Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มหาวิภงฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvibhaṅga-aṭṭhakathā |
วินยปญฺญตฺติยาจนกถาวณฺณนา
Vinayapaññattiyācanakathāvaṇṇanā
๑๘. อิทานิ อายสฺมา อุปาลิ วินยปญฺญตฺติยา มูลโต ปภุติ นิทานํ ทเสฺสตุํ สาริปุตฺตเตฺถรสฺส สิกฺขาปทปฎิสํยุตฺตํ วิตกฺกุปฺปาทํ ทเสฺสโนฺต ‘‘อถ โข อายสฺมโต สาริปุตฺตสฺสา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ รโหคตสฺสาติ รหสิ คตสฺสฯ ปฎิสลฺลีนสฺสาติ สลฺลีนสฺส เอกีภาวํ คตสฺสฯ กตเมสานนฺติ อตีเตสุ วิปสฺสีอาทีสุ พุเทฺธสุ กตเมสํฯ จิรํ อสฺส ฐิติ, จิรา วา อสฺส ฐิตีติ จิรฎฺฐิติกํฯ เสสเมตฺถ อุตฺตานปทตฺถเมวฯ
18. Idāni āyasmā upāli vinayapaññattiyā mūlato pabhuti nidānaṃ dassetuṃ sāriputtattherassa sikkhāpadapaṭisaṃyuttaṃ vitakkuppādaṃ dassento ‘‘atha kho āyasmato sāriputtassā’’tiādimāha. Tattha rahogatassāti rahasi gatassa. Paṭisallīnassāti sallīnassa ekībhāvaṃ gatassa. Katamesānanti atītesu vipassīādīsu buddhesu katamesaṃ. Ciraṃ assa ṭhiti, cirā vā assa ṭhitīti ciraṭṭhitikaṃ. Sesamettha uttānapadatthameva.
กิํ ปน เถโร อิมํ อตฺตโน ปริวิตกฺกํ สยํ วินิจฺฉินิตุํ น สโกฺกตีติ? วุจฺจเต – สโกฺกติ จ น สโกฺกติ จฯ อยญฺหิ อิเมสํ นาม พุทฺธานํ สาสนํ น จิรฎฺฐิติกํ อโหสิ, อิเมสํ จิรฎฺฐิติกนฺติ เอตฺตกํ สโกฺกติ วินิจฺฉินิตุํฯ อิมินา ปน การเณน น จิรฎฺฐิติกํ อโหสิ, อิมินา จิรฎฺฐิติกนฺติ เอตํ น สโกฺกติฯ มหาปทุมเตฺถโร ปนาห – ‘‘เอตมฺปิ โสฬสวิธาย ปญฺญาย มตฺถกํ ปตฺตสฺส อคฺคสาวกสฺส น ภาริยํ, สมฺมาสมฺพุเทฺธน ปน สทฺธิํ เอกฎฺฐาเน วสนฺตสฺส สยํ วินิจฺฉยกรณํ ตุลํ ฉเฑฺฑตฺวา หเตฺถน ตุลนสทิสํ โหตีติ ภควนฺตํเยว อุปสงฺกมิตฺวา ปุจฺฉี’’ติฯ อถสฺส ภควา ตํ วิสฺสเชฺชโนฺต ‘‘ภควโต จ สาริปุตฺต วิปสฺสิสฺสา’’ติอาทิมาหฯ ตํ อุตฺตานตฺถเมวฯ
Kiṃ pana thero imaṃ attano parivitakkaṃ sayaṃ vinicchinituṃ na sakkotīti? Vuccate – sakkoti ca na sakkoti ca. Ayañhi imesaṃ nāma buddhānaṃ sāsanaṃ na ciraṭṭhitikaṃ ahosi, imesaṃ ciraṭṭhitikanti ettakaṃ sakkoti vinicchinituṃ. Iminā pana kāraṇena na ciraṭṭhitikaṃ ahosi, iminā ciraṭṭhitikanti etaṃ na sakkoti. Mahāpadumatthero panāha – ‘‘etampi soḷasavidhāya paññāya matthakaṃ pattassa aggasāvakassa na bhāriyaṃ, sammāsambuddhena pana saddhiṃ ekaṭṭhāne vasantassa sayaṃ vinicchayakaraṇaṃ tulaṃ chaḍḍetvā hatthena tulanasadisaṃ hotīti bhagavantaṃyeva upasaṅkamitvā pucchī’’ti. Athassa bhagavā taṃ vissajjento ‘‘bhagavato ca sāriputta vipassissā’’tiādimāha. Taṃ uttānatthameva.
๑๙. ปุน เถโร การณํ ปุจฺฉโนฺต โก นุ โข, ภเนฺต, เหตูติอาทิมาหฯ ตตฺถ โก นุ โข ภเนฺตติ การณปุจฺฉา , ตสฺส กตโม นุ โข ภเนฺตติ อโตฺถฯ เหตุ ปจฺจโยติ อุภยเมตํ การณาธิวจนํ; การณญฺหิ ยสฺมา เตน ตสฺส ผลํ หิโนติ ปวตฺตติ, ตสฺมา เหตูติ วุจฺจติฯ ยสฺมา ตํ ปฎิจฺจ เอติ ปวตฺตติ, ตสฺมา ปจฺจโยติ วุจฺจติฯ เอวํ อตฺถโต เอกมฺปิ โวหารวเสน จ วจนสิลิฎฺฐตาย จ ตตฺร ตตฺร เอตํ อุภยมฺปิ วุจฺจติฯ เสสเมตฺถ อุตฺตานตฺถเมวฯ
19. Puna thero kāraṇaṃ pucchanto ko nu kho, bhante, hetūtiādimāha. Tattha ko nu kho bhanteti kāraṇapucchā , tassa katamo nu kho bhanteti attho. Hetu paccayoti ubhayametaṃ kāraṇādhivacanaṃ; kāraṇañhi yasmā tena tassa phalaṃ hinoti pavattati, tasmā hetūti vuccati. Yasmā taṃ paṭicca eti pavattati, tasmā paccayoti vuccati. Evaṃ atthato ekampi vohāravasena ca vacanasiliṭṭhatāya ca tatra tatra etaṃ ubhayampi vuccati. Sesamettha uttānatthameva.
อิทานิ ตํ เหตุญฺจ ปจฺจยญฺจ ทเสฺสตุํ ‘‘ภควา จ สาริปุตฺต วิปสฺสี’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ กิลาสุโน อเหสุนฺติ น อาลสิยกิลาสุโน, น หิ พุทฺธานํ อาลสิยํ วา โอสนฺนวีริยตา วา อตฺถิฯ พุทฺธา หิ เอกสฺส วา ทฺวินฺนํ วา สกลจกฺกวาฬสฺส วา ธมฺมํ เทเสนฺตา สมเกเนว อุสฺสาเหน ธมฺมํ เทเสนฺติ, น ปริสาย อปฺปภาวํ ทิสฺวา โอสนฺนวีริยา โหนฺติ, นาปิ มหนฺตภาวํ ทิสฺวา อุสฺสนฺนวีริยาฯ ยถา หิ สีโห มิคราชา สตฺตนฺนํ ทิวสานํ อจฺจเยน โคจราย ปกฺกโนฺต ขุทฺทเก วา มหเนฺต วา ปาเณ เอกสทิเสเนว เวเคน ธาวติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? ‘‘มา เม ชโว ปริหายี’’ติฯ เอวํ พุทฺธา อปฺปกาย วา มหติยา วา ปริสาย สมเกเนว อุสฺสาเหน ธมฺมํ เทเสนฺติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? ‘‘มา โน ธมฺมครุตา ปริหายี’’ติฯ ธมฺมครุโน หิ พุทฺธา ธมฺมคารวาติฯ
Idāni taṃ hetuñca paccayañca dassetuṃ ‘‘bhagavā ca sāriputta vipassī’’tiādimāha. Tattha kilāsuno ahesunti na ālasiyakilāsuno, na hi buddhānaṃ ālasiyaṃ vā osannavīriyatā vā atthi. Buddhā hi ekassa vā dvinnaṃ vā sakalacakkavāḷassa vā dhammaṃ desentā samakeneva ussāhena dhammaṃ desenti, na parisāya appabhāvaṃ disvā osannavīriyā honti, nāpi mahantabhāvaṃ disvā ussannavīriyā. Yathā hi sīho migarājā sattannaṃ divasānaṃ accayena gocarāya pakkanto khuddake vā mahante vā pāṇe ekasadiseneva vegena dhāvati. Taṃ kissa hetu? ‘‘Mā me javo parihāyī’’ti. Evaṃ buddhā appakāya vā mahatiyā vā parisāya samakeneva ussāhena dhammaṃ desenti. Taṃ kissa hetu? ‘‘Mā no dhammagarutā parihāyī’’ti. Dhammagaruno hi buddhā dhammagāravāti.
ยถา ปน อมฺหากํ ภควา มหาสมุทฺทํ ปูรยมาโน วิย วิตฺถาเรน ธมฺมํ เทเสสิ, เอวํ เต น เทเสสุํฯ กสฺมา? สตฺตานํ อปฺปรชกฺขตายฯ เตสํ กิร กาเล ทีฆายุกา สตฺตา อปฺปรชกฺขา อเหสุํฯ เต จตุสจฺจปฎิสํยุตฺตํ เอกคาถมฺปิ สุตฺวา ธมฺมํ อภิสเมนฺติ, ตสฺมา น วิตฺถาเรน ธมฺมํ เทเสสุํฯ เตเนว การเณน อปฺปกญฺจ เนสํ อโหสิ สุตฺตํ…เป.… เวทลฺลนฺติฯ ตตฺถ สุตฺตาทีนํ นานตฺตํ ปฐมสงฺคีติวณฺณนายํ วุตฺตเมวฯ
Yathā pana amhākaṃ bhagavā mahāsamuddaṃ pūrayamāno viya vitthārena dhammaṃ desesi, evaṃ te na desesuṃ. Kasmā? Sattānaṃ apparajakkhatāya. Tesaṃ kira kāle dīghāyukā sattā apparajakkhā ahesuṃ. Te catusaccapaṭisaṃyuttaṃ ekagāthampi sutvā dhammaṃ abhisamenti, tasmā na vitthārena dhammaṃ desesuṃ. Teneva kāraṇena appakañca nesaṃ ahosi suttaṃ…pe… vedallanti. Tattha suttādīnaṃ nānattaṃ paṭhamasaṅgītivaṇṇanāyaṃ vuttameva.
อปญฺญตฺตํ สาวกานํ สิกฺขาปทนฺติ สาวกานํ นิโทฺทสตาย โทสานุรูปโต ปญฺญเปตพฺพํ สตฺตาปตฺติกฺขนฺธวเสน อาณาสิกฺขาปทํ อปญฺญตฺตํฯ อนุทฺทิฎฺฐํ ปาติโมกฺขนฺติ อนฺวทฺธมาสํ อาณาปาติโมกฺขํ อนุทฺทิฎฺฐํ อโหสิฯ โอวาทปาติโมกฺขเมว เต อุทฺทิสิํสุ; ตมฺปิ จ โน อนฺวทฺธมาสํฯ ตถา หิ วิปสฺสี ภควา ฉนฺนํ ฉนฺนํ วสฺสานํ สกิํ สกิํ โอวาทปาติโมกฺขํ อุทฺทิสิ; ตญฺจ โข สามํเยวฯ สาวกา ปนสฺส อตฺตโน อตฺตโน วสนฎฺฐาเนสุ น อุทฺทิสิํสุฯ สกลชมฺพุทีเป เอกสฺมิํเยว ฐาเน พนฺธุมติยา ราชธานิยา เขเม มิคทาเย วิปสฺสิสฺส ภควโต วสนฎฺฐาเน สโพฺพปิ ภิกฺขุสโงฺฆ อุโปสถํ อกาสิฯ ตญฺจ โข สงฺฆุโปสถเมว; น คณุโปสถํ, น ปุคฺคลุโปสถํ, น ปาริสุทฺธิอุโปสถํ, น อธิฎฺฐานุโปสถํฯ
Apaññattaṃsāvakānaṃ sikkhāpadanti sāvakānaṃ niddosatāya dosānurūpato paññapetabbaṃ sattāpattikkhandhavasena āṇāsikkhāpadaṃ apaññattaṃ. Anuddiṭṭhaṃpātimokkhanti anvaddhamāsaṃ āṇāpātimokkhaṃ anuddiṭṭhaṃ ahosi. Ovādapātimokkhameva te uddisiṃsu; tampi ca no anvaddhamāsaṃ. Tathā hi vipassī bhagavā channaṃ channaṃ vassānaṃ sakiṃ sakiṃ ovādapātimokkhaṃ uddisi; tañca kho sāmaṃyeva. Sāvakā panassa attano attano vasanaṭṭhānesu na uddisiṃsu. Sakalajambudīpe ekasmiṃyeva ṭhāne bandhumatiyā rājadhāniyā kheme migadāye vipassissa bhagavato vasanaṭṭhāne sabbopi bhikkhusaṅgho uposathaṃ akāsi. Tañca kho saṅghuposathameva; na gaṇuposathaṃ, na puggaluposathaṃ, na pārisuddhiuposathaṃ, na adhiṭṭhānuposathaṃ.
ตทา กิร ชมฺพุทีเป จตุราสีติวิหารสหสฺสานิ โหนฺติฯ เอกเมกสฺมิํ วิหาเร อโพฺพกิณฺณานิ ทสปิ วีสติปิ ภิกฺขุสหสฺสานิ วสนฺติ, ภิโยฺยปิ วสนฺติฯ อุโปสถาโรจิกา เทวตา ตตฺถ ตตฺถ คนฺตฺวา อาโรเจนฺติ – ‘‘มาริสา, เอกํ วสฺสํ อติกฺกนฺตํ, เทฺว ตีณิ จตฺตาริ ปญฺจ วสฺสานิ อติกฺกนฺตานิ, อิทํ ฉฎฺฐํ วสฺสํ, อาคามินิยา ปุณฺณมาสิยา พุทฺธทสฺสนตฺถํ อุโปสถกรณตฺถญฺจ คนฺตพฺพํ! สมฺปโตฺต โว สนฺนิปาตกาโล’’ติฯ ตโต สานุภาวา ภิกฺขู อตฺตโน อตฺตโน อานุภาเวน คจฺฉนฺติ, อิตเร เทวตานุภาเวนฯ กถํ? เต กิร ภิกฺขู ปาจีนสมุทฺทเนฺต วา ปจฺฉิมอุตฺตรทกฺขิณสมุทฺทเนฺต วา ฐิตา คมิยวตฺตํ ปูเรตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย ‘‘คจฺฉามา’’ติ จิตฺตํ อุปฺปาเทนฺติ; สห จิตฺตุปฺปาทา อุโปสถคฺคํ คตาว โหนฺติฯ เต วิปสฺสิํ สมฺมาสมฺพุทฺธํ อภิวาเทตฺวา นิสีทนฺติฯ ภควาปิ สนฺนิสินฺนาย ปริสาย อิมํ โอวาทปาติโมกฺขํ อุทฺทิสติฯ
Tadā kira jambudīpe caturāsītivihārasahassāni honti. Ekamekasmiṃ vihāre abbokiṇṇāni dasapi vīsatipi bhikkhusahassāni vasanti, bhiyyopi vasanti. Uposathārocikā devatā tattha tattha gantvā ārocenti – ‘‘mārisā, ekaṃ vassaṃ atikkantaṃ, dve tīṇi cattāri pañca vassāni atikkantāni, idaṃ chaṭṭhaṃ vassaṃ, āgāminiyā puṇṇamāsiyā buddhadassanatthaṃ uposathakaraṇatthañca gantabbaṃ! Sampatto vo sannipātakālo’’ti. Tato sānubhāvā bhikkhū attano attano ānubhāvena gacchanti, itare devatānubhāvena. Kathaṃ? Te kira bhikkhū pācīnasamuddante vā pacchimauttaradakkhiṇasamuddante vā ṭhitā gamiyavattaṃ pūretvā pattacīvaramādāya ‘‘gacchāmā’’ti cittaṃ uppādenti; saha cittuppādā uposathaggaṃ gatāva honti. Te vipassiṃ sammāsambuddhaṃ abhivādetvā nisīdanti. Bhagavāpi sannisinnāya parisāya imaṃ ovādapātimokkhaṃ uddisati.
‘‘ขนฺตี ปรมํ ตโป ติติกฺขา;
‘‘Khantī paramaṃ tapo titikkhā;
นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา;
Nibbānaṃ paramaṃ vadanti buddhā;
น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี;
Na hi pabbajito parūpaghātī;
น สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยโนฺตฯ
Na samaṇo hoti paraṃ viheṭhayanto.
‘‘สพฺพปาปสฺส อกรณํ, กุสลสฺส อุปสมฺปทา;
‘‘Sabbapāpassa akaraṇaṃ, kusalassa upasampadā;
สจิตฺตปริโยทปนํ, เอตํ พุทฺธาน สาสนํฯ
Sacittapariyodapanaṃ, etaṃ buddhāna sāsanaṃ.
‘‘อนุปวาโท อนุปฆาโต, ปาติโมเกฺข จ สํวโร;
‘‘Anupavādo anupaghāto, pātimokkhe ca saṃvaro;
มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมิํ, ปนฺตญฺจ สยนาสนํ;
Mattaññutā ca bhattasmiṃ, pantañca sayanāsanaṃ;
อธิจิเตฺต จ อาโยโค, เอตํ พุทฺธาน สาสน’’นฺติฯ (ที. นิ. ๒.๙๐; ธ. ป. ๑๘๓-๑๘๕);
Adhicitte ca āyogo, etaṃ buddhāna sāsana’’nti. (dī. ni. 2.90; dha. pa. 183-185);
เอเตเนว อุปาเยน อิตเรสมฺปิ พุทฺธานํ ปาติโมกฺขุเทฺทโส เวทิตโพฺพฯ สพฺพพุทฺธานญฺหิ อิมา ติโสฺสว โอวาทปาติโมกฺขคาถาโย โหนฺติฯ ตา ทีฆายุกพุทฺธานํ ยาว สาสนปริยนฺตา อุเทฺทสมาคจฺฉนฺติ; อปฺปายุกพุทฺธานํ ปฐมโพธิยํเยวฯ สิกฺขาปทปญฺญตฺติกาลโต ปน ปภุติ อาณาปาติโมกฺขเมว อุทฺทิสียติฯ ตญฺจ โข ภิกฺขู เอว อุทฺทิสนฺติ, น พุทฺธาฯ ตสฺมา อมฺหากมฺปิ ภควา ปฐมโพธิยํ วีสติวสฺสมตฺตเมว อิทํ โอวาทปาติโมกฺขํ อุทฺทิสิฯ อเถกทิวสํ ปุพฺพาราเม มิคารมาตุปาสาเท นิสิโนฺน ภิกฺขู อามเนฺตสิ – ‘‘น ทานาหํ, ภิกฺขเว, อิโต ปรํ อุโปสถํ กริสฺสามิ ปาติโมกฺขํ อุทฺทิสิสฺสามิ, ตุเมฺหว ทานิ ภิกฺขเว อิโต ปรํ อุโปสถํ กเรยฺยาถ, ปาติโมกฺขํ อุทฺทิเสยฺยาถฯ อฎฺฐานเมตํ, ภิกฺขเว, อนวกาโส ยํ ตถาคโต อปริสุทฺธาย ปริสาย อุโปสถํ กเรยฺย, ปาติโมกฺขํ อุทฺทิเสยฺยา’’ติ (จูฬว. ๓๘๖)ฯ ตโต ปฎฺฐาย ภิกฺขู อาณาปาติโมกฺขํ อุทฺทิสนฺติฯ อิทํ อาณาปาติโมกฺขํ เตสํ อนุทฺทิฎฺฐํ อโหสิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อนุทฺทิฎฺฐํ ปาติโมกฺข’’นฺติฯ
Eteneva upāyena itaresampi buddhānaṃ pātimokkhuddeso veditabbo. Sabbabuddhānañhi imā tissova ovādapātimokkhagāthāyo honti. Tā dīghāyukabuddhānaṃ yāva sāsanapariyantā uddesamāgacchanti; appāyukabuddhānaṃ paṭhamabodhiyaṃyeva. Sikkhāpadapaññattikālato pana pabhuti āṇāpātimokkhameva uddisīyati. Tañca kho bhikkhū eva uddisanti, na buddhā. Tasmā amhākampi bhagavā paṭhamabodhiyaṃ vīsativassamattameva idaṃ ovādapātimokkhaṃ uddisi. Athekadivasaṃ pubbārāme migāramātupāsāde nisinno bhikkhū āmantesi – ‘‘na dānāhaṃ, bhikkhave, ito paraṃ uposathaṃ karissāmi pātimokkhaṃ uddisissāmi, tumheva dāni bhikkhave ito paraṃ uposathaṃ kareyyātha, pātimokkhaṃ uddiseyyātha. Aṭṭhānametaṃ, bhikkhave, anavakāso yaṃ tathāgato aparisuddhāya parisāya uposathaṃ kareyya, pātimokkhaṃ uddiseyyā’’ti (cūḷava. 386). Tato paṭṭhāya bhikkhū āṇāpātimokkhaṃ uddisanti. Idaṃ āṇāpātimokkhaṃ tesaṃ anuddiṭṭhaṃ ahosi. Tena vuttaṃ – ‘‘anuddiṭṭhaṃ pātimokkha’’nti.
เตสํ พุทฺธานนฺติ เตสํ วิปสฺสีอาทีนํ ติณฺณํ พุทฺธานํฯ อนฺตรธาเนนาติ ขนฺธนฺตรธาเนน; ปรินิพฺพาเนนาติ วุตฺตํ โหติฯ พุทฺธานุพุทฺธานนฺติ เย เตสํ พุทฺธานํ อนุพุทฺธา สมฺมุขสาวกา เตสญฺจ ขนฺธนฺตรธาเนนฯ เย เต ปจฺฉิมา สาวกาติ เย เตสํ สมฺมุขสาวกานํ สนฺติเก ปพฺพชิตา ปจฺฉิมา สาวกาฯ นานานามาติ ‘‘พุทฺธรกฺขิโต, ธมฺมรกฺขิโต’’ติอาทิ นามวเสน วิวิธนามาฯ นานาโคตฺตาติ ‘‘โคตโม, โมคฺคลฺลาโน’’ติอาทิ โคตฺตวเสน วิวิธโคตฺตาฯ นานาชจฺจาติ ‘‘ขตฺติโย, พฺราหฺมโณ’’ติอาทิชาติวเสน นานาชจฺจาฯ นานากุลา ปพฺพชิตาติ ขตฺติยกุลาทิวเส เนว อุจฺจนีจอุฬารุฬารโภคาทิกุลวเสน วา วิวิธกุลา นิกฺขมฺม ปพฺพชิตาฯ
Tesaṃbuddhānanti tesaṃ vipassīādīnaṃ tiṇṇaṃ buddhānaṃ. Antaradhānenāti khandhantaradhānena; parinibbānenāti vuttaṃ hoti. Buddhānubuddhānanti ye tesaṃ buddhānaṃ anubuddhā sammukhasāvakā tesañca khandhantaradhānena. Ye te pacchimā sāvakāti ye tesaṃ sammukhasāvakānaṃ santike pabbajitā pacchimā sāvakā. Nānānāmāti ‘‘buddharakkhito, dhammarakkhito’’tiādi nāmavasena vividhanāmā. Nānāgottāti ‘‘gotamo, moggallāno’’tiādi gottavasena vividhagottā. Nānājaccāti ‘‘khattiyo, brāhmaṇo’’tiādijātivasena nānājaccā. Nānākulā pabbajitāti khattiyakulādivase neva uccanīcauḷāruḷārabhogādikulavasena vā vividhakulā nikkhamma pabbajitā.
เต ตํ พฺรหฺมจริยนฺติ เต ปจฺฉิมา สาวกา ยสฺมา เอกนามา เอกโคตฺตา เอกชาติกา เอกกุลา ปพฺพชิตา ‘‘อมฺหากํ สาสนํ ตนฺติ ปเวณี’’ติ อตฺตโน ภารํ กตฺวา พฺรหฺมจริยํ รกฺขนฺติ, จิรํ ปริยตฺติธมฺมํ ปริหรนฺติฯ อิเม จ ตาทิสา น โหนฺติฯ ตสฺมา อญฺญมญฺญํ วิเหเฐนฺตา วิโลมํ คณฺหนฺตา ‘‘อสุโก เถโร ชานิสฺสติ, อสุโก เถโร ชานิสฺสตี’’ติ สิถิลํ กโรนฺตา ตํ พฺรหฺมจริยํ ขิปฺปเญฺญว อนฺตรธาเปสุํ, สงฺคหํ อาโรเปตฺวา น รกฺขิํสุฯ เสยฺยถาปีติ ตสฺสตฺถสฺส โอปมฺมนิทสฺสนํฯ วิกิรตีติ วิกฺขิปติฯ วิธมตีติ ฐานนฺตรํ เนติฯ วิทฺธํเสตีติ ฐิตฎฺฐานโต อปเนติฯ ยถา ตํ สุเตฺตน อสงฺคหิตตฺตาติ ยถา สุเตฺตน อสงฺคหิตตฺตา อคนฺถิตตฺตา อพทฺธตฺตา เอวํ วิกิรติ ยถา สุเตฺตน อสงฺคหิตานิ วิกิริยนฺติ, เอวํ วิกิรตีติ วุตฺตํ โหติฯ เอวเมว โขติ โอปมฺมสมฺปฎิปาทนํฯ อนฺตรธาเปสุนฺติ วคฺคสงฺคห-ปณฺณาสสงฺคหาทีหิ อสงฺคณฺหนฺตา ยํ ยํ อตฺตโน รุจฺจติ, ตํ ตเทว คเหตฺวา เสสํ วินาเสสุํ อทสฺสนํ นยิํสุฯ
Tetaṃ brahmacariyanti te pacchimā sāvakā yasmā ekanāmā ekagottā ekajātikā ekakulā pabbajitā ‘‘amhākaṃ sāsanaṃ tanti paveṇī’’ti attano bhāraṃ katvā brahmacariyaṃ rakkhanti, ciraṃ pariyattidhammaṃ pariharanti. Ime ca tādisā na honti. Tasmā aññamaññaṃ viheṭhentā vilomaṃ gaṇhantā ‘‘asuko thero jānissati, asuko thero jānissatī’’ti sithilaṃ karontā taṃ brahmacariyaṃ khippaññeva antaradhāpesuṃ, saṅgahaṃ āropetvā na rakkhiṃsu. Seyyathāpīti tassatthassa opammanidassanaṃ. Vikiratīti vikkhipati. Vidhamatīti ṭhānantaraṃ neti. Viddhaṃsetīti ṭhitaṭṭhānato apaneti. Yathā taṃ suttena asaṅgahitattāti yathā suttena asaṅgahitattā aganthitattā abaddhattā evaṃ vikirati yathā suttena asaṅgahitāni vikiriyanti, evaṃ vikiratīti vuttaṃ hoti. Evameva khoti opammasampaṭipādanaṃ. Antaradhāpesunti vaggasaṅgaha-paṇṇāsasaṅgahādīhi asaṅgaṇhantā yaṃ yaṃ attano ruccati, taṃ tadeva gahetvā sesaṃ vināsesuṃ adassanaṃ nayiṃsu.
อกิลาสุโน จ เต ภควโนฺต อเหสุํ สาวเก เจตสา เจโต ปริจฺจ โอวทิตุนฺติ อปิจ สาริปุตฺต เต พุทฺธา อตฺตโน เจตสา สาวกานํ เจโต ปริจฺจ ปริจฺฉินฺทิตฺวา โอวทิตุํ อกิลาสุโน อเหสุํ, ปรจิตฺตํ ญตฺวา อนุสาสนิํ น ภาริยโต น ปปญฺจโต อทฺทสํสุฯ ภูตปุพฺพํ สาริปุตฺตาติอาทิ เตสํ อกิลาสุภาวปฺปกาสนตฺถํ วุตฺตํฯ ภิํสนเกติ ภยานเก ภยชนนเกฯ เอวํ วิตเกฺกถาติ เนกฺขมฺมวิตกฺกาทโย ตโย วิตเกฺก วิตเกฺกถฯ มา เอวํ วิตกฺกยิตฺถาติ กามวิตกฺกาทโย ตโย อกุสลวิตเกฺก มา วิตกฺกยิตฺถฯ เอวํ มนสิ กโรถาติ ‘‘อนิจฺจํ ทุกฺขมนตฺตา อสุภ’’นฺติ มนสิ กโรถฯ มา เอวํ มนสา กตฺถาติ ‘‘นิจฺจํ สุขํ อตฺตา สุภ’’นฺติ มา มนสิ อกริตฺถฯ อิทํ ปชหถาติ อกุสลํ ปชหถฯ อิทํ อุปสมฺปชฺช วิหรถาติ กุสลํ อุปสมฺปชฺช ปฎิลภิตฺวา นิปฺผาเทตฺวา วิหรถฯ
Akilāsuno ca te bhagavanto ahesuṃ sāvake cetasā ceto paricca ovaditunti apica sāriputta te buddhā attano cetasā sāvakānaṃ ceto paricca paricchinditvā ovadituṃ akilāsuno ahesuṃ, paracittaṃ ñatvā anusāsaniṃ na bhāriyato na papañcato addasaṃsu. Bhūtapubbaṃ sāriputtātiādi tesaṃ akilāsubhāvappakāsanatthaṃ vuttaṃ. Bhiṃsanaketi bhayānake bhayajananake. Evaṃ vitakkethāti nekkhammavitakkādayo tayo vitakke vitakketha. Mā evaṃ vitakkayitthāti kāmavitakkādayo tayo akusalavitakke mā vitakkayittha. Evaṃ manasi karothāti ‘‘aniccaṃ dukkhamanattā asubha’’nti manasi karotha. Mā evaṃ manasā katthāti ‘‘niccaṃ sukhaṃ attā subha’’nti mā manasi akarittha. Idaṃ pajahathāti akusalaṃ pajahatha. Idaṃ upasampajja viharathāti kusalaṃ upasampajja paṭilabhitvā nipphādetvā viharatha.
อนุปาทาย อาสเวหิ จิตฺตานิ วิมุจฺจิํสูติ อคฺคเหตฺวา วิมุจฺจิํสุฯ เตสญฺหิ จิตฺตานิ เยหิ อาสเวหิ วิมุจฺจิํสุ, น เต ตานิ คเหตฺวา วิมุจฺจิํสุฯ อนุปฺปาทนิโรเธน ปน นิรุชฺฌมานา อคฺคเหตฺวา วิมุจฺจิํสุฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อนุปาทาย อาสเวหิ จิตฺตานิ วิมุจฺจิํสู’’ติฯ สเพฺพปิ เต อรหตฺตํ ปตฺวา สูริยรสฺมิสมฺผุฎฺฐมิว ปทุมวนํ วิกสิตจิตฺตา อเหสุํฯ ตตฺร สุทํ สาริปุตฺต ภิํสนกสฺส วนสณฺฑสฺส ภิํสนกตสฺมิํ โหตีติ ตตฺราติ ปุริมวจนาเปกฺขํ; สุทนฺติ ปทปูรณมเตฺต นิปาโต; สาริปุตฺตาติ อาลปนํฯ อยํ ปเนตฺถ อตฺถโยชนา – ตตฺราติ ยํ วุตฺตํ ‘‘อญฺญตรสฺมิํ ภิํสนเก วนสเณฺฑ’’ติ, ตตฺร โย โส ภิํสนโกติ วนสโณฺฑ วุโตฺต, ตสฺส ภิํสนกสฺส วนสณฺฑสฺส ภิํสนกตสฺมิํ โหติ, ภิํสนกิริยาย โหตีติ อโตฺถฯ กิํ โหติ? อิทํ โหติ – โย โกจิ อวีตราโค…เป.… โลมานิ หํสนฺตีติฯ
Anupādāyaāsavehi cittāni vimucciṃsūti aggahetvā vimucciṃsu. Tesañhi cittāni yehi āsavehi vimucciṃsu, na te tāni gahetvā vimucciṃsu. Anuppādanirodhena pana nirujjhamānā aggahetvā vimucciṃsu. Tena vuttaṃ – ‘‘anupādāya āsavehi cittāni vimucciṃsū’’ti. Sabbepi te arahattaṃ patvā sūriyarasmisamphuṭṭhamiva padumavanaṃ vikasitacittā ahesuṃ. Tatra sudaṃ sāriputta bhiṃsanakassa vanasaṇḍassa bhiṃsanakatasmiṃ hotīti tatrāti purimavacanāpekkhaṃ; sudanti padapūraṇamatte nipāto; sāriputtāti ālapanaṃ. Ayaṃ panettha atthayojanā – tatrāti yaṃ vuttaṃ ‘‘aññatarasmiṃ bhiṃsanake vanasaṇḍe’’ti, tatra yo so bhiṃsanakoti vanasaṇḍo vutto, tassa bhiṃsanakassa vanasaṇḍassa bhiṃsanakatasmiṃ hoti, bhiṃsanakiriyāya hotīti attho. Kiṃ hoti? Idaṃ hoti – yo koci avītarāgo…pe… lomāni haṃsantīti.
อถ วา ตตฺราติ สามิอเตฺถ ภุมฺมํฯ สุอิติ นิปาโต; ‘‘กิํ สุ นาม เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๔๖๙) วิยฯ อิทนฺติ อธิเปฺปตมตฺถํ ปจฺจกฺขํ วิย กตฺวา ทสฺสนวจนํฯ สุอิทนฺติ สุทํ, สนฺธิวเสน อิการโลโป เวทิตโพฺพฯ ‘‘จกฺขุนฺทฺริยํ, อิตฺถินฺทฺริยํ, อนญฺญาตญฺญสฺสามีตินฺทฺริยํ (วิภ. ๒๑๙), ‘‘กิํ สูธ วิตฺต’’นฺติอาทีสุ (สํ. นิ. ๑.๗๓, ๒๔๖; สุ. นิ. ๑๘๓) วิยฯ อยํ ปเนตฺถ อตฺถโยชนา – ตสฺส สาริปุตฺต ภิํสนกสฺส วนสณฺฑสฺส ภิํสนกตสฺมิํ อิทํสุ โหติฯ ภิํสนกตสฺมินฺติ ภิํสนกภาเวติ อโตฺถฯ เอกสฺส ตการสฺส โลโป ทฎฺฐโพฺพฯ ภิํสนกตฺตสฺมินฺติเยว วา ปาโฐฯ ‘‘ภิํสนกตาย’’ อิติ วา วตฺตเพฺพ ลิงฺควิปลฺลาโส กโตฯ นิมิตฺตเตฺถ เจตํ ภุมฺมวจนํ, ตสฺมา เอวํ สมฺพโนฺธ เวทิตโพฺพ – ภิํสนกภาเว อิทํสุ โหติ, ภิํสนกภาวนิมิตฺตํ ภิํสนกภาวเหตุ ภิํสนกภาวปจฺจยา อิทํสุ โหติฯ โย โกจิ อวีตราโค ตํ วนสณฺฑํ ปวิสติ, เยภุเยฺยน โลมานิ หํสนฺตีติ พหุตรานิ โลมานิ หํสนฺติ อุทฺธํ มุขานิ สูจิสทิสานิ กณฺฎกสทิสานิ จ หุตฺวา ติฎฺฐนฺติ, อปฺปานิ น หํสนฺติฯ พหุตรานํ วา สตฺตานํ หํสนฺติฯ อปฺปกานํ อติสูรปุริสานํ น หํสนฺติฯ
Atha vā tatrāti sāmiatthe bhummaṃ. Suiti nipāto; ‘‘kiṃ su nāma te bhonto samaṇabrāhmaṇā’’tiādīsu (ma. ni. 1.469) viya. Idanti adhippetamatthaṃ paccakkhaṃ viya katvā dassanavacanaṃ. Suidanti sudaṃ, sandhivasena ikāralopo veditabbo. ‘‘Cakkhundriyaṃ, itthindriyaṃ, anaññātaññassāmītindriyaṃ (vibha. 219), ‘‘kiṃ sūdha vitta’’ntiādīsu (saṃ. ni. 1.73, 246; su. ni. 183) viya. Ayaṃ panettha atthayojanā – tassa sāriputta bhiṃsanakassa vanasaṇḍassa bhiṃsanakatasmiṃ idaṃsu hoti. Bhiṃsanakatasminti bhiṃsanakabhāveti attho. Ekassa takārassa lopo daṭṭhabbo. Bhiṃsanakattasmintiyeva vā pāṭho. ‘‘Bhiṃsanakatāya’’ iti vā vattabbe liṅgavipallāso kato. Nimittatthe cetaṃ bhummavacanaṃ, tasmā evaṃ sambandho veditabbo – bhiṃsanakabhāve idaṃsu hoti, bhiṃsanakabhāvanimittaṃ bhiṃsanakabhāvahetu bhiṃsanakabhāvapaccayā idaṃsu hoti. Yo koci avītarāgo taṃ vanasaṇḍaṃ pavisati, yebhuyyena lomāni haṃsantīti bahutarāni lomāni haṃsanti uddhaṃ mukhāni sūcisadisāni kaṇṭakasadisāni ca hutvā tiṭṭhanti, appāni na haṃsanti. Bahutarānaṃ vā sattānaṃ haṃsanti. Appakānaṃ atisūrapurisānaṃ na haṃsanti.
อิทานิ อยํ โข, สาริปุตฺต, เหตูติอาทิ นิคมนํฯ ยเญฺจตฺถ อนฺตรนฺตรา น วุตฺตํ, ตํ อุตฺตานตฺถเมวฯ ตสฺมา ปาฬิกฺกเมเนว เวทิตพฺพํฯ ยํ ปน วุตฺตํ น จิรฎฺฐิติกํ อโหสีติ, ตํ ปุริสยุควเสน วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ วสฺสคณนาย หิ วิปสฺสิสฺส ภควโต อสีติวสฺสสหสฺสานิ อายุ, สมฺมุขสาวกานมฺปิสฺส ตตฺตกเมวฯ เอวมสฺส ยฺวายํ สพฺพปจฺฉิมโก สาวโก, เตน สห ฆเฎตฺวา สตสหสฺสํ สฎฺฐิมตฺตานิ จ วสฺสสหสฺสานิ พฺรหฺมจริยํ อฎฺฐาสิฯ ปุริสยุควเสน ปน ยุคปรมฺปราย อาคนฺตฺวา เทฺวเยว ปุริสยุคานิ อฎฺฐาสิฯ ตสฺมา น จิรฎฺฐิติกนฺติ วุตฺตํฯ สิขิสฺส ปน ภควโต สตฺตติวสฺสสหสฺสานิ อายุฯ สมฺมุขสาวกานมฺปิสฺส ตตฺตกเมวฯ เวสฺสภุสฺส ภควโต สฎฺฐิวสฺสสหสฺสานิ อายุฯ สมฺมุขสาวกานมฺปิสฺส ตตฺตกเมวฯ เอวํ เตสมฺปิ เย สพฺพปจฺฉิมกา สาวกา เตหิ สห ฆเฎตฺวา สตสหสฺสโต อุทฺธํ จตฺตาลีสมตฺตานิ วีสติมตฺตานิ จ วสฺสสหสฺสานิ พฺรหฺมจริยํ อฎฺฐาสิฯ ปุริสยุควเสน ปน ยุคปรมฺปราย อาคนฺตฺวา เทฺว เทฺวเยว ปุริสยุคานิ อฎฺฐาสิฯ ตสฺมา น จิรฎฺฐิติกนฺติ วุตฺตํฯ
Idāni ayaṃ kho, sāriputta, hetūtiādi nigamanaṃ. Yañcettha antarantarā na vuttaṃ, taṃ uttānatthameva. Tasmā pāḷikkameneva veditabbaṃ. Yaṃ pana vuttaṃ na ciraṭṭhitikaṃ ahosīti, taṃ purisayugavasena vuttanti veditabbaṃ. Vassagaṇanāya hi vipassissa bhagavato asītivassasahassāni āyu, sammukhasāvakānampissa tattakameva. Evamassa yvāyaṃ sabbapacchimako sāvako, tena saha ghaṭetvā satasahassaṃ saṭṭhimattāni ca vassasahassāni brahmacariyaṃ aṭṭhāsi. Purisayugavasena pana yugaparamparāya āgantvā dveyeva purisayugāni aṭṭhāsi. Tasmā na ciraṭṭhitikanti vuttaṃ. Sikhissa pana bhagavato sattativassasahassāni āyu. Sammukhasāvakānampissa tattakameva. Vessabhussa bhagavato saṭṭhivassasahassāni āyu. Sammukhasāvakānampissa tattakameva. Evaṃ tesampi ye sabbapacchimakā sāvakā tehi saha ghaṭetvā satasahassato uddhaṃ cattālīsamattāni vīsatimattāni ca vassasahassāni brahmacariyaṃ aṭṭhāsi. Purisayugavasena pana yugaparamparāya āgantvā dve dveyeva purisayugāni aṭṭhāsi. Tasmā na ciraṭṭhitikanti vuttaṃ.
๒๐. เอวํ อายสฺมา สาริปุโตฺต ติณฺณํ พุทฺธานํ พฺรหฺมจริยสฺส น จิรฎฺฐิติการณํ สุตฺวา อิตเรสํ ติณฺณํ พฺรหฺมจริยสฺส จิรฎฺฐิติการณํ โสตุกาโม ปุน ภควนฺตํ ‘‘โก ปน ภเนฺต เหตู’’ติ อาทินา นเยน ปุจฺฉิฯ ภควาปิสฺส พฺยากาสิฯ ตํ สพฺพํ วุตฺตปฎิปกฺขวเสน เวทิตพฺพํฯ จิรฎฺฐิติกภาเวปิ เจตฺถ เตสํ พุทฺธานํ อายุปริมาณโตปิ ปุริสยุคโตปิ อุภยถา จิรฎฺฐิติกตา เวทิตพฺพาฯ กกุสนฺธสฺส หิ ภควโต จตฺตาลีสวสฺสสหสฺสานิ อายุ, โกณาคมนสฺส ภควโต ติํสวสฺสสหสฺสานิ, กสฺสปสฺส ภควโต วีสติวสฺสสหสฺสานิ; สมฺมุขสาวกานมฺปิ เนสํ ตตฺตกเมวฯ พหูนิ จ เนสํ สาวกยุคานิ ปรมฺปราย พฺรหฺมจริยํ ปวเตฺตสุํฯ เอวํ เตสํ อายุปริมาณโตปิ สาวกยุคโตปิ อุภยถา พฺรหฺมจริยํ จิรฎฺฐิติกํ อโหสิฯ
20. Evaṃ āyasmā sāriputto tiṇṇaṃ buddhānaṃ brahmacariyassa na ciraṭṭhitikāraṇaṃ sutvā itaresaṃ tiṇṇaṃ brahmacariyassa ciraṭṭhitikāraṇaṃ sotukāmo puna bhagavantaṃ ‘‘ko pana bhante hetū’’ti ādinā nayena pucchi. Bhagavāpissa byākāsi. Taṃ sabbaṃ vuttapaṭipakkhavasena veditabbaṃ. Ciraṭṭhitikabhāvepi cettha tesaṃ buddhānaṃ āyuparimāṇatopi purisayugatopi ubhayathā ciraṭṭhitikatā veditabbā. Kakusandhassa hi bhagavato cattālīsavassasahassāni āyu, koṇāgamanassa bhagavato tiṃsavassasahassāni, kassapassa bhagavato vīsativassasahassāni; sammukhasāvakānampi nesaṃ tattakameva. Bahūni ca nesaṃ sāvakayugāni paramparāya brahmacariyaṃ pavattesuṃ. Evaṃ tesaṃ āyuparimāṇatopi sāvakayugatopi ubhayathā brahmacariyaṃ ciraṭṭhitikaṃ ahosi.
อมฺหากํ ปน ภควโต กสฺสปสฺส ภควโต อุปฑฺฒายุกปฺปมาเณ ทสวสฺสสหสฺสายุกกาเล อุปฺปชฺชิตพฺพํ สิยาฯ ตํ อสมฺภุณเนฺตน ปญฺจวสฺสสหสฺสายุกกาเล, เอกวสฺสสหสฺสายุกกาเล, ปญฺจวสฺสสตายุกกาเลปิ วา อุปฺปชฺชิตพฺพํ สิยาฯ ยสฺมา ปนสฺส พุทฺธตฺตการเก ธเมฺม เอสนฺตสฺส ปริเยสนฺตสฺส ญาณํ ปริปาเจนฺตสฺส คพฺภํ คณฺหาเปนฺตสฺส วสฺสสตายุกกาเล ญาณํ ปริปากมคมาสิฯ ตสฺมา อติปริตฺตายุกกาเล อุปฺปโนฺนฯ เตนสฺส สาวกปรมฺปราวเสน จิรฎฺฐิติกมฺปิ พฺรหฺมจริยํ อายุปริมาณวเสน วสฺสคณนาย นจิรฎฺฐิติกเมวาติ วตฺตุํ วฎฺฎติฯ
Amhākaṃ pana bhagavato kassapassa bhagavato upaḍḍhāyukappamāṇe dasavassasahassāyukakāle uppajjitabbaṃ siyā. Taṃ asambhuṇantena pañcavassasahassāyukakāle, ekavassasahassāyukakāle, pañcavassasatāyukakālepi vā uppajjitabbaṃ siyā. Yasmā panassa buddhattakārake dhamme esantassa pariyesantassa ñāṇaṃ paripācentassa gabbhaṃ gaṇhāpentassa vassasatāyukakāle ñāṇaṃ paripākamagamāsi. Tasmā atiparittāyukakāle uppanno. Tenassa sāvakaparamparāvasena ciraṭṭhitikampi brahmacariyaṃ āyuparimāṇavasena vassagaṇanāya naciraṭṭhitikamevāti vattuṃ vaṭṭati.
๒๑. อถ โข อายสฺมา สาริปุโตฺตติ โก อนุสนฺธิ? เอวํ ติณฺณํ พุทฺธานํ พฺรหฺมจริยสฺส จิรฎฺฐิติการณํ สุตฺวา สิกฺขาปทปญฺญตฺติเยว จิรฎฺฐิติกภาวเหตูติ นิฎฺฐํ คนฺตฺวา ภควโตปิ พฺรหฺมจริยสฺส จิรฎฺฐิติกภาวํ อิจฺฉโนฺต อายสฺมา สาริปุโตฺต ภควนฺตํ สิกฺขาปทปญฺญตฺติํ ยาจิฯ ตสฺสา ยาจนวิธิทสฺสนตฺถเมตํ วุตฺตํ – อถ โข อายสฺมา สาริปุโตฺต อุฎฺฐายาสนา …เป.… จิรฎฺฐิติกนฺติฯ ตตฺถ อทฺธนิยนฺติ อทฺธานกฺขมํ; ทีฆกาลิกนฺติ วุตฺตํ โหติฯ เสสํ อุตฺตานตฺถเมวฯ
21.Atha kho āyasmā sāriputtoti ko anusandhi? Evaṃ tiṇṇaṃ buddhānaṃ brahmacariyassa ciraṭṭhitikāraṇaṃ sutvā sikkhāpadapaññattiyeva ciraṭṭhitikabhāvahetūti niṭṭhaṃ gantvā bhagavatopi brahmacariyassa ciraṭṭhitikabhāvaṃ icchanto āyasmā sāriputto bhagavantaṃ sikkhāpadapaññattiṃ yāci. Tassā yācanavidhidassanatthametaṃ vuttaṃ – atha kho āyasmā sāriputto uṭṭhāyāsanā …pe… ciraṭṭhitikanti. Tattha addhaniyanti addhānakkhamaṃ; dīghakālikanti vuttaṃ hoti. Sesaṃ uttānatthameva.
อถสฺส ภควา ‘‘น ตาวายํ สิกฺขาปทปญฺญตฺติกาโล’’ติ ปกาเสโนฺต ‘‘อาคเมหิ ตฺวํ สาริปุตฺตา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ อาคเมหิ ตฺวนฺติ ติฎฺฐ ตาว ตฺวํ; อธิวาเสหิ ตาว ตฺวนฺติ วุตฺตํ โหติฯ อาทรตฺถวเสเนเวตฺถ ทฺวิกฺขตฺตุํ วุตฺตํฯ เอเตน ภควา สิกฺขาปทปญฺญตฺติยา สาวกานํ วิสยภาวํ ปฎิกฺขิปิตฺวา ‘‘พุทฺธวิสโยว สิกฺขาปทปญฺญตฺตี’’ติ อาวิกโรโนฺต ‘‘ตถาคโต วา’’ติอาทิมาหฯ เอตฺถ จ ตตฺถาติ สิกฺขาปทปญฺญตฺติยาจนาเปกฺขํ ภุมฺมวจนํฯ ตตฺรายํ โยชนา – ยํ วุตฺตํ ‘‘สิกฺขาปทํ ปญฺญเปยฺยา’’ติ, ตตฺถ ตสฺสา สิกฺขาปทปญฺญตฺติยา ตถาคโตเยว กาลํ ชานิสฺสตีติฯ เอวํ วตฺวา อกาลํ ตาว ทเสฺสตุํ ‘‘น ตาว สาริปุตฺตา’’ติอาทิมาหฯ
Athassa bhagavā ‘‘na tāvāyaṃ sikkhāpadapaññattikālo’’ti pakāsento ‘‘āgamehi tvaṃ sāriputtā’’tiādimāha. Tattha āgamehi tvanti tiṭṭha tāva tvaṃ; adhivāsehi tāva tvanti vuttaṃ hoti. Ādaratthavasenevettha dvikkhattuṃ vuttaṃ. Etena bhagavā sikkhāpadapaññattiyā sāvakānaṃ visayabhāvaṃ paṭikkhipitvā ‘‘buddhavisayova sikkhāpadapaññattī’’ti āvikaronto ‘‘tathāgato vā’’tiādimāha. Ettha ca tatthāti sikkhāpadapaññattiyācanāpekkhaṃ bhummavacanaṃ. Tatrāyaṃ yojanā – yaṃ vuttaṃ ‘‘sikkhāpadaṃ paññapeyyā’’ti, tattha tassā sikkhāpadapaññattiyā tathāgatoyeva kālaṃ jānissatīti. Evaṃ vatvā akālaṃ tāva dassetuṃ ‘‘na tāva sāriputtā’’tiādimāha.
ตตฺถ อาสวา ติฎฺฐนฺติ เอเตสูติ อาสวฎฺฐานียาฯ เยสุ ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกา ทุกฺขาสวา กิเลสาสวา จ ปรูปวาทวิปฺปฎิสารวธพนฺธนาทโย เจว อปายทุกฺขวิเสสภูตา จ อาสวา ติฎฺฐนฺติเยว, ยสฺมา เนสํ เต การณํ โหนฺตีติ อโตฺถฯ เต อาสวฎฺฐานียา วีติกฺกมธมฺมา ยาว น สเงฺฆ ปาตุภวนฺติ, น ตาว สตฺถา สาวกานํ สิกฺขาปทํ ปญฺญเปตีติ อยเมตฺถ โยชนาฯ ยทิ หิ ปญฺญเปยฺย, ปรูปวาทา ปรูปารมฺภา ครหโทสา น ปริมุเจฺจยฺยฯ
Tattha āsavā tiṭṭhanti etesūti āsavaṭṭhānīyā. Yesu diṭṭhadhammikasamparāyikā dukkhāsavā kilesāsavā ca parūpavādavippaṭisāravadhabandhanādayo ceva apāyadukkhavisesabhūtā ca āsavā tiṭṭhantiyeva, yasmā nesaṃ te kāraṇaṃ hontīti attho. Te āsavaṭṭhānīyā vītikkamadhammā yāva na saṅghe pātubhavanti, na tāva satthā sāvakānaṃ sikkhāpadaṃ paññapetīti ayamettha yojanā. Yadi hi paññapeyya, parūpavādā parūpārambhā garahadosā na parimucceyya.
กถํ? ปญฺญเปเนฺตน หิ ‘‘โย ปน ภิกฺขุ เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสเวยฺยา’’ติอาทิ สพฺพํ ปญฺญเปตพฺพํ ภเวยฺยฯ อทิสฺวาว วีติกฺกมโทสํ อิมํ ปญฺญตฺติํ ญตฺวา ปเร เอวํ อุปวาทญฺจ อุปารมฺภญฺจ ครหญฺจ ปวเตฺตยฺยุํ – ‘‘กถญฺหิ นาม สมโณ โคตโม ภิกฺขุสโงฺฆ เม อนฺวายิโก วจนกโรติ เอตฺตาวตา สิกฺขาปเทหิ ปลิเวเฐสฺสติ, ปาราชิกํ ปญฺญเปสฺสติ? นนุ อิเม กุลปุตฺตา มหนฺตํ โภคกฺขนฺธํ มหนฺตญฺจ ญาติปริวฎฺฎํ หตฺถคตานิ จ รชฺชานิปิ ปหาย ปพฺพชิตา, ฆาสจฺฉาทนปรมตาย สนฺตุฎฺฐา, สิกฺขาย ติพฺพคารวา, กาเย จ ชีวิเต จ นิรเปกฺขา วิหรนฺติฯ เตสุ นาม โก โลกามิสภูตํ เมถุนํ วา ปฎิเสวิสฺสติ, ปรภณฺฑํ วา หริสฺสติ, ปรสฺส วา อิฎฺฐํ กนฺตํ อติมธุรํ ชีวิตํ อุปจฺฉินฺทิสฺสติ, อภูตคุณกถาย วา ชีวิตํ กเปฺปสฺสติ! นนุ ปาราชิเก อปญฺญเตฺตปิ ปพฺพชฺชาสเงฺขเปเนเวตํ ปากฎํ กต’’นฺติฯ ตถาคตสฺส จ ถามญฺจ พลญฺจ สตฺตา น ชาเนยฺยุํฯ ปญฺญตฺตมฺปิ สิกฺขาปทํ กุเปฺปยฺย, น ยถาฐาเน ติเฎฺฐยฺยฯ เสยฺยถาปิ นาม อกุสโล เวโชฺช กญฺจิ อนุปฺปนฺนคณฺฑํ ปุริสํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘เอหิ โภ ปุริส, อิมสฺมิํ เต สรีรปฺปเทเส มหาคโณฺฑ อุปฺปชฺชิตฺวา อนยพฺยสนํ ปาเปสฺสติ, ปฎิกเจฺจว นํ ติกิจฺฉาเปหี’’ติ วตฺวา ‘‘สาธาจริย, ตฺวํเยว นํ ติกิจฺฉสฺสู’’ติ วุโตฺต ตสฺส อโรคํ สรีรปฺปเทสํ ผาเลตฺวา โลหิตํ นีหริตฺวา อาเลปนพนฺธนโธวนาทีหิ ตํ ปเทสํ สญฺฉวิํ กตฺวา ตํ ปุริสํ วเทยฺย – ‘‘มหาโรโค เต มยา ติกิจฺฉิโต, เทหิ เม เทยฺยธมฺม’’นฺติฯ โส ตํ ‘‘กิมยํ พาลเวโชฺช วทติ? กตโร กิร เม อิมินา โรโค ติกิจฺฉิโต? นนุ เม อยํ ทุกฺขญฺจ ชเนติ, โลหิตกฺขยญฺจ มํ ปาเปตี’’ติ เอวํ อุปวเทยฺย เจว อุปารเมฺภยฺย จ ครเหยฺย จ, น จสฺส คุณํ ชาเนยฺยฯ เอวเมว ยทิ อนุปฺปเนฺน วีติกฺกมโทเส สตฺถา สาวกานํ สิกฺขาปทํ ปญฺญเปยฺย, ปรูปวาทาทีหิ จ น ปริมุเจฺจยฺย, น จสฺส ถามํ วา พลํ วา สตฺตา ชาเนยฺยุํ, ปญฺญตฺตมฺปิ สิกฺขาปทํ กุเปฺปยฺย, น ยถาฐาเน ติเฎฺฐยฺยฯ ตสฺมา วุตฺตํ – ‘‘น ตาว สาริปุตฺต สตฺถา สาวกานํ…เป.… ปาตุภวนฺตี’’ติฯ
Kathaṃ? Paññapentena hi ‘‘yo pana bhikkhu methunaṃ dhammaṃ paṭiseveyyā’’tiādi sabbaṃ paññapetabbaṃ bhaveyya. Adisvāva vītikkamadosaṃ imaṃ paññattiṃ ñatvā pare evaṃ upavādañca upārambhañca garahañca pavatteyyuṃ – ‘‘kathañhi nāma samaṇo gotamo bhikkhusaṅgho me anvāyiko vacanakaroti ettāvatā sikkhāpadehi paliveṭhessati, pārājikaṃ paññapessati? Nanu ime kulaputtā mahantaṃ bhogakkhandhaṃ mahantañca ñātiparivaṭṭaṃ hatthagatāni ca rajjānipi pahāya pabbajitā, ghāsacchādanaparamatāya santuṭṭhā, sikkhāya tibbagāravā, kāye ca jīvite ca nirapekkhā viharanti. Tesu nāma ko lokāmisabhūtaṃ methunaṃ vā paṭisevissati, parabhaṇḍaṃ vā harissati, parassa vā iṭṭhaṃ kantaṃ atimadhuraṃ jīvitaṃ upacchindissati, abhūtaguṇakathāya vā jīvitaṃ kappessati! Nanu pārājike apaññattepi pabbajjāsaṅkhepenevetaṃ pākaṭaṃ kata’’nti. Tathāgatassa ca thāmañca balañca sattā na jāneyyuṃ. Paññattampi sikkhāpadaṃ kuppeyya, na yathāṭhāne tiṭṭheyya. Seyyathāpi nāma akusalo vejjo kañci anuppannagaṇḍaṃ purisaṃ pakkosāpetvā ‘‘ehi bho purisa, imasmiṃ te sarīrappadese mahāgaṇḍo uppajjitvā anayabyasanaṃ pāpessati, paṭikacceva naṃ tikicchāpehī’’ti vatvā ‘‘sādhācariya, tvaṃyeva naṃ tikicchassū’’ti vutto tassa arogaṃ sarīrappadesaṃ phāletvā lohitaṃ nīharitvā ālepanabandhanadhovanādīhi taṃ padesaṃ sañchaviṃ katvā taṃ purisaṃ vadeyya – ‘‘mahārogo te mayā tikicchito, dehi me deyyadhamma’’nti. So taṃ ‘‘kimayaṃ bālavejjo vadati? Kataro kira me iminā rogo tikicchito? Nanu me ayaṃ dukkhañca janeti, lohitakkhayañca maṃ pāpetī’’ti evaṃ upavadeyya ceva upārambheyya ca garaheyya ca, na cassa guṇaṃ jāneyya. Evameva yadi anuppanne vītikkamadose satthā sāvakānaṃ sikkhāpadaṃ paññapeyya, parūpavādādīhi ca na parimucceyya, na cassa thāmaṃ vā balaṃ vā sattā jāneyyuṃ, paññattampi sikkhāpadaṃ kuppeyya, na yathāṭhāne tiṭṭheyya. Tasmā vuttaṃ – ‘‘na tāva sāriputta satthā sāvakānaṃ…pe… pātubhavantī’’ti.
เอวํ อกาลํ ทเสฺสตฺวา ปุน กาลํ ทเสฺสตุํ ‘‘ยโต จ โข สาริปุตฺตา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ยโตติ ยทา; ยสฺมิํ กาเลติ วุตฺตํ โหติฯ เสสํ วุตฺตานุสาเรเนว เวทิตพฺพํฯ อยํ วา เหตฺถ สเงฺขปโตฺถ – ยสฺมิํ สมเย ‘‘อาสวฎฺฐานียา ธมฺมา’’ติ สงฺขฺยํ คตา วีติกฺกมโทสา สเงฺฆ ปาตุภวนฺติ, ตทา สตฺถา สาวกานํ สิกฺขาปทํ ปญฺญเปติ, อุทฺทิสติ ปาติโมกฺขํฯ กสฺมา? เตสํเยว ‘‘อาสวฎฺฐานียา ธมฺมา’’ติ สงฺขฺยํ คตานํ วีติกฺกมโทสานํ ปฎิฆาตายฯ เอวํ ปญฺญเปโนฺต ยถา นาม กุสโล เวโชฺช อุปฺปนฺนํ คณฺฑํ ผาลนเลปนพนฺธนโธวนาทีหิ ติกิจฺฉโนฺต โรคํ วูปสเมตฺวา สญฺฉวิํ กตฺวา น เตฺวว อุปวาทาทิรโห โหติ, สเก จ อาจริยเก วิทิตานุภาโว หุตฺวา สกฺการํ ปาปุณาติ; เอวํ น จ อุปวาทาทิรโห โหติ, สเก จ สพฺพญฺญุวิสเย วิทิตานุภาโว หุตฺวา สกฺการํ ปาปุณาติฯ ตญฺจสฺส สิกฺขาปทํ อกุปฺปํ โหติ, ยถาฐาเน ติฎฺฐตีติฯ
Evaṃ akālaṃ dassetvā puna kālaṃ dassetuṃ ‘‘yato ca kho sāriputtā’’tiādimāha. Tattha yatoti yadā; yasmiṃ kāleti vuttaṃ hoti. Sesaṃ vuttānusāreneva veditabbaṃ. Ayaṃ vā hettha saṅkhepattho – yasmiṃ samaye ‘‘āsavaṭṭhānīyā dhammā’’ti saṅkhyaṃ gatā vītikkamadosā saṅghe pātubhavanti, tadā satthā sāvakānaṃ sikkhāpadaṃ paññapeti, uddisati pātimokkhaṃ. Kasmā? Tesaṃyeva ‘‘āsavaṭṭhānīyā dhammā’’ti saṅkhyaṃ gatānaṃ vītikkamadosānaṃ paṭighātāya. Evaṃ paññapento yathā nāma kusalo vejjo uppannaṃ gaṇḍaṃ phālanalepanabandhanadhovanādīhi tikicchanto rogaṃ vūpasametvā sañchaviṃ katvā na tveva upavādādiraho hoti, sake ca ācariyake viditānubhāvo hutvā sakkāraṃ pāpuṇāti; evaṃ na ca upavādādiraho hoti, sake ca sabbaññuvisaye viditānubhāvo hutvā sakkāraṃ pāpuṇāti. Tañcassa sikkhāpadaṃ akuppaṃ hoti, yathāṭhāne tiṭṭhatīti.
เอวํ อาสวฎฺฐานียานํ ธมฺมานํ อนุปฺปตฺติํ สิกฺขาปทปญฺญตฺติยา อกาลํ อุปฺปตฺติญฺจ กาลนฺติ วตฺวา อิทานิ เตสํ ธมฺมานํ อนุปฺปตฺติกาลญฺจ อุปฺปตฺติกาลญฺจ ทเสฺสตุํ ‘‘น ตาว สาริปุตฺต อิเธกเจฺจ’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ อุตฺตานตฺถานิ ปทานิ ปาฬิวเสเนว เวทิตพฺพานิฯ อยํ ปน อนุตฺตานปทวณฺณนา – รตฺติโย ชานนฺตีติ รตฺตญฺญู, อตฺตโน ปพฺพชิตทิวสโต ปฎฺฐาย พหุกา รตฺติโย ชานนฺติ, จิรปพฺพชิตาติ วุตฺตํ โหติฯ รตฺตญฺญูหิ มหตฺตํ รตฺตญฺญุมหตฺตํ; จิรปพฺพชิเตหิ มหนฺตภาวนฺติ อโตฺถฯ ตตฺร รตฺตญฺญุมหตฺตํ ปเตฺต สเงฺฆ อุปเสนํ วงฺคนฺตปุตฺตํ อารพฺภ สิกฺขาปทํ ปญฺญตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ โส หายสฺมา อูนทสวเสฺส ภิกฺขู อุปสมฺปาเทเนฺต ทิสฺวา เอกวโสฺส สทฺธิวิหาริกํ อุปสมฺปาเทสิฯ อถ ภควา สิกฺขาปทํ ปญฺญเปสิ – ‘‘น, ภิกฺขเว , อูนทสวเสฺสน อุปสมฺปาเทตโพฺพฯ โย อุปสมฺปาเทยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (มหาว. ๗๕)ฯ เอวํ ปญฺญเตฺต สิกฺขาปเท ปุน ภิกฺขู ‘‘ทสวสฺสามฺห ทสวสฺสามฺหา’’ติ พาลา อพฺยตฺตา อุปสมฺปาเทนฺติฯ อถ ภควา อปรมฺปิ สิกฺขาปทํ ปญฺญาเปสิ – ‘‘น, ภิกฺขเว, พาเลน อพฺยเตฺตน อุปสมฺปาเทตโพฺพฯ โย อุปสมฺปาเทยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ อนุชานามิ, ภิกฺขเว, พฺยเตฺตน ภิกฺขุนา ปฎิพเลน ทสวเสฺสน วา อติเรกทสวเสฺสน วา อุปสมฺปาเทตุ’’นฺติ (มหาว. ๗๖) รตฺตญฺญุมหตฺตํ ปตฺตกาเล เทฺว สิกฺขาปทานิ ปญฺญตฺตานิฯ
Evaṃ āsavaṭṭhānīyānaṃ dhammānaṃ anuppattiṃ sikkhāpadapaññattiyā akālaṃ uppattiñca kālanti vatvā idāni tesaṃ dhammānaṃ anuppattikālañca uppattikālañca dassetuṃ ‘‘na tāva sāriputta idhekacce’’tiādimāha. Tattha uttānatthāni padāni pāḷivaseneva veditabbāni. Ayaṃ pana anuttānapadavaṇṇanā – rattiyo jānantīti rattaññū, attano pabbajitadivasato paṭṭhāya bahukā rattiyo jānanti, cirapabbajitāti vuttaṃ hoti. Rattaññūhi mahattaṃ rattaññumahattaṃ; cirapabbajitehi mahantabhāvanti attho. Tatra rattaññumahattaṃ patte saṅghe upasenaṃ vaṅgantaputtaṃ ārabbha sikkhāpadaṃ paññattanti veditabbaṃ. So hāyasmā ūnadasavasse bhikkhū upasampādente disvā ekavasso saddhivihārikaṃ upasampādesi. Atha bhagavā sikkhāpadaṃ paññapesi – ‘‘na, bhikkhave , ūnadasavassena upasampādetabbo. Yo upasampādeyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (mahāva. 75). Evaṃ paññatte sikkhāpade puna bhikkhū ‘‘dasavassāmha dasavassāmhā’’ti bālā abyattā upasampādenti. Atha bhagavā aparampi sikkhāpadaṃ paññāpesi – ‘‘na, bhikkhave, bālena abyattena upasampādetabbo. Yo upasampādeyya, āpatti dukkaṭassa. Anujānāmi, bhikkhave, byattena bhikkhunā paṭibalena dasavassena vā atirekadasavassena vā upasampādetu’’nti (mahāva. 76) rattaññumahattaṃ pattakāle dve sikkhāpadāni paññattāni.
เวปุลฺลมหตฺตนฺติ วิปุลภาเวน มหตฺตํฯ สโงฺฆ หิ ยาว น เถรนวมชฺฌิมานํ วเสน เวปุลฺลมหตฺตํ ปโตฺต โหติ, ตาว เสนาสนานิ ปโหนฺติฯ สาสเน เอกเจฺจ อาสวฎฺฐานียา ธมฺมา น อุปฺปชฺชนฺติฯ เวปุลฺลมหตฺตํ ปน ปเตฺต เต อุปฺปชฺชนฺติฯ อถ สตฺถา สาวกานํ สิกฺขาปทํ ปญฺญเปติฯ ตตฺถ เวปุลฺลมหตฺตํ ปเตฺต สเงฺฆ ปญฺญตฺตสิกฺขาปทานิ ‘‘โย ปน ภิกฺขุ อนุปสมฺปเนฺนน อุตฺตริ ทิรตฺตติรตฺตํ สหเสยฺยํ กเปฺปยฺย, ปาจิตฺติยํ’’ (ปาจิ. ๕๑); ‘‘ยา ปน ภิกฺขุนี อนุวสฺสํ วุฎฺฐาเปยฺย, ปาจิตฺติยํ’’ (ปาจิ. ๑๑๗๑); ‘‘ยา ปน ภิกฺขุนี เอกํ วสฺสํ เทฺว วุฎฺฐาเปยฺย, ปาจิตฺติย’’นฺติ (ปาจิ. ๑๑๗๕) อิมินา นเยน เวทิตพฺพานิฯ
Vepullamahattanti vipulabhāvena mahattaṃ. Saṅgho hi yāva na theranavamajjhimānaṃ vasena vepullamahattaṃ patto hoti, tāva senāsanāni pahonti. Sāsane ekacce āsavaṭṭhānīyā dhammā na uppajjanti. Vepullamahattaṃ pana patte te uppajjanti. Atha satthā sāvakānaṃ sikkhāpadaṃ paññapeti. Tattha vepullamahattaṃ patte saṅghe paññattasikkhāpadāni ‘‘yo pana bhikkhu anupasampannena uttari dirattatirattaṃ sahaseyyaṃ kappeyya, pācittiyaṃ’’ (pāci. 51); ‘‘yā pana bhikkhunī anuvassaṃ vuṭṭhāpeyya, pācittiyaṃ’’ (pāci. 1171); ‘‘yā pana bhikkhunī ekaṃ vassaṃ dve vuṭṭhāpeyya, pācittiya’’nti (pāci. 1175) iminā nayena veditabbāni.
ลาภคฺคมหตฺตนฺติ ลาภสฺส อคฺคมหตฺตํ; โย ลาภสฺส อโคฺค อุตฺตโม มหนฺตภาโว, ตํ ปโตฺต โหตีติ อโตฺถฯ ลาเภน วา อคฺคมหตฺตมฺปิ, ลาเภน เสฎฺฐตฺตญฺจ มหนฺตตฺตญฺจ ปโตฺตติ อโตฺถฯ สโงฺฆ หิ ยาว น ลาภคฺคมหตฺตํ ปโตฺต โหติ, ตาว น ลาภํ ปฎิจฺจ อาสวฎฺฐานียา ธมฺมา อุปฺปชฺชนฺติฯ ปเตฺต ปน อุปฺปชฺชนฺติ, อถ สตฺถา สาวกานํ สิกฺขาปทํ ปญฺญเปติ – ‘‘โย ปน ภิกฺขุ อเจลกสฺส วา ปริพฺพาชกสฺส วา ปริพฺพาชิกาย วา สหตฺถา ขาทนียํ วา โภชนียํ วา ทเทยฺย, ปาจิตฺติย’’นฺติ (ปาจิ. ๒๗๐)ฯ อิทญฺหิ ลาภคฺคมหตฺตํ ปเตฺต สเงฺฆ สิกฺขาปทํ ปญฺญตฺตํฯ
Lābhaggamahattanti lābhassa aggamahattaṃ; yo lābhassa aggo uttamo mahantabhāvo, taṃ patto hotīti attho. Lābhena vā aggamahattampi, lābhena seṭṭhattañca mahantattañca pattoti attho. Saṅgho hi yāva na lābhaggamahattaṃ patto hoti, tāva na lābhaṃ paṭicca āsavaṭṭhānīyā dhammā uppajjanti. Patte pana uppajjanti, atha satthā sāvakānaṃ sikkhāpadaṃ paññapeti – ‘‘yo pana bhikkhu acelakassa vā paribbājakassa vā paribbājikāya vā sahatthā khādanīyaṃ vā bhojanīyaṃ vā dadeyya, pācittiya’’nti (pāci. 270). Idañhi lābhaggamahattaṃ patte saṅghe sikkhāpadaṃ paññattaṃ.
พาหุสจฺจมหตฺตนฺติ พาหุสจฺจสฺส มหนฺตภาวํฯ สโงฺฆ หิ ยาว น พาหุสจฺจมหตฺตํ ปโตฺต โหติ, ตาว น อาสวฎฺฐานียา ธมฺมา อุปฺปชฺชนฺติฯ พาหุสจฺจมหตฺตํ ปเตฺต ปน ยสฺมา เอกมฺปิ นิกายํ, เทฺวปิ…เป.… ปญฺจปิ นิกาเย อุคฺคเหตฺวา อโยนิโส อุมฺมุชฺชมานา ปุคฺคลา รเสน รสํ สํสนฺทิตฺวา อุทฺธมฺมํ อุพฺพินยํ สตฺถุสาสนํ ทีเปนฺติฯ อถ สตฺถา ‘‘โย ปน ภิกฺขุ เอวํ วเทยฺย – ตถาหํ ภควตา ธมฺมํ เทสิตํ อาชานามิ…เป.… สมณุเทฺทโสปิ เจ เอวํ วเทยฺยา’’ติอาทินา (ปาจิ. ๔๑๘) นเยน สิกฺขาปทํ ปญฺญเปตีติฯ
Bāhusaccamahattanti bāhusaccassa mahantabhāvaṃ. Saṅgho hi yāva na bāhusaccamahattaṃ patto hoti, tāva na āsavaṭṭhānīyā dhammā uppajjanti. Bāhusaccamahattaṃ patte pana yasmā ekampi nikāyaṃ, dvepi…pe… pañcapi nikāye uggahetvā ayoniso ummujjamānā puggalā rasena rasaṃ saṃsanditvā uddhammaṃ ubbinayaṃ satthusāsanaṃ dīpenti. Atha satthā ‘‘yo pana bhikkhu evaṃ vadeyya – tathāhaṃ bhagavatā dhammaṃ desitaṃ ājānāmi…pe… samaṇuddesopi ce evaṃ vadeyyā’’tiādinā (pāci. 418) nayena sikkhāpadaṃ paññapetīti.
เอวํ ภควา อาสวฎฺฐานียานํ ธมฺมานํ อนุปฺปตฺติกาลญฺจ อุปฺปตฺติกาลญฺจ ทเสฺสตฺวา ตสฺมิํ สมเย สพฺพโสปิ เตสํ อภาวํ ทเสฺสโนฺต ‘‘นิรพฺพุโท หิ สาริปุตฺตา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ นิรพฺพุโทติ อพฺพุทวิรหิโต; อพฺพุทา วุจฺจนฺติ โจรา, นิโจฺจโรติ อโตฺถฯ โจราติ จ อิมสฺมิํ อเตฺถ ทุสฺสีลาว อธิเปฺปตาฯ เต หิ อสฺสมณาว หุตฺวา สมณปฎิญฺญตาย ปเรสํ ปจฺจเย โจเรนฺติฯ ตสฺมา นิรพฺพุโทติ นิโจฺจโร, นิทฺทุสฺสีโลติ วุตฺตํ โหติฯ นิราทีนโวติ นิรุปทฺทโว นิรุปสโคฺค; ทุสฺสีลาทีนวรหิโตเยวาติ วุตฺตํ โหติฯ อปคตกาฬโกติ กาฬกา วุจฺจนฺติ ทุสฺสีลาเยว; เต หิ สุวณฺณวณฺณาปิ สมานา กาฬกธมฺมโยคา กาฬกาเตฺวว เวทิตพฺพาฯ เตสํ อภาวา อปคตกาฬโก ฯ อปหตกาฬโกติปิ ปาโฐฯ สุโทฺธติ อปคตกาฬกตฺตาเยว สุโทฺธ ปริโยทาโต ปภสฺสโรฯ สาเร ปติฎฺฐิโตติ สาโร วุจฺจนฺติ สีล-สมาธิ-ปญฺญาวิมุตฺติ-วิมุตฺติญาณทสฺสนคุณา, ตสฺมิํ สาเร ปติฎฺฐิตตฺตา สาเร ปติฎฺฐิโตฯ
Evaṃ bhagavā āsavaṭṭhānīyānaṃ dhammānaṃ anuppattikālañca uppattikālañca dassetvā tasmiṃ samaye sabbasopi tesaṃ abhāvaṃ dassento ‘‘nirabbudo hi sāriputtā’’tiādimāha. Tattha nirabbudoti abbudavirahito; abbudā vuccanti corā, niccoroti attho. Corāti ca imasmiṃ atthe dussīlāva adhippetā. Te hi assamaṇāva hutvā samaṇapaṭiññatāya paresaṃ paccaye corenti. Tasmā nirabbudoti niccoro, niddussīloti vuttaṃ hoti. Nirādīnavoti nirupaddavo nirupasaggo; dussīlādīnavarahitoyevāti vuttaṃ hoti. Apagatakāḷakoti kāḷakā vuccanti dussīlāyeva; te hi suvaṇṇavaṇṇāpi samānā kāḷakadhammayogā kāḷakātveva veditabbā. Tesaṃ abhāvā apagatakāḷako . Apahatakāḷakotipi pāṭho. Suddhoti apagatakāḷakattāyeva suddho pariyodāto pabhassaro. Sāre patiṭṭhitoti sāro vuccanti sīla-samādhi-paññāvimutti-vimuttiñāṇadassanaguṇā, tasmiṃ sāre patiṭṭhitattā sāre patiṭṭhito.
เอวํ สาเร ปติฎฺฐิตภาวํ วตฺวา ปุน โส จสฺส สาเร ปติฎฺฐิตภาโว เอวํ เวทิตโพฺพติ ทเสฺสโนฺต อิเมสญฺหิ สาริปุตฺตาติ อาทิมาหฯ ตตฺรายํ สเงฺขปวณฺณนา – ยานิมานิ เวรญฺชายํ วสฺสาวาสํ อุปคตานิ ปญฺจ ภิกฺขุสตานิ, อิเมสํ โย คุณวเสน ปจฺฉิมโก สพฺพปริตฺตคุโณ ภิกฺขุ, โส โสตาปโนฺนฯ โสตาปโนฺนติ โสตํ อาปโนฺน; โสโตติ จ มคฺคเสฺสตํ อธิวจนํฯ โสตาปโนฺนติ เตน สมนฺนาคตสฺส ปุคฺคลสฺสฯ ยถาห –
Evaṃ sāre patiṭṭhitabhāvaṃ vatvā puna so cassa sāre patiṭṭhitabhāvo evaṃ veditabboti dassento imesañhi sāriputtāti ādimāha. Tatrāyaṃ saṅkhepavaṇṇanā – yānimāni verañjāyaṃ vassāvāsaṃ upagatāni pañca bhikkhusatāni, imesaṃ yo guṇavasena pacchimako sabbaparittaguṇo bhikkhu, so sotāpanno. Sotāpannoti sotaṃ āpanno; sototi ca maggassetaṃ adhivacanaṃ. Sotāpannoti tena samannāgatassa puggalassa. Yathāha –
‘‘โสโต โสโตติ หิทํ, สาริปุตฺต, วุจฺจติ; กตโม นุ โข, สาริปุตฺต, โสโตติ? อยเมว หิ, ภเนฺต, อริโย อฎฺฐงฺคิโก มโคฺค, เสยฺยถิทํ – สมฺมาทิฎฺฐิ…เป.… สมฺมาสมาธี’’ติฯ ‘‘โสตาปโนฺน โสตาปโนฺนติ หิทํ, สาริปุตฺต, วุจฺจติ; กตโม นุ โข, สาริปุตฺต, โสตาปโนฺน’’ติ? ‘‘โย หิ, ภเนฺต, อิมินา อริเยน อฎฺฐงฺคิเกน มเคฺคน สมนฺนาคโต, อยํ วุจฺจติ – โสตาปโนฺนฯ โสยมายสฺมา เอวํนาโม เอวํโคโตฺต’’ติ (สํ. นิ. ๕.๑๐๐๑)ฯ อิธ ปน มเคฺคน ผลสฺส นามํ ทินฺนํฯ ตสฺมา ผลโฎฺฐ ‘‘โสตาปโนฺน’’ติ เวทิตโพฺพฯ
‘‘Soto sototi hidaṃ, sāriputta, vuccati; katamo nu kho, sāriputta, sototi? Ayameva hi, bhante, ariyo aṭṭhaṅgiko maggo, seyyathidaṃ – sammādiṭṭhi…pe… sammāsamādhī’’ti. ‘‘Sotāpanno sotāpannoti hidaṃ, sāriputta, vuccati; katamo nu kho, sāriputta, sotāpanno’’ti? ‘‘Yo hi, bhante, iminā ariyena aṭṭhaṅgikena maggena samannāgato, ayaṃ vuccati – sotāpanno. Soyamāyasmā evaṃnāmo evaṃgotto’’ti (saṃ. ni. 5.1001). Idha pana maggena phalassa nāmaṃ dinnaṃ. Tasmā phalaṭṭho ‘‘sotāpanno’’ti veditabbo.
อวินิปาตธโมฺมติ วินิปาเตตีติ วินิปาโต; นาสฺส วินิปาโต ธโมฺมติ อวินิปาตธโมฺม, น อตฺตานํ อปาเยสุ วินิปาตนสภาโวติ วุตฺตํ โหติฯ กสฺมา? เย ธมฺมา อปายคมนียา, เตสํ ปริกฺขยาฯ วินิปตนํ วา วินิปาโต, นาสฺส วินิปาโต ธโมฺมติ อวินิปาตธโมฺม, อปาเยสุ วินิปาตนสภาโว อสฺส นตฺถีติ วุตฺตํ โหติฯ สมฺมตฺตนิยาเมน มเคฺคน นิยตตฺตา นิยโตฯ สโมฺพธิ ปรํ อยนํ ปรา คติ อสฺสาติ สโมฺพธิปรายโณฯ อุปริ มคฺคตฺตยํ อวสฺสํ สมฺปาปโกติ อโตฺถฯ กสฺมา? ปฎิลทฺธปฐมมคฺคตฺตาติฯ
Avinipātadhammoti vinipātetīti vinipāto; nāssa vinipāto dhammoti avinipātadhammo, na attānaṃ apāyesu vinipātanasabhāvoti vuttaṃ hoti. Kasmā? Ye dhammā apāyagamanīyā, tesaṃ parikkhayā. Vinipatanaṃ vā vinipāto, nāssa vinipāto dhammoti avinipātadhammo, apāyesu vinipātanasabhāvo assa natthīti vuttaṃ hoti. Sammattaniyāmena maggena niyatattā niyato. Sambodhi paraṃ ayanaṃ parā gati assāti sambodhiparāyaṇo. Upari maggattayaṃ avassaṃ sampāpakoti attho. Kasmā? Paṭiladdhapaṭhamamaggattāti.
วินยปญฺญตฺติยาจนกถา นิฎฺฐิตาฯ
Vinayapaññattiyācanakathā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวิภงฺค • Mahāvibhaṅga / เวรญฺชกณฺฑํ • Verañjakaṇḍaṃ
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā / วินยปญฺญตฺติยาจนกถา • Vinayapaññattiyācanakathā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā / อุปาสกตฺตปฎิเวทนากถาวณฺณนา • Upāsakattapaṭivedanākathāvaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / วินยปญฺญตฺติยาจนกถาวณฺณนา • Vinayapaññattiyācanakathāvaṇṇanā