Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā) |
๓. วินยเปยฺยาลํ
3. Vinayapeyyālaṃ
๒๐๑. อตฺถวเสติ วุทฺธิวิเสเส อานิสํสวิเสเสฯ เตสํ ปน สิกฺขาปทปญฺญตฺติการณตฺตา อาห ‘‘เทฺว การณานิ สนฺธายา’’ติฯ อโตฺถเยว วา อตฺถวโส, เทฺว อเตฺถ เทฺว การณานีติ วุตฺตํ โหติฯ อถ วา อโตฺถ ผลํ ตทธีนวุตฺติตาย วโส เอตสฺสาติ อตฺถวโส, การณนฺติ เอวเมฺปตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ ยถา ‘‘อนภิชฺฌา ธมฺมปท’’นฺติ วุเตฺต อนภิชฺฌา เอโก ธมฺมโกฎฺฐาโสติ อโตฺถ โหติฯ เอวมิธาปิ สิกฺขาปทนฺติ สิกฺขาโกฎฺฐาโส สิกฺขาย เอโก ปเทโสติ อยเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพติ อาห ‘‘สิกฺขาปทํ ปญฺญตฺตนฺติ สิกฺขาโกฎฺฐาโส ฐปิโต’’ติฯ
201.Atthavaseti vuddhivisese ānisaṃsavisese. Tesaṃ pana sikkhāpadapaññattikāraṇattā āha ‘‘dve kāraṇāni sandhāyā’’ti. Atthoyeva vā atthavaso, dve atthe dve kāraṇānīti vuttaṃ hoti. Atha vā attho phalaṃ tadadhīnavuttitāya vaso etassāti atthavaso, kāraṇanti evampettha attho daṭṭhabbo. Yathā ‘‘anabhijjhā dhammapada’’nti vutte anabhijjhā eko dhammakoṭṭhāsoti attho hoti. Evamidhāpi sikkhāpadanti sikkhākoṭṭhāso sikkhāya eko padesoti ayamettha attho daṭṭhabboti āha ‘‘sikkhāpadaṃ paññattanti sikkhākoṭṭhāso ṭhapito’’ti.
สงฺฆสุฎฺฐุ นาม สงฺฆสฺส สุฎฺฐุภาโว ‘‘สุฎฺฐุ เทวา’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๓๙) อาคตฎฺฐาเน วิย ‘‘สุฎฺฐุ, ภเนฺต’’ติ วจนสมฺปฎิจฺฉนภาโวฯ เตนาห ‘‘สงฺฆสุฎฺฐุตายาติ สงฺฆสฺส สุฎฺฐุภาวายา’’ติอาทิฯ ทุมฺมงฺกูนํ ปุคฺคลานํ นิคฺคหายาติ ทุมฺมงฺกู นาม ทุสฺสีลปุคฺคลาฯ เย มงฺกุตํ อาปาทิยมานาปิ ทุเกฺขน อาปชฺชนฺติ, วีติกฺกมํ กโรนฺตา วา กตฺวา วา น ลชฺชนฺติ, เตสํ นิคฺคหตฺถายฯ เต หิ สิกฺขาปเท อสติ ‘‘กิํ ตุเมฺหหิ ทิฎฺฐํ, กิํ สุตํ, กิํ อเมฺหหิ กตํ, กตรสฺมิํ วตฺถุสฺมิํ กตมํ อาปตฺติํ โรเปตฺวา อเมฺห นิคฺคณฺหถา’’ติ สงฺฆํ วิเหเฐสฺสนฺติ, สิกฺขาปเท ปน สติ เตสํ สโงฺฆ สิกฺขาปทํ ทเสฺสตฺวา ธเมฺมน วินเยน สตฺถุสาสเนน นิคฺคเหสฺสติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ทุมฺมงฺกูนํ ปุคฺคลานํ นิคฺคหายา’’ติฯ
Saṅghasuṭṭhu nāma saṅghassa suṭṭhubhāvo ‘‘suṭṭhu devā’’ti (pārā. aṭṭha. 39) āgataṭṭhāne viya ‘‘suṭṭhu, bhante’’ti vacanasampaṭicchanabhāvo. Tenāha ‘‘saṅghasuṭṭhutāyāti saṅghassa suṭṭhubhāvāyā’’tiādi. Dummaṅkūnaṃ puggalānaṃ niggahāyāti dummaṅkū nāma dussīlapuggalā. Ye maṅkutaṃ āpādiyamānāpi dukkhena āpajjanti, vītikkamaṃ karontā vā katvā vā na lajjanti, tesaṃ niggahatthāya. Te hi sikkhāpade asati ‘‘kiṃ tumhehi diṭṭhaṃ, kiṃ sutaṃ, kiṃ amhehi kataṃ, katarasmiṃ vatthusmiṃ katamaṃ āpattiṃ ropetvā amhe niggaṇhathā’’ti saṅghaṃ viheṭhessanti, sikkhāpade pana sati tesaṃ saṅgho sikkhāpadaṃ dassetvā dhammena vinayena satthusāsanena niggahessati. Tena vuttaṃ ‘‘dummaṅkūnaṃ puggalānaṃ niggahāyā’’ti.
เปสลานํ ภิกฺขูนํ ผาสุวิหารายาติ เปสลานํ ปิยสีลานํ ภิกฺขูนํ ผาสุวิหารตฺถายฯ ปิยสีลา หิ ภิกฺขู กตฺตพฺพากตฺตพฺพํ สาวชฺชานวชฺชํ เวลํ มริยาทํ อชานนฺตา สิกฺขตฺตยปาริปูริยา ฆฎมานา กิลมนฺติ, อุพฺพาฬฺหา โหนฺติ, กตฺตพฺพากตฺตพฺพํ ปน สาวชฺชานวชฺชํ เวลํ มริยาทญฺจ ญตฺวา สิกฺขตฺตยปาริปูริยา ฆเฎนฺตา น กิลมนฺติ, น อุพฺพาฬฺหา โหนฺติฯ เตน เตสํ สิกฺขาปทปฺปญฺญาปนา ผาสุวิหาราย สํวตฺตติฯ โย วา ทุมฺมงฺกูนํ ปุคฺคลานํ นิคฺคโห, เสฺวว เอเตสํ ผาสุวิหาโรฯ ทุสฺสีลปุคฺคเล นิสฺสาย หิ อุโปสโถ น ติฎฺฐติ, ปวารณา น ติฎฺฐติ, สงฺฆกมฺมานิ นปฺปวตฺตนฺติ, สามคฺคี น โหติ, ภิกฺขู อเนกคฺคา อุเทฺทสปริปุจฺฉากมฺมฎฺฐานาทีนิ อนุยุญฺชิตุํ น สโกฺกนฺติฯ ทุสฺสีเลสุ ปน นิคฺคหิเตสุ สโพฺพปิ อยํ อุปทฺทโว น โหติ, ตโต เปสลา ภิกฺขู ผาสุ วิหรนฺติฯ เอวํ ‘‘เปสลานํ ภิกฺขูนํ ผาสุวิหารายา’’ติ เอตฺถ ทฺวิธา อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
Pesalānaṃ bhikkhūnaṃ phāsuvihārāyāti pesalānaṃ piyasīlānaṃ bhikkhūnaṃ phāsuvihāratthāya. Piyasīlā hi bhikkhū kattabbākattabbaṃ sāvajjānavajjaṃ velaṃ mariyādaṃ ajānantā sikkhattayapāripūriyā ghaṭamānā kilamanti, ubbāḷhā honti, kattabbākattabbaṃ pana sāvajjānavajjaṃ velaṃ mariyādañca ñatvā sikkhattayapāripūriyā ghaṭentā na kilamanti, na ubbāḷhā honti. Tena tesaṃ sikkhāpadappaññāpanā phāsuvihārāya saṃvattati. Yo vā dummaṅkūnaṃ puggalānaṃ niggaho, sveva etesaṃ phāsuvihāro. Dussīlapuggale nissāya hi uposatho na tiṭṭhati, pavāraṇā na tiṭṭhati, saṅghakammāni nappavattanti, sāmaggī na hoti, bhikkhū anekaggā uddesaparipucchākammaṭṭhānādīni anuyuñjituṃ na sakkonti. Dussīlesu pana niggahitesu sabbopi ayaṃ upaddavo na hoti, tato pesalā bhikkhū phāsu viharanti. Evaṃ ‘‘pesalānaṃ bhikkhūnaṃ phāsuvihārāyā’’ti ettha dvidhā attho veditabbo.
‘‘น โว อหํ, จุนฺท, ทิฎฺฐธมฺมิกานํเยว อาสวานํ สํวราย ธมฺมํ เทเสมี’’ติ (ที. นิ. ๓.๑๘๒) เอตฺถ วิวาทมูลภูตา กิเลสา อาสวาติ อาคตาฯ
‘‘Na vo ahaṃ, cunda, diṭṭhadhammikānaṃyeva āsavānaṃ saṃvarāya dhammaṃ desemī’’ti (dī. ni. 3.182) ettha vivādamūlabhūtā kilesā āsavāti āgatā.
‘‘เยน เทวูปปตฺยสฺส, คนฺธโพฺพ วา วิหงฺคโม;
‘‘Yena devūpapatyassa, gandhabbo vā vihaṅgamo;
ยกฺขตฺตํ เยน คเจฺฉยฺยํ, มนุสฺสตฺตญฺจ อพฺพเช;
Yakkhattaṃ yena gaccheyyaṃ, manussattañca abbaje;
เต มยฺหํ อาสวา ขีณา, วิทฺธสฺตา วินฬีกตา’’ติฯ (อ. นิ. ๔.๓๖) –
Te mayhaṃ āsavā khīṇā, viddhastā vinaḷīkatā’’ti. (a. ni. 4.36) –
เอตฺถ เตภูมกํ กมฺมํ อวเสสา จ อกุสลา ธมฺมาฯ อิธ ปน ปรูปวาทวิปฺปฎิสารวธพนฺธนาทโย เจว อปายทุกฺขภูตา จ นานปฺปการา อุปทฺทวา อาสวาติ อาห – ‘‘ทิฎฺฐธเมฺม อิมสฺมิํเยว อตฺตภาเว วีติกฺกมปจฺจยา ปฎิลทฺธพฺพาน’’นฺติอาทิฯ ยทิ หิ ภควา สิกฺขาปทํ น ปญฺญาเปยฺย, ตโต อสทฺธมฺมปฺปฎิเสวนอทินฺนาทานปาณาติปาตาทิเหตุ เย อุปฺปเชฺชยฺยุํ ปรูปวาทาทโย ทิฎฺฐธมฺมิกา นานปฺปการา อนตฺถา, เย จ ตนฺนิมิตฺตเมว นิรยาทีสุ นิพฺพตฺตสฺส ปญฺญวิธพนฺธนกมฺมการณาทิวเสน มหาทุกฺขานุภวนปฺปการา อนตฺถา, เต สนฺธาย อิทํ วุตฺตํ ‘‘ทิฎฺฐธมฺมิกานํ อาสวานํ สํวราย สมฺปรายิกานํ อาสวานํ ปฎิฆาตายา’’ติฯ ทิฎฺฐธโมฺม วุจฺจติ ปจฺจโกฺข อตฺตภาโว, ตตฺถ ภวา ทิฎฺฐธมฺมิกาฯ สมฺปเรตพฺพโต เปจฺจ คนฺตพฺพโต สมฺปราโย, ปรโลโก, ตตฺถ ภวา สมฺปรายิกาฯ
Ettha tebhūmakaṃ kammaṃ avasesā ca akusalā dhammā. Idha pana parūpavādavippaṭisāravadhabandhanādayo ceva apāyadukkhabhūtā ca nānappakārā upaddavā āsavāti āha – ‘‘diṭṭhadhamme imasmiṃyeva attabhāve vītikkamapaccayā paṭiladdhabbāna’’ntiādi. Yadi hi bhagavā sikkhāpadaṃ na paññāpeyya, tato asaddhammappaṭisevanaadinnādānapāṇātipātādihetu ye uppajjeyyuṃ parūpavādādayo diṭṭhadhammikā nānappakārā anatthā, ye ca tannimittameva nirayādīsu nibbattassa paññavidhabandhanakammakāraṇādivasena mahādukkhānubhavanappakārā anatthā, te sandhāya idaṃ vuttaṃ ‘‘diṭṭhadhammikānaṃ āsavānaṃ saṃvarāya samparāyikānaṃ āsavānaṃ paṭighātāyā’’ti. Diṭṭhadhammo vuccati paccakkho attabhāvo, tattha bhavā diṭṭhadhammikā. Samparetabbato pecca gantabbato samparāyo, paraloko, tattha bhavā samparāyikā.
อกุสลเวรานนฺติ ปาณาติปาตาทิปญฺจทุจฺจริตานํฯ ตานิ เวรการณตฺตา ‘‘เวรานี’’ติ วุจฺจนฺติ, ปุคฺคเลสุ ปน อุปฺปชฺชมานานิ เวรานิฯ เต เอว วา ทุกฺขธมฺมาติ เหฎฺฐา วุตฺตา วธพนฺธนาทโยฯ เตสํ ปกฺขุปเจฺฉทนตฺถายาติ เตสํ ปาปิจฺฉานํ ปกฺขุปเจฺฉทาย คณโภชนสทิสํ สิกฺขาปทํ ปญฺญตฺตํฯ ปณฺฑิตมนุสฺสานนฺติ โลกิยปริกฺขกชนานํฯ เต หิ สิกฺขาปทปญฺญตฺติยา สติ สิกฺขาปทปญฺญตฺติํ ญตฺวา วา ยถาปญฺญตฺตํ ปฎิปชฺชมาเน ภิกฺขู ทิสฺวา วา – ‘‘ยานิ วต โลเก มหาชนสฺส รชฺชนทุสฺสนมุยฺหนฎฺฐานานิ, เตหิ อิเม สมณา สกฺยปุตฺติยา อารกา วิหรนฺติ, ทุกฺกรํ วต กโรนฺติ, ภาริยํ วต กโรนฺตี’’ติ ปสาทํ อาปชฺชนฺติ วินยปิฎเก โปตฺถกํ ทิสฺวา มิจฺฉาทิฎฺฐิกตเวทิพฺราหฺมโณ วิยฯ อุปรูปริปสาทภาวายาติ ภิโยฺย ภิโยฺย ปสาทุปฺปาทนตฺถํฯ เยปิ หิ สาสเน ปสนฺนา กุลปุตฺตา, เตปิ สิกฺขาปทปญฺญตฺติํ วา ญตฺวา ยถาปญฺญตฺตํ ปฎิปชฺชมาเน ภิกฺขู วา ทิสฺวา ‘‘อโห, อยฺยา, ทุกฺกรการิโน, เย ยาวชีวํ เอกภตฺตํ พฺรหฺมจริยํ วินยสํวรํ อนุปาเลนฺตี’’ติ ภิโยฺย ภิโยฺย ปสีทนฺติฯ
Akusalaverānanti pāṇātipātādipañcaduccaritānaṃ. Tāni verakāraṇattā ‘‘verānī’’ti vuccanti, puggalesu pana uppajjamānāni verāni. Te eva vā dukkhadhammāti heṭṭhā vuttā vadhabandhanādayo. Tesaṃ pakkhupacchedanatthāyāti tesaṃ pāpicchānaṃ pakkhupacchedāya gaṇabhojanasadisaṃ sikkhāpadaṃ paññattaṃ. Paṇḍitamanussānanti lokiyaparikkhakajanānaṃ. Te hi sikkhāpadapaññattiyā sati sikkhāpadapaññattiṃ ñatvā vā yathāpaññattaṃ paṭipajjamāne bhikkhū disvā vā – ‘‘yāni vata loke mahājanassa rajjanadussanamuyhanaṭṭhānāni, tehi ime samaṇā sakyaputtiyā ārakā viharanti, dukkaraṃ vata karonti, bhāriyaṃ vata karontī’’ti pasādaṃ āpajjanti vinayapiṭake potthakaṃ disvā micchādiṭṭhikatavedibrāhmaṇo viya. Uparūparipasādabhāvāyāti bhiyyo bhiyyo pasāduppādanatthaṃ. Yepi hi sāsane pasannā kulaputtā, tepi sikkhāpadapaññattiṃ vā ñatvā yathāpaññattaṃ paṭipajjamāne bhikkhū vā disvā ‘‘aho, ayyā, dukkarakārino, ye yāvajīvaṃ ekabhattaṃ brahmacariyaṃ vinayasaṃvaraṃ anupālentī’’ti bhiyyo bhiyyo pasīdanti.
สทฺธมฺมสฺส จิรฎฺฐิตตฺถนฺติ ปริยตฺติสทฺธโมฺม, ปฎิปตฺติสทฺธโมฺม, อธิคมสทฺธโมฺมติ ติวิธสฺสปิ สทฺธมฺมสฺส จิรฎฺฐิตตฺถํฯ ตตฺถ ปิฎกตฺตยสงฺคหิตํ สพฺพมฺปิ พุทฺธวจนํ ปริยตฺติสทฺธโมฺม นามฯ เตรส ธุตคุณา, จุทฺทส ขนฺธกวตฺตานิ, เทฺวอสีติ มหาวตฺตานิ, สีลสมาธิวิปสฺสนาติ อยํ ปฎิปตฺติสทฺธโมฺม นามฯ จตฺตาโร อริยมคฺคา จตฺตาริ จ สามญฺญผลานิ นิพฺพานญฺจาติ อยํ อธิคมสทฺธโมฺม นามฯ โส สโพฺพ ยสฺมา สิกฺขาปทปญฺญตฺติยา สติ ภิกฺขู สิกฺขาปทญฺจ ตสฺส วิภงฺคญฺจ ตทตฺถโชตนตฺถํ อญฺญญฺจ พุทฺธวจนํ ปริยาปุณนฺติ, ยถาปญฺญตฺตญฺจ ปฎิปชฺชมานา ปฎิปตฺติํ ปูเรตฺวา ปฎิปตฺติยา อธิคนฺตพฺพํ โลกุตฺตรธมฺมํ อธิคจฺฉนฺติ, ตสฺมา สิกฺขาปทปญฺญตฺติยา จิรฎฺฐิติโก โหติฯ
Saddhammassaciraṭṭhitatthanti pariyattisaddhammo, paṭipattisaddhammo, adhigamasaddhammoti tividhassapi saddhammassa ciraṭṭhitatthaṃ. Tattha piṭakattayasaṅgahitaṃ sabbampi buddhavacanaṃ pariyattisaddhammo nāma. Terasa dhutaguṇā, cuddasa khandhakavattāni, dveasīti mahāvattāni, sīlasamādhivipassanāti ayaṃ paṭipattisaddhammo nāma. Cattāro ariyamaggā cattāri ca sāmaññaphalāni nibbānañcāti ayaṃ adhigamasaddhammo nāma. So sabbo yasmā sikkhāpadapaññattiyā sati bhikkhū sikkhāpadañca tassa vibhaṅgañca tadatthajotanatthaṃ aññañca buddhavacanaṃ pariyāpuṇanti, yathāpaññattañca paṭipajjamānā paṭipattiṃ pūretvā paṭipattiyā adhigantabbaṃ lokuttaradhammaṃ adhigacchanti, tasmā sikkhāpadapaññattiyā ciraṭṭhitiko hoti.
ปญฺจวิธสฺสปิ วินยสฺสาติ ตทงฺควินยาทิวเสน ปญฺจปฺปการสฺส วินยสฺสฯ วินยฎฺฐกถายํ (ปารา. อฎฺฐ. ๓๙) ปน สิกฺขาปทปญฺญตฺติยา สติ สํวรวินโย จ ปหานวินโย จ สมถวินโย จ ปญฺญตฺติวินโย จาติ จตุพฺพิโธปิ วินโย อนุคฺคหิโต โหติ อุปตฺถมฺภิโต สุปตฺถมฺภิโตฯ เตน วุตฺตํ ‘‘วินยานุคฺคหายา’’ติฯ ตตฺถ สํวรวินโยติ สีลสํวโร, สติสํวโร, ญาณสํวโร, ขนฺติสํวโร, วีริยสํวโรติ ปญฺจวิโธปิ สํวโร ยถาสกํ สํวริตพฺพานํ วิเนตพฺพานญฺจ กายทุจฺจริตาทีนํ สํวรณโต สํวโร, วินยนโต วินโยติ วุจฺจติฯ ปหานวินโยติ ตทงฺคปฺปหานํ, วิกฺขมฺภนปฺปหานํ, สมุเจฺฉทปฺปหานํ, ปฎิปฺปสฺสทฺธิปฺปหานํ, นิสฺสรณปฺปหานนฺติ ปญฺจวิธมฺปิ ปหานํ ยสฺมา จาคเฎฺฐน ปหานํ, วินยนเฎฺฐน วินโย, ตสฺมา ปหานวินโยติ วุจฺจติฯ สมถวินโยติ สตฺต อธิกรณสมถาฯ ปญฺญตฺติวินโยติ สิกฺขาปทเมวฯ สิกฺขาปทปญฺญตฺติยา หิ วิชฺชมานาย เอว สิกฺขาปทสมฺภวโต สิกฺขาปทสงฺขาโต ปญฺญตฺติวินโยติ สิกฺขาปทปญฺญตฺติยา อนุคฺคหิโต โหติฯ
Pañcavidhassapivinayassāti tadaṅgavinayādivasena pañcappakārassa vinayassa. Vinayaṭṭhakathāyaṃ (pārā. aṭṭha. 39) pana sikkhāpadapaññattiyā sati saṃvaravinayo ca pahānavinayo ca samathavinayo ca paññattivinayo cāti catubbidhopi vinayo anuggahito hoti upatthambhito supatthambhito. Tena vuttaṃ ‘‘vinayānuggahāyā’’ti. Tattha saṃvaravinayoti sīlasaṃvaro, satisaṃvaro, ñāṇasaṃvaro, khantisaṃvaro, vīriyasaṃvaroti pañcavidhopi saṃvaro yathāsakaṃ saṃvaritabbānaṃ vinetabbānañca kāyaduccaritādīnaṃ saṃvaraṇato saṃvaro, vinayanato vinayoti vuccati. Pahānavinayoti tadaṅgappahānaṃ, vikkhambhanappahānaṃ, samucchedappahānaṃ, paṭippassaddhippahānaṃ, nissaraṇappahānanti pañcavidhampi pahānaṃ yasmā cāgaṭṭhena pahānaṃ, vinayanaṭṭhena vinayo, tasmā pahānavinayoti vuccati. Samathavinayoti satta adhikaraṇasamathā. Paññattivinayoti sikkhāpadameva. Sikkhāpadapaññattiyā hi vijjamānāya eva sikkhāpadasambhavato sikkhāpadasaṅkhāto paññattivinayoti sikkhāpadapaññattiyā anuggahito hoti.
๒๐๒-๒๓๐. ภิกฺขูนํ ปญฺจาติ นิทานปาราชิกสงฺฆาทิเสสานิยตวิตฺถารุเทฺทสวเสน ปญฺจ ภิกฺขูนํ อุเทฺทสาฯ ภิกฺขุนีนํ จตฺตาโรติ ภิกฺขูนํ วุเตฺตสุ อนิยตุเทฺทสํ ฐเปตฺวา อวเสสา จตฺตาโรฯ
202-230.Bhikkhūnaṃ pañcāti nidānapārājikasaṅghādisesāniyatavitthāruddesavasena pañca bhikkhūnaṃ uddesā. Bhikkhunīnaṃ cattāroti bhikkhūnaṃ vuttesu aniyatuddesaṃ ṭhapetvā avasesā cattāro.
เอหิภิกฺขูปสมฺปทาติ ‘‘เอหิ ภิกฺขู’’ติ วจนมเตฺตน ปญฺญตฺตอุปสมฺปทาฯ ภควา หิ เอหิภิกฺขุภาวาย อุปนิสฺสยสมฺปนฺนํ ปุคฺคลํ ทิสฺวา รตฺตปํสุกูลนฺตรโต สุวณฺณวณฺณํ ทกฺขิณหตฺถํ นีหริตฺวา พฺรหฺมโฆสํ นิจฺฉาเรโนฺต ‘‘เอหิ ภิกฺขุ, จร พฺรหฺมจริยํ สมฺมา ทุกฺขสฺส อนฺตกิริยายา’’ติ วทติฯ ตสฺส สเหว ภควโต วจเนน คิหิลิงฺคํ อนฺตรธายติ, ปพฺพชฺชา จ อุปสมฺปทา จ รุหติ, ภณฺฑุ กาสาววสโน โหติ – เอกํ นิวาเสตฺวา เอกํ ปารุปิตฺวา เอกํ อํเส ฐเปตฺวา วามอํสกูเฎ อาสตฺตนีลุปฺปลวณฺณมตฺติกาปโตฺตฯ
Ehibhikkhūpasampadāti ‘‘ehi bhikkhū’’ti vacanamattena paññattaupasampadā. Bhagavā hi ehibhikkhubhāvāya upanissayasampannaṃ puggalaṃ disvā rattapaṃsukūlantarato suvaṇṇavaṇṇaṃ dakkhiṇahatthaṃ nīharitvā brahmaghosaṃ nicchārento ‘‘ehi bhikkhu, cara brahmacariyaṃ sammā dukkhassa antakiriyāyā’’ti vadati. Tassa saheva bhagavato vacanena gihiliṅgaṃ antaradhāyati, pabbajjā ca upasampadā ca ruhati, bhaṇḍu kāsāvavasano hoti – ekaṃ nivāsetvā ekaṃ pārupitvā ekaṃ aṃse ṭhapetvā vāmaaṃsakūṭe āsattanīluppalavaṇṇamattikāpatto.
‘‘ติจีวรญฺจ ปโตฺต จ, วาสิ สูจิ จ พนฺธนํ;
‘‘Ticīvarañca patto ca, vāsi sūci ca bandhanaṃ;
ปริสฺสาวเนน อเฎฺฐเต, ยุตฺตโยคสฺส ภิกฺขุโน’’ติฯ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.๒๑๕; ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.๒๙๔; ๒.๓๔๙; อ. นิ. อฎฺฐ. ๒.๔.๑๙๘; ปารา. อฎฺฐ. ๔๕ ปทภาชนียวณฺณนา; อป. อฎฺฐ. ๑.อวิทูเรนิทานกถา; พุ. วํ. อฎฺฐ. ๒๗.อวิทูเรนิทานกถา; ชา. อฎฺฐ. ๑.อวิทูเรนิทานกถา; มหานิ. อฎฺฐ. ๒๐๖) –
Parissāvanena aṭṭhete, yuttayogassa bhikkhuno’’ti. (dī. ni. aṭṭha. 1.215; ma. ni. aṭṭha. 1.294; 2.349; a. ni. aṭṭha. 2.4.198; pārā. aṭṭha. 45 padabhājanīyavaṇṇanā; apa. aṭṭha. 1.avidūrenidānakathā; bu. vaṃ. aṭṭha. 27.avidūrenidānakathā; jā. aṭṭha. 1.avidūrenidānakathā; mahāni. aṭṭha. 206) –
เอวํ วุเตฺตหิ อฎฺฐหิ ปริกฺขาเรหิ สรีเร ปฎิมุเกฺกหิเยว วสฺสสติกเตฺถโร วิย อิริยาปถสมฺปโนฺน พุทฺธาจริยโก พุทฺธุปชฺฌายโก สมฺมาสมฺพุทฺธํ วนฺทมาโนเยว ติฎฺฐติฯ
Evaṃ vuttehi aṭṭhahi parikkhārehi sarīre paṭimukkehiyeva vassasatikatthero viya iriyāpathasampanno buddhācariyako buddhupajjhāyako sammāsambuddhaṃ vandamānoyeva tiṭṭhati.
สรณคมนูปสมฺปทาติ ‘‘พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามี’’ติอาทินา นเยน ติกฺขตฺตุํ วาจํ ภินฺทิตฺวา วุเตฺตหิ ตีหิ สรณคมเนหิ อนุญฺญาตอุปสมฺปทาฯ โอวาทูปสมฺปทาติ โอวาทปฺปฎิคฺคหณอุปสมฺปทาฯ สา จ ‘‘ตสฺมาติห เต, กสฺสป, เอวํ สิกฺขิตพฺพํ ‘ติพฺพํ เม หิโรตฺตปฺปํ, ปจฺจุปฎฺฐิตํ ภวิสฺสติ เถเรสุ นเวสุ มชฺฌิเมสู’ติฯ เอวญฺหิ เต, กสฺสป, สิกฺขิตพฺพํฯ ตสฺมาติห เต, กสฺสป, เอวํ สิกฺขิตพฺพํ ‘ยํ กิญฺจิ ธมฺมํ สุณิสฺสามิ กุสลูปสํหิตํ, สพฺพํ ตํ อฎฺฐิํ กตฺวา มนสิ กริตฺวา สพฺพเจตสา สมนฺนาหริตฺวา โอหิตโสโต ธมฺมํ สุณิสฺสามี’ติ, เอวญฺหิ เต, กสฺสป, สิกฺขิตพฺพํฯ ตสฺมาติห เต, กสฺสป, เอวํ สิกฺขิตพฺพํ ‘สาตสหคตา จ เม กายคตาสติ น วิชหิสฺสตี’ติ, เอวญฺหิ เต, กสฺสป, สิกฺขิตพฺพ’’นฺติ (สํ. นิ. ๒.๑๕๔) อิมินา โอวาทปฺปฎิคฺคหเณน มหากสฺสปเตฺถรสฺส อนุญฺญาตอุปสมฺปทาฯ
Saraṇagamanūpasampadāti ‘‘buddhaṃ saraṇaṃ gacchāmī’’tiādinā nayena tikkhattuṃ vācaṃ bhinditvā vuttehi tīhi saraṇagamanehi anuññātaupasampadā. Ovādūpasampadāti ovādappaṭiggahaṇaupasampadā. Sā ca ‘‘tasmātiha te, kassapa, evaṃ sikkhitabbaṃ ‘tibbaṃ me hirottappaṃ, paccupaṭṭhitaṃ bhavissati theresu navesu majjhimesū’ti. Evañhi te, kassapa, sikkhitabbaṃ. Tasmātiha te, kassapa, evaṃ sikkhitabbaṃ ‘yaṃ kiñci dhammaṃ suṇissāmi kusalūpasaṃhitaṃ, sabbaṃ taṃ aṭṭhiṃ katvā manasi karitvā sabbacetasā samannāharitvā ohitasoto dhammaṃ suṇissāmī’ti, evañhi te, kassapa, sikkhitabbaṃ. Tasmātiha te, kassapa, evaṃ sikkhitabbaṃ ‘sātasahagatā ca me kāyagatāsati na vijahissatī’ti, evañhi te, kassapa, sikkhitabba’’nti (saṃ. ni. 2.154) iminā ovādappaṭiggahaṇena mahākassapattherassa anuññātaupasampadā.
ปญฺหพฺยากรณูปสมฺปทา นาม โสปากสฺส อนุญฺญาตอุปสมฺปทาฯ ภควา กิร ปุพฺพาราเม อนุจงฺกมนฺตํ โสปากสามเณรํ ‘‘อุทฺธุมาตกสญฺญาติ วา, โสปาก, รูปสญฺญาติ วา อิเม ธมฺมา นานตฺถา นานาพฺยญฺชนา, อุทาหุ เอกตฺถา พฺยญฺชนเมว นาน’’นฺติ ทส อสุภนิสฺสิเต ปเญฺห ปุจฺฉิฯ โส พฺยากาสิฯ ภควา ตสฺส สาธุการํ ทตฺวา ‘‘กติวโสฺสสิ, ตฺวํ โสปากา’’ติ ปุจฺฉิฯ สตฺตวโสฺสหํ ภควาติฯ โสปาก, ตฺวํ มม สพฺพญฺญุตญฺญาเณน สทฺธิํ สํสนฺทิตฺวา ปเญฺห พฺยากาสีติ อารทฺธจิโตฺต อุปสมฺปทํ อนุชานิฯ อยํ ปญฺหพฺยากรณูปสมฺปทาฯ
Pañhabyākaraṇūpasampadā nāma sopākassa anuññātaupasampadā. Bhagavā kira pubbārāme anucaṅkamantaṃ sopākasāmaṇeraṃ ‘‘uddhumātakasaññāti vā, sopāka, rūpasaññāti vā ime dhammā nānatthā nānābyañjanā, udāhu ekatthā byañjanameva nāna’’nti dasa asubhanissite pañhe pucchi. So byākāsi. Bhagavā tassa sādhukāraṃ datvā ‘‘kativassosi, tvaṃ sopākā’’ti pucchi. Sattavassohaṃ bhagavāti. Sopāka, tvaṃ mama sabbaññutaññāṇena saddhiṃ saṃsanditvā pañhe byākāsīti āraddhacitto upasampadaṃ anujāni. Ayaṃ pañhabyākaraṇūpasampadā.
ญตฺติจตุตฺถอุปสมฺปทา นาม ภิกฺขูนํ เอตรหิ อุปสมฺปทาฯ ครุธมฺมูปสมฺปทาติ ครุธมฺมปฺปฎิคฺคหเณน อุปสมฺปทาฯ สา จ มหาปชาปติยา อฎฺฐครุธมฺมปฺปฎิคฺคหเณน อนุญฺญาตา ฯ อุภโตสเงฺฆ อุปสมฺปทา นาม ภิกฺขุนิยา ภิกฺขุนิสงฺฆโต ญตฺติจตุเตฺถน, ภิกฺขุสงฺฆโต ญตฺติจตุเตฺถนาติ อิเมหิ ทฺวีหิ กเมฺมหิ อนุญฺญาตา อฎฺฐวาจิกูปสมฺปทาฯ ทูเตน อุปสมฺปทา นาม อฑฺฒกาสิยา คณิกาย อนุญฺญาตา อุปสมฺปทาฯ
Ñatticatutthaupasampadā nāma bhikkhūnaṃ etarahi upasampadā. Garudhammūpasampadāti garudhammappaṭiggahaṇena upasampadā. Sā ca mahāpajāpatiyā aṭṭhagarudhammappaṭiggahaṇena anuññātā . Ubhatosaṅghe upasampadā nāma bhikkhuniyā bhikkhunisaṅghato ñatticatutthena, bhikkhusaṅghato ñatticatutthenāti imehi dvīhi kammehi anuññātā aṭṭhavācikūpasampadā. Dūtena upasampadā nāma aḍḍhakāsiyā gaṇikāya anuññātā upasampadā.
ญตฺติกมฺมํ นว ฐานานิ คจฺฉตีติ กตมานิ นว ฐานานิ คจฺฉติ? โอสารณํ, นิสฺสารณํ, อุโปสโถ, ปวารณา, สมฺมุติ, ทานํ, ปฎิคฺคหํ, ปจฺจุกฺกฑฺฒนํ, กมฺมลกฺขณเญฺญว นวมนฺติ เอวํ วุตฺตานิ นว ฐานานิ คจฺฉติฯ ตตฺถ ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อิตฺถนฺนาโม อิตฺถนฺนามสฺส อายสฺมโต อุปสมฺปทาเปโกฺข, อนุสิโฎฺฐ โส มยา, ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, อิตฺถนฺนาโม อาคเจฺฉยฺย, อาคจฺฉาหีติ วตฺตโพฺพ’’ติ (มหาว. ๑๒๖) เอวํ อุปสมฺปทาเปกฺขสฺส โอสารณา โอสารณา นามฯ
Ñattikammaṃnava ṭhānāni gacchatīti katamāni nava ṭhānāni gacchati? Osāraṇaṃ, nissāraṇaṃ, uposatho, pavāraṇā, sammuti, dānaṃ, paṭiggahaṃ, paccukkaḍḍhanaṃ, kammalakkhaṇaññeva navamanti evaṃ vuttāni nava ṭhānāni gacchati. Tattha ‘‘suṇātu me, bhante, saṅgho, itthannāmo itthannāmassa āyasmato upasampadāpekkho, anusiṭṭho so mayā, yadi saṅghassa pattakallaṃ, itthannāmo āgaccheyya, āgacchāhīti vattabbo’’ti (mahāva. 126) evaṃ upasampadāpekkhassa osāraṇā osāraṇā nāma.
‘‘สุณนฺตุ เม, อายสฺมนฺตา, อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ ธมฺมกถิโก, อิมสฺส เนว สุตฺตํ อาคจฺฉติ, โน สุตฺตวิภโงฺค, โส อตฺถํ อสลฺลเกฺขตฺวา พฺยญฺชนจฺฉายาย อตฺถํ ปฎิพาหติฯ ยทายสฺมนฺตานํ ปตฺตกลฺลํ, อิตฺถนฺนามํ ภิกฺขุํ วุฎฺฐาเปตฺวา อวเสสา อิมํ อธิกรณํ วูปสเมยฺยามา’’ติ เอวํ อุพฺพาหิกวินิจฺฉเย ธมฺมกถิกสฺส ภิกฺขุโน นิสฺสารณา นิสฺสารณา นามฯ
‘‘Suṇantu me, āyasmantā, ayaṃ itthannāmo bhikkhu dhammakathiko, imassa neva suttaṃ āgacchati, no suttavibhaṅgo, so atthaṃ asallakkhetvā byañjanacchāyāya atthaṃ paṭibāhati. Yadāyasmantānaṃ pattakallaṃ, itthannāmaṃ bhikkhuṃ vuṭṭhāpetvā avasesā imaṃ adhikaraṇaṃ vūpasameyyāmā’’ti evaṃ ubbāhikavinicchaye dhammakathikassa bhikkhuno nissāraṇā nissāraṇā nāma.
‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อชฺชุโปสโถ ปนฺนรโสฯ ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สโงฺฆ อุโปสถํ กเรยฺยา’’ติ เอวํ อุโปสถกมฺมวเสน ฐปิตา ญตฺติ อุโปสโถ นามฯ
‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, ajjuposatho pannaraso. Yadi saṅghassa pattakallaṃ, saṅgho uposathaṃ kareyyā’’ti evaṃ uposathakammavasena ṭhapitā ñatti uposatho nāma.
‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อชฺช ปวารณา ปนฺนรสีฯ ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สโงฺฆ ปวาเรยฺยา’’ติ เอวํ ปวารณากมฺมวเสน ฐปิตา ญตฺติ ปวารณา นามฯ
‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, ajja pavāraṇā pannarasī. Yadi saṅghassa pattakallaṃ, saṅgho pavāreyyā’’ti evaṃ pavāraṇākammavasena ṭhapitā ñatti pavāraṇā nāma.
‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อิตฺถนฺนาโม อิตฺถนฺนามสฺส อายสฺมโต อุปสมฺปทาเปโกฺขฯ ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, อหํ อิตฺถนฺนามํ อนุสาเสยฺย’’นฺติ, ‘‘ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, อิตฺถนฺนาโม อิตฺถนฺนามํ อนุสาเสยฺยา’’ติ, ‘‘ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, อหํ อิตฺถนฺนามํ อนฺตรายิเก ธเมฺม ปุเจฺฉยฺย’’นฺติ, ‘‘ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, อิตฺถนฺนาโม อิตฺถนฺนามํ อนฺตรายิเก ธเมฺม ปุเจฺฉยฺยา’’ติ, ‘‘ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, อหํ อิตฺถนฺนามํ วินยํ ปุเจฺฉยฺย’’นฺติ, ‘‘ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, อิตฺถนฺนาโม อิตฺถนฺนามํ วินยํ ปุเจฺฉยฺยา’’ติ, ‘‘ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, อหํ อิตฺถนฺนาเมน วินยํ ปุโฎฺฐ วิสฺสเชฺชยฺย’’นฺติ, ‘‘ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, อิตฺถนฺนาโม อิตฺถนฺนาเมน วินยํ ปุโฎฺฐ วิสฺสเชฺชยฺยา’’ติ เอวํ อตฺตานํ วา ปรํ วา สมฺมนฺนิตุํ ฐปิตา ญตฺติ สมฺมุติ นามฯ
‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, itthannāmo itthannāmassa āyasmato upasampadāpekkho. Yadi saṅghassa pattakallaṃ, ahaṃ itthannāmaṃ anusāseyya’’nti, ‘‘yadi saṅghassa pattakallaṃ, itthannāmo itthannāmaṃ anusāseyyā’’ti, ‘‘yadi saṅghassa pattakallaṃ, ahaṃ itthannāmaṃ antarāyike dhamme puccheyya’’nti, ‘‘yadi saṅghassa pattakallaṃ, itthannāmo itthannāmaṃ antarāyike dhamme puccheyyā’’ti, ‘‘yadi saṅghassa pattakallaṃ, ahaṃ itthannāmaṃ vinayaṃ puccheyya’’nti, ‘‘yadi saṅghassa pattakallaṃ, itthannāmo itthannāmaṃ vinayaṃ puccheyyā’’ti, ‘‘yadi saṅghassa pattakallaṃ, ahaṃ itthannāmena vinayaṃ puṭṭho vissajjeyya’’nti, ‘‘yadi saṅghassa pattakallaṃ, itthannāmo itthannāmena vinayaṃ puṭṭho vissajjeyyā’’ti evaṃ attānaṃ vā paraṃ vā sammannituṃ ṭhapitā ñatti sammuti nāma.
‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อิทํ จีวรํ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน นิสฺสคฺคิยํ สงฺฆสฺส นิสฺสฎฺฐํฯ ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สโงฺฆ อิมํ จีวรํ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน ทเทยฺยา’’ติ, ‘‘ยทายสฺมนฺตานํ ปตฺตกลฺลํ, อายสฺมนฺตา อิมํ จีวรํ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน ทเทยฺยุ’’นฺติ เอวํ นิสฺสฎฺฐจีวรปตฺตาทีนํ ทานํ ทานํ นามฯ
‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, idaṃ cīvaraṃ itthannāmassa bhikkhuno nissaggiyaṃ saṅghassa nissaṭṭhaṃ. Yadi saṅghassa pattakallaṃ, saṅgho imaṃ cīvaraṃ itthannāmassa bhikkhuno dadeyyā’’ti, ‘‘yadāyasmantānaṃ pattakallaṃ, āyasmantā imaṃ cīvaraṃ itthannāmassa bhikkhuno dadeyyu’’nti evaṃ nissaṭṭhacīvarapattādīnaṃ dānaṃ dānaṃ nāma.
‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ อาปตฺติํ สรติ วิวรติ อุตฺตานิํ กโรติ เทเสติฯ ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, อหํ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน อาปตฺติํ ปฎิคฺคเณฺหยฺย’’นฺติ, ‘‘ยทายสฺมนฺตานํ ปตฺตกลฺลํ, อหํ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน อาปติํ ปฎิคฺคเณฺหยฺย’’นฺติ, เตน วตฺตโพฺพ ‘‘ปสฺสสี’’ติ? อาม ปสฺสามีติฯ ‘‘อายติํ สํวเรยฺยาสี’’ติ เอวํ อาปตฺติปฺปฎิคฺคโห ปฎิคฺคโห นามฯ
‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, ayaṃ itthannāmo bhikkhu āpattiṃ sarati vivarati uttāniṃ karoti deseti. Yadi saṅghassa pattakallaṃ, ahaṃ itthannāmassa bhikkhuno āpattiṃ paṭiggaṇheyya’’nti, ‘‘yadāyasmantānaṃ pattakallaṃ, ahaṃ itthannāmassa bhikkhuno āpatiṃ paṭiggaṇheyya’’nti, tena vattabbo ‘‘passasī’’ti? Āma passāmīti. ‘‘Āyatiṃ saṃvareyyāsī’’ti evaṃ āpattippaṭiggaho paṭiggaho nāma.
‘‘สุณนฺตุ เม, อายสฺมนฺตา อาวาสิกา, ยทายสฺมนฺตานํ ปตฺตกลฺลํ, อิทานิ อุโปสถํ กเรยฺยาม, ปาติโมกฺขํ อุทฺทิเสยฺยาม, อาคเม กาเล ปวาเรยฺยามา’’ติ, เต เจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขู ภณฺฑนการกา กลหการกา สเงฺฆ อธิกรณการกา ตํ กาลํ อนุวเสยฺยุํ, อาวาสิเกน ภิกฺขุนา พฺยเตฺตน ปฎิพเลน อาวาสิกา ภิกฺขู ญาเปตพฺพา ‘‘สุณนฺตุ เม, อายสฺมนฺตา อาวาสิกา, ยทายสฺมนฺตานํ ปตฺตกลฺลํ, อิทานิ อุโปสถํ กเรยฺยาม, ปาติโมกฺขํ อุทฺทิเสยฺยาม, อาคเม ชุเณฺห ปวาเรยฺยามา’’ติ เอวํ กตา ปวารณา ปจฺจุกฺกฑฺฒนา นามฯ
‘‘Suṇantu me, āyasmantā āvāsikā, yadāyasmantānaṃ pattakallaṃ, idāni uposathaṃ kareyyāma, pātimokkhaṃ uddiseyyāma, āgame kāle pavāreyyāmā’’ti, te ce, bhikkhave, bhikkhū bhaṇḍanakārakā kalahakārakā saṅghe adhikaraṇakārakā taṃ kālaṃ anuvaseyyuṃ, āvāsikena bhikkhunā byattena paṭibalena āvāsikā bhikkhū ñāpetabbā ‘‘suṇantu me, āyasmantā āvāsikā, yadāyasmantānaṃ pattakallaṃ, idāni uposathaṃ kareyyāma, pātimokkhaṃ uddiseyyāma, āgame juṇhe pavāreyyāmā’’ti evaṃ katā pavāraṇā paccukkaḍḍhanā nāma.
สเพฺพเหว เอกชฺฌํ สนฺนิปติตพฺพํ, สนฺนิปติตฺวา พฺยเตฺตน ภิกฺขุนา ปฎิพเลน สโงฺฆ ญาเปตโพฺพ ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อมฺหากํ ภณฺฑนชาตานํ กลหชาตานํ วิวาทาปนฺนานํ วิหรตํ พหุ อสฺสามณกํ อชฺฌาจิณฺณํ ภาสิตปริกฺกนฺตํฯ สเจ มยํ อิมาหิ อาปตฺตีหิ อญฺญมญฺญํ กาเรสฺสาม, สิยาปิ ตํ อธิกรณํ กกฺขฬตฺตาย วาฬตฺตาย เภทาย สํวเตฺตยฺยฯ ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สโงฺฆ อิมํ อธิกรณํ ติณวตฺถารเกน วูปสเมยฺย ฐเปตฺวา ถุลฺลวชฺชํ, ฐเปตฺวา คิหิปฎิสํยุตฺต’’นฺติ เอวํ ติณวตฺถารกสมเถ กตา สพฺพปฐมา สพฺพสงฺคาหิกญตฺติ กมฺมลกฺขณํ นามฯ
Sabbeheva ekajjhaṃ sannipatitabbaṃ, sannipatitvā byattena bhikkhunā paṭibalena saṅgho ñāpetabbo ‘‘suṇātu me, bhante, saṅgho, amhākaṃ bhaṇḍanajātānaṃ kalahajātānaṃ vivādāpannānaṃ viharataṃ bahu assāmaṇakaṃ ajjhāciṇṇaṃ bhāsitaparikkantaṃ. Sace mayaṃ imāhi āpattīhi aññamaññaṃ kāressāma, siyāpi taṃ adhikaraṇaṃ kakkhaḷattāya vāḷattāya bhedāya saṃvatteyya. Yadi saṅghassa pattakallaṃ, saṅgho imaṃ adhikaraṇaṃ tiṇavatthārakena vūpasameyya ṭhapetvā thullavajjaṃ, ṭhapetvā gihipaṭisaṃyutta’’nti evaṃ tiṇavatthārakasamathe katā sabbapaṭhamā sabbasaṅgāhikañatti kammalakkhaṇaṃ nāma.
ญตฺติทุติยํ กมฺมํ สตฺต ฐานานิ คจฺฉตีติ กตมานิ สตฺต ฐานานิ คจฺฉติ? โอสารณํ , นิสฺสารณํ, สมฺมุติ, ทานํ, อุทฺธรณํ, เทสนํ, กมฺมลกฺขณเญฺญว สตฺตมนฺติ เอวํ วุตฺตานิ สตฺต ฐานานิ คจฺฉติฯ ตตฺถ วฑฺฒสฺส ลิจฺฉวิโน ปตฺตนิกฺกุชฺชนวเสน ขนฺธเก วุตฺตา นิสฺสารณา, ตเสฺสว ปตอุกฺกุชฺชนวเสน วุตฺตา โอสารณา จ เวทิตพฺพาฯ สีมาสมฺมุติ ติจีวเรน อวิปฺปวาสสมฺมุติ สนฺถตสมฺมุติ ภตฺตุเทฺทสกเสนาสนคฺคาหาปกภณฺฑาคาริก- จีวรปฺปฎิคฺคาหก-จีวรภาชก-ยาคุภาชก-ผลภาชก-ขชฺชภาชก-อปฺปมตฺตกวิสฺสชฺชก- สาฎิยคฺคาหาปก-ปตฺตคฺคาหาปก-อารามิกเปสก-สามเณรเปสกสมฺมุตีติ เอตาสํ สมฺมุตีนํ วเสน สมฺมุติ เวทิตพฺพาฯ กฐินจีวรทานมตกจีวรทานวเสน ทานํ เวทิตพฺพํฯ กฐินุทฺธารณวเสน อุทฺธาโร เวทิตโพฺพฯ กุฎิวตฺถุวิหารวตฺถุเทสนาวเสน เทสนา เวทิตพฺพาฯ ยา ปน ติณวตฺถารกสมเถ สพฺพสงฺคาหิกญตฺติญฺจ เอเกกสฺมิํ ปเกฺข เอเกกํ ญตฺติญฺจาติ ติโสฺสปิ ญตฺติโย ฐเปตฺวา ปุน เอกสฺมิํ ปเกฺข เอกา, เอกสฺมิํ ปเกฺข เอกาติ เทฺวปิ ญตฺติทุติยกมฺมวาจา วุตฺตาฯ ตาสํ วเสน กมฺมลกฺขณํ เวทิตพฺพํฯ
Ñattidutiyaṃkammaṃ satta ṭhānāni gacchatīti katamāni satta ṭhānāni gacchati? Osāraṇaṃ , nissāraṇaṃ, sammuti, dānaṃ, uddharaṇaṃ, desanaṃ, kammalakkhaṇaññeva sattamanti evaṃ vuttāni satta ṭhānāni gacchati. Tattha vaḍḍhassa licchavino pattanikkujjanavasena khandhake vuttā nissāraṇā, tasseva pataukkujjanavasena vuttā osāraṇā ca veditabbā. Sīmāsammuti ticīvarena avippavāsasammuti santhatasammuti bhattuddesakasenāsanaggāhāpakabhaṇḍāgārika- cīvarappaṭiggāhaka-cīvarabhājaka-yāgubhājaka-phalabhājaka-khajjabhājaka-appamattakavissajjaka- sāṭiyaggāhāpaka-pattaggāhāpaka-ārāmikapesaka-sāmaṇerapesakasammutīti etāsaṃ sammutīnaṃ vasena sammuti veditabbā. Kaṭhinacīvaradānamatakacīvaradānavasena dānaṃ veditabbaṃ. Kaṭhinuddhāraṇavasena uddhāro veditabbo. Kuṭivatthuvihāravatthudesanāvasena desanā veditabbā. Yā pana tiṇavatthārakasamathe sabbasaṅgāhikañattiñca ekekasmiṃ pakkhe ekekaṃ ñattiñcāti tissopi ñattiyo ṭhapetvā puna ekasmiṃ pakkhe ekā, ekasmiṃ pakkhe ekāti dvepi ñattidutiyakammavācā vuttā. Tāsaṃ vasena kammalakkhaṇaṃ veditabbaṃ.
ญตฺติจตุตฺถกมฺมํ สตฺต ฐานานิ คจฺฉตีติ กตมานิ สตฺต ฐานานิ คจฺฉติ? โอสารณํ, นิสฺสารณํ, สมฺมุติ, ทานํ, นิคฺคหํ, สมนุภาสนํ, กมฺมลกฺขณเญฺญว สตฺตมนฺติ เอวํ วุตฺตานิ สตฺต ฐานานิ คจฺฉติฯ ตตฺถ ตชฺชนียกมฺมาทีนํ สตฺตนฺนํ กมฺมานํ วเสน นิสฺสารณา, เตสํเยว จ กมฺมานํ ปฎิปฺปสฺสมฺภนวเสน โอสารณา เวทิตพฺพาฯ ภิกฺขุโนวาทกสมฺมุติวเสน สมฺมุติ เวทิตพฺพาฯ ปริวาสทานมานตฺตทานวเสน ทานํ เวทิตพฺพํฯ มูลายปฎิกสฺสนกมฺมวเสน นิคฺคโห เวทิตโพฺพฯ อุกฺขิตฺตานุวตฺตกา, อฎฺฐ ยาวตติยกา, อริโฎฺฐ, จณฺฑกาฬี จ อิเมเต ยาวตติยกาติ อิมาสํ เอกาทสนฺนํ สมนุภาสนานํ วเสน สมนุภาสนา เวทิตพฺพาฯ อุปสมฺปทกมฺมอพฺภานกมฺมวเสน กมฺมลกฺขณํ เวทิตพฺพํฯ
Ñatticatutthakammaṃ satta ṭhānāni gacchatīti katamāni satta ṭhānāni gacchati? Osāraṇaṃ, nissāraṇaṃ, sammuti, dānaṃ, niggahaṃ, samanubhāsanaṃ, kammalakkhaṇaññeva sattamanti evaṃ vuttāni satta ṭhānāni gacchati. Tattha tajjanīyakammādīnaṃ sattannaṃ kammānaṃ vasena nissāraṇā, tesaṃyeva ca kammānaṃ paṭippassambhanavasena osāraṇā veditabbā. Bhikkhunovādakasammutivasena sammuti veditabbā. Parivāsadānamānattadānavasena dānaṃ veditabbaṃ. Mūlāyapaṭikassanakammavasena niggaho veditabbo. Ukkhittānuvattakā, aṭṭha yāvatatiyakā, ariṭṭho, caṇḍakāḷī ca imete yāvatatiyakāti imāsaṃ ekādasannaṃ samanubhāsanānaṃ vasena samanubhāsanā veditabbā. Upasampadakammaabbhānakammavasena kammalakkhaṇaṃ veditabbaṃ.
ธมฺมสมฺมุขตาติอาทีสุ เยน ธเมฺมน, เยน วินเยน, เยน สตฺถุสาสเนน สโงฺฆ กมฺมํ กโรติ, อยํ ธมฺมสมฺมุขตา, วินยสมฺมุขตา, สตฺถุสาสนสมฺมุขตาฯ ตตฺถ ธโมฺมติ ภูตวตฺถุฯ วินโยติ โจทนา เจว สารณา จฯ สตฺถุสาสนํ นาม ญตฺติสมฺปทา เจว อนุสาวนสมฺปทา จฯ ยาวติกา ภิกฺขู กมฺมปฺปตฺตา, เต อาคตา โหนฺติ, ฉนฺทารหานํ ฉโนฺท อาหโฎ โหติ, สมฺมุขีภูตา นปฺปฎิโกฺกสนฺติ, อยํ สงฺฆสมฺมุขตาฯ ยสฺส สโงฺฆ กมฺมํ กโรติ, ตสฺส สมฺมุขีภาโว ปุคฺคลสมฺมุขตาฯ เสสเมตฺถ วุตฺตนยตฺตา อุตฺตานตฺถเมวฯ
Dhammasammukhatātiādīsu yena dhammena, yena vinayena, yena satthusāsanena saṅgho kammaṃ karoti, ayaṃ dhammasammukhatā, vinayasammukhatā, satthusāsanasammukhatā. Tattha dhammoti bhūtavatthu. Vinayoti codanā ceva sāraṇā ca. Satthusāsanaṃ nāma ñattisampadā ceva anusāvanasampadā ca. Yāvatikā bhikkhū kammappattā, te āgatā honti, chandārahānaṃ chando āhaṭo hoti, sammukhībhūtā nappaṭikkosanti, ayaṃ saṅghasammukhatā. Yassa saṅgho kammaṃ karoti, tassa sammukhībhāvo puggalasammukhatā. Sesamettha vuttanayattā uttānatthameva.
อิติ มโนรถปูรณิยา องฺคุตฺตรนิกาย-อฎฺฐกถาย
Iti manorathapūraṇiyā aṅguttaranikāya-aṭṭhakathāya
ทุกนิปาตวณฺณนาย อนุตฺตานตฺถทีปนา สมตฺตาฯ
Dukanipātavaṇṇanāya anuttānatthadīpanā samattā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya / ๓. วินยเปยฺยาลํ • 3. Vinayapeyyālaṃ
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā) / ๓. วินยเปยฺยาลํ • 3. Vinayapeyyālaṃ