Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā

    วินีตวตฺถุวณฺณนา

    Vinītavatthuvaṇṇanā

    ๖๗. วินีตานิ วินิจฺฉิตานิ วตฺถูนิ วินีตวตฺถูนิเตสํ เตสํ ‘‘เตน โข ปน สมเยน อญฺญตโร ภิกฺขู’’ติอาทีนํ วตฺถูนํ ปาเฎกฺกํ นามคณนํ อุทฺธริตฺวา อุทฺธริตฺวา อูนาธิกโทสโสธนเฎฺฐน อุทฺทานา จ ตา มตฺราทิสิทฺธิคาถาหิ ฉโนฺทวิจิติลกฺขเณน คาถา จาติ ‘‘อุทฺทานคาถา นามา’’ติ วุตฺตํ, เท, โสธเน อิติ ธาตุสฺส รูปํ อุทฺทานาติ เวทิตพฺพํฯ อิมา ปน อุทฺทานคาถา ธมฺมสงฺคาหกเตฺถเรหิ สงฺคีติกาเล ฐปิตา, กตฺถาติ เจ? ปทภาชนียาวสาเนฯ ‘‘วตฺถุคาถา นาม ‘เตน โข ปน สมเยน อญฺญตโร ภิกฺขู’ติอาทีนํ อิเมสํ วินีตวตฺถูนํ นิทานานี’’ติ คณฺฐิปเท วุตฺตํ, ตสฺมา ตตฺถ วุตฺตนเยน วินีตวตฺถูนิ เอว ‘‘วตฺถุคาถา’’ติ วุตฺตาติ เวทิตพฺพํฯ อิทเมตฺถ สมาสโต อธิปฺปายนิทสฺสนํ – ‘‘อาปตฺติํ ตฺวํ, ภิกฺขุ, อาปโนฺน ปาราชิก’’นฺติ มูลาปตฺติทสฺสนวเสน วา, ‘‘อนาปตฺติ, ภิกฺขุ, ปาราชิกสฺส, อาปตฺติ สงฺฆาทิเสสสฺส, ทุกฺกฎสฺสา’’ติ อาปตฺติเภททสฺสนวเสน วา, ‘‘อนาปตฺติ, ภิกฺขุ, อสาทิยนฺตสฺสา’’ติ อนาปตฺติทสฺสนวเสน วา ยานิ วตฺถูนิ วินีตานิ วินิจฺฉิตานิ, ตานิ วินีตวตฺถูนิ นามฯ เตสํ วินีตวตฺถูนํ นิทานวตฺถุทีปิกา ตนฺติ วตฺถุคาถา นามฯ อุทฺทานคาถาว ‘‘วตฺถุคาถา’’ติ วุตฺตาติ เอเกฯ เตสํ ‘‘อิมินา ลกฺขเณน อายติํ วินยธรา วินยํ วินิจฺฉินิสฺสนฺตี’’ติ วจเนน วิรุชฺฌติฯ น หิ อุทฺทานคาถายํ กิญฺจิปิ วินิจฺฉยลกฺขณํ ทิสฺสติ, อุทฺทานคาถานํ วิสุํ ปโยชนํ วุตฺตํ ‘‘สุขํ วินยธรา อุคฺคณฺหิสฺสนฺตี’’ติ, ตสฺมา ปโยชนนานตฺตโตเปตํ นานตฺตํ เวทิตพฺพํฯ ตตฺถายํ วิคฺคโห – วตฺถูนิ เอว คาถา วตฺถุคาถาฯ วินีตวตฺถุโต วิเสสนตฺถเมตฺถ คาถาคฺคหณํฯ อุทฺทานคาถาโต วิเสสนตฺถํ วตฺถุคฺคหณนฺติ เวทิตพฺพํฯ เกจิ ปน ‘‘คาถานํ วตฺถูนีติ วตฺตเพฺพ วตฺถุคาถาติ วุตฺต’’นฺติ วทนฺติฯ มกฺกฎิวตฺถุํ อเญฺญ ตตฺถ ภิกฺขู อาโรเจสุํ, อิธ สยเมวฯ ตตฺถ การณสฺส ‘‘ภควตา สิกฺขาปทํ ปญฺญตฺต’’นฺติ วุตฺตตฺตา วชฺชิปุตฺตกาปิ อเญฺญ เอวฯ ‘‘ตตฺถ อานนฺทเตฺถโร, อิธ เต เอวา’’ติ อญฺญตรสฺมิํ คณฺฐิปเท วุตฺตํฯ อาจริยสฺส อธิปฺปาโย ปุเพฺพ วุโตฺต, ตสฺมา อุปปริกฺขิตพฺพํฯ

    67. Vinītāni vinicchitāni vatthūni vinītavatthūni. Tesaṃ tesaṃ ‘‘tena kho pana samayena aññataro bhikkhū’’tiādīnaṃ vatthūnaṃ pāṭekkaṃ nāmagaṇanaṃ uddharitvā uddharitvā ūnādhikadosasodhanaṭṭhena uddānā ca tā matrādisiddhigāthāhi chandovicitilakkhaṇena gāthā cāti ‘‘uddānagāthānāmā’’ti vuttaṃ, de, sodhane iti dhātussa rūpaṃ uddānāti veditabbaṃ. Imā pana uddānagāthā dhammasaṅgāhakattherehi saṅgītikāle ṭhapitā, katthāti ce? Padabhājanīyāvasāne. ‘‘Vatthugāthā nāma ‘tena kho pana samayena aññataro bhikkhū’tiādīnaṃ imesaṃ vinītavatthūnaṃ nidānānī’’ti gaṇṭhipade vuttaṃ, tasmā tattha vuttanayena vinītavatthūni eva ‘‘vatthugāthā’’ti vuttāti veditabbaṃ. Idamettha samāsato adhippāyanidassanaṃ – ‘‘āpattiṃ tvaṃ, bhikkhu, āpanno pārājika’’nti mūlāpattidassanavasena vā, ‘‘anāpatti, bhikkhu, pārājikassa, āpatti saṅghādisesassa, dukkaṭassā’’ti āpattibhedadassanavasena vā, ‘‘anāpatti, bhikkhu, asādiyantassā’’ti anāpattidassanavasena vā yāni vatthūni vinītāni vinicchitāni, tāni vinītavatthūni nāma. Tesaṃ vinītavatthūnaṃ nidānavatthudīpikā tanti vatthugāthā nāma. Uddānagāthāva ‘‘vatthugāthā’’ti vuttāti eke. Tesaṃ ‘‘iminā lakkhaṇena āyatiṃ vinayadharā vinayaṃ vinicchinissantī’’ti vacanena virujjhati. Na hi uddānagāthāyaṃ kiñcipi vinicchayalakkhaṇaṃ dissati, uddānagāthānaṃ visuṃ payojanaṃ vuttaṃ ‘‘sukhaṃ vinayadharā uggaṇhissantī’’ti, tasmā payojananānattatopetaṃ nānattaṃ veditabbaṃ. Tatthāyaṃ viggaho – vatthūni eva gāthā vatthugāthā. Vinītavatthuto visesanatthamettha gāthāggahaṇaṃ. Uddānagāthāto visesanatthaṃ vatthuggahaṇanti veditabbaṃ. Keci pana ‘‘gāthānaṃ vatthūnīti vattabbe vatthugāthāti vutta’’nti vadanti. Makkaṭivatthuṃ aññe tattha bhikkhū ārocesuṃ, idha sayameva. Tattha kāraṇassa ‘‘bhagavatā sikkhāpadaṃ paññatta’’nti vuttattā vajjiputtakāpi aññe eva. ‘‘Tattha ānandatthero, idha te evā’’ti aññatarasmiṃ gaṇṭhipade vuttaṃ. Ācariyassa adhippāyo pubbe vutto, tasmā upaparikkhitabbaṃ.

    ๖๗-๘. ญตฺวาติ อปุจฺฉิตฺวา สยเมว ญตฺวาฯ โปกฺขรนฺติ สรีรํ เภริโปกฺขรํ วิยฯ โลกิยา อวิกลํ ‘‘สุนฺทร’’นฺติ วทนฺติ, ตสฺมา วณฺณโปกฺขรตายาติ ปฐเมนเตฺถน วิสิฎฺฐกายจฺฉวิตายาติ อโตฺถ, ทุติเยน วณฺณสุนฺทรตายาติฯ ‘‘อุปฺปลคพฺภวณฺณตฺตา สุวณฺณวณฺณา, ตสฺมา อุปฺปลวณฺณาติ นามํ ลภี’’ติ คณฺฐิปเท วุตฺตํฯ นีลุปฺปลวณฺณา กายจฺฉวีติ วจนํ ปน สามจฺฉวิํ ทีเปติฯ โลเก ปน ‘‘อุปฺปลสมา ปสตฺถสามา’’ติ วจนโต ‘‘ยา สามา สามวณฺณา สามตนุมชฺฌา, สา ปาริจริยา สเคฺค มม วาโส’’ติ วจนโต สามจฺฉวิกา อิตฺถีนํ ปสตฺถาฯ ‘‘ยาวสฺสา นํ อนฺธการ’’นฺติปิ ปาโฐฯ กิเลสกาเมหิ วตฺถุกาเมสุ โย น ลิมฺปติฯ

    67-8.Ñatvāti apucchitvā sayameva ñatvā. Pokkharanti sarīraṃ bheripokkharaṃ viya. Lokiyā avikalaṃ ‘‘sundara’’nti vadanti, tasmā vaṇṇapokkharatāyāti paṭhamenatthena visiṭṭhakāyacchavitāyāti attho, dutiyena vaṇṇasundaratāyāti. ‘‘Uppalagabbhavaṇṇattā suvaṇṇavaṇṇā, tasmā uppalavaṇṇāti nāmaṃ labhī’’ti gaṇṭhipade vuttaṃ. Nīluppalavaṇṇā kāyacchavīti vacanaṃ pana sāmacchaviṃ dīpeti. Loke pana ‘‘uppalasamā pasatthasāmā’’ti vacanato ‘‘yā sāmā sāmavaṇṇā sāmatanumajjhā, sā pāricariyā sagge mama vāso’’ti vacanato sāmacchavikā itthīnaṃ pasatthā. ‘‘Yāvassā naṃ andhakāra’’ntipi pāṭho. Kilesakāmehi vatthukāmesu yo na limpati.

    ๖๙. อิตฺถิลิงฺคํ ปาตุภูตนฺติ อิตฺถิสณฺฐานํ ปาตุภูตํ, ตญฺจ โข ปุริสินฺทฺริยสฺส อนฺตรธาเนน อิตฺถินฺทฺริยสฺส ปาตุภาเวนฯ เอวํ ปุริสินฺทฺริยปาตุภาเวปิฯ เอเตน ยถา พฺรหฺมานํ ปุริสินฺทฺริยํ นุปฺปชฺชติ, เกวลํ ปุริสสณฺฐานเมว อุปฺปชฺชติ, ยถา จ กสฺสจิ ปณฺฑกสฺส วินาปิ ปุริสินฺทฺริเยน ปุริสสณฺฐานํ อุปฺปชฺชติ, น ตถา เตสนฺติ ทสฺสิตํ โหติ, ตํ ปน อิตฺถินฺทฺริยํ, ปุริสินฺทฺริยํ วา อนฺตรธายนฺตํ มรนฺตานํ วิย ปฎิโลมกฺกเมน สตฺตรสมจิตฺตกฺขณโต ปฎฺฐาย อนฺตรธายติฯ ปจฺจุปฺปเนฺน อินฺทฺริเย นิรุเทฺธ อิตรํ วิสภาคินฺทฺริยํ ปาตุภวติฯ ยสฺมา มหานิทฺทํ โอกฺกนฺตเสฺสว กิรสฺส วิสภาคินฺทฺริยํ ปาตุภวติ, ตสฺมา ‘‘รตฺติภาเค นิทฺทํ โอกฺกนฺตสฺสา’’ติ วุตฺตํฯ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ตํเยว อุปชฺฌํ ตเมว อุปสมฺปท’’นฺติ วจนโต ปวตฺตินีเยว อุปชฺฌายา, อุปสมฺปทาจริยา ภิกฺขุนีเยว อาจริยาติ กตฺวา ตาสํ อุปชฺฌายวตฺตํ, อาจริยวตฺตญฺจ อิมินา ภิกฺขุนาสทาสายํ ปาตํ ภิกฺขุนุปสฺสยํ คนฺตฺวา กาตพฺพํ, ตาหิ จ อิมสฺส วิหารํ อาคมฺม สทฺธิวิหาริกวตฺตาทิ กาตพฺพํ นุ โขติ เจ? ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุนีหิ สงฺคมิตุ’’นฺติ วจเนน วินาภาวทีปนโต เกวลํ น ปุน อุปชฺฌา คเหตพฺพา, น จ อุปสมฺปทา กาตพฺพาติ ทสฺสนตฺถเมว ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ตํเยว อุปชฺฌ’’นฺติอาทิ วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ ตตฺถ ภิกฺขุนีหิ สงฺคมิตุนฺติ ภิกฺขูหิ วินา หุตฺวา ภิกฺขุนีหิ เอว สทฺธิํ สมงฺคี ภวิตุํ อนุชานามีติ อโตฺถ, ตสฺมา อิมินา ปาฬิเลเสน ‘‘ตสฺสา เอว คามนฺตราทีหิ อนาปตฺตี’’ติ อฎฺฐกถาวจนํ สิทฺธํ โหติ, อาคนฺตฺวา สงฺคมิตุํ สกฺกา, ยญฺจ ภควตา คมนํ อนุญฺญาตํ, ตํ นิสฺสาย กุโต คามนฺตราทิปจฺจยา อาปตฺติฯ น หิ ภควา อาปตฺติยํ นิโยเชตีติ ยุตฺตเมว ตํ, อญฺญถา ‘‘ยา อาปตฺติโย ภิกฺขูนํ ภิกฺขุนีหิ อสาธารณา, ตาหิ อาปตฺตีหิ อนาปตฺตี’’ติ ปาฬิวจนโต น คามนฺตราทีหิ อนาปตฺตีติ อาปชฺชติฯ สาธารณตา อาปตฺติเยว ‘‘ยา อาปตฺติโย ภิกฺขูนํ ภิกฺขุนีหิ อสาธารณา, ยา จ ภิกฺขุนีหิ สงฺคมนฺติยา คามนฺตรนทีปารรตฺติวิปฺปวาสคณโอหียนาปตฺติโย, ตาหิ อาปตฺตีหิ อนาปตฺตี’’ติ น วุตฺตตฺตาติ เจ? น วุตฺตํ อนิฎฺฐปฺปสงฺคโตฯ ภิกฺขุนีหิ สทฺธิํ สงฺกนฺตายปิ ตสฺสา ตา ปหาย อญฺญาหิ สงฺคมนฺติยา คามนฺตราทีหิ อนาปตฺติ เอว สพฺพกาลนฺติ อิมสฺส อนิฎฺฐปฺปสงฺคโต ตถา น วุตฺตนฺติ อโตฺถฯ ตตฺถ คามนฺตราปตฺตาทิวตฺถุํ สญฺจิจฺจ ตสฺมิํ กาเล อชฺฌาจรนฺตีปิ สา ลิงฺคปาตุภาเวน การเณน อนาปชฺชนโต อนาปตฺติฯ อนาปชฺชนเฎฺฐเนว วุฎฺฐาติ นามาติ เวทิตพฺพาฯ ตถา โยคี อนุปฺปเนฺน เอว กิเลเส นิโรเธติฯ อพนฺธโนปิ ปโตฺต ‘‘อูนปญฺจพนฺธโน’’ติ วุจฺจติ, สพฺพโส วา ปน น สาเวติ อปฺปจฺจกฺขาตา โหติ สิกฺขา, เอวมิธ อนาปนฺนาปิ อาปตฺติ วุฎฺฐิตา นาม โหตีติ เวทิตพฺพาฯ

    69.Itthiliṅgaṃ pātubhūtanti itthisaṇṭhānaṃ pātubhūtaṃ, tañca kho purisindriyassa antaradhānena itthindriyassa pātubhāvena. Evaṃ purisindriyapātubhāvepi. Etena yathā brahmānaṃ purisindriyaṃ nuppajjati, kevalaṃ purisasaṇṭhānameva uppajjati, yathā ca kassaci paṇḍakassa vināpi purisindriyena purisasaṇṭhānaṃ uppajjati, na tathā tesanti dassitaṃ hoti, taṃ pana itthindriyaṃ, purisindriyaṃ vā antaradhāyantaṃ marantānaṃ viya paṭilomakkamena sattarasamacittakkhaṇato paṭṭhāya antaradhāyati. Paccuppanne indriye niruddhe itaraṃ visabhāgindriyaṃ pātubhavati. Yasmā mahāniddaṃ okkantasseva kirassa visabhāgindriyaṃ pātubhavati, tasmā ‘‘rattibhāge niddaṃ okkantassā’’ti vuttaṃ. ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, taṃyeva upajjhaṃ tameva upasampada’’nti vacanato pavattinīyeva upajjhāyā, upasampadācariyā bhikkhunīyeva ācariyāti katvā tāsaṃ upajjhāyavattaṃ, ācariyavattañca iminā bhikkhunāsadāsāyaṃ pātaṃ bhikkhunupassayaṃ gantvā kātabbaṃ, tāhi ca imassa vihāraṃ āgamma saddhivihārikavattādi kātabbaṃ nu khoti ce? ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, bhikkhunīhi saṅgamitu’’nti vacanena vinābhāvadīpanato kevalaṃ na puna upajjhā gahetabbā, na ca upasampadā kātabbāti dassanatthameva ‘‘anujānāmi, bhikkhave, taṃyeva upajjha’’ntiādi vuttanti veditabbaṃ. Tattha bhikkhunīhi saṅgamitunti bhikkhūhi vinā hutvā bhikkhunīhi eva saddhiṃ samaṅgī bhavituṃ anujānāmīti attho, tasmā iminā pāḷilesena ‘‘tassā eva gāmantarādīhi anāpattī’’ti aṭṭhakathāvacanaṃ siddhaṃ hoti, āgantvā saṅgamituṃ sakkā, yañca bhagavatā gamanaṃ anuññātaṃ, taṃ nissāya kuto gāmantarādipaccayā āpatti. Na hi bhagavā āpattiyaṃ niyojetīti yuttameva taṃ, aññathā ‘‘yā āpattiyo bhikkhūnaṃ bhikkhunīhi asādhāraṇā, tāhi āpattīhi anāpattī’’ti pāḷivacanato na gāmantarādīhi anāpattīti āpajjati. Sādhāraṇatā āpattiyeva ‘‘yā āpattiyo bhikkhūnaṃ bhikkhunīhi asādhāraṇā, yā ca bhikkhunīhi saṅgamantiyā gāmantaranadīpārarattivippavāsagaṇaohīyanāpattiyo, tāhi āpattīhi anāpattī’’ti na vuttattāti ce? Na vuttaṃ aniṭṭhappasaṅgato. Bhikkhunīhi saddhiṃ saṅkantāyapi tassā tā pahāya aññāhi saṅgamantiyā gāmantarādīhi anāpatti eva sabbakālanti imassa aniṭṭhappasaṅgato tathā na vuttanti attho. Tattha gāmantarāpattādivatthuṃ sañcicca tasmiṃ kāle ajjhācarantīpi sā liṅgapātubhāvena kāraṇena anāpajjanato anāpatti. Anāpajjanaṭṭheneva vuṭṭhāti nāmāti veditabbā. Tathā yogī anuppanne eva kilese nirodheti. Abandhanopi patto ‘‘ūnapañcabandhano’’ti vuccati, sabbaso vā pana na sāveti appaccakkhātā hoti sikkhā, evamidha anāpannāpi āpatti vuṭṭhitā nāma hotīti veditabbā.

    ยสฺมา ปน สา ปุริเสน สหเสยฺยาปตฺติํ อนาปชฺชนฺตีปิ สโกฺกติ ภิกฺขุนีหิ สงฺคมิตุํ , ตสฺมา อนาปตฺตีติ กตฺวา อฎฺฐกถายํ ‘‘อุภินฺนมฺปิ สหเสยฺยาปตฺติ โหตี’’ติ วุตฺตํฯ วุตฺตเญฺหตํ ปริวาเร ‘‘อปเรหิปิ จตูหากาเรหิ อาปตฺติํ อาปชฺชติ สงฺฆมเชฺฌ คณมเชฺฌ ปุคฺคลสฺส สนฺติเก ลิงฺคปาตุภาเวนา’’ติ (ปริ. ๓๒๔)ฯ ยํ ปน วุตฺตํ ปริวาเร ‘‘อตฺถาปตฺติ อาปชฺชโนฺต วุฎฺฐาติ วุฎฺฐหโนฺต อาปชฺชตี’’ติ (ปริ. ๓๒๔), ตสฺส สหเสยฺยาทิํ อาปชฺชติ อสาธารณาปตฺตีหิ วุฎฺฐาติ, ตทุภยมฺปิ สนฺธาย วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ ทูเร วิหาโร โหติ ปญฺจธนุสติกํ ปจฺฉิมํ, วิหารโต ปฎฺฐาย คามํ ปวิสนฺติยา คามนฺตรํ โหตีติ อโตฺถฯ สํวิทหนํ ปริโมเจตฺวาติ อทฺธานคมนสํวิทหนํ อกตฺวาติ อโตฺถฯ ตา โกเปตฺวาติ ปริจฺจชิตฺวาติ อโตฺถฯ ‘‘ปริปุณฺณวสฺสสามเณเรนาปี’’ติ วจนโต อปริปุณฺณวสฺสสฺส อุปชฺฌายคฺคหณํ นตฺถีติ วิย ทิสฺสติฯ วินยกมฺมํ กตฺวา ฐปิโตติ วิกเปฺปตฺวา ฐปิโตฯ อวิกปฺปิตานํ ทสาหาติกฺกเม นิสฺสคฺคิยตา เวทิตพฺพาฯ ปุน ปฎิคฺคเหตฺวา สตฺตาหํ วฎฺฎตีติ ปน ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ภิกฺขูนํ สนฺนิธิํ ภิกฺขุนีหิ ปฎิคฺคาหาเปตฺวา ปริภุญฺชิตุ’’นฺติ (จูฬว. ๔๒๑) วจนโต วุตฺตํฯ อนเปกฺขวิสฺสชฺชเนนาติ วตฺถุํ อนเปกฺขวิสฺสชฺชเนน วา ปฎิคฺคหเณน วา ปุน ปฎิคฺคเหตฺวา ปริภุญฺชิสฺสามีติฯ ปกฺขมานตฺตกาเล ปุนเทว ลิงฺคํ ปริวตฺตติ ฉารตฺตํ มานตฺตเมว ทาตพฺพนฺติ สเจ, ภิกฺขุกาเล อปฺปฎิจฺฉนฺนาย อาปตฺติยา, โน ปฎิจฺฉนฺนายาติ โน ลทฺธีติ อาจริโยฯ

    Yasmā pana sā purisena sahaseyyāpattiṃ anāpajjantīpi sakkoti bhikkhunīhi saṅgamituṃ , tasmā anāpattīti katvā aṭṭhakathāyaṃ ‘‘ubhinnampi sahaseyyāpatti hotī’’ti vuttaṃ. Vuttañhetaṃ parivāre ‘‘aparehipi catūhākārehi āpattiṃ āpajjati saṅghamajjhe gaṇamajjhe puggalassa santike liṅgapātubhāvenā’’ti (pari. 324). Yaṃ pana vuttaṃ parivāre ‘‘atthāpatti āpajjanto vuṭṭhāti vuṭṭhahanto āpajjatī’’ti (pari. 324), tassa sahaseyyādiṃ āpajjati asādhāraṇāpattīhi vuṭṭhāti, tadubhayampi sandhāya vuttanti veditabbaṃ. Dūre vihāro hoti pañcadhanusatikaṃ pacchimaṃ, vihārato paṭṭhāya gāmaṃ pavisantiyā gāmantaraṃ hotīti attho. Saṃvidahanaṃ parimocetvāti addhānagamanasaṃvidahanaṃ akatvāti attho. Tā kopetvāti pariccajitvāti attho. ‘‘Paripuṇṇavassasāmaṇerenāpī’’ti vacanato aparipuṇṇavassassa upajjhāyaggahaṇaṃ natthīti viya dissati. Vinayakammaṃ katvā ṭhapitoti vikappetvā ṭhapito. Avikappitānaṃ dasāhātikkame nissaggiyatā veditabbā. Puna paṭiggahetvā sattāhaṃ vaṭṭatīti pana ‘‘anujānāmi, bhikkhave, bhikkhūnaṃ sannidhiṃ bhikkhunīhi paṭiggāhāpetvā paribhuñjitu’’nti (cūḷava. 421) vacanato vuttaṃ. Anapekkhavissajjanenāti vatthuṃ anapekkhavissajjanena vā paṭiggahaṇena vā puna paṭiggahetvā paribhuñjissāmīti. Pakkhamānattakāle punadeva liṅgaṃ parivattati chārattaṃ mānattameva dātabbanti sace, bhikkhukāle appaṭicchannāya āpattiyā, no paṭicchannāyāti no laddhīti ācariyo.

    ปริวาสทานํ ปน นตฺถีติ ภิกฺขุนิยา ฉาทนาสมฺภวโต วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ สเจ ภิกฺขุนี อสาธารณํ ปาราชิกาปตฺติํ อาปชฺชิตฺวา ปุริสลิงฺคํ ปฎิลภติ, ภิกฺขูสุ อุปสมฺปทํ น ลภติ, ปพฺพชฺชํ ลภติ, อนุปพฺพชิตฺวา ภิกฺขุภาเว ฐิโต สหเสยฺยาปตฺติํ น ชเนติฯ วิพฺภนฺตาย ภิกฺขุนิยา ปุริสลิเงฺค ปาตุภูเต ภิกฺขูสุ อุปสมฺปทํ น ลภติ, ปาราชิกํฯ อวิพฺภนฺตมานสฺส คหฎฺฐเสฺสว สโต ภิกฺขุนีทูสกสฺส สเจ อิตฺถิลิงฺคํ ปาตุภวติ, เนว ภิกฺขุนีสุ อุปสมฺปทํ ลภติ, น ปุน ลิงฺคปริวเตฺต ชาเต ภิกฺขูสุ วาติฯ ภิกฺขุนิยา ลิงฺคปริวเตฺต สติ ภิกฺขุ โหติ, โส เจ สิกฺขํ ปจฺจกฺขาย วิพฺภมิตฺวา อิตฺถิลิงฺคํ ปฎิลเภยฺย, ภิกฺขุนีสุ อุปสมฺปทํ ปฎิลภติ อุภยตฺถ ปุเพฺพ ปาราชิกภาวํ อปฺปตฺตตฺตาฯ ยา ปน ภิกฺขุนี ปริปุณฺณทฺวาทสวสฺสา ปุริสลิงฺคํ ปฎิลเภยฺย, อุปสมฺปโนฺน ภิกฺขุ เอวฯ ปุน สิกฺขํ ปจฺจกฺขาย อาคโต น อุปสมฺปาเทตโพฺพ อปริปุณฺณวีสติวสฺสตฺตาฯ ปุน ลิงฺคปริวเตฺต สติ ภิกฺขุนีสุ อุปสมฺปทํ ลภติฯ เอวํ เจ กตทฺวาทสสงฺคหสฺส ทารกสฺส ลิงฺคปริวเตฺต สติ คิหิคตา อิตฺถี โหติ, ปริปุณฺณทฺวาทสวสฺสา อุปสมฺปาเทตพฺพา กิรฯ ภิกฺขุนิยา อิตฺถิลิงฺคนฺตรธาเนน, ภิกฺขุสฺส วา ปุริสลิงฺคนฺตรธาเนน ปกฺขปณฺฑกภาโว ภเวยฺย, น สา ภิกฺขุนี ภิกฺขุนีหิ นาเสตพฺพา ภิกฺขุ วา ภิกฺขูหิ ปุน ปกติภาวาปตฺติสมฺภวา ฯ ปกติปณฺฑกํ ปน สนฺธาย ‘‘ปณฺฑโก นาเสตโพฺพ’’ติ วุตฺตํฯ ปกฺขปณฺฑโก หิ สํวาสนาสนาย นาเสตโพฺพ, อิตโร อุภยนาสนายาติ อโตฺถฯ ยทิ เตสํ ปุน ปกติภาโว ภเวยฺย, ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ตํเยว อุปชฺฌํ ตเมว อุปสมฺปทํ ตานิเยว วสฺสานิ ภิกฺขุนีหิ สงฺคมิตุ’’นฺติ อยํ วิธิ สมฺภวติฯ สเจ เนสํ ลิงฺคนฺตรํ ปาตุภเวยฺย, โส จ วิธิ, ยา อาปตฺติโย ภิกฺขูนํ ภิกฺขุนีหิ สาธารณา, ตา อาปตฺติโย ภิกฺขุนีนํ สนฺติเก วุฎฺฐาตุํ อสาธารณาหิ อนาปตฺตีติ อยมฺปิ วิธิ สมฺภวติฯ ยํ วุตฺตํ ปริวาเร ‘‘สห ปฎิลาเภน ปุริมํ ชหติ, ปจฺฉิเม ปติฎฺฐาติ, วิญฺญตฺติโย ปฎิปฺปสฺสมฺภนฺติ, ปญฺญตฺติโย นิรุชฺฌนฺติ, สห ปฎิลาเภน ปจฺฉิมํ ชหติ, ปุริเม ปติฎฺฐาติ, วิญฺญตฺติโย’’ติอาทิ, ตํ ยถาวุตฺตวิธิํ สนฺธาย วุตฺตนฺติ อมฺหากํ ขนฺตีติ อาจริโยฯ อิตฺถิลิงฺคํ, ปุริสลิงฺคํ วา อนฺตรธายนฺตํ กิํ สกลมฺปิ สรีรํ คเหตฺวา อนฺตรธายติ, อุทาหุ สยเมวฯ กิเญฺจตฺถ – ยทิ ตาว สกลํ สรีรํ คเหตฺวา อนฺตรธายติ, อยํ ปุคฺคโล จุโต ภเวยฺยฯ ตสฺมา สามญฺญา จุโต ภเวยฺย, ปุน อุปสมฺปชฺชโนฺต โอปปาติโก ภเวยฺยฯ อถ สยเมว อนฺตรธายติ, โสปิ ภาโว ตสฺส วิรุชฺฌติฯ อิตฺถินฺทฺริยาทีนิ หิ สกลมฺปิ สรีรํ พฺยาเปตฺวา ฐิตานีติ ขณนิโรโธ วิย เตสํ อนฺตรธานํ เวทิตพฺพํ, ตสฺมา ยถาวุตฺตโทสปฺปสงฺคาภาโว เวทิตโพฺพฯ อญฺญมญฺญํ สํสฎฺฐปฺปภานํ ทีปานํ เอกปฺปภานิโรเธปิ อิตริสฺสา ฐานํ วิย เสสสรีรฎฺฐานํ ตตฺถ โหตีติ เวทิตพฺพํฯ

    Parivāsadānaṃ pana natthīti bhikkhuniyā chādanāsambhavato vuttanti veditabbaṃ. Sace bhikkhunī asādhāraṇaṃ pārājikāpattiṃ āpajjitvā purisaliṅgaṃ paṭilabhati, bhikkhūsu upasampadaṃ na labhati, pabbajjaṃ labhati, anupabbajitvā bhikkhubhāve ṭhito sahaseyyāpattiṃ na janeti. Vibbhantāya bhikkhuniyā purisaliṅge pātubhūte bhikkhūsu upasampadaṃ na labhati, pārājikaṃ. Avibbhantamānassa gahaṭṭhasseva sato bhikkhunīdūsakassa sace itthiliṅgaṃ pātubhavati, neva bhikkhunīsu upasampadaṃ labhati, na puna liṅgaparivatte jāte bhikkhūsu vāti. Bhikkhuniyā liṅgaparivatte sati bhikkhu hoti, so ce sikkhaṃ paccakkhāya vibbhamitvā itthiliṅgaṃ paṭilabheyya, bhikkhunīsu upasampadaṃ paṭilabhati ubhayattha pubbe pārājikabhāvaṃ appattattā. Yā pana bhikkhunī paripuṇṇadvādasavassā purisaliṅgaṃ paṭilabheyya, upasampanno bhikkhu eva. Puna sikkhaṃ paccakkhāya āgato na upasampādetabbo aparipuṇṇavīsativassattā. Puna liṅgaparivatte sati bhikkhunīsu upasampadaṃ labhati. Evaṃ ce katadvādasasaṅgahassa dārakassa liṅgaparivatte sati gihigatā itthī hoti, paripuṇṇadvādasavassā upasampādetabbā kira. Bhikkhuniyā itthiliṅgantaradhānena, bhikkhussa vā purisaliṅgantaradhānena pakkhapaṇḍakabhāvo bhaveyya, na sā bhikkhunī bhikkhunīhi nāsetabbā bhikkhu vā bhikkhūhi puna pakatibhāvāpattisambhavā . Pakatipaṇḍakaṃ pana sandhāya ‘‘paṇḍako nāsetabbo’’ti vuttaṃ. Pakkhapaṇḍako hi saṃvāsanāsanāya nāsetabbo, itaro ubhayanāsanāyāti attho. Yadi tesaṃ puna pakatibhāvo bhaveyya, ‘‘anujānāmi, bhikkhave, taṃyeva upajjhaṃ tameva upasampadaṃ tāniyeva vassāni bhikkhunīhi saṅgamitu’’nti ayaṃ vidhi sambhavati. Sace nesaṃ liṅgantaraṃ pātubhaveyya, so ca vidhi, yā āpattiyo bhikkhūnaṃ bhikkhunīhi sādhāraṇā, tā āpattiyo bhikkhunīnaṃ santike vuṭṭhātuṃ asādhāraṇāhi anāpattīti ayampi vidhi sambhavati. Yaṃ vuttaṃ parivāre ‘‘saha paṭilābhena purimaṃ jahati, pacchime patiṭṭhāti, viññattiyo paṭippassambhanti, paññattiyo nirujjhanti, saha paṭilābhena pacchimaṃ jahati, purime patiṭṭhāti, viññattiyo’’tiādi, taṃ yathāvuttavidhiṃ sandhāya vuttanti amhākaṃ khantīti ācariyo. Itthiliṅgaṃ, purisaliṅgaṃ vā antaradhāyantaṃ kiṃ sakalampi sarīraṃ gahetvā antaradhāyati, udāhu sayameva. Kiñcettha – yadi tāva sakalaṃ sarīraṃ gahetvā antaradhāyati, ayaṃ puggalo cuto bhaveyya. Tasmā sāmaññā cuto bhaveyya, puna upasampajjanto opapātiko bhaveyya. Atha sayameva antaradhāyati, sopi bhāvo tassa virujjhati. Itthindriyādīni hi sakalampi sarīraṃ byāpetvā ṭhitānīti khaṇanirodho viya tesaṃ antaradhānaṃ veditabbaṃ, tasmā yathāvuttadosappasaṅgābhāvo veditabbo. Aññamaññaṃ saṃsaṭṭhappabhānaṃ dīpānaṃ ekappabhānirodhepi itarissā ṭhānaṃ viya sesasarīraṭṭhānaṃ tattha hotīti veditabbaṃ.

    ๗๑-๒. มุจฺจตุ วา มา วา ทุกฺกฎเมวาติ โมจนราคาภาวโตฯ อวิสโยติ อสาทิยนํ นาม เอวรูเป ฐาเน ทุกฺกรนฺติ อโตฺถฯ เมถุนธโมฺม นาม อุภินฺนํ วายาเมน นิปชฺชติ ‘‘ตสฺส ทฺวยํทฺวยสมาปตฺตี’’ติ วุตฺตตฺตา, ตสฺมา ตฺวํ มา วายาม, เอวํ เต อนาปตฺติ ภวิสฺสติ, กิริยเญฺหตํ สิกฺขาปทนฺติ วุตฺตํ โหติ, ‘‘อาปตฺติํ ตฺวํ ภิกฺขุ อาปโนฺน ปาราชิก’’นฺติ วจนโต อกิริยเมฺปตํ สิกฺขาปทํ เยภุเยฺยน ‘‘กิริย’’นฺติ วุจฺจตีติ สิทฺธํ โหติฯ

    71-2.Muccatuvā mā vā dukkaṭamevāti mocanarāgābhāvato. Avisayoti asādiyanaṃ nāma evarūpe ṭhāne dukkaranti attho. Methunadhammo nāma ubhinnaṃ vāyāmena nipajjati ‘‘tassa dvayaṃdvayasamāpattī’’ti vuttattā, tasmā tvaṃ mā vāyāma, evaṃ te anāpatti bhavissati, kiriyañhetaṃ sikkhāpadanti vuttaṃ hoti, ‘‘āpattiṃ tvaṃ bhikkhu āpanno pārājika’’nti vacanato akiriyampetaṃ sikkhāpadaṃ yebhuyyena ‘‘kiriya’’nti vuccatīti siddhaṃ hoti.

    ๗๓-๔. ‘‘ปาราชิกภเยน อากาสคตเมว กตฺวา ปเวสนาทีนิ กโรนฺตสฺส สหสา ตาลุกํ วา ปสฺสํ วา องฺคชาตํ ฉุปติ เจ, ทุกฺกฎเมวา’’ติ วทนฺติฯ กสฺมา? น เมถุนราคตฺตาติ, วีมํสิตพฺพํฯ ทนฺตานํ พาหิรภาโว โอฎฺฐานํ พาหิรภาโว วิย ถุลฺลจฺจยวตฺถุ โหตีติ วุตฺตํ ‘‘พหิ นิกฺขนฺตทเนฺต ชิวฺหาย จ ถุลฺลจฺจย’’นฺติฯ ตํ ปุคฺคลํ วิสญฺญิํ กตฺวาติ วจเนน โส ปุคฺคโล ขิตฺตจิโตฺต นาม โหตีติ ทสฺสิตํ โหติฯ โย ปน ปุคฺคโล น วิสญฺญีกโต, โส เจ อตฺตโน องฺคชาตสฺส ธาตุฆฎฺฎนจริณิชฺฌิณิกาทิสญฺญาย สาทิยติ, เมถุนสญฺญาย อภาวโต วิสญฺญีปกฺขเมว ภชตีติ ตสฺส อนาปตฺติจฺฉายา ทิสฺสติฯ ‘‘เมถุนเมตํ มเญฺญ กสฺสจิ อมนุสฺสสฺสา’’ติ ญตฺวา สาทิยนฺตสฺส อาปตฺติ เอวฯ ปณฺฑกสฺส เมถุนธมฺมนฺติ ปณฺฑกสฺส วจฺจมเคฺค วา มุเข วา, ภุมฺมเตฺถ วา สามิวจนํฯ อเวทยนฺตสฺสปิ เสวนจิตฺตวเสน อาปตฺติ สนฺถเตเนว เสวเน วิยฯ

    73-4. ‘‘Pārājikabhayena ākāsagatameva katvā pavesanādīni karontassa sahasā tālukaṃ vā passaṃ vā aṅgajātaṃ chupati ce, dukkaṭamevā’’ti vadanti. Kasmā? Na methunarāgattāti, vīmaṃsitabbaṃ. Dantānaṃ bāhirabhāvo oṭṭhānaṃ bāhirabhāvo viya thullaccayavatthu hotīti vuttaṃ ‘‘bahi nikkhantadante jivhāya ca thullaccaya’’nti. Taṃ puggalaṃ visaññiṃ katvāti vacanena so puggalo khittacitto nāma hotīti dassitaṃ hoti. Yo pana puggalo na visaññīkato, so ce attano aṅgajātassa dhātughaṭṭanacariṇijjhiṇikādisaññāya sādiyati, methunasaññāya abhāvato visaññīpakkhameva bhajatīti tassa anāpatticchāyā dissati. ‘‘Methunametaṃ maññe kassaci amanussassā’’ti ñatvā sādiyantassa āpatti eva. Paṇḍakassa methunadhammanti paṇḍakassa vaccamagge vā mukhe vā, bhummatthe vā sāmivacanaṃ. Avedayantassapi sevanacittavasena āpatti santhateneva sevane viya.

    อุปหตินฺทฺริยวตฺถุสฺมิํ ‘‘เอตมตฺถํ อาโรเจสุํ, โส อาโรเจสี’’ติ ทุวิโธ ปาโฐ อตฺถิฯ ตตฺถ ‘‘อาโรเจสุ’’นฺติ วุตฺตปาโฐ ‘‘เวทิยิ วา โส ภิกฺขเว’’ติ วุตฺตตฺตา สุนฺทรํ, อญฺญถา ‘‘อาปตฺติํ ตฺวํ ภิกฺขู’’ติ วตฺตพฺพํ สิยาฯ ‘‘เวทิยา วา’’ติ ทีปวาสิโน ปฐนฺติ กิร, เมถุนธมฺมสฺส ปุพฺพปโยคา หตฺถคฺคาหาทโย, ตสฺมา ‘‘ทุกฺกฎเมวสฺส โหตี’’ติ อิมินา ปุริมปเทน สมฺพโนฺธฯ ยสฺมา ปน ทุกฺกฎเมวสฺส โหติ, ตสฺมา ยาว สีสํ น ปาปุณาติ ปุคฺคโล, ตาว ทุกฺกเฎ ติฎฺฐตีติ สมฺพโนฺธ เวทิตโพฺพฯ สีสํ นาม มคฺคปฎิปาทนํฯ ‘‘สีสํ น ปาปุณาตีติ ปาราชิกํ น โหติ ตาว ปุพฺพปโยคทุกฺกเฎ ติฎฺฐตี’’ติ อญฺญตรสฺมิํ คณฺฐิปเท ลิขิตํ ฯ อุจฺจาลิงฺคปาณกทเฎฺฐนาติ เอตฺถ ภาวนิฎฺฐาปจฺจโย เวทิตโพฺพฯ ทเฎฺฐน ทํเสน ขาทเนนาติ หิ อตฺถโต เอกํฯ

    Upahatindriyavatthusmiṃ ‘‘etamatthaṃ ārocesuṃ, so ārocesī’’ti duvidho pāṭho atthi. Tattha ‘‘ārocesu’’nti vuttapāṭho ‘‘vediyi vā so bhikkhave’’ti vuttattā sundaraṃ, aññathā ‘‘āpattiṃ tvaṃ bhikkhū’’ti vattabbaṃ siyā. ‘‘Vediyā vā’’ti dīpavāsino paṭhanti kira, methunadhammassa pubbapayogā hatthaggāhādayo, tasmā ‘‘dukkaṭamevassa hotī’’ti iminā purimapadena sambandho. Yasmā pana dukkaṭamevassa hoti, tasmā yāva sīsaṃ na pāpuṇāti puggalo, tāva dukkaṭe tiṭṭhatīti sambandho veditabbo. Sīsaṃ nāma maggapaṭipādanaṃ. ‘‘Sīsaṃ na pāpuṇātīti pārājikaṃ na hoti tāva pubbapayogadukkaṭe tiṭṭhatī’’ti aññatarasmiṃ gaṇṭhipade likhitaṃ . Uccāliṅgapāṇakadaṭṭhenāti ettha bhāvaniṭṭhāpaccayo veditabbo. Daṭṭhena daṃsena khādanenāti hi atthato ekaṃ.

    ๗๖-๗. สงฺคามสีเส ยุทฺธมุเข โยธปุริโส วิยายํ ภิกฺขูติ ‘‘สงฺคามสีสโยโธ ภิกฺขู’’ติ วุจฺจติฯ รุกฺขสูจิทฺวารํ อุปิลวาย, เอเกน วา พหูหิ วา กณฺฎเกหิ ถกิตพฺพํ กณฺฎกทฺวารํฯ ทุสฺสทฺวารํ สาณิทฺวารญฺจ ทุสฺสสาณิทฺวารํฯ ‘‘กิลญฺชสาณี’’ติอาทินา วุตฺตํ สพฺพมฺปิ ทุสฺสสาณิยเมว สงฺคเหตฺวา วุตฺตํฯ เอกสทิสตฺตา ‘‘เอก’’นฺติ วุตฺตํฯ อากาสตเลติ หมฺมิยตเลติ อโตฺถฯ อยเญฺหตฺถ สเงฺขโปติ อิทานิ วตฺตพฺพํ สนฺธาย วุตฺตํฯ ‘‘กิญฺจิ กโรนฺตา นิสินฺนา โหนฺตีติ วุตฺตตฺตา นิปนฺนานํ อาปุจฺฉนํ น วฎฺฎตี’’ติ วทนฺติฯ ‘‘ยถาปริเจฺฉทเมว จ น อุฎฺฐาติ, ตสฺส อาปตฺติเยวา’’ติ กิญฺจาปิ อวิเสเสน วุตฺตํ, อนาทริยทุกฺกฎาปตฺติ เอว ตตฺถ อธิเปฺปตาฯ กถํ ปญฺญายตีติ? ‘‘รตฺติํ ทฺวารํ วิวริตฺวา นิปโนฺน อรุเณ อุคฺคเต อุฎฺฐหติ, อนาปตฺตี’’ติ วุตฺตตฺตา, มหาปจฺจริยํ วิเสเสตฺวา ‘‘อนาทริยทุกฺกฎาปิ น มุจฺจตี’’ติ วุตฺตตฺตา จ, เตน อิตรสฺมา ทุกฺกฎา มุจฺจตีติ อธิปฺปาโยฯ ยถาปริเจฺฉทเมว จ น อุฎฺฐาติ, ตสฺส อาปตฺติเยวาติ เอตฺถ น อนาทริยทุกฺกฎํ สนฺธาย วุตฺตํฯ ยถาปริเจฺฉทเมวาติ อวธารณตฺตา ปริเจฺฉทโต อพฺภนฺตเร น โหตีติ วุตฺตํ โหติฯ ปุน ‘‘สุปตี’’ติ วุตฺตฎฺฐาเน วิย สนฺนิฎฺฐานํ คเหตฺวา วุตฺตํฯ เอวํ นิปชฺชโนฺตติ นิปชฺชนกาเล อาปชฺชิตพฺพทุกฺกฎเมว สนฺธาย วุตฺตํ, ตสฺมา ยถาปริเจฺฉเทน อุฎฺฐหนฺตสฺส เทฺว ทุกฺกฎานีติ วุตฺตํ โหตีติฯ อนฺธกฎฺฐกถายมฺปิ ‘‘ยทิ รตฺติํ ทฺวารํ อสํวริตฺวา นิปโนฺน ‘ทิวา วุฎฺฐหิสฺสามี’ติ, อนาทริเย อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ วุตฺตํ, เอตฺถาปิ ‘‘นิปโนฺน’’ติ วุตฺตตฺตา ‘‘อรุเณ อุฎฺฐิเต อุฎฺฐาหี’’ติ น วุตฺตตฺตา จ ชานิตพฺพํฯ ‘‘มหาปจฺจริยํ อนาทริยทุกฺกฎเมว สนฺธาย วุตฺตํ, น อฎฺฐกถายํ วุตฺตทุกฺกฎ’’นฺติ เอเก วทนฺติฯ ตสฺส อนาปตฺตีติ อตฺถโต อนิปนฺนตฺตา วุตฺตํฯ ‘‘สเจ ปน รตฺติํ สํวริตฺวา นิปโนฺน, อรุณุฎฺฐานสมเย โกจิ วิวรติ, ทฺวารชคฺคนาทีนิ อกตฺวา นิปนฺนสฺส อาปตฺติเยวฯ กสฺมา? อาปตฺติเขตฺตตฺตา’’ติ วทนฺติฯ

    76-7. Saṅgāmasīse yuddhamukhe yodhapuriso viyāyaṃ bhikkhūti ‘‘saṅgāmasīsayodho bhikkhū’’ti vuccati. Rukkhasūcidvāraṃ upilavāya, ekena vā bahūhi vā kaṇṭakehi thakitabbaṃ kaṇṭakadvāraṃ. Dussadvāraṃ sāṇidvārañca dussasāṇidvāraṃ. ‘‘Kilañjasāṇī’’tiādinā vuttaṃ sabbampi dussasāṇiyameva saṅgahetvā vuttaṃ. Ekasadisattā ‘‘eka’’nti vuttaṃ. Ākāsataleti hammiyataleti attho. Ayañhettha saṅkhepoti idāni vattabbaṃ sandhāya vuttaṃ. ‘‘Kiñci karontā nisinnā hontīti vuttattā nipannānaṃ āpucchanaṃ na vaṭṭatī’’ti vadanti. ‘‘Yathāparicchedameva ca na uṭṭhāti, tassa āpattiyevā’’ti kiñcāpi avisesena vuttaṃ, anādariyadukkaṭāpatti eva tattha adhippetā. Kathaṃ paññāyatīti? ‘‘Rattiṃ dvāraṃ vivaritvā nipanno aruṇe uggate uṭṭhahati, anāpattī’’ti vuttattā, mahāpaccariyaṃ visesetvā ‘‘anādariyadukkaṭāpi na muccatī’’ti vuttattā ca, tena itarasmā dukkaṭā muccatīti adhippāyo. Yathāparicchedameva ca na uṭṭhāti, tassa āpattiyevāti ettha na anādariyadukkaṭaṃ sandhāya vuttaṃ. Yathāparicchedamevāti avadhāraṇattā paricchedato abbhantare na hotīti vuttaṃ hoti. Puna ‘‘supatī’’ti vuttaṭṭhāne viya sanniṭṭhānaṃ gahetvā vuttaṃ. Evaṃ nipajjantoti nipajjanakāle āpajjitabbadukkaṭameva sandhāya vuttaṃ, tasmā yathāparicchedena uṭṭhahantassa dve dukkaṭānīti vuttaṃ hotīti. Andhakaṭṭhakathāyampi ‘‘yadi rattiṃ dvāraṃ asaṃvaritvā nipanno ‘divā vuṭṭhahissāmī’ti, anādariye āpatti dukkaṭassā’’ti vuttaṃ, etthāpi ‘‘nipanno’’ti vuttattā ‘‘aruṇe uṭṭhite uṭṭhāhī’’ti na vuttattā ca jānitabbaṃ. ‘‘Mahāpaccariyaṃ anādariyadukkaṭameva sandhāya vuttaṃ, na aṭṭhakathāyaṃ vuttadukkaṭa’’nti eke vadanti. Tassa anāpattīti atthato anipannattā vuttaṃ. ‘‘Sace pana rattiṃ saṃvaritvā nipanno, aruṇuṭṭhānasamaye koci vivarati, dvārajagganādīni akatvā nipannassa āpattiyeva. Kasmā? Āpattikhettattā’’ti vadanti.

    ยสฺมา ยกฺขคหิตโกปิ วิสญฺญีภูโต วิย ขิตฺตจิโตฺต นาม โหติ, อสฺส ปาราชิกาปตฺติโต อนาปตฺติ, ปเคว อญฺญโต, ตสฺมา ‘‘ยกฺขคหิตโก วิย วิสญฺญีภูโตปิ น มุจฺจตี’’ติ ยํ มหาปจฺจริยํ วุตฺตํ, ตํ ปุเพฺพ สญฺจิจฺจ ทิวา นิปโนฺน ปจฺฉา ยกฺขคหิตโกปิ วิสญฺญีภูโตปิ น มุจฺจติ นิปชฺชนปโยคกฺขเณ เอว อาปนฺนตฺตาติ อธิปฺปาเยน วุตฺตํฯ พนฺธิตฺวา นิปชฺชาปิโตว มุจฺจตีติ น ยกฺขคหิตกาทีเสฺวว, โสปิ ยาว สยเมว สยนาธิปฺปาโย น โหติ, ตาว มุจฺจติฯ ยทา กิลโนฺต หุตฺวา นิทฺทายิตุกามตาย สยนาธิปฺปาโย โหติ, ตทา สํวราเปตฺวา, ชคฺคาเปตฺวา วา อาโภคํ วา กตฺวา นิทฺทายิตพฺพํ, อญฺญถา อาปตฺติฯ สภาโค เจ นตฺถิ, น ปสฺสติ วา, น คนฺตุํ วา สโกฺกติฯ จิรมฺปิ อธิวาเสตฺวา ปจฺฉา เวทนาโฎฺฎ หุตฺวา อนาโภเคเนว สยติ, ตสฺส ‘‘อนาปตฺติ เวทนาฎฺฎสฺสา’’ติ วจเนน อนาปตฺติ, ตสฺสาปิ อวิสยตฺตา อาปตฺติ น ทิสฺสตีติ วิสญฺญีภาเวเนว สุปนฺตสฺส ‘‘อนาปตฺติ ขิตฺตจิตฺตสฺสา’’ติ วจเนน น ทิสฺสติฯ อาจริยา ปน เอวํ น กถยนฺตีติ อวิเสเสน ‘‘น ทิสฺสตี’’ติ น กถยนฺติ, ยทิ สญฺญํ อปฺปฎิลภิตฺวา สยติ, อวสวตฺตตฺตา อาปตฺติ น ทิสฺสติ, สเจ สญฺญํ ปฎิลภิตฺวาปิ กิลนฺตกายตฺตา สยนํ สาทิยโนฺต สุปติ, ตสฺส ยสฺมา อวสวตฺตตฺตํ น ทิสฺสติ, ตสฺมา อาปตฺติ เอวาติ กถยนฺตีติ อธิปฺปาโยฯ

    Yasmā yakkhagahitakopi visaññībhūto viya khittacitto nāma hoti, assa pārājikāpattito anāpatti, pageva aññato, tasmā ‘‘yakkhagahitako viya visaññībhūtopi na muccatī’’ti yaṃ mahāpaccariyaṃ vuttaṃ, taṃ pubbe sañcicca divā nipanno pacchā yakkhagahitakopi visaññībhūtopi na muccati nipajjanapayogakkhaṇe eva āpannattāti adhippāyena vuttaṃ. Bandhitvā nipajjāpitova muccatīti na yakkhagahitakādīsveva, sopi yāva sayameva sayanādhippāyo na hoti, tāva muccati. Yadā kilanto hutvā niddāyitukāmatāya sayanādhippāyo hoti, tadā saṃvarāpetvā, jaggāpetvā vā ābhogaṃ vā katvā niddāyitabbaṃ, aññathā āpatti. Sabhāgo ce natthi, na passati vā, na gantuṃ vā sakkoti. Cirampi adhivāsetvā pacchā vedanāṭṭo hutvā anābhogeneva sayati, tassa ‘‘anāpatti vedanāṭṭassā’’ti vacanena anāpatti, tassāpi avisayattā āpatti na dissatīti visaññībhāveneva supantassa ‘‘anāpatti khittacittassā’’ti vacanena na dissati. Ācariyā pana evaṃ na kathayantīti avisesena ‘‘na dissatī’’ti na kathayanti, yadi saññaṃ appaṭilabhitvā sayati, avasavattattā āpatti na dissati, sace saññaṃ paṭilabhitvāpi kilantakāyattā sayanaṃ sādiyanto supati, tassa yasmā avasavattattaṃ na dissati, tasmā āpatti evāti kathayantīti adhippāyo.

    มหาปทุมเตฺถรวาเท ยกฺขคหิตโก ขิตฺตจิตฺตโก มุจฺจติฯ พนฺธิตฺวา นิปชฺชาปิโต อสยนาธิปฺปายตฺตา, เวทนาฎฺฎตฺตา จ มุจฺจตีติ อธิปฺปาโยฯ เอวํ สเนฺต ปาฬิอฎฺฐกถา, เถรวาโท จ สเมติ, ตสฺมา เตสํ เตสํ วินิจฺฉยานํ อยเมว อธิปฺปาโยติ โน ขนฺตีติ อาจริโย, อนุคณฺฐิปเท ปน ยกฺขคหิตโกปิ วิสญฺญีภูโตปิ น มุจฺจติ นาม, ปาราชิกํ อาปชฺชิตุํ ภโพฺพ โส อนฺตรนฺตรา สญฺญาปฎิลาภโตติ อธิปฺปาโยฯ ‘‘พนฺธิตฺวา นิปชฺชาปิโต วา’’ติ กุรุนฺทีวจเนน เอกภเงฺคน นิปโนฺนปิ น มุจฺจตีติ เจ? มุจฺจติเยวฯ กสฺมา? อตฺถโต อนิปนฺนตฺตาฯ กุรุนฺทีวาเทน มหาอฎฺฐกถาวาโท สเมติฯ กสฺมา? อวสวตฺตสามญฺญโตฯ กิญฺจาปิ สเมติ, อาจริยา ปน เอวํ น กถยนฺติฯ น เกวลํ เตเยว, มหาปทุมเตฺถโรปีติ ทสฺสนตฺถํ ‘‘มหาปทุมเตฺถเรนา’’ติ วุตฺตํฯ มหาปทุมเตฺถรวาเท ‘‘ปาราชิกํ อาปชฺชิตุํ อภโพฺพ ยกฺขคหิตโก นามา’’ติ จ วุตฺตํ, ตตฺถ อาจริยา ปน เอวํ วทนฺติ ‘‘สเจ โอกฺกนฺตนิโทฺท อชานโนฺตปิ ปาเท มญฺจกํ อาโรเปติ, อาปตฺติเยวาติ วุตฺตตฺตา โย ปน ปติตฺวา ตเตฺถว สยติ น วุฎฺฐาติ, ตสฺส อาปตฺติ อนฺตรนฺตรา ชานนฺตสฺสาปิ อชานนฺตสฺสาปิ โหตี’’ติ ฯ สพฺพฎฺฐกถาสุ วุตฺตวจนานิ สมฺปิเณฺฑตฺวา ทเสฺสตุํ ‘‘อิธ โก มุจฺจติ โก น มุจฺจตี’’ติ วุตฺตํฯ ยกฺขคหิตโก วา วิสญฺญีภูโต วา น เกวลํ ปาราชิกํ อาปชฺชิตุํ ภโพฺพ เอว, สโพฺพปิ อาปชฺชติฯ เอวํ ‘‘พนฺธิตฺวา นิปชฺชาปิโตว มุจฺจตี’’ติ วจเนน ตสฺสปิ อวสวตฺตตฺตา ‘‘อาปตฺติ น ทิสฺสตี’’ติ เอวํ น กถยนฺติฯ ยสฺมา อุมฺมตฺตกขิตฺตจิตฺตเวทนาเฎฺฎสุ อญฺญตโร น โหติ, ตสฺมา ‘‘อาปตฺติเยวา’’ติ กถยนฺติฯ อิทํ กิร สพฺพํ น สงฺคีติํ อารุฬฺหํฯ ‘‘ปเวสนํ สาทิยตีติอาทินา วุตฺตตฺตา อกิริยาปิ โหตีติ วทนฺติ, ตํ น คเหตพฺพํ, ยทา ปน สาทิยติ, ตทา สุขุมาปิ วิญฺญตฺติ โหติ เอวาติ อิธ กิริยา เอวา’’ติ อนุคณฺฐิปเท วุตฺตํฯ

    Mahāpadumattheravāde yakkhagahitako khittacittako muccati. Bandhitvā nipajjāpito asayanādhippāyattā, vedanāṭṭattā ca muccatīti adhippāyo. Evaṃ sante pāḷiaṭṭhakathā, theravādo ca sameti, tasmā tesaṃ tesaṃ vinicchayānaṃ ayameva adhippāyoti no khantīti ācariyo, anugaṇṭhipade pana yakkhagahitakopi visaññībhūtopi na muccati nāma, pārājikaṃ āpajjituṃ bhabbo so antarantarā saññāpaṭilābhatoti adhippāyo. ‘‘Bandhitvā nipajjāpito vā’’ti kurundīvacanena ekabhaṅgena nipannopi na muccatīti ce? Muccatiyeva. Kasmā? Atthato anipannattā. Kurundīvādena mahāaṭṭhakathāvādo sameti. Kasmā? Avasavattasāmaññato. Kiñcāpi sameti, ācariyā pana evaṃ na kathayanti. Na kevalaṃ teyeva, mahāpadumattheropīti dassanatthaṃ ‘‘mahāpadumattherenā’’ti vuttaṃ. Mahāpadumattheravāde ‘‘pārājikaṃ āpajjituṃ abhabbo yakkhagahitako nāmā’’ti ca vuttaṃ, tattha ācariyā pana evaṃ vadanti ‘‘sace okkantaniddo ajānantopi pāde mañcakaṃ āropeti, āpattiyevāti vuttattā yo pana patitvā tattheva sayati na vuṭṭhāti, tassa āpatti antarantarā jānantassāpi ajānantassāpi hotī’’ti . Sabbaṭṭhakathāsu vuttavacanāni sampiṇḍetvā dassetuṃ ‘‘idha ko muccati ko na muccatī’’ti vuttaṃ. Yakkhagahitako vā visaññībhūto vā na kevalaṃ pārājikaṃ āpajjituṃ bhabbo eva, sabbopi āpajjati. Evaṃ ‘‘bandhitvā nipajjāpitova muccatī’’ti vacanena tassapi avasavattattā ‘‘āpatti na dissatī’’ti evaṃ na kathayanti. Yasmā ummattakakhittacittavedanāṭṭesu aññataro na hoti, tasmā ‘‘āpattiyevā’’ti kathayanti. Idaṃ kira sabbaṃ na saṅgītiṃ āruḷhaṃ. ‘‘Pavesanaṃ sādiyatītiādinā vuttattā akiriyāpi hotīti vadanti, taṃ na gahetabbaṃ, yadā pana sādiyati, tadā sukhumāpi viññatti hoti evāti idha kiriyā evā’’ti anugaṇṭhipade vuttaṃ.

    ปฐมปาราชิกวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Paṭhamapārājikavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวิภงฺค • Mahāvibhaṅga / ๑. ปฐมปาราชิกํ • 1. Paṭhamapārājikaṃ

    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / วินยปิฎก (อฎฺฐกถา) • Vinayapiṭaka (aṭṭhakathā) / มหาวิภงฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvibhaṅga-aṭṭhakathā / ๑. ปฐมปาราชิกํ • 1. Paṭhamapārājikaṃ

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā / วินีตวตฺถุวณฺณนา • Vinītavatthuvaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / วินีตวตฺถุวณฺณนา • Vinītavatthuvaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact