Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā |
วินยปญฺญตฺติยาจนกถาวณฺณนา
Vinayapaññattiyācanakathāvaṇṇanā
๑๘. วินยปญฺญตฺติยา มูลโต ปภุตีติ ปาราชิกาทิครุกานํ, ตทเญฺญสญฺจ สิกฺขาปทานํ ปาติโมกฺขุเทฺทสกฺกเมน เยภุเยฺยน อปญฺญตฺตตํ สนฺธาย วุตฺตํ, น สเพฺพน สพฺพํ อปญฺญตฺตตายฯ เตเนว เถโร ภควนฺตํ ‘‘สาวกานํ สิกฺขาปทํ ปญฺญเปยฺย อุทฺทิเสยฺย ปาติโมกฺข’’นฺติ ปาติโมกฺขุเทฺทเสน สห สิกฺขาปทปญฺญตฺติํ ยาจิฯ ขนฺธเก หิ อานนฺทเตฺถราทีนํ ปพฺพชฺชโต ปุเรตรเมว ราหุลภทฺทสฺส ปพฺพชฺชาย ‘‘น, ภิกฺขเว, อนนุญฺญาโต มาตาปิตูหิ ปุโตฺต ปพฺพาเชตโพฺพ, โย ปพฺพาเชยฺย อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (มหาว. ๑๐๕) ปญฺญตฺตสิกฺขาปทํ ทิสฺสติฯ อิเธว อฎฺฐกถายมฺปิ ‘‘สามมฺปิ ปจนํ…เป.… น วฎฺฎตี’’ติ จ, ‘‘รตฺติเจฺฉโท วสฺสเจฺฉโท วา น กโต’’ติ จ วุตฺตตฺตา ปุเพฺพว สามปากาทิปฎิเกฺขโป อตฺถีติ ปญฺญายติฯ เอวํ กติปยสิกฺขาปทานํ ปญฺญตฺติสพฺภาเวปิ อปญฺญตฺตปาราชิกาทิเก สนฺธาย ‘‘น ตาว, สาริปุตฺต, สตฺถา สาวกานํ สิกฺขาปทํ ปญฺญเปตี’’ติ วุตฺตนฺติ คเหตพฺพํฯ ปุถุตฺตารมฺมณโต ปฎินิวตฺติตฺวา สมฺมเทว เอการมฺมเณ จิเตฺตน ลีโน ปฎิสลฺลีโน นามาติ อาห ‘‘เอกีภาวํ คตสฺสา’’ติ, จิตฺตวิเวกํ คตสฺสาติ อโตฺถฯ จิรนฺติ อจฺจนฺตสํโยเค อุปโยควจนํฯ
18.Vinayapaññattiyāmūlato pabhutīti pārājikādigarukānaṃ, tadaññesañca sikkhāpadānaṃ pātimokkhuddesakkamena yebhuyyena apaññattataṃ sandhāya vuttaṃ, na sabbena sabbaṃ apaññattatāya. Teneva thero bhagavantaṃ ‘‘sāvakānaṃ sikkhāpadaṃ paññapeyya uddiseyya pātimokkha’’nti pātimokkhuddesena saha sikkhāpadapaññattiṃ yāci. Khandhake hi ānandattherādīnaṃ pabbajjato puretarameva rāhulabhaddassa pabbajjāya ‘‘na, bhikkhave, ananuññāto mātāpitūhi putto pabbājetabbo, yo pabbājeyya āpatti dukkaṭassā’’ti (mahāva. 105) paññattasikkhāpadaṃ dissati. Idheva aṭṭhakathāyampi ‘‘sāmampi pacanaṃ…pe… na vaṭṭatī’’ti ca, ‘‘ratticchedo vassacchedo vā na kato’’ti ca vuttattā pubbeva sāmapākādipaṭikkhepo atthīti paññāyati. Evaṃ katipayasikkhāpadānaṃ paññattisabbhāvepi apaññattapārājikādike sandhāya ‘‘na tāva, sāriputta, satthā sāvakānaṃ sikkhāpadaṃ paññapetī’’ti vuttanti gahetabbaṃ. Puthuttārammaṇato paṭinivattitvā sammadeva ekārammaṇe cittena līno paṭisallīno nāmāti āha ‘‘ekībhāvaṃ gatassā’’ti, cittavivekaṃ gatassāti attho. Ciranti accantasaṃyoge upayogavacanaṃ.
โสฬสวิธาย ปญฺญายาติ มชฺฌิมนิกาเย อนุปทสุตฺตนฺตเทสนายํ ‘‘มหาปโญฺญ, ภิกฺขเว, สาริปุโตฺต ปุถุปโญฺญ หาสปโญฺญ ชวนปโญฺญ ติกฺขปโญฺญ นิเพฺพธิกปโญฺญ’’ติ อาคตา ฉ ปญฺญา จ นวานุปุพฺพวิหารสมาปตฺติปญฺญา จ อรหตฺตมคฺคปญฺญา จาติ เอวํ โสฬสวิเธน อาคตาย ปญฺญายฯ เยสํ พุทฺธานํ สาวกา สุทฺธาวาเสสุ สนฺทิสฺสนฺติ, เตเยว โลเก ปากฎาติ วิปสฺสีอาทโยว อิธ อุทฺธฎา, น อิตเร ปุพฺพพุทฺธาฯ เตเนว อาฎานาฎิยสุเตฺต (ที. นิ. ๓.๒๗๕ อาทโย) เทวาปิ อตฺตโน ปากฎานํ เตสเญฺญว คหณํ อกํสุ, นาเญฺญสนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Soḷasavidhāya paññāyāti majjhimanikāye anupadasuttantadesanāyaṃ ‘‘mahāpañño, bhikkhave, sāriputto puthupañño hāsapañño javanapañño tikkhapañño nibbedhikapañño’’ti āgatā cha paññā ca navānupubbavihārasamāpattipaññā ca arahattamaggapaññā cāti evaṃ soḷasavidhena āgatāya paññāya. Yesaṃ buddhānaṃ sāvakā suddhāvāsesu sandissanti, teyeva loke pākaṭāti vipassīādayova idha uddhaṭā, na itare pubbabuddhā. Teneva āṭānāṭiyasutte (dī. ni. 3.275 ādayo) devāpi attano pākaṭānaṃ tesaññeva gahaṇaṃ akaṃsu, nāññesanti veditabbaṃ.
๑๙. กิลาสุโนติ อโปฺปสฺสุกฺกา ปโยชนาภาเวน นิรุสฺสาหา อเหสุํ, น อาลสิเยน, เตนาห น อาลสิยกิลาสุโนติอาทิฯ นิโทฺทสตายาติ กายวจีวีติกฺกมสมุฎฺฐาปกโทสาภาวาฯ ปาณํ น หเน น จาทินฺนมาทิเยติอาทินา (สุ. นิ. ๔๐๒) โอวาทสิกฺขาปทานํ วิชฺชมานตฺตา วุตฺตํ สตฺตาปตฺติกฺขนฺธวเสนาติอาทิฯ ฉนฺนํ ฉนฺนํ วสฺสานํ โอสานทิวสํ อเปกฺขิตฺวา ‘‘สกิํ สกิ’’นฺติ วุตฺตตฺตา ตทเปกฺขเมตฺถ สามิวจนํฯ สกลชมฺพุทีเป สโพฺพปิ ภิกฺขุสโงฺฆ อุโปสถํ อกาสีติ สมฺพโนฺธฯ
19.Kilāsunoti appossukkā payojanābhāvena nirussāhā ahesuṃ, na ālasiyena, tenāha na ālasiyakilāsunotiādi. Niddosatāyāti kāyavacīvītikkamasamuṭṭhāpakadosābhāvā. Pāṇaṃ na hane na cādinnamādiyetiādinā (su. ni. 402) ovādasikkhāpadānaṃ vijjamānattā vuttaṃ sattāpattikkhandhavasenātiādi. Channaṃ channaṃ vassānaṃ osānadivasaṃ apekkhitvā ‘‘sakiṃ saki’’nti vuttattā tadapekkhamettha sāmivacanaṃ. Sakalajambudīpe sabbopi bhikkhusaṅgho uposathaṃ akāsīti sambandho.
ขนฺตี ปรมนฺติอาทีสุ ติติกฺขาสงฺขาตา ขนฺติ สตฺตสงฺขาเรหิ นิพฺพตฺตานิฎฺฐาขมนกิเลสตปนโต ปรมํ ตโป นามฯ วานสงฺขาตาย ตณฺหาย นิกฺขนฺตตฺตา นิพฺพานํ สพฺพธเมฺมหิ ปรมํ อุตฺตมนฺติ พุทฺธา วทนฺติฯ ยถาวุตฺตขนฺติยา อภาเวน ปาณวธํ วา เฉทนตาฬนาทิํ วา กโรโนฺต ปรูปฆาตี ปรสฺสหรณปรทาราติกฺกมนาทีหิ มุสาเปสุญฺญผรุสาทีหิ จ ปรํ วิเหฐยโนฺต จ พาหิตปาปตาย อภาเวน ปพฺพชิโต วา สมิตปาปตาย อภาเวน สมโณ วา น โหตีติ อโตฺถฯ สีลสํวเรน สพฺพปาปสฺส อนุปฺปาทนํ โลกิยสมาธิวิปสฺสนาหิ กุสลสฺส อุปสมฺปาทนํ นิปฺผาทนํ สเพฺพหิ มคฺคผเลหิ อตฺตโน จิตฺตสฺส ปริโสธนํ ปภสฺสรภาวกรณํ ยํ, ตเมตํ พุทฺธานํ สาสนํ อนุสิฎฺฐิฯ อนุปวาโทติ วาจาย กสฺสจิ อนุปวทนํฯ อนุปฆาโตติ กาเยน กสฺสจิ อุปฆาตากรณํ วุตฺตาวเสเส จ ปาติโมกฺขสงฺขาเต สีเล อตฺตานํ สํวรณํฯ ภตฺตสฺมิํ มตฺตญฺญุตาสงฺขาตอาชีวปาริสุทฺธิปจฺจยสนฺนิสฺสิตสีลสมาโยโค ตมฺมุเขน อินฺทฺริยสํวโร ปนฺตเสนาสนสงฺขาตํ อรญฺญวาสํ ตมฺมุเขน ปกาสิเต จตุปจฺจยสโนฺตสภาวนารามตาสงฺขาตมหาอริยวํเส ปติฎฺฐานญฺจ อธิจิตฺตสงฺขาเต โลกิยโลกุตฺตรสมาธิมฺหิ ตทุปฺปาทนวเสน อาโยโค อนุโยโค จ ยํ, ตเมตํ พุทฺธานํ อนุสิฎฺฐีติ โยชนาฯ
Khantīparamantiādīsu titikkhāsaṅkhātā khanti sattasaṅkhārehi nibbattāniṭṭhākhamanakilesatapanato paramaṃ tapo nāma. Vānasaṅkhātāya taṇhāya nikkhantattā nibbānaṃ sabbadhammehi paramaṃ uttamanti buddhā vadanti. Yathāvuttakhantiyā abhāvena pāṇavadhaṃ vā chedanatāḷanādiṃ vā karonto parūpaghātī parassaharaṇaparadārātikkamanādīhi musāpesuññapharusādīhi ca paraṃ viheṭhayanto ca bāhitapāpatāya abhāvena pabbajito vā samitapāpatāya abhāvena samaṇo vā na hotīti attho. Sīlasaṃvarena sabbapāpassa anuppādanaṃ lokiyasamādhivipassanāhi kusalassa upasampādanaṃ nipphādanaṃ sabbehi maggaphalehi attano cittassa parisodhanaṃ pabhassarabhāvakaraṇaṃ yaṃ, tametaṃ buddhānaṃ sāsanaṃ anusiṭṭhi. Anupavādoti vācāya kassaci anupavadanaṃ. Anupaghātoti kāyena kassaci upaghātākaraṇaṃ vuttāvasese ca pātimokkhasaṅkhāte sīle attānaṃ saṃvaraṇaṃ. Bhattasmiṃ mattaññutāsaṅkhātaājīvapārisuddhipaccayasannissitasīlasamāyogo tammukhena indriyasaṃvaro pantasenāsanasaṅkhātaṃ araññavāsaṃ tammukhena pakāsite catupaccayasantosabhāvanārāmatāsaṅkhātamahāariyavaṃse patiṭṭhānañca adhicittasaṅkhāte lokiyalokuttarasamādhimhi taduppādanavasena āyogo anuyogo ca yaṃ, tametaṃ buddhānaṃ anusiṭṭhīti yojanā.
‘‘ยาว สาสนปริยนฺตา’’ติ อาณาปาติโมกฺขสฺส อภาวโต วุตฺตํฯ ปรินิพฺพานโต ปน อุทฺธํ โอวาทปาติโมกฺขุเทฺทโสปิ นเตฺถว, พุทฺธา เอว หิ ตํ อุทฺทิสนฺติ, น สาวกาฯ ปฐมโพธิยนฺติ โพธิโต วีสติวสฺสปริจฺฉิเนฺน กาเล, อาจริยธมฺมปาลเตฺถเรน ปน ‘‘ปญฺจจตฺตาลีสาย วเสฺสสุ อาทิโต ปนฺนรส วสฺสานิ ปฐมโพธี’’ติ วุตฺตํ, สิกฺขาปทปญฺญตฺติกอาลโต ปน ปภุติ อาณาปาติโมกฺขเมว อุทฺทิสนฺตีติ อิทํ ปาติโมกฺขุเทฺทสกฺกเมเนว ปริปุณฺณํ กตฺวา สิกฺขาปทปญฺญตฺติกาลํ สนฺธาย วุตฺตํฯ อฎฺฐานํ อนวกาโสติ ยถากฺกมํ เหตุปจฺจยปฎิเกฺขปวเสน การณปฎิเกฺขโปฯ ยนฺติ เยน การเณนฯ อปริสุทฺธาย ปริสายาติ อลชฺชีปุคฺคเลหิ โวมิสฺสตาย อสุทฺธาย ปริสาย, น เกวลํ พุทฺธานเญฺญว อปริสุทฺธาย ปริสาย ปาติโมกฺขุเทฺทโส อยุโตฺต, อถ โข สาวกานมฺปิฯ โจทนาสารณาทิวเสน ปน โสเธตฺวา สํวาสกรณํ สาวกานเญฺญว ภาโร, พุทฺธา ปน สิกฺขาปทานิ ปญฺญเปตฺวา อุโปสถาทิกรณวิธานํ สิกฺขาเปตฺวา วิสฺสเชฺชนฺติ, โจทนาสารณาทีนิ น กโรนฺติ, เตเนว ภควา อสุทฺธาย ปริสาย ปาติโมกฺขํ อนุทฺทิสิตฺวา สกลรตฺติํ ตุณฺหีภูโต นิสีทิฯ ภิกฺขู จ ภควโต อธิปฺปายํ ญตฺวา อสุทฺธปุคฺคลํ พหิ นีหริํสุฯ ตสฺมา สาวกานมฺปิ อสุทฺธาย ปริสาย ญตฺวา อุโปสถาทิสงฺฆกมฺมกรณํ พฺรหฺมจริยนฺตรายกรณํ วินา น วฎฺฎตีติ เวทิตพฺพํฯ
‘‘Yāva sāsanapariyantā’’ti āṇāpātimokkhassa abhāvato vuttaṃ. Parinibbānato pana uddhaṃ ovādapātimokkhuddesopi nattheva, buddhā eva hi taṃ uddisanti, na sāvakā. Paṭhamabodhiyanti bodhito vīsativassaparicchinne kāle, ācariyadhammapālattherena pana ‘‘pañcacattālīsāya vassesu ādito pannarasa vassāni paṭhamabodhī’’ti vuttaṃ, sikkhāpadapaññattikaālato pana pabhuti āṇāpātimokkhameva uddisantīti idaṃ pātimokkhuddesakkameneva paripuṇṇaṃ katvā sikkhāpadapaññattikālaṃ sandhāya vuttaṃ. Aṭṭhānaṃ anavakāsoti yathākkamaṃ hetupaccayapaṭikkhepavasena kāraṇapaṭikkhepo. Yanti yena kāraṇena. Aparisuddhāya parisāyāti alajjīpuggalehi vomissatāya asuddhāya parisāya, na kevalaṃ buddhānaññeva aparisuddhāya parisāya pātimokkhuddeso ayutto, atha kho sāvakānampi. Codanāsāraṇādivasena pana sodhetvā saṃvāsakaraṇaṃ sāvakānaññeva bhāro, buddhā pana sikkhāpadāni paññapetvā uposathādikaraṇavidhānaṃ sikkhāpetvā vissajjenti, codanāsāraṇādīni na karonti, teneva bhagavā asuddhāya parisāya pātimokkhaṃ anuddisitvā sakalarattiṃ tuṇhībhūto nisīdi. Bhikkhū ca bhagavato adhippāyaṃ ñatvā asuddhapuggalaṃ bahi nīhariṃsu. Tasmā sāvakānampi asuddhāya parisāya ñatvā uposathādisaṅghakammakaraṇaṃ brahmacariyantarāyakaraṇaṃ vinā na vaṭṭatīti veditabbaṃ.
สมฺมุขสาวกานนฺติ พุทฺธานํ สมฺมุเข ธรมานกาเล ปพฺพชิตานํ สพฺพนฺติมานํ สาวกานํฯ อุฬาราติสยโชตนตฺถํ ‘‘อุฬารุฬารโภคาทิกุลวเสน วา’’ติ ปุน อุฬารสทฺทคฺคหณํ กตํฯ อาทิ-สเทฺทน อุฬารมชฺฌตฺตอนุฬาราทีนํ คหณํ เวทิตพฺพํฯ เต ปจฺฉิมา สาวกา อนฺตรธาเปสุนฺติ สมฺพโนฺธฯ
Sammukhasāvakānanti buddhānaṃ sammukhe dharamānakāle pabbajitānaṃ sabbantimānaṃ sāvakānaṃ. Uḷārātisayajotanatthaṃ ‘‘uḷāruḷārabhogādikulavasena vā’’ti puna uḷārasaddaggahaṇaṃ kataṃ. Ādi-saddena uḷāramajjhattaanuḷārādīnaṃ gahaṇaṃ veditabbaṃ. Te pacchimā sāvakā antaradhāpesunti sambandho.
อปญฺญเตฺตปิ สิกฺขาปเท ยทิ สาวกา สมานชาติอาทิกา สิยุํ, อตฺตโน กุลานุคตคนฺถํ วิย ภควโต วจนํ น นาเสยฺยุํฯ ยสฺมา ปน สิกฺขาปทญฺจ น ปญฺญตฺตํ, อิเม จ ภิกฺขู น สมานชาติอาทิกา, ตสฺมา วินาเสสุนฺติ อิมมตฺถํ ทเสฺสตุํ ยสฺมา เอกนามา…เป.… ตสฺมา อญฺญมญฺญํ วิเหเฐนฺตาติอาทิ วุตฺตํฯ จิรฎฺฐิติกวาเร ปน สาวกานํ นานาชจฺจาทิภาเว สมาเนปิ สิกฺขาปทปญฺญตฺติยา ปริปุณฺณตาย สาสนสฺส จิรปฺปวตฺติ เวทิตพฺพาฯ ยทิ เอวํ กสฺมา สเพฺพปิ พุทฺธา สิกฺขาปทานิ น ปญฺญเปนฺตีติ? ยสฺมา จ สาสนสฺส จิรปฺปวตฺติยา น เกวลํ สิกฺขาปทปญฺญตฺติเยว เหตุ, อถ โข อายติํ ธมฺมวินยํ คเหตฺวา สาวเกหิ วิเนตพฺพปุคฺคลานํ สมฺภโวปิ, ตสฺมา เตสํ สมฺภเว สติ พุทฺธา สิกฺขาปทํ ปญฺญเปนฺติ, นาสตีติ ปริปุณฺณาปญฺญตฺติเยว เวเนยฺยสมฺภวสฺสาปิ สูจนโต สาสนสฺส จิรปฺปวตฺติยา เหตุ วุตฺตาติ เวทิตพฺพาฯ ปาฬิยํ สหสฺสํ ภิกฺขุสงฺฆํ…เป.… โอวทตีติ เอตฺถ สหสฺสสงฺขฺยาปริจฺฉิโนฺน สโงฺฆ สหโสฺส สหสฺสิโลกธาตูติอาทีสุ (ที. นิ. ๒.๑๘) วิยฯ ตํ สหสฺสํ ภิกฺขุสงฺฆนฺติ โยชนาฯ สหสฺสสทฺทสฺส เอกวจนนฺตตาย ‘‘ภิกฺขุสหสฺสสฺสา’’ติ วตฺวา อวยวาเปกฺขาย ‘‘โอวทิยมานาน’’นฺติ พหุวจนนิเทฺทโส กโตติ ทฎฺฐโพฺพฯ
Apaññattepi sikkhāpade yadi sāvakā samānajātiādikā siyuṃ, attano kulānugataganthaṃ viya bhagavato vacanaṃ na nāseyyuṃ. Yasmā pana sikkhāpadañca na paññattaṃ, ime ca bhikkhū na samānajātiādikā, tasmā vināsesunti imamatthaṃ dassetuṃ yasmā ekanāmā…pe… tasmā aññamaññaṃ viheṭhentātiādi vuttaṃ. Ciraṭṭhitikavāre pana sāvakānaṃ nānājaccādibhāve samānepi sikkhāpadapaññattiyā paripuṇṇatāya sāsanassa cirappavatti veditabbā. Yadi evaṃ kasmā sabbepi buddhā sikkhāpadāni na paññapentīti? Yasmā ca sāsanassa cirappavattiyā na kevalaṃ sikkhāpadapaññattiyeva hetu, atha kho āyatiṃ dhammavinayaṃ gahetvā sāvakehi vinetabbapuggalānaṃ sambhavopi, tasmā tesaṃ sambhave sati buddhā sikkhāpadaṃ paññapenti, nāsatīti paripuṇṇāpaññattiyeva veneyyasambhavassāpi sūcanato sāsanassa cirappavattiyā hetu vuttāti veditabbā. Pāḷiyaṃ sahassaṃ bhikkhusaṅghaṃ…pe… ovadatīti ettha sahassasaṅkhyāparicchinno saṅgho sahasso sahassilokadhātūtiādīsu (dī. ni. 2.18) viya. Taṃ sahassaṃ bhikkhusaṅghanti yojanā. Sahassasaddassa ekavacanantatāya ‘‘bhikkhusahassassā’’ti vatvā avayavāpekkhāya ‘‘ovadiyamānāna’’nti bahuvacananiddeso katoti daṭṭhabbo.
อนุปาทาย อาสเวหิ จิตฺตานิ วิมุจฺจิํสูติ เอตฺถ อาสเวหีติ กตฺตุอเตฺถ กรณวจนํฯ จิตฺตานีติ ปจฺจตฺตพหุวจนํฯ วิมุจฺจิํสูติ กมฺมสาธนํฯ ตสฺมา อาสเวหิ กตฺตุภูเตหิ อนุปาทาย อารมฺมณกรณวเสน อคฺคเหตฺวา จิตฺตานิ วิโมจิตานีติ เอวเมตฺถ อโตฺถ คเหตโพฺพติ อาห เตสญฺหิ จิตฺตานีติอาทิฯ เยหิ อาสเวหีติ เอตฺถาปิ กตฺตุอเตฺถ เอว กรณวจนํฯ วิมุจฺจิํสูติ กมฺมสาธนํฯ เตติ อาสวาฯ ตานีติ จิตฺตานิ, อุปโยคพหุวจนเญฺจตํฯ วิมุจฺจิํสูติ กตฺตุสาธนํ, วิโมเจสุนฺติ อโตฺถฯ อคฺคเหตฺวา วิมุจฺจิํสูติ อารมฺมณวเสน ตานิ จิตฺตานิ อคฺคเหตฺวา อาสวา เตหิ จิเตฺตหิ มุตฺตวโนฺต อเหสุนฺติ อโตฺถฯ อถ วา อาสเวหีติ นิสฺสกฺกวจนํ, วิมุจฺจิํสูติ กตฺตุสาธนํฯ ตสฺมา กญฺจิ สงฺขตธมฺมํ ตณฺหาทิวเสน อนุปาทิยิตฺวา จิตฺตานิ วิมุตฺตวนฺตานิ อเหสุนฺติ อโตฺถ คเหตโพฺพฯ ปุริมวจนาเปกฺขนฺติ อญฺญตรสฺมิํ ภิํสนเก วนสเณฺฑติ วุตฺตวจนสฺส อเปกฺขนํ ตสฺมิํ ปุริมวจเนติ เอวํ อเปกฺขนนฺติ อโตฺถ, เตนาห ยํ วุตฺตนฺติอาทิฯ ภิํสนสฺส ภยสฺส กตํ กรณํ กิริยา ภิํสนกตํ, ตสฺมิํ ภิํสนกิริยายาติ อตฺถํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘ภิํสนกิริยายา’’ติฯ ภิํสยตีติ ภิํสโน, โสว ภิํสนโก, ตสฺส ภาโว ‘‘ภิํสนกตฺต’’นฺติ วตฺตเพฺพ ต-การสฺส โลปํ กตฺวา วุตฺตนฺติ ปการนฺตเรน อตฺถํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘อถ วา’’ติอาทิฯ พหุตรานํ สตฺตานํ วาติ เยภุเยฺยนาติ ปทสฺส อตฺถทสฺสนํฯ เตน จ โย โกจีติ ปทสฺสาปิ โย โย ปวิสตีติ วิจฺฉาวเสน นานเตฺถน อโตฺถ คเหตโพฺพติ ทเสฺสติ, โย โย ปวิสติ, เตสุ พหุตรานนฺติ อตฺถสมฺภวโตฯ
Anupādāya āsavehi cittāni vimucciṃsūti ettha āsavehīti kattuatthe karaṇavacanaṃ. Cittānīti paccattabahuvacanaṃ. Vimucciṃsūti kammasādhanaṃ. Tasmā āsavehi kattubhūtehi anupādāya ārammaṇakaraṇavasena aggahetvā cittāni vimocitānīti evamettha attho gahetabboti āha tesañhi cittānītiādi. Yehi āsavehīti etthāpi kattuatthe eva karaṇavacanaṃ. Vimucciṃsūti kammasādhanaṃ. Teti āsavā. Tānīti cittāni, upayogabahuvacanañcetaṃ. Vimucciṃsūti kattusādhanaṃ, vimocesunti attho. Aggahetvā vimucciṃsūti ārammaṇavasena tāni cittāni aggahetvā āsavā tehi cittehi muttavanto ahesunti attho. Atha vā āsavehīti nissakkavacanaṃ, vimucciṃsūti kattusādhanaṃ. Tasmā kañci saṅkhatadhammaṃ taṇhādivasena anupādiyitvā cittāni vimuttavantāni ahesunti attho gahetabbo. Purimavacanāpekkhanti aññatarasmiṃ bhiṃsanake vanasaṇḍeti vuttavacanassa apekkhanaṃ tasmiṃ purimavacaneti evaṃ apekkhananti attho, tenāha yaṃ vuttantiādi. Bhiṃsanassa bhayassa kataṃ karaṇaṃ kiriyā bhiṃsanakataṃ, tasmiṃ bhiṃsanakiriyāyāti atthaṃ dassento āha ‘‘bhiṃsanakiriyāyā’’ti. Bhiṃsayatīti bhiṃsano, sova bhiṃsanako, tassa bhāvo ‘‘bhiṃsanakatta’’nti vattabbe ta-kārassa lopaṃ katvā vuttanti pakārantarena atthaṃ dassento āha ‘‘atha vā’’tiādi. Bahutarānaṃ sattānaṃ vāti yebhuyyenāti padassa atthadassanaṃ. Tena ca yo kocīti padassāpi yo yo pavisatīti vicchāvasena nānatthena attho gahetabboti dasseti, yo yo pavisati, tesu bahutarānanti atthasambhavato.
นิคมนนฺติ ปกเต อเตฺถ ยถาวุตฺตสฺส อตฺถสฺส อุปสํหาโรฯ อยเญฺหตฺถ นิคมนกฺกโม – ยา หิ, สาริปุตฺต, วิปสฺสีอาทีนํ ติณฺณํ พุทฺธานํ อตฺตโน ปรินิพฺพานโต อุปริ ปริยตฺติวเสน วิเนตพฺพานํ ปุคฺคลานํ อภาเวน เตสํ อตฺถาย วิตฺถารโต สิกฺขาปทปญฺญตฺติยํ กิลาสุตา อโปฺปสฺสุกฺกตา, ยา จ อุปนิสฺสยสมฺปนฺนานํ เวเนยฺยานํ เจตสา เจโต ปริจฺจ ภิํสนกวนสเณฺฑปิ คนฺตฺวา โอวทนฺตานํ เตสํ มคฺคผลุปฺปาทนตฺถาย ธมฺมเทสนาย เอว อกิลาสุตา สอุสฺสาหตา, น วิตฺถารโต ธมฺมวินยเทสนาย, อยํ โข, สาริปุตฺต, เหตุ, อยํ ปจฺจโย, เยน วิปสฺสีอาทีนํ ติณฺณํ พุทฺธานํ พฺรหฺมจริยํ น จิรฎฺฐิติกํ อโหสีติฯ ปุริสยุควเสนาติ ปุริสานํ ยุคํ ปวตฺติกาโล, ตสฺส วเสน, ปุริสวเสนาติ อโตฺถฯ สพฺพปจฺฉิมโกติ ปรินิพฺพานทิวเส ปพฺพชิโต สุภทฺทสทิโสฯ สตสหสฺสํ สฎฺฐิมตฺตานิ จ วสฺสสหสฺสานีติ อิทํ ภควโต ชาติโต ปฎฺฐาย วุตฺตํ, โพธิโต ปฎฺฐาย ปน คณิยมานํ อูนํ โหตีติ ทฎฺฐพฺพํฯ เทฺวเยวาติ ธรมาเน ภควติ เอกํ, ปรินิพฺพุเต เอกนฺติ เทฺว เอว ปุริสยุคานิฯ
Nigamananti pakate atthe yathāvuttassa atthassa upasaṃhāro. Ayañhettha nigamanakkamo – yā hi, sāriputta, vipassīādīnaṃ tiṇṇaṃ buddhānaṃ attano parinibbānato upari pariyattivasena vinetabbānaṃ puggalānaṃ abhāvena tesaṃ atthāya vitthārato sikkhāpadapaññattiyaṃ kilāsutā appossukkatā, yā ca upanissayasampannānaṃ veneyyānaṃ cetasā ceto paricca bhiṃsanakavanasaṇḍepi gantvā ovadantānaṃ tesaṃ maggaphaluppādanatthāya dhammadesanāya eva akilāsutā saussāhatā, na vitthārato dhammavinayadesanāya, ayaṃ kho, sāriputta, hetu, ayaṃ paccayo, yena vipassīādīnaṃ tiṇṇaṃ buddhānaṃ brahmacariyaṃ na ciraṭṭhitikaṃ ahosīti. Purisayugavasenāti purisānaṃ yugaṃ pavattikālo, tassa vasena, purisavasenāti attho. Sabbapacchimakoti parinibbānadivase pabbajito subhaddasadiso. Satasahassaṃ saṭṭhimattāni ca vassasahassānīti idaṃ bhagavato jātito paṭṭhāya vuttaṃ, bodhito paṭṭhāya pana gaṇiyamānaṃ ūnaṃ hotīti daṭṭhabbaṃ. Dveyevāti dharamāne bhagavati ekaṃ, parinibbute ekanti dve eva purisayugāni.
๒๐-๑. อสมฺภุณเนฺตนาติ อปาปุณเนฺตนฯ โก อนุสนฺธีติ ปุริมกถาย อิมสฺส โก สมฺพโนฺธติ อโตฺถฯ ยํ วุตฺตนฺติ ยํ ยาจิตนฺติ อโตฺถฯ เยสูติ วีติกฺกมธเมฺมสุฯ เนสนฺติ ทิฎฺฐธมฺมิกาทิอาสวานํฯ เตติ วีติกฺกมธมฺมาฯ ญาติเยว ปิตามหปิตุปุตฺตาทิวเสน ปริวฎฺฎนโต ปริวโฎฺฎติ ญาติปริวโฎฺฎฯ โลกามิสภูตนฺติ โลกปริยาปนฺนํ หุตฺวา กิเลเสหิ อามสิตพฺพโต โลกามิสภูตํฯ ปพฺพชฺชาสเงฺขเปเนวาติ ทสสิกฺขาปททานาทิปพฺพชฺชามุเขนฯ เอตนฺติ เมถุนาทีนํ อกรณํฯ ถามนฺติ สิกฺขาปทปญฺญาปนสามตฺถิยํฯ สญฺฉวินฺติ สุกฺกจฺฉวิํ ปกติจฺฉวิํ, สุนฺทรจฺฉวิํ วาฯ เสสนฺติ เสสปทโยชนทสฺสนํฯ อิทานิ อตฺถโยชนํ ทเสฺสโนฺต อาห อยํ วา เหตฺถาติอาทิฯ ตตฺถ วา-สโทฺท อวธารเณฯ หิ-สโทฺท ปสิทฺธิยํ, อยเมว เหตฺถาติ อโตฺถฯ อถ สตฺถาติ ปทสฺส อตฺถํ ทเสฺสติ ‘‘ตทา สตฺถา’’ติฯ โรเปตฺวาติ ผาลิตฎฺฐาเน นินฺนํ มํสํ สมํ วเฑฺฒตฺวาฯ สเก อาจริยเกติ อตฺตโน อาจริยภาเว, อาจริยกเมฺม วาฯ
20-1.Asambhuṇantenāti apāpuṇantena. Ko anusandhīti purimakathāya imassa ko sambandhoti attho. Yaṃ vuttanti yaṃ yācitanti attho. Yesūti vītikkamadhammesu. Nesanti diṭṭhadhammikādiāsavānaṃ. Teti vītikkamadhammā. Ñātiyeva pitāmahapituputtādivasena parivaṭṭanato parivaṭṭoti ñātiparivaṭṭo. Lokāmisabhūtanti lokapariyāpannaṃ hutvā kilesehi āmasitabbato lokāmisabhūtaṃ. Pabbajjāsaṅkhepenevāti dasasikkhāpadadānādipabbajjāmukhena. Etanti methunādīnaṃ akaraṇaṃ. Thāmanti sikkhāpadapaññāpanasāmatthiyaṃ. Sañchavinti sukkacchaviṃ pakaticchaviṃ, sundaracchaviṃ vā. Sesanti sesapadayojanadassanaṃ. Idāni atthayojanaṃ dassento āha ayaṃ vā hetthātiādi. Tattha vā-saddo avadhāraṇe. Hi-saddo pasiddhiyaṃ, ayameva hetthāti attho. Atha satthāti padassa atthaṃ dasseti ‘‘tadā satthā’’ti. Ropetvāti phālitaṭṭhāne ninnaṃ maṃsaṃ samaṃ vaḍḍhetvā. Sake ācariyaketi attano ācariyabhāve, ācariyakamme vā.
วิปุลภาเวนาติ พหุภาเวนฯ อโยนิโส อุมฺมุชฺชมานาติ อนุปาเยน อภินิวิสมานา, วิปรีตโต ชานมานาติ อโตฺถฯ รเสน รสํ สํสนฺทิตฺวาติ อนวชฺชสภาเวน สาวชฺชสภาวํ สมฺมิเสฺสตฺวาฯ อุทฺธมฺมํ อุพฺพินยนฺติ อุคฺคตธมฺมํ อุคฺคตวินยญฺจ, ยถา ธโมฺม จ วินโย จ วินสฺสิสฺสติ, เอวํ กตฺวาติ อโตฺถฯ อิมสฺมิํ อเตฺถติ อิมสฺมิํ สงฺฆาธิกาเรฯ ปภสฺสโรติ ปภาสนสีโลฯ เอวํนาโม เอวํโคโตฺตติ โสยมายสฺมา โสตาปโนฺนตินามโคเตฺตน สมนฺนาคโต, อยํ วุจฺจติ โสตาปโนฺนติ ปกเตน สมฺพโนฺธฯ อวินิปาตธโมฺมติ เอตฺถ ธมฺม-สโทฺท สภาววาจี, โส จ อตฺถโต อปาเยสุ ขิปนโก ทิฎฺฐิอาทิอกุสลธโมฺม เอวาติ อาห ‘‘เย ธมฺมา’’ติอาทิฯ อิทานิ สภาววเสเนว อตฺถํ ทเสฺสตุํ วินิปตนํ วาติอาทิ วุตฺตํฯ นิยโตติ สตฺตภวพฺภนฺตเร นิยตกฺขนฺธปรินิพฺพาโนฯ ตสฺส การณมาห ‘‘สโมฺพธิปรายโณ’’ติฯ
Vipulabhāvenāti bahubhāvena. Ayoniso ummujjamānāti anupāyena abhinivisamānā, viparītato jānamānāti attho. Rasena rasaṃ saṃsanditvāti anavajjasabhāvena sāvajjasabhāvaṃ sammissetvā. Uddhammaṃ ubbinayanti uggatadhammaṃ uggatavinayañca, yathā dhammo ca vinayo ca vinassissati, evaṃ katvāti attho. Imasmiṃ attheti imasmiṃ saṅghādhikāre. Pabhassaroti pabhāsanasīlo. Evaṃnāmo evaṃgottoti soyamāyasmā sotāpannotināmagottena samannāgato, ayaṃ vuccati sotāpannoti pakatena sambandho. Avinipātadhammoti ettha dhamma-saddo sabhāvavācī, so ca atthato apāyesu khipanako diṭṭhiādiakusaladhammo evāti āha ‘‘ye dhammā’’tiādi. Idāni sabhāvavaseneva atthaṃ dassetuṃ vinipatanaṃ vātiādi vuttaṃ. Niyatoti sattabhavabbhantare niyatakkhandhaparinibbāno. Tassa kāraṇamāha ‘‘sambodhiparāyaṇo’’ti.
๒๒. อนุธมฺมตาติ โลกุตฺตรธมฺมานุคโต สภาโวฯ ปวารณาสงฺคหํ ทตฺวาติ ‘‘อาคามินิยา ปุณฺณมิยา ปวาเรสฺสามา’’ติ อนุมติทานวเสน ทตฺวา, ปวารณํ อุกฺกฑฺฒิตฺวาติ อโตฺถ, เอเตน นเยน เกนจิ ปจฺจเยน ปวารณุกฺกฑฺฒนํ กาตุํ วฎฺฎตีติ ทีปิตํ โหติฯ มาคสิรสฺส ปฐมทิวเสติ จนฺทมาสวเสน วุตฺตํ, อปรกตฺติกปุณฺณมาย อนนฺตเร ปาฎิปททิวเสติ อโตฺถฯ ผุสฺสมาสสฺส ปฐมทิวเสติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ อิทญฺจ นิทสฺสนมตฺตํ เวเนยฺยานํ อปริปากํ ปฎิจฺจ ผุสฺสมาสโต ปรญฺจ เอกทฺวิติจตุมาสมฺปิ ตเตฺถว วสิตฺวา เสสมาเสหิ จาริกาย ปริโยสาปนโตฯ ทสสหสฺสจกฺกวาเฬติ อิทํ เทวพฺรหฺมานํ วเสน วุตฺตํฯ มนุสฺสา ปน อิมสฺมิํเยว จกฺกวาเฬ โพธเนยฺยา โหนฺติฯ อิตรจกฺกวาเฬสุ ปน มนุสฺสานํ อิมสฺมิํ จกฺกวาเฬ อุปฺปตฺติยา ฉนฺทุปฺปาทนตฺถํ อนนฺตมฺปิ จกฺกวาฬํ โอโลเกตฺวา ตทนุคุณานุสาสนี ปาฎิหาริยํ กโรนฺติเยวฯ
22.Anudhammatāti lokuttaradhammānugato sabhāvo. Pavāraṇāsaṅgahaṃ datvāti ‘‘āgāminiyā puṇṇamiyā pavāressāmā’’ti anumatidānavasena datvā, pavāraṇaṃ ukkaḍḍhitvāti attho, etena nayena kenaci paccayena pavāraṇukkaḍḍhanaṃ kātuṃ vaṭṭatīti dīpitaṃ hoti. Māgasirassa paṭhamadivaseti candamāsavasena vuttaṃ, aparakattikapuṇṇamāya anantare pāṭipadadivaseti attho. Phussamāsassa paṭhamadivaseti etthāpi eseva nayo. Idañca nidassanamattaṃ veneyyānaṃ aparipākaṃ paṭicca phussamāsato parañca ekadviticatumāsampi tattheva vasitvā sesamāsehi cārikāya pariyosāpanato. Dasasahassacakkavāḷeti idaṃ devabrahmānaṃ vasena vuttaṃ. Manussā pana imasmiṃyeva cakkavāḷe bodhaneyyā honti. Itaracakkavāḷesu pana manussānaṃ imasmiṃ cakkavāḷe uppattiyā chanduppādanatthaṃ anantampi cakkavāḷaṃ oloketvā tadanuguṇānusāsanī pāṭihāriyaṃ karontiyeva.
อายามาติ เอตฺถ อา-สโทฺท อาคจฺฉาติ อิมินา สมานโตฺถติ อาห ‘‘อาคจฺฉ ยามา’’ติ, เอหิ คจฺฉามาติ อโตฺถฯ สุวณฺณรสปิญฺชราหีติ วิลีนสุวณฺณชลํ วิย ปิญฺชราหิ สุวณฺณวณฺณาหีติ อโตฺถฯ ปาฬิยํ นิมนฺติตมฺหาติอาทีสุ ‘‘นิมนฺติตา วสฺสํวุตฺถา อมฺหา’’ติ จ, ‘‘นิมนฺติตา วสฺสํวุตฺถา อตฺถา’’ติ จ สมฺพโนฺธฯ
Āyāmāti ettha ā-saddo āgacchāti iminā samānatthoti āha ‘‘āgaccha yāmā’’ti, ehi gacchāmāti attho. Suvaṇṇarasapiñjarāhīti vilīnasuvaṇṇajalaṃ viya piñjarāhi suvaṇṇavaṇṇāhīti attho. Pāḷiyaṃ nimantitamhātiādīsu ‘‘nimantitā vassaṃvutthā amhā’’ti ca, ‘‘nimantitā vassaṃvutthā atthā’’ti ca sambandho.
ยนฺติ เทยฺยธมฺมชาตํ, ยํ กิญฺจีติ อโตฺถฯ โน นตฺถีติ อมฺหากํ นตฺถิ, โนติ วา เอตสฺส วิวรณํ นตฺถีติฯ เอตฺถาติ ฆราวาเสฯ ตนฺติ ตํ การณํ, กิจฺจํ วาฯ กุโตติ กตรเหตุโตฯ ยนฺติ เยน การเณน, กิเจฺจน วาฯ ทุติเย อตฺถวิกเปฺป เอตฺถาติ อิมสฺส วิวรณํ อิมสฺมิํ เตมาสพฺภนฺตเรติฯ ตนฺติ ตํ เทยฺยธมฺมํฯ
Yanti deyyadhammajātaṃ, yaṃ kiñcīti attho. No natthīti amhākaṃ natthi, noti vā etassa vivaraṇaṃ natthīti. Etthāti gharāvāse. Tanti taṃ kāraṇaṃ, kiccaṃ vā. Kutoti katarahetuto. Yanti yena kāraṇena, kiccena vā. Dutiye atthavikappe etthāti imassa vivaraṇaṃ imasmiṃ temāsabbhantareti. Tanti taṃ deyyadhammaṃ.
ตตฺถ จาติ กุสเลฯ ติกฺขวิสทภาวาปาทเนน สมุเตฺตเชตฺวาฯ วเสฺสตฺวาติ อายติํ วาสนาภาคิยํ ธมฺมรตนวสฺสํ โอตาเรตฺวาฯ ยํ ทิวสนฺติ ยสฺมิํ ทิวเสฯ
Tatthacāti kusale. Tikkhavisadabhāvāpādanena samuttejetvā. Vassetvāti āyatiṃ vāsanābhāgiyaṃ dhammaratanavassaṃ otāretvā. Yaṃ divasanti yasmiṃ divase.
๒๓. ปตฺตุณฺณปตฺตปเฎ จาติ ปตฺตุณฺณปเฎ จีนปเฎ จฯ ตุมฺพานีติ จมฺมมยเตลภาชนานิฯ อนุพนฺธิตฺวาติ อนุปคมนํ กตฺวาฯ อภิรนฺต-สโทฺท อิธ อภิรุจิปริยาโยติ อาห ‘‘ยถาชฺฌาสย’’นฺติอาทิฯ โสเรยฺยาทีนิ มหามณฺฑลจาริกาย มคฺคภูตานิ โสเรยฺยนคราทีนิฯ ปยาคปติฎฺฐานนฺติ คงฺคาย เอกสฺส ติตฺถวิเสสสฺสาปิ, ตํสมีเป คามสฺสาปิ นามํฯ สมนฺตปาสาทิกายาติ สมนฺตโต สพฺพโส ปสาทํ ชเนตีติ สมนฺตปาสาทิกา, ตสฺสาฯ
23.Pattuṇṇapattapaṭe cāti pattuṇṇapaṭe cīnapaṭe ca. Tumbānīti cammamayatelabhājanāni. Anubandhitvāti anupagamanaṃ katvā. Abhiranta-saddo idha abhirucipariyāyoti āha ‘‘yathājjhāsaya’’ntiādi. Soreyyādīni mahāmaṇḍalacārikāya maggabhūtāni soreyyanagarādīni. Payāgapatiṭṭhānanti gaṅgāya ekassa titthavisesassāpi, taṃsamīpe gāmassāpi nāmaṃ. Samantapāsādikāyāti samantato sabbaso pasādaṃ janetīti samantapāsādikā, tassā.
เย ปน ปกาเร สนฺธาย ‘‘สมนฺตโต’’ติ วุจฺจติ, เต ปกาเร วิตฺถาเรตฺวา ทเสฺสตุํ ตตฺริทนฺติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ ‘‘สมนฺตปาสาทิกา’’ติ ยา สํวณฺณนา วุตฺตา, ตตฺร ตสฺสํ สมนฺตปาสาทิกายํ สมนฺตปสาทิกภาเว อิทํ วกฺขมานคาถาวจนํ โหตีติ โยชนาฯ พาหิรนิทานอพฺภนฺตรนิทานสิกฺขาปทนิทานานํ วเสน นิทานปฺปเภททีปนํ เวทิตพฺพํฯ ‘‘เถรวาทปฺปกาสนํ วตฺถุปฺปเภททีปน’’นฺติปิ วทนฺติฯ ‘‘สิกฺขาปทานํ ปจฺจุปฺปนฺนวตฺถุปฺปเภททีปน’’นฺติปิ วตฺตุํ วฎฺฎติฯ สิกฺขาปทนิทานนฺติ ปน เวสาลีอาทิ สิกฺขาปทปญฺญตฺติยา การณภูตเทสวิเสโส เวทิตโพฺพฯ เอตฺถาติ สมนฺตปาสาทิกายฯ สมฺปสฺสตํ วิญฺญูนนฺติ สมฺพโนฺธ, ตสฺมา อยํ สมนฺตปาสาทิกาเตฺวว ปวตฺตาติ โยเชตพฺพาฯ
Ye pana pakāre sandhāya ‘‘samantato’’ti vuccati, te pakāre vitthāretvā dassetuṃ tatridantiādi vuttaṃ. Tattha ‘‘samantapāsādikā’’ti yā saṃvaṇṇanā vuttā, tatra tassaṃ samantapāsādikāyaṃ samantapasādikabhāve idaṃ vakkhamānagāthāvacanaṃ hotīti yojanā. Bāhiranidānaabbhantaranidānasikkhāpadanidānānaṃ vasena nidānappabhedadīpanaṃ veditabbaṃ. ‘‘Theravādappakāsanaṃ vatthuppabhedadīpana’’ntipi vadanti. ‘‘Sikkhāpadānaṃ paccuppannavatthuppabhedadīpana’’ntipi vattuṃ vaṭṭati. Sikkhāpadanidānanti pana vesālīādi sikkhāpadapaññattiyā kāraṇabhūtadesaviseso veditabbo. Etthāti samantapāsādikāya. Sampassataṃ viññūnanti sambandho, tasmā ayaṃ samantapāsādikātveva pavattāti yojetabbā.
อิติ สมนฺตปาสาทิกาย วินยฎฺฐกถาย วิมติวิโนทนิยํ
Iti samantapāsādikāya vinayaṭṭhakathāya vimativinodaniyaṃ
เวรญฺชกณฺฑวณฺณนานโย นิฎฺฐิโตฯ
Verañjakaṇḍavaṇṇanānayo niṭṭhito.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวิภงฺค • Mahāvibhaṅga / เวรญฺชกณฺฑํ • Verañjakaṇḍaṃ
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / วินยปิฎก (อฎฺฐกถา) • Vinayapiṭaka (aṭṭhakathā) / มหาวิภงฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvibhaṅga-aṭṭhakathā
วินยปญฺญตฺติยาจนกถาวณฺณนา • Vinayapaññattiyācanakathāvaṇṇanā
พุทฺธาจิณฺณกถา • Buddhāciṇṇakathā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā
วินยปญฺญตฺติยาจนกถา • Vinayapaññattiyācanakathā
พุทฺธาจิณฺณกถา • Buddhāciṇṇakathā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā / อุปาสกตฺตปฎิเวทนากถาวณฺณนา • Upāsakattapaṭivedanākathāvaṇṇanā