Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วินยสงฺคห-อฎฺฐกถา • Vinayasaṅgaha-aṭṭhakathā

    ๔. วิญฺญตฺติวินิจฺฉยกถา

    4. Viññattivinicchayakathā

    ๒๑. วิญฺญตฺตีติ ยาจนาฯ ตตฺรายํ วินิจฺฉโย (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๓๔๒) – มูลเจฺฉชฺชาย ปุริสํ ยาจิตุํ น วฎฺฎติ, ‘‘สหายตฺถาย กมฺมกรณตฺถาย ปุริสํ เทถา’’ติ ยาจิตุํ วฎฺฎติ, ปุริเสน กตฺตพฺพํ หตฺถกมฺมสงฺขาตํ ปุริสตฺตกรํ ยาจิตุํ วฎฺฎติเยวฯ หตฺถกมฺมญฺหิ กิญฺจิ วตฺถุ น โหติ, ตสฺมา ตํ ฐเปตฺวา มิคลุทฺทกมจฺฉพนฺธนกาทีนํ สกกมฺมํ อวเสสํ สพฺพํ กปฺปิยํฯ ‘‘กิํ, ภเนฺต, อาคตาตฺถ เกน กเมฺมนา’’ติ ปุจฺฉิเต วา อปุจฺฉิเต วา ยาจิตุํ วฎฺฎติ, วิญฺญตฺติปจฺจยา โทโส นตฺถิฯ มิคลุทฺทกาทโย ปน สกกมฺมํ น ยาจิตพฺพา, ‘‘หตฺถกมฺมํ เทถา’’ติ อนิยเมตฺวาปิ น ยาจิตพฺพาฯ เอวํ ยาจิตา หิ เต ‘‘สาธุ, ภเนฺต’’ติ ภิกฺขู อุโยฺยเชตฺวา มิเคปิ มาเรตฺวา อาหเรยฺยุํฯ นิยเมตฺวา ปน ‘‘วิหาเร กิญฺจิ กตฺตพฺพํ อตฺถิ, ตตฺถ หตฺถกมฺมํ เทถา’’ติ ยาจิตพฺพา, ผาลนงฺคลาทีนิ อุปกรณานิ คเหตฺวา กสิตุํ วา วปิตุํ วา ลายิตุํ วา คจฺฉนฺตํ สกกิจฺจปสุตมฺปิ กสฺสกํ วา อญฺญํ วา กิญฺจิ หตฺถกมฺมํ ยาจิตุํ วฎฺฎเตวฯ โย ปน วิฆาสาโท วา อโญฺญ วา โกจิ นิกฺกโมฺม นิรตฺถกกถํ กเถโนฺต นิทฺทายโนฺต วา วิหรติ, เอวรูปํ อยาจิตฺวาปิ ‘‘เอหิ เร อิทํ วา อิทํ วา กโรหี’’ติ ยทิจฺฉกํ การาเปตุํ วฎฺฎติฯ

    21.Viññattīti yācanā. Tatrāyaṃ vinicchayo (pārā. aṭṭha. 2.342) – mūlacchejjāya purisaṃ yācituṃ na vaṭṭati, ‘‘sahāyatthāya kammakaraṇatthāya purisaṃ dethā’’ti yācituṃ vaṭṭati, purisena kattabbaṃ hatthakammasaṅkhātaṃ purisattakaraṃ yācituṃ vaṭṭatiyeva. Hatthakammañhi kiñci vatthu na hoti, tasmā taṃ ṭhapetvā migaluddakamacchabandhanakādīnaṃ sakakammaṃ avasesaṃ sabbaṃ kappiyaṃ. ‘‘Kiṃ, bhante, āgatāttha kena kammenā’’ti pucchite vā apucchite vā yācituṃ vaṭṭati, viññattipaccayā doso natthi. Migaluddakādayo pana sakakammaṃ na yācitabbā, ‘‘hatthakammaṃ dethā’’ti aniyametvāpi na yācitabbā. Evaṃ yācitā hi te ‘‘sādhu, bhante’’ti bhikkhū uyyojetvā migepi māretvā āhareyyuṃ. Niyametvā pana ‘‘vihāre kiñci kattabbaṃ atthi, tattha hatthakammaṃ dethā’’ti yācitabbā, phālanaṅgalādīni upakaraṇāni gahetvā kasituṃ vā vapituṃ vā lāyituṃ vā gacchantaṃ sakakiccapasutampi kassakaṃ vā aññaṃ vā kiñci hatthakammaṃ yācituṃ vaṭṭateva. Yo pana vighāsādo vā añño vā koci nikkammo niratthakakathaṃ kathento niddāyanto vā viharati, evarūpaṃ ayācitvāpi ‘‘ehi re idaṃ vā idaṃ vā karohī’’ti yadicchakaṃ kārāpetuṃ vaṭṭati.

    หตฺถกมฺมสฺส ปน สพฺพกปฺปิยภาวทีปนตฺถํ อิมํ นยํ กเถนฺติฯ สเจ หิ ภิกฺขุ ปาสาทํ กาเรตุกาโม โหติ, ถมฺภตฺถาย ปาสาณโกฎฺฎกานํ ฆรํ คนฺตฺวา วตฺตพฺพํ ‘‘หตฺถกมฺมํ ลทฺธุํ วฎฺฎติ อุปาสกา’’ติฯ ‘‘กิํ กาตพฺพํ, ภเนฺต’’ติ? ‘‘ปาสาณตฺถมฺภา อุทฺธริตฺวา ทาตพฺพา’’ติฯ สเจ เต อุทฺธริตฺวา วา เทนฺติ, อุทฺธริตฺวา นิกฺขิเตฺต อตฺตโน ถเมฺภ วา เทนฺติ, วฎฺฎติฯ อถาปิ วทนฺติ ‘‘อมฺหากํ, ภเนฺต, หตฺถกมฺมํ กาตุํ ขโณ นตฺถิ, อญฺญํ อุทฺธราเปถ, ตสฺส มูลํ ทสฺสามา’’ติ, อุทฺธราเปตฺวา ‘‘ปาสาณตฺถเมฺภ อุทฺธฎมนุสฺสานํ มูลํ เทถา’’ติ วตฺตุํ วฎฺฎติฯ เอเตเนว อุปาเยน ปาสาททารูนํ อตฺถาย วฑฺฒกีนํ สนฺติกํ, อิฎฺฐกตฺถาย อิฎฺฐกวฑฺฒกีนํ, ฉทนตฺถาย เคหจฺฉาทกานํ, จิตฺตกมฺมตฺถาย จิตฺตการานนฺติ เยน เยน อโตฺถ โหติ, ตสฺส ตสฺส อตฺถาย เตสํ เตสํ สิปฺปการกานํ สนฺติกํ คนฺตฺวา หตฺถกมฺมํ ยาจิตุํ วฎฺฎติ, หตฺถกมฺมยาจนวเสน จ มูลเจฺฉชฺชาย วา ภตฺตเวตนานุปฺปทาเนน วา ลทฺธมฺปิ สพฺพํ คเหตุํ วฎฺฎติฯ อรญฺญโต อาหราเปเนฺตน จ สพฺพํ อนชฺฌาวุตฺถกํ อาหราเปตพฺพํฯ

    Hatthakammassa pana sabbakappiyabhāvadīpanatthaṃ imaṃ nayaṃ kathenti. Sace hi bhikkhu pāsādaṃ kāretukāmo hoti, thambhatthāya pāsāṇakoṭṭakānaṃ gharaṃ gantvā vattabbaṃ ‘‘hatthakammaṃ laddhuṃ vaṭṭati upāsakā’’ti. ‘‘Kiṃ kātabbaṃ, bhante’’ti? ‘‘Pāsāṇatthambhā uddharitvā dātabbā’’ti. Sace te uddharitvā vā denti, uddharitvā nikkhitte attano thambhe vā denti, vaṭṭati. Athāpi vadanti ‘‘amhākaṃ, bhante, hatthakammaṃ kātuṃ khaṇo natthi, aññaṃ uddharāpetha, tassa mūlaṃ dassāmā’’ti, uddharāpetvā ‘‘pāsāṇatthambhe uddhaṭamanussānaṃ mūlaṃ dethā’’ti vattuṃ vaṭṭati. Eteneva upāyena pāsādadārūnaṃ atthāya vaḍḍhakīnaṃ santikaṃ, iṭṭhakatthāya iṭṭhakavaḍḍhakīnaṃ, chadanatthāya gehacchādakānaṃ, cittakammatthāya cittakārānanti yena yena attho hoti, tassa tassa atthāya tesaṃ tesaṃ sippakārakānaṃ santikaṃ gantvā hatthakammaṃ yācituṃ vaṭṭati, hatthakammayācanavasena ca mūlacchejjāya vā bhattavetanānuppadānena vā laddhampi sabbaṃ gahetuṃ vaṭṭati. Araññato āharāpentena ca sabbaṃ anajjhāvutthakaṃ āharāpetabbaṃ.

    ๒๒. น เกวลญฺจ ปาสาทํ กาเรตุกาเมน, มญฺจปีฐปตฺตปริสฺสาวนธมกรณจีวราทีนิ การาเปตุกาเมนปิ ทารุโลหสุตฺตาทีนิ ลภิตฺวา เต เต สิปฺปการเก อุปสงฺกมิตฺวา วุตฺตนเยเนว หตฺถกมฺมํ ยาจิตพฺพํฯ หตฺถกมฺมยาจนวเสน จ มูลเจฺฉชฺชาย วา ภตฺตเวตนานุปฺปทาเนน วา ลทฺธมฺปิ สพฺพํ คเหตพฺพํฯ สเจ ปน กาตุํ น อิจฺฉนฺติ, ภตฺตเวตนํ ปจฺจาสีสนฺติ, อกปฺปิยกหาปณาทิ น ทาตพฺพํ, ภิกฺขาจารวเตฺตน ตณฺฑุลาทีนิ ปริเยสิตฺวา ทาตุํ วฎฺฎติฯ หตฺถกมฺมวเสน ปตฺตํ กาเรตฺวา ตเถว ปาเจตฺวา นวปกฺกสฺส ปตฺตสฺส ปุญฺฉนเตลตฺถาย อโนฺตคามํ ปวิเฎฺฐน ‘‘ภิกฺขาย อาคโต’’ติ สลฺลเกฺขตฺวา ยาคุยา วา ภเตฺต วา อานีเต หเตฺถน ปโตฺต ปิธาตโพฺพฯ สเจ อุปาสิกา ‘‘กิํ, ภเนฺต’’ติ ปุจฺฉติ, ‘‘นวปโกฺก ปโตฺต, ปุญฺฉนเตเลน อโตฺถ’’ติ วตฺตพฺพํฯ สเจ สา ‘‘เทหิ, ภเนฺต’’ติ ปตฺตํ คเหตฺวา เตเลน ปุญฺฉิตฺวา ยาคุยา วา ภตฺตสฺส วา ปูเรตฺวา เทติ, วิญฺญตฺติ นาม น โหติ, คเหตุํ วฎฺฎติฯ

    22. Na kevalañca pāsādaṃ kāretukāmena, mañcapīṭhapattaparissāvanadhamakaraṇacīvarādīni kārāpetukāmenapi dārulohasuttādīni labhitvā te te sippakārake upasaṅkamitvā vuttanayeneva hatthakammaṃ yācitabbaṃ. Hatthakammayācanavasena ca mūlacchejjāya vā bhattavetanānuppadānena vā laddhampi sabbaṃ gahetabbaṃ. Sace pana kātuṃ na icchanti, bhattavetanaṃ paccāsīsanti, akappiyakahāpaṇādi na dātabbaṃ, bhikkhācāravattena taṇḍulādīni pariyesitvā dātuṃ vaṭṭati. Hatthakammavasena pattaṃ kāretvā tatheva pācetvā navapakkassa pattassa puñchanatelatthāya antogāmaṃ paviṭṭhena ‘‘bhikkhāya āgato’’ti sallakkhetvā yāguyā vā bhatte vā ānīte hatthena patto pidhātabbo. Sace upāsikā ‘‘kiṃ, bhante’’ti pucchati, ‘‘navapakko patto, puñchanatelena attho’’ti vattabbaṃ. Sace sā ‘‘dehi, bhante’’ti pattaṃ gahetvā telena puñchitvā yāguyā vā bhattassa vā pūretvā deti, viññatti nāma na hoti, gahetuṃ vaṭṭati.

    ๒๓. ภิกฺขู ปเคว ปิณฺฑาย จริตฺวา อาสนสาลํ คนฺตฺวา อาสนํ อปสฺสนฺตา ติฎฺฐนฺติฯ ตตฺร เจ อุปาสกา ภิกฺขู ฐิเต ทิสฺวา สยเมว อาสนานิ อาหราเปนฺติ, นิสีทิตฺวา คจฺฉเนฺตหิ อาปุจฺฉิตฺวา คนฺตพฺพํ, อนาปุจฺฉา คตานมฺปิ นฎฺฐํ คีวา น โหติ, อาปุจฺฉิตฺวา คมนํ ปน วตฺตํฯ สเจ ภิกฺขูหิ ‘‘อาสนานิ อาหรถา’’ติ วุเตฺตหิ อาหฎานิ โหนฺติ, อาปุจฺฉิตฺวาว คนฺตพฺพํ, อนาปุจฺฉา คตานํ วตฺตเภโท จ นฎฺฐญฺจ คีวาฯ อตฺถรณโกชวกาทีสุปิ เอเสว นโยฯ

    23. Bhikkhū pageva piṇḍāya caritvā āsanasālaṃ gantvā āsanaṃ apassantā tiṭṭhanti. Tatra ce upāsakā bhikkhū ṭhite disvā sayameva āsanāni āharāpenti, nisīditvā gacchantehi āpucchitvā gantabbaṃ, anāpucchā gatānampi naṭṭhaṃ gīvā na hoti, āpucchitvā gamanaṃ pana vattaṃ. Sace bhikkhūhi ‘‘āsanāni āharathā’’ti vuttehi āhaṭāni honti, āpucchitvāva gantabbaṃ, anāpucchā gatānaṃ vattabhedo ca naṭṭhañca gīvā. Attharaṇakojavakādīsupi eseva nayo.

    มกฺขิกา พหุกา โหนฺติ, ‘‘มกฺขิกพีชนิํ อาหรถา’’ติ วตฺตพฺพํ, ปุจิมนฺทสาขาทีนิ อาหรนฺติ, กปฺปิยํ การาเปตฺวา ปฎิคฺคเหตพฺพานิฯ อาสนสาลายํ อุทกภาชนํ ริตฺตํ โหติ, ‘‘ธมกรณํ คณฺหาหี’’ติ น วตฺตพฺพํฯ ธมกรณญฺหิ ริตฺตภาชเน ปกฺขิปโนฺต ภิเนฺทยฺย, ‘‘นทิํ วา ตฬากํ วา คนฺตฺวา อุทกํ อาหรา’’ติ ปน วตฺตุํ วฎฺฎติ, ‘‘เคหโต อาหรา’’ติ เนว วตฺตุํ วฎฺฎติ, น อาหฎํ ปริภุญฺชิตุํฯ อาสนสาลาย วา อรเญฺญ วา ภตฺตกิจฺจํ กโรเนฺตหิ ตตฺถ ชาตกํ อนชฺฌาวุตฺถกํ ยํ กิญฺจิ อุตฺตริภงฺคารหํ ปตฺตํ วา ผลํ วา สเจ กิญฺจิ กมฺมํ กโรนฺตํ อาหราเปติ, หตฺถกมฺมวเสน อาหราเปตฺวา ปริภุญฺชิตุํ วฎฺฎติ, อลชฺชีหิ ปน ภิกฺขูหิ วา สามเณเรหิ วา หตฺถกมฺมํ น กาเรตพฺพํฯ อยํ ตาว ปุริสตฺตกเร นโยฯ

    Makkhikā bahukā honti, ‘‘makkhikabījaniṃ āharathā’’ti vattabbaṃ, pucimandasākhādīni āharanti, kappiyaṃ kārāpetvā paṭiggahetabbāni. Āsanasālāyaṃ udakabhājanaṃ rittaṃ hoti, ‘‘dhamakaraṇaṃ gaṇhāhī’’ti na vattabbaṃ. Dhamakaraṇañhi rittabhājane pakkhipanto bhindeyya, ‘‘nadiṃ vā taḷākaṃ vā gantvā udakaṃ āharā’’ti pana vattuṃ vaṭṭati, ‘‘gehato āharā’’ti neva vattuṃ vaṭṭati, na āhaṭaṃ paribhuñjituṃ. Āsanasālāya vā araññe vā bhattakiccaṃ karontehi tattha jātakaṃ anajjhāvutthakaṃ yaṃ kiñci uttaribhaṅgārahaṃ pattaṃ vā phalaṃ vā sace kiñci kammaṃ karontaṃ āharāpeti, hatthakammavasena āharāpetvā paribhuñjituṃ vaṭṭati, alajjīhi pana bhikkhūhi vā sāmaṇerehi vā hatthakammaṃ na kāretabbaṃ. Ayaṃ tāva purisattakare nayo.

    ๒๔. โคณํ ปน อญฺญาตกอปฺปวาริตฎฺฐานโต อาหราเปตุํ น วฎฺฎติ, อาหราเปนฺตสฺส ทุกฺกฎํฯ ญาตกปวาริตฎฺฐานโตปิ มูลเจฺฉชฺชาย ยาจิตุํ น วฎฺฎติ, ตาวกาลิกนเยน สพฺพตฺถ วฎฺฎติฯ เอวํ อาหราปิตญฺจ โคณํ รกฺขิตฺวา ชคฺคิตฺวา สามิกา ปฎิจฺฉาเปตพฺพาฯ สจสฺส ปาโท วา สิงฺคํ วา ภิชฺชติ วา นสฺสติ วา, สามิกา เจ สมฺปฎิจฺฉนฺติ, อิเจฺจตํ กุสลํฯ โน เจ สมฺปฎิจฺฉนฺติ, คีวา โหติฯ สเจ ‘‘ตุมฺหากํเยว เทมา’’ติ วทนฺติ, น สมฺปฎิจฺฉิตพฺพํฯ ‘‘วิหารสฺส เทมา’’ติ วุเตฺต ปน ‘‘อารามิกานํ อาจิกฺขถ ชคฺคนตฺถายา’’ติ วตฺตพฺพาฯ

    24. Goṇaṃ pana aññātakaappavāritaṭṭhānato āharāpetuṃ na vaṭṭati, āharāpentassa dukkaṭaṃ. Ñātakapavāritaṭṭhānatopi mūlacchejjāya yācituṃ na vaṭṭati, tāvakālikanayena sabbattha vaṭṭati. Evaṃ āharāpitañca goṇaṃ rakkhitvā jaggitvā sāmikā paṭicchāpetabbā. Sacassa pādo vā siṅgaṃ vā bhijjati vā nassati vā, sāmikā ce sampaṭicchanti, iccetaṃ kusalaṃ. No ce sampaṭicchanti, gīvā hoti. Sace ‘‘tumhākaṃyeva demā’’ti vadanti, na sampaṭicchitabbaṃ. ‘‘Vihārassa demā’’ti vutte pana ‘‘ārāmikānaṃ ācikkhatha jagganatthāyā’’ti vattabbā.

    ๒๕. ‘‘สกฎํ เทถา’’ติปิ อญฺญาตกอปฺปวาริเต วตฺตุํ น วฎฺฎติ, วิญฺญตฺติ เอว โหติ, ทุกฺกฎํ อาปชฺชติฯ ญาตกปวาริตฎฺฐาเน ปน วฎฺฎติ, ตาวกาลิกํ วฎฺฎติ, กมฺมํ ปน กตฺวา ปุน ทาตพฺพํฯ สเจ เนมิอาทีนิ ภิชฺชนฺติ, ปากติกานิ กตฺวา ทาตพฺพํ, นเฎฺฐ คีวา โหติฯ ‘‘ตุมฺหากเมว เทมา’’ติ วุเตฺต ทารุภณฺฑํ นาม สมฺปฎิจฺฉิตุํ วฎฺฎติฯ เอส นโย วาสิผรสุกุฐารีกุทาลนิขาทเนสุ วลฺลิอาทีสุ จ ปรปริคฺคหิเตสุฯ ครุภณฺฑปฺปโหนเกสุเยว วลฺลิอาทีสุ วิญฺญตฺติ โหติ, น ตโต โอรํฯ

    25. ‘‘Sakaṭaṃ dethā’’tipi aññātakaappavārite vattuṃ na vaṭṭati, viññatti eva hoti, dukkaṭaṃ āpajjati. Ñātakapavāritaṭṭhāne pana vaṭṭati, tāvakālikaṃ vaṭṭati, kammaṃ pana katvā puna dātabbaṃ. Sace nemiādīni bhijjanti, pākatikāni katvā dātabbaṃ, naṭṭhe gīvā hoti. ‘‘Tumhākameva demā’’ti vutte dārubhaṇḍaṃ nāma sampaṭicchituṃ vaṭṭati. Esa nayo vāsipharasukuṭhārīkudālanikhādanesu valliādīsu ca parapariggahitesu. Garubhaṇḍappahonakesuyeva valliādīsu viññatti hoti, na tato oraṃ.

    ๒๖. อนชฺฌาวุตฺถกํ ปน ยํ กิญฺจิ อาหราเปตุํ วฎฺฎติฯ รกฺขิตโคปิตฎฺฐาเนเยว หิ วิญฺญตฺติ นาม วุจฺจติฯ สา ทฺวีสุ ปจฺจเยสุ สเพฺพน สพฺพํ น วฎฺฎติฯ เสนาสนปจฺจเย ปน ‘‘อาหร เทหี’’ติ วิญฺญตฺติมตฺตเมว น วฎฺฎติ, ปริกโถภาสนิมิตฺตกมฺมานิ วฎฺฎนฺติฯ ตตฺถ อุโปสถาคารํ วา โภชนสาลํ วา อญฺญํ วา กิญฺจิ เสนาสนํ อิจฺฉโต ‘‘อิมสฺมิํ วต โอกาเส เอวรูปํ เสนาสนํ กาตุํ วฎฺฎตี’’ติ วา ‘‘ยุตฺต’’นฺติ วา ‘‘อนุรูป’’นฺติ วาติอาทินา นเยน วจนํ ปริกถา นามฯ อุปาสกา ตุเมฺห กุหิํ วสถาติฯ ปาสาเท, ภเนฺตติฯ ‘‘กิํ ภิกฺขูนํ ปน อุปาสกา ปาสาโท น วฎฺฎตี’’ติ เอวมาทิวจนํ โอภาโส นามฯ มนุเสฺส ทิสฺวา รชฺชุํ ปสาเรติ, ขีเล อาโกฎาเปติ, ‘‘กิํ อิทํ, ภเนฺต’’ติ วุเตฺต ‘‘อิธ อาวาสํ กริสฺสามา’’ติ เอวมาทิกรณํ ปน นิมิตฺตกมฺมํ นามฯ คิลานปจฺจเย ปน วิญฺญตฺติปิ วฎฺฎติ, ปเคว ปริกถาทีนิฯ

    26. Anajjhāvutthakaṃ pana yaṃ kiñci āharāpetuṃ vaṭṭati. Rakkhitagopitaṭṭhāneyeva hi viññatti nāma vuccati. Sā dvīsu paccayesu sabbena sabbaṃ na vaṭṭati. Senāsanapaccaye pana ‘‘āhara dehī’’ti viññattimattameva na vaṭṭati, parikathobhāsanimittakammāni vaṭṭanti. Tattha uposathāgāraṃ vā bhojanasālaṃ vā aññaṃ vā kiñci senāsanaṃ icchato ‘‘imasmiṃ vata okāse evarūpaṃ senāsanaṃ kātuṃ vaṭṭatī’’ti vā ‘‘yutta’’nti vā ‘‘anurūpa’’nti vātiādinā nayena vacanaṃ parikathā nāma. Upāsakā tumhe kuhiṃ vasathāti. Pāsāde, bhanteti. ‘‘Kiṃ bhikkhūnaṃ pana upāsakā pāsādo na vaṭṭatī’’ti evamādivacanaṃ obhāso nāma. Manusse disvā rajjuṃ pasāreti, khīle ākoṭāpeti, ‘‘kiṃ idaṃ, bhante’’ti vutte ‘‘idha āvāsaṃ karissāmā’’ti evamādikaraṇaṃ pana nimittakammaṃ nāma. Gilānapaccaye pana viññattipi vaṭṭati, pageva parikathādīni.

    อิติ ปาฬิมุตฺตกวินยวินิจฺฉยสงฺคเห

    Iti pāḷimuttakavinayavinicchayasaṅgahe

    วิญฺญตฺติวินิจฺฉยกถา สมตฺตาฯ

    Viññattivinicchayakathā samattā.





    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact