Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā

    วินีตวตฺถุวณฺณนา

    Vinītavatthuvaṇṇanā

    อิทํ กินฺติ กเถตุกมฺยตาย ปุจฺฉติฯ วินีตานิ วินิจฺฉิตานิ วตฺถูนิ วินีตวตฺถูนิฯ ตานิ หิ ‘‘อาปตฺติํ ตฺวํ ภิกฺขุ อาปโนฺน ปาราชิกํฯ อนาปตฺติ ภิกฺขุ ปาราชิกสฺส, อาปตฺติ สงฺฆาทิเสสสฺสฯ อนาปตฺติ ภิกฺขุ อสาทิยนฺตสฺสา’’ติอาทินา ภควตาเยว วินิจฺฉิตานิ ฯ เตนาห ‘‘ภควตา สยํ วินิจฺฉิตาน’’นฺติฯ อุทฺทานคาถาติ อุเทฺทสคาถา, สงฺคหคาถาติ วุตฺตํ โหติฯ วตฺถุคาถาติ ‘‘เตน โข ปน สมเยน อญฺญตโร ภิกฺขู’’ติอาทิกา นิทานวตฺถุทีปิกา วินีตวตฺถุปาฬิเยว เตสํ เตสํ วตฺถูนํ คนฺถนโต ‘‘วตฺถุคาถา’’ติ วุตฺตา, น ฉโนฺทวิจิติลกฺขเณนฯ คาถานํ วตฺถุ วตฺถุคาถาติ เอวํ วา เอตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ เอตฺถาติ วินีตวตฺถูสุฯ ทุติยาทีนนฺติ ทุติยปาราชิกาทีนํฯ ทุติยาทีนิ วินิจฺฉินิตพฺพานีติ โยเชตพฺพํฯ สิปฺปิกานนฺติ จิตฺตการาทิสิปฺปิกานํฯ ยํ ปสฺสิตฺวา ปสฺสิตฺวา จิตฺตการาทโย จิตฺตกมฺมาทีนิ อุคฺคณฺหนฺตา กโรนฺติ, ตํ ‘‘ปฎิจฺฉนฺนกรูป’’นฺติ วุจฺจติฯ

    Idaṃ kinti kathetukamyatāya pucchati. Vinītāni vinicchitāni vatthūni vinītavatthūni. Tāni hi ‘‘āpattiṃ tvaṃ bhikkhu āpanno pārājikaṃ. Anāpatti bhikkhu pārājikassa, āpatti saṅghādisesassa. Anāpatti bhikkhu asādiyantassā’’tiādinā bhagavatāyeva vinicchitāni . Tenāha ‘‘bhagavatā sayaṃ vinicchitāna’’nti. Uddānagāthāti uddesagāthā, saṅgahagāthāti vuttaṃ hoti. Vatthugāthāti ‘‘tena kho pana samayena aññataro bhikkhū’’tiādikā nidānavatthudīpikā vinītavatthupāḷiyeva tesaṃ tesaṃ vatthūnaṃ ganthanato ‘‘vatthugāthā’’ti vuttā, na chandovicitilakkhaṇena. Gāthānaṃ vatthu vatthugāthāti evaṃ vā ettha attho daṭṭhabbo. Etthāti vinītavatthūsu. Dutiyādīnanti dutiyapārājikādīnaṃ. Dutiyādīni vinicchinitabbānīti yojetabbaṃ. Sippikānanti cittakārādisippikānaṃ. Yaṃ passitvā passitvā cittakārādayo cittakammādīni uggaṇhantā karonti, taṃ ‘‘paṭicchannakarūpa’’nti vuccati.

    ๖๗. ปุริมานิ เทฺว วตฺถูนีติ มกฺกฎิวตฺถุํ วชฺชิปุตฺตกวตฺถุญฺจฯ ตานิ ปน กิญฺจาปิ อนุปญฺญตฺติยํ อาคตาเนว, ตถาปิ ภควตา สยํ วินิจฺฉิตวตฺถุภาวโต อทินฺนาทานาทีสุ อนุปญฺญตฺติยํ อาคตานิ รชกาทิวตฺถูนิ วิย ปุน วินีตวตฺถูสุ ปกฺขิตฺตานิฯ ยทิ เอวํ ‘‘ตสฺส กุกฺกุจฺจํ อโหสี’’ติ อิทํ วิรุเชฺฌยฺย, อนุปญฺญตฺติยญฺหิ อเญฺญ ภิกฺขู ทิสฺวา ตํ ภิกฺขุํ โจเทสุนฺติ? สจฺจเมตํ, เตหิ ปน ภิกฺขูหิ อนุปญฺญตฺติยํ วุตฺตนเยน โจเทตฺวา ‘‘นนุ, อาวุโส, ตเถว ตํ โหตี’’ติ วุเตฺต ตสฺส กุกฺกุจฺจํ อโหสีติ คเหตพฺพํฯ ‘‘ภควโต เอตมตฺถํ อาโรเจสี’’ติ อิทญฺจ เตหิ ภิกฺขูหิ อนุปญฺญตฺติยํ วุตฺตนเยน ภควโต อาโรจิเต ‘‘สจฺจํ กิร ตฺวํ ภิกฺขุ มกฺกฎิยา เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสวี’’ติ ภควตา ปุโฎฺฐ สมาโน ‘‘สจฺจํ ภควา’’ติ ภควโต เอตมตฺถํ อาโรเจสีติ คเหตพฺพํฯ

    67.Purimāni dve vatthūnīti makkaṭivatthuṃ vajjiputtakavatthuñca. Tāni pana kiñcāpi anupaññattiyaṃ āgatāneva, tathāpi bhagavatā sayaṃ vinicchitavatthubhāvato adinnādānādīsu anupaññattiyaṃ āgatāni rajakādivatthūni viya puna vinītavatthūsu pakkhittāni. Yadi evaṃ ‘‘tassa kukkuccaṃ ahosī’’ti idaṃ virujjheyya, anupaññattiyañhi aññe bhikkhū disvā taṃ bhikkhuṃ codesunti? Saccametaṃ, tehi pana bhikkhūhi anupaññattiyaṃ vuttanayena codetvā ‘‘nanu, āvuso, tatheva taṃ hotī’’ti vutte tassa kukkuccaṃ ahosīti gahetabbaṃ. ‘‘Bhagavato etamatthaṃ ārocesī’’ti idañca tehi bhikkhūhi anupaññattiyaṃ vuttanayena bhagavato ārocite ‘‘saccaṃ kira tvaṃ bhikkhu makkaṭiyā methunaṃ dhammaṃ paṭisevī’’ti bhagavatā puṭṭho samāno ‘‘saccaṃ bhagavā’’ti bhagavato etamatthaṃ ārocesīti gahetabbaṃ.

    วชฺชิปุตฺตกวตฺถุมฺหิ ปน สิกฺขํ อปฺปจฺจกฺขาย ทุพฺพลฺยํ อนาวิกตฺวา เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสวิตฺวา วิพฺภมิตฺวา เย อานนฺทเตฺถรํ อุปสงฺกมิตฺวา ปุน ปพฺพชฺชํ อุปสมฺปทญฺจ ยาจิํสุ, เต สนฺธาย ‘‘อฎฺฐานเมตํ, อานนฺท, อนวกาโส, ยํ ตถาคโต วชฺชีนํ วา วชฺชิปุตฺตกานํ วา การณา สาวกานํ ปาราชิกํ สิกฺขาปทํ ปญฺญตฺตํ สมูหเนยฺยา’’ติอาทิ อนุปญฺญตฺติยํ วุตฺตํฯ เย ปน อวิพฺภมิตฺวา สลิเงฺค ฐิตาเยว อุปฺปนฺนกุกฺกุจฺจา ภควโต เอตมตฺถํ อาโรเจสุํ, เต สนฺธาย ‘‘อาปตฺติํ ตุเมฺห, ภิกฺขเว, อาปนฺนา ปาราชิก’’นฺติ อิธ วุตฺตํฯ เกจิ ปน อิมํ อธิปฺปายํ อชานนฺตาว ‘‘อญฺญเมว มกฺกฎิวตฺถุ วชฺชิปุตฺตกวตฺถุ จ วินีตวตฺถูสุ อาคต’’นฺติ วทนฺติฯ

    Vajjiputtakavatthumhi pana sikkhaṃ appaccakkhāya dubbalyaṃ anāvikatvā methunaṃ dhammaṃ paṭisevitvā vibbhamitvā ye ānandattheraṃ upasaṅkamitvā puna pabbajjaṃ upasampadañca yāciṃsu, te sandhāya ‘‘aṭṭhānametaṃ, ānanda, anavakāso, yaṃ tathāgato vajjīnaṃ vā vajjiputtakānaṃ vā kāraṇā sāvakānaṃ pārājikaṃ sikkhāpadaṃ paññattaṃ samūhaneyyā’’tiādi anupaññattiyaṃ vuttaṃ. Ye pana avibbhamitvā saliṅge ṭhitāyeva uppannakukkuccā bhagavato etamatthaṃ ārocesuṃ, te sandhāya ‘‘āpattiṃ tumhe, bhikkhave, āpannā pārājika’’nti idha vuttaṃ. Keci pana imaṃ adhippāyaṃ ajānantāva ‘‘aññameva makkaṭivatthu vajjiputtakavatthu ca vinītavatthūsu āgata’’nti vadanti.

    กุเส คเนฺถตฺวาติ กุสติณานิ คเนฺถตฺวาฯ เกเสหีติ มนุสฺสเกเสหิฯ ตํ ราคนฺติ กายสํสคฺคราคํฯ ญตฺวาติ สยเมว ชานิตฺวาฯ ยทิ กายสํสคฺคราเคน กตํ, กายสํสคฺคราคสิกฺขาปทสฺส วินีตวตฺถูสุ อวตฺวา อิธ กสฺมา วุตฺตนฺติ? วุจฺจเต – กิญฺจาปิ ตํ กายสํสคฺคราเคน กตํ, ตสฺส ปน ภิกฺขุโน ปาราชิกเกฺขเตฺต กตุปกฺกมตฺตา ‘‘ปาราชิกํ นุ โข อหํ อาปโนฺน’’ติ ปาราชิกวิสยํ กุกฺกุจฺจํ อโหสีติ อิธ วุตฺตํฯ เตเนวาห – ‘‘อนาปตฺติ ภิกฺขุ ปาราชิกสฺส, อาปตฺติ สงฺฆาทิเสสสฺสา’’ติฯ

    Kuse ganthetvāti kusatiṇāni ganthetvā. Kesehīti manussakesehi. Taṃ rāganti kāyasaṃsaggarāgaṃ. Ñatvāti sayameva jānitvā. Yadi kāyasaṃsaggarāgena kataṃ, kāyasaṃsaggarāgasikkhāpadassa vinītavatthūsu avatvā idha kasmā vuttanti? Vuccate – kiñcāpi taṃ kāyasaṃsaggarāgena kataṃ, tassa pana bhikkhuno pārājikakkhette katupakkamattā ‘‘pārājikaṃ nu kho ahaṃ āpanno’’ti pārājikavisayaṃ kukkuccaṃ ahosīti idha vuttaṃ. Tenevāha – ‘‘anāpatti bhikkhu pārājikassa, āpatti saṅghādisesassā’’ti.

    ๖๘. อติทสฺสนียาติ ทิวสมฺปิ ปสฺสนฺตานํ อติตฺติกรณโต อติวิย ทสฺสนโยคฺคาฯ วณฺณโปกฺขรตายาติ เอตฺถ โปกฺขรตา วุจฺจติ สุนฺทรภาโว, วณฺณสฺส โปกฺขรตา วณฺณโปกฺขรตา, ตาย วณฺณโปกฺขรตาย, วณฺณสมฺปตฺติยาติ อโตฺถฯ โปราณา ปน โปกฺขรนฺติ สรีรํ วทนฺติ, วณฺณํ วณฺณเมวฯ เตสํ มเตน วณฺณญฺจ โปกฺขรญฺจ วณฺณโปกฺขรานิ, เตสํ ภาโว วณฺณโปกฺขรตา, ตสฺมา วณฺณโปกฺขรตายาติ ปริสุเทฺธน วเณฺณน เจว สรีรสณฺฐานสมฺปตฺติยา จาติ อโตฺถฯ อถ วา วณฺณสมฺปนฺนํ โปกฺขรํ วณฺณโปกฺขรนฺติ อุตฺตรปทโลโป ปุพฺพปทสฺส ทฎฺฐโพฺพ, ตสฺส ภาโว วณฺณโปกฺขรตา, ตาย วณฺณโปกฺขรตาย, วณฺณสมฺปนฺนสรีรตายาติ อโตฺถฯ ปธํเสสีติ อภิภวีติ อโตฺถฯ กถํ ปน อสาทิยนฺตี นิสีทีติ อาห – ‘‘อสทฺธมฺมาธิปฺปาเยน…เป.… ขาณุกา วิยา’’ติฯ

    68.Atidassanīyāti divasampi passantānaṃ atittikaraṇato ativiya dassanayoggā. Vaṇṇapokkharatāyāti ettha pokkharatā vuccati sundarabhāvo, vaṇṇassa pokkharatā vaṇṇapokkharatā, tāya vaṇṇapokkharatāya, vaṇṇasampattiyāti attho. Porāṇā pana pokkharanti sarīraṃ vadanti, vaṇṇaṃ vaṇṇameva. Tesaṃ matena vaṇṇañca pokkharañca vaṇṇapokkharāni, tesaṃ bhāvo vaṇṇapokkharatā, tasmā vaṇṇapokkharatāyāti parisuddhena vaṇṇena ceva sarīrasaṇṭhānasampattiyā cāti attho. Atha vā vaṇṇasampannaṃ pokkharaṃ vaṇṇapokkharanti uttarapadalopo pubbapadassa daṭṭhabbo, tassa bhāvo vaṇṇapokkharatā, tāya vaṇṇapokkharatāya, vaṇṇasampannasarīratāyāti attho. Padhaṃsesīti abhibhavīti attho. Kathaṃ pana asādiyantī nisīdīti āha – ‘‘asaddhammādhippāyena…pe… khāṇukā viyā’’ti.

    ลิมฺปตีติ น อลฺลียติฯ กาเมสูติ วตฺถุกามกิเลสกาเมสุฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยถา ปทุมินิปเณฺณ อุทกพินฺทุ น สณฺฐาติ, ยถา จ สูจิมุเข สาสโป น สนฺติฎฺฐติ, เอวเมว โย อพฺภนฺตเร ทุวิเธนปิ กาเมน น ลิมฺปติ, ตสฺมิํ กาโม น สณฺฐาติ, ตมหํ พฺราหฺมณํ วทามีติฯ

    Nalimpatīti na allīyati. Kāmesūti vatthukāmakilesakāmesu. Idaṃ vuttaṃ hoti – yathā paduminipaṇṇe udakabindu na saṇṭhāti, yathā ca sūcimukhe sāsapo na santiṭṭhati, evameva yo abbhantare duvidhenapi kāmena na limpati, tasmiṃ kāmo na saṇṭhāti, tamahaṃ brāhmaṇaṃ vadāmīti.

    ๖๙. ปุริสสณฺฐานํ อนฺตรหิตํ, อิตฺถิสณฺฐานํ อุปฺปนฺนนฺติ ผลสฺส วินาสุปฺปาททสฺสเนน การณสฺสปิ วินาสุปฺปาทา วุตฺตาติ ทฎฺฐพฺพํฯ ปุริสินฺทฺริเย หิ นเฎฺฐ ปุริสสณฺฐานํ อนฺตรธายติ, อิตฺถินฺทฺริเย สมุปฺปเนฺน อิตฺถิสณฺฐานํ ปาตุภวติฯ ตถา หิ ‘‘ยสฺส อิตฺถินฺทฺริยํ อุปฺปชฺชติ, ตสฺส ปุริสินฺทฺริยํ อุปฺปชฺชตีติ? โนฯ ยสฺส วา ปน ปุริสินฺทฺริยํ อุปฺปชฺชติ, ตสฺส อิตฺถินฺทฺริยํ อุปฺปชฺชตีติ? โน’’ติ ยมกปกรเณ (ยม. ๓. อินฺทฺริยยมก.๑๘๘) วุตฺตตฺตา อินฺทฺริยทฺวยสฺส เอกสฺมิํ สนฺตาเน สหปวตฺติยา อสมฺภวโต ยสฺมิํ ขเณ อิตฺถินฺทฺริยํ ปาตุภวติ, ตโต ปุเพฺพ สตฺตรสมจิตฺตโต ปฎฺฐาย ปุริสินฺทฺริยํ นุปฺปชฺชติฯ ตโต ปุเพฺพ อุปฺปเนฺนสุ จ ปุริสินฺทฺริเยสุ สหชรูเปหิ สทฺธิํ กเมน นิรุเทฺธสุ ตสฺมิํ สนฺตาเน อิตฺถินฺทฺริยํ อุปฺปชฺชติฯ ตโต ปุริสสณฺฐานากาเรน ปวเตฺตสุ กมฺมชรูเปสุ เสสรูเปสุ จ กญฺจิ กาลํ ปวตฺติตฺวา นิรุเทฺธสุ อิตฺถิสณฺฐานากาเรน จ จตุชรูปสนฺตติยา ปวตฺตาย ปุริสสณฺฐานํ อนฺตรหิตํ, อิตฺถิสณฺฐานํ ปาตุภูตนฺติ วุจฺจติฯ อิตฺถิยา ปุริสลิงฺคปาตุภาเวปิ อยเมว นโย เวทิตโพฺพฯ

    69.Purisasaṇṭhānaṃ antarahitaṃ, itthisaṇṭhānaṃ uppannanti phalassa vināsuppādadassanena kāraṇassapi vināsuppādā vuttāti daṭṭhabbaṃ. Purisindriye hi naṭṭhe purisasaṇṭhānaṃ antaradhāyati, itthindriye samuppanne itthisaṇṭhānaṃ pātubhavati. Tathā hi ‘‘yassa itthindriyaṃ uppajjati, tassa purisindriyaṃ uppajjatīti? No. Yassa vā pana purisindriyaṃ uppajjati, tassa itthindriyaṃ uppajjatīti? No’’ti yamakapakaraṇe (yama. 3. indriyayamaka.188) vuttattā indriyadvayassa ekasmiṃ santāne sahapavattiyā asambhavato yasmiṃ khaṇe itthindriyaṃ pātubhavati, tato pubbe sattarasamacittato paṭṭhāya purisindriyaṃ nuppajjati. Tato pubbe uppannesu ca purisindriyesu sahajarūpehi saddhiṃ kamena niruddhesu tasmiṃ santāne itthindriyaṃ uppajjati. Tato purisasaṇṭhānākārena pavattesu kammajarūpesu sesarūpesu ca kañci kālaṃ pavattitvā niruddhesu itthisaṇṭhānākārena ca catujarūpasantatiyā pavattāya purisasaṇṭhānaṃ antarahitaṃ, itthisaṇṭhānaṃ pātubhūtanti vuccati. Itthiyā purisaliṅgapātubhāvepi ayameva nayo veditabbo.

    ปุริสลิงฺคํ อุตฺตมํ, อิตฺถิลิงฺคํ หีนนฺติ อิมินา จ ปุริสินฺทฺริยสฺส อุตฺตมภาโว, อิตฺถินฺทฺริยสฺส จ หีนภาโว วุโตฺตติ ทฎฺฐพฺพํฯ น หิ อินฺทฺริยสฺส หีนุกฺกฎฺฐภาวํ วินา ตนฺนิสฺสยสฺส ลิงฺคสฺส หีนุกฺกฎฺฐตา สมฺภวติฯ ปุริสลิงฺคํ พลวอกุสเลน อนฺตรธายตีติอาทินาปิ อินฺทฺริยเสฺสว วินาสุปฺปาทา วุตฺตาติ ทฎฺฐพฺพํฯ อินฺทฺริเย หิ วินเฎฺฐ อุปฺปเนฺน จ ตนฺนิสฺสยสฺส ลิงฺคสฺสปิ อนฺตรธานํ ปติฎฺฐานญฺจ สมฺภวติฯ กถํ ปเนตฺถ ปุริสลิงฺคํ พลวอกอุสเลน อนฺตรธายติ, อิตฺถิลิงฺคํ ทุพฺพลกุสเลน ปติฎฺฐาตีติ? วุจฺจเต – ปฎิสนฺธิยํ ตาว ปุริสินฺทฺริยุปฺปาทกํ อนุปหตสามตฺถิยํ พลวกุสลกมฺมํ ยาวตายุกํ ปุริสินฺทฺริยเมว อุปฺปาเทติ, อนฺตรา ปน เกนจิ ลทฺธปจฺจเยน ปารทาริกตฺตาทินา พลวอกุสลกเมฺมน อุปหตสามตฺถิยํ ตเทว ปฎิสนฺธิทายกํ กุสลกมฺมํ ทุพฺพลีภูตํ ปุริสินฺทฺริยํ อนุปฺปาเทตฺวา อตฺตโน สามตฺถิยานุรูปํ อิตฺถินฺทฺริยํ ปวเตฺต อุปฺปาเทติฯ ยทา ปน ปฎิสนฺธิทานกาเลเยว เกนจิ ลทฺธปจฺจเยน ปารทาริกตฺตาทินา พลวอกุสลกเมฺมน ปุริสินฺทฺริยุปฺปาทนสามตฺถิยํ อุปหตํ โหติ, ตทา ทุพฺพลีภูตํ กุสลกมฺมํ ปุริสินฺทฺริยํ อนุปฺปาเทตฺวา ปฎิสนฺธิยํเยว อิตฺถินฺทฺริยํ อุปฺปาเทติฯ ตสฺมา ‘‘ปุริสลิงฺคํ พลวอกุสเลน อนฺตรธายติ, อิตฺถิลิงฺคํ ทุพฺพลกุสเลน ปติฎฺฐาตี’’ติ วุจฺจติฯ

    Purisaliṅgaṃ uttamaṃ, itthiliṅgaṃ hīnanti iminā ca purisindriyassa uttamabhāvo, itthindriyassa ca hīnabhāvo vuttoti daṭṭhabbaṃ. Na hi indriyassa hīnukkaṭṭhabhāvaṃ vinā tannissayassa liṅgassa hīnukkaṭṭhatā sambhavati. Purisaliṅgaṃ balavaakusalena antaradhāyatītiādināpi indriyasseva vināsuppādā vuttāti daṭṭhabbaṃ. Indriye hi vinaṭṭhe uppanne ca tannissayassa liṅgassapi antaradhānaṃ patiṭṭhānañca sambhavati. Kathaṃ panettha purisaliṅgaṃ balavaakausalena antaradhāyati, itthiliṅgaṃ dubbalakusalena patiṭṭhātīti? Vuccate – paṭisandhiyaṃ tāva purisindriyuppādakaṃ anupahatasāmatthiyaṃ balavakusalakammaṃ yāvatāyukaṃ purisindriyameva uppādeti, antarā pana kenaci laddhapaccayena pāradārikattādinā balavaakusalakammena upahatasāmatthiyaṃ tadeva paṭisandhidāyakaṃ kusalakammaṃ dubbalībhūtaṃ purisindriyaṃ anuppādetvā attano sāmatthiyānurūpaṃ itthindriyaṃ pavatte uppādeti. Yadā pana paṭisandhidānakāleyeva kenaci laddhapaccayena pāradārikattādinā balavaakusalakammena purisindriyuppādanasāmatthiyaṃ upahataṃ hoti, tadā dubbalībhūtaṃ kusalakammaṃ purisindriyaṃ anuppādetvā paṭisandhiyaṃyeva itthindriyaṃ uppādeti. Tasmā ‘‘purisaliṅgaṃ balavaakusalena antaradhāyati, itthiliṅgaṃ dubbalakusalena patiṭṭhātī’’ti vuccati.

    ทุพฺพลอกุสเลน อนฺตรธายตีติ ปารทาริกตฺตาทิพลวอกุสลกมฺมสฺส ปุริสินฺทฺริยุปฺปาทนวิพนฺธกสฺส ทุพฺพลภาเว สติ อนฺตรธายนฺตํ อิตฺถิลิงฺคํ ทุพฺพลอกุสเลน อนฺตรธายตีติ วุตฺตํฯ ตถา หิ ปารทาริกตฺตาทินา พลวอกุสลกเมฺมน พาหิตตฺตา ปุริสินฺทฺริยุปฺปาทเน อสมตฺถํ ปฎิสนฺธิยํ อิตฺถิยา อิตฺถินฺทฺริยุปฺปาทกํ ทุพฺพลกุสลกมฺมํ ยทา ปวตฺติยํ พฺรหฺมจริยวาสมิจฺฉาจารปฎิวิรติวเสน ปุริสตฺตปตฺถนาวเสน วา กตุปจิตพลวกุสลกเมฺมน อาหิตสามตฺถิยํ ปุริสินฺทฺริยุปฺปาทเน สมตฺถํ อิตฺถินฺทฺริยํ อนุปฺปาเทตฺวา อตฺตโน สามตฺถิยานุรูปํ ปุริสินฺทฺริยํ อุปฺปาเทติ, ตทา ปุริสินฺทฺริยุปฺปาทนวิพนฺธกสฺส พลวอกุสลกมฺมสฺส ทุพฺพลภาเว สติ ตํ อิตฺถินฺทฺริยํ อนฺตรหิตนฺติ ‘‘อิตฺถิลิงฺคํ อนฺตรธายนฺตํ ทุพฺพลอกุสเลน อนฺตรธายตี’’ติ วุจฺจติฯ ยถาวุตฺตนเยเนว พลวตา กุสลกเมฺมน ปุริสินฺทฺริยสฺส อุปฺปาทิตตฺตา ‘‘ปุริสลิงฺคํ พลวกุสเลน ปติฎฺฐาตี’’ติ วุจฺจติฯ ปุเพฺพ อิตฺถิภูตสฺส ปฎิสนฺธิยํ ปุริสินฺทฺริยุปฺปาเทปิ อยํ นโย เวทิตโพฺพฯ อุภยมฺปิ อกุสเลน อนฺตรธายติ, กุสเลน ปฎิลพฺภตีติ อิทํ สุคติภวํ สนฺธาย วุตฺตํ, ทุคฺคติยํ ปน อุภินฺนํ อุปฺปตฺติ วินาโส จ อกุสลกเมฺมเนวาติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    Dubbalaakusalena antaradhāyatīti pāradārikattādibalavaakusalakammassa purisindriyuppādanavibandhakassa dubbalabhāve sati antaradhāyantaṃ itthiliṅgaṃ dubbalaakusalena antaradhāyatīti vuttaṃ. Tathā hi pāradārikattādinā balavaakusalakammena bāhitattā purisindriyuppādane asamatthaṃ paṭisandhiyaṃ itthiyā itthindriyuppādakaṃ dubbalakusalakammaṃ yadā pavattiyaṃ brahmacariyavāsamicchācārapaṭivirativasena purisattapatthanāvasena vā katupacitabalavakusalakammena āhitasāmatthiyaṃ purisindriyuppādane samatthaṃ itthindriyaṃ anuppādetvā attano sāmatthiyānurūpaṃ purisindriyaṃ uppādeti, tadā purisindriyuppādanavibandhakassa balavaakusalakammassa dubbalabhāve sati taṃ itthindriyaṃ antarahitanti ‘‘itthiliṅgaṃ antaradhāyantaṃ dubbalaakusalena antaradhāyatī’’ti vuccati. Yathāvuttanayeneva balavatā kusalakammena purisindriyassa uppāditattā ‘‘purisaliṅgaṃ balavakusalena patiṭṭhātī’’ti vuccati. Pubbe itthibhūtassa paṭisandhiyaṃ purisindriyuppādepi ayaṃ nayo veditabbo. Ubhayampi akusalena antaradhāyati, kusalena paṭilabbhatīti idaṃ sugatibhavaṃ sandhāya vuttaṃ, duggatiyaṃ pana ubhinnaṃ uppatti vināso ca akusalakammenevāti daṭṭhabbaṃ.

    อุภินฺนมฺปิ สหเสยฺยาปตฺติ โหตีติ ‘‘โย ปน ภิกฺขุ มาตุคาเมน สหเสยฺยํ กเปฺปยฺย, ปาจิตฺติยํฯ ยา ปน ภิกฺขุนี ปุริเสน สหเสยฺยํ กเปฺปยฺย, ปาจิตฺติย’’นฺติ วุตฺตตฺตา อุภินฺนมฺปิ สหเสยฺยวเสน ปาจิตฺติยาปตฺติ โหติฯ ทุกฺขีติ เจโตทุกฺขสมงฺคิตาย ทุกฺขีฯ ทุมฺมโนติ โทเสน ทุฎฺฐมโน, วิรูปมโน วา โทมนสฺสาภิภูตตายฯ ‘‘สมสฺสาเสตโพฺพ’’ติ วตฺวา สมสฺสาเสตพฺพวิธิํ ทเสฺสโนฺต ‘‘โหตุ มา จินฺตยิตฺถา’’ติอาทิมาหฯ อนาวโฎติ อวาริโตฯ ธโมฺมติ ปริยตฺติปฎิปตฺติปฎิเวธสงฺขาโต ติวิโธปิ สทฺธโมฺมฯ สโคฺค จ มโคฺค จ สคฺคมโคฺค, สคฺคสฺส วา มโคฺค สคฺคมโคฺค, สคฺคูปปตฺติสาธิกา ปฎิปตฺติฯ ภิกฺขุนิยา สทฺธิํ สํวิธาย อทฺธานคมเน อาปตฺติ ปริหริตพฺพาติ ทเสฺสโนฺต ‘‘สํวิทหนํ ปริโมเจตฺวา’’ติ อาหฯ ‘‘มยํ อสุกํ นาม ฐานํ คจฺฉามา’’ติ วตฺวา ‘‘เอหิ สทฺธิํ คมิสฺสามา’’ติอาทินา อสํวิทหิตตฺตา อนาปตฺติฯ

    Ubhinnampisahaseyyāpatti hotīti ‘‘yo pana bhikkhu mātugāmena sahaseyyaṃ kappeyya, pācittiyaṃ. Yā pana bhikkhunī purisena sahaseyyaṃ kappeyya, pācittiya’’nti vuttattā ubhinnampi sahaseyyavasena pācittiyāpatti hoti. Dukkhīti cetodukkhasamaṅgitāya dukkhī. Dummanoti dosena duṭṭhamano, virūpamano vā domanassābhibhūtatāya. ‘‘Samassāsetabbo’’ti vatvā samassāsetabbavidhiṃ dassento ‘‘hotu mā cintayitthā’’tiādimāha. Anāvaṭoti avārito. Dhammoti pariyattipaṭipattipaṭivedhasaṅkhāto tividhopi saddhammo. Saggo ca maggo ca saggamaggo, saggassa vā maggo saggamaggo, saggūpapattisādhikā paṭipatti. Bhikkhuniyā saddhiṃ saṃvidhāya addhānagamane āpatti pariharitabbāti dassento ‘‘saṃvidahanaṃ parimocetvā’’ti āha. ‘‘Mayaṃ asukaṃ nāma ṭhānaṃ gacchāmā’’ti vatvā ‘‘ehi saddhiṃ gamissāmā’’tiādinā asaṃvidahitattā anāpatti.

    พหิคาเมติ อตฺตโน วสนคามโต พหิฯ คามนฺตรนทีปารรตฺติวิปฺปวาสคณโอหียนาปตฺตีหิ อนาปตฺตีติ ‘‘ทุติยิกา ภิกฺขุนี ปกฺกนฺตา วา โหตี’’ติอาทินา (ปาจิ. ๖๙๓) วุตฺตอนาปตฺติลกฺขเณหิ สํสนฺทนโต วุตฺตํฯ อาราธิกาติ จิตฺตาราธเน สมตฺถาฯ ตา โกเปตฺวาติ ตา ปริจฺจชิตฺวาฯ ลชฺชินิโย…เป.… ลพฺภตีติ ‘‘สงฺคเห อสติ อุกฺกณฺฐิตฺวา วิพฺภเมยฺยาปี’’ติ สงฺคหวเสเนว วุตฺตํฯ อลชฺชินิโย…เป.… ลพฺภตีติ อลชฺชิภาวโต อสนฺตปกฺขํ ภชนฺตีติ วุตฺตํฯ อญฺญาติกา…เป.… วฎฺฎตีติ อิทํ ปน อิมิสฺสา อาเวณิกํ กตฺวา อฎฺฐกถายํ อนุญฺญาตนฺติ วทนฺติฯ ภิกฺขุภาเวปีติ ภิกฺขุกาเลปิฯ ปริสาวจโรติ อุปชฺฌาโย จ อาจริโย จ หุตฺวา ปริสุปฎฺฐาโกฯ อญฺญสฺส สนฺติเก นิสฺสโย คเหตโพฺพติ ตสฺส สนฺติเก อุปสมฺปเนฺนหิ สทฺธิวิหาริเกหิ อญฺญสฺส อาจริยสฺส สนฺติเก นิสฺสโย คเหตโพฺพฯ ตํ นิสฺสาย วสเนฺตหิปีติ อเนฺตวาสิเก สนฺธาย วทติฯ อุปชฺฌา คเหตพฺพาติ อุปสมฺปทตฺถํ อุปชฺฌา คเหตพฺพา, อญฺญสฺส สนฺติเก อุปสมฺปชฺชิตพฺพนฺติ วุตฺตํ โหติฯ

    Bahigāmeti attano vasanagāmato bahi. Gāmantaranadīpārarattivippavāsagaṇaohīyanāpattīhi anāpattīti ‘‘dutiyikā bhikkhunī pakkantā vā hotī’’tiādinā (pāci. 693) vuttaanāpattilakkhaṇehi saṃsandanato vuttaṃ. Ārādhikāti cittārādhane samatthā. Tā kopetvāti tā pariccajitvā. Lajjiniyo…pe… labbhatīti ‘‘saṅgahe asati ukkaṇṭhitvā vibbhameyyāpī’’ti saṅgahavaseneva vuttaṃ. Alajjiniyo…pe… labbhatīti alajjibhāvato asantapakkhaṃ bhajantīti vuttaṃ. Aññātikā…pe… vaṭṭatīti idaṃ pana imissā āveṇikaṃ katvā aṭṭhakathāyaṃ anuññātanti vadanti. Bhikkhubhāvepīti bhikkhukālepi. Parisāvacaroti upajjhāyo ca ācariyo ca hutvā parisupaṭṭhāko. Aññassa santike nissayo gahetabboti tassa santike upasampannehi saddhivihārikehi aññassa ācariyassa santike nissayo gahetabbo. Taṃ nissāya vasantehipīti antevāsike sandhāya vadati. Upajjhā gahetabbāti upasampadatthaṃ upajjhā gahetabbā, aññassa santike upasampajjitabbanti vuttaṃ hoti.

    วินยกมฺมนฺติ วิกปฺปนํ สนฺธาย วุตฺตํฯ ปุน กาตพฺพนฺติ ปุน วิกเปฺปตพฺพํฯ ปุน ปฎิคฺคเหตฺวา สตฺตาหํ วฎฺฎตีติ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุนีนํ สนฺนิธิ ภิกฺขูหิ, ภิกฺขูนํ สนฺนิธิ ภิกฺขุนีหิ ปฎิคฺคาหาเปตฺวา ปริภุญฺชิตุ’’นฺติ (จูฬว. ๔๒๑) วจนโต ปุน ปฎิคฺคหิตํ ตทหุ สามิสมฺปิ วฎฺฎตีติ ทสฺสนตฺถํ วุตฺตํฯ สตฺตเม ทิวเสติ อิทํ ตญฺจ นิสฺสคฺคิยํ อนาปชฺชิตฺวาว ปุนปิ สตฺตาหํ ปริภุญฺชิตุํ วฎฺฎตีติ ทสฺสนตฺถํ วุตฺตํฯ ยสฺมา ปน ภิกฺขุนิยา นิสฺสคฺคิยํ ภิกฺขุสฺส วฎฺฎติ, ภิกฺขุสฺส นิสฺสคฺคิยํ ภิกฺขุนิยา วฎฺฎติ, ตสฺมา อฎฺฐเมปิ ทิวเส ลิงฺคปริวเตฺต สติ อนิสฺสชฺชิตฺวาว อโนฺตสตฺตาเห ปริภุญฺชิตุํ วฎฺฎตีติ วทนฺติฯ ตํ ปกตโตฺต รกฺขตีติ อปริวตฺตลิโงฺค ตํ ปฎิคฺคหณวิชหนโต รกฺขติ, อวิภตฺตตาย ปฎิคฺคหณํ น วิชหตีติ อธิปฺปาโยฯ สามํ คเหตฺวาน นิกฺขิเปยฺยาติ ปฎิคฺคเหตฺวา สยํ นิกฺขิเปยฺยฯ ปริภุญฺชนฺตสฺส อาปตฺตีติ ลิงฺคปริวเตฺต สติ ปฎิคฺคหณวิชหนโต ปุน ปฎิคฺคเหตฺวา ปริภุญฺชนฺตสฺส อาปตฺติฯ

    Vinayakammanti vikappanaṃ sandhāya vuttaṃ. Puna kātabbanti puna vikappetabbaṃ. Puna paṭiggahetvā sattāhaṃ vaṭṭatīti ‘‘anujānāmi, bhikkhave, bhikkhunīnaṃ sannidhi bhikkhūhi, bhikkhūnaṃ sannidhi bhikkhunīhi paṭiggāhāpetvā paribhuñjitu’’nti (cūḷava. 421) vacanato puna paṭiggahitaṃ tadahu sāmisampi vaṭṭatīti dassanatthaṃ vuttaṃ. Sattame divaseti idaṃ tañca nissaggiyaṃ anāpajjitvāva punapi sattāhaṃ paribhuñjituṃ vaṭṭatīti dassanatthaṃ vuttaṃ. Yasmā pana bhikkhuniyā nissaggiyaṃ bhikkhussa vaṭṭati, bhikkhussa nissaggiyaṃ bhikkhuniyā vaṭṭati, tasmā aṭṭhamepi divase liṅgaparivatte sati anissajjitvāva antosattāhe paribhuñjituṃ vaṭṭatīti vadanti. Taṃ pakatatto rakkhatīti aparivattaliṅgo taṃ paṭiggahaṇavijahanato rakkhati, avibhattatāya paṭiggahaṇaṃ na vijahatīti adhippāyo. Sāmaṃ gahetvāna nikkhipeyyāti paṭiggahetvā sayaṃ nikkhipeyya. Paribhuñjantassaāpattīti liṅgaparivatte sati paṭiggahaṇavijahanato puna paṭiggahetvā paribhuñjantassa āpatti.

    ‘‘หีนายาวตฺตเนนาติ ปาราชิกํ อาปนฺนสฺส คิหิภาวูปคมเนนา’’ติ ตีสุปิ คณฺฐิปเทสุ วุตฺตํ, ตํ สุวุตฺตํฯ น หิ ปาราชิกํ อนาปนฺนสฺส สิกฺขํ อปฺปจฺจกฺขาย ‘‘วิพฺภมิสฺสามี’’ติ คิหิลิงฺคคฺคหณมเตฺตน ภิกฺขุภาโว วินสฺสติฯ ปาราชิกํ อาปโนฺน จ ภิกฺขุลิเงฺค ฐิโต ยาว น ปฎิชานาติ, ตาว อเตฺถว ตสฺส ภิกฺขุภาโว, น โส อนุปสมฺปนฺนสงฺขฺยํ คจฺฉติฯ ตถา หิ โส สํวาสํ สาทิยโนฺตปิ เถยฺยสํวาสโก น โหติ, สหเสยฺยาทิอาปตฺติํ น ชเนติ, โอมสวาเท ปาจิตฺติยญฺจ ชเนติฯ เตเนว ‘‘อสุโทฺธ โหติ ปุคฺคโล อญฺญตรํ ปาราชิกํ ธมฺมํ อชฺฌาปโนฺน, ตเญฺจ สุทฺธทิฎฺฐิ สมาโน โอกาสํ การาเปตฺวา อโกฺกสาธิปฺปาโย วเทติ, อาปตฺติ โอมสวาทสฺสา’’ติ (ปารา. ๓๘๙) โอมสวาเท ปาจิตฺติยํ วุตฺตํฯ อสติ หิ ภิกฺขุภาเว ทุกฺกฎํ ภเวยฺย, สติ จ ภิกฺขุภาเว ปฎิคฺคหิตสฺส ปฎิคฺคหณวิชหนํ นาม อยุตฺตํ, ตสฺมา สพฺพโส ภิกฺขุภาวสฺส อภาวโต ปาราชิกํ อาปชฺชิตฺวา คิหิลิงฺคคฺคหเณน คิหิภาวูปคมนํ อิธ ‘‘หีนายาวตฺตน’’นฺติ อธิเปฺปตํ, น ปน ปกตตฺตสฺส คิหิลิงฺคคฺคหณมตฺตํฯ เตเนว กตฺถจิ สิกฺขาปจฺจกฺขาเนน สมานคติกตฺตา หีนายาวตฺตนํ วิสุํ น คณฺหนฺติฯ สิกฺขาปจฺจกฺขาเนน ปฎิคฺคหณวิชหเน วุเตฺต ปาราชิกํ อาปนฺนสฺส คิหิภาวูปคมเนน สพฺพโส ภิกฺขุภาวสฺส อภาวโต วตฺตพฺพเมว นตฺถีติฯ ตถา หิ พุทฺธทตฺตาจริเยน อตฺตโน วินยวินิจฺฉเย –

    ‘‘Hīnāyāvattanenāti pārājikaṃ āpannassa gihibhāvūpagamanenā’’ti tīsupi gaṇṭhipadesu vuttaṃ, taṃ suvuttaṃ. Na hi pārājikaṃ anāpannassa sikkhaṃ appaccakkhāya ‘‘vibbhamissāmī’’ti gihiliṅgaggahaṇamattena bhikkhubhāvo vinassati. Pārājikaṃ āpanno ca bhikkhuliṅge ṭhito yāva na paṭijānāti, tāva attheva tassa bhikkhubhāvo, na so anupasampannasaṅkhyaṃ gacchati. Tathā hi so saṃvāsaṃ sādiyantopi theyyasaṃvāsako na hoti, sahaseyyādiāpattiṃ na janeti, omasavāde pācittiyañca janeti. Teneva ‘‘asuddho hoti puggalo aññataraṃ pārājikaṃ dhammaṃ ajjhāpanno, tañce suddhadiṭṭhi samāno okāsaṃ kārāpetvā akkosādhippāyo vadeti, āpatti omasavādassā’’ti (pārā. 389) omasavāde pācittiyaṃ vuttaṃ. Asati hi bhikkhubhāve dukkaṭaṃ bhaveyya, sati ca bhikkhubhāve paṭiggahitassa paṭiggahaṇavijahanaṃ nāma ayuttaṃ, tasmā sabbaso bhikkhubhāvassa abhāvato pārājikaṃ āpajjitvā gihiliṅgaggahaṇena gihibhāvūpagamanaṃ idha ‘‘hīnāyāvattana’’nti adhippetaṃ, na pana pakatattassa gihiliṅgaggahaṇamattaṃ. Teneva katthaci sikkhāpaccakkhānena samānagatikattā hīnāyāvattanaṃ visuṃ na gaṇhanti. Sikkhāpaccakkhānena paṭiggahaṇavijahane vutte pārājikaṃ āpannassa gihibhāvūpagamanena sabbaso bhikkhubhāvassa abhāvato vattabbameva natthīti. Tathā hi buddhadattācariyena attano vinayavinicchaye –

    ‘‘อเจฺฉทคาหนิรเปกฺขนิสคฺคโต จ,

    ‘‘Acchedagāhanirapekkhanisaggato ca,

    สิกฺขาปฺปหานมรเณหิ จ ลิงฺคเภทา;

    Sikkhāppahānamaraṇehi ca liṅgabhedā;

    ทาเนน ตสฺส จ ปรสฺส อภิกฺขุกสฺส,

    Dānena tassa ca parassa abhikkhukassa,

    สพฺพํ ปฎิคฺคหณเมติ วินาสเมว’’นฺติฯ –

    Sabbaṃ paṭiggahaṇameti vināsameva’’nti. –

    เอตฺตกเมว วุตฺตํฯ ตถา ธมฺมสิริเตฺถเรนปิ –

    Ettakameva vuttaṃ. Tathā dhammasirittherenapi –

    ‘‘สิกฺขามรณลิเงฺคหิ, อนเปกฺขวิสคฺคโต;

    ‘‘Sikkhāmaraṇaliṅgehi, anapekkhavisaggato;

    อเจฺฉทานุปสมฺปนฺน-ทานา คาโหปสมฺมตี’’ติฯ –

    Acchedānupasampanna-dānā gāhopasammatī’’ti. –

    วุตฺตํ ฯ ยทิ จ ปกตตฺตสฺส คิหิลิงฺคคฺคหณมเตฺตนปิ ปฎิคฺคหณํ วิชเหยฺย, เตปิ อาจริยา วิสุํ ตมฺปิ วเทยฺยุํ, น วุตฺตญฺจ, ตโต วิญฺญายติ ‘‘ปกตตฺตสฺส คิหิลิงฺคคฺคหณมตฺตํ อิธ หีนายาวตฺตนนฺติ นาธิเปฺปต’’นฺติฯ ภิกฺขุนิยา ปน สิกฺขาปจฺจกฺขานสฺส อภาวโต คิหิลิงฺคคฺคหณมเตฺตนปิ ปฎิคฺคหณํ วิชหติฯ

    Vuttaṃ . Yadi ca pakatattassa gihiliṅgaggahaṇamattenapi paṭiggahaṇaṃ vijaheyya, tepi ācariyā visuṃ tampi vadeyyuṃ, na vuttañca, tato viññāyati ‘‘pakatattassa gihiliṅgaggahaṇamattaṃ idha hīnāyāvattananti nādhippeta’’nti. Bhikkhuniyā pana sikkhāpaccakkhānassa abhāvato gihiliṅgaggahaṇamattenapi paṭiggahaṇaṃ vijahati.

    อนเปกฺขวิสฺสชฺชเนนาติ อญฺญสฺส อทตฺวาว อนตฺถิกตาย ‘‘นตฺถิ อิมินา กมฺมํ, น อิทานิ นํ ปริภุญฺชิสฺสามี’’ติ วตฺถูสุ วา ‘‘ปุน ปฎิคฺคเหตฺวา ปริภุญฺชิสฺสามี’’ติ ปฎิคฺคหเณ วา อนเปกฺขวิสฺสชฺชเนนฯ อจฺฉินฺทิตฺวา คาเหนาติ โจราทีหิ อจฺฉินฺทิตฺวา คหเณนฯ

    Anapekkhavissajjanenāti aññassa adatvāva anatthikatāya ‘‘natthi iminā kammaṃ, na idāni naṃ paribhuñjissāmī’’ti vatthūsu vā ‘‘puna paṭiggahetvā paribhuñjissāmī’’ti paṭiggahaṇe vā anapekkhavissajjanena. Acchinditvā gāhenāti corādīhi acchinditvā gahaṇena.

    เอตฺถาติ ภิกฺขุวิหาเรฯ อุปโรปกาติ เตน โรปิตา รุกฺขคจฺฉาฯ เตรสสุ สมฺมุตีสูติ ภตฺตุเทฺทสกเสนาสนปญฺญาปกภณฺฑาคาริกจีวรปฎิคฺคาหกจีวรภาชกยาคุภาชกผลภาชกขชฺชภาชกอปฺปมตฺตกวิสฺสชฺชกสาฎิยคฺคาหาปกปตฺตคฺคาหาปกอารามิกเปสกสามเณรเปสกสมฺมุติสงฺขาตาสุ เตรสสุ สมฺมุตีสุฯ กามํ ปุริมิกาย ปจฺฉิมิกาย จ เสนาสนคฺคาโห ปฎิปฺปสฺสมฺภติเยว, ปุริมิกาย ปน เสนาสนคฺคาเห ปฎิปฺปสฺสเทฺธ ปจฺฉิมิกาย อญฺญตฺถ อุปคนฺตุํ สกฺกาติ ปุริมิกาย เสนาสนคฺคาหปฎิปฺปสฺสทฺธิํ วิสุํ ทเสฺสตฺวา ปจฺฉิมิกาย เสนาสนคฺคาเห ปฎิปฺปสฺสเทฺธ น สกฺกา อญฺญตฺถ อุปคนฺตุนฺติ ตตฺถ ภิกฺขูหิ กตฺตพฺพสงฺคหํ ทเสฺสโนฺต ‘‘สเจ ปจฺฉิมิกาย เสนาสเน คหิเต’’ติอาทิมาหฯ

    Etthāti bhikkhuvihāre. Uparopakāti tena ropitā rukkhagacchā. Terasasu sammutīsūti bhattuddesakasenāsanapaññāpakabhaṇḍāgārikacīvarapaṭiggāhakacīvarabhājakayāgubhājakaphalabhājakakhajjabhājakaappamattakavissajjakasāṭiyaggāhāpakapattaggāhāpakaārāmikapesakasāmaṇerapesakasammutisaṅkhātāsu terasasu sammutīsu. Kāmaṃ purimikāya pacchimikāya ca senāsanaggāho paṭippassambhatiyeva, purimikāya pana senāsanaggāhe paṭippassaddhe pacchimikāya aññattha upagantuṃ sakkāti purimikāya senāsanaggāhapaṭippassaddhiṃ visuṃ dassetvā pacchimikāya senāsanaggāhe paṭippassaddhe na sakkā aññattha upagantunti tattha bhikkhūhi kattabbasaṅgahaṃ dassento ‘‘sace pacchimikāya senāsane gahite’’tiādimāha.

    ปกฺขมานตฺตเมว ทาตพฺพนฺติ ภิกฺขุนีนํ ปฎิจฺฉนฺนายปิ อาปตฺติยา มานตฺตจารเสฺสว อนุญฺญาตตฺตาฯ ปุน ปกฺขมานตฺตเมว ทาตพฺพนฺติ ภิกฺขุกาเล จิณฺณมานตฺตาภาวโตฯ ภิกฺขุนีหิ อพฺภานกมฺมํ กาตพฺพนฺติ ภิกฺขุกาเล จิณฺณมานตฺตตาย ภิกฺขุนีกาเลปิ จิณฺณมานตฺตา อิเจฺจว สงฺขฺยํ คจฺฉตีติ กตฺวา วุตฺตํฯ สเจ อกุสลวิปาเก…เป.… ฉารตฺตํ มานตฺตเมว ทาตพฺพนฺติ มานตฺตํ จรนฺตสฺส ลิงฺคปริวตฺตาธิการตฺตา วุตฺตํฯ สเจ ปน ภิกฺขุกาเล ปฎิจฺฉนฺนาย สาธารณาปตฺติยา ปริวสนฺตสฺส อสมาทิณฺณปริวาสสฺส วา ลิงฺคํ ปริวตฺตติ, ตสฺส ภิกฺขุนีกาเล ปกฺขมานตฺตํ จรนฺตสฺส อกุสลวิปาเก ปริกฺขีเณ ปุน ลิเงฺค ปริวตฺติเต ปริวาสํ ทตฺวา ปริวุตฺถปริวาสสฺส ฉารตฺตํ มานตฺตํ ทาตพฺพนฺติ วทนฺติฯ

    Pakkhamānattameva dātabbanti bhikkhunīnaṃ paṭicchannāyapi āpattiyā mānattacārasseva anuññātattā. Puna pakkhamānattameva dātabbanti bhikkhukāle ciṇṇamānattābhāvato. Bhikkhunīhi abbhānakammaṃ kātabbanti bhikkhukāle ciṇṇamānattatāya bhikkhunīkālepi ciṇṇamānattā icceva saṅkhyaṃ gacchatīti katvā vuttaṃ. Sace akusalavipāke…pe… chārattaṃ mānattameva dātabbanti mānattaṃ carantassa liṅgaparivattādhikārattā vuttaṃ. Sace pana bhikkhukāle paṭicchannāya sādhāraṇāpattiyā parivasantassa asamādiṇṇaparivāsassa vā liṅgaṃ parivattati, tassa bhikkhunīkāle pakkhamānattaṃ carantassa akusalavipāke parikkhīṇe puna liṅge parivattite parivāsaṃ datvā parivutthaparivāsassa chārattaṃ mānattaṃ dātabbanti vadanti.

    สญฺจริตฺตาปตฺตีติ สาธารณาปตฺติทสฺสนตฺถํ วุตฺตํฯ ปริวาสทานํ นตฺถีติ ภิกฺขุกาเล อปฺปฎิจฺฉนฺนภาวโตฯ ภิกฺขุนีกาเล ปน อาโรจิตาปิ สาธารณาปตฺติ สเจ ภิกฺขุกาเล อนาโรจิตา, ปฎิจฺฉนฺนาว โหตีติ วทนฺติฯ ภิกฺขูหิ มานเตฺต อทิเนฺนติ อจิณฺณมานตฺตาย ลิงฺคปริวเตฺต สติฯ ภิกฺขุนีภาเว ฐิตายปิ ตา สุปฺปฎิปฺปสฺสทฺธา เอวาติ สมฺพโนฺธฯ ยา อาปตฺติโย ปุเพฺพ ปฎิปฺปสฺสทฺธาติ ยา อสาธารณาปตฺติโย ปุเพฺพ ภิกฺขุภาเว ปฎิปฺปสฺสทฺธาฯ ‘‘ปาราชิกํ อาปนฺนสฺส ลิงฺคปริวเตฺต สติ สนฺตานสฺส เอกตฺตา น ปุน โส อุปสมฺปทํ ลภติ, ตถา วิพฺภนฺตาปิ ภิกฺขุนี ลิงฺคปริวเตฺต สติ ปุน อุปสมฺปทํ น ลภตี’’ติ วทนฺติฯ

    Sañcarittāpattīti sādhāraṇāpattidassanatthaṃ vuttaṃ. Parivāsadānaṃ natthīti bhikkhukāle appaṭicchannabhāvato. Bhikkhunīkāle pana ārocitāpi sādhāraṇāpatti sace bhikkhukāle anārocitā, paṭicchannāva hotīti vadanti. Bhikkhūhi mānatte adinneti aciṇṇamānattāya liṅgaparivatte sati. Bhikkhunībhāve ṭhitāyapi tā suppaṭippassaddhā evāti sambandho. Yā āpattiyo pubbe paṭippassaddhāti yā asādhāraṇāpattiyo pubbe bhikkhubhāve paṭippassaddhā. ‘‘Pārājikaṃ āpannassa liṅgaparivatte sati santānassa ekattā na puna so upasampadaṃ labhati, tathā vibbhantāpi bhikkhunī liṅgaparivatte sati puna upasampadaṃ na labhatī’’ti vadanti.

    ๗๑. ‘‘อนุปาทินฺนเกสูติ อธิการตฺตา อุปาทินฺนเกปิ เอเสว นโยติ วุตฺต’’นฺติ จูฬคณฺฐิปเท มชฺฌิมคณฺฐิปเท จ วุตฺตํ, ตํ ทุวุตฺตํฯ น หิ อุปาทินฺนเกสุ นิมิเตฺต อุปกฺกมนฺตสฺส ทุกฺกฎํ ทิสฺสติฯ ตถา หิ อุปาทินฺนเกสุ นิมิเตฺต อปฺปเวเสตฺวา พหิ อุปกฺกมนฺตสฺส ถุลฺลจฺจยํ วุตฺตํ ‘‘น จ, ภิกฺขเว, รตฺตจิเตฺตน องฺคชาตํ ฉุปิตพฺพํ, โย ฉุเปยฺย, อาปตฺติ ถุลฺลจฺจยสฺสา’’ติ (มหาว. ๒๕๒) วุตฺตตฺตาฯ เอตฺถ จ ยํ วตฺตพฺพํ, ตํ สพฺพํ อฎฺฐกถายํ ปุเพฺพ วิจาริตเมวฯ ทุกฺกฎเมวาติ โมจนราคสฺส อภาวโตฯ ตเถวาติ มุจฺจตุ วา มา วาติ อิมมตฺถํ อติทิสฺสติฯ

    71. ‘‘Anupādinnakesūti adhikārattā upādinnakepi eseva nayoti vutta’’nti cūḷagaṇṭhipade majjhimagaṇṭhipade ca vuttaṃ, taṃ duvuttaṃ. Na hi upādinnakesu nimitte upakkamantassa dukkaṭaṃ dissati. Tathā hi upādinnakesu nimitte appavesetvā bahi upakkamantassa thullaccayaṃ vuttaṃ ‘‘na ca, bhikkhave, rattacittena aṅgajātaṃ chupitabbaṃ, yo chupeyya, āpatti thullaccayassā’’ti (mahāva. 252) vuttattā. Ettha ca yaṃ vattabbaṃ, taṃ sabbaṃ aṭṭhakathāyaṃ pubbe vicāritameva. Dukkaṭamevāti mocanarāgassa abhāvato. Tathevāti muccatu vā mā vāti imamatthaṃ atidissati.

    อวิสโยติ อสาทิยนํ นาม เอวรูเป ฐาเน ทุกฺกรนฺติ กตฺวา วุตฺตํฯ มาตุคามสฺส วจนํ คเหตฺวาติ ‘‘อหํ วายมิสฺสามิ, ตฺวํ มา วายมี’’ติอาทินา วุตฺตวจนํ คเหตฺวาฯ อุภยวายาเมเนว อาปตฺตีติ สญฺญาย ‘‘ตฺวํ มา วายมี’’ติ วุตฺตํฯ

    Avisayoti asādiyanaṃ nāma evarūpe ṭhāne dukkaranti katvā vuttaṃ. Mātugāmassa vacanaṃ gahetvāti ‘‘ahaṃ vāyamissāmi, tvaṃ mā vāyamī’’tiādinā vuttavacanaṃ gahetvā. Ubhayavāyāmeneva āpattīti saññāya ‘‘tvaṃ mā vāyamī’’ti vuttaṃ.

    ๗๓. วฎฺฎกเตติ อิมสฺส อตฺถํ ทเสฺสโนฺต ‘‘วิวเฎ’’ติ อาหฯ ‘‘ปาราชิกภเยน อากาสคตเมว กตฺวา ปเวสนาทีนิ กโรนฺตสฺส สหสา ตาลุกํ วา ปสฺสํ วา องฺคชาตํ ผุสติ เจ, ทุกฺกฎเมว เมถุนราคสฺส อภาวโต’’ติ วทนฺติ, อุปปริกฺขิตฺวา คเหตโพฺพฯ สุผุสิตาติ สุฎฺฐุ ปิหิตาฯ อโนฺตมุเข โอกาโส นตฺถีติ ทนฺตานํ สุปิหิตภาวโต อโนฺตมุเข ปเวเสตุํ โอกาโส นตฺถิฯ อุปฺปาฎิเต ปน โอฎฺฐมํเส ทเนฺตสุเยว อุปกฺกมนฺตสฺส ถุลฺลจฺจยนฺติ ปตงฺคมุขมณฺฑูกสฺส มุขสณฺฐาเน วิย วณสเงฺขปวเสน ถุลฺลจฺจยํฯ ‘‘เมถุนราเคน อิตฺถิยา อปฺปเวเสโนฺต นิมิเตฺตน นิมิตฺตํ ฉุปติ, ถุลฺลจฺจย’’นฺติ อิมินา วา ลกฺขเณน สมานตฺตา อิธ ถุลฺลจฺจยํ วุตฺตํฯ พหิ นิกฺขนฺตทนฺตชิวฺหาสุปิ เอเสว นโยฯ

    73.Vaṭṭakateti imassa atthaṃ dassento ‘‘vivaṭe’’ti āha. ‘‘Pārājikabhayena ākāsagatameva katvā pavesanādīni karontassa sahasā tālukaṃ vā passaṃ vā aṅgajātaṃ phusati ce, dukkaṭameva methunarāgassa abhāvato’’ti vadanti, upaparikkhitvā gahetabbo. Suphusitāti suṭṭhu pihitā. Antomukhe okāso natthīti dantānaṃ supihitabhāvato antomukhe pavesetuṃ okāso natthi. Uppāṭite pana oṭṭhamaṃse dantesuyeva upakkamantassa thullaccayanti pataṅgamukhamaṇḍūkassa mukhasaṇṭhāne viya vaṇasaṅkhepavasena thullaccayaṃ. ‘‘Methunarāgena itthiyā appavesento nimittena nimittaṃ chupati, thullaccaya’’nti iminā vā lakkhaṇena samānattā idha thullaccayaṃ vuttaṃ. Bahi nikkhantadantajivhāsupi eseva nayo.

    อมุจฺจเนฺต ถุลฺลจฺจยนฺติ ‘‘เจเตติ อุปกฺกมติ น มุจฺจติ, อาปตฺติ ถุลฺลจฺจยสฺสา’’ติ (ปารา. ๒๖๒) วจนโตฯ นิชฺฌามตณฺหิกาทีติ อาทิ-สเทฺทน ขุปฺปิปาสิกาทิเปตีนํ สงฺคโห ทฎฺฐโพฺพฯ อลฺลียิตุมฺปิ น สกฺกาติ นิชฺฌามตณฺหิกานํ โลมกูเปหิ สมุฎฺฐิตอคฺคิชาลาหิ นิจฺจํ ปชฺชลิตสรีรตาย ขุปฺปิปาสิกาทีนํ อติวิย ปฎิกูลวิรูปพีภจฺฉอฎฺฐิจมฺมาวสิฎฺฐนิจฺจาตุรสรีรตาย อามสิตุมฺปิ น สกฺกาฯ เทวตา วิย สมฺปตฺติํ อนุโภนฺตีติ เอตฺถ ยาสนฺติ สามิวจนํ ยาติ ปจฺจตฺตวจเนน วิปริณาเมตฺวา โยเชตพฺพํ ‘‘ยา เทวตา วิย สมฺปตฺติํ อนุโภนฺตี’’ติฯ ทสฺสนาทีสุ ทสฺสนํ นาม ภิกฺขุนา ตาสํ ทสฺสนํ, คหณมฺปิ ภิกฺขุนาว ตาสํ องฺคปจฺจงฺคคหณํฯ อามสนาทีนิ ปน ตาสํ กิจฺจานิฯ ตตฺถ อามสนํ นาม อตฺตโน สรีเรน ภิกฺขุโน สรีรสฺส อุปริ อามสนมตฺตํ, ผุสนํ ตโต ทฬฺหตรํ กตฺวา สมฺผุสนํ, ฆฎฺฎนํ ตโตปิ ทฬฺหตรํ กตฺวา สรีเรน สรีรสฺส ฆฎฺฎนํฯ วิสญฺญํ กตฺวาติ ยถา โส กตมฺปิ อุปกฺกมนํ น ชานาติ, เอวํ กตฺวาฯ ยทิปิ อามสนาทิ ตสฺสา กิจฺจํ, ตถาปิ เตเนว อนาปตฺติํ อวตฺวา ‘‘ตํ ปุคฺคลํ วิสญฺญํ กตฺวา’’ติ วจนโต อกตวิสโญฺญ ชานิตฺวา สาทิยติ เจ, ปาราชิกเมวฯ ภิกฺขุโน ปน ทสฺสนคหเณสุ สติ อสาทิยนํ นาม น โหตีติ ทสฺสนคหเณสุ ปญฺญายมาเนสุ อนาปตฺติ น วุตฺตาฯ ยทิ ปน ปฐมํ ทสฺสนคหเณสุ สติ ปจฺฉา ตํ ปุคฺคลํ วิสญฺญํ กตฺวา อามสนาทีนิ กโรนฺตี อตฺตโน มโนรถํ ปูเรตฺวา คจฺฉติ, นตฺถิ ปาราชิกํฯ

    Amuccante thullaccayanti ‘‘ceteti upakkamati na muccati, āpatti thullaccayassā’’ti (pārā. 262) vacanato. Nijjhāmataṇhikādīti ādi-saddena khuppipāsikādipetīnaṃ saṅgaho daṭṭhabbo. Allīyitumpi na sakkāti nijjhāmataṇhikānaṃ lomakūpehi samuṭṭhitaaggijālāhi niccaṃ pajjalitasarīratāya khuppipāsikādīnaṃ ativiya paṭikūlavirūpabībhacchaaṭṭhicammāvasiṭṭhaniccāturasarīratāya āmasitumpi na sakkā. Devatā viya sampattiṃ anubhontīti ettha yāsanti sāmivacanaṃ ti paccattavacanena vipariṇāmetvā yojetabbaṃ ‘‘yā devatā viya sampattiṃ anubhontī’’ti. Dassanādīsu dassanaṃ nāma bhikkhunā tāsaṃ dassanaṃ, gahaṇampi bhikkhunāva tāsaṃ aṅgapaccaṅgagahaṇaṃ. Āmasanādīni pana tāsaṃ kiccāni. Tattha āmasanaṃ nāma attano sarīrena bhikkhuno sarīrassa upari āmasanamattaṃ, phusanaṃ tato daḷhataraṃ katvā samphusanaṃ, ghaṭṭanaṃ tatopi daḷhataraṃ katvā sarīrena sarīrassa ghaṭṭanaṃ. Visaññaṃ katvāti yathā so katampi upakkamanaṃ na jānāti, evaṃ katvā. Yadipi āmasanādi tassā kiccaṃ, tathāpi teneva anāpattiṃ avatvā ‘‘taṃ puggalaṃ visaññaṃ katvā’’ti vacanato akatavisañño jānitvā sādiyati ce, pārājikameva. Bhikkhuno pana dassanagahaṇesu sati asādiyanaṃ nāma na hotīti dassanagahaṇesu paññāyamānesu anāpatti na vuttā. Yadi pana paṭhamaṃ dassanagahaṇesu sati pacchā taṃ puggalaṃ visaññaṃ katvā āmasanādīni karontī attano manorathaṃ pūretvā gacchati, natthi pārājikaṃ.

    อุปหตกายปฺปสาโทติ อนเฎฺฐปิ กายปฺปสาเท กายวิญฺญาณุปฺปาทเน อสมตฺถตาปาทนวเสน วาตปิตฺตาทีหิ อุปหตกายปฺปสาโทฯ เสวนจิตฺตวเสน อาปตฺตีติ ยถา สนฺถตนิมิตฺตวเสน อุปาทินฺนผสฺสํ อวินฺทนฺตสฺสปิ เสวนจิตฺตวเสน อาปตฺติ, เอวมิธาปิ ปิตฺตวาตาทินา อุปหตกายปฺปสาทตฺตา อเวทิยนฺตสฺสปิ เสวนจิตฺตวเสน อาปตฺติฯ

    Upahatakāyappasādoti anaṭṭhepi kāyappasāde kāyaviññāṇuppādane asamatthatāpādanavasena vātapittādīhi upahatakāyappasādo. Sevanacittavasena āpattīti yathā santhatanimittavasena upādinnaphassaṃ avindantassapi sevanacittavasena āpatti, evamidhāpi pittavātādinā upahatakāyappasādattā avediyantassapi sevanacittavasena āpatti.

    นนุ จ ฉุปิตมตฺตวตฺถุสฺมิํ ‘‘เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสวิสฺสามีติ ฉุปิตมเตฺต วิปฺปฎิสารี อโหสี’’ติ วุตฺตตฺตา เมถุนสฺส ปุพฺพปโยเค ทุกฺกเฎน ภวิตพฺพํ, อถ กสฺมา ‘‘อาปตฺติ สงฺฆาทิเสสสฺสา’’ติ วุตฺตนฺติ อิมํ อโนฺตลีนโจทนํ มนสิกตฺวา ตํ ปริหริตุํ ‘‘โย เมถุน’’นฺติอาทิ อารทฺธํฯ ตตฺถ สีสนฺติ มเคฺคน มคฺคปฎิปาทนํฯ ตญฺหิ ปโยคานํ มตฺถกสทิสตฺตา ‘‘สีส’’นฺติ วุตฺตํ ตโต ปรํ ปโยคาภาวโตฯ ทุกฺกเฎ ติฎฺฐนฺตีติ ทุกฺกฎํ ชเนนฺติฯ ทุกฺกฎญฺหิ ชเนนฺตา หตฺถคฺคาหาทโย ปโยคา ‘‘ทุกฺกเฎ ติฎฺฐนฺตี’’ติ วุตฺตา อญฺญิสฺสา อาปตฺติยา ชนกวเสน อปฺปวตฺตนโตฯ

    Nanu ca chupitamattavatthusmiṃ ‘‘methunaṃ dhammaṃ paṭisevissāmīti chupitamatte vippaṭisārī ahosī’’ti vuttattā methunassa pubbapayoge dukkaṭena bhavitabbaṃ, atha kasmā ‘‘āpatti saṅghādisesassā’’ti vuttanti imaṃ antolīnacodanaṃ manasikatvā taṃ pariharituṃ ‘‘yo methuna’’ntiādi āraddhaṃ. Tattha sīsanti maggena maggapaṭipādanaṃ. Tañhi payogānaṃ matthakasadisattā ‘‘sīsa’’nti vuttaṃ tato paraṃ payogābhāvato. Dukkaṭe tiṭṭhantīti dukkaṭaṃ janenti. Dukkaṭañhi janentā hatthaggāhādayo payogā ‘‘dukkaṭe tiṭṭhantī’’ti vuttā aññissā āpattiyā janakavasena appavattanato.

    ๗๔. ชาติปุปฺผคุมฺพานนฺติ ชาติสุมนคุมฺพานํฯ อุสฺสนฺนตายาติ พาหุลฺลตายฯ อุปจาเรติ อาสนฺนปฺปเทเสฯ เตน วาตุปตฺถเมฺภนาติ ‘‘องฺคมงฺคานิ วาตุปตฺถทฺธานิ โหนฺตี’’ติ เอวํ วุตฺตวาตุปตฺถเมฺภนฯ อิมินา นิโทฺทกฺกมนสฺส การณํ วุตฺตํฯ เอกรสนฺติ อาวชฺชนาทิวีถิจิเตฺตหิ อโพฺพกิณฺณํฯ

    74.Jātipupphagumbānanti jātisumanagumbānaṃ. Ussannatāyāti bāhullatāya. Upacāreti āsannappadese. Tena vātupatthambhenāti ‘‘aṅgamaṅgāni vātupatthaddhāni hontī’’ti evaṃ vuttavātupatthambhena. Iminā niddokkamanassa kāraṇaṃ vuttaṃ. Ekarasanti āvajjanādivīthicittehi abbokiṇṇaṃ.

    ๗๖. สงฺคามสีสโยโธ ภิกฺขูติ ยสฺมา กิเลสารีหิ อนภิภูโต หุตฺวา เต ปราเชสิ, ตสฺมา สงฺคามมุเข โยธสทิโส ภิกฺขุฯ

    76.Saṅgāmasīsayodhobhikkhūti yasmā kilesārīhi anabhibhūto hutvā te parājesi, tasmā saṅgāmamukhe yodhasadiso bhikkhu.

    ๗๗. อุปฺปเนฺน วตฺถุสฺมินฺติ เมถุนวตฺถุสฺมิํ อุปฺปเนฺนฯ ปริวตฺตกทฺวารเมวาติ สํวรณวิวรณวเสน อิโต จิโต จ ปริวตฺตนโยคฺคทฺวารเมวฯ รุกฺขสูจิกณฺฎกทฺวารนฺติ รุกฺขสูจิทฺวารํ กณฺฎกทฺวารญฺจฯ ‘‘รุกฺขสูจิทฺวารํ กณฺฎกทฺวาร’’มิเจฺจว วา ปาโฐฯ ยํ อุโภสุ ปเสฺสสุ รุกฺขถเมฺภ นิขณิตฺวา ตตฺถ วิชฺฌิตฺวา มเชฺฌ เทฺว ติโสฺส รุกฺขสูจิโย ปเวเสตฺวา กโรนฺติ, ตํ รุกฺขสูจิทฺวารํฯ ยํ ปเวสนนิกฺขมนกาเล อปเนตฺวา ถกนโยคฺคํ, เอกาย พหูหิ วา กณฺฎกสาขาหิ กตํ, ตํ กณฺฎกทฺวารํจกฺกลกยุตฺตทฺวารนฺติ เหฎฺฐา เอตํ จกฺกํ โยเชตฺวา กตํ มหาทฺวารํ, ยํ น สกฺกา เอเกน สํวริตุํ วิวริตุญฺจฯ โคเปฺผตฺวาติ รชฺชูหิ คเนฺถตฺวาฯ เอกํ ทุสฺสสาณิทฺวารเมวาติ เอตฺถ กิลญฺชสาณิทฺวารมฺปิ สงฺคหํ คจฺฉติฯ

    77.Uppanne vatthusminti methunavatthusmiṃ uppanne. Parivattakadvāramevāti saṃvaraṇavivaraṇavasena ito cito ca parivattanayoggadvārameva. Rukkhasūcikaṇṭakadvāranti rukkhasūcidvāraṃ kaṇṭakadvārañca. ‘‘Rukkhasūcidvāraṃ kaṇṭakadvāra’’micceva vā pāṭho. Yaṃ ubhosu passesu rukkhathambhe nikhaṇitvā tattha vijjhitvā majjhe dve tisso rukkhasūciyo pavesetvā karonti, taṃ rukkhasūcidvāraṃ. Yaṃ pavesananikkhamanakāle apanetvā thakanayoggaṃ, ekāya bahūhi vā kaṇṭakasākhāhi kataṃ, taṃ kaṇṭakadvāraṃ. Cakkalakayuttadvāranti heṭṭhā etaṃ cakkaṃ yojetvā kataṃ mahādvāraṃ, yaṃ na sakkā ekena saṃvarituṃ vivarituñca. Gopphetvāti rajjūhi ganthetvā. Ekaṃ dussasāṇidvāramevāti ettha kilañjasāṇidvārampi saṅgahaṃ gacchati.

    ยตฺถ ทฺวารํ สํวริตฺวา นิปชฺชิตุํ น สกฺกา โหติ, ตตฺถ กตฺตพฺพวิธิํ ทเสฺสตุํ ‘‘สเจ พหูนํ วฬญฺชนฎฺฐานํ โหตี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ พหูนํ อวฬญฺชนฎฺฐาเนปิ เอกํ อาปุจฺฉิตฺวา นิปชฺชิตุํ วฎฺฎติเยวฯ อถ ภิกฺขู…เป.… นิสินฺนา โหนฺตีติ อิทํ ตตฺถ ภิกฺขูนํ สนฺนิหิตภาวสนฺทสฺสนตฺถํ วุตฺตํฯ ‘‘นิสิโนฺน วา ปน โหตุ นิปโนฺน วา, เยน เกนจิ อิริยาปเถน สมนฺนาคโต สเจ ตตฺถ สนฺนิหิโต โหติ, อาโภคํ กาตุํ วฎฺฎตี’’ติ ตีสุปิ คณฺฐิปเทสุ วุตฺตํฯ เกจิ ปน ‘‘นิสินฺนา โหนฺตีติ วจนโต สเจ นิปนฺนา โหนฺติ, อาโภคํ กาตุํ น วฎฺฎตี’’ติ วทนฺติ, ตํ น สุนฺทรํฯ ยทิ หิ ‘‘นิสินฺนา โหนฺตี’’ติ วจนโต นิปเนฺน อาโภคํ กาตุํ น วฎฺฎติ, ฐิเตปิ จงฺกมเนฺตปิ อาโภคํ กาตุํ น วฎฺฎติฯ น หิ นิสินฺนวจนํ นิปนฺนํเยว นิวเตฺตติ, ตสฺมา ‘‘นิสินฺนา โหนฺตี’’ติ อิทํ ตตฺถ เตสํ อตฺถิตามตฺตสนฺทสฺสนตฺถํ, น เสสอิริยาปถสมงฺคิตานิวตฺตนตฺถํฯ เอวํ สเนฺตปิ นิปชฺชิตฺวา นิทฺทายโนฺต อสนฺตปเกฺข ฐิตตฺตา อาโภคารโห น โหตีติ อมฺหากํ ขนฺติฯ อสนฺตปเกฺข ฐิตตฺตาเยว หิ รโห นิสชฺชาย นิปชฺชิตฺวา นิทฺทายโนฺต อนาปตฺติํ น กโรตีติ วุตฺตํฯ ทฺวารสํวรณํ นาม ภิกฺขุนีอาทีนํ ปเวสนนิวารณตฺถนฺติ อาห – ‘‘ภิกฺขุนิํ วา มาตุคามํ วา อาปุจฺฉิตุํ น วฎฺฎตี’’ติฯ ‘‘อิตฺถิอุภโตพฺยญฺชนกํ อิตฺถิปณฺฑกญฺจ อาปุจฺฉิตุํ น วฎฺฎตี’’ติ วทนฺติฯ มาตุคามสฺส อโนฺตคเพฺภ ฐิตภาวํ ชานิตฺวาปิ ทฺวาเร ยถาวุตฺตวิธิํ กตฺวา นิปชฺชนฺตสฺส อนาปตฺติฯ นิเสฺสณิํ อาโรเปตฺวาติ อุปริตลํ อาโรเปตฺวา วิสงฺขริตฺวา ภูมิยํ ปาเตตฺวา ฉินฺทิตฺวา วา นิปชฺชิตุมฺปิ วฎฺฎติฯ เทฺวปิ ทฺวารานิ ชคฺคิตพฺพานีติ เอตฺถ สเจ เอกสฺมิํ ทฺวาเร กวาฎํ วา นตฺถิ, เหฎฺฐา วุตฺตนเยน สํวริตุํ วา น สกฺกา, อิตรํ ทฺวารํ อสํวริตฺวาปิ นิปชฺชิตุํ วฎฺฎติฯ

    Yattha dvāraṃ saṃvaritvā nipajjituṃ na sakkā hoti, tattha kattabbavidhiṃ dassetuṃ ‘‘sace bahūnaṃ vaḷañjanaṭṭhānaṃ hotī’’tiādi vuttaṃ. Bahūnaṃ avaḷañjanaṭṭhānepi ekaṃ āpucchitvā nipajjituṃ vaṭṭatiyeva. Atha bhikkhū…pe… nisinnā hontīti idaṃ tattha bhikkhūnaṃ sannihitabhāvasandassanatthaṃ vuttaṃ. ‘‘Nisinno vā pana hotu nipanno vā, yena kenaci iriyāpathena samannāgato sace tattha sannihito hoti, ābhogaṃ kātuṃ vaṭṭatī’’ti tīsupi gaṇṭhipadesu vuttaṃ. Keci pana ‘‘nisinnā hontīti vacanato sace nipannā honti, ābhogaṃ kātuṃ na vaṭṭatī’’ti vadanti, taṃ na sundaraṃ. Yadi hi ‘‘nisinnā hontī’’ti vacanato nipanne ābhogaṃ kātuṃ na vaṭṭati, ṭhitepi caṅkamantepi ābhogaṃ kātuṃ na vaṭṭati. Na hi nisinnavacanaṃ nipannaṃyeva nivatteti, tasmā ‘‘nisinnā hontī’’ti idaṃ tattha tesaṃ atthitāmattasandassanatthaṃ, na sesairiyāpathasamaṅgitānivattanatthaṃ. Evaṃ santepi nipajjitvā niddāyanto asantapakkhe ṭhitattā ābhogāraho na hotīti amhākaṃ khanti. Asantapakkhe ṭhitattāyeva hi raho nisajjāya nipajjitvā niddāyanto anāpattiṃ na karotīti vuttaṃ. Dvārasaṃvaraṇaṃ nāma bhikkhunīādīnaṃ pavesananivāraṇatthanti āha – ‘‘bhikkhuniṃ vā mātugāmaṃ vā āpucchituṃ na vaṭṭatī’’ti. ‘‘Itthiubhatobyañjanakaṃ itthipaṇḍakañca āpucchituṃ na vaṭṭatī’’ti vadanti. Mātugāmassa antogabbhe ṭhitabhāvaṃ jānitvāpi dvāre yathāvuttavidhiṃ katvā nipajjantassa anāpatti. Nisseṇiṃ āropetvāti uparitalaṃ āropetvā visaṅkharitvā bhūmiyaṃ pātetvā chinditvā vā nipajjitumpi vaṭṭati. Dvepi dvārāni jaggitabbānīti ettha sace ekasmiṃ dvāre kavāṭaṃ vā natthi, heṭṭhā vuttanayena saṃvarituṃ vā na sakkā, itaraṃ dvāraṃ asaṃvaritvāpi nipajjituṃ vaṭṭati.

    ภิกฺขาจารา ปฎิกฺกมฺมาติ ภิกฺขาจารโต นิวตฺติตฺวาฯ ทฺวารปาลสฺสาติ ทฺวารโกฎฺฐเก มหาทฺวาเร นิเสฺสณิมูเล วา ฐตฺวา ทฺวารรกฺขณกสฺสฯ ปจฺฉิมานํ ภาโรติ เอกานุพนฺธวเสน อาคจฺฉเนฺต สนฺธาย วุตฺตํฯ อสํวุตทฺวาเร อโนฺตคเพฺภ วาติ โยเชตพฺพํฯ พหิ วาติ คพฺภโต พหิฯ นิปชฺชนกาเลปิ…เป.… วฎฺฎติเยวาติ เอตฺถ ‘‘ทฺวารชคฺคนกสฺส ตทธีนตฺตา ตทา ตสฺส ตตฺถ สนฺนิหิตาสนฺนิหิตภาวํ อนุปธาเรตฺวาปิ อาโภคํ กาตุํ วฎฺฎติเยวา’’ติ วทนฺติฯ

    Bhikkhācārāpaṭikkammāti bhikkhācārato nivattitvā. Dvārapālassāti dvārakoṭṭhake mahādvāre nisseṇimūle vā ṭhatvā dvārarakkhaṇakassa. Pacchimānaṃ bhāroti ekānubandhavasena āgacchante sandhāya vuttaṃ. Asaṃvutadvāre antogabbhe vāti yojetabbaṃ. Bahi vāti gabbhato bahi. Nipajjanakālepi…pe… vaṭṭatiyevāti ettha ‘‘dvārajagganakassa tadadhīnattā tadā tassa tattha sannihitāsannihitabhāvaṃ anupadhāretvāpi ābhogaṃ kātuṃ vaṭṭatiyevā’’ti vadanti.

    เยน เกนจิ ปริกฺขิเตฺตติ ปากาเรน วา วติยา วา เยน เกนจิ ปริกฺขิเตฺตฯ ‘‘ปริเกฺขปสฺส อุจฺจโต ปมาณํ สหเสยฺยปฺปโหนเก วุตฺตนเยน เวทิตพฺพ’’นฺติ วทนฺติฯ ยทิ ปน เอกสฺมิํ ปเทเส ปริเกฺขโป วุตฺตปฺปมาณโต นีจตโร โหติ, วฎฺฎติฯ มหาปริเวณํ โหตีติ มหนฺตํ องฺคณํ โหติฯ มหาโพธิยงฺคณโลหปาสาทยงฺคณสทิสนฺติ พหุสญฺจารทสฺสนตฺถํ วุตฺตํ, น มหาปริเจฺฉททสฺสนตฺถํฯ อรุเณ อุคฺคเต อุฎฺฐหติ, อนาปตฺตีติ สุทฺธจิเตฺตน นิปนฺนสฺส นิทฺทายนฺตเสฺสว อรุเณ อุคฺคเตเยว นิทฺทาวเสเนว อนาปตฺติฯ ปพุชฺฌิตฺวา ปุน สุปติ, อาปตฺตีติ อรุเณ อุคฺคเต ปพุชฺฌิตฺวา อรุณุคฺคมนํ อชานิตฺวาปิ อนุฎฺฐหิตฺวาว สยิตสนฺตาเนน สยนฺตสฺส อาปตฺติ, ปุรารุเณ ปพุชฺฌิตฺวาปิ อชานิตฺวา สยิตสนฺตาเนน สยนฺตสฺสปิ อรุเณ อุคฺคเต อาปตฺติเยวฯ ยถาปริเจฺฉทเมว วุฎฺฐาตีติ อรุเณ อุคฺคเตเยว อุฎฺฐหติฯ ตสฺส อาปตฺตีติ อสุทฺธจิเตฺตเนว นิปนฺนตฺตา นิทฺทายนฺตสฺสปิ อรุเณ อุคฺคเต ทิวาปฎิสลฺลานมูลิกา อาปตฺติฯ ‘‘เอวํ นิปชฺชโนฺต อนาทริยทุกฺกฎาปิ น มุจฺจตี’’ติ วุตฺตตฺตา อสุทฺธจิเตฺตน นิปชฺชโนฺต อรุณุคฺคมนโต ปุเรตรํ อุฎฺฐหโนฺตปิ อนุฎฺฐหโนฺตปิ นิปชฺชนกาเลเยว อนาทริยทุกฺกฎํ อาปชฺชติ, ทิวาปฎิสลฺลานมูลิกํ ปน ทุกฺกฎํ อรุเณ อุคฺคเตเยว อาปชฺชติฯ

    Yena kenaci parikkhitteti pākārena vā vatiyā vā yena kenaci parikkhitte. ‘‘Parikkhepassa uccato pamāṇaṃ sahaseyyappahonake vuttanayena veditabba’’nti vadanti. Yadi pana ekasmiṃ padese parikkhepo vuttappamāṇato nīcataro hoti, vaṭṭati. Mahāpariveṇaṃ hotīti mahantaṃ aṅgaṇaṃ hoti. Mahābodhiyaṅgaṇalohapāsādayaṅgaṇasadisanti bahusañcāradassanatthaṃ vuttaṃ, na mahāparicchedadassanatthaṃ. Aruṇe uggate uṭṭhahati, anāpattīti suddhacittena nipannassa niddāyantasseva aruṇe uggateyeva niddāvaseneva anāpatti. Pabujjhitvā puna supati, āpattīti aruṇe uggate pabujjhitvā aruṇuggamanaṃ ajānitvāpi anuṭṭhahitvāva sayitasantānena sayantassa āpatti, purāruṇe pabujjhitvāpi ajānitvā sayitasantānena sayantassapi aruṇe uggate āpattiyeva. Yathāparicchedameva vuṭṭhātīti aruṇe uggateyeva uṭṭhahati. Tassa āpattīti asuddhacitteneva nipannattā niddāyantassapi aruṇe uggate divāpaṭisallānamūlikā āpatti. ‘‘Evaṃ nipajjanto anādariyadukkaṭāpi na muccatī’’ti vuttattā asuddhacittena nipajjanto aruṇuggamanato puretaraṃ uṭṭhahantopi anuṭṭhahantopi nipajjanakāleyeva anādariyadukkaṭaṃ āpajjati, divāpaṭisallānamūlikaṃ pana dukkaṭaṃ aruṇe uggateyeva āpajjati.

    ยํ ปเนตฺถ ตีสุปิ คณฺฐิปเทสุ วุตฺตํ ‘‘รตฺติํ ทฺวารํ สํวริตฺวา นิปโนฺน สเจ อรุณุคฺคมนเวลายํ ทฺวาเร วิวเฎปิ นิปชฺชติ, ตสฺส อาปตฺติ อเขเตฺต สํวริตฺวา นิปนฺนตฺตาฯ อรุณุคฺคมนเวลายํ วิวเฎปิ ทฺวาเร ‘‘นิปชฺชิสฺสามี’’ติ รตฺติํ ทฺวารํ สํวริตฺวาปิ นิปนฺนสฺส อเขเตฺต ปิหิตตฺตา นิปชฺชนกาเล อนาทริยทุกฺกฎํ, อรุเณ อุคฺคเต นิปชฺชนมูลทุกฺกฎญฺจ โหติฯ รตฺติํ ปิหิเตปิ อปิหิเตปิ ทฺวาเร นิปนฺนสฺส อรุณุคฺคมนกฺขเณเยว อปิหิตทฺวาเร ปิหิเต ปิหิตทฺวาเร จ ปุน วิวริตฺวา ปิหิเต เขเตฺต ปิหิตตฺตา อนาปตฺตี’’ติ, ตํ อฎฺฐกถาย น สเมติฯ รตฺติํ ทฺวารํ อสํวริตฺวา นิปนฺนเสฺสว หิ อรุณุคฺคมเน อาปตฺติ อฎฺฐกถายํ ทสฺสิตา, ตสฺมา เขเตฺต วา ปิหิตํ โหตุ อเขเตฺต วา, สํวรณเมเวตฺถ ปมาณนฺติ อมฺหากํ ขนฺติฯ

    Yaṃ panettha tīsupi gaṇṭhipadesu vuttaṃ ‘‘rattiṃ dvāraṃ saṃvaritvā nipanno sace aruṇuggamanavelāyaṃ dvāre vivaṭepi nipajjati, tassa āpatti akhette saṃvaritvā nipannattā. Aruṇuggamanavelāyaṃ vivaṭepi dvāre ‘‘nipajjissāmī’’ti rattiṃ dvāraṃ saṃvaritvāpi nipannassa akhette pihitattā nipajjanakāle anādariyadukkaṭaṃ, aruṇe uggate nipajjanamūladukkaṭañca hoti. Rattiṃ pihitepi apihitepi dvāre nipannassa aruṇuggamanakkhaṇeyeva apihitadvāre pihite pihitadvāre ca puna vivaritvā pihite khette pihitattā anāpattī’’ti, taṃ aṭṭhakathāya na sameti. Rattiṃ dvāraṃ asaṃvaritvā nipannasseva hi aruṇuggamane āpatti aṭṭhakathāyaṃ dassitā, tasmā khette vā pihitaṃ hotu akhette vā, saṃvaraṇamevettha pamāṇanti amhākaṃ khanti.

    นิทฺทาวเสน นิปชฺชตีติ นิทฺทาภิภูตตาย เอกปเสฺสน นิปชฺชติ, เอวํ ปน นิปโนฺน นิปโนฺน นาม น โหตีติ อนาปตฺติ วุตฺตาฯ อปสฺสาย สุปนฺตสฺสาติ กฎิยา ปิฎฺฐิเวมชฺฌสฺส จ อนฺตเร อปฺปมตฺตกมฺปิ ปเทสํ ภูมิํ อผุสาเปตฺวา ถมฺภาทิํ อปสฺสาย สุปนฺตสฺสฯ สหสาว วุฎฺฐาตีติ ปกฺขลิตฺวา ปติโต วิย สหสา วุฎฺฐาติฯ ตเตฺถว สยติ น วุฎฺฐาตีติ นิทฺทาภิภูตตาย สุปโนฺต น วุฎฺฐาติ, น มุจฺฉาปเรโตฯ เตเนว ‘‘อวิสยตฺตา อาปตฺติ น ทิสฺสตี’’ติ น วุตฺตํฯ

    Niddāvasena nipajjatīti niddābhibhūtatāya ekapassena nipajjati, evaṃ pana nipanno nipanno nāma na hotīti anāpatti vuttā. Apassāya supantassāti kaṭiyā piṭṭhivemajjhassa ca antare appamattakampi padesaṃ bhūmiṃ aphusāpetvā thambhādiṃ apassāya supantassa. Sahasāva vuṭṭhātīti pakkhalitvā patito viya sahasā vuṭṭhāti. Tattheva sayati na vuṭṭhātīti niddābhibhūtatāya supanto na vuṭṭhāti, na mucchāpareto. Teneva ‘‘avisayattā āpatti na dissatī’’ti na vuttaṃ.

    เอกภเงฺคนาติ เอกสฺส ปสฺสสฺส ภญฺชเนน, เหฎฺฐา วุตฺตนเยน ปาเท ภูมิโต อโมเจตฺวาว เอกํ ปสฺสํ ภญฺชิตฺวา นาเมตฺวา นิปโนฺนติ วุตฺตํ โหติฯ มหาอฎฺฐกถายํ ปน มหาปทุมเตฺถเรน วุตฺตนฺติ สมฺพโนฺธฯ มุจฺฉิตฺวา ปติตตฺตา เถเรน ‘‘อวิสยตฺตา อาปตฺติ น ทิสฺสตี’’ติ วุตฺตํฯ อาจริยา ปน ยถา ยกฺขคหิตโก พนฺธิตฺวา นิปชฺชาปิโต จ ปรวโส โหติ, เอวํ อปรวสตฺตา มุจฺฉิตฺวา ปติโต กญฺจิ กาลํ ชานิตฺวาปิ นิปชฺชตีติ อนาปตฺติํ น วทนฺติฯ โย จ ยกฺขคหิตโก, โย จ พนฺธิตฺวา นิปชฺชาปิโตติ อิมสฺส มหาอฎฺฐกถาวาทสฺส ปจฺฉิมตฺตา โสเยว ปมาณโต คเหตโพฺพฯ ตถา จ วกฺขติ ‘‘สพฺพตฺถ โย โย อฎฺฐกถาวาโท วา เถรวาโท วา ปจฺฉา วุจฺจติ, โสว ปมาณโต ทฎฺฐโพฺพ’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๑.๙๒)ฯ ยกฺขคหิตคฺคหเณเนว เจตฺถ วิสญฺญีภูโตปิ สงฺคหิโตติ เวทิตพฺพํฯ เอกภเงฺคน นิปโนฺน ปน อตฺถโต อนิปนฺนตฺตา มุจฺจติเยวาติ มหาอฎฺฐกถาวาเทน โส อปฺปฎิกฺขิโตฺตว โหตีติ ทฎฺฐพฺพํฯ ทิวา สํวริตฺวา นิปนฺนสฺส เกนจิ วิวเฎปิ ทฺวาเร อนาปตฺติ นิปชฺชนกาเล สํวริตฺวา นิปนฺนตฺตาฯ สเจ ทิวา สํวริตฺวา ทฺวารสมีเป นิปโนฺน ปจฺฉา สยเมว ทฺวารํ วิวรติ, เอวมฺปิ วฎฺฎติฯ อจิตฺตกา จายํ อาปตฺติ กิริยา จ อกิริยา จฯ

    Ekabhaṅgenāti ekassa passassa bhañjanena, heṭṭhā vuttanayena pāde bhūmito amocetvāva ekaṃ passaṃ bhañjitvā nāmetvā nipannoti vuttaṃ hoti. Mahāaṭṭhakathāyaṃ pana mahāpadumattherena vuttanti sambandho. Mucchitvā patitattā therena ‘‘avisayattā āpatti na dissatī’’ti vuttaṃ. Ācariyā pana yathā yakkhagahitako bandhitvā nipajjāpito ca paravaso hoti, evaṃ aparavasattā mucchitvā patito kañci kālaṃ jānitvāpi nipajjatīti anāpattiṃ na vadanti. Yo ca yakkhagahitako, yo ca bandhitvā nipajjāpitoti imassa mahāaṭṭhakathāvādassa pacchimattā soyeva pamāṇato gahetabbo. Tathā ca vakkhati ‘‘sabbattha yo yo aṭṭhakathāvādo vā theravādo vā pacchā vuccati, sova pamāṇato daṭṭhabbo’’ti (pārā. aṭṭha. 1.92). Yakkhagahitaggahaṇeneva cettha visaññībhūtopi saṅgahitoti veditabbaṃ. Ekabhaṅgena nipanno pana atthato anipannattā muccatiyevāti mahāaṭṭhakathāvādena so appaṭikkhittova hotīti daṭṭhabbaṃ. Divā saṃvaritvā nipannassa kenaci vivaṭepi dvāre anāpatti nipajjanakāle saṃvaritvā nipannattā. Sace divā saṃvaritvā dvārasamīpe nipanno pacchā sayameva dvāraṃ vivarati, evampi vaṭṭati. Acittakā cāyaṃ āpatti kiriyā ca akiriyā ca.

    ๗๘. ‘‘อปเท ปทํ กโรโนฺต วิยา’’ติ วตฺวา ปุน ตเมวตฺถํ อาวิกโรโนฺต ‘‘อากาเส ปทํ ทเสฺสโนฺต วิยา’’ติ อาหฯ เอตทคฺคนฺติ เอโส อโคฺคฯ ยทิทนฺติ โย อยํฯ เสสเมตฺถ อุตฺตานตฺถเมวฯ

    78.‘‘Apade padaṃ karonto viyā’’ti vatvā puna tamevatthaṃ āvikaronto ‘‘ākāse padaṃ dassento viyā’’ti āha. Etadagganti eso aggo. Yadidanti yo ayaṃ. Sesamettha uttānatthameva.

    วินีตวตฺถุวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Vinītavatthuvaṇṇanā niṭṭhitā.

    ตตฺริทนฺติอาทิ เหฎฺฐา วุตฺตตฺถเมวฯ

    Tatridantiādi heṭṭhā vuttatthameva.

    อิติ สมนฺตปาสาทิกาย วินยฎฺฐกถาย สารตฺถทีปนิยํ

    Iti samantapāsādikāya vinayaṭṭhakathāya sāratthadīpaniyaṃ

    ปฐมปาราชิกวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Paṭhamapārājikavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวิภงฺค • Mahāvibhaṅga / ๑. ปฐมปาราชิกํ • 1. Paṭhamapārājikaṃ

    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / วินยปิฎก (อฎฺฐกถา) • Vinayapiṭaka (aṭṭhakathā) / มหาวิภงฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvibhaṅga-aṭṭhakathā / ๑. ปฐมปาราชิกํ • 1. Paṭhamapārājikaṃ

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā / วินีตวตฺถุวณฺณนา • Vinītavatthuvaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / วินีตวตฺถุวณฺณนา • Vinītavatthuvaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact