปตฺวาว อาณาปาติโมกฺขํ น อนุญฺญาตํ, ตถาปิ อปญฺญเตฺต สิกฺขาปเท อาณาปาติโมกฺขํ นตฺถิ, กินฺตุ ปญฺญเตฺตเยวาติ อิมมตฺถํ ทเสฺสตุํ ‘‘สิกฺขาปทปญฺญตฺติกาลโต ปน ปภุตี’’ติ วุตฺตํฯ ปุพฺพาราเมติ สาวตฺถิยา ปาจีนทิสาภาเค กตตฺตา เอวํลทฺธโวหาเร มหาวิหาเรฯ มิคารมาตุปาสาเทติ มิคารเสฎฺฐิโน มาตุฎฺฐานิยตฺตา มิคารมาตาติ สงฺขฺยํ คตาย วิสาขามหาอุปาสิกาย การิเต ปาสาเทฯ อฎฺฐานนฺติ เหตุปฎิเกฺขโปฯ อนวกาโสติ ปจฺจยปฎิเกฺขโปฯ อุภเยนปิ การณเมว ปฎิกฺขิปติฯ นฺติ เยน การเณนฯ

    Nanu ca kānici sikkhāpadāni paññapetvāpi na tāva āṇāpātimokkhaṃ anuññātaṃ pacchā therassa āyācanena anuññātattā, tasmā kathametaṃ vuttaṃ ‘‘sikkhāpadapaññattikālato pana pabhuti āṇāpātimokkhameva uddisīyatī’’ti, yadipi kānici sikkhāpadāni paññapetvāva āṇāpātimokkhaṃ na anuññātaṃ, tathāpi apaññatte sikkhāpade āṇāpātimokkhaṃ natthi, kintu paññatteyevāti imamatthaṃ dassetuṃ ‘‘sikkhāpadapaññattikālato pana pabhutī’’ti vuttaṃ. Pubbārāmeti sāvatthiyā pācīnadisābhāge katattā evaṃladdhavohāre mahāvihāre. Migāramātupāsādeti migāraseṭṭhino mātuṭṭhāniyattā migāramātāti saṅkhyaṃ gatāya visākhāmahāupāsikāya kārite pāsāde. Aṭṭhānanti hetupaṭikkhepo. Anavakāsoti paccayapaṭikkhepo. Ubhayenapi kāraṇameva paṭikkhipati. Yanti yena kāraṇena.

    เตสนฺติ ภิกฺขูนํฯ สมฺมุขสาวกานํ สนฺติเก ปพฺพชิตาติ สพฺพนฺติมานํ สุภทฺทสทิสานํ สมฺมุขสาวกานํ สนฺติเก ปพฺพชิเต สนฺธาย วทติฯ ขตฺติยกุลาทิวเสเนว วิวิธา กุลาติ สมฺพโนฺธฯ อุจฺจนีจอุฬารุฬารโภคาทิกุลวเสน วาติ อุจฺจนีจกุลวเสน อุฬารุฬารโภคาทิกุลวเสน วาติ โยเชตพฺพํฯ ตตฺถ ขตฺติยพฺราหฺมณวเสน วา ขตฺติยพฺราหฺมณคหปติกานํ วเสน วา อุจฺจกุลตา เวทิตพฺพา, เสสานํ วเสน นีจกุลตาอุฬารุฬารโภคาทิกุลวเสน วาติ อุฬารตรตมอุปโภควนฺตาทิกุลวเสนฯ อุฬาราติสยโชตนตฺถญฺหิ ปุน อุฬารคฺคหณํ ‘‘ทุกฺขทุกฺข’’นฺติอาทีสุ วิยฯ อาทิ-สเทฺทน อุฬารานุฬารานํ คหณํ เวทิตพฺพํฯ

    Tesanti bhikkhūnaṃ. Sammukhasāvakānaṃ santike pabbajitāti sabbantimānaṃ subhaddasadisānaṃ sammukhasāvakānaṃ santike pabbajite sandhāya vadati. Khattiyakulādivaseneva vividhā kulāti sambandho. Uccanīcauḷāruḷārabhogādikulavasena vāti uccanīcakulavasena uḷāruḷārabhogādikulavasena vāti yojetabbaṃ. Tattha khattiyabrāhmaṇavasena vā khattiyabrāhmaṇagahapatikānaṃ vasena vā uccakulatā veditabbā, sesānaṃ vasena nīcakulatā. Uḷāruḷārabhogādikulavasena vāti uḷārataratamaupabhogavantādikulavasena. Uḷārātisayajotanatthañhi puna uḷāraggahaṇaṃ ‘‘dukkhadukkha’’ntiādīsu viya. Ādi-saddena uḷārānuḷārānaṃ gahaṇaṃ veditabbaṃ.

    พฺรหฺมจริยํ รกฺขนฺตีติ วุตฺตเมวตฺถํ ปกาเสตฺวา ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘จิรํ ปริยตฺติธมฺมํ ปริหรนฺตี’’ติฯ อปญฺญเตฺตปิ สิกฺขาปเท ยทิ สมานชาติอาทิกา สิยุํ, อตฺตโน อตฺตโน กุลานุคตคนฺถํ วิย น นาเสยฺยุํฯ ยสฺมา ปน สิกฺขาปทมฺปิ อปญฺญตฺตํ, อิเม จ ภิกฺขู น สมานชาติอาทิกา, ตสฺมา วินาเสสุนฺติ อิมมตฺถํ ทเสฺสตุํ ‘‘ยสฺมา เอกนามา…เป.… ตสฺมา อญฺญมญฺญํ วิเหเฐนฺตา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ยทิ เอวํ กสฺมา จิรฎฺฐิติกวาเรปิ ‘‘นานานามา’’ติอาทิ วุตฺตนฺติ? สติปิ เตสํ นานาชจฺจาทิภาเว สิกฺขาปทปญฺญตฺติยา เอว สาสนสฺส จิรปฺปวตฺตีติ ทสฺสนตฺถํ วุตฺตํฯ สิกฺขาปทปญฺญตฺติวเสเนว สาสนสฺส จิรปฺปวตฺติฯ ยสฺมา พุทฺธา อตฺตโน ปรินิพฺพานโต อุทฺธมฺปิ วิเนตพฺพสตฺตสมฺภเว สติ สิกฺขาปทํ ปญฺญเปนฺติ, อสติ น ปญฺญเปนฺติ, ตสฺมาติ เวทิตโพฺพฯ ยถา กายวจีทฺวารสงฺขาตํ วิญฺญตฺติํ สมุฎฺฐาเปตฺวา ปวตฺตมานมฺปิ จิตฺตํ ตสฺสาเยว วิญฺญตฺติยา วเสน ปวตฺตนโต ‘‘กายวจีทฺวาเรหิ ปวตฺต’’นฺติ วุจฺจติ, เอวํสมฺปทมิทํ ทฎฺฐพฺพํฯ ยถา ตนฺติ เอตฺถ นฺติ นิปาตมตฺตํฯ วคฺคสงฺคหปณฺณาสสงฺคหาทีหีติ สีลกฺขนฺธวคฺคมหาวคฺคาทิวคฺคสงฺคหวเสน มูลปณฺณาสมอฌมปณฺณาสาทิปณฺณาสสงฺคหวเสนฯ อาทิ-สเทฺทน สํยุตฺตาทิสงฺคโห เวทิตโพฺพฯ

    Brahmacariyaṃ rakkhantīti vuttamevatthaṃ pakāsetvā dassento āha ‘‘ciraṃ pariyattidhammaṃ pariharantī’’ti. Apaññattepi sikkhāpade yadi samānajātiādikā siyuṃ, attano attano kulānugataganthaṃ viya na nāseyyuṃ. Yasmā pana sikkhāpadampi apaññattaṃ, ime ca bhikkhū na samānajātiādikā, tasmā vināsesunti imamatthaṃ dassetuṃ ‘‘yasmā ekanāmā…pe… tasmā aññamaññaṃ viheṭhentā’’tiādi vuttaṃ. Yadi evaṃ kasmā ciraṭṭhitikavārepi ‘‘nānānāmā’’tiādi vuttanti? Satipi tesaṃ nānājaccādibhāve sikkhāpadapaññattiyā eva sāsanassa cirappavattīti dassanatthaṃ vuttaṃ. Sikkhāpadapaññattivaseneva sāsanassa cirappavatti. Yasmā buddhā attano parinibbānato uddhampi vinetabbasattasambhave sati sikkhāpadaṃ paññapenti, asati na paññapenti, tasmāti veditabbo. Yathā kāyavacīdvārasaṅkhātaṃ viññattiṃ samuṭṭhāpetvā pavattamānampi cittaṃ tassāyeva viññattiyā vasena pavattanato ‘‘kāyavacīdvārehi pavatta’’nti vuccati, evaṃsampadamidaṃ daṭṭhabbaṃ. Yathā tanti ettha tanti nipātamattaṃ. Vaggasaṅgahapaṇṇāsasaṅgahādīhīti sīlakkhandhavaggamahāvaggādivaggasaṅgahavasena mūlapaṇṇāsamaajhamapaṇṇāsādipaṇṇāsasaṅgahavasena. Ādi-saddena saṃyuttādisaṅgaho veditabbo.

    เอวํ วิตเกฺกถ, มา เอวํ วิตกฺกยิตฺถาติ เอตฺถ เอวนฺติ ยถานุสิฎฺฐาย อนุสาสนิยา วิธิวเสน ปฎิเสธนวเสน จ ปวตฺติตาการปรามสนํ, สา จ สมฺมาวิตกฺกานํ มิจฺฉาวิตกฺกานญฺจ ปวตฺติอาการทสฺสนวเสน ปวตฺตติ อตฺถอานิสํสสฺส อาทีนวสฺส จ วิภาวนตฺถํฯ เตนาห ‘‘เนกฺขมฺมวิตกฺกาทโย ตโย วิตเกฺก วิตเกฺกถา’’ติอาทิฯ เอตฺถ อาทิ-สเทฺทน อพฺยาปาทวิตกฺกอวิหิํสาวิตกฺกานํ คหณํ เวทิตพฺพํฯ ตตฺถ เนกฺขมฺมํ วุจฺจติ โลภโต นิกฺขนฺตตฺตา อโลโภ, นีวรเณหิ นิกฺขนฺตตฺตา ปฐมชฺฌานํ, สพฺพากุสเลหิ นิกฺขนฺตตฺตา สโพฺพ กุสโล ธโมฺม, สพฺพสงฺขเตหิ นิกฺขนฺตตฺตา นิพฺพานํ, อุปนิสฺสยโต สมฺปโยคโต อารมฺมณกรณโต จ เนกฺขเมฺมน ปฎิสํยุโตฺต วิตโกฺก เนกฺขมฺมวิตโกฺก, สมฺมาสงฺกโปฺปฯ โส อสุภชฺฌานสฺส ปุพฺพภาเค กามาวจโร โหติ, อสุภชฺฌาเน รูปาวจโร, ตํ ฌานํ ปาทกํ กตฺวา อุปฺปนฺนมคฺคผลกาเล โลกุตฺตโรฯ พฺยาปาทสฺส ปฎิปโกฺข อพฺยาปาโท, กญฺจิปิ น พฺยาปาเทนฺติ เอเตนาติ วา อพฺยาปาโท, เมตฺตาฯ ยถาวุเตฺตน อพฺยาปาเทน ปฎิสํยุโตฺต วิตโกฺก อพฺยาปาทวิตโกฺกฯ โส เมตฺตาฌานสฺส ปุพฺพภาเค กามาวจโร โหติ, เมตฺตาภาวนาวเสน อธิคเต ปฐมชฺฌาเน รูปาวจโร, ตํ ฌานํ ปาทกํ กตฺวา อุปฺปนฺนมคฺคผลกาเล โลกุตฺตโรฯ วิหิํสาย ปฎิปกฺขา, น วิหิํสนฺติ วา เอตาย สเตฺตติ อวิหิํสา, กรุณาฯ ตาย ปฎิสํยุโตฺต วิตโกฺก อวิหิํสาวิตโกฺกฯ โส กรุณาฌานสฺส ปุพฺพภาเค กามาวจโร, กรุณาภาวนาวเสน อธิคเต ปฐมชฺฌาเน รูปาวจโร, ตํ ฌานํ ปาทกํ กตฺวา อุปฺปนฺนมคฺคผลกาเล โลกุตฺตโรฯ

    Evaṃvitakketha, mā evaṃ vitakkayitthāti ettha evanti yathānusiṭṭhāya anusāsaniyā vidhivasena paṭisedhanavasena ca pavattitākāraparāmasanaṃ, sā ca sammāvitakkānaṃ micchāvitakkānañca pavattiākāradassanavasena pavattati atthaānisaṃsassa ādīnavassa ca vibhāvanatthaṃ. Tenāha ‘‘nekkhammavitakkādayo tayo vitakke vitakkethā’’tiādi. Ettha ādi-saddena abyāpādavitakkaavihiṃsāvitakkānaṃ gahaṇaṃ veditabbaṃ. Tattha nekkhammaṃ vuccati lobhato nikkhantattā alobho, nīvaraṇehi nikkhantattā paṭhamajjhānaṃ, sabbākusalehi nikkhantattā sabbo kusalo dhammo, sabbasaṅkhatehi nikkhantattā nibbānaṃ, upanissayato sampayogato ārammaṇakaraṇato ca nekkhammena paṭisaṃyutto vitakko nekkhammavitakko, sammāsaṅkappo. So asubhajjhānassa pubbabhāge kāmāvacaro hoti, asubhajjhāne rūpāvacaro, taṃ jhānaṃ pādakaṃ katvā uppannamaggaphalakāle lokuttaro. Byāpādassa paṭipakkho abyāpādo, kañcipi na byāpādenti etenāti vā abyāpādo, mettā. Yathāvuttena abyāpādena paṭisaṃyutto vitakko abyāpādavitakko. So mettājhānassa pubbabhāge kāmāvacaro hoti, mettābhāvanāvasena adhigate paṭhamajjhāne rūpāvacaro, taṃ jhānaṃ pādakaṃ katvā uppannamaggaphalakāle lokuttaro. Vihiṃsāya paṭipakkhā, na vihiṃsanti vā etāya satteti avihiṃsā, karuṇā. Tāya paṭisaṃyutto vitakko avihiṃsāvitakko. So karuṇājhānassa pubbabhāge kāmāvacaro, karuṇābhāvanāvasena adhigate paṭhamajjhāne rūpāvacaro, taṃ jhānaṃ pādakaṃ katvā uppannamaggaphalakāle lokuttaro.

    นนุ จ อโลภาโทสาโมหานํ อญฺญมญฺญาวิรหโต เนสํ วเสน อุปฺปชฺชนกานํ อิเมสํ เนกฺขมฺมวิตกฺกาทีนํ อญฺญมญฺญํ อสงฺกรโต ววตฺถานํ น โหตีติ? โน น โหติฯ ยทา หิ อโลโภ ปธาโน โหติ นิยมิตปริณตสมุทาจาราทิวเสน, ตทา อิตเร เทฺว ตทนฺวายิกา ภวนฺติฯ ตถา หิ ยทา อโลภปฺปธาโน เนกฺขมฺมครุโก จิตฺตุปฺปาโท โหติ, ตทา ลทฺธาวสโร เนกฺขมฺมวิตโกฺก ปติฎฺฐหติฯ ตํสมฺปยุตฺตสฺส ปน อโทสลกฺขณสฺส อพฺยาปาทสฺส วเสน โย ตเสฺสว อพฺยาปาทวิตกฺกภาโว สมฺภเวยฺย, สติ จ อพฺยาปาทวิตกฺกภาเว กสฺสจิปิ อวิเหฐนชาติกตาย อวิหิํสาวิตกฺกภาโว จ สมฺภเวยฺยฯ เต อิตเร เทฺว ตเสฺสว เนกฺขมฺมวิตกฺกสฺส อนุคามิโน สรูปโต อทิสฺสนโต ตสฺมิํ สติ โหนฺติ, อสติ น โหนฺตีติ อนุมาเนยฺยา ภวนฺติฯ เอวเมว ยทา เมตฺตาปธาโน จิตฺตุปฺปาโท โหติ, ตทา อิตเร เทฺว ตทนฺวายิกา ภวนฺติฯ ยทา กรุณาปธาโน จิตฺตุปฺปาโท โหติ, ตทา อิตเร เทฺว ตทนฺวายิกา ภวนฺติฯ

    Nanu ca alobhādosāmohānaṃ aññamaññāvirahato nesaṃ vasena uppajjanakānaṃ imesaṃ nekkhammavitakkādīnaṃ aññamaññaṃ asaṅkarato vavatthānaṃ na hotīti? No na hoti. Yadā hi alobho padhāno hoti niyamitapariṇatasamudācārādivasena, tadā itare dve tadanvāyikā bhavanti. Tathā hi yadā alobhappadhāno nekkhammagaruko cittuppādo hoti, tadā laddhāvasaro nekkhammavitakko patiṭṭhahati. Taṃsampayuttassa pana adosalakkhaṇassa abyāpādassa vasena yo tasseva abyāpādavitakkabhāvo sambhaveyya, sati ca abyāpādavitakkabhāve kassacipi aviheṭhanajātikatāya avihiṃsāvitakkabhāvo ca sambhaveyya. Te itare dve tasseva nekkhammavitakkassa anugāmino sarūpato adissanato tasmiṃ sati honti, asati na hontīti anumāneyyā bhavanti. Evameva yadā mettāpadhāno cittuppādo hoti, tadā itare dve tadanvāyikā bhavanti. Yadā karuṇāpadhāno cittuppādo hoti, tadā itare dve tadanvāyikā bhavanti.

    กามวิตกฺกาทโยติ เอตฺถ อาทิ-สเทฺทน พฺยาปาทวิตกฺกวิหิํสาวิตกฺกานํ คหณํ เวทิตพฺพํฯ ตตฺถ กามปฎิสํยุโตฺต วิตโกฺก กามวิตโกฺกฯ เอตฺถ หิ เทฺว กามา วตฺถุกาโม จ กิเลสกาโม จฯ ตตฺถ วตฺถุกามปเกฺข อารมฺมณวเสน กาเมหิ ปฎิสํยุโตฺต วิตโกฺก กามวิตโกฺก, กิเลสกามปเกฺข ปน สมฺปโยควเสน กาเมน ปฎิสํยุโตฺตติ โยเชตพฺพํฯ พฺยาปาทปฎิสํยุโตฺต วิตโกฺก พฺยาปาทวิตโกฺกฯ วิหิํสาปฎิสํยุโตฺต วิตโกฺก วิหิํสาวิตโกฺกฯ เตสุ เทฺว สเตฺตสุปิ สงฺขาเรสุปิ อุปฺปชฺชนฺติฯ กามวิตโกฺก หิ ปิเย มนาเป สเตฺต วา สงฺขาเร วา วิตเกฺกนฺตสฺส อุปฺปชฺชติ, พฺยาปาทวิตโกฺก อปฺปิเย อมนาเป สเตฺต วา สงฺขาเร วา กุชฺฌิตฺวา โอโลกนกาลโต ปฎฺฐาย ยาว วินาสนา อุปฺปชฺชติ, วิหิํสาวิตโกฺก สงฺขาเรสุ นุปฺปชฺชติฯ สงฺขาโร หิ ทุกฺขาเปตโพฺพ นาม นตฺถิ, ‘‘อิเม สตฺตา หญฺญนฺตุ วา อุจฺฉิชฺชนฺตุ วา วินสฺสนฺตุ วา มา วา อเหสุ’’นฺติ จินฺตนกาเล ปน สเตฺตสุ อุปฺปชฺชติฯ อถ กสฺมา วุตฺตํ ‘‘สงฺขาโร ทุกฺขาเปตโพฺพ นาม นตฺถี’’ติ, นนุ เย ทุกฺขาเปตพฺพาติ อิจฺฉิตา สตฺตสญฺญิตา, เตปิ อตฺถโต สงฺขารา เอวาติ? สจฺจเมตํ, เต ปน อินฺทฺริยพทฺธา สวิญฺญาณกตาย ทุกฺขํ ปฎิสํเวเทนฺติ, ตสฺมา เต วิหิํสาวิตกฺกสฺส วิสยา อิจฺฉิตา สตฺตสญฺญิตาฯ เย ปน น ทุกฺขํ ปฎิสํเวเทนฺติ วุตฺตลกฺขณาโยคโต, เต สนฺธาย ‘‘วิหิํสาวิตโกฺก สงฺขาเรสุ นุปฺปชฺชตี’’ติ วุตฺตํฯ

    Kāmavitakkādayoti ettha ādi-saddena byāpādavitakkavihiṃsāvitakkānaṃ gahaṇaṃ veditabbaṃ. Tattha kāmapaṭisaṃyutto vitakko kāmavitakko. Ettha hi dve kāmā vatthukāmo ca kilesakāmo ca. Tattha vatthukāmapakkhe ārammaṇavasena kāmehi paṭisaṃyutto vitakko kāmavitakko, kilesakāmapakkhe pana sampayogavasena kāmena paṭisaṃyuttoti yojetabbaṃ. Byāpādapaṭisaṃyutto vitakko byāpādavitakko. Vihiṃsāpaṭisaṃyutto vitakko vihiṃsāvitakko. Tesu dve sattesupi saṅkhāresupi uppajjanti. Kāmavitakko hi piye manāpe satte vā saṅkhāre vā vitakkentassa uppajjati, byāpādavitakko appiye amanāpe satte vā saṅkhāre vā kujjhitvā olokanakālato paṭṭhāya yāva vināsanā uppajjati, vihiṃsāvitakko saṅkhāresu nuppajjati. Saṅkhāro hi dukkhāpetabbo nāma natthi, ‘‘ime sattā haññantu vā ucchijjantu vā vinassantu vā mā vā ahesu’’nti cintanakāle pana sattesu uppajjati. Atha kasmā vuttaṃ ‘‘saṅkhāro dukkhāpetabbo nāma natthī’’ti, nanu ye dukkhāpetabbāti icchitā sattasaññitā, tepi atthato saṅkhārā evāti? Saccametaṃ, te pana indriyabaddhā saviññāṇakatāya dukkhaṃ paṭisaṃvedenti, tasmā te vihiṃsāvitakkassa visayā icchitā sattasaññitā. Ye pana na dukkhaṃ paṭisaṃvedenti vuttalakkhaṇāyogato, te sandhāya ‘‘vihiṃsāvitakko saṅkhāresu nuppajjatī’’ti vuttaṃ.

    อนุปาทาย อาสเวหิ จิตฺตานิ วิมุจฺจิํสูติ เอตฺถ อาสเวหีติ กตฺถุอเตฺถ กรณนิเทฺทโส, จิตฺตานีติ ปจฺจตฺตพหุวจนํ, วิมุจฺจิํสูติ กมฺมสาธนํ, ตสฺมา อาสเวหิ กตฺตุภูเตหิ อนุปาทาย อารมฺมณวเสน อคฺคเหตฺวา จิตฺตานิ วิมุจฺจิตานีติ เอวเมตฺถ อโตฺถ คเหตโพฺพติ อาห ‘‘เตสญฺหิ จิตฺตานี’’ติอาทิฯ เยหิ อาสเวหีติ เอตฺถาปิ กตฺตุอเตฺถ เอว กรณนิเทฺทโสฯ วิมุจฺจิํสูติ กมฺมสาธนํฯ น เต ตานิ คเหตฺวา วิมุจฺจิํสูติ เต อาสวา ตานิ จิตฺตานิ อารมฺมณวเสน น คเหตฺวา วิมุจฺจิํสุ วิโมเจสุํฯ เอตฺถ หิ จิตฺตานีติ อุปโยคพหุวจนํ, วิมุจฺจิํสูติ กตฺตุสาธนํฯ อนุปฺปาทนิโรเธน นิรุชฺฌมานาติ อายติํ อนุปฺปตฺติสงฺขาเตน นิโรเธน นิรุชฺฌมานา อาสวาฯ อคฺคเหตฺวา วิมุจฺจิํสูติ อารมฺมณกรณวเสน อคฺคเหตฺวา จิตฺตานิ วิโมเจสุํฯ วิกสิตจิตฺตา อเหสุนฺติ สาติสยญาณรสฺมิสมฺผเสฺสน สมฺผุลฺลจิตฺตา อเหสุํฯ ปุริมวจนาเปกฺขนฺติ ‘‘อญฺญตรสฺมิํ ภิํสนเก วนสเณฺฑ’’ติ วุตฺตวจนาเปกฺขํฯ เตนาห ‘‘ยํ วุตฺตํ อญฺญตรสฺมิํ ภิํสนเก วนสเณฺฑติ, ตตฺรา’’ติฯ กตนฺติ ภาวสาธนวาจิ อิทํ ปทนฺติ อาห ‘‘ภิํสนกตสฺมิํ โหติ, ภิํสนกกิริยายา’’ติฯ ภิํสนสฺส กรณํ กิริยา ภิํสนกตํ, ตสฺมิํ ภิํสนกตสฺมิํ

    Anupādāya āsavehi cittāni vimucciṃsūti ettha āsavehīti katthuatthe karaṇaniddeso, cittānīti paccattabahuvacanaṃ, vimucciṃsūti kammasādhanaṃ, tasmā āsavehi kattubhūtehi anupādāya ārammaṇavasena aggahetvā cittāni vimuccitānīti evamettha attho gahetabboti āha ‘‘tesañhi cittānī’’tiādi. Yehi āsavehīti etthāpi kattuatthe eva karaṇaniddeso. Vimucciṃsūti kammasādhanaṃ. Na tetāni gahetvā vimucciṃsūti te āsavā tāni cittāni ārammaṇavasena na gahetvā vimucciṃsu vimocesuṃ. Ettha hi cittānīti upayogabahuvacanaṃ, vimucciṃsūti kattusādhanaṃ. Anuppādanirodhena nirujjhamānāti āyatiṃ anuppattisaṅkhātena nirodhena nirujjhamānā āsavā. Aggahetvā vimucciṃsūti ārammaṇakaraṇavasena aggahetvā cittāni vimocesuṃ. Vikasitacittā ahesunti sātisayañāṇarasmisamphassena samphullacittā ahesuṃ. Purimavacanāpekkhanti ‘‘aññatarasmiṃ bhiṃsanake vanasaṇḍe’’ti vuttavacanāpekkhaṃ. Tenāha ‘‘yaṃ vuttaṃ aññatarasmiṃ bhiṃsanake vanasaṇḍeti, tatrā’’ti. Katanti bhāvasādhanavāci idaṃ padanti āha ‘‘bhiṃsanakatasmiṃhoti, bhiṃsanakakiriyāyā’’ti. Bhiṃsanassa karaṇaṃ kiriyā bhiṃsanakataṃ, tasmiṃ bhiṃsanakatasmiṃ.

    อิทานิ อญฺญถาปิ อตฺถโยชนํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘อถ วา’’ติอาทิฯ อิมสฺมิํ อตฺถวิกเปฺป ภิํสยตีติ ภิํสโน, ภิํสโน เอว ภิํสนโก, ตสฺส ภาโว ภิํสนกตฺตนฺติ วตฺตเพฺพ ต-การสฺส โลปํ กตฺวา ‘‘ภิํสนกต’’นฺติ วุตฺตนฺติ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘ภิํสนกตสฺมินฺติ ภิํสนกภาเวติ อโตฺถ’’ติอาทิฯ เยภุยฺยคฺคหณํ โลมวนฺตวเสนปิ โยเชตพฺพํ, น โลมวเสเนวาติ อาห ‘‘พหุตรานํ วา’’ติอาทิฯ

    Idāni aññathāpi atthayojanaṃ dassento āha ‘‘atha vā’’tiādi. Imasmiṃ atthavikappe bhiṃsayatīti bhiṃsano, bhiṃsano eva bhiṃsanako, tassa bhāvo bhiṃsanakattanti vattabbe ta-kārassa lopaṃ katvā ‘‘bhiṃsanakata’’nti vuttanti dassento āha ‘‘bhiṃsanakatasminti bhiṃsanakabhāveti attho’’tiādi. Yebhuyyaggahaṇaṃ lomavantavasenapi yojetabbaṃ, na lomavasenevāti āha ‘‘bahutarānaṃ vā’’tiādi.

    ปุริสยุควเสนาติ ปุริสกาลวเสน, ปุริสานํ อายุปฺปมาณวเสนาติ วุตฺตํ โหติฯ ‘‘สพฺพปจฺฉิมโก สุภทฺทสทิโส’’ติ ตีสุปิ คณฺฐิปเทสุ วุตฺตํฯ ตสฺมิํ กาเล วิชฺชมานานํ ทฺวินฺนํ ปุริสานํ อายุปริเจฺฉทํ สกลเมว คเหตฺวา ‘‘สตสหสฺสํ…เป.… อฎฺฐาสี’’ติ วุตฺตํฯ เทฺวเยว ปุริสยุคานีติ เอตฺถ ปุริสานํ ยุคปฺปวตฺติกาโล ปุริสยุคํฯ อภิลาปมตฺตเมว เจตํ, อตฺถโต ปน ปุริโสว ปุริสยุคํฯ ธรมาเน ภควติ เอกํ ปุริสยุคํ, ปรินิพฺพุเต เอกนฺติ กตฺวา ‘‘เทฺวเยว ปุริสยุคานี’’ติ วุตฺตํฯ ปรินิพฺพุเต ปน ภควติ เอกเมว ปุริสยุคํ อสีติเยว วสฺสสหสฺสานิ พฺรหฺมจริยํ อฎฺฐาสีติ เวทิตพฺพํฯ

    Purisayugavasenāti purisakālavasena, purisānaṃ āyuppamāṇavasenāti vuttaṃ hoti. ‘‘Sabbapacchimako subhaddasadiso’’ti tīsupi gaṇṭhipadesu vuttaṃ. Tasmiṃ kāle vijjamānānaṃ dvinnaṃ purisānaṃ āyuparicchedaṃ sakalameva gahetvā ‘‘satasahassaṃ…pe… aṭṭhāsī’’ti vuttaṃ. Dveyeva purisayugānīti ettha purisānaṃ yugappavattikālo purisayugaṃ. Abhilāpamattameva cetaṃ, atthato pana purisova purisayugaṃ. Dharamāne bhagavati ekaṃ purisayugaṃ, parinibbute ekanti katvā ‘‘dveyeva purisayugānī’’ti vuttaṃ. Parinibbute pana bhagavati ekameva purisayugaṃ asītiyeva vassasahassāni brahmacariyaṃ aṭṭhāsīti veditabbaṃ.

    ๒๐. สาวกยุคานีติ สาวกา เอว สาวกยุคานิฯ อสมฺภุณเนฺตนาติ อปาปุณเนฺตนฯ คพฺภํ คณฺหาเปนฺตสฺสาติ สพฺพญฺญุตญฺญาณสฺส วิชายนตฺถํ ญาณคพฺภํ คณฺหาเปนฺตสฺสฯ

    20.Sāvakayugānīti sāvakā eva sāvakayugāni. Asambhuṇantenāti apāpuṇantena. Gabbhaṃ gaṇhāpentassāti sabbaññutaññāṇassa vijāyanatthaṃ ñāṇagabbhaṃ gaṇhāpentassa.

    ๒๑. โก อนุสนฺธีติ ปุพฺพาปรกถานํ กิํ อนุสนฺธานํ, โก สมฺพโนฺธติ อโตฺถฯ สิกฺขาปทปญฺญตฺติยาจนาเปกฺขนฺติ ยาจียตีติ ยาจนา, สิกฺขาปทปญฺญตฺติเยว ยาจนา สิกฺขาปทปญฺญตฺติยาจนา, ตํ อเปกฺขตีติ สิกฺขาปทปญฺญตฺติยาจนาเปกฺขํ ภุมฺมวจนํ, ยาจิยมานสิกฺขาปทปญฺญตฺติอเปกฺขํ ภุมฺมวจนนฺติ วุตฺตํ โหติฯ ยาจนวิสิฎฺฐา สิกฺขาปทปญฺญตฺติเยว หิ ‘‘ตตฺถา’’ติ อิมินา ปรามฎฺฐา, เตเนว วกฺขติ ‘‘ตตฺถ ตสฺสา สิกฺขาปทปญฺญตฺติยา’’ติฯ ยํ วุตฺตนฺติ ‘‘สิกฺขาปทํ ปญฺญเปยฺยา’’ติ อิมินา ยํ สิกฺขาปทปญฺญปนํ วุตฺตํ, ยาจิตนฺติ อโตฺถฯ ตตฺถ ตสฺสา สิกฺขาปทปญฺญตฺติยาติ ตสฺสํ ยาจิยมานสิกฺขาปทปญฺญตฺติยนฺติ อโตฺถฯ อกาลนฺติ สิกฺขาปทปญฺญตฺติยา อกาลํฯ

    21.Koanusandhīti pubbāparakathānaṃ kiṃ anusandhānaṃ, ko sambandhoti attho. Sikkhāpadapaññattiyācanāpekkhanti yācīyatīti yācanā, sikkhāpadapaññattiyeva yācanā sikkhāpadapaññattiyācanā, taṃ apekkhatīti sikkhāpadapaññattiyācanāpekkhaṃ bhummavacanaṃ, yāciyamānasikkhāpadapaññattiapekkhaṃ bhummavacananti vuttaṃ hoti. Yācanavisiṭṭhā sikkhāpadapaññattiyeva hi ‘‘tatthā’’ti iminā parāmaṭṭhā, teneva vakkhati ‘‘tattha tassā sikkhāpadapaññattiyā’’ti. Yaṃ vuttanti ‘‘sikkhāpadaṃ paññapeyyā’’ti iminā yaṃ sikkhāpadapaññapanaṃ vuttaṃ, yācitanti attho. Tattha tassā sikkhāpadapaññattiyāti tassaṃ yāciyamānasikkhāpadapaññattiyanti attho. Akālanti sikkhāpadapaññattiyā akālaṃ.

    อาสวฎฺฐานียาติ เอตฺถ อธิกรเณ อนียสโทฺทติ อาห ‘‘อาสวา ติฎฺฐนฺติ เอเตสู’’ติอาทิ ฯ เก ปน เต อาสวา, เก จ ธมฺมา ตทธิกรณภูตาติ อาห ‘‘เยสุ ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกา’’ติอาทิฯ ทิฎฺฐธมฺมิกา ปรูปวาทาทโย, สมฺปรายิกา อาปายิกา อปายทุกฺขวิเสสาฯ เต อาสวนฺติ เตน เตน ปจฺจยวเสน ปวตฺตนฺตีติ อาสวาฯ เนสนฺติ ปรูปวาทาทิอาสวานํฯ เตติ วีติกฺกมธมฺมาฯ อสติ อาสวฎฺฐานีเย ธเมฺม สิกฺขาปทปญฺญตฺติยํ โก โทโส, เยเนวํ วุตฺตนฺติ อาห ‘‘ยทิ หิ ปญฺญเปยฺยา’’ติอาทิ, วีติกฺกมโทสํ อทิสฺวา ยทิ ปญฺญเปยฺยาติ อธิปฺปาโยฯ ปรมฺมุขา อโกฺกสนํ ปรูปวาโท, ปเรหิ วจเนสุ โทสาโรปนํ ปรูปารโมฺภ, สมฺมุขา ครหนํ ครหโทโส

    Āsavaṭṭhānīyāti ettha adhikaraṇe anīyasaddoti āha ‘‘āsavā tiṭṭhanti etesū’’tiādi . Ke pana te āsavā, ke ca dhammā tadadhikaraṇabhūtāti āha ‘‘yesu diṭṭhadhammikasamparāyikā’’tiādi. Diṭṭhadhammikā parūpavādādayo, samparāyikā āpāyikā apāyadukkhavisesā. Te āsavanti tena tena paccayavasena pavattantīti āsavā. Nesanti parūpavādādiāsavānaṃ. Teti vītikkamadhammā. Asati āsavaṭṭhānīye dhamme sikkhāpadapaññattiyaṃ ko doso, yenevaṃ vuttanti āha ‘‘yadi hi paññapeyyā’’tiādi, vītikkamadosaṃ adisvā yadi paññapeyyāti adhippāyo. Parammukhā akkosanaṃ parūpavādo, parehi vacanesu dosāropanaṃ parūpārambho, sammukhā garahanaṃ garahadoso.

    กถญฺหิ นาม ปลิเวเฐสฺสตีติ สมฺพโนฺธ, กถํ-สทฺทโยเค อนาคตปฺปโยโค ทฎฺฐโพฺพฯ อนฺวายิโกติ อนุวตฺตโกฯ โภคกฺขนฺธนฺติ โภคราสิํฯ ‘‘อมฺหากเมเต’’ติ ญายนฺตีติ ญาตี, ปิตามหปิตุปุตฺตาทิวเสน ปริวฎฺฎนเฎฺฐน ปริวโฎฺฎ, ญาตีเยว ปริวโฎฺฎ ญาติปริวโฎฺฎฯ ฆาสจฺฉาทนปรมตาย สนฺตุฎฺฐาติ ฆาสจฺฉาทเน ปรมตาย อุตฺตมตาย สนฺตุฎฺฐา, ฆาสจฺฉาทนปริเยสเน สเลฺลขวเสน ปรมตาย อุกฺกฎฺฐภาเว สณฺฐิตาติ อโตฺถฯ ฆาสจฺฉาทนเมว วา ปรมํ ปรมา โกฎิ เอเตสํ น ตโต ปรํ กิญฺจิ อสามิสชาตํ ปริเยสนฺติ ปจฺจาสีสนฺติ จาติ ฆาสจฺฉาทนปรมา, เตสํ ภาโว ฆาสจฺฉาทนปรมตา, ตสฺสํ ฆาสจฺฉาทนปรมตาย สนฺตุฎฺฐาฯ เตสุ นาม โกติ ยถาวุตฺตคุณวิสิเฎฺฐสุ เตสุ ภิกฺขูสุ โก นามฯ โลกามิสภูตนฺติ โลกปริยาปนฺนํ หุตฺวา กิเลเสหิ อามสิตพฺพตฺตา โลกามิสภูตํฯ ปพฺพชฺชาสเงฺขเปเนวาติ ‘‘ปาณาติปาตา เวรมณี’’ติอาทินา ปพฺพชฺชามุเขเนวฯ เอตนฺติ เมถุนาทีนํ อกรณํฯ ถามนฺติ สิกฺขาปทานํ ปญฺญาปนกิริยาย สามตฺถิยํฯ พลนฺติ ยาถาวโต สพฺพธมฺมานํ ปฎิเวธสมตฺถํ ญาณพลํฯ กุเปฺปยฺยาติ กุปฺปํ ภเวยฺยฯ เอตเสฺสวตฺถสฺส ปากฎกรณํ น ยถาฐาเน ติเฎฺฐยฺยาติ, ปญฺญตฺติฎฺฐาเน น ติเฎฺฐยฺยาติ อโตฺถฯ อกุสโลติ ติกิจฺฉิตุํ ยุตฺตกาลสฺส อปริชานนโต อกุสโล อเฉโกฯ อวุทฺธิ อนโย, พฺยสนํ ทุกฺขํฯ ปฎิกเจฺจวาติ คณฺฑุปฺปาทนโต ปฐมเมวฯ สญฺฉวิํ กตฺวาติ โสภนจฺฉวิํ กตฺวาฯ พาลเวโชฺชติ อปณฺฑิตเวโชฺชฯ โลหิตกฺขยญฺจ มํ ปาเปตีติ วิภตฺติวิปริณามํ กตฺวา โยเชตพฺพํฯ

    Kathañhi nāma paliveṭhessatīti sambandho, kathaṃ-saddayoge anāgatappayogo daṭṭhabbo. Anvāyikoti anuvattako. Bhogakkhandhanti bhogarāsiṃ. ‘‘Amhākamete’’ti ñāyantīti ñātī, pitāmahapituputtādivasena parivaṭṭanaṭṭhena parivaṭṭo, ñātīyeva parivaṭṭo ñātiparivaṭṭo. Ghāsacchādanaparamatāya santuṭṭhāti ghāsacchādane paramatāya uttamatāya santuṭṭhā, ghāsacchādanapariyesane sallekhavasena paramatāya ukkaṭṭhabhāve saṇṭhitāti attho. Ghāsacchādanameva vā paramaṃ paramā koṭi etesaṃ na tato paraṃ kiñci asāmisajātaṃ pariyesanti paccāsīsanti cāti ghāsacchādanaparamā, tesaṃ bhāvo ghāsacchādanaparamatā, tassaṃ ghāsacchādanaparamatāya santuṭṭhā. Tesu nāma koti yathāvuttaguṇavisiṭṭhesu tesu bhikkhūsu ko nāma. Lokāmisabhūtanti lokapariyāpannaṃ hutvā kilesehi āmasitabbattā lokāmisabhūtaṃ. Pabbajjāsaṅkhepenevāti ‘‘pāṇātipātā veramaṇī’’tiādinā pabbajjāmukheneva. Etanti methunādīnaṃ akaraṇaṃ. Thāmanti sikkhāpadānaṃ paññāpanakiriyāya sāmatthiyaṃ. Balanti yāthāvato sabbadhammānaṃ paṭivedhasamatthaṃ ñāṇabalaṃ. Kuppeyyāti kuppaṃ bhaveyya. Etassevatthassa pākaṭakaraṇaṃ na yathāṭhāne tiṭṭheyyāti, paññattiṭṭhāne na tiṭṭheyyāti attho. Akusaloti tikicchituṃ yuttakālassa aparijānanato akusalo acheko. Avuddhi anayo, byasanaṃ dukkhaṃ. Paṭikaccevāti gaṇḍuppādanato paṭhamameva. Sañchaviṃ katvāti sobhanacchaviṃ katvā. Bālavejjoti apaṇḍitavejjo. Lohitakkhayañca maṃ pāpetīti vibhattivipariṇāmaṃ katvā yojetabbaṃ.

    อกาลํ ทเสฺสตฺวาติ สิกฺขาปทปญฺญตฺติยา อกาลํ ทเสฺสตฺวาฯ โรคํ วูปสเมตฺวาติ ผาสุํ กตฺวาฯ สเก อาจริยเกติ อาจริยสฺส ภาโว, กมฺมํ วา อาจริยกํ, ตสฺมิํ อตฺตโน อาจริยภาเว, อาจริยกเมฺม วาฯ นิมิตฺตเตฺถ เจตํ ภุมฺมวจนํฯ วิทิตานุภาโวติ ปากฎานุภาโวฯ

    Akālaṃ dassetvāti sikkhāpadapaññattiyā akālaṃ dassetvā. Rogaṃ vūpasametvāti phāsuṃ katvā. Sake ācariyaketi ācariyassa bhāvo, kammaṃ vā ācariyakaṃ, tasmiṃ attano ācariyabhāve, ācariyakamme vā. Nimittatthe cetaṃ bhummavacanaṃ. Viditānubhāvoti pākaṭānubhāvo.

    วิปุลภาเวนาติ ปพฺพชิตานํ พหุภาเวนฯ สาสเน เอกเจฺจ อาสวฎฺฐานียา ธมฺมา น อุปฺปชฺชนฺตีติ ยสฺมา เสนาสนานิ ปโหนฺติ, ตสฺมา อาวาสมจฺฉริยาทิเหตุกา สาสเน เอกเจฺจ อาสวฎฺฐานียา ธมฺมา น อุปฺปชฺชนฺติฯ อิมินา นเยนาติ เอเตน ปทโสธมฺมสิกฺขาปทาทีนํ สงฺคโห ทฎฺฐโพฺพฯ

    Vipulabhāvenāti pabbajitānaṃ bahubhāvena. Sāsane ekacce āsavaṭṭhānīyā dhammā na uppajjantīti yasmā senāsanāni pahonti, tasmā āvāsamacchariyādihetukā sāsane ekacce āsavaṭṭhānīyā dhammā na uppajjanti. Iminā nayenāti etena padasodhammasikkhāpadādīnaṃ saṅgaho daṭṭhabbo.

    ลาภคฺคมหตฺตนฺติ จีวราทิลภิตพฺพปจฺจโย ลาโภ, ตสฺส อคฺคํ มหตฺตํ ปณีตตา พหุภาโว วาฯ พหุสฺสุตสฺส ภาโว พาหุสจฺจํฯ อโยนิโส อุมฺมุชฺชมานาติ อนุปาเยน อภินิวิสมานา, วิปรีตโต ชานมานาติ อโตฺถฯ รเสน รสํ สํสนฺทิตฺวาติ สภาเวน สภาวํ สํสนฺทิตฺวา, อนุญฺญาตปจฺจตฺถรณาทีสุ สุขสมฺผสฺสสามญฺญโต อุปาทินฺนผสฺสรเสปิ อนวชฺชสญฺญิตาย อนุปาทินฺนผสฺสรเสน อุปาทินฺนผสฺสรสํ สํสนฺทิตฺวา, สมานภาวํ อุปเนตฺวาติ อโตฺถฯ อุทฺธมฺมํ อุพฺพินยํ สตฺถุสาสนํ ทีเปนฺตีติ ‘‘ตถาหํ ภควตา ธมฺมํ เทสิตํ อาชานามี’’ติอาทินา (ปาจิ. ๔๑๘) สตฺถุสาสนํ อุทฺธมฺมํ อุพฺพินยํ กตฺวา ทีเปนฺติฯ

    Lābhaggamahattanti cīvarādilabhitabbapaccayo lābho, tassa aggaṃ mahattaṃ paṇītatā bahubhāvo vā. Bahussutassa bhāvo bāhusaccaṃ. Ayoniso ummujjamānāti anupāyena abhinivisamānā, viparītato jānamānāti attho. Rasena rasaṃ saṃsanditvāti sabhāvena sabhāvaṃ saṃsanditvā, anuññātapaccattharaṇādīsu sukhasamphassasāmaññato upādinnaphassarasepi anavajjasaññitāya anupādinnaphassarasena upādinnaphassarasaṃ saṃsanditvā, samānabhāvaṃ upanetvāti attho. Uddhammaṃ ubbinayaṃsatthusāsanaṃ dīpentīti ‘‘tathāhaṃ bhagavatā dhammaṃ desitaṃ ājānāmī’’tiādinā (pāci. 418) satthusāsanaṃ uddhammaṃ ubbinayaṃ katvā dīpenti.

    อิมสฺมิํ อเตฺถติ ‘‘นิรพฺพุโท หิ, สาริปุตฺต, ภิกฺขุสโงฺฆ’’ติ (ปารา. ๒๑) เอวํ วุตฺตภิกฺขุสงฺฆสญฺญิเต อเตฺถฯ กถํ ปน ทุสฺสีลานํ โจรภาโวติ อาห ‘‘เต หิ อสฺสมณาว หุตฺวา’’ติอาทิฯ กาฬกธมฺมโยคาติ ทุสฺสีลตาสงฺขาตปาปธมฺมโยคโตฯ ปภสฺสโรติ ปภสฺสรสีโลฯ สาโรติ วุจฺจนฺตีติ สาสนพฺรหฺมจริยสฺส สารภูตตฺตา สีลาทโย คุณา ‘‘สาโร’’ติ วุจฺจนฺติฯ

    Imasmiṃ attheti ‘‘nirabbudo hi, sāriputta, bhikkhusaṅgho’’ti (pārā. 21) evaṃ vuttabhikkhusaṅghasaññite atthe. Kathaṃ pana dussīlānaṃ corabhāvoti āha ‘‘te hi assamaṇāva hutvā’’tiādi. Kāḷakadhammayogāti dussīlatāsaṅkhātapāpadhammayogato. Pabhassaroti pabhassarasīlo. Sāroti vuccantīti sāsanabrahmacariyassa sārabhūtattā sīlādayo guṇā ‘‘sāro’’ti vuccanti.

    สพฺพปริตฺตคุโณติ สเพฺพหิ นิหีนคุโณ, อปฺปคุโณ วาฯ โส โสตาปโนฺนติ อานนฺทเตฺถรํ สนฺธาย วทติฯ โสตํ อาปโนฺนติ มคฺคโสตํ อาปโนฺนฯ ปฎิปกฺขธมฺมานํ อนวเสสโต สวนโต เปลฺลนโต โสโต อริยมโคฺคติ อาห ‘‘โสโตติ จ มคฺคเสฺสตํ อธิวจน’’นฺติฯ โสตาปโนฺนติ เตน สมนฺนาคตสฺส ปุคฺคลสฺสาติ อิมินา มคฺคสมงฺคี โสตาปโนฺนติ วตฺวา ตเมวตฺถํ อุทาหรเณน สาเธตฺวา อิทานิ อิธาธิเปฺปตปุคฺคลํ นิทฺธาเรตฺวา ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘อิธ ปนา’’ติอาทิฯ อิธ อาปนฺนสโทฺท ‘‘ผลสจฺฉิกิริยาย ปฎิปโนฺน’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๕.๔๘๘) วิย วตฺตมานกาลิโกติ อาห ‘‘มเคฺคน ผลสฺส นามํ ทินฺน’’นฺติฯ มเคฺคน หิ อตฺตนา สทิสสฺส อฎฺฐงฺคิกสฺส วา สตฺตงฺคิกสฺส วา ผลสฺส โสโตติ นามํ ทินฺนํ, อตีตกาลิกเตฺต ปน สรสโตว นามลาโภ สิยาฯ มคฺคกฺขเณ หิ มคฺคโสตํ อาปชฺชติ นาม, ผลกฺขเณ อาปโนฺนฯ

    Sabbaparittaguṇoti sabbehi nihīnaguṇo, appaguṇo vā. So sotāpannoti ānandattheraṃ sandhāya vadati. Sotaṃ āpannoti maggasotaṃ āpanno. Paṭipakkhadhammānaṃ anavasesato savanato pellanato soto ariyamaggoti āha ‘‘sototi ca maggassetaṃ adhivacana’’nti. Sotāpannoti tena samannāgatassa puggalassāti iminā maggasamaṅgī sotāpannoti vatvā tamevatthaṃ udāharaṇena sādhetvā idāni idhādhippetapuggalaṃ niddhāretvā dassento āha ‘‘idha panā’’tiādi. Idha āpannasaddo ‘‘phalasacchikiriyāya paṭipanno’’tiādīsu (saṃ. ni. 5.488) viya vattamānakālikoti āha ‘‘maggena phalassa nāmaṃ dinna’’nti. Maggena hi attanā sadisassa aṭṭhaṅgikassa vā sattaṅgikassa vā phalassa sototi nāmaṃ dinnaṃ, atītakālikatte pana sarasatova nāmalābho siyā. Maggakkhaṇe hi maggasotaṃ āpajjati nāma, phalakkhaṇe āpanno.

    วิรูปํ สทุกฺขํ สอุปายาสํ นิปาเตตีติ วินิปาโต, อปายทุเกฺข ขิปนโกฯ ธโมฺมติ สภาโวฯ เตนาห ‘‘น อตฺตานํ อปาเยสุ วินิปาตนสภาโว’’ติฯ อถ วา ธโมฺมติ อปาเยสุ ขิปนโก สกฺกายทิฎฺฐิอาทิโก อกุสลธโมฺมฯ ยสฺส ปน โส อกุสลธโมฺม นตฺถิ สพฺพโส ปหีนตฺตา, โส ยสฺมา อปาเยสุ อตฺตานํ วินิปาตนสภาโว น โหติ, ตสฺมา วุตฺตํ ‘‘น อตฺตานํ อปาเยสุ วินิปาตนสภาโวติ วุตฺตํ โหตี’’ติฯ กสฺมาติ อวินิปาตนธมฺมตาย การณํ ปุจฺฉติฯ อปายํ คเมนฺตีติ อปายคมนียาฯ วินิปาตนสภาโวติ อุปฺปชฺชนสภาโวฯ สมฺมตฺตนิยาเมน มเคฺคนาติ สมฺมา ภวนิยามเกน ปฎิลทฺธมเคฺคนฯ นิยโตติ วา เหฎฺฐิมนฺตโต สตฺตมภวโต อุปริ อนุปฺปชฺชนธมฺมตาย นิยโตฯ สโมฺพธีติ อุปริมคฺคตฺตยสงฺขาตา สโมฺพธิฯ สมฺพุชฺฌตีติ หิ สโมฺพธิ, อริยมโคฺคฯ โส จ อิธ ปฐมมคฺคสฺส อธิคตตฺตา อวสิโฎฺฐ เอว อธิคนฺตพฺพภาเวน อิจฺฉิตโพฺพติฯ เตนาห ‘‘อุปริมคฺคตฺตยํ อวสฺสํ สมฺปาปโก’’ติฯ อุปริมคฺคตฺตยํ อวสฺสํ สมฺปาปุณาตีติ สมฺปาปโก, โสตาปโนฺนฯ

    Virūpaṃ sadukkhaṃ saupāyāsaṃ nipātetīti vinipāto, apāyadukkhe khipanako. Dhammoti sabhāvo. Tenāha ‘‘na attānaṃ apāyesu vinipātanasabhāvo’’ti. Atha vā dhammoti apāyesu khipanako sakkāyadiṭṭhiādiko akusaladhammo. Yassa pana so akusaladhammo natthi sabbaso pahīnattā, so yasmā apāyesu attānaṃ vinipātanasabhāvo na hoti, tasmā vuttaṃ ‘‘na attānaṃ apāyesu vinipātanasabhāvoti vuttaṃ hotī’’ti. Kasmāti avinipātanadhammatāya kāraṇaṃ pucchati. Apāyaṃ gamentīti apāyagamanīyā. Vinipātanasabhāvoti uppajjanasabhāvo. Sammattaniyāmena maggenāti sammā bhavaniyāmakena paṭiladdhamaggena. Niyatoti vā heṭṭhimantato sattamabhavato upari anuppajjanadhammatāya niyato. Sambodhīti uparimaggattayasaṅkhātā sambodhi. Sambujjhatīti hi sambodhi, ariyamaggo. So ca idha paṭhamamaggassa adhigatattā avasiṭṭho eva adhigantabbabhāvena icchitabboti. Tenāha ‘‘uparimaggattayaṃ avassaṃ sampāpako’’ti. Uparimaggattayaṃ avassaṃ sampāpuṇātīti sampāpako, sotāpanno.

    วินยปญฺญตฺติยาจนกถา นิฎฺฐิตาฯ

    Vinayapaññattiyācanakathā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวิภงฺค • Mahāvibhaṅga / เวรญฺชกณฺฑํ • Verañjakaṇḍaṃ

    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / วินยปิฎก (อฎฺฐกถา) • Vinayapiṭaka (aṭṭhakathā) / มหาวิภงฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvibhaṅga-aṭṭhakathā / วินยปญฺญตฺติยาจนกถาวณฺณนา • Vinayapaññattiyācanakathāvaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā / อุปาสกตฺตปฎิเวทนากถาวณฺณนา • Upāsakattapaṭivedanākathāvaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / วินยปญฺญตฺติยาจนกถาวณฺณนา • Vinayapaññattiyācanakathāvaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact